หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1113-1114

 บทที่ 1113 ซูชิงหยิง

“ประตูมังกรทะยานสวรรค์?”


“นั่นคืออะไร?”


“ดูเหมือนจะเป็นเส้นทางเดียวที่จะไปยังวังสวรรค์บรรพกาลได้”


“…”


ขณะที่มู่เฉินมองไปที่ประตูหินโบราณขนาดใหญ่ เสียงผู้คนกระซิบกระซาบก็กระจายไปทั่ว แต่ละคนเขียนคำว่าประหลาดใจไว้บนใบหน้า


“ไม่คิดว่าประตูมังกรทะยานสวรรค์จะมีอยู่จริง…” มู่เฉินมองไปที่ประตูหินก่อนที่จะถอนหายใจ


“เจ้ารู้เรื่องนี้เรอะ?” จิ่วโยวอึ้งไปกับคำพูดของเขา พรรคพวกก็หันขวับมามองมู่เฉินด้วยความประหลาดใจ


มู่เฉินพยักหน้า เขารู้เกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ จากมั่นถัวหลัวก่อนที่จะมุ่งหน้ามายังวังสวรรค์บรรพกาล มั่นถัวหลัวบอกข้อมูลเกี่ยวกับวังโบราณซึ่งรวมถึงประตูมังกรทะยานสวรรค์ด้วย


“ประตูนี้มีไว้เพื่ออะไร?” หลินจิ้งถามอย่างสนใจ


“ในยุคโบราณจอมยุทธ์ทุกคนที่ต้องการเข้าร่วมจะต้องผ่านประตูนี้ ซึ่งจะเป็นตัวประเมินความแข็งแกร่งและศักยภาพ สุดท้ายจะมอบสถานะที่เหมาะสมให้ สมาชิกที่โดดเด่นบางคนสามารถขึ้นลำดับสูงได้ด้วยประตูนี้ นี่คือเหตุผลที่ถูกตั้งชื่อว่าประตูมังกรทะยานสวรรค์” มู่เฉินกล่าว


“สถานะ?” ทุกคนอึ้งไป


“จำป้ายหมาป่าเขียวเมื่อครู่ได้ไหม? มันเป็นหนึ่งในนั้น”


มู่เฉินพยักหน้าขณะมองไปที่ประตูหินโบราณด้วยความสนใจ จากนั้นก็พูดต่อว่า “ว่ากันว่ามีการสี่ลำดับที่แตกต่างกันสำหรับสมาชิกในวังสวรรค์บรรพกาล เรียงลำดับจากต่ำไปสูงได้แก่ป้ายหมาป่า ป้ายนกอินทรี ป้ายเจียวและป้ายมังกร ส่วนการแบ่งระดับภายในป้ายก็ขึ้นอยู่กับสีไล่เรียงจาก ขาว-เขียว-ทอง”


“โครงกระดูกที่เห็นก่อนหน้านี้ พวกเขาน่าจะเป็นสมาชิกป้ายหมาป่า”


“เล่าขานกันว่าสมาชิกที่ได้รับป้ายมังกรไม่เพียงแต่จะกลายเป็นศิษย์เอกของวังสวรรค์บรรพกาล แต่พวกเขายังได้รับทรัพยากรมหาศาลพร้อมกับมีโอกาสที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสหรือแม้แต่จอมพลก็ตาม”


ตอนนี้ทุกคนเข้าใจแล้วว่าคนที่ได้รับป้ายมังกรถือว่าทะยานขึ้นฟ้าในก้าวเดียว ดังนั้นประตูทางเข้านี้ก็สมกับชื่ออย่างแท้จริง


“ประตูมังกรทะยานสวรรค์ดูเหมือนจะเป็นทางผ่านเดียวในการเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล คนที่จะเข้าต้องเป็นศิษย์ก่อน” เมื่อมู่เฉินพูดสายตาก็ลุกโชนด้วยเพลิงปรารถนามองไปที่ประตูมังกร อ้างอิงจากคำพูดมั่นถัวหลัวเขาจะต้องเป็นศิษย์ระดับมังกรให้ได้ถ้าประตูยังคงอยู่


