หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1109-1110

 บทที่ 1109 ป้ายทางทหาร

“ข้าเป็นดอกไม้ดอกหนึ่งที่จักรพรรดิฟ้าปลูกไว้”


มู่เฉินมองไปที่รอยยิ้มของมั่นถัวหลัวก็ตัวแข็งทื่อขึ้นอย่างช้าๆ กับคำพูดของนาง ซึ่งดูตลกมาก


แน่นอนว่าไม่เพียงแต่ภายนอกเท่านั้น กระทั่งหัวใจของมู่เฉินก็กลิ้งเป็นลอนคลื่นขณะมองไปที่มั่นถัวหลัวด้วยความไม่เชื่อ แม้ว่าเขาจะงงงวยว่าทำไมมั่นถัวหลัวถึงรู้ข้อมูลของวังสวรรค์บรรพกาลมากนัก แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่านางจะเป็นดอกไม้ที่จักรพรรดิฟ้าปลูกไว้


ดอกไม้นี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน


“ยากที่จะเชื่อหรือ?” มั่นถัวหลัวยิ้มขณะที่ม่านตาสีทองคำมองไปที่วังโบราณที่ปรากฏเลือนรางก็พูดต่อ “ในอดีตความทรงจำของข้าถูกปิดกั้นไว้ แต่เมื่อเข้าใกล้วังสวรรค์บรรพกาลมากขึ้นความทรงจำก็เริ่มกลับมาและตอนนี้เกือบทั้งหมดได้รับการฟื้นฟู”


“แล้วร่างหลักของเจ้าคืออะไร?” หลังจากเงียบไปนานในที่สุดมู่เฉินก็หายจากอาการตื่นตะลึงขณะกลืนน้ำลายเอ่ยถามอย่างยากลำบาก


มั่นถัวหลัวมองมู่เฉินด้วยความลึกซึ้งในดวงตาพูดช้าๆ “เจ้าน่าจะคุ้นเคยกับมันดี ดูจากชื่อข้าเจ้ายังเดาไม่ได้อีกเหรอ?”


ซี้ด!


มู่เฉินสูดลมหายใจเย็นเข้าปอดอุทานออกมาด้วยความตกใจ “ร่างหลักของเจ้าคือดอกแมนดาลาโบราณ?!”


มีดอกไม้เทพในมหาพันภพที่ชื่อว่าแมนดาลา ซึ่งเป็นดอกไม้ที่วิเศษและมีสติปัญญาโดยกำเนิด หากเติบโตเต็มที่จะไม่ด้อยไปกว่าเทพอสูร บางทีอาจมีพลังมากกว่าในบางแง่มุม


เพียงแค่จำนวนดอกแมนดาลามีน้อยแสนน้อย ดังนั้นเมื่อปรากฏตัวก็จะดึงดูดความสนใจจากผู้คนนับไม่ถ้วน หากดอกไม้เหล่านี้ถูกนำกลับมาได้รับการเลี้ยงดูก็อาจจะเทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้เลย


ตอนนี้มู่เฉินเข้าใจแล้วว่าทำไมสายตาของมั่นถัวหลัวจึงดูแปลกๆ นั่นเป็นเพราะมีหน้ารายการนิรันดร์อยู่ในร่างกายของเขาซึ่งเป็นบันทึกทักษะการฝึกฝนร่างเทพสุริยะพร้อมกับลวดลายศักดิ์สิทธิ์ของดอกแมนดาลา


ในอดีตถ้าไม่ใช่เพราะลวดลายเหล่านั้น มู่เฉินคงถูกจิ่วโยวเขมือบไปแล้ว ร่างเขาจะถูกครอบครองโดยนาง


เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เขาก็มีความสัมพันธ์กับดอกแมนดาลาหลายส่วน


“ร่างนี้ของข้าเป็นดอกตูม เมื่อพิจารณาจากระดับหนึ่งข้าไม่ใช่ร่างดวงจิตอย่างที่เจ้าคิดไว้หรอก แต่ว่ามีอยู่จริง” มั่นถัวหลัวยิ้มขณะพูดต่อ “นี่คือส่วนที่น่าอัศจรรย์ของดอกแมนดาลาโบราณ ตราบใดที่ไม่ถูกทำลายจนหมดก็สามารถอยู่รอดได้ในอีกลักษณะอื่น”


มู่เฉินเดาะลิ้น แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ไม่สามารถบรรลุสิ่งนั้นได้


“แค่ร่างรองของเจ้าก็มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้ว แบบนี้ร่างหลักจะทรงพลังแค่ไหน?” มู่เฉินถามคำถามสำคัญทันที สำหรับมนุษย์ถ้าร่างดวงจิตอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ร่างจริงก็น่าจะอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนแล้วมั้ง!?


