หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1101-1106
บทที่ 1101 ร่างอสูรเก้าฉกาจ
บนลานประลองขนาดใหญ่
เซี่ยหงยืนตระหง่านพร้อมกับคลื่นยักษ์สีแดงเข้มสูงหมื่นจั้งกวาดออกมา ส่งผลให้ชั้นฟ้าและชั้นดินมืดมิดลง
หอกในมือชี้ไปบนพื้นเปล่งประกายด้วยรัศมีสีแดง การเคลื่อนไหวใดๆ ก็ทำให้เกิดรอยลึกเหลือไว้บนพื้นราวกับว่าเฉือนเต้าหู้
พร้อมกับมังกรสีแดงเข้มที่สลักอยู่บนชุดเกราะเปล่งเสียงคำรามแผ่วเบา ความผันผวนของคลื่นหลิงค่อยๆ แผ่ออกมาจากเขา
ตอนนี้รัศมีเซี่ยหงน่าทึ่งมาก
ทุกคนตกตะลึงกับเซี่ยหงในตอนนี้ จากนั้นก็ส่ายหัวด้วยความอิจฉา แคว้นเซี่ยรากฐานหยั่งลึก แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็ยังดวงตาแดงก่ำเมื่อมองไปที่ชุดออกรบของเซี่ยหง
นี่เป็นชุดอาวุธเสมือนมหสวรรค์เต็มรูปแบบ อาวุธสามัญอื่นๆ ไม่สามารถเทียบเคียงได้ ด้วยความช่วยเหลือของอาวุธทั้งสองนี้ เซี่ยหงสามารถต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดได้เลยทีเดียว
เมื่อจิ่วโยวเห็นภาพเบื้องหน้า สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างควบคุมไม่ได้ กระทั่งตัวนางก็ยังสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามเข้มข้นที่มาจากเซี่ยหง
“เจ้านี่ไร้ยางอายแท้จริง อาศัยพลังของอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าแล้ว” ถานชิวกัดฟันอดไม่ได้ที่จะก่นด่า
แววกังวลวูบไหวในดวงตาพรรคพวกที่เหลือ แม้พวกเขาจะเห็นเหตุการณ์ที่มู่เฉินเอาชนะหลงปี้ แต่ความสามารถในการต่อสู้ของเซี่ยหงไม่ใช่สิ่งที่หลงปี้จะแข่งขันได้
“ผู้ชนะเท่านั้นที่สำคัญที่สุดในการต่อสู้ ผู้แพ้ไม่มีสิทธิ์ที่จะตั้งคำถามถึงวิธีการของคนผู้ชนะ” เซี่ยหงควงหอกจ้องมองมู่เฉินอย่างไม่แยแส
ตู้ม!
เมื่อเขาพูดจบลง ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ เขาพุ่งออกมาราวกับสายฟ้าแลบพร้อมกับลำแสงยาวลากออกมาจากหอกกำจายจิตสังหารพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ประหนึ่งจะฉีกทึ้งเส้นขอบฟ้าออกจากกันให้ได้
หอกเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ปรากฏตรงหน้ามู่เฉินในพริบตา ทำเอาเขาตกใจไปเล็กน้อย ด้วยหอกและชุดเกราะนี้ ความเร็วของเซี่ยหงเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว
ชี่!
หอกยาวเสือกแทงออกมา มู่เฉินก็ถอยออกไปสองก้าวพลางสะบัดแขนเสื้อ เสียงคำรามมังกรดังกึกก้อง จิตวิญญาณมังกรแท้จริงทะยานขึ้นเปลี่ยนเป็นโล่แสงสีม่วงทองปกป้องมู่เฉินเอาไว้
ฮึ่ม!
หอกซัดลงบนโล่แสงอย่างรุนแรง เกลียวแสงสีแดงเข้มระเบิดบ้าคลั่ง แนวป้องกันจากจิตวิญญาณมังกรแท้จริงยืนหยัดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะถูกหอกแทงทะลุ หอกพุ่งตรงไปที่ลำคอของมู่เฉิน
จิตวิญญาณมังกรแท้จริง ต่อให้มีพัฒนาการ พลังก็อยู่ในระยะอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น ทว่าการโจมตีของเซี่ยหงเกินขอบเขตขั้นนี้ไปไกล ดังนั้นมันจึงสามารถชะลอการโจมตีได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น
เมื่อหอกกำลังจะแทงทะลุคอมู่เฉิน ทันใดนั้นแสงก็ควบแน่นที่กลางหน้าผากเขา ดวงตาแนวตั้งก็เปิดขึ้นพร้อมกับเกลียวแสงสีดำพุ่งออกมา มิติเบื้องหน้าแตกสลายลงจากแสงนั่น
ปัง!
เกลียวแสงสีดำปะทะหอกเต็มแรง ผลกระทบที่น่ากลัวทำให้หอกหยุดชะงักเวลาสั้นๆ จากนั้นก็ถูกผลักกลับไป
“ที่แท้เจ้าก็มีอาวุธเสมือนมหสวรรค์เหมือนกัน!” เมื่อหอกถูกผลักกลับมา สายตาของเซี่ยหงก็วูบไหวด้วยความประหลาดใจ ขณะจดจ้องไปที่ดวงตาแนวตั้งบนหน้าผากของมู่เฉิน
“แต่ไม่รู้ว่าอาวุธของเจ้าจะเทียบกับของข้าได้หรือไม่?”
เซี่ยหงเค้นเสียงเยือกเย็น ทันใดนั้นมือก็สั่นสะท้าน หอกพุ่งออกมา ระเบิดออกด้วยแสงสีแดงเข้ม กลายเป็นลำแสงขนาดใหญ่ที่มีคลื่นหลิงครอบงำไร้ขอบเขตแผ่ออกไปทั่วพื้นที่
โฮก!
หอกพุ่งลงมาด้วยพลังการทำลายล้างห่อหุ้มร่างมู่เฉินโดยตรง
เผชิญหน้ากับการโจมตีที่ดุเดือดเช่นนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้ายังพบว่าอันตรายอย่างยิ่ง
มู่เฉินมองลำแสงสีแดงเข้มที่ขยายขนาดในดวงตาก็ต้องหดเกร็งดวงตา วินาทีต่อมาแสงสีม่วงทองก็ระเบิดออกจากร่างกาย ปีกหงส์ฟ้าคู่หนึ่งกางออกมาจากแผ่นหลัง
วาบ!
ปีกหงส์ฟ้ากระพือวูบไหว พาร่างมู่เฉินหายไปจากจุดที่ยืนอยู่เดิม
ปัง!
หอกแสงพุ่งลงมากระแทกพื้นเป็นหลุมลึกหลายร้อยจั้ง มีเหวลึกปรากฏขึ้นบนพื้นดิน
“เร็วมาก!”
เซี่ยหงหดดวงตาเมื่อการโจมตีก่อนหน้าพลาดเป้าไป เขาตกใจกับความเร็วของมู่เฉิน เจ้านี่ระงับความเร็วไว้ก่อนหน้าหรือ?
วาบ!
ขณะที่ความคิดวนเวียนในใจเซี่ยหง ร่างเงาหนึ่งก็ปรากฏตัวที่เบื้องหลังเขา เซี่ยหงมีสีหน้าเปลี่ยนไปขณะกำมือแน่น หอกสีแดงเข้มคำรามบินกลับไป
ตู้ม
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ให้โอกาส หมัดซัดออกพร้อมกับสีหน้าไม่แยแส
โฮก!
เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าก้องกังวานพร้อมกับหมัด มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงพันรอบท่อนแขนเขา เปลี่ยนเป็นเกลียวแสงสีม่วงทองทะยานออกไป
ระลอกคลื่นสั่นไหว ราวกับเกลียวสีม่วงทองระเบิดอากาศพร้อมกับเสียงระเบิดดังกึกก้อง หุบเหวลึกฉีกขาดบนพื้นดิน
หมัดของมู่เฉินรวบรวมด้วยพลังจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงเอาไว้ พลังทั้งสองสายนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็ได้รับบาดเจ็บหนักได้
สัมผัสได้ถึงพลังน่าสะพรึงด้านหลัง ดวงตาเซี่ยหงก็หดเกร็ง เขารู้สึกได้ว่าตอนนี้มู่เฉินทรงพลังมากกว่าก่อนหน้าแล้ว
ด้วยความเร็วนี้ เขาก็ไม่สามารถหลบหมัดที่พุ่งเข้ามาหาได้
ดวงตาของเซี่ยหงวูบไหว เขาเค้นเสียง หอกก็ทะยานออกไปพร้อมกับแสงสีแดงเข้มทรงพลัง เล็งไปที่หัวของมู่เฉิน เตรียมป้องกันด้วยการโจมตี
ตู้ม!
ทว่าเผชิญกับกระบวนท่านี้ มู่เฉินกลับไม่ได้สนใจการจู่โจมของหอก หมัดพุ่งซัดไปเต็มเหนี่ยวบนหลังเซี่ยหง
เคร้ง!
เสียงราวกับโลหะปะทะกันดังก้อง เมื่อหมัดของมู่เฉินกระแทกลงบนชุดเกราะเซี่ยหง ประกายสีแดงเข้มปะทุขึ้นมาจากชุดเกราะ มังกรสีแดงเข้มขยับเขยื้อนอ้าปากกลืนคลื่นกระแทกที่น่ากลัวเข้าไป
เห็นได้ชัดว่าการป้องกันทรงพลังของชุดเกราะสีแดงเกินความคาดหมายของมู่เฉิน
ปัง!
