หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1107-1108
บทที่ 1107 ตำนาน
แสงกะพริบวิบวับต่อเนื่องบนม้วนหนัง
ข้อความปรากฏที่เบื้องหน้าสายตามู่เฉิน
“อันดับสองซูชิงหยิง ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด ศิษย์เอกผู้เฒ่าหมื่นแมลง สถานะหลิงฉงซือ”
แม้ว่าข้อมูลจะดูธรรมดา แต่หัวใจของมู่เฉินก็สั่นไหวเมื่อได้เห็น จอมยุทธ์อันดับสองบนทำเนียบเป็นหลิงฉงซือเหรอ?
ในมหาพันโลกมีเส้นทางฝึกฝนมากมาย ไม่มีใครสามารถอ้างสิทธิ์ได้ว่าใครแข็งแกร่งที่สุด เพราะเมื่อไปถึงจุดสูงสุดทุกเส้นทางก็สามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดของพีระมิดนี้ได้
เช่นหลิงเจิ้นซือ จั้นเจิ้นซือที่มู่เฉินฝึก รวมถึงหลิงฉงซือนี้ด้วย
มู่เฉินยังจำได้ว่าในอดีตเคยพบศพของหลิงฉงซือที่มณฑลเป่ยหลิงและได้รับขลุ่ยควบคุมแมลงซึ่งช่วยเขาไว้ได้มากในตอนนั้น ไม่คิดว่าสองสามปีต่อมาเขาจะได้พบกับหลิงฉงซือตัวจริง
ว่ากันว่าหลิงฉงซือสามารถเลี้ยงดูแมลงวิญญาณที่ทรงพลังได้ โดยที่แมลงทุกตัวจะดุร้ายมาก บางตัวอาจสามารถเทียบเคียงได้กับระดับตี้จื้อจุนเลยทีเดียว
หลิงฉงซืออาศัยแมลงวิญญาณในการต่อสู้ ซึ่งมีหลากหลายชนิดทำให้ยากที่จะป้องกันตัว
ทว่าจำนวนผู้ฝึกศาสตร์นี้มีน้อยมากจึงทำให้กลายเป็นศาสตร์ลึกลับแขนงหนึ่ง ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่มู่เฉินได้เห็นอะไรเกี่ยวกับหลิงฉงซือตัวจริง
“แต่จอมยุทธ์คนนี้เป็นศิษย์เอกของเฒ่าหมื่นแมลงเชียว…” เมื่อมู่เฉินเหลือบมองไปที่ชื่อนี้ สายตาก็เคร่งเครียดลง แม้แต่เขาที่อยู่แต่ในภูมิภาคทางเหนือมานานยังเคยได้ยินชื่อนี้
นี่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในทวีปเทียนหลัวที่ได้รับการพิจารณาว่าอยู่ด้านบนสุดของพีระมิดท่ามกลางจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ความจริงที่น่ากลัวที่สุดก็คือผู้เฒ่าหมื่นแมลงได้เลี้ยงดูแมลงเทพตัวหนึ่งที่ทรงพลังมาก กระทั่งสามารถต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย ดังนั้นแม้แต่ผู้นำขั้วอำนาจชั้นยอดอื่นๆ ในทวีปก็หวาดกลัวเขา เพราะถ้าต่อสู้กับเขาก็เทียบเท่ากับปะทะกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนถึงสองคน
ผู้เฒ่าหมื่นแมลงมีคุณสมบัติที่จะสร้างขั้วอำนาจของตัวเองด้วยพลังที่มี แต่เขาชอบความสันโดษและรับศิษย์เพียงไม่กี่คน เมื่อพิจารณาจากข้อมูลแล้วซูชิงหยิงคนนี้ดูเหมือนจะเก่งที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ของเขา
แม้ว่าซูชิงหยิงจะไม่มีสำนักสนับสนุน แต่เพียงผู้เฒ่าหมื่นแมลงคนเดียวผลักดันเบื้องหลังก็เกินกว่าอะไรแล้ว
“จอมยุทธ์ในทำเนียบไม่มีใครอ่อนแอเลยจริงๆ” มู่เฉินถอนหายใจวางเรื่องซูชิงหยิงไว้ในจุดสูงขึ้น คนที่สามารถเป็นศิษย์ของผู้เฒ่าหมื่นแมลงจะธรรมดาได้อย่างไร?
“แล้วใครเป็นอันดับหนึ่ง?”