หรือว่าร่างหลักของมั่นถัวหลัวอยู่ในระดับเทียนจื้อจุน?


มั่นถัวหลัวรู้ว่ามู่เฉินกำลังคิดอะไรอยู่ก็ส่ายหัว “ที่จุดสูงสุดร่างหลักของข้าอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น แต่กาลเวลาที่ผ่านไปทำให้ร่างหลักข้าอ่อนแอลงแน่นอน ทว่าโชคดีที่ข้าไม่ได้ใช้เวลาหลายปีที่ผ่านมาอย่างไร้ประโยชน์ ดังนั้นก็น่าจะชดเชยความสูญเสียและรักษาขุมพลังไว้ได้”


“ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มเรอะ…” มู่เฉินถอนหายใจ แค่นั้นก็ทรงพลังในตัวเองมากพอแล้ว เพราะกระทั่งปัจจุบันจอมยุทธ์ระดับนี้ในทวีปเทียนหลัวก็มีน้อยยิ่ง


“ตอนนั้นที่ข้าเพิ่งแยกออกจากร่างหลักก็อยู่ในสภาพอ่อนแอมากบวกกับคำสาป ดังนั้นขุมพลังจึงอยู่ที่ระดับจื้อจุนขั้นห้าถึงขั้นหกเท่านั้น ข้าต้องขอบคุณเจ้า ถ้าไม่ใช่เจ้าตอนนี้ข้าก็ยังคงนิทราเพื่อระงับคำสาปในร่างกาย ไม่ต้องพูดถึงการบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ซึ่งถ้าข้าไม่สามารถมาถึงพลังระดับนี้ ข้าก็ไม่กล้ามานี่แม้ว่าวังสรรค์บรรพกาลจะปรากฏขึ้นก็ตาม” มั่นถัวหลัวมองไปที่มู่เฉินพร้อมกับความรู้สึกขอบคุณในสายตา


มู่เฉินเกาหัวแกรกกรากแก้เขิน เนื่องจากไม่รู้ว่าได้ช่วยเหลือมั่นถัวหลัวไว้มากแต่เมื่อคิดลึกซึ้งลงไปก็ถามว่า “ทำไมถึงไม่กล้ามา ถ้าไม่ได้อยู่ในระดับตี้จือจุนขั้นปลาย?”


เขาสัมผัสได้ถึงแรงกระเพื่อมในคำพูดของมั่นถัวหลัว


“เจ้าลืมศัตรูข้าไปแล้วหรือ?” มั่นถัวหลัวเอ่ยขึ้น


หัวใจมู่เฉินสั่นสะท้าน “เจ้าห่วงเรื่องลู่หยวนจากตำหนักเทพปีศาจเรอะ?”


เพราะเหตุนี้นี่เอง ลู่หยวนมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายหากมั่นถัวหลัวไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะเผชิญหน้าก็จะดึงดูดปัญหาอย่างแน่นอน


“เจ้านั่นเป็นใครกันแน่?” มู่เฉินพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ตามที่มั่นถัวหลัวเคยบอก นางและลู่หยวนมาจากวังสวรรค์บรรพกาล แล้วทำไมต่างฝ่ายถึงมองต่างคนเป็นศัตรูกันจนถึงขั้นสาปแช่ง?


มั่นถัวหลัวหรี่ตาลงพร้อมกับแววอันตรายวูบไหวตอบว่า “มันเป็นเจียวโลหิตโบราณที่เป็นพาหนะของจักรพรรดิฟ้า”


หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้านและตกตะลึง ลู่หยวนเป็นพาหนะจักรพรรดิฟ้ารึ?


แล้วทำไมมั่นถัวหลัวที่เป็นดอกไม้น้อยถึงได้สู้กับพาหนะจนไม่สนเรื่องความเป็นตายกันแล้ว?


มู่เฉินฉงนไปเลยทีเดียว ไม่ว่าจะยังไงทั้งคู่ก็มาจากวังสวรรค์บรรพกาลไม่ใช่เหรอ?