แต่ถึงอย่างนั้นหมัดของมู่เฉินก็ส่งเซี่ยหงกระเด็นไปไกล
เมื่อเซี่ยหงกระเด็นออกไป ลำแสงสีดำก็พุ่งออกมาจากเนตรดับชีวิต ส่งหอกสีแดงถลาไปไกลด้วย
เซี่ยหงแตะเท้าบนอากาศ เขาทรงตัวก่อนที่หอกจะพุ่งกลับมาอยู่ในมือ เขาจ้องมองมู่เฉินอย่างมืดมน หากไม่ได้รับการปกป้องจากเกราะสงครามแล้วละก็ ตัวเขาอาจได้รับบาดเจ็บหนักจากการโจมตีของมู่เฉินแล้ว
ผู้คนมองไปที่การเผชิญหน้าที่ดุเดือด สีหน้าก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน บางคนถึงกับมองไปที่มู่เฉินด้วยความหวาดระแวงในแววตา
ชิ้งหย่า มู่ซัน เจียงหลิงต่างก็สวมสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน เนื่องจากพวกเขาสามารถสัมผัสได้ว่าการเผชิญหน้าระหว่างมู่เฉินและเซี่ยหงอันตรายแค่ไหน ความประมาทเพียงเล็กน้อยที่เกิดขึ้น ก็อาจทำให้ต้องจ่ายราคามหาโหดเลยทีเดียว
“หลังจากจบการต่อสู้ครั้งนี้ชื่อของมู่เฉินจะดังเป็นพลุแตกแน่” ชิ้งหย่าถอนหายใจ
บังคับให้เซี่ยหงที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้านำอาวุธเสมือนมหสรรวค์ออกมาด้วยขุมพลังในระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าและไม่อยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ ความน่าสะพรึงนี้สามารถเปรียบเทียบได้กับจอมยุทธ์รุ่นใหม่ยี่สิบอันดับแรกในทำเนียบทวีปเทียนหลัวเลย
“แบบนี้ก็ไม่สามารถจัดการกับหินรองส้วมที่น่ารังเกียจอย่างแกได้ ทั้งเหม็นทั้งแข็งจริงๆ” เซี่ยหงมองไปที่ดวงตาแนวตั้งที่ปิดลงบนหน้าผากของมู่เฉินก็พูดโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ
ทว่าก็มีร่องรอยเสียใจผุดขึ้นในใจ หากเขารู้ว่ามู่เฉินจะรับมือยากแบบนี้ เขาจะคิดหาวิธีเพื่อจัดการอย่างสมบูรณ์ ไม่ปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไปจนถึงจุดที่เขาถูกบังคับให้ไปสู่เส้นทางที่ไม่มีทางถอยเหมือนในตอนนี้
มาไกลขนาดนี้จะต้องมีผู้ชนะระหว่างเขาและมู่เฉิน มิฉะนั้นเขาจะกลายเป็นหินรองเท้าสำหรับมู่เฉินซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถยอมรับได้แน่
หากข่าวนี้กลับไปที่แคว้นเซี่ยก็จะส่งผลกระทบต่อมุมมองของบิดาที่มีต่อเขา เขาอาจจะสูญเสียความโปรดปรานไปและเปิดช่องให้พี่น้องคนอื่นเหยียบหัวเขาเอาได้
ดังนั้นวันนี้มู่เฉินต้องตาย!
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ จิตสังหารก็ไต่ขึ้นมาบนดวงตาของเซี่ยหง เขาจ้องมองมู่เฉินอย่างน่าขนพองสยองเกล้า ซึ่งทำให้อุณหภูมิระหว่างสวรรค์และโลกลดลง
เซี่ยหงคลายการจับหอกในมือ จากนั้นก็วาดตราประทับด้วยมือทั้งสองข้าง
ฮึ่ม!
ทันใดนั้นมิติก็บิดเบี้ยวรุนแรงที่ด้านหลังเซี่ยหง จุดจื้อจุนไห่ปรากฏขึ้นอย่างคลุมเครือ คลื่นหลิงของเขาเป็นสีแดงแก่ก่ำราวกับถูกย้อมด้วยไอสังหารเข่นฆ่าเข้มข้น
ตู้ม!
จุดจื้อจุนไห่กลิ้งตัวไม่รู้จบ คลื่นหลิงนับหมื่นจั้งพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ฉีกผ่านจุดจื้อจุนไห่ย้อมท้องฟ้าเหนือลานประลองกลายเป็นสีแดงเลือด
คลื่นหลิงสีแดงเลือดควบแน่นบ้าคลั่งที่ด้านหลังเซี่ยหง ในเวลาไม่กี่อึดใจก็ก่อเป็นร่างเทห์สวรรค์ขนาดหลายพันจั้ง ภายใต้สายตาสั่นไหวของทุกคน
ร่างเทห์สวรรค์นี้มีสีแดงเข้มพร้อมกับรัศมีร้ายกาจและครอบงำกวาดผ่านไปมา ทำเอาผู้คนหายใจแทบไม่ออก มีลวดลายสัตว์อสูรร้ายเก้าตัวที่แขน-ขา-หน้าอก-หลังของร่างเทห์สวรรค์ พลังร้ายกาจและป่าเถื่อนเล็ดลอดออกมาจากลวดลายเหล่านี้ ราวกับยาตรามาจากยุคดึกดำบรรพ์
โหดร้ายและป่าเถื่อน!
เมื่อมองไปที่ร่างเทห์สวรรค์นั่น มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะหดดวงตาจ้องมอง ข้อมูลบางอย่างวาบผ่านในหัวสมอง
‘ร่างอสูรเก้าฉกาจ’ ลำดับที่ห้าสิบเจ็ดในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง!
บทที่ 1102 เปิดแปดตะวัน
รัศมีร้ายกาจไร้ขอบเขตกำจายออกไป
ร่างเทห์สวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ก็ปรากฏขึ้น ราวกับเป็นร่างรวมของสัตว์อสูรยุคดึกดำบรรพ์ ที่ทั้งครอบงำและดุร้าย
ทุกคนเปลือกตากระตุกเมื่อเห็นภาพนี้ ขณะมองไปที่ร่างเทห์สวรรค์สีแดงเข้ม สายตาของพวกเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด เมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีร้ายกาจที่น่าสะพรึงกลัว
“นี่เป็นร่างอสูรเก้าฉกาจที่เซี่ยหงชำระ ว่ากันว่าต้องใช้วิญญาณสัตว์อสูรดุร้ายเก้าตัว กระบวนการการชำระเป็นอันตรายอย่างยิ่งและเมื่อประสบความสำเร็จก็จะมีรัศมีร้ายกาจคล้ายกับสัตว์อสูรที่สามารถทำลายร่างเทห์สวรรค์ธรรมดาได้” มีคนร้องอุทานออกมาและมีหลายคนรู้สึกอิจฉากับร่างเทห์สวรรค์ของเซี่ยหง
เนื่องจากพวกเขาส่วนใหญ่ชำระร่างเทห์สวรรค์ธรรมดาเท่านั้น บางคนที่โชคช่วยก็อาจได้ชำระร่างลำดับท้ายตาราง แต่เมื่อเทียบกับอันดับที่ห้าสิบเจ็ดก็มีเพียงขั้วอำนาจชั้นสูงที่มีฐานรากลึกซึ่งเท่านั้นที่สามารถครอบครองได้ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์สามัญทั่วไปสามารถหามาได้ ไม่เช่นนั้นจะนำพาหายนะมาสู่ตัวเองแทน
“แกมีความสามารถจริงที่บีบข้าให้นำร่างเทห์สวรรค์ออกมาทั้งที่มีขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น” เซี่ยหงหลุบตาลงขณะพูดด้วยความไม่แยแสภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน
มู่เฉินมองไปที่ร่างเทห์สวรรค์ที่กำลังปลดปล่อยรัศมีร้ายกาจที่รุนแรง ดวงตาก็ฉายแววตกใจ เซี่ยหงมีความสามารถแท้จริงที่ติดอันดับยี่สิบของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของทวีปเทียนหลัว
ด้วยความสามารถที่เขาเปิดเผยในวันนี้ ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้น แม้แต่ระยะปลายสุดก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้
เซี่ยหงลอยตัวขึ้นอย่างช้าๆ พลิ้วลงบนไหล่ของร่างอสูรเก้าฉกาจ จากนั้นก็มองไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มโหดร้ายแขวนบนมุมปาก ก่อนจะกระทืบเท้าลงไป
ตู้ม!
รัศมีร้ายกาจเชี่ยวกรากระเบิดออกจากร่างอสูรเก้าฉกาจ ก่อร่างเป็นแม่น้ำที่มีความยาวพันจั้งกวาดเข้าหามู่เฉิน
ด้วยพลังของร่างอสูรเก้าฉกาจการโจมตีของเซี่ยหงจึงแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก
มู่เฉินมองไปที่แม่น้ำสีแดงเข้มก็หดตาลง มือทั้งสองข้างประสานกัน จากนั้นแสงสีทองก็กำจายออกมา พลางปล่อยหมัดออกไป ฝ่ามือแสงสีทองไร้ขอบเขตก็คำรามพร้อมกับเสียงมังกรเกรี้ยวกราดปะทะกับแม่น้ำ
ปัง!
แต่เวลานี้การโจมตีของเซี่ยหงแข็งแกร่งมาก ดังนั้นเมื่อปะทะกันฝ่ามือทองคำก็ต้านได้เพียงชั่วครู่ก่อนที่จะถูกกลืนกินลงไปในแม่น้ำ
“นำร่างเทห์สวรรค์ของแกออกมาซะก่อนจะหมดโอกาส” เซี่ยหงมองภาพนี้ด้วยความเฉยเมย
มู่เฉินไร้เดียงสาซะจริง ที่คิดจะต้านทานการโจมตีดังกล่าวด้วยพลังในร่างที่มีเท่านั้น
แม่น้ำขยายตัวอย่างรวดเร็วที่เบื้องหน้า มู่เฉินก็เบ้ปากแล้วหลับตาลง เมื่อเปิดดวงตาขึ้นอีกครั้ง แสงสีทองก็ระเบิดออกจากดวงตา ย้อมดวงตาเป็นสีทองอร่าม
ครืน!
คลื่นหลิงจำนวนมหาศาลทะยานออกจากร่างกายของมู่เฉินราวกับดวงตะวันสีทองลอยขึ้นด้านหลัง เงาร่างสีทองควบแน่น ยักษ์สีทองปรากฏขึ้นที่ด้านหลังมู่เฉิน
ความไร้ขอบเขตและลึกลับเปล่งออกมารอบๆ
เงาร่างสีทองปรากฏขึ้นกระจายความแวววาวสีทองกลายเป็นโล่ขนาดใหญ่ล้อมรอบรัศมีหนึ่งพันจั้งเอาไว้
เมื่อแม่น้ำสีแดงเข้มอยู่ห่างออกไปหนึ่งพันจั้งก็เริ่มแตกกระจายไปอย่างรวดเร็วด้วยชั้นของแสงสีทอง พอมาถึงตัวมู่เฉินก็อันตรธานหายไปหมดแล้ว
ทุกคนหดตาลง ร่างเทห์สวรรค์ที่มู่เฉินฝึกฝนมาเป็นร่างแบบใดถึงสามารถสลายการโจมตีของเซี่ยหงในลักษณะนี้ได้?
สายตานับไม่ถ้วนจดจ่อไปที่แสงพร่างพราว เมื่อแสงสีทองหม่นลง พวกเขาก็สามารถมองเห็นร่างในนั้นได้อย่างชัดเจน ทุกคนสูดลมหายใจเย็นเข้าปอด
มีร่างยักษ์สีทองยืนอยู่ข้างหลังมู่เฉิน แสงสีทองไหลเวียนอยู่รอบๆ ตัวราวกับว่าถูกหลอมด้วยทองคำดวงตะวันลอยคว้างอยู่ด้านหลังศีรษะเปล่งแรงกดดันที่ลึกลับและไม่อาจอธิบายได้
“นั่นคือร่างเทห์สวรรค์อะไรกัน?” ทุกคนถามด้วยความสงสัยเนื่องจากไม่คุ้นชินกับร่างนั้นของมู่เฉิน ซึ่งเหมือนไม่ได้อยู่ในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง แต่เมื่อพิจารณาจากพลังของมันก็ดูไม่ธรรมดา
ชิ้งหย่า มู่ซันและคนอื่นๆ ก็มองไปที่ร่างเทห์สวรรค์ทองคำด้วยความสงสัย พวกเขาพากันขมวดคิ้วแน่น “นี่ไม่ใช่หนึ่งในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่างแน่ หรือว่าจะไม่ได้รับการจัดอันดับ?”