นั่นเป็นเพราะมีเพียงศิษย์เอกมังกรเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงส่วนที่ลึกที่สุดของหอคัมภีร์เทพซ่อน


แม้ว่าตอนนี้มู่เฉินจะไม่แน่ใจว่าหอคัมภีร์เทพซ่อนและกฎกติกานั้นยังคงอยู่หรือไม่ แต่ในเมื่อประตูมังกรทะยานสวรรค์ยังคงอยู่ เขาก็ต้องคว้าป้ายมังกรมาให้ได้


ไม่งั้นถ้าถูกปฏิเสธให้เข้าไปในหอคัมภีร์เทพซ่อน เพราะเหตุที่ป้ายไม่ผ่านเกณฑ์ เขาจะต้องเสียใจภายหลังแน่นอน


เพื่อให้ได้รับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ เขาจะต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม


“คิกๆ ชักน่าสนใจ ข้าอยากลองดูว่าจะอยู่ในลำดับไหน… ” ดวงตาหลินจิ้งเป็นประกายสดใสพลางหัวเราะเสียงพลิ้วด้วยความตื่นเต้น


จิ่วโยวมองไปรอบๆ พร้อมกับความตื่นตะลึง นางสังเกตว่าเมื่อเวลาผ่านไปก็มีจอมยุทธ์ชั้นสูงจำนวนมากมารวมกันที่นี่


“ดูเหมือนเจ้าไม่ใช่คนเดียวที่รู้เกี่ยวกับประโยชน์ของประตูมังกรทะยานสวรรค์นะ” จิ่วโยวพูดเสียงต่ำขณะมองฝูงชนหลั่งไหลเข้ามา


มู่เฉินไม่แปลกใจเนื่องจากขั้วอำนาจอื่นก็ตรวจสอบมาทุกวิถีทางเกี่ยวกับวังสวรรค์บรรพกาลใชช่วงหลายปีและประโยชน์ของประตูมังกรทะยานสวรรค์ก็ไม่ได้เป็นความลับอะไร


“ว่ากันว่ามีประตูมังกรทะยานสวรรค์สามประตูอยู่ชั้นนอก ซึ่งที่นี่เป็นหนึ่งในนั้น ไม่งั้นคงได้เห็นคนมากกว่านี้” มู่เฉินยิ้ม


“พวกเราลองตอนนี้เลยไหม?” จิ่วโยวเริ่มจะเครื่องติดขึ้นมาเหมือนกัน


“ไม่ต้องใจร้อน รอดูก่อน” มู่เฉินยิ้มแล้วส่ายหัว มีอัจฉริยะมากมายมารวมตัวกัน เขาชักจะอยากเห็นผลลัพธ์ของคนเหล่านี้


หลินจิ้งกับจิ่วโยวไม่ได้โต้แย้งคำพูดนี้ พวกนางรอคอยด้วยความคาดหวังในหัวใจ เห็นได้ชัดว่าก็อยากรู้ความสามารถของคนอื่นๆ เช่นกัน


ขณะที่รอเสียงลมแหวกอากาศก็ดังไม่หยุด ร่างแสงพลิ้วลงมาราวกับฝนดาวตก ทำให้บริเวณนี้คึกคักยิ่งขึ้น


“หืม นั่นไม่ใช่มือวิญญาณหลิ่วกุยจากสำนักภูตอนธกาลหรือ? เขาก็มาที่นี่เช่นกัน”


เมื่อผู้คนมารวมตัวกันมากขึ้นก็เริ่มมีอัจฉริยะจากขั้วอำนาจชั้นสูงปรากฏตัว ทำให้เกิดความปั่นป่วนไปทั่วบริเวณ


เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ ได้ยินประโยคเหล่านั้นก็หันไปมองเช่นกัน


ร่างในชุดสีเทาสิบกว่าร่างพุ่งเข้ามาแล้วพลิ้วตัวลงบนต้นไม้ใหญ่ ผู้นำดูธรรมดามาก แต่ดวงตาที่เป็นสีเทาควันกลับเปล่งรัศมีเยือกเย็น ทำให้อุณหภูมิโดยรอบลดฮวบลงรวดเร็ว