“ตอนที่จักรพรรดิฟ้าต่อสู้กับนักรบราชันปีศาจ สุดท้ายก็ได้ปิดผนึกสุสานจักรพรรดิฟ้าและวังทั้งหมดถูกทำลายล้างราบเรียบ ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจรายละเอียดแต่ตอนที่คืนสติวังก็ถูกทำลายไปแล้ว ซึ่งตอนนั้นข้ากับลู่หยวนเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหลือที่ยังมีสติปัญญาอยู่”


“แต่ตอนที่กำลังตรวจสอบวัง จู่ๆ ลู่หยวนก็โจมตีข้าด้วยคำสาปแช่ง ท้ายที่สุดข้าก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปิดผนึกตัวเองโดยให้ร่างรองหนีออกมา”


“ทำไมมันถึงทำอย่างนั้น?” สีหน้ามู่เฉินเปลี่ยนไป


มั่นถัวหลัวขมวดคิ้วตอบว่า “จอมพลทั้งหมดสิ้นชีพอยู่ในวังโบราณ หากมันได้รับสมบัติและมรดกจักรพรรดิฟ้าก็มีโอกาสที่จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน ข้าว่ามันคงต้องการครอบครองมรดกของวังสวรรค์บรรพกาลทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว”


มู่เฉินผงกศีรษะเนื่องจากประโยคนี่สมเหตุสมผลดี เพราะมรดกของวังสวรรค์บรรพกาลเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดอย่างยิ่ง ความทะเยอทะยานของลู่หยวนไม่น้อยจริงๆ


“ข้าจะพยายามช่วยเจ้าเก็บรายละเอียดระหว่างการเดินทางไปยังวังสวรรค์บรรพกาลครั้งนี้” มู่เฉินกล่าว ไม่ว่ามั่นถัวหลัวในปัจจุบันจะเป็นเพียงร่างรองหรือร่างหลักก็ไม่สำคัญ ถ้าเขาช่วยนางฟื้นร่างหลัก ความแข็งแกร่งของนางก็จะเป็นประโยชน์ต่อเขา


มั่นถัวหลัวพยักหน้า นางไม่แปลกใจกับคำพูดของมู่เฉิน เพราะยังไงก็รู้จักกันหลายปีแล้ว นางไว้วางใจเขามาก มิฉะนั้นนางคงไม่คิดบอกความลับนี้หรอก


“ใช่แล้ว… ช่วยข้าดูหน่อยว่านี่มาจากไหน” ทันใดนั้นมู่เฉินก็นึกถึงป้ายลึกลับที่ได้จากการประมูล เขาหยิบออกมาส่งให้มั่นถัวหลัว ไม่ว่ายังไงมั่นถัวหลัวก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของวังสวรรค์บรรพกาล ดังนั้นนางน่าจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้างล่ะมั้ง?


ม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวมองไปที่ป้ายลึกลับพร้อมกับความคิดวูบไหวในดวงตา จากนั้นครู่หนึ่งดวงตานางก็เปล่งประกาย


“เจ้ารู้สิ่งนี้หรือ?” เมื่อเห็นปฏิกิริยานาง มู่เฉินก็อึ้งไปพลางถามด้วยความดีใจ


มั่นถัวหลัวยังไม่ตอบอะไร นางหยิบป้ายดูปราดหนึ่งก่อนจะมองไปที่มู่เฉินด้วยแววตาประหลาด “เจ้าไปเอาสิ่งนี้มาจากไหน?”


“เพราะป้ายนี่แหละที่ทำให้เกิดเรื่องกับเซี่ยหงน่ะ” มู่เฉินกล่าว


“ต้องบอกว่าคุ้มค่ามาก” มั่นถัวหลัวพูดช้าๆ พูดต่อว่า “เจ้าโชคดีจนข้ายังอิจฉาเลย”


“แล้วนี่คืออะไร?” หัวใจของมู่เฉินสั่นไหวจากคำพูดของนาง รีบเอ่ยถาม


มั่นถัวหลัวลูบป้ายโบราณอยู่นานก่อนจะพูด “ถ้าข้าเดาไม่ผิด นี่น่าจะเป็นป้ายทางทหาร”