แม้แต่คนอย่างซูชิงหยิงยังอยู่ในอันดับสอง ทำให้มู่เฉินยิ่งอยากรู้ถึงอันดับหนึ่งอย่างมาก เขาเลื่อนสายตาไปข้อความล่างสุด
“อันดับหนึ่ง จู้เยี่ยนประมุขน้อยเผ่าเทพอัคคี ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม ฝึกฝนร่างเทพอัคคีซึ่งอยู่ในอันดับสามสิบสี่หนึ่งในคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์ชั้นยอดของเผ่าเทพอัคคี หลายปีที่ท่องยุทธภพในทวีปเทียนหลัว ไม่เคยแพ้ใคร”
มู่เฉินมองไปที่ข้อความเหล่านั้นเป็นเวลานานก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่คิดว่าจอมยุท์อันดับหนึ่งจะเป็นประมุขน้อยของเผ่าเทพอัคคี ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงทรงพลังมาก
เผ่าเทพอัคคีเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ทรงพลังในมหาพันภพที่มีรากฐานที่ลึกซึ้งและมีผู้เชี่ยวชาญมากพอๆ กับกลุ่มเมฆบนท้องฟ้า ฐานกำลังเกินกว่าทุกขั้วอำนาจในทวีปเทียนหลัว
“ร่างเทพอัคคี…” มู่เฉินเม้มริมฝีปาก นี่อาจเป็นร่างเทห์สวรรค์สูงสุดที่เขาเคยเห็นมา จากการคาดการณ์ที่น่าตกใจหากร่างเทพสุริยะได้รับการจัดอันดับในทำเนียบคัมภีน์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง ก็น่าจะอยู่ในอันดับประมาณสามสิบซึ่งพอๆ กับร่างเทพอัคคีนี้
“ไม่คิดว่าประมุขน้อยเผ่าเทพอัคคีจะท่องยุทธ์และฝึกฝนในทวีปเทียนหลัว” จิ่วโยวถอนหายใจเช่นกัน จู้เยี่ยนทรงพลังอย่างแท้จริง
“จู้เยี่ยนเผ่าเทพอัคคีเหรอ?” หลินจิ้งเงยหน้าขึ้นถามด้วยความประหลาดใจ
“เจ้ารู้จักเขา?” เมื่อเห็นปฏิกิริยาของนาง มู่เฉินก็อึ้งไปเล็กน้อย
หลินจิ้งเบะปากขณะพูดต่อ “เผ่าเทพอัคคีเป็นศัตรูตัวฉกาจของเผ่าเทพน้ำแข็งซึ่งเป็นของท่านน้าปิงข้า ดังนั้นข้าจึงรู้บางอย่างเกี่ยวกับเขา แต่พูดให้ถูกต้องจู้เยี่ยนเป็นแค่หนึ่งในตัวสำรองที่จะเป็นประมุขน้อยไม่ใช่ตัวจริง ตอนนี้ที่ท่องยุทธภพก็คงเพราะต้องการบรรลุระดับตี้จื้อจุนเพื่อกลับไปแข่งขันที่เผ่า”
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ มีข่าวลือว่าเทพจักรพรรดิสงครามมีฮูหยินสองคน มารดาของหลินจิ้งเป็นหญิงสะคราญโฉมที่เขาเคยพบมาก่อน ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือประมุขเผ่าเทพน้ำแข็ง ท่านน่าปิงที่หลินจิ้งพูดถึง
“เผ่าเทพอัคคีมีความสามารถค่อนข้างมากแต่นั่นก็เท่านั้น ไม่งั้นในอดีตพวกเขาคงไม่แพ้จนสูญเสียเพลิงจักรพรรดิในการเดิมพันกับเทพจักรพรรดิอัคคี แม้แต่ผู้อาวุโสที่เข้าฌาณก็ยังไม่สามารถหยุดเทพจักรพรรดิอัคคีได้” หลินจิ้งอธิบาย ในฐานะที่นางเป็นอยู่ นางจึงไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับเผ่าเทพอัคคีมากนัก
“เจ้ากำลังพูดถึงเทพจักรพรรดิอัคคีแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่วใช่ไหม?” หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน เซียวเซียวที่เขาเคยพบมาก่อนในมิติหลงเฟิ่งเป็นธิดาของเทพจักรพรรดิอัคคี