“มือวิญญาณหลิ่วกุย อันดับสิบเจ็ด ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด” มู่เฉินมองไปที่พวกหลิ่วกุยพร้อมกับข้อมูลวาบขึ้นในใจ


“แล้วก็หวังทงเสียน อันดับสิบหก…” ไม่นานหลังจากการปรากฏตัวของหลิ่วกุย ภาพเงาสวมชุดสีเหลือง ทะยานเข้ามาราวกับกระเรียน ดึงดูดคำอุทานของคนหลายคน


“…”


ผู้คนยังส่งเสียงฮือฮาไม่หยุดหย่อน ภายในไม่กี่นาทีจอมยุทธ์ในยี่สิบลำดับแรกของทำเนียบรายชื่อก็ปรากฏตัวแล้วห้าหกคน


คนเหล่านี้ล้วนมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด ทรงพลังยิ่งกว่าเซี่ยหง มิน่าล่ะถึงมีอันดับที่สูงกว่า


เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขาแล้ว มู่เฉินที่เพิ่งเข้ามาแทนที่อันดับยี่สิบดูไม่มีนัยสำคัญอะไรเลย


เมื่ออัจฉริยะเหล่านี้ปรากฏตัวก็มองไปที่ประตูมังกรด้วยสายตาลุกโชน แต่พวกเขาไม่รีบเร่งตามแรงกระตุ้น แต่ละคนรอคอยสำหรับเวลาที่ดีที่สุดที่จะลงมือ


“เอ๊ะ?”


ขณะรอ จู่ๆ สีหน้ามู่เฉินก็เปลี่ยนไปกะทันหัน เขาหันหน้ามองไปในทิศทางหนึ่งด้วยสายตาแปลกประหลาด นั่นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงรัศมีกระบี่คมกริบหมุนคว้างเข้ามา


ฟิ้ว!


ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ หลังจากที่มู่เฉินสัมผัสได้ถึง เขาก็เห็นกระบี่สีเขียวพาดผ่านขอบฟ้าก่อนจะพุ่งลงมาบนยอดเขาใกล้ๆ


เมื่อรัศมีจางลง ชายที่สวมชุดสีฟ้าอมเขียวก็เผยตัวพร้อมกระบี่ยาวยาวสีเขียวพาดบนหลัง เขามีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น สายตาจ้องมองเหมือนเหยี่ยวซึ่งทำให้คนอื่นรู้สึกแสบผิว


เขาเปล่งรัศมีกระบี่ทรงพลังออกมารอบตัว ซึ่งทำให้มิติโดยรอบทนรับไม่ไหว ถูกบาดออกเป็นริ้วๆ


เมื่อเขาปรากฏตัวก็ดึงดูดสายตานับไม่ถ้วนทันที โดยเฉพาะจอมยุทธ์มีอันดับที่มาถึงก่อน ใบหน้าแต่ละคนเปลี่ยนไปอย่างไม่เป็นธรรมชาติพร้อมกับความตื่นตัวและความหวาดระแวงอัดแน่นในดวงตา


“เขาคือ…” จิ่วโยวหดดวงตาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ชัดว่ารู้สึกถึงอันตรายจากชายคนนั้น


“ฉินจิงเจ๋ออับดับห้า” มู่เฉินพูดช้าๆ การที่จะสามารถข่มจอมยุท์ยี่สิบอันดับแรกได้จนถึงระดับนี้ จะเป็นใครไม่ได้นอกจากฉินจิงเอ๋ออันดับห้า


แม้ว่าพลังของอีกฝ่ายจะอยู่ที่ระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด แต่จากการคาดเดาของมู่เฉิน พลังการต่อสู้ของเขาคงเหนือชั้นไปไกลแล้ว