“ป้ายทางทหาร?” หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน


“พูดให้ถูกต้องก็คือป้ายบัญชาการกองทัพสังหารวิญญาณภายใต้สังกัดจอมพลสอง ซึ่งเป็นกองทัพชั้นยอดที่เคยสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนมาแล้ว” มั่นถัวหลัวกล่าว


“กองทัพสังหารวิญญาณ? เคยสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน?” หัวใจของมู่เฉินกระเด้งขึ้นเมื่อได้ยินจากนั้นความปีติดีใจก็ปะทุในดวงตา มิน่าล่ะเขาถึงสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่ถูกปกคลุมอย่างคุ้นเคย เมื่อสัมผัสให้ละเอียดก็จะพบว่านี่คือรัศมีจั้นยี่!


แต่ความสุขก็คงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่มู่เฉินจะขมวดคิ้วอีกครั้ง แม้ว่ากองทัพสังหารวิญญาณจะทรงพลัง แต่เวลาผ่านไปหลายหมื่นปีแล้ว ไม่ว่ากองทัพจะน่าเกรงขามขนาดไหน แต่ตอนนี้ก็อาจจะเป็นขี้เถ้า ดังนั้นจะใช้อะไรได้?


มั่นถัวหลัวรู้ว่ามู่เฉินกำลังคิดอะไรก็ไตร่ตรองชั่วครู่ “นั่นก็ไม่ถูกซะทีเดียว กองทัพวังสวรรค์บรรพกาลได้รับการฝึกฝนทักษะลับที่พิเศษ หลังจากการตายคลื่นหลิงของพวกเขาจะรวมเข้ากับร่างกายกลายเป็นนักรบหุ่นเงาที่ไม่มีสติปัญญาใดๆ หุ่นพวกนั้นฟังคำสั่งของผู้ที่ครอบครองป้ายบัญชาการเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาอาจจะยังดำรงอยู่ในหอสองก็ได้”


สายตาของมู่เฉินวูบไหวพลางพยักหน้า จำคำพูดของมั่นถัวหลัวไว้ในใจ ดูเหมือนว่าถ้าเขาสามารถไปที่หอสองได้ เขาก็ควรให้ความสนใจกับสิ่งนี้ ตราบใดที่เขาสามารถสั่งการกองทัพสังหารวิญญาณได้ แม้ว่าเขาจะเผชิญกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน เขาก็ยังมีพลังที่จะต่อสู้


พอนึกถึงเรื่องนี้หัวใจของมู่เฉินก็ค่อยๆ ลุกเป็นไฟ


“เมื่อไรเราจะเข้าไปได้?”


มั่นถัวหลัวเงยหน้าขึ้นมองไปยังมิติแตกร้าวก่อนจะยิ้ม “อีกห้าวัน มิติจะคงที่ขึ้นและเป็นเวลาที่จะส่งพวกเจ้าเข้าไป”


มู่เฉินพยักหน้ามองไปที่วังโบราณที่ปรากฏเลือนรางในมิติแตกร้าวด้วยสายตาเร่าร้อน


รอมาหลายปีในที่สุดวันนี้ก็มาถึง


บทที่ 1110 เข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล

เวลาผ่านไปดินแดนสุดขอบตะวันตกก็คึกคักมากขึ้น


แม้แต่สถานที่แห่งนี้ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองทัพพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือก็ยังมีขั้วอำนาจอื่นๆ เข้าใกล้ แต่เมื่อรู้สึกถึงการรวมตัวที่ยิ่งใหญ่พวกเขาก็เลือกที่จะหลีกเลี่ยงไป ท้ายที่สุดไม่มีใครอยากสร้างปัญหาในตอนนี้เพื่อที่จะไม่รุกรานศัตรูที่ทำให้ลำบากใจ


ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ห้าวันผ่านไปอย่างเงียบๆ


เมื่อวันที่ห้ามาถึงมู่เฉินที่กำลังฝึกฝนอยู่บนยอดเขาก็สัมผัสถึงบางอย่างจนลืมตาขึ้น เขายืนขึ้นมองไปในระยะไกล


