หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1111-1112
บทที่ 1111 แอบสู้กันในอุโมงค์
ทันทีที่เข้าสู่อุโมงค์มิติ
พวกมู่เฉินก็รู้สึกเหมือนถูกกลืนกินโดยความมืดมิดที่รุนแรง ซึ่งทำให้เส้นขนทั่วสรรพางค์กายลุกชัน ราวกับพายุที่สร้างหายนะ ซึ่งประหนึ่งต้องการจะทำลายอุโมงค์ให้ราพณาสูร
พวกเขามองไปที่อุโมงค์อย่างกังวล หากอุโมงค์นี้พังทลายลงพวกเขาก็คงโบกมือลาโลกนี้แล้ว
แต่โชคดีที่อุโมงค์ค่อนข้างเสถียรเนื่องจากถูกสร้างขึ้นโดยจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนหลายคน แม้จะตะกุกตะกักแต่ก็ยังทรงตัวและไม่อับปางลง
พวกมู่เฉินรีบเคลื่อนไหวผ่านอุโมงค์ไปอย่างรวดเร็ว
มีรอยร้าวปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราว พวกเขาสามารถเห็นภาพดินแดนโบราณและขอบฟ้าอีกด้านหนึ่ง
มิตินี้ราวกับว่ามีการปิดผนึกพื้นที่ไว้ในนั้น
“ระวังด้วย” มู่เฉินมองทุกคนขณะที่เอ่ยเตือน
“เมื่อเราเข้าไปในวังสวรรค์บรรพกาล ทุกคนจงติดตามข้าให้ดี มิฉะนั้นข้าจะไม่สามารถดูแลทุกคนได้” ทันทีที่มู่เฉินพูดจบเสียงเย่อหยิ่งเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ซึ่งก็คือเฉวียนหมิงแห่งตำหนักสุดนภา
เขามองไปที่มู่เฉินโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ แต่ความหมายเบื้องหลังสายตาชัดเจน แพะแก่ตัวนี้กำลังบอกมู่เฉินว่าเขาเป็นหัวหน้ากลุ่มนะ
แม้ว่าคนอื่นๆ จะไม่พอใจกับความหยิ่งยโสของเฉวียนหมิง แต่เขาก็แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มและเป็นที่พึ่งพาได้มากกว่า
สำหรับมู่เฉินแม้ว่าจะมีชื่อเสียงในภูมิภาคทางเหนือ แต่เขาก็เป็นเพียงจอมยุทธ์หนุ่มขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า ดังนั้นจึงน่าจะยังอ่อนแอกว่าเฉวียนหมิง
เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้นในใจบางคนก็ขยับเข้าใกล้เฉวียนหมิงมากขึ้น
ใบหน้าของมู่เฉินกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้เมื่อเห็นภาพนี้ แพะแก่ตัวนี้โบราณคร่ำครึแท้จริง ช่างเป็นผู้นำที่เส็งเคร็ง เขาคิดว่าตนต้องการตำแหน่งนั้นจริงๆ หรือ?
มู่เฉินแลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยว นางยักไหล่ขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เผชิญหน้ากับตาแก่ดื้อรั้นและหยิ่งยโสก็ไม่มีอะไรจะพูด นอกจากนี้เฉวียนหมิงยังใช้อายุข่มได้ดี เขาไม่ได้มองพวกเขาในสายตาสักนิด
มู่เฉินเบ้ปากไม่คิดจะโต้เถียงกับชายชราในเรื่องที่น่าเบื่อเช่นนี้ เพราะยังไงหลังเข้าไปในวังสวรรค์บรรพกาล หากมีโอกาสเขาก็จะนำจิ่วโยวและหลินจิ้งออกจากกลุ่มนี้ไป
เมื่อเฉวียนหมิงเห็นมู่เฉินเงียบลงก็คิดว่าชายหนุ่มเห็นด้วย เขาจึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ผ่านสถานการณ์เล็กน้อยไปได้ คนทั้งกลุ่มก็ออกเดินทางอย่างรวดเร็ว เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็รู้สึกได้ว่ามาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
มู่เฉินกวาดสายตามอง จากนั้นดวงตาก็หดลง เนื่องจากเขาพบว่ามิติรอบตัวผันผวน มีอุโมงค์คล้ายกันกับของพวกเขาปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราวพร้อมกับคนอยู่ภายในนั้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขามาจากขั้วอำนาจอื่นที่มุ่งหน้ามายังวังสวรรค์บรรพกาลเช่นกัน
ในสถานการณ์ที่อุโมงค์ไขว้ทับกัน แต่ละฝ่ายต่างตั้งระวังรักษาระยะห่างจนกว่าจะออกห่างกันถึงจะรู้สึกโล่งใจได้
มู่เฉินมองอุโมงค์เหล่านั้นตัดเข้าด้วยกัน แต่ขณะที่รู้สึกโล่งใจทันใดนั้นเขาก็รู้สึกสั่นสะท้านลงไปที่กระดูกสันหลัง
เขารู้สึกได้ถึงสายตาอันตรายอย่างยิ่ง
เขาหันหน้าไปทางขวา ก็เห็นอุโมงค์หนึ่งที่มีเงาร่างสิบกว่าร่างอยู่ในนั้น
ท่ามกลางคนเหล่านั้นมู่เฉินเห็นคนรู้จัก องค์ชายสี่แห่งแคงว้นเซี่ย—เซี่ยหง!