ฉินจิงเจ๋อไม่ใส่ใจกับสายตาผู้คน เขามองไปที่ประตูมังกรทะยานสวรรค์อย่างเฉยเมย


“ดูท่าประตูฝั่งนี้จะมีจอมยุทธ์อันดับต้นๆ มาอยู่ด้วย” มู่เฉินยิ้มเอ่ย ฉินจิงเจ๋อถือเป็นจอมยุทธ์ที่มีอันดับสูงสุดในบรรดาคนที่มาที่นี่ตอนนี้ แน่นอนว่าอันดันห้าก็ถือว่าเป็นจอมยุทธ์ชั้นนำของทวีปเทียนหลัวแล้ว


ด้วยความสามารถนี้ไม่แปลกที่เขาจะมองข้ามคนอื่น บางทีในสายตาของเขาแม้แต่จอมยุทธ์อย่างหลิ่วกุยและคนอื่นๆ ที่มีขั้นเก้าระยะปลายสุดเหมือนกันก็ไม่เข้าตา


หลิ่วกุย หวังทงเสียนและคนอื่นๆ ไม่พอใจกับท่าทางหยิ่งยโสของฉินจิงเจ๋อ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นั่นเป็นเพราะแม้จะมีขุมพลังเท่ากัน พวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉินจิงเอ๋อ


อันดับห้า ไม่ใช่แค่ตำแหน่งที่เอาไว้เอ่ยเล่น


ฮึ่ม! ฮึ่ม!


ขณะผู้คนมองฉินจิงเจ๋อด้วยความกลัวและเคารพ ทันใดนั้นเสียงกระหึ่มก็ดังก้องระหว่างฟ้าดิน


เสียงที่ทะลวงโสตประสาทก็ทำให้ใบหน้าเฉยเมยของฉินจิงเจ๋อเปลี่ยนไป เขาเงยหน้าขึ้นสายตาจ้องมองท้องฟ้าไกลออกไป


มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงกะทันหันของฉินจิงเอ๋อ เขาหดดวงตาลง คนที่มาคือใครกันถึงสามารถทำให้ฉินจิงเจ๋อฉายความตกใจในดวงตาได้?


หรือว่า?


ใบหน้ามู่เฉินเคร่งขรึมลงหลายส่วนขณะมองไปที่ท้องฟ้าห่างไกล เขาเห็นจุดสีดำเล็กๆ พาดผ่านขอบฟ้าอย่างเร็วรี่ อึดใจก็มาปรากฏตัวในบริเวณนี้


เมื่อจุดสีดำเคลื่อนเข้ามาใกล้ ทุกคนก็สังเกตว่านี่เป็นแมลงสีดำที่มีสี่ปีก เปล่งรัศมีร้ายกาจออกมารอบตัว ดูดุร้ายมาก


มีผู้หญิงชุดขาวผมยาวยืนอยู่บนหลังแมลงสีดำ เรือนผมสีดำขลับปลิวไสวไปตามสายลม ในมือถือขลุ่ยหยก ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม นางดูอ่อนโยนและงดงามมาก


เป็นความแตกต่างมากเมื่อเปรียบเทียบหญิงสาวชุดขาวกับแมลงดุร้ายที่เป็นเหมือนลางร้ายสะกดอยู่ใต้ฝ่าเท้าของนาง ทำให้คนอื่นถึงกับเหม่อลอย


มู่เฉินมองไปที่สาวงาม สายตาก็เคร่งเครียดลงไปหลายส่วน เขาแลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยวก็ต่างเห็นแววกังวลในดวงตาอีกฝ่าย


ในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของทวีปเทียนหลัว มีจอมยุทธ์คนเดียวที่มีเอกลักษณ์เช่นนี้และสามารถสร้างความหวาดหวั่นให้กับฉินจิงเจ๋อ


อันดับสองซึ่งเป็นหลิงฉงซือ—ซูชิงหยิง


ไม่คิดว่าจอมยุทธ์ชั้นยอดเช่นนี้จะมาที่นี่เช่นกัน


บทที่ 1114 ปะทะครั้งแรก

ทุกคนต่างจ้องมองไปที่หญิงสาวชุดขาว


นางประดับด้วยรอยยิ้มเย็นฉ่ำน่ามอง ขณะที่รัศมีร้ายกาจที่เปล่งออกมาจากแมลงสีดำที่อยู่ข้างใต้ทำให้คนอื่นรู้สึกหนาวสั่นกระดูกสันหลัง


ความแตกต่างสุดขั้วยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกแปลกพิกลรอบตัวนาง


ความเงียบสงบดำเนินต่อไปชั่วครู่ก่อนที่จะระเบิดออกด้วยคลื่นเสียงขนาดใหญ่ ทุกคนพากันตกตะลึงและมีความเคารพเกิดขึ้นในแววตาในเวลาเดียวกัน


“นั่นคือซูชิงหยิง!”