มิติยังคงอยู่ในสภาพรุนแรง แต่ก็เริ่มสงบลงและส่วนแตกร้าวก็แสดงสัญญาณของการฟื้นฟู


มองจากระยะไกลดูเหมือนว่ามีมือขนาดใหญ่กำลังต่อพื้นที่เข้าด้วยกัน


“ฟ้าดินฟื้นฟูด้วยตัวเอง” เสียงของมั่นถัวหลัวดังก้องที่เบื้องหลัง นางยืนอยู่บนก้อนหินสีฟ้าอมเขียว สายลมที่พัดมาทำให้ชุดพลิ้วไหว ร่างเล็กดูราวกับกำลังจะถูกลมหอบออกไป


แต่มีเพียงคนที่รู้จักนางเท่านั้นที่รู้ว่ามีพลังงานที่น่ากลัวอยู่ในร่างเล็กจิ๋วนั่น


มู่เฉินพยักหน้า จากนั้นสายตาก็หดลงขณะมองไปรอบๆ เวลานี้เขารู้สึกได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวถูกปล่อยออกมาอย่างเงียบๆ จากใจกลางของดินแดนตะวันตกสุดขอบ


พวกเขาน่าจะเป็นผู้นำขั้วอำนาจต่างๆ ที่เฝ้าดูและรอโอกาสที่ดีที่สุด


ซึ่งโอกาสนั้นจะเกิดในวันนี้


ทุกคนจากภูมิภาคทางเหนือก็สามารถสัมผัสได้ถึงมิติที่สงบลง ทันใดนั้นความสุขก็กระจายบนใบหน้า


“ดูเหมือนว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะดำเนินการ” เสียงดังก้องจากด้านหลัง มู่เฉินเหลือบไปมองก็เห็นใบหน้าคุ้นเคยของคนที่พูด เขาก็คือประมุขตำหนักสุดนภา…หลิ่วเทียนเต้า


ตอนนั้นมีความเป็นศัตรูกันระหว่างเขากับตำหนักสุดนภา เพราะทั้งหลิ่วหมิงและหลิ่วเหยียนต่างพ่ายแพ้ในมือเขา


แต่พร้อมกับพลังที่เพิ่มขึ้นของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ตำหนักสุดนภาก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนเดิมอีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่หยิ่งยโสอย่างที่เป็นมา


ยิ่งไปกว่านั้นด้วยการรวมตัวกันของจอมยุทธ์ทั่วทวีปเทียนหลัว ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นของพวกเขาธรรมดามาก จึงต้องพึ่งพาพลังของมั่นถัวหลัว มิฉะนั้นจุดยืนของพวกเขาจะถูกยึดครองโดยผู้อื่นทันที


ขณะที่มู่เฉินกวาดสายตาไปที่หลิ่วเทียนเต้า อีกฝ่ายก็สีมผัสได้ การแสดงออกของเขาดูกระอักกระอ่วนไปเล็กน้อย ใบหน้าของเขากระตุกก่อนที่จะเลื่อนสายตาออกไป


“ข้าเชื่อว่าพวกเจ้ารู้ถึงสถานการณ์ของวังสวรรค์บรรพกาล ดังนั้นเราจะผนึกกำลังเพื่อสร้างอุโมงค์มิติเพื่อส่งผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าไป” มั่นถัวหลัวกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วพูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบา “ทว่าอุโมงค์มิติเช่นนี้ไม่สามารถให้คนผ่านไปได้มาก ดังนั้นจึงมีจำนวนจำกัด อาณาเขตกงเวทสวรรค์ต้องการสามที่”


พันธมิตรในปัจจุบันก่อตั้งขึ้นด้วยห้าขั้วอำนาจเกรียงไกรของภูมิภาคทางเหนือ จากการคาดการณ์น่าจะส่งคนเข้าไปได้เพียงสิบคนเท่านั้น ซึ่งสามที่ที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์เอาไปก็ชัดว่าไม่น้อยแล้ว


แต่พวกเขาก็ไม่มีความคิดคัดค้าน เนื่องจากพลังของมั่นถัวหลัวมีคุณสมบัติที่จะได้หลายที่


“มู่เฉิน จิ่วโยวและแม่นางหลินจิ้ง ข้ามอบสามที่ของสำนักให้พวกเจ้า” มั่นถัวหลัวหันไปมองทั้งสามคน


หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นตะลึงไป เพราะในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ซุ่ยนอนน่าจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากมั่นถัวหลัว ไม่คิดว่ามั่นถัวหลัวจะไม่เลือกเขา


เป็นเรื่องปกติสำหรับมู่เฉินและจิ่วโยว แต่หญิงสาวที่ชื่อหลินจิ้งเป็นใคร?