เวลานี้อีกฝ่ายดูค่อนข้างน่าอนาถ แขนข้างหนึ่งกุด ใบหน้าซีดขาว เมื่อเขาเห็นมู่เฉินสายตาจึงเปลี่ยนไปเป็นน่ากลัวก่อนจะหันหัวไปพูดอะไรบางอย่างกับคนด้านข้าง
มู่เฉินเลื่อนสายตาไปที่คนข้างๆ เซี่ยหงก็หรี่ตาลงเล็กน้อย
นั่นเป็นชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีทองท่าทางสุขุมนุ่มลึก ทุกการเคลื่อนไหวและคำพูดที่เปล่งออกมาทำให้ผู้อื่นรู้สึกถูกกดขี่
เซี่ยหงถือได้ว่าเป็นชนชั้นสูงแล้ว แต่เขาดูหม่นหมองลงเมื่อเทียบกับชายด้านข้าง
สายตาอันตรายที่มู่เฉินรู้สึกก็มาจากบุคคลนั้น
“ศัตรูนี่เจอกันบ่อยจริงๆ” มู่เฉินขมวดคิ้ว ไม่คิดว่าจะได้พบกับพวกแคว้นเซี่ยก่อนที่จะเข้าไปในวังโบราณ นอกจากนี้หากเขาเดาไม่ผิด ชายคนนั้นน่าจะเป็นองค์ชายใหญ่เซี่ยหยู่อันดับสี่บนทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่
มู่เฉินมองไปที่ชายชุดคลุมสีทองก็เห็นว่าเมื่อฟังคำพูดของเซี่ยหงจบ เขาก็กวาดสายตาประหนึ่งจักรพรรดิสูงส่งโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ
เขาเหลือบไปที่มู่เฉินก่อนจะหลุบตาลงโดยไม่สนใจ ทว่าก็ยังคงพยักหน้าเบาๆ
การพยักหน้าของเขาไม่ได้พุ่งไปที่มู่เฉิน เพราะเมื่อเขาทำลงไป ชายสูงวัยสามคนก็เดินหน้าขึ้นมา ทั้งสามมีคลื่นหลิงทรงพลังผันผวนรอบตัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าเฉวียนหมิงเลยแม้แต่น้อย
ทั้งสามคนก้าวออกมาแล้วซัดกำปั้นออกไปโดยไม่ลังเล
ครืน!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกไปแล้วม้วนตัวพุ่งไปยังกลุ่มของมู่เฉิน เมื่อเห็นการกระทำนั่นก็บ่งบอกชัดว่าพวกเขาตั้งใจที่จะทำลายอุโมงค์เดินทางของพวกมู่เฉิน
“บ้าเอ้ย!”
“ไอ้สารเลว!”
เมื่อจอมยุทธ์ภูมิภาคทางเหนือเห็นภาพนี้ ใบหน้าก็เขียวคล้ำลงเนื่องจากไม่คิดว่าคนเหล่านั้นจะใจเหี้ยมขนาดนี้ สีหน้าเฉวียนหมิงก็ไม่น่าดู เขาวาดกระบวนท่าขึ้นอย่างรวดเร็ว คลื่นหลิงสีฟ้าน้ำแข็งหลั่งออกมารุนแรงกลายเป็นโล่ปกป้องอุโมงค์ไว้
เนื่องจากเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดคนเดียว คลื่นหลิงระดับขั้นเก้าทั่วไปจะถูกทำลายโดยพายุมิติรุนแรงทันทีที่ออกจากอุโมงค์
ตู้ม!