“นางหรือซูชิงหยิง? ช่างงดงามจริงๆ แต่ด้วงตัวนั้นดูทรงพลังมาก…”


“พูดอะไรไร้สาระ นางเป็นหลิงฉงซือ! รูปแบบการต่อสู้ของนางก็ใช้แมลงวิญญาณที่ฝึกฝนด้วยตัวเอง แมลงตัวนี้รู้สึกจะมีชื่อว่าด้วงวิญญาณสี่ปีก ซึ่งมีความเร็วมาก เทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มเลยทีเดียว!”


“สมกับเป็นอันดับสอง”


“…”


ความปั่นป่วนกวนตัวไปทั่ว มู่เฉินมองไปที่ซูชิงหยิงด้วยสายตาเคร่งเครียด แม้ว่าเขาจะอึ้งไปกับจริตจะก้านของนาง แต่เขาก็สัมผัสได้อย่างรวดเร็วถึงอันตรายที่เอิบอาบมาจากอีกฝ่าย


รัศมีอันตรายนั้นทำให้มู่เฉินรู้สึกราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทำให้ตนเองรู้สึกถูกคุกคามอย่างหนัก


ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน


แน่นอนว่าจอมยุทธ์หญิงที่มีอันดับเหนือจาโหลหลัวจะธรรมดาได้อย่างไร? แม้ว่าการจัดอันดับไม่ได้หมายความว่านางแข็งแกร่งกว่าจาโหลหลัว แต่ก็พิสูจน์ให้เห็นความแข็งแกร่งของนาง


หลินจิ้งมองไปที่ซูชิงหยิงอย่างใคร่รู้ แต่ความสนใจส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ตัวด้วงสีดำที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ดูเหมือนนางมีความสนใจเกี่ยวกับแมลงวิญญาณมาก


บนท้องฟ้าซูชิงหยิงมองไปที่ความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นจากตนเองด้วยความเฉยเมย ก่อนที่ดวงตาจะปรายมองจอมยุทธ์ยี่สิบอันดับแรกที่อยู่ที่นี่


เมื่อจอมยุทธ์จอมหยิ่งเหล่านี้รู้สึกได้ว่านางกำลังจับจ้อง พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บบนพื้นผิว ก่อนที่จะแสร้งทำท่าทีสงบหลุบตาลง ความเย่อหยิ่งของพวกเขาถูกลบล้างไปอย่างสมบูรณ์ ดูเหมือนว่ากลัวจะไปกระตุ้นความสนใจของนางเข้า


นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ดีว่าหญิงคนนี้ไม่ได้ดูอ่อนโยนเหมือนรูปลักษณ์ภายนอก นอกจากนี้นางยังมีนิสัยชอบปะทะกับจอมยุทธ์ทรงพลังเพื่อฝึกแมลงวิญญาณอีกด้วย


นอกเหนือจากจู้เยี่ยน จาโหลหลัวและคนอื่นๆ ที่อยู่อันดับต้นๆ คนที่เหลือส่วนใหญ่ถูกใช้ในการทดลองเพื่อฝึกแมลงวิญญาณหลังพบนางกันหมดแล้ว…


การต่อสู้กับแมลงโหดร้ายเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องดีงามอะไรเลย


ซูชิงหยิงหยุดมองหลิ่วกุยและคนอื่นๆ แวบหนึ่งก่อนที่จะหยุดจ้องมองฉินจิงเจ๋อพลางหัวเราะเสียงระรื่น “ฉินจิงเจ๋อ เจ้าอยู่ที่นี่ด้วยหรือ? ครั้งก่อนการประลองระหว่างเจ้ากับแมลงวิญญาณของข้ายังไม่ได้ผลลัพธ์เลยนะ”