ด้วยร่างเทห์สวรรค์มีมากมายจึงอาจไม่ได้รวมอยู่ในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์ เนื่องจากยังมีร่างบางส่วนที่ยอดเยี่ยมที่ไม่ได้รับการจัดอันดับ
“ว่าแต่ทำไมร่างเทห์สวรรค์นี้ถึงดูคุ้นเคยนะ?” ชิ้งหย่าถามหลังจากลังเลไปครู่หนึ่ง
มู่ซันและเจียงหลิงผงะไปก่อนที่จะไตร่ตรอง จากนั้นหัวใจพวกเขาก็เต้นไม่เป็นส่ำ อุทานเสียงสั่นว่า “ดูคล้ายกับร่างเทห์สวรรค์ลึกลับที่จาโหลหลัวแห่งตำหนักเทพปีศาจฝึกฝน”
ชิ้งหย่ามีสีหน้าเคร่งเครียดดูไม่แน่ใจ นางเคยเห็นร่างเทห์สวรรค์ของจาโหลหลัว แม้คล้ายคลึงกัน แต่ก็ไม่เหมือนไปทุกประการ
“ดูคล้าย แต่ข้าก็ไม่แน่ใจ”
มู่ซันและเจียงหลิงครุ่นคิดหนัก “บางทีอาจแค่คล้ายคลึงกัน จาโหลหลัวเป็นใคร? ร่างเทห์สวรรค์ที่เขาปลูกฝังว่ากันว่าทรงพลังและลึกลับ ถึงขนาดที่ว่าจอมยุทธ์ลำดับก่อนหน้าเขายังค่อนข้างครั่นคร้าม แล้วจอมยุทธ์ที่มาจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของภูมิภาคทางเหนือเล็กจ้อยจะมีวิธีฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์นี้ได้อย่างไร?”
ชิ้งหย่าฉินหยาพยักหน้าเห็นด้วย บางทีอาจเป็นเพียงความคล้ายคลึงกัน ร่างเทห์สวรรค์ของมู่เฉินที่ฝึกฝนก็ไม่ธรรมดา เหมือนจะไม่ได้ด้อยไปกว่าร่างอสูรเก้าฉกาจของเซี่ยหง การเผชิญหน้าระหว่างพวกเขาสองคนเต็มไปด้วยความดุเดือดอย่างแท้จริง
“นี่คือร่างเทห์สวรรค์ที่มู่เฉินชำระเหรอ?” หลินจิ้งมองร่างเทห์สวรรค์ทองคำอย่างอยากรู้อยากเห็น ย้อนกลับไปตอนที่นางเจอกับมู่เฉินครั้งแรกเขายังไม่ได้ชำระร่างเทห์สวรรค์ ซ้ำยังกำลังรวบรวมของที่จำเป็น แต่ดูจากตอนนี้ร่างเทห์สวรรค์ของเขาไม่ธรรมดา ดูเหมือนว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขาก็ได้พัฒนาตัวเองอย่างก้าวกระโดดเลยทีเดียว!
ภายใต้เสียงกระซิบทั้งหมด เซี่ยหงก็หดดวงตาลงมองไปที่ร่างเทห์สวรรค์ทองคำ ความรู้สึกลึกลับและหนาแน่นที่ส่งมาทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ แต่จากนั้นสายตาของเขาก็เย็นชาลง ไม่ว่ามู่เฉินจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของการต่อสู้ครั้งนี้ได้
“ลากศึกต่อไปไม่ได้แล้ว”
จิตสังหารพวยพุ่งขึ้นในดวงตาของเซี่ยหงก่อนที่จะหายใจเข้าลึกๆ สีหน้าเย็นชาลง ทันใดนั้นมือทั้งสองก็ประสานเข้าด้วยกัน สร้างตราประทับแปลกประหลาดขึ้น
โฮก!
ทันทีที่วาดตราประทับเสียงคำรามลึกก็แผ่มาจากร่างอสูรเก้าฉกาจที่อยู่ใต้เท้าของเขา เสียงคำรามทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับรัศมีรุนแรง
ลวดลายที่ปกคลุมร่างกายเต้นยุบยับราวกับมีชีวิต ค่อยๆ แยกตัวออกจากร่างอสูรเก้าฉกาจ ดวงตาสีแดงเข้มจับจ้องที่มู่เฉิน ราวกับว่าต้องการเขมือบอีกฝ่าย
โดยไม่มีการแสดงออกใดๆ เซี่ยหงก็วาดตราประทับวูบไหวที่ดูราวกับสัตว์อสูร
“ทักษะเทห์สวรรค์ คัมภีร์อสูรฟ้า พยัคฆ์ปีศาจ!”
เมื่อวาดตราประทับ พยัคฆ์ดำก็ปะทุออกมาด้วยแสงสีแดงเข้ม
“หมีปีศาจ!”
“เต่าปีศาจ!”
“ปีศาจฉลู!”
“…”
เสียงไม่แยแสดังก้องออกมาขณะที่สัตว์อสูรเก้าตัวที่อยู่รอบๆ เซี่ยหงลืมตาขึ้นพร้อมกับแสงรัศมีร้ายกาจที่ครอบงำสวรรค์และโลก
เมื่อชิ้งหย่าและคนอื่นๆ เห็นฉากนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปพร้อมกับความหวาดเกรงฉายในสายตา “เซี่ยหงเทหมดหน้าตักแล้ว ด้วยสัตว์อสูรทั้งเก้าพลังสามารถทำให้พลังของเขาพุ่งขึ้นถึงขีดสุด ว่ากันว่าเขาเคยใช้กระบวนท่านี้เอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดด้วย”
“มังกรปีศาจ!”
ท่ามกลางสายตาหวาดผวาของทุกคน เสียงเย็นเยียบสุดท้ายก็ดังออกจากปากเซี่ยหง ในเวลาเดียวกันมังกรดำที่กำลังขดตัวก็เปิดดวงตาออก รัศมีร้ายกาจพวยพุ่งสูง
สัตว์อสูรทั้งเก้าลืมตาขึ้น ทั่วบริเวณก็เหมือนถูกดึงกลับไปในยุคดึกดำบรรพ์ ขณะที่คลื่นร้ายกาจอัดแน่นที่ขอบฟ้า
“ทักษะเทห์สวรรค์ คัมภีร์อสูรฟ้า หมัดเก้าอสูรฉกาจ!”
จิตสังหารในดวงตาของเซี่ยหงหนาแน่นขึ้น รัศมีร้ายกาจที่เชี่ยวกรากก็พรั่งพรูออกมาพร้อมกับรัศมีเลือดปกคลุมท้องฟ้า เขาเหวี่ยงหมัดออกไป ขณะที่สายตาน่าขนลุกจับจ้องที่มู่เฉิน
โฮก!
สัตว์อสูรทั้งเก้าปล่อยเสียงคำราม กระโจนออกไปพร้อมกับหมัด กลายเป็นแสงสีแดงฉานบ้าคลั่งหลอมรวมเป็นภาพกำปั้นสีแดงเข้มขนาดใหญ่พันจั้ง
สัตว์อสูรเปล่งเสียงพร้อมกับรัศมีร้ายกาจน่าสะพรึง ราวกับจะกลืนกินท้องฟ้า
พลังของหมัดนี้ ทำให้จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนเกิดอาการสั่นสะท้าน พวกเขาทราบดีว่าถ้าหมัดนี้พุ่งมาหา กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็ตายคาที่กับการโจมตีนี้
เซี่ยหงเค้นพลังทุกหยาดหยดใส่ลงไปในหมัดนี้
ภาพหมัดเอิบอาบด้วยรัศมีร้ายกาจเชี่ยวกราก สายตาของมู่เฉินที่ยืนอยู่บนร่างเทพสุริยะก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน ก่อนที่จะหายใจลึกสุดปอด มือทั้งสองประสานเข้าด้วยกัน
เมื่อยกมือทั้งสองขึ้น ร่างเทพสุริยะซึ่งอยู่ใต้ฝ่าเท้าก็เปล่งประกายแสงสีทอง จากนั้นผู้คนก็มองเห็นดวงตะวันสีทองลุกโชนขึ้นมาอย่างช้าๆ จากร่างมหึมานั่น
ดวงตะวันโชนแสงขึ้นทีละดวง…ละดวงจนครบแปดดวง!
คลื่นเก้าตะวัน เปิดแปดตะวัน!
บทที่ 1103 แปดกงล้อแสงสวรรค์ รุกรับสอดประสาน
ร่างเทห์สวรรค์ทองคำยืนตระหง่านระหว่างฟ้าดิน
เกลียวแสงสีทองเบ่งบานกระจายลงมายังดินแดนแห่งนี้พร้อมกับความลึกลับแต่ไร้ขอบเขตพรั่งพรูออกมา ความกดดันที่ไม่อาจพรรณนาได้ปกคลุมสวรรค์และโลก ทำให้สีหน้าผู้คนเปลี่ยนไป
พวกเขาจ้องมองไปที่ร่างเทห์สวรรค์ทองคำด้วยท่าทางเคร่งเครียด สามารถเห็นดวงตะวันสีทองลอยคว้างบรรจุด้วยพลังที่น่าอัศจรรย์
ครืน!
ขณะที่ดวงตะวันพวยพุ่ง มิติเบื้องหน้าก็บิดเบี้ยว หมัดสีแดงซัดจนมิติแตกเป็นเสี่ยงๆ ขณะที่รัศมีร้ายกาจรุนแรงกวนตัวห่อหุ้มพื้นที่เอาไว้ หมัดราวกับว่าปากสัตว์อสูรดุร้ายดึกดำบรรพ์ ทำประหนึ่งต้องการกัดกินฟ้าดิน
มู่เฉินยืนอยู่บนหัวร่างเทพสุริยะพร้อมกับภาพหมัดสะท้อนในดวงตา ต่อให้ยังห่างกันไกล แต่รัศมีร้ายกาจที่กวาดเข้ามาก็ทำให้เสื้อผ้าของเขาเผยิบผยาบขึ้นลง
สายตาของมู่เฉินเคร่งเครียดลงหลายส่วน เซี่ยหงได้ใช้พลังสูงสุดในการชกครั้งนี้ ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้น กระทั่งระยะปลายสุดก็ยังต้องถอยหนีการโจมตีครั้งนี้
แม้ว่าชายคนนี้จะน่ารังเกียจ แต่ความแข็งแกร่งในการโจมตีไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง
“ถ้าข้าไม่ได้แตะระดับจื้อจุนขั้นเก้าในเวลานี้ คงเป็นเรื่องยากที่จะเผชิญหน้า” มู่เฉินจ้องมองไปที่หมัดสีแดงพลางพึมพำ
ทว่าน่าเสียดาย…
มู่เฉินวาดตราประทับแปลกประหลาด เสียงตะโกนลึกดังกึกก้องภายในหัวใจ สะท้อนราวกับฟ้าร้อง ทันใดเสียงก็ดังกึกก้อง “คลื่นเก้าตะวัน เปิดแปดตะวัน!”