การโจมตีจากจอมยุทธ์สามคนซัดลงบนโล่หนักหน่วง คลื่นกระแทกป่าเถื่อนกวาดออกไปพร้อมกับเศษน้ำแข็งกระเซ็นไปทุกทิศทางก่อนที่โล่จะพังทลาย
เมื่อโล่แตกออกใบหน้าของเฉวียนหมิงก็เปลี่ยนไป เขาไม่สามารถต่อสู้กับจอมยุทธ์สามคนที่มีพลังเทียบเท่ากับตัวเองได้พร้อมกัน
โล่แตกสลาย คลื่นกระแทกก็ซัดเข้ามาพยายามโยกคลอนอุโมงค์ของพวกเขา
ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปด้วยความตื่นตระหนก หากมีอะไรเกิดขึ้นพวกเขาตายแน่นอน
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังตกใจ มู่เฉินก็ก้าวออกมาพร้อมสะบัดแขนเสื้อ สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนควบแน่นเป็นสายผนึกบินฉวัดเฉวียนออกมารวมเข้ากับมิติโดยรอบอุโมงค์กลายเป็นชั้นค่ายกล
ตอนที่เขาเห็นพวกแคว้นเซี่ย ก็เริ่มกลั่นสัญลักษณ์หลิงยิ่งเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ตอนนี้ใช้ได้พอดี
ปัง! ปัง!
แม้ว่าค่ายกลจะไม่ได้อยู่ในระดับสูงสุด แต่ก็เป็นในแง่ปริมาณมากกว่าคุณภาพซึ่งทั้งหมดใช้เพื่อการป้องกัน เมื่อรวมเข้าด้วยกันจำนวนมากก็กลายเป็นโล่ป้องกันชั้นดี
ดังนั้นหลังจากระลอกคลื่นเข้าทำลายค่ายกลไปสิบกว่าค่ายกล พลังงานที่เหลือก็สลายไป
เฮ้อ!
ทุกคนรู้สึกโล่งใจอย่างมากกับภาพเบื้องหน้า
เซี่ยหยู่รู้สึกได้ถึงความล้มเหลว เขาก็เงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจมองไปที่มู่เฉิน เขาไม่คิดว่าจอมยุทธ์ที่เกือบจะบรรลุขั้นเก้าจะสามารถรับการโจมตีจากขั้นเก้าระยะปลายสุดถึงสามคนได้
“หลิงเจิ้นซือเรอะ…”
เซี่ยหยู่พึมพำกับตัวเองก่อนจะเผยรอยยิ้มอ่อนให้มู่เฉิน จากนั้นก็ถ่ายทอดเสียงของตนเองผ่านอุโมงค์ทะลุเข้าโสตประสาทของพวกมู่เฉิน “พี่มู่ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ หากเราพบกันในวังสวรรค์บรรพกาล ข้าหวังว่าจะได้ลิ้มรสความแข็งแกร่งของเจ้า”
รอยยิ้มของเขาอ่อนโยนและเป็นมิตรราวกับว่าคำสั่งโจมตีชั่วร้ายเมื่อครู่ไม่เคยมีมาก่อน
มู่เฉินรักษาสีหน้าไว้โดยไม่ได้แสดงออกอะไร ชายคนนั้นอันตรายกว่าเซี่ยหงหลายเท่า ถ้าเซี่ยหงเป็นหมาป่าที่ดุร้าย เซี่ยหยู่ก็จะเป็นอสรพิษที่ไม่เผยอะไรง่ายๆ แต่ถ้าลงมือก็ถึงชีวิตทันที
ดูเหมือนว่าเขาจะต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นหากต้องเจอกัน
เมื่อเซี่ยหยู่พูดจบก็โบกแขนเสื้อพาพรรคพวกออกไปโดยมีเซี่ยหงท่าทางไม่พอใจติดตามไปอย่างรวดเร็ว หายไปจากครรลองสายตาในพริบตา