เมื่อฉินจิงเจ๋อสังเกตเห็นสายตาซูชิงหยิงจ้องมองมาร่างกายก็แข็งเกร็ง ตอบด้วยสีหน้าแข็งกร้าว “ตอนนี้ข้าไม่มีเวลาเล่นกับเจ้า ไปหาคนอื่นเถอะ”


ซูชิงหยิงยิ้มหวานก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่มู่เฉิน


“เจ้าคือมู่เฉินที่เอาชนะเซี่ยหงด้วยขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าใช่ไหม?” ซูชิงหยิงถามอย่างสงสัย


ทุกคนพุ่งความสนใจไปมองมู่เฉิน โดยที่เจ้าตัวก็ไม่คิดว่าซูชิงหยิงจะหันมาพูดด้วยทันที เขาอึ้งไปก่อนจะตอบด้วยสีหน้าใจเย็น “ก็แค่โชคดี ไม่สมควรให้แม่นางซูสนใจ”


ตัดสินจากฉินจิงเจ๋อและการแสดงออกของคนอื่น ซูชิงหยิงดูเหมือนไม่ได้ง่ายต่อการจัดการ ดังนั้นมู่เฉินก็ไม่ต้องการไปเกี่ยวข้องอะไรกับนาง


“คิกๆ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์ลึกลับ ไม่รู้ว่าจะขอลองสักนิดได้ไหม?” ซูชิงหยิงยิ้มพราว


ทันทีที่พูดจบนางก็โบกมือ ทันใดนั้นลำแสงสีดำก็พุ่งออกมาขยายขนาดกลายเป็นแมลงวิญญาณที่มีขนาดสิบกว่าจั้ง


แมลงมีสีเทาขาวราวกับว่าทำจากหินพร้อมกับขาทั้งสี่ข้างและลวดลายนับไม่ถ้วนบนพื้นผิว เปล่งคลื่นทรงพลังออกมาอย่างคลุมเครือ


ตู้ม!


เมื่อแมลงสีเทาขาวปรากฏขึ้นก็พุ่งเข้าใส่มู่เฉิน จากนั้นก็เหวี่ยงขา ระลอกคลื่นที่มองเห็นด้วยตาเปล่าแผ่กระจายออกไป


การโจมตีของซูชิงหยิงรวดเร็วและมู่เฉินก็ไม่คิดว่านางจะซัดกันตรงๆ แบบนี้ ดังนั้นกว่าเขาจะตั้งตัวได้ แมลงวิญญาณก็เหวี่ยงขาเข้ามาแล้ว สีหน้าเขามืดครึ้มลงทันที


โฮก!


แสงสีทองพราวระยับระเบิดออกมาจากร่างมู่เฉิน ขณะที่เสียงมังกรและหงส์ฟ้าดังสะท้อนจากร่างกาย เขาชกหมัดออกไปโดยมีกรงเล็บมังกรปกคลุมกำปั้น


ครืน!


หมัดของมู่เฉินปะทะกับด้วงวิญญาณสี่ปีกจังใหญ่ ทำให้เกิดเสียงกัมปนาทกึกก้อง คลื่นกระแทกทรงพลังกวาดออก ทำให้เปลือกโลกโดยรอบยุบตัวลง


เมื่อระลอกคลื่นกระจายออกไป แมลงวิญญาณก็ส่งเสียงกรีดร้องแหลม ถูกหมัดส่งข้ามขอบฟ้าไป


โห่!