“ข้าด้วยเหรอ? ขอบคุณมากท่านประมุข!” หลินจิ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ มู่เฉินก็อึ้งไป จากนั้นก็หายจากตกใจพร้อมกับดวงตาเป็นประกายยิ้มแย้มแจ่มใส


“ข้าเชื่อว่าแม้จะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเรา เจ้าก็สามารถเข้าไปในวังสวรรค์บรรพกาลได้เอง ในเมื่อเป็นแบบนี้ทำไมข้าไม่ให้ความช่วยเหลือเจ้าซะเองล่ะ?” มั่นถัวหลัวยิ้มทันทีที่พูด


แม้ว่าหลินจิ้งจะไม่ใช่จอมยุท์ขมพลังตี้จื้อจุน แต่สัญชาตญาณบอกมั่นถัวหลัวว่ามิติรุนแรงนอกวังสวรรค์บรรพกาลหยุดยั้งแม่นางน้อยคนนี้ไม่ได้


หลินจิ้งหัวเราะเบาๆ กะพริบตาวิบวับ แต่ไม่ได้ตอบคำถามของมั่นถัวหลัว


ขณะที่หลินจิ้งและมั่นถัวหลัวสนทนากัน ขั้วอำนาจอื่นๆ ก็เลือกจอมยุทธ์เรียบร้อย ซึ่งล้วนเป็นผู้อาวุโสในสำนักที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า


คนที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นผู้อาวุโสจากตำหนักสุดนภาที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดและถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนที่จะเข้าไป


“ระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดเรอะ?” มู่เฉินประหลาดใจไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าตำหนักสุดนภาจะได้จอมยุทธ์ที่ทรงพลังเช่นนี้ในหนึ่งปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าพวกเขาจ่ายราคาไปมากเลยทีเดียว


“เขาคือเฉวียนหมิงเป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงระดับแนวหน้าของภูมิภาคทางเหนือ ซึ่งเป็นหมาป่าเดียวดายที่มีความภาคภูมิใจในตัวเองอย่างยิ่ง แต่ครั้งนี้ตำหนักสุดนภาจ่ายราคาสูงลิ่วจนเขายอมเข้าร่วมด้วย” จิ่วโยวพูดเบาๆ ที่ด้านข้างมู่เฉิน


มู่เฉินพยักหน้า


มั่นถัวหลัวมองไปยังทุกคน “ในการเดินทางเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาลทุกคนถือว่าเป็นสหายกัน ดังนั้นหากใครมีปัญหา ข้าก็หวังว่าพวกเจ้าจะช่วยกัน ในสถานที่นี้ถ้าใจไม่คิดช่วยกัน คงยากที่จะก้าวไปข้างหน้าได้”


มู่เฉินและคนอื่นๆ พยักหน้ารับทราบคำพูดของนาง


เฉวียนหมิงยกเปลือกตาขึ้นขณะที่กวาดสายตามองไปที่พวกมู่เฉิน “ท่านประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์โปรดวางใจชายชราคนนี้ ข้าจะดูแลเด็กๆ เอง”


แม้จะมีเสียงแหบแห้ง แต่เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยองซึ่งทำให้คนที่ถูกเลือกคนอื่นๆ เบ้ปาก ตาแก่นี่พยายามมากเกินไปที่จะแสดงตัว


มู่เฉินและจิ่วโยวยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ แต่ไม่ได้ว่าอะไร แม้ว่าชายชราจะดูหยิ่งยโส แต่ก็พูดด้วยเจตนาดีดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเคืองใจ


เมื่อเห็นดังนี้ มั่นถัวหลัวก็แค่ยิ้ม จากนั้นพยักหน้าเอ่ยขึ้น “ในเมื่อทุกคนเตรียมพร้อมแล้ว ก็ไปกันได้เลย”


“ไป!”


เมื่อพูดจบร่างนางก็กลายเป็นร่างแสงทะยานออกไป


ผู้นำคนอื่นๆ ตามไปอย่างใกล้ชิดโดยมีคนที่ถูกเลือกตามหลังมา


ขณะที่พวกมู่เฉินเคลื่อนพล คลื่นหลิงมหาศาลและทรงพลังอื่นๆ ก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้ฟ้าดินถึงกับสั่นสะเทือน


เห็นได้ชัดว่าผู้นำสำนักอื่นๆ ก็เคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน


ฟิ้ว!