เซี่ยหยู่จากไปอย่างสง่างาม เพราะการไขว้กันของมิติแบบนี้มีเวลาช่วงสั้นๆ เท่านั้น เนื่องจากก่อนหน้าเขามั่นใจมากเกินไปจึงไม่ได้ขยับตัว แม้ว่าตอนนี้ต้องการที่จะจัดการเป็นการส่วนตัวแต่ก็สายเกินไป ดังนั้นเขาจึงจากไปอย่างเด็ดขาด
เมื่ออีกฝ่ายไปแล้วพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือก็สาปส่ง ก่อนจะประสานมือคารวะไปให้มู่เฉิน
“ถ้าไม่ใช่เพราะท่านเฉวียนหมิงทำให้การโจมตีของพวกมันอ่อนแอ ข้าก็คงสกัดไม่ได้เช่นกัน” มู่เฉินยิ้มบางตอบแทนความขอบคุณของพวกเขา
เมื่อเฉวียนหมิงได้ยินคำพูดนั่นก็อึ้งไปก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนไปอย่างไม่เป็นธรรมชาติ เห็นชัดว่าเขาไม่คิดที่มู่เฉินยกย่องตนเองเช่นนี้
“คลื่นลูกใหม่มาแทนคลื่นลูกเก่าจริงๆ ไม่คิดว่าจอมยุทธ์ชั้นสูงรุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือจะมาถึงระดับนี้” สายตาของเฉวียนหมิงดูอ่อนโยนมากขึ้น ความเย่อหยิ่งก็ลดลงไปหลายส่วน
นั่นเป็นเพราะเขารู้ชัดว่าแม้ตนจะทำให้การโจมตีของอีกฝ่ายอ่อนแอลง แต่คลื่นกระแทกก็ยังไม่สามารถประเมินได้ต่ำ กระทั่งว่าเขาเทหมดหน้าตักก็อาจเสียเปรียบเช่นกัน แต่ไม่คิดว่าจะถูกค่ายกลจำนวนมากที่มู่เฉินสร้างไว้ก่อนขัดขวางไว้
มู่เฉินยิ้มอย่างสุภาพ แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเฉวียนหมิงจะไม่มาก แต่พวกเขายืนอยู่บนเรือลำเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะทำให้ความสัมพันธ์ตึงเครียดเกินไป
“อีกไม่นานก็จะถึงจุดหมายแล้ว”
มู่เฉินมองไปที่เบื้องหน้าอุโมงค์ บริเวณนั้นความผันผวนเริ่มสงบลงแล้ว เขามองเห็นรัศมีสีขาวที่ปลายทาง
“จงระวังเมื่อเข้าไปในวังสวรรค์บรรพกาล”
ทุกคนพยักหน้า
ภายใต้การตั้งระวังของทุกคน เส้นทางอุโมงค์ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เกลียวแสงสีขาวพวยพุ่งเข้ามา ร่างพวกเขาก็เดินผ่านทาง
ทันใดนั้นสภาพแวดล้อมที่มืดมิดก็สว่างวาบ พวกเขาหรี่ตาลงก่อนที่ดวงตาพร่าจะกลับเป็นปกติแล้วกวาดสายตาไปรอบๆ
พวกเขายืนอยู่บนเนินเขา ทั้งภูมิภาคเงียบสงบโดยไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ แต่มีกลิ่นอายโบราณผันผวนระหว่างสวรรค์และโลก
มู่เฉินมองไปที่ฉากโบราณเบื้องหน้าก็ไม่สามารถหยุดอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในใจได้
ในที่สุดเขาก็เข้ามาในวังสวรรค์บรรพกาลได้แล้วเรอะ?