ตู้ม!
ดวงตะวันทองคำทั้งแปดดวงระเบิดกลายเป็นกระแสพลังสีทอง เคลื่อนผ่านร่างไปรวมกันในฝ่ามือของร่างเทพสุริยะ
แสงสีทองส่องกระจาย แม้แต่แสงพระอาทิตย์ก็ถูกบดบัง
“คลื่นเก้าตะวัน แปดกงล้อแสงสวรรค์!”
กระแสสีทองควบแน่นอย่างรวดเร็วบนฝ่ามือยักษ์ของร่างเทพสุริยะ สุดท้ายริ้วแสงสีทองกระจายออกไป ก่อร่างเป็นกงล้อทองคำขนาดหนึ่งร้อยจั้ง
กงล้อทองคำนี้ราวกับเข็มทิศซึ่งปกคลุมไปด้วยลวดลายสลับซับซ้อน ดูโบราณประหนึ่งผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน
กงล้อสีทองลอยคว้างที่เบื้องหน้าของมู่เฉินเสมือนเป็นโล่ป้องกันมู่เฉินเอาไว้
มู่เฉินยืนอยู่ด้านหลังกงล้อด้วยท่าทางสงบอย่างสมบูรณ์โดยไม่มีระลอกคลื่นใดในดวงตา ขณะจ้องมองภาพหมัดก็ยื่นฝ่ามือออกไปกดที่เบื้องหน้าตนเอง
ฮึ่ม!
กงล้อสีทองหมุนช้าๆ ลวดลายโบราณเปล่งประกายออกมา มิติโดยรอบเริ่มบิดเบี้ยว ราวกับว่าจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
“ปลอมเป็นเทพแกล้งผี!”
เมื่อเซี่ยหงเห็นฉากนี้ก็แสยะยิ้มน่าสะพรึงกลัว เขารู้ว่าหมัดนี้ทรงพลังเพียงใด ไม่ต้องพูดมู่เฉินที่มีขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า แม้แต่ขั้นเก้าแท้จริงก็ต้องตายอนาถถ้าคิดปะทะกับกระบวนท่านี้!
“ตาย!”
เซี่ยหงคำรามเสียงต่ำ ภายใต้สายตาหวาดกลัวนับไม่ถ้วน ภาพหมัดก็กวาดออกพร้อมกับรัศมีร้ายกาจรุนแรง ราวกับอุกกาบาตสีแดงเข้มปะทะกับกงล้อทองคำจังใหญ่
ตู้ม!
จังหวะที่เกิดการปะทะกัน ทั่วทั้งฟ้าดินก็กลายเป็นเย็นเยือกในอึดใจ ก่อนที่คลื่นกระแทกป่าเถื่อนจะกวาดออก ทำให้มิติโดยรอบรัศมีหมื่นจั้งเกิดการบิดเบือน หุบเหวลึกปรากฏบนพื้นดิน
ทุกคนบนท้องฟ้าถอยหนีกันจ้าละหวั่นเพราะกลัวว่าจะได้รับลูกหลงจากคลื่นกระแทก
เซี่ยหงมองไปที่แสงสีแดงที่ขยายตัวอย่างดุเดือด รอยยิ้มที่น่ากลัวก็เพิ่มเป็นน่าขนพองสยองเกล้า ไอ้โง่มู่เฉินคิดว่าสามารถรับการโจมตีของเขาได้รึ? ปัญญาอ่อนเกินไปแล้ว!
“ตอนนี้ถึงเวลาที่แกจะกลายเป็นเถ้าธุลี!” เซี่ยหงแสยะยิ้มน่าขนลุก
แต่ทันทีที่เขายิ้มดวงตาก็ต้องหดเกร็ง เมื่อเห็นแสงสีแดงซึ่งกำลังขยายดุเดือดเกิดการแข็งตัวขึ้นในเวลานี้
คลื่นกระแทกรุนแรงถูกแช่แข็งราวกับว่าเวลาถูกหยุดชั่วคราว
“เกิดอะไรขึ้น?!”
ไม่เพียงแต่เซี่ยหงที่ตกตะลึงกับฉากนี้ กระทั่งผู้ชมก็หันมาแลกเปลี่ยนสายตากันเนื่องจากการระเบิดที่คาดไว้ในตอนแรกไม่ได้เกิดขึ้น
ภายใต้ทุกสายตา แสงสีทองและแสงสีแดงเลือดก็เริ่มสงบลง พลังทำลายล้างถูกยับยั้งเอาไว้
เมื่อฉากนี้กระจ่างชัดขึ้น ผู้คนก็ต้องหดดวงตา
“นั่นมัน?” สีหน้าของเซี่ยหงเปลี่ยนไปรุนแรงในขณะนี้
มู่เฉินยังคงยืนนิ่งอยู่บนร่างเทพสุริยะในท่าเดิม กงล้อสีทองหมุนคว้างที่เบื้องหน้า หมัดสีแดงเลือดตกอยู่ในสภาพเป็นก้อนแข็งที่ด้านหน้ากงล้อ มากจนแม้แต่คลื่นร้ายกาจยังชะงักไปในจุดนี้
สถานการณ์นี้ราวกับว่าเวลาถูกหยุดลง
“เป็นไปได้ยังไง!” สีหน้าของเซี่ยหงเขียวคล้ำพร้อมกับความหวาดผวาวาบผ่านดวงตา ภาพเบื้องหน้าช่างเกินความคาดหมาย หมัดที่เร้ากำลังภายในทั้งหมดของเขาถูกหยุดลงอย่างง่ายดาย นอกจากนี้เขายังรู้สึกได้ว่าในช่วงเวลานี้ตนเองได้สูญเสียการเชื่อมต่อทั้งหมดในการโจมตี มากจนเขาสูญเสียการควบคุมคลื่นหลิงไปด้วยซ้ำ
ความรู้สึกราวกับว่าหมัดไม่ได้อยู่ในการควบคุมอีกต่อไป
ท่ามกลางสายตาไม่อยากเชื่อ มู่เฉินก็มองเซี่ยหงพลางยิ้มอ่อน “ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะอยู่นอกเหนือการควบคุมขององค์ชายสี่แล้วนะ”
“ข้าคิดว่าตัวเองรับของขวัญจากองค์ชายไม่ไหว ดังนั้นข้าขอคืนให้แทน”
เมื่อพูดจบก็งอนิ้วเปลี่ยนกระบวนท่า
ขณะที่มู่เฉินพลิกมือ กงล้อสีทองก็หมุนทวนไปช้าๆ ทุกคนตะลึงเมื่อเห็นหมัดสีแดงเลือดกลับหลังหันเล็งเป้าไปที่เซี่ยหง
“เขาสามารถโต้ตอบการโจมตีของเซี่ยหงได้อย่างสมบูรณ์แบบขนาดนี้เชียวเรอะ?!” ทุกคนอ้าปากสูดหายใจเย็นกับภาพนี้พลางร้องอุทานลั่น
แม้แต่ชิ้งหย่า มู่ซันและคนอื่นๆ ก็มีใบหน้าหวาดผวา มู่เฉินใช้วิธีอะไรกัน?
มู่เฉินสีหน้าสงบนิ่งมองฉากเบื้องหน้า นี่คือพลังอำนาจของร่างเทพสุริยะ พร้อมกับความเข้าใจของเขาที่ลึกซึ้งขึ้น ทำให้เขาสามารถปลดปล่อยพลังได้มาก กงล้อสีทองมีความสามารถรุกรับสมบูรณ์แบบ ซ้ำยังส่งการโจมตีกลับไปยังแหล่งที่มาได้อีกด้วย
กระบวนท่าที่ยอดเยี่ยมนี้สามารถเทียบเคียงวิทยายุทธระดับเสินทงที่ทรงพลังได้เลย แต่เนื่องจากข้อจำกัดของความแข็งแกร่งมู่เฉิน ผลจึงจำกัดมากเช่นกัน เมื่อเกินขีดจำกัดไปกงล้อก็ถูกทำลาย
แต่โชคดีที่เซี่ยหงยังไม่ไปถึงระดับนั้น
“องค์ชายสี่ถึงตาเจ้ารับกระบวนท่าข้ามั่ง”
มู่เฉินยิ้มให้เซี่ยหงที่มีใบหน้าหวาดผวาพร้อมกับมือผลักออกไป ทันใดนั้นกงล้อทองคำสั่นสะเทือนรุนแรง ก่อนที่ภาพหมัดสีแดงเข้มจะพุ่งออกไปแฝงด้วยรัศมีร้ายกาจอีกครั้ง
แต่คราวนี้มุ่งเป้าไปที่เซี่ยหง!
ครืน!
รัศทีร้ายกาจเชี่ยวกรากครอบงำออกมา ใบหน้าของเซี่ยหงก็เขียวคล้ำจนมีความหวาดกลัวแฝงอยู่ เผชิญหน้ากับหมัดของตนเองที่เทพลังทั้งหมดลงไป เขารู้สึกว่าได้ว่ามันน่าสะพรึงเพียงใด
นั่นเหมือนจะไม่สามารถต้านทานได้
แต่เขาไม่มีเวลาที่จะชื่นชมกับพลังตัวเอง เนื่องจากหมัดได้พุ่งเข้ามาใกล้เขาแล้ว เขาได้แต่กัดฟันแน่นหมุนเวียนพลังทั้งหมดก่อนที่จะเหวี่ยงหมัดจากร่างอสูรเก้าฉกาจออกไป
ปัง!
พลังงานสองสายปะทะกัน แสงสีแดงเข้มโหมราวกับพายุ ทำให้มิติบิดเบี้ยว ผืนดืนพังทลาย
รอยแตกปรากฏขึ้นบนร่างอสูรเก้าฉกาจแล้วกระจายไปทั่ว เมื่อแสงสีแดงเข้มพุ่งออกไปร่างเทห์สวรรค์ที่ทรงพลังก็ระเบิดออก
อ็อก
ร่างเทห์สวรรค์กลายเป็นจุณ ใบหน้าของเซี่ยหงก็เปลี่ยนไปรุนแรงก่อนจะกระอักเลือดเต็มปาก ความผันผวนของคลื่นหลิงรอบตัวก็ลดน้อยลง เขากระเด็นออกไปอย่างน่าสมเพช หากไม่ใช่เพราะการปกป้องชุดเกราะเขาคงหมดไปแล้วครึ่งชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนในร่างกายและรู้ว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บหนักแล้ว
ปัง!
เซี่ยหงดิ่งพสุธาลงมา ลากรอยยาวพันจั้งไปบนพื้นดิน รูปปั้นสิงโตหินถูกทำลายในเส้นทางที่เขาผ่านไป
อ็อก
เซี่ยหงกระอักเลือดหลายคำ ร่างกายเต็มไปด้วยรอยเลือด ดูอนาถอย่างยิ่ง
เมื่อคลื่นกระแทกค่อยๆ สลายไป ทุกคนก็เงียบเมื่อมองฉากนี้ สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความสยดสยองขณะมองไปที่ร่างสูงโปร่งที่ยืนอหังการบนร่างเทพสุริยะ เขายังคงมีสีหน้าสงบราวกับว่าไม่รู้สึกถึงอารมณ์จากการเอาชนะเซี่ยหง
ราวกับว่าคาดตอนจบไว้แล้ว
ผู้คนแลกเปลี่ยนสายตากัน เซี่ยหงแพ้แล้วเหรอ?