“ใช่แล้ว” หลินจิ้งพยักหน้าพูดต่อด้วยความสดใส “เทพจักรพรรดิอัคคีน่าเกรงขามจริงๆ แม้แต่ท่านพ่อข้าก็ประเมินว่าเขาไม่สามารถหยั่งรู้ได้”
“พวกเขาเคยต่อสู้กันมาก่อนเหรอ?” มู่เฉินถามอย่างสงสัย เทพจักรพรรดิสงครามและเทพจักรพรรดิอัคคีเป็นจอมยุทธ์ที่อยู่บนสุดของพีระมิดแห่งมหาพันภพ ทั้งสองคนมาจากพิภพเขตล่าง แต่ประสบความสำเร็จที่ทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในมหาพันภพยังต้องอับอาย
ไม่มีใครรู้ว่ายอดยุทธ์ทั้งสองใครทรงพลังมากกว่ากัน
หลินจิงยักไหล่ “ตามที่ฟังมาจากท่านพ่อในบางครั้งนะ พวกเขาน่าจะเคยสู้กัน แต่ไม่ได้บอกว่าใครเหนือกว่ากัน ยิ่งไปกว่านั้นแคว้นหวูตั้งอยู่ทางชายแดนใต้สุด ส่วนแคว้นหวู่จิ้งฮั่วตั้งอยู่ชายแดนเหนือสุด เนื่องจากสถานที่ตั้งทั้งสองมีความสำคัญอย่างยิ่ง ปกติท่านพ่อข้าและเทพจักรพรรดิอัคคีไม่สามารถออกจากแคว้นไปได้ง่ายๆ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีโอกาสที่จะต่อสู้กันเท่าไร”
“ทำไมล่ะ?” มู่เฉินถามด้วยความสงสัย
หลินจิ้งเหลือบมองมู่เฉินตอบว่า “เป็นเพราะที่นั่นเป็นชายแดนติดกับจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ”
หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้านก่อนที่สีหน้าจะกลายเป็นเคร่งขรึมจากนั้นจึงตระหนักว่าทำไมเทพจักรพรรดิทั้งสองจึงตัดสินใจที่จะไม่สร้างฐานมั่นที่ใจกลางมหาพันภพ ที่แท้พวกเขามีความตั้งใจที่จะทำหน้าที่เป็นปราการป้องกันการรุกรานของจักรวรรดิปีศาจ
“พิภพเขตล่างที่ท่านพ่อข้าถือกำเนิดถูกรุกรานโดยเผ่าปีศาจหนึ่งเมื่อในอดีต เพื่อช่วยท่านพ่อ ท่านน้าปิงจุดชนวนเผาตัวเองช่วยให้ท่านพ่อเอาชนะเผ่าปีศาจได้ หลังจากที่พวกท่านมาถึงมหาพันภพ ท่านพ่อก็ใช้พิภพเขตล่างเป็นรากฐานในการสร้างแคว้นหวูและปกป้องบ้านไว้ในเวลาเดียวกัน เขาพยายามหยุดการรุกรานของเผ่าปีศาจด้วยเหตุนี้ จึงสร้างปราการกั้นระหว่างจักรวรรดิปีศาจและมหาพันภพ” หลินจิ้งอธิบาย
“เทพจักรพรรดิสงครามสุดยอดจริงๆ” มู่เฉินอดถอนหายใจไม่ได้ แม้ว่าเขาจะเคยได้ยินข้อมูลบางอย่างมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดมากเท่ากับตอนที่หลินจิ้งเล่า ซึ่งทำให้หัวใจของเขาสั่นสะเทือนมากยิ่งขึ้น
ศึกกับเผ่าปีศาจเป็นอะไรที่ทำให้เกิดสงครามทุกหัวระแหงและเกิดการเสียสละมากมายนับไม่ถ้วนเพื่อรักษาโลกของเรา ทว่าเทพจักรพรรดิสงครามกลับสามารถเอาชนะเผ่าปีศาจได้ขณะที่อยู่ในพิภพเขตล่าง จากนั้นก็ทะลุผ่านระนาบมิติเดินทางมายังมหาพันภพ ความสำเร็จของเขาถือได้ว่าเป็นตำนาน
“แน่นอนสิ” หลินจิ้งกล่าวอย่างภาคภูมิใจ ชัดว่านางเคารพนับถือต่อบิดาอย่างมาก
มู่เฉินยิ้มบาง บิดาเช่นนี้ก็สมควรที่หลินจิ้งจะภูมิใจ ที่พวกเขาสามารถฝึกฝนได้อย่างสงบในมหาพันภพก็ต้องขอบคุณยอดยุทธ์อย่างเทพจักรพรรดิสงครามและเทพจักรพรรดิอัคคีที่ดูแลชายแดน ทำให้เผ่าปีศาจต่างๆ อยู่ในสายตาพวกเขาตลอดเวลา
แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มู่เฉินรู้สึกเคารพ
นอกจากนี้ข้อมูลที่หลินจิ้งให้เพิ่ม มู่เฉินก็สามารถเข้าใจได้อย่างคลุมเครือว่ายอดยุทธ์ในมหาพันภพทั้งหลายรวมตัวกันเป็นเกราะป้องกันทรงพลัง เหมือนกับเทพจักรพรรดิทั้งสอง
ทว่าข้อมูลเหล่านั้นเป็นความลับสุดยอดที่แม้แต่จอมยุทธ์ทั่วไปก็ไม่สามารถรู้ได้ กระทั่งมู่เฉินก็ยังไม่มีคุณสมบัตินั้นในตอนนี้
แต่เขาเชื่อว่าวันหนึ่งจะสามารถสัมผัสไปถึงขั้นนั้นได้ อย่างไรก็ตามเขาต้องการเวลา
มู่เฉินหายใจเข้าลึกระงับความคิดพลุ่งพล่านก่อนที่จะละสายตาจากม้วนหนัง หากเขาต้องการที่จะเดินบนเส้นทางของยอดยุทธ์ เขาก็ต้องได้รับวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะให้ได้
เขาลูบไล้ม้วนหนังหยาบกร้านไล่มองชื่อจอมยุทธ์ที่อยู่จุดสูงสุดของทวีปเทียนหลัวพลางแตะนิ้วเบาๆ
เส้นทางของยอดยุทธ์ต้องก้าวข้ามคู่แข่ง ในอดีตเขาเอาชนะอุปสรรคที่เผชิญโดยไม่พ่ายแพ้และครั้งนี้ก็เช่นกัน
มู่เฉินหลุบตาลงส่วนลึกของดวงตาลุกโชนด้วยไฟแห่งการต่อสู้
ให้โลกได้รู้กันว่าจอมยุทธ์อย่างข้าที่เดินทางจากมณฑลเป่ยหลิง สำนักศึกษาเป่ยชางจนเข้าสู่อาณาเขตกงเวทสวรรค์จะมีคุณสมบัติต่อสู้กับพวกเจ้าหรือไม่
บทที่ 1108 ดอกไม้ดอกหนึ่ง
เมื่อเวลาผ่านไป
ดินแดนสุดขอบตะวันตกของทวีปเทียนหลัวก็คึกคักยิ่งขึ้น ทุกเมืองที่อยู่รอบดินแดนอัดแน่นไปด้วยผู้คนที่มาจากขั้วอำนาจต่างๆ บางครั้งเห็นกระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่ปกติพบตัวได้ยาก ซึ่งดึงดูดความสนใจจากผู้คนอย่างมาก
ภายใต้บรรยากาศนี้ มู่เฉินก็ได้รับข่าวว่ากองพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือออกเดินทางมาถึงแล้ว
กองพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือไม่ได้มาที่เมืองซี แต่มุ่งหน้าไปทางสุดขอบตะวันตกซึ่งเป็นสถานที่ที่วังสวรรค์บรรพกาลปรากฏขึ้น
ว่ากันว่าตอนนี้ขั้วอำนาจชั้นนำทั้งหมดได้กระจายตัวอยู่ในพื้นที่โดยรอบแล้ว
ดังนั้นเมื่อมู่เฉินได้ข่าวก็ออกเดินทางพร้อมกับพรรคพวกเพื่อไปรวมกลุ่มกับกองทัพพันธมิตร หลินจิ้งก็ติดตามมาด้วย เนื่องจากนางชอบสถานที่คึกคัก ยิ่งวังสวรรค์บรรพกาลใกล้จะเปิดออก นางก็ไม่คิดจะพลาดโอกาสนี้
เมื่อกลุ่มของมู่เฉินมาถึง เวลาก็ผ่านไปครึ่งวันแล้ว ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงไปครึ่งหนึ่ง แสงส่องไปที่ภูเขารกร้างที่กองทัพพันธมิตรตั้งอยู่
เมื่อพวกมู่เฉินเข้ามาใกล้ก็สังเกตเห็นสายตาแหลมคมสิบกว่าคู่ก็พุ่งตรงมาจากหน่วยสอดแนมที่อยู่ใกล้ๆ พวกเขาทั้งหมดมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดและแปดเลยทีเดียว
รู้สึกถึงการจ้องมองเหล่านั้น มู่เฉินก็ประหลาดใจไปเล็กน้อย ดูเหมือนพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือจะส่งจอมยุทธ์ชั้นสูงออกมาทั้งหมดแล้ว
จอมยุทธ์ชั้นสูงเหล่านั้นชัดว่าจำมู่เฉินได้ ดังนั้นจึงละสายตาปล่อยให้พวกเขาขึ้นไปบนยอดเขาโดดเดี่ยว