บทที่ 1112 ประตูมังกรทะยานสวรรค์
ภูมิภาคแห่งนี้เต็มไปด้วยอากาศแห้งแล้ง
ท้องฟ้ามืดครึ้ม มิติไม่มั่นคง โดยมีรอยแตกมิติปรากฏบนท้องฟ้าเป็นครั้งคราว
พวกมู่เฉินยืนอยู่บนเนินเขามองพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล
มิติทอดยาวออกไปไกลจากเนินเขาและสามารถมองเห็นภูเขาได้ในระยะไกลพร้อมกับตำหนักโบราณบางแห่งตั้งอยู่
เมื่อมองไกลออกไปอีกก็จะเห็นเกาะหินลอยรกร้างอยู่บนท้องฟ้า ทว่าสถานที่แห่งนั้นถูกทิ้งร้าง
มิตินี้ราวกับหลับไหลมานับหมื่นปี
มู่เฉินสูดหายใจเบาๆ แลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยวและหลินจิ้ง สีหน้าทั้งสามก็เคร่งเครียดลง นั่นเป็นเพราะพวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีที่หลงเหลืออยู่ระหว่างสวรรค์และโลก
รัศมีเหล่านั้นละเอียดอ่อนและยากที่จะตรวจจับมีเพียงผู้ที่มีประสาทสัมผัสเฉียบแหลมเท่านั้นที่สามารถรับรู้ได้อย่างคลุมเครือ แม้ว่ารัศมีเหล่านั้นจะเบาบาง แต่ก็ยังทำให้พวกเขารู้สึกกดดันจนบรรยายไม่ได้
สามารถจินตนาการได้ว่ามีจอมยุทธ์ทรงพลังกี่คนที่สามารถเคลื่อนภูเขาได้ด้วยความคิดครั้งเดียวอยู่ที่นี่ มากจนแม้แต่รัศมีที่หลงเหลืออยู่หลังจากผ่านไปหลายหมื่นปียังทำให้พวกเขารู้สึกกดดัน
“สมฐานะวังสวรรค์บรรพกาลแท้จริง”
มู่เฉินถอนหายใจในใจก่อนจะมองไปที่เฉวียนหมิงพลางยิ้มบาง “ไม่ทราบว่าใครมีข้อเสนอแนะบ้าง? ถ้าไม่มีเราเดินหน้าไปก่อนไหม? ตามการคาดการณ์ของข้า เราน่าจะอยู่ในชั้นนอกของวังสวรรค์บรรพกาล”
เฉวียนหมิงมีข้อมูลเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับวังสวรรค์บรรพกาล เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินคำถามของมู่เฉินก็รู้สึกอึดอัดเสไอแห้งๆ พลางพยักหน้า
คนอื่นๆ ก็ไม่มีการคัดค้านพยักหน้ารับกัน
เมื่อเห็นข้อตกลงนี้ มู่เฉินก็ไม่ได้พูดต่อกำหนดทิศทางคร่าวๆ จากนั้นก็เดินทางไปยังตำหนักที่อยู่ไกลออกไป
คนอื่นๆ ก็รีบตามมาที่ด้านหลัง
ระหว่างทางบนท้องฟ้าพวกมู่เฉินก็ก้มสำรวจไปรอบๆ ก่อนที่อากัปกิริยาจะสั่นสะท้าน พวกเขาเห็นเหวนรกมากมายบนพื้นดินซึ่งดูน่าหวดผวานัก
เหวนรกเหล่านั้นไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ แต่เกิดจากการสู้รบเขย่าโลกในสมัยโบราณ
บางช่วงพบเห็นซากปรักหักพังของเมืองเก่าแต่ทั้งหมดก็พังพินาศ ดังนั้นพวกมู่เฉินจึงไม่ได้ลงมาตรวจดูเมืองเหล่านั้น
เมื่อพวกมู่เฉินไปถึงจุดหมาย เวลาก็ผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วโมง ขณะที่พลิ้วตัวลงบนยอดเขาพวกเขาก็สังเกตเห็นเงาทอดลงบนยอดเขาอื่นๆ เช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าภาพเงาเหล่านั้นมาจากสำนักอื่น
แต่ไม่มีใครกล้าที่จะเคลื่อนไหวก่อนที่จะสอบสวนสถานการณ์อย่างละเอียด ดังนั้นทุกคนจึงต่างตั้งระวังจากที่ไกลขณะที่สำรวจไปรอบๆ
มู่เฉินถอนสายตามองไปที่ตำหนักพังทลาย เขามองเห็นโครงกระดูกบางส่วนเกลื่อนกลาดอยู่ด้านนอก พวกเขาทั้งหมดอยู่ในท่าทางมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาสามารถเห็นความน่ากลัวบนใบหน้าโครงกระดูกเหล่านั้นราวกับว่าเห็นบางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวหล่นลงมาจากท้องฟ้า
“นี่น่าจะเป็นกองกำลังป้องกันชั้นนอกของวังสวรรค์บรรพกาล”
มู่เฉินยืนอยู่บนพื้นเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ถ้าเขาเดาไม่ผิดเผ่าปีศาจน่าจะปรากฏตัวจากที่นี่และเริ่มการโจมตีเข้าไปในวังสวรรค์บรรพกาลและทวีปเทียนหลัว…
กองกำลังป้องกันชั้นนอกของวังสวรรค์บรรพกาลน่าจะถูกทำลายลงในทันทีจนถึงจุดที่ผู้พิทักษ์เหล่านั้นไม่สามารถหลบหลีกได้ก่อนจะจบชีวิตลง
มู่เฉินมองไปรอบๆ ก่อนจะย่อตัวลงเห็นริ้วแสงที่สะท้อนออกมาจากมือของโครงกระดูก เมื่อแกะมือออกก็เผยให้เห็นป้ายทองแดง
หยิบป้ายขึ้นมาก็เห็นรูปสลักโบราณหมาป่าสีฟ้าอมเขียวบนนั้น
“ป้ายหมาป่าเขียว?”