ชิ้งหย่า มู่ซัน เจียงหลิงและคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าตกตะลึง เมื่อเลื่อนสายตามองไปที่มู่เฉินอีกครั้ง สายตาของพวกเขาเคร่งเครียดมาก พวกเขารู้ว่าหลังจากวันนี้ชื่อมู่เฉินจะเติบโตขึ้นในทวีปเทียนหลัวอย่างแน่นอน อาจจะมีชื่อชายคนนี้ในยี่สิบอันดบแรกของทำเนียบด้วยแล้ว
ท่ามกลางสายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน ในที่สุดเซี่ยหงก็ทรงตัวได้และสัมผัสได้ถึงอาการบาดเจ็บหนักในร่างกาย ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวก่อนที่จะมองไปที่จอมยุทธ์แคว้นเซี่ย ตะโกนด้วยเสียงดุร้าย
“ฆ่าพวกมัน!”
หวังกงฟื้นคืนสติจากเสียงตะโกน ดวงตากะพริบด้วยแสงเย็นก่อนที่จะพุ่งออกไปพร้อมกับจอมยุทธ์สามคนที่มีขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า
ทว่าเป้าหมายของพวกเขาล้วนเป็นร่างที่งดงาม
นั่นคือหลินจิ้งที่ดูเหมือนจะจัดการได้ง่ายที่สุด
บทที่ 1104 ตุ๊กตาน้ำแข็ง
ตู้ม!
หวังกงเคลื่อนไหวโดยไม่เตือนล่วงหน้า รวมทั้งจอมยุทธ์ของแคว้นเซี่ยที่พุ่งเป้าไปที่หลินจิ้ง กระทั่งจิ่วโยวก็ตะลึงพรึงเพริดไปก่อนจะฟื้นคืนสติในวินาทีต่อมาจากเหตุการณ์ที่พลิกผัน
“สารเลว!”
จิ่วโยวคำรามลั่น กำมือเพลิงผลึกโปร่งใสก็ลุกโชนก่อนที่นางจะซัดฝ่ามือออกไปที่แผ่นหลังหวังกง
วาบ!
ทว่าเผชิญกับการโจมตีของจิ่วโยว หวังกงกลับไม่มีท่าทางป้องกันใด แต่เมื่อเพลิงผลึกกำลังจะซัดลงบนร่างสูงวัย ร่างร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาขวางกั้นเอาไว้ให้ด้วยร่างกายของเขา
ปัง!
ร่างเงานั้นถูกซัดออกไป เพลิงผลึกโปร่งใสก็กวาดตัวออก คลื่นหลิงรอบตัวเขาถูกเผาไหม้ ร่างสลายกลายเป็นเถ้าถ่านภายใต้เสียงร้องโหยหวน เขาก็คือจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดของแคว้นเซี่ย
ตอนแรกจอมยุทธ์คนนี้ต้องการที่จะช่วยสกัดกั้นเพลิงไว้เล็กน้อยเท่านั้น แต่เขาประเมินความสามารถเพลิงอมตะของจิ่วโยวน้อยไป ดังนั้นการป้องกันจึงไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ตัวเองก็กลายเป็นขี้เถ้าทันที
หวังกงตกใจเมื่อเห็นการตายของผู้ใต้บังคับบัญชา ทว่าสายตาของเขากลับดุร้ายยิ่งขึ้นขณะที่พุ่งเข้าหาหลินจิ้งพร้อมกับจอมยุทธ์อีกสามคนราวกับเหยี่ยวโฉบตัว ตราบใดที่พวกเขาสามารถจับตัวหญิงสาวคนนั้นได้ พวกเขาก็จะสามารถใช้นางเป็นข้อต่อรองกับมู่เฉิน ในเวลานั้นพวกเขาก็จะสามารถช่วยองค์ชายสี่ได้
ทักษะของพวกเขาเร็ว-แรง-ชี้ขาด ดังนั้นจิ่วโยวจึงเสียโอกาสสำคัญไปเพราะไม่ทันตั้งตัว
ใบหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปกับฉากที่ปรากฏด้านล่าง แต่จากนั้นแสงก็วาบขึ้นในดวงตาพลางสงบใจลง
หลินจิ้งอาจจะดูเหมือนอ่อนแอที่สุดในกลุ่ม แต่ถ้าใครคิดว่านางเป็นพวกอ่อนแอก็จะซวยเข้าเอง
องค์หญิงน้อยแห่งแคว้นหวู ธิดาสุดที่รักของเทพจักรพรรดิสงคราม กระทั่งคนไร้สมองยังรู้ว่านางมีไพ่ตายซ่อนอยู่ในแขนเสื้อเป็นสำรับเลย
ภายใต้สายตากังวลของจิ่วโยว ความสงบนิ่งของมู่เฉินและความตกตะลึงของผู้คนมากมาย จอมยุทธ์แคว้นเซี่ยทั้งสี่ก็ล้อมกรอบหลินจิ้งเอาไว้ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตห่อหุ้มที่มือของพวกเขาพยายามจะจับกุมนาง
ในกระบวนการนี้สิ่งที่ทำให้คนอื่นประหลาดใจก็คือความจริงที่หลินจิ้งคลี่ยิ้มกว้างขณะมองการล้อมจับตัวเอง โดยไม่มีความตื่นตระหนกในสายตา
หากมองใกล้เข้าไปก็สามารถสังเกตเห็นแววเยาะเย้ยในดวงตาของนางได้
นางกะพริบตาวิบวับให้หวังกงก่อนจะกางมือออก หุ่นเงาขนาดเท่าฝ่ามือก็ปรากฏขึ้นซึ่งปกคลุมไปด้วยลดวลายโบราณ
เมื่อหวังกงเห็นหุ่นเงาสีดำในมือนาง เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมแต่อดไม่ได้ที่จะหดเกร็งดวงตาตามประสบการณ์ที่มี อันตรายที่ไม่อาจอธิบายได้พวยพุ่งขึ้นในใจ
“ถอย!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงอันตรายรุนแรงแสงก็วูบวาบในดวงตาเขาพลางตะโกนลั่น “ถอยเร็ว!”
ในฐานะที่เป็นคนระวังตัว เขาไม่สามารถละเลยกับความรู้สึกอันตรายได้ นอกจากนี้เขารู้สึกได้ว่าต่อให้พวกเขาจะเคลื่อนไหวแต่ก็อาจไม่มีผลลัพธ์ใดๆ เนื่องจากพวกเขาเลือกเป้าหมายผิดตั้งแต่แรก หญิงสาวที่ดูอ่อนแอท่าทางจะจัดการลำบากที่สุด
หวังกงชะงักร่างอย่างแรงขณะตะโกนพลางถอยกลับไป จอมยุทธ์อีกสามคนรู้สึกงงงวย แต่ทุกคนก็เลือกปฏิบัติตามคำสั่ง
ดังนั้นผู้ชมจึงตกตะลึงเมื่อเห็นหวังกงและลูกน้องล่าถอยไปทันทีหลังจากพุ่งเข้าหาหลินจิ้งประหนึ่งพยัคฆ์ร้ายและอยู่ห่างจากนางเพียงสิบกว่าเมตรเท่านั้น
“ไอ้พวกนี้ทำไรอยู่เนี่ย” ผู้คนต่างสงสัยในการกระทำ
“คิกๆ ในเมื่อเข้ามาแล้วจะถอยทำไมเหรอ?” แต่ตอบสนองต่อการกระทำที่แปลกประหลาดของพวกเขา หลินจิ้งก็เปล่งเสียงหัวเราะอ่อนโยนก่อนที่จะเป่าลมเบาๆ ใส่ตัวหุ่นเงาสีดำในมือ
ฮึ่ม!
รัศมีเย็นสุดขั้วเชี่ยวกรากระเบิดออกจากร่างหุ่นเงาสีดำ รัศมีนี้เป็นสีฟ้าน้ำแข็งขยายออกไปอย่างรวดเร็วในอึดใจ ก่อตัวเป็นเงาสีดำยืนตระหง่านที่ด้านข้างหลินจิ้ง
ร่างเงาสีดำถือหอกยาวไม่มีริ้วอารมณ์ใดบนใบหน้า ทว่าร่างกลับปกคลุมไปด้วยลวดลาย ขณะที่ลวดลายกะพริบแสงเย็นยะเยือกที่น่าสะพรึงกลัวก็เข้าครอบงำพื้นที่ทำให้บรรยากาศตกสู่จุดเยือกแข็ง
ในเวลาเดียวกันความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่าอัศจรรย์ก็ระเบิดออกมาจากร่างเงาสีดำ
ตู้ม!
ทุกคนสูญเสียสีสันบนใบหน้าจากการระเบิดทรงพลังของความผันผวนคลื่นหลิง แม้แต่ชิ้งหย่าและคนอื่นๆ ก็มองไปที่ร่างเงานั้นด้วยความตกตะลึง
“คลื่นหลิงนี้…ระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม?!” มีบางคนอุทานลั่น ไม่มีใครคิดว่าหุ่นเงาในมือของหลินจิ้งจะกลายเป็นนักรบขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม
“นั่นตัวอะไร?” มู่ซันอุทาน
ชิ้งหย่าครุ่นคิดก่อนที่จะอธิบายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “นั่นคือตุ๊กตาวิญญาณเป็นหุ่นเงาที่หายากมาก วิธีการผลิตสลับซับซ้อนมีเพียงเผ่าที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่รู้ข้อมูลละเอียด นอกจากนี้การสร้างยังยากมาก โดยทั่วไปแล้วถ้าจะสร้างหุ่นวิญญาณระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มก็ต้องให้จอมยุท์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายในการสร้าง แต่ถึงอย่างนั้นโอกาสที่จะล้มเหลวก็มีสูง”
มู่ซันและคนอื่นๆ ดวงตาหดเกร็ง ตุ๊กตาวิญญาณที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม? ผู้หญิงคนนั้นคือใคร? สิ่งของล้ำค่าดังกล่าวเป็นสิ่งที่แม้แต่พวกเขาก็ไม่สามารถครอบครองได้
ท่ามกลางสายตาตกตะลึง หลินจิ้งก็ยิ้มหวานขณะมองกลุ่มผีเฒ่าชุดสีเทา นางเอื้อมมือออกมาแตะร่างสีดำข้างตัวและพูดว่า “นี่คือตุ๊กตาน้ำแข็งที่ท่านน้าปิงมอบให้ข้านะ”
พูดถึงตรงนี้นางก็หยุดไปชั่วครู่ก่อนที่จะชี้ไปที่หวังกง “กำจัดพวกมันซะ!”
วาบ!