มู่เฉินเห็นร่างเล็กของมั่นถัวหลัวที่ยอดเขา ดูเหมือนว่านางจะสัมผัสได้ถึงเขานานแล้ว ดังนั้นจึงรอเขาอยู่ที่นี่
“ไม่คิดว่าเพียงไม่กี่วันชื่อของเจ้าจะกระจายไปทั่วทวีปเทียนหลัว” เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นมู่เฉิน ก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ
ท่าทางนางจะได้ยินข่าวการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินและเซี่ยหงแล้ว
“กลัวว่าแคว้นเซี่ยจะไม่พอใจที่ข้าทำร้ายเซี่ยหงจนเจ็บหนัก” มู่เฉินเบ้ริมฝีปากออก
“ช่างมันเถอะ ถ้าฮ่องเต้เซี่ยกล้าก็มาที่อาณากงเวทสวรรค์ของข้าได้เลย” มั่นถัวหลัวไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้เพราะด้วยพลังในปัจจุบันนางไม่กลัวฮ่องเต้เซี่ยสักนิด
“แต่ด้วยสถานะของฮ่องเต้เซี่ย เขาอาจจะไม่ทำอะไรเจ้า แต่องค์ชายใหญ่ไม่ใช่คนที่ต่อกรได้ง่ายๆ ดังนั้นเจ้าต้องระวังถ้าพบเขา” มั่นถัวหลัวเอ่ยเตือน หากฮ่องเต้เซี่ยไม่ทำอะไรกับมู่เฉิน นางก็ไม่มีเหตุที่จะทำต่อเซี่ยหยู่ หากนางเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ของเด็กรุ่นใหม่ก็จะไปเปลี่ยนบางอย่างได้
“ตราบใดที่องค์ชายใหญ่ยังไม่บรรลุระดับตี้จื้อจุน ข้าก็ไม่กลัวเขา” มู่เฉินยิ้มเอ่ยคำพูดมั่นใจ แม้ว่าตอนนี้เขามีขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า ส่วนองค์ชายใหญ่อาจอยู่ในขั้นเก้าระยะเต็ม ทว่าหากพวกเขาปะทะกัน เซี่ยหยู่ก็ใช่ว่าจะได้เปรียบ
“ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะมากันเยอะนะ?” มู่เฉินมองไปที่ยอดเขาก็เห็นกระโจมกลุ่มหนึ่ง ความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่ากลัวถูกปล่อยออกมา ทำให้มิติสั่นสะเทือน
มั่นถัวหลัวพยักหน้า “นอกจากข้าก็ยังมีระดับตี้จื้อจุนระยะต้นอีกห้าคน”
มู่เฉินแอบเดาะลิ้น ด้วยจำนวนดังกล่าวบอกได้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งหมดในภูมิภาคทางเหนือมาอยู่ที่นี่ ดูเหมือนว่าแต่ละขั้วอำนาจจะถูกล่อลวงหนักจากวังสวรรค์บรรพกาล
หากพวกเขารวมตัวกันรูปแบบนี้ อาจจะเผชิญหน้ากับขั้วอำนาจระดับสูงของทวีปเทียนหลัวได้ แม้แต่แคว้นเซี่ยก็ไม่มีจอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายหนึ่งกับกับขั้นต้นห้าคนหรอก
ทว่าสิ่งเดียวที่น่าเสียดายคือการรวมตัวนี้ไม่ได้เป็นของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดังนั้นพลังในการต่อสู้จะลดลงเนื่องจากทุกคนมีความคิดของตัวเอง แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็จะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเมื่อเผชิญกับความท้าทายจากภายนอกซึ่งทำให้ได้ประโยชน์ไม่น้อย
“ใช่แล้ว นี่คือเพื่อนข้า—หลินจิ้ง”
มู่เฉินแนะนำหลินจิ้งที่ยืนอยู่ข้างหลังให้มั่วถัวหลัวรู้จัก
ที่จริงมั่นถัวหลัวสังเกตเห็นหลินจิงตั้งแต่ต้น แต่สิ่งที่ทำให้นางตกใจอยู่บ้างก็คือตอนนางตรวจสอบคลื่นหลิงของอีกฝ่ายก็สัมผัสได้ถึงแรงปฏิเสธ แรงบนพื้นผิวหน้าคลุมเครือมาก แต่ก็ทำให้นางรู้สึกกดดันเล็กน้อย