ขณะที่มู่เฉินพิจารณาอยู่ป้ายก็สลายกลายเป็นขี้เถ้าปลิวหายไป
มู่เฉินตกตะลึงเมื่อมองไปที่โครงกระดูกอื่นก็เห็นว่าถือป้ายทองแดงเช่นกัน แต่ภาพแกะสลักบนป้ายเป็นรูปหมาป่าสีขาว
“นี่น่าจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงฐานะตัวตน” จิ่วโยวพูดจากด้านข้าง
มู่เฉินพยักหน้า เห็นได้ว่าเจ้าของป้ายหมาป่าเขียวน่าจะแข็งแกร่งกว่าเจ้าของป้ายหมาป่าขาว
เนื่องจากเบาะแสมีจำกัด ทุกคนจึงตรวจดูแบบสั้นๆ ก่อนที่จะส่ายหัว แสดงว่าไม่ได้มีผลการเก็บเกี่ยวอะไรเช่นกัน
แต่มู่เฉินก็ไม่ได้ผิดหวังกับเรื่องนี้ เขาเงยหน้าขึ้นมองไปในระยะไกล “ดูเหมือนว่าเราเดินทางมาถูกทางแล้ว”
เขามองไปยังเทือกเขาที่ไม่เห็นจุดสิ้นสุด แต่สามารถมองเห็นภาพวังโบราณขนาดใหญ่อยู่ได้อย่างเลือนราง
“ไป”
มู่เฉินไม่ได้เสียเวลาในการตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาทันที เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่มาจากทิศทางนั้น
พวกเขาเพิ่มความเร็วทะยานผ่านเทือกเขา จากนั้นก็เริ่มเห็นเกาะหินลอยบนท้องฟ้าไกลโพ้น
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเข้าใกล้วังสวรรค์บรรพกาลแล้ว
ฟิ้ว!
พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่จะก้าวสู่พื้นที่บริเวณหนึ่ง มู่เฉินก็หดดวงตาพร้อมกับอาการสั่นสะท้านกระดูกสันหลัง เขาหยุดคำรามออกมาทันที “หยุด!”
จิ่วโยว หลินจิ้งและคนอื่นๆ หยุดลงทันที มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นคนหนึ่งตอบสนองได้ไม่ทันท่วงทีทะยานตัวเข้าไป
ปัง!
มือของมู่เฉินพุ่งออกไปราวกับสายฟ้าฟาด คว้าเข้าที่ไหล่ของจอมยุทธ์นั้นกระชากร่างอย่างแรง
จอมยุทธ์คนนั้นตัวแข็งทื่อ หยุดตัวลงมองไปข้างหน้าที่ห่างออกไปครึ่งชุ่นด้วยความกลัว ตรงนั้นมีเส้นสายคลื่นหลิงจำนวนมากอยู่ แม้จะเหมือนไม่เป็นจริง แต่ถ้ามองให้ละเอียดก็จะพบว่ามันปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า
เส้นนั้นไม่ได้ดูโดดเด่น แต่ไม่รู้ทำไมกลับทำให้ทุกคนสั่นเทิ้มในใจ ราวกับว่าพวกเขาจะถูกทำลายทันทีที่ได้สัมผัส
มู่เฉินดึงร่างจอมยุทธ์คนนั้นกลับมาก่อนที่จะครุ่นคิดสั้นๆ จากนั้นก็หยิบหอกซัดออกไป
ชี่!