คำพูดเปล่งออกมา ร่างเงาสีดำก็ลืมตาที่อัดแน่นไปด้วยรัศมีเยือกเย็นปะทุเปรียะ จากนั้นก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ตุ๊กตาวิญญาณตัวนี้มีขุมพลังระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็ม ขณะที่อีกฝ่ายมีเพียงหวังกงที่อยู่ในขั้นเก้าระยะปลายสุดเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีช่องว่างกว้างใหญ่เมื่อเทียบกับหุ่นเงา
ดังนั้นเมื่อร่างเงาสีดำกระโจนเข้ามา ใบหน้าของทั้งสี่ก็เต็มไปด้วยความตกใจก่อนที่จะแยกกันหนี
ฟิ้ว!
แต่ขณะที่พวกเขาแยกกัน จอมยุทธ์แคว้นเซี่ยสามคนก็รู้สึกได้ถึงลมเย็นเยือก คอของพวกเขาเย็นลง เมื่อลดศีรษะมองไปก็เห็นกระบี่ยาวโผล่ออกมาจากลำคอพร้อมกับไอเย็นแผ่ซ่าน ทำให้ทั้งสามคนกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งในทันที
เมื่อหวังกงเห็นทั้งสามคนกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง ไอหนาวเหน็บก็เพิ่มขึ้นในใจ เขาปลดปล่อยพลังทั้งหมดที่มีโดยไม่ลังเลที่จะหนีไป
ชี่!
แต่เมื่อเขาหมุนความเร็วจนถึงขีดสุด เสียงกระบี่ยาวก็กรีดผ่านเนื้อดังก้อง ร่างกายเขาถูกแช่แข็งทันที เมื่อก้มศีรษะลงก็ต้องตกใจเมื่อเห็นปลายแหลมของกระบี่โผล่ออกมาจากหน้าอกตนเอง
ด้านหลังเงาดำปรากฏขึ้นช้าๆ
รัศมีเย็นยะเยือกครอบงำแผ่ออกมาปกคลุมร่างหวังกงก่อนที่จะทำให้กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง
ทุกคนพูดไม่ออกกับฉากนี้
แต่ละคนตกตะลึงเกินพรรณนากับภาพเบื้องหน้าสายตา ในเวลาไม่กี่ลมหายใจจอมยุทธ์แคว้นเซี่ยทั้งสี่ก็กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึก ความหวาดผวาที่มาถึงยิ่งใหญ่กว่าที่มู่เฉินเอาชนะเซี่ยหงเสียอีก
ไม่มีใครคาดคิดว่าหญิงสาวที่ดูไร้พิษสงคนนี้จะมีวิธีที่น่ากลัวอยู่ในมือเช่นนี้
แม้แต่มู่เฉินที่ยืนอยู่บนร่างเทพสุริยะก็ยังมีแววตาตะลึงใจขณะมองไปที่ร่างเงาสีดำ สายตาของเขาเคร่งเครียดลงไปหลายส่วน
ความเร็วของตุ๊กตาวิญญาณและความครอบงำของไอเย็นเยือก อันตรายยิ่งนัก ถ้าไอเย็นนั้นเข้าร่างแม้แต่คลื่นหลิงก็คงถูกแช่แข็งทันที
ถ้าคลื่นหลิงในร่างไม่เคยหลอมรวมกับเพลิงชนิดใดๆ คงไม่สามารถต้านไอเย็นที่เข้ามาในร่างได้
เผชิญหน้ากับตุ๊กตาวิญญาณเช่นนี้ ต่อให้เป็นมู่เฉินในตอนนี้ก็ยากที่จะต่อกรด้วย หากต่อสู้กันเขาอาจเอาชีวิตรอดได้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายมัน
“สมเป็นองค์หญิงน้อยแคว้นหวูแท้จริง…” มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นหุ่นเงาที่ทรงพลังเช่นนี้ รากฐานของแคว้นหวูลึกล้ำเกินหยั่งถึง
ในขณะนี้แม้แต่เขาที่มีจิตใจสงบก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมา
หากเขามีตุ๊กตาวิญญาณที่ทรงพลังสักตัว เขาต้องสู้กับเซี่ยหงเองซะที่ไหน? สิ่งที่เขาต้องทำคือโยนมันออกไปแล้วให้หุ่นจัดการกับสถานการณ์ทั้งหมด
ขณะที่ถอนหายใจมู่เฉินก็มองไปที่เซี่ยหงที่หวาดผวารุนแรง เมื่อรู้สึกถึงสายตาของมู่เฉินร่างกายเขาก็สั่นสะท้านก่อนจะเงยหน้าขึ้น เขาเห็นจิตสังหารอันเฉยเมยในดวงตาของมู่เฉิน
การออกคำสั่งก่อนหน้านี้ชัดว่าไปกระตุ้นจิตสังหารของมู่เฉินแล้ว
เมื่อรู้สึกถึงไอสังหารของมู่เฉินหัวใจของเซี่ยหงก็เย็นชาลง สายตาเปลี่ยนไป จากนั้นเขาก็กระแทกฝ่ามือลงบนพื้นผลักร่างกลายเป็นลำแสงพยายามจะหลบหนี
เมื่อมู่เฉินเห็นฉากนี้ แววตาก็เย็นชาลง มือของร่างเทพสุริยะพุ่งทะลุมิติคว้าตัวเซี่ยหงไว้
ตู้ม!
ภายใต้มือขนาดใหญ่ลำแสงสามสายก็พุ่งออกมาเป็น หอก ชุดเกราะและมุกหิน
นี่ก็คือหอกและเกราะสงครามมังกรแดงและไข่มุกทะเลเดือดที่เซี่ยหงซื้อในการประมูล
เมื่อมองไปที่อาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสามที่พุ่งออกมากะทันหัน มู่เฉินก็ตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนจะหมุนเวียนพลังงานคว้าของทั้งสามไว้ในฝ่ามือ
อ็อก!
ทันใดนั้นเซี่ยหงก็พ่นเลือดออกมาคำหนึ่ง ห่อหุ้มร่างกลายเป็นลำแสงโลหิตพุ่งผ่านมิติด้วยความเร็วไม่อาจอธิบายได้
“ของสามชิ้นนี้ยังไม่พอจ่ายค่าชีวิตแกหรอก!”
สายตามู่เฉินวูบไหว อึดใจเนตรดับชีวิตก็เปิดขึ้นบนหน้าผาก ลำแสงสีดำพุ่งทะลุมิติไล่ตามลำแสงโลหิตและทำลายแขนข้างหนึ่งของเซี่ยหงทิ้ง
อ้ากๆๆๆ!
เสียงร้องแหลมดังก้อง มิติบิดเบี้ยว ลำแสงโลหิตห่อหุ้มเซี่ยหงแล้วหนีไป
“มู่เฉิน ข้าจะฉีกแกเป็นชิ้นๆ แน่!” เมื่อลำแสงโลหิตหายไป เสียงคำรามน่าอนาถของเซี่ยหงก็ดังก้องระหว่างฟ้าดิน
มู่เฉินยิ้มให้กับเสียงเห่านั่น สุนัขจรจัดไม่เป็นภัยคุกคาม ยิ่งไปกว่านั้นแคว้นเซี่ยก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายในครั้งนี้แล้ว
เขาก้มศีรษะมองไปที่รูปปั้นสิงโตบนลานประลองที่มีม้วนกระดาษสีทองวางไว้
นี่เป็นใบรับรองหนี้ที่เซี่ยหงเขียนไว้ก่อนหน้านี้
ลูกหนี้—แคว้นเซี่ย
เจ้าหนี้—แคว้นหวู
บทที่ 1105 การเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์
ลานประลองตกอยู่ในสภาพวินาศสันตะโร
ตึกรามบ้านช่องโดยรอบถูกทำลายยับเยิน รอยแตกลึกมากมายกระจายบนพื้น แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของการต่อสู้ที่เกิดขึ้นที่นี่
บนท้องฟ้ามู่เฉินมองตรงทิศที่เซี่ยหงหลบหนีไปด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ว่าอย่างไรเซี่ยหงก็คือองค์ชายแคว้นเซี่ยดังนั้นต้องมีวิธีปกป้องชีวิตตัวเองไว้อยู่แล้ว ความเร็วก่อนหน้าแม้แต่เขาก็ไม่สามารถตามทันได้ แต่เห็นได้ชัดว่าวิธีหลบหนีนี้จะส่งผลกระทบใหญ่หลวง ในอนาดตเซี่ยหงคงต้องทนทุกข์ทรมานแน่
ยิ่งกว่านั้นมู่เฉินเฉือนแขนข้างหนึ่งของเซี่ยหงไปแล้ว แม้ว่าจะสามารถงอกใหม่ได้ด้วยยาอายุวัฒนะและยา แต่ก็ต้องใช้เวลารักษานานพอควร
มู่เฉินจึงไม่ใส่ใจเรื่องเซี่ยหงอีกต่อไป แม้ว่าวันนี้เขาจะทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บหนักหน่วง เขาก็ไม่ได้กังวลอะไร เนื่องจากนี่ถือว่าเป็นการประลองระหว่างจอมยุทธ์รุ่นใหม่ ถึงแม้จะทำให้ฮ่องเต้เซี่ยโกรธขึ้น ทว่าถ้าแคว้นเซี่ยคิดจะเป็นศัตรูกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ด้วยเหตุนี้ก็ต้องจ่ายในราคามหาศาลเช่นกัน
ด้วยตอนนี้วังสวรรค์บรรพกาลปรากฏขึ้นแล้ว ทุกคนต่างให้ความสนใจ ดังนั้นฮ่องเต้เซี่ยคงไม่เต็มใจที่จะเปิดศึกกับขั้วอำนาจที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายอย่างแท้จริง
“อาวุธเสมือนมหสวรรค์สามชิ้น ช่างเป็นคนใจกว้างเพื่อรักษาชีวิตของตัวเองจริงๆ”
เมื่อระงับความคิดที่พลุ่งพล่านในใจ มู่เฉินก็มองไปที่ก้อนแสงสามกลุ่มในฝ่ามือยิ่งใหญ่ของร่างเทพสุริยะ เกลียวแสงสีทองก่อร่างเป็นม่านกั้นห่อหุ้มกลุ่มแสงทั้งสามเอาไว้
ทั้งสามชิ้นเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ที่เซี่ยหงโยนออกมาก่อนหน้านี้ สองในสามก็คือหอกและเกราะสงครามมังกรแดงที่เป็นอาวุธครบชุด พลังไม่ธรรมดา ด้วยความช่วยเหลือจากชุดอาวุธนี่ทำให้เซี่ยหงสามารถสู้กับมู่เฉินในระดับที่เท่าเทียมกัน มู่เฉินจึงรู้สึกสนใจอาวุธชุดนี้มากทีเดียว
จากการประเมินมูลค่าของชุดอาวุธนี่สูงกว่าไข่มุกทะเลเดือดมาก
และเป็นเพราะมีค่าสูงนี่เองจึงทำให้มู่เฉินถูกขัดขวางและให้โอกาสเซี่ยหงหนีไปได้ สุดท้ายกระทั่งคนอย่างมู่เฉินยังถูกล่อลวงจากอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสามชิ้น
ถ้าเขาไม่ได้คว้าอาวุธทั้งสามชิ้นนี้ไว้ พวกมันก็คงพุ่งไปที่ผู้ชมรอบด้านแน่ ซึ่งทำให้เกิดความโกลาหลใหญ่ มิหนำซ้ำเขาอาจก่อให้เกิดความโกรธเกรี้ยวของสาธารณชน หากต้องการที่เข้าไปยึดครองในเวลานั้น
ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากคว้าไว้ให้ทัน
“ข้าโดนมันเล่นกลซะได้” มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เซี่ยหงถือได้ว่าเป็นคนฉลาดมากเพราะรู้ว่าต้องจ่ายราคาเท่าไรถึงจะหยุดมู่เฉินชั่วครู่
แม้ว่าจะถูกเล่นกล แต่มู่เฉินก็ไม่โกรธ การเล่นกลที่ทำให้เขาได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์สามชิ้น เขาหวังว่ายิ่งเยอะยิ่งดี
ขณะที่มู่เฉินบ่นพึมพำกับตัวเอง ทุกคนที่อยู่รอบๆ ก็มองไปที่อาวุธทั้งสามด้วยความโลภในดวงตา ราคารวมของอาวุธเหล่านั้น ตีเป็นราคาของเหลวจื้อจุนอย่างน้อยสี่สิบล้านหยดได้
ทว่าก็ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหว ไม่ต้องพูดถึงพลังที่มู่เฉินแสดงจนประจักษ์แก่สายตา แค่หลินจิ้งที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ก็เพียงพอที่จะข่มขู่พวกเขาแล้ว
มู่เฉินไม่ได้ใส่ใจสายตาเหล่านั้น เขาสะบัดแขนเสื้อกลุ่มแสงเข้ามาหา หมุนคว้างรอบตัวตกลงในฝ่ามือ
เคล้าคลึงไว้ในมือได้ก็กระทืบเท้า ร่างเทพสุริยะก็ราวกับภาพมายาจางหายเป็นประกายแสงสีทอง
ภายใต้การจับตามองมากมาย มู่เฉินก็กลับไปหาจิ่วโยวกับหลินจิ้งก่อนจะยื่นมือออกไป “รางวัลผู้ชนะ ถ้าชอบชิ้นไหนก็หยิบไปได้เลย”
หลินจิ้งยิ้มพลางเหลือบมองอาวุธทั้งหมดแวบหนึ่งแล้วก็หมดความสนใจ ด้วยฐานะของนางไม่ต้องพูดถึงอาวุธเสมือนมหสรรค์ ขนาดอาวุธมหสวรรค์ก็ยังมีได้ ดังนั้นอาวุธเหล่านี้ที่สามารถล่อใจจอมยุทธ์ทั่วไป ไม่มีอะไรน่าสนใจในสายตานางเลย
ดังนั้นนางจึงส่ายหัวโบกมือเรียกม้วนกระดาษมา
“นี่ต่างหากอาหารจานหลัก” หลินจิ้งโบกม้วนกระดาษทองคำในมือพร้อมกับยิ้มตาหยี “ไม่ต้องห่วง เมื่อข้าเก็บหนี้ได้แบ่งให้เจ้าครึ่งหนึ่งแน่นอน!”