จะต้องมีตราประทับโดยผู้เชี่ยวชาญทรงพลังสถิตในร่างนางเพื่อปกป้อง
มั่นถัวหลัวพยักหน้าให้หลินจิ้งก่อนที่ม่านตาสีทองคำจะกะพริบ ดูเหมือนว่าเบื้องหลังของหญิงสาวคนนี้จะไม่ธรรมดา ตราประทับนั้นเป็นสิ่งที่มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้นที่สามารถทำได้
หลินจิ้งหัวเราะเบาๆ พลางทักทายมั่นถัวหลัว นอกจากนี้นางยังมองอีกฝ่ายด้วยความอยากรู้เนื่องจากนางไม่คิดว่าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเป็นสาวน้อยน่ารัก
“เราจะเข้าไปในวังสวรรค์บรรพกาลได้เมื่อไร?” มู่เฉินถาม ในเมื่อผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันพวกเขาก็ควรหาวิธีเข้าไปในวังโบราณ
มั่นถัวหลัวส่ายหัวพามู่เฉินไปที่ชายขอบภูเขานชี้ไปที่ไกล
เมื่อมองไปในทิศทางนั้นสีหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นดินแดนรกร้างไร้ขอบเขตอยู่เบื้องหลังภูเขา แต่ห้วงมิติในส่วนลึกถูกทำลายลงพร้อมกับสะเก็ดมิติบินว่อน สะเก็ดมีความแหลมคมมาก ใครก็ตามที่อยู่ภายใต้ระดับตี้จื้อจุนอาจถูกผ่าออกเป็นสองท่อนทันทีที่สัมผัสกับพวกมัน
ช่างเหมือนกับสัตว์อสูรดึกดำบรรพ์เกรี้ยวกราดที่ต้องการจะกัดกินทุกคนที่เข้าใกล้
มู่เฉินสามารถมองเห็นตำหนักโบราณในมิติแตกสลายได้อย่างคลุมเครือ แฝงด้วยกลิ่นอายลึกลับและอ้างว้าง
“ตอนนี้ดินแดนรกร้างนั้นเป็นเส้นแบ่ง โดยรอบเต็มไปด้วยขั้วอำนาจชั้นยอด แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไป” มั่นถัวหลัวมองไปที่มิติที่แปรปรวน
“ทำไม?” มู่เฉินประหลาดใจ บางทีชิ้นส่วนมิติเหล่านั้นอาจเป็นอันตรายต่อคนอย่างพวกเขาที่ไม่ได้ก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุน แต่ด้วยพลังของมั่นถัวหลัวและคนอื่นน่าจะเข้าไปได้ไม่ใช่เหรอ?
“มิติตรงนั้นกำลังจะแตกสลายโดยวังสวรรค์บรรพกาล ดังนั้นเมื่อจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก้าวเข้าไปก็จะเกินขีดจำกัด มิติจะแตกออกทันที พลังทำลายล้างเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายยังไม่อาจทนได้ ถ้าโชคร้ายอาจติดแหง็กในนั้นหลงทิศทางในความปั่นป่วนของมิติ คนโชคดีอาจได้พบกับพิภพเขตล่างรอดชีวิตไปได้ แต่คนโชคร้ายตายคาที่แน่นอน” มั่นถัวหลัวพูดด้วยสีหน้าหนักใจ
เมื่อมู่เฉินได้ยินก็แอบเดาะลิ้น กลายเป็นว่าสถานที่แห่งนี้อันตราย แต่ก็ดูค่อนข้างคล้ายกับดินแดนเสินโซ่ ซึ่งไม่อนุญาตให้จอมยุทธ์ทรงพลังเข้าไปได้
“งั้นตอนนี้”
“มีสถานที่แห่งเดียวในวังสวรรค์บรรพกาลที่สามารถให้จอมยุท์ขุมพลังตี้จื้อจุนเข้าไปได้ นอกจากนี้ยังไม่ทำให้มิติแตกสลายด้วย” มั่นถัวหลัวพูดต่ออย่างช้าๆ
“ที่ไหน?” มู่เฉินอึ้งไป
“สุ-สาน-จักรพรรดิ-ฟ้า” มั่นถัวหลัวพูดย้ำทีละคำ
เมื่อได้ยินมู่เฉินก็ตกใจ เขาสามารถเดาได้จากคำพูด “สถานที่ที่จักรพรรดิฟ้าละสังขารรึ?”