เสียงวุ่นวายดังก้องเมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ แมลงวิญญาณมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า แต่ไม่คิดว่ามันจะถูกซัดกระเด็นไปด้วยกระบวนท่าเดียว


ทีนี้ทุกคนก็จ้องมองมู่เฉินด้วยสีหน้าเคร่งขรึมลง ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ใช้โชคในการเอาชนะเซี่ยหง เขามีพลังมหาศาลอย่างแท้จริง


“น่าสนใจ”


แสงเปล่งประกายในดวงตาซูชิงหยิง จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ พลางโบกมือ แมลงน้ำแข็งสีฟ้าก็บินออกมา เปล่งรัศมีหนาวเหน็บทะยานเข้าหามู่เฉิน


แมลงตัวนี้ดูจะเป็นปัญหามากกว่าตัวก่อนหน้าเสียอีก


ฟู่! ฟู่!


แต่ขณะที่แมลงพุ่งเข้ามา ผลึกเพลิงใสก็กวาดออกล้อมร่างแมลงทันท่วงที เมื่อเพลิงแผดเผาก็ทำให้แมลงดิ้นรน ก่อนจะร่นถอยกลับไปไม่กล้าพุ่งมาข้างหน้าอีก


ที่ด้านข้างจิ่วโยวมองไปที่ซูชิงหยิงอย่างเย็นชา ผลึกเพลิงใสลุกโชนบนฝ่ามือ นางเค้นเสียงเย็น “โจมตีผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผล เจ้านี่ไร้มารยาทจริงๆ”


เห็นชัดว่าจิ่วโยวโกรธซูชิงหยิงที่เคลื่อนไหวไม่เกรงกลัว ดังนั้นนางจึงไม่มีความจำเป็นต้องไว้หน้า ซูชิงหยิงมีเฒ่าหมื่นแมลงให้ท้าย แต่จิ่วโยวก็มีเผ่าวิหคโลกันตร์เป็นภูมิหลังเช่นกัน


“คิกๆ”


สีหน้าของซูชิงหยิงไม่ได้เปลี่ยนเพราะคำพูดของจิ่วโยว นางยิ้มบางก่อนจะสะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง รัศมีร้ายกาจพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า


ทุกคนมองเห็นแมลงสีแดงเข้มบินออกมา


แมลงวิญญาณตัวนี้เหมือนตะขาบที่มีขานับพันไต่บนท้องฟ้า เมื่อปล่อยลมหายใจคลื่นหลิงขนาดใหญ่ก็พัดออกมาก่อร่างเป็นพายุ


เมื่อแมลงตัวนี้ปรากฏขึ้นก็ทำให้หลายคนสีหน้าเปลี่ยนไปพลางอุทานออกมา “นี่คือตะขาบโลหิต ว่ากันว่าแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดยังปวดหัวเมื่อเผชิญกับมัน”


ตู้ม!


ตะขาบโลหิตเคลื่อนผ่านอากาศตรงเข้าไปหาจิ่วโยวด้วยความเร็วที่น่ากลัว


เมื่อมู่เฉินเห็นว่าซูชิงหยิงยังไม่หยุดการกระทำ สีหน้าก็มืดครึ้มจนน่ากลัวพร้อมกับแสงเย็นวูบไหวในดวงตา แขนเสื้อสะบัดไปมาสัญลักษณ์หลิงยิ่งก็ควบแน่นเป็นสายผลึกอย่างรวดเร็ว


ถ้าต้องการปะทะกับคนอย่างซูชิงหยิง เขาก็ต้องใช้ค่ายกล


แต่ขณะที่มู่เฉินกำลังเตรียมสัญลักษณ์หลิงยิ่งเพื่อสร้างค่ายกล หลินจิ้งที่อยู่ข้างๆ ก็ก้าวออกไปพลางยิ้มให้กับตะขาบสีแดงก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ


แสงสีดำพุ่งออกมาขยายขนาดกลายเป็นร่างสีดำเมื่อม นี่ก็คือตุ๊กตาน้ำแข็งที่หลินจิ้งเคยใช้มาเมื่อก่อนหน้า


วาบ!