มู่เฉินยิ้มขณะที่ส่งความเสียใจไปยังแคว้นเซี่ยเงียบๆ ด้วยสถานะของหลินของเหลวจื้อจุนร้อยล้านหยดอาจยากที่จะล่อลวงนาง แต่นางกลับรู้สึกตื่นเต้นกับการไปเก็บหนี้
ตราบใดที่องค์หญิงน้อยแห่งแคว้นหวูจริงจังขึ้นมา แคว้นเซี่ยก็ถึงคราวซวยแล้ว
นอกจากนี้มู่เฉินก็คาดไว้แล้วว่าหลิงจิ้งคงไม่สนใจอาวุธทั้งสาม ดังนั้นเขาจึงหันไปมองจิ่วโยวแทน
จิ่วโยวที่คุ้นเคยกับเขาดีเลือกหยิบไข่มุกทะเลเดือดไปแล้วยิ้มให้ “หอกและเกราะสงครามมังกรแดงเป็นชุดอาวุธ หากแยกออกจากกันพลังก็จะอ่อนแอลง ดังนั้นเจ้าเก็บไว้เองเถอะ”
ตอนนี้ที่ดินแดนสุดขอบตะวันตกเต็มไปด้วยเหล่าอัจฉริยะของทวีปเทียนหลัว เซี่ยหงที่พ่ายแพ้อยู่ในลำดับที่ยี่สิบของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่เท่านั้น มู่เฉินจะต้องพบกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งขึ้นกว่านี้แน่นอน นอกจากนี้ยังต้องรับมือกับลำดับสาม…จาโหลหลัวจากตำหนักเทพปีศาจด้วย
การเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์เหล่านี้ แม้แต่มู่เฉินก็คงยากที่จะจัดการ ดังนั้นจิ่วโยวจะไม่แตะต้องอะไรที่ช่วยเสริมความสามารถให้กับมู่เฉิน
เมื่อเห็นดังนี้ มู่เฉินก็ไม่ได้ปฏิเสธ เนื่องจากเขาสนใจอาวุธทั้งสองชิ้นนี้ ถ้าได้ครอบครองก็ช่วยเพิ่มพลังให้เขาไม่น้อยเลยทีเดียว
มู่เฉินพลิกมือเก็บอาวุธไป และตั้งใจจะหาเวลาที่จะชำระให้เร็วที่สุด
จากนั้นก็เงยหน้ามองผู้คนรอบตัวอย่างใจเย็น ตั้งแต่มารวมตัวกันที่นี่ คนเหล่านั้นก็ไม่ได้มีเจตนาที่ดี ถ้าวันนี้เขาแสดงให้เห็นว่าอ่อนแอก็คงถูกขย้ำไปแล้ว
เมื่อมู่เฉินกวาดสายตา แต่ละคนก็เบนหลบอย่างรู้สึกขยาด หลังจากได้เห็นว่ามู่เฉินเอาชนะเซี่ยหงได้อย่างไร พวกเขาก็ไม่กล้าดูถูกอีกฝ่ายที่มีขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า แววตาแต่ละคนเต็มไปด้วยความหวาดกลัวล้นเอ่อในหัวใจ
“ยังมีใครสนใจป้ายโบราณในมือข้าอีกไหม? ถ้าเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ข้ารับคำท้าได้” มู่เฉินยิ้มอ่อนมองไปที่ทุกคน
พูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดชะงักพลางเอ่ยต่อ “แต่ถ้าแพ้ขึ้นมา หวังว่าจะจ่ายในราคาได้เหมือนองค์ชายสี่นะ”
ทุกคนใบหน้าบิดเบ้กับประโยคดังกล่าว เซี่ยหงพยายามใช้ประโยชน์จากความเหนือกว่า แต่กลับสิ้นท่า ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับป้ายโบราณไปเขายังกลายเป็นหินรองเท้าสำหรับมู่เฉินและสูญเสียสมบัติล้ำค่าอีกด้วย
นั่นไม่ใช่ราคาเล็กน้อยเลย
ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าท้าทายต่อคำพูดของมู่เฉิน
“ฮ่าๆ ป้ายวังสวรรค์บรรพกาลซื้อไปโดยจอมพลมู่แล้ว คนอื่นจะมีความคิดแย่งชิงไปได้อย่างไร? แต่ข้าคิดว่าชื่อเสียงของจอมพลมู่คงจะขจรขจายไปทั่วดินแดนสุดขอบตะวันตกแห่งนี้ในอีกไม่นาน เดี๋ยวเจ้าคงได้ก้าวไปอยู่ในอันดับบนทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่แล้ว” ชิ้งหย่ายิ้มอ่อนโยนทำลายความเงียบลง
มู่เฉินมองไปที่ชิ้งหย่า ตึกฟ้าเหวสมกับการเป็นตัวแทนขายข่าวกรองยิ่งใหญ่ รู้กระทั่งตัวตนของเขาในอาณาเขตกงเวทสวรรค์
“งั้นข้าขอขอบคุณทุกคน” มู่เฉินประสานมือยิ้มให้
ผลลัพธ์การต่อสู้วันนี้เป็นสิ่งที่บรรลุความต้องการของมู่เฉิน หลังจากสู้กันครั้งนี้แม้ว่าจะมีบางคนอยากเป็นเจ้าของป้ายโบราณ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าโจมตีอย่างง่ายดายอีก ซึ่งช่วยลดปัญหาไปมาก
ชิ้งหย่ายิ้มบาง “ปิดศึกนี้แล้ว ไม่ทราบว่าพี่มู่ยินดีที่จะไปพูดคุยกับพวกเราหน่อยไหม?”
คำว่าเราของนางหมายรวมถึงมู่ซันและเจียงหลิงด้วย พวกเขาต่างเป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะของทวีปเทียนหลัว ซึ่งมีชื่อเสียงไม่ด้อยไปกว่าเซี่ยหงเลย
เมื่อได้ยินมิตรภาพที่นางมอบให้ มู่เฉินก็ประหลาดใจก่อนที่จะยิ้ม “ข้ากำลังต้องการเช่นกัน”
ตึกฟ้าเหว สำนักมังกรซ่อนและสำนักกระบี่แดนสรวงล้วนเป็นขั้วอำนาจชั้นยอดของทวีปเทียนหลัว ถ้าสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้ มู่เฉินจะปฏิเสธพวกเขาได้อย่างไร เขาไม่ได้โง่และไม่สนุกกับการท้าทายผู้คนทั่วสารทิศ ปัญหาครั้งนี้เซี่ยหงเป็นคนแกว่งเท้าหาปัญหาก่อน
เมื่อชิ้งหย่า มู่ซันและเจียงหลิงเห็นว่ามู่เฉินมีน้ำใจไม่ได้ปฏิเสธการเชิญชวน สายตาที่มองมาจึงเป็นมิตรมากขึ้น
อย่างน้อยมู่เฉินก็ดูจะพูดคุยง่ายกว่าเซี่ยหง
พวกมู่เฉินจัดการเรื่องราวเรียบร้อยก็ออกไปพร้อมกับพวกชิ้งหย่า มารวมตัวกันที่คฤหาสน์ของชิ้งหย่า
มู่เฉินรู้สึกได้ว่าชิ้งหย่าและคนอื่นๆ พยายามตรวจสอบที่มาที่ไปของหลินจิ้ง แต่ทั้งหมดก็ต้องหน้าหงายกลับไปจากฝีมือตอกนิ่มๆ ของหลินจิ้ง เห็นได้ชัดว่านางไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนองค์หญิงน้อยแห่งแคว้นหวูกับพวกเขา
แม้ว่าหญิงสาวดูเหมือนเป็นคนคุยง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่นางจะปฏิบัติต่อใครสักคนในฐานะเพื่อน
เมื่อเห็นว่าการหยั่งเชิงไม่เป็นผล พวกชิ้งหย่าก็ล้มเลิกความตั้งใจ หันไปพูดคุยกับพวกมู่เฉินเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในดินแดนสุดขอบตะวันตก ซึ่งมู่เฉินให้ความสนใจข่าวเกี่ยวกับวังสวรรค์บรรพกาล
การรวมตัวของพวกเขาดำเนินไปจนถึงค่ำมืดก่อนที่จะอำลากัน
ระหว่างการอำลา ชิ้งหย่าก็ลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะเตือนมู่เฉินว่า “พี่มู่ เจ้าต้องระวังคนคนหนึ่งหลังจากทำให้เซี่ยหงบาดเจ็บหนักในวันนี้”
“โอ้? ใครรึ?” มู่เฉินหดตาลง
ชิ้งหย่าพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เซี่ยหยู่”
หัวใจของมู่เฉินโลดขึ้น เขาระบุตัวตนของชายคนนี้ได้ทันที
องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเซี่ย
อันดับสี่บนทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งทวีปเทียนหลัว เป็นรองจาโหลหลัวลำดับหนึ่ง!