มั่นถัวหลัวพยักหน้า “สุสานจักรพรรดิฟ้าสร้างขึ้นโดยท่านจักรพรรดิเอง ที่นั่นราวกับเป็นอีกโลกหนึ่ง ถ้าจักรพรรดิฟ้าละสังขารก็จะต้องอยู่ที่นั่นแน่นอน”
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย สิ่งที่สามารถล่อลวงพวกเขาได้อาจไม่ใช่อาวุธมหสวรรค์ทรงพลัง แต่เป็นวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานที่จักรพรรดิฝึกฝน…วิชาสามพิสุทธิ์
ซึ่งชัดว่าหากต้องการรับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดก็ต้องลองเสี่ยงโชคในสุสานจักรพรรดิฟ้าเท่านั้น
“ดังนั้นตอนนี้วิธีที่เป็นไปได้มากที่สุดคือให้จอมยุทธ์ทรงพลังเปิดเส้นทางชั่วคราว ส่งคนที่ทนได้เข้าไปข้างใน” มั่นถัวหลัวจ้องไปที่มู่เฉินขณะพูดต่อ “อย่างเจ้า หากเจ้าสามารถไปถึงสุสานจักรพรรดิฟ้าก็ทำลายสิ่งนี้ซะ เราก็จะสามารถใช้เป็นจุดระบุตำแหน่งเพื่อฉีกมิติเข้าไปได้โดยตรง”
ขณะที่พูดมั่นถัวหลัวก็เปิดฝ่ามือ ชิ้นหยกวูบไหวด้วยแสงหลิงปรากฏขึ้น เปล่งคลื่นมิติออกมา
มู่เฉินรับไปก็รู้สึกโล่งใจ หากไม่มีจอมยุทธ์ตี้จื้อจุน การเดินทางในวังโบราณก็จะสะดวกขึ้นอย่างแน่นอน
“เจ้าสนใจวิชาสามพิสุทธิ์ด้วยหรือ? แต่ข้ากลัวว่าการแข่งขันจะหนักอยู่” มู่เฉินลูบหยกขณะพูด
หากวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดปรากฏขึ้น เหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนอาจจะดวงตาแดงก่ำและแข่งขันกันเพื่อเอาชนะ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนในกองทัพพันธมิตรกันเองก็อาจจะขัดขากันและกัน เพราะหากพวกเขาได้มาก็คุ้มค่า แม้ว่าพวกเขาจะต้องละทิ้งรากฐานในภูมิภาคทางเหนือก็ตาม
มั่นถัวหลัวส่ายหัวไม่ได้เป็นไปตามความคาดหมายของมู่เฉิน นางมองไปที่มิติแตกสลาย “วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะได้รับและฝึกได้…”
มั่นถัวหลัวหลุบตาลงพูดเบาๆ “การเดินทางมายังวังสวรรค์บรรพกาลครั้งนี้ เป้าหมายสำคัญที่สุดคือค้นหาร่างหลักของข้า”
ทันใดนั้นม่านตาของมู่เฉินก็หดลงขณะที่มองมั่นถัวหลัวด้วยความหวาดผวา “นี่…นี่ไม่ใช่ร่างหลักของเจ้า?”
ถ้านี่ไม่ใช่ร่างหลัก งั้นทำไมมั่นถัวหลัวในปัจจุบันถึงดูสมจริงขนาดนี้ ไม่เหมือนร่างที่สร้างมาจากคลื่นหลิงเลย?
“ร่างหลักของเจ้าคืออะไร?”
มั่นถัวหลัวมองไปที่มู่เฉินเผยรอยยิ้ม “ข้าคือดอกไม้ที่จักรพรรดิสวรรค์ปลูกไว้ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่…”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น