ทันทีที่หอกสัมผัสกับเส้นเหล่านั้นก็ถูกหั่นออกเป็นหลายส่วนและสลายกลายเป็นจุดแสงหายไป
ซื้ด
ทุกคนสูดอากาศเย็นเข้าปอด เห็นได้ชัดว่าหอกนั้นเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นกลาง แต่ก็ถูกทำลายได้อย่างง่ายดาย
หากพวกเขาพุ่งเข้าใส่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็ไม่สามารถรอดพ้นจากความตายได้
“น่ากลัวจริงๆ…” หลินจิ้งอุทานด้วยความหวาดเกรง
ร่างจอมยุทธ์ที่ถูกช่วยไว้ร่างก็ปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็นขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยความรู้สึกขอบคุณในสายตา ถ้ามู่เฉินช้ากว่านี้ก้าวเดียว เขาก็คงเป็นเหมือนหอกที่สลายกลายเป็นอากาศธาตุ
“นี่เป็นค่ายกล…”
มู่เฉินมองไปที่เส้นผลึกทึบบนท้องฟ้าพลางพูดด้วยความอัศจรรย์ใจ
เพราะเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่คุ้นเคยซึ่งทำให้หนังศีรษะของตนเองถึงกับชาหนึบไปหมด
ค่ายกลนี้อยู่ในระดับจงซือเป็นอย่างน้อยแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ยังเดือดร้อนกับมัน
“ทำยังไงดี?” เฉวียนหมิงถามด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะมู่เฉินตอนนี้พวกเขาคงบาดเจ็บล้มตายกันแล้ว
“ค้นหาทางเข้า”
มู่เฉินพูดอย่างใจเย็น ตามการคาดการณ์ของเขานี่น่าจะเป็นค่ายกลป้องกันที่อยู่ชั้นนอกวัง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็น่าจะมีทางเข้าสำหรับสมาชิกอยู่
ทุกคนพยักหน้ามองไปที่ค่ายกลขนาดใหญ่ที่ดูไร้ขอบเขต หากหาทางเข้าไม่พบการเดินทางของพวกเขาก็ไปต่อไม่ได้แม้แต่ครึ่งก้าว
เมื่อมีเป้าหมายทุกคนจึงเริ่มค้นหาอย่างรอบคอบ
ขณะที่พวกเขาค้นหา สถานที่แห่งนี้ก็เริ่มเกิดความคึกคัก เสียงลมแหวดอากาศดังก้องขณะที่ร่างแสงหลายร่างเข้ามาใกล้
ทว่าเมื่อร่างแสงเหล่านั้นเข้ามา พวกเขาก็ส่งเสียงร้องโหยหวนเนื่องจากมีคนประมาทบางคนกระแทกเข้ากับค่ายกลจนสลายหายไป ทำให้เกิดเสียงกรีดร้องดังทั่วไปหมด
บริเวณนี้กลายความโกลาหลย่อมๆ แต่พวกเขาก็สังเกตเห็นบางอย่าง จึงถอยออกไปในทันทีไม่กล้าเข้าใกล้ค่ายกลและพยายามค้นหาทางเข้า
ด้วยผู้คนจำนวนมากที่ช่วยกันค้นหาในเวลาเดียวกัน พวกมู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งในหนึ่งชั่วโมงต่อมา พวกเขารีบพุ่งไปอย่างรวดเร็วจากนั้นก็พลิ้วตัวลงบนก้อนหินมหึมา
บริเวณนี้มีผู้คนมากมายมาออรวมกัน ชัดว่าต่างได้ยินเสียงความวุ่นวาย
ในเวลาเพียงสิบนาทีบริเวณนี้ก็เต็มไปด้วยจอมยุทธ์มากมาย
มู่เฉินกวาดสายตามองไป ดวงตาก็หดลงเล็กน้อย เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังหลายสาย ซึ่งแข็งแกร่งกว่าเซี่ยหงเลยทีเดียว
เห็นได้ชัดว่านี่ถือป็นการรวมตัวของจอมยุทธ์อัจฉริยะ
ขณะที่คิดสิ่งนี้ในใจ มู่เฉินก็มองขึ้นไปข้างหน้าเห็นประตูขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน ประตูนั้นเก่าแก่มีอักษรลวดลายลึกซึ้งนับไม่ถ้วนสลักอยู่ ตัวอักษรโบราณที่ไม่ชัดเจนสลักอยู่ด้านบน
“นั่นคือ…”
มู่เฉินมองไปที่ตัวอักษรโบราณก็หรี่ตาลง
ประตูมังกรทะยานสวรรค์?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น