ขณะที่พวกเขาเดินตามมั่นถัวหลัวลึกเข้าไปในดินแดนสุดขอบตะวันตก พวกเขาก็เริ่มสัมผัสได้ว่ามิติแตกร้าวน่ากลัวเพียงใด คลื่นพลังงานรุนแรงพัดออกมาทำให้ทุกคนรู้สึกว่าคลื่นหลิงกำลังจะถูกฉีกออกจากร่างกาย


“ช่างเป็นแรงฉีกมิติที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้…” สีหน้าของมู่เฉินกลายเป็นเคร่งเครียด นี่เป็นเพียงระลอกคลื่นถ้าพวกเขาอยู่ภายใน ร่างกายและคลื่นพลังงานของพวกเขาคงจะถูกแยกออกจากกันทันที


มู่เฉินเงยหน้าขึ้นก็เห็นมิติที่แตกร้าวในระยะไกล รอยแตกแผ่ซ่านออกมาราวกับมังกร ความผันผวนที่มาจากรอยแตกทำให้หนังหัวชาหนึบไปหมด


มั่นถัวหลัวและเหล่าประมุขหยุดอยู่ห่างจากรอยแตกหลายหมื่นจั้ง คลื่นหลิงไร้ขอบเขตของพวกเขาปะทุออกมาจากร่างซึ่งปกคลุมกลุ่มมู่เฉินปิดกั้นจากผลกระทบของพายุมิติ


ยืนอยู่ตรงหน้ารอยแตกขนาดใหญ่โดยมีความมืดมิดปกคลุมก็ดูราวกับหลุมเหวลึกดำ หากมองใกล้เข้าไปมากขึ้นก็จะตระหนักถึงวังโบราณที่เปล่งประกายความเก่าแก่และลึกลับ


นั่นก็คือทางเข้าของวังสวรรค์บรรพกาล


มั่นถัวหลัวเอี้ยวศีรษะแลกเปลี่ยนสายตากับประมุขคนอื่นๆ ก่อนที่จะออกกระบวนท่าในเวลาเดียวกัน แสงหลิงก่อตัวเป็นรูปธรรมกวาดออกจากร่างพวกเขาพุ่งไปที่รอยแตกสีดำ


ตู้ม! ตู้ม!


เมื่อลำแสงพุ่งออกไป เสียงกัมปนาทก็ดังกึกก้องทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือน อุโมงค์ความกว้างสิบกว่าจั้งค่อยๆ ถูกฉีกออก


เมื่อมองไปที่อุโมงค์ที่เปิดออกมู่เฉินก็แอบเดาะลิ้น คนเหล่านี้คู่ควรกับการเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนแท้จริง ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าราวกับหิ่งห้อยวูบไหวเบื้องหน้าดวงจันทร์เมื่อเทียบกับพลังหลิงขนาดใหญ่เหล่านั้น


“เข้าไป!” มั่นถัวหลัวส่งเสียงดังลั่น


มู่เฉินเงยหน้าขึ้นก็เห็นในดินแดนนี้มีลำแสงขนาดใหญ่จำนวนมากทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเปิดเส้นทางในเวลาเดียวกัน


ชัดว่าตอนนี้ขั้วอำนาจชั้นยอดในทวีปเทียนหลัวก็เลือกวิธีเดียวกันเพื่อฉีกเส้นทางเปิดกว้างส่งสมาชิกเข้าไปเป็นตัวเชื่อมกับวังโบราณ


สามารถจินตนาการได้ว่าการแข่งขันจะรุนแรงเพียงใดหลังจากจอมยุทธ์จำนวนมากเช่นนี้เข้าไป


ฮา


มู่เฉินหายใจเข้าลึก สายตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคมกริบ


“ไป!” เขาคำรามไม่ลังเลอีกต่อไป ร่างกลายเป็นร่างแสงทะยานเข้าไปในอุโมงค์


จิ่วโยว หลินจิ้งและคนที่เหลือก็ตามหลัง พวกเขาหายเข้าไปอย่างรวดเร็ว


เมื่อเข้าไปในอุโมงค์มิติ ไฟแห่งการต่อสู้ก็ลุกโชนในส่วนลึกดวงตาของมู่เฉิน


ร่างเทพสุริยะนิรันดร์


ข้ามาแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)