เมื่อตุ๊กตาน้ำแข็งปรากฏก็ฟันกระบี่ลงมา อากาศเย็นสุดขั้วพัดออกมาทำให้อุณหภูมิโดยรอบลดลงทันที


เมื่อซูชิงหยิงเห็นตุ๊กตาน้ำแข็ง ในที่สุดสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย


อากาศเย็นเยือกที่น่าสะพรึงกลัวม้วนตัวพุ่งเข้าใส่ตะขาบโลหิต ทันใดนั้นก็กัดกร่อน ทำให้ตะขาบร้องเสียงหลงขณะถอยกลับอย่างรวดเร็วพร้อมกับคลื่นหลิงที่ลดน้อยลง


ซูชิงหยิงสะบัดแขนเสื้อเก็บตะขาบโลหิตทันที ความเจ็บปวดวูบไหวในดวงตานาง


“คิกๆ พี่สาว ข้าค่อนข้างสนใจแมลงวิญญาณของเจ้า เจ้าเรียกออกมาทั้งหมดเลยไหม ให้ข้าเล่นหน่อยนะ?” หลินจิ้งยิ้มตาหยีขณะมองไปที่ซูชิงหยิงพูดเสียงหวาน


สายตานางวิบวับราวกับคาดหวังในแมลงวิญญาณของซูชิงหยิงจริงๆ


ทั่วบริเวณเงียบกริบ ทุกคนมองไปที่หลินจิ้งด้วยความตะลึงงัน เห็นได้ชัดพวกเขาไม่คิดว่าสาวงามคนนี้จะยากเกินหยั่งถึง


พวกเขารู้สึกถึงภัยคุกคามรุนแรงที่มาจากตุ๊กตาของนาง


ซูชิงหยิงหุบรอยยิ้ม มองดูตุ๊กตาน้ำแข็งที่ยืนจังก้าเบื้องหน้าหลินจิ้ง แววตานางเคร่งขรึมลงมาก นั่นเป็นเพราะนางรู้สึกได้ว่าตุ๊กตาตัวนั้นน่าจะมีพลังการต่อสู้ที่น่ากลัวในระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว


หากไม่หงายไพ่ทั้งหมดก็ยากที่นางจะเอาชนะ


“แม่นางนี้มาจากที่ไหนกัน…?”


สายตาของนางเปลี่ยนไป จากนั้นก็ยิ้มพลางโบกมือเรียกแมลงทั้งหมดกลับมา ก่อนที่แววตาจะอ่อนโยนลงขณะมองไปที่มู่เฉิน “ก่อนหน้านี้ชิงหยิงเสียมารยาท หวังว่าพี่มู่จะไม่โกรธเคืองกันนะ”


ตอนนี้นางรู้แล้วว่าพวกมู่เฉินไม่ง่ายอย่างที่คิด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เป็นการดีที่สุดที่จะไม่ทำให้พวกเขาโกรธเคือง


นางยิ้มลุแก่โทษ ทำให้หลายคนถึงกับแอบเดาะลิ้นขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาพิลึกพิลั่น เนื่องจากไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้ซูชิงหยิงจะยอมรับความผิด


มู่เฉินไม่พูดอะไรเพียงแต่ยิ้มตอบ


แม้ว่าเขาจะไม่ชอบพฤติกรรมของซูชิงหยิง แต่เขาก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับนาง แค่ต่างฝ่ายต่างตั้งระวังกันก็เพียงพอแล้ว


เมื่อทุกคนเห็นว่าทั้งสองฝ่ายถอยกลับไป พวกเขาก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเนื่องจากตอนแรกพวกเขาคิดว่าจะได้เห็นการต่อสู้น่าตื่นตา… แต่พวกมู่เฉินมีความสามารถที่ทำให้ซูชิงหยิงต้องเสียเปรียบไปเล็กน้อย


สายตาที่ตกใจนับไม่ถ้วนกวาดไปที่พวกมู่เฉิน ส่วนกลุ่มชายหนุ่มก็นิ่งเงียบลงมองไปที่ประตูมังกรนิ่ง


เมื่อเวลาผ่านไปก็มีผู้คนจำนวนมากขึ้นเร่งรุดมาที่นี่ จนสุดท้ายมีบางคนไม่สามารถอดกลั้นเริ่มเคลื่อนตัวไปยังประตูมังกรทะยานสวรรค์…


พวกมู่เฉินก็มุ่งความสนใจไปที่ประตูเช่นกัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)