บทที่ 1106 ทำเนียบจอมยุทธ์
ข่าวการประลองที่เมืองซียังคงกระจายไปทั่วต่อให้ผ่านมาหลายวัน
ทำให้จอมยุทธ์ส่วนมากในดินแดนสุดขอบตะวันตกรู้ข่าวว่ามีจอมยุทธ์จากอาณาเขตกงเวทสวรรค์แห่งภูมิภาคทางเหนืออยู่ในเมืองซี
ชื่อของมู่เฉินก็เป็นที่รู้จักของขั้วอำนาจอื่นๆ ไปแล้ว
มู่เฉินไม่สนใจเกี่ยวกับชื่อเสียงของตนเองที่ขจรขจายไปไกล หลังจากเอาชนะเซี่ยหงแล้วเขาก็ไม่รีบร้อนที่จะออกจากเมือง ถึงยังไงที่นี่ก็คือสถานที่รวบรวมข้อมูลและเนื่องจากความพ่ายแพ้ของเซี่ยหงจึงไม่มีใครกล้าก่อปัญหาใดๆ กับเขา สภาพแวดล้อมเงียบสงบนี้เป็นสิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้
ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่ในเมืองไปอีกหลายวัน แต่ในหลายวันนี้พวกเขากลับไม่ได้ทำตัวเด่นเพียงเพราะเอาชนะเซี่ยหง
ภายใต้การไม่ทำตัวเด่นของกลุ่มมู่เฉินก็ทำให้ทุกคนที่ให้ความสนใจค่อยๆ เปลี่ยนไปที่อื่น เพราะยังไงตอนนี้ก็จอมยุทธ์ชั้นสูงจำนวนมากมารวมตัวกันในเมืองซี จึงมีเรื่องต่างๆ นานาเกิดขึ้นตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่สนใจที่จะจับตามองไปที่คนคนเดียว
เพราะท้ายที่สุดคนที่มู่เฉินเอาชนะคือเซี่ยหงไม่ใช่องค์ชายใหญ่—เซี่ยหยู่…
ในสวนเงียบสงบ
ครืน!
ทันใดแสงหลิงขนาดมหึมาก็ระเบิดขึ้นในอากาศ ลวดลายสลับซับซ้อนหลอมรวมกันในชั้นบรรยากาศเชื่อมโยงกันและกันก่อตัวเป็นค่ายกลแสงตระการตา เอิบอาบด้วยความผันผวนที่โบราณและลึกซึ้ง
มู่เฉินยืนอยู่ในค่ายกลขนาดใหญ่ ดวงตาหรี่ลงจ้องมองไปที่ลวดลายแสงซับซ้อนนับไม่ถ้วน อึดใจเขาก็สะบัดแขนเสื้อ แสงสีขาวหลายสายพุ่งออกมาจากมือ
เมื่อแสงสีขาวยิงออกมาก็มีเสียงคำรามเปล่งออกมาด้วย มองให้ละเอียดก็จะพบว่าในแสงสีขาวเป็นโครงกระดูกหยก ซึ่งมีพลังอำนาจมังกรเบาบางแผ่ซ่านออกมา
โครงกระดูกเหล่านั้นก็คือกระดูกมังกร
เมื่อกระดูกมังกรรวมเข้ากับค่ายกล ก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พลังงานหลิงน่ากลัวควบแน่นกันรุนแรงบรรจบบนกระดูกมังกร
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
คลื่นหลิงในค่ายกลทวีความรุนแรงมากขึ้น รอยแตกปรากฏที่กระดูกมังกรเหล่านั้นก่อนที่จะระเบิดออก
ตู้ม!
พลังงานหลิงป่าเถื่อนระเบิดขึ้นทำลายค่ายกลทั้งหมดทันที
มู่เฉินถอนหายใจด้วยความผิดหวังเมื่อเห็นภาพนี้จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก่อตัวขึ้นเป็นม่านพลังปิดกั้นคลื่นกระแทกอย่างสมบูรณ์
“ค่ายกลระดับจงซือ ต่อให้ไม่สมบูรณ์ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดเรียง นอกจากนี้ยังซับซ้อนจนเหลือเชื่อ ความผิดพลาดเศษเสี้ยวเดียวก็ยากจะรักษารูปแบบไว้”
สีหน้ามู่เฉินเคร่งขรึมลงมาก เขาพยายามสร้างค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารตลอดหลายวันที่ผ่านมา แต่น่าเสียดายที่ไม่เคยทำสำเร็จเลยสักครั้ง
มู่เฉินส่ายหัว แต่ไม่ได้รู้สึกท้อแท้เพียงเพราะเหตุนี้ นั่นเพราะเขารู้สึกได้ว่าพร้อมกับความล้มเหลวทุกครั้งจะทำให้สามารถรับรู้ได้ว่าตนเองผิดพลาดตรงไหน ตราบใดที่เขาแก้ไขข้อผิดพลาดเหล่านั้นได้ เขาเชื่อว่าจะสามารถสร้างค่ายกลระดับจงซือนี้ได้สำเร็จ
ทว่านี่ยังต้องใช้เวลา
“ล้มเหลวอีกแล้วเหรอ?” จิ่วโยวที่กำลังฝึกฝนอยู่เบื้องหลังปรือตาขึ้นมองไปที่มู่เฉิน
“นี่เป็นค่ายกลระดับจงซือถึงจะยังไม่สมบูรณ์ก็ยากที่จะเข้าใจ อันที่จริงก็น่านับถือมากแล้วที่สามารถสร้างรูปแบบคร่าวๆ ได้ในระยะเวลาอันสั้น” ในเก๋งหินหลินจิ้งพูดพลางเงยหน้าขึ้นมองค่ายกลที่สลายไปพร้อมกับความประหลาดใจวูบไหวในดวงตา ขณะที่นางเอนตัวด้วยท่าทางเกียจคร้านในผ้าห่มขนนุ่มมีหนังสือโบราณอยู่ในมือ พิจารณาจากหน้าปกหนังสือเล่มนี้ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝน แต่เป็นบันทึกผลไม้แปลกประหลาดและเป็นเอกลักษณ์ นางพลิกหน้ากระดาษไปมาด้วยความสนใจและกระหายอยาก
แม้ว่านางจะไม่ใช่หลิงเจิ้นซือ แต่ก็เคยเห็นค่ายกลระดับจงซือมาแล้ว ดังนั้นสายตาจึงไม่ธรรมดา
ดังนั้นนางจึงรู้ชัดว่าเป็นเรื่องที่น่ายกย่องสำหรับมู่เฉินที่สามารถสร้างค่ายกลระดับจงซือที่ไม่สมบูรณ์ได้ในเวลาเพียงสิบวัน
มู่เฉินยิ้มจากการประเมินของหลินจิง แต่ไม่รู้สึกภาคภูมิใจอะไร
“คนที่ให้ความสนใจเราน่าจะน้อยลงแล้วมั้ง?” มู่เฉินเดินเข้าไปในเก๋งหินถามถานชิวที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยความเคารพ
ถานชิวพยักหน้าพลางยิ้ม “แม้ว่าจะมีบางคนที่ดื้อรั้น แต่ก็ไม่กล้าดูเราแบบหน้าด้านอีกแล้ว”
มู่เฉินพยักหน้า ดูเหมือนว่าการขู่จากความพ่ายแพ้ของเซี่ยหงค่อนข้างได้ผล มิฉะนั้นพวกเขาอาจถูกขั้วอำนาจอื่นๆ รบกวนตลอดก็ได้
“นอกจากนี้เราได้รับข่าวจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ว่ากองทัพพันธมิตรจะมาถึงที่นี่ในอีกห้าวัน” ถานชิวรายงาน
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจ ตอนนี้จอมยุทธ์หัวกะทิจำนวนมากมารวมตัวกันในเมืองซี แต่ละคนล้วนมีขั้วอำนาจเป็นภูมิหลัง ถ้ามั่นถัวหลัวและคนอื่นๆ ยังมาไม่ถึง มู่เฉินก็ต้องอยู่แบบเงียบๆ ต่อ กลัวว่าจะไปดึงดูดความสนใจของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ถึงตอนนั้นถ้าไม่มีใครในระดับเดียวหนุนหลัง งานนี้คงถึงวาระแน่
“นอกจากนี้ก่อนหน้าที่นายท่านมู่สั่งให้เรารวบรวมข้อมูล เราทำเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” ถานชิวหยิบม้วนหนังส่งให้มู่เฉินด้วยความเคารพ
“ไม่เลว” มู่เฉินยิ้มบางชมเชยก่อนจะรับม้วนหนังไป เขาสั่งให้พวกถานชิวรวบรวมข้อมูลสำคัญในช่วงสองวันที่ผ่านมาเกี่ยวกับการจัดอันดับจอมยุทธ์รุ่นใหม่
ออกจากภาคเหนือเข้าสู่ทวีปเทียนหลัว เขาก็ตระหนักถึงน้ำหนักการจัดอันดับ ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มคนหัวกะทิรุ่นใหม่ ทุกคนได้รับการยกย่องในความสำเร็จที่ไม่อาจประมาทได้
แสงแวววาวแล่นพล่านเมื่อเขาเปิดม้วนหนังซึ่งบนยอดเขียนไว้ว่า ‘ทำเนียบจอมยุทธ์’ จากนั้นคำอื่นๆ ก็เริ่มปรากฏขึ้น
“อันดับยี่สิบ มู่เฉินจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์แห่งภูมิภาคทางเหนือ มีขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า ฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์ลึกลับ ความสามารถในการต่อสู้ไม่ธรรมดา เอาชนะเซี่ยหงองค์ชายสี่แคว้นเซี่ยที่เมืองซีทำให้ชื่อเสียงขจรขยาย
มู่เฉินอึ้งไปกับข้อความแรก เนื่องจากเขาไม่คิดว่าชื่อตัวเองจะไปปรากฏในอันดับยี่สิบ เมื่อพิจารณาจากวิธีนี้ การจัดอันดับน่าจะเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้ง
มู่เฉินจำได้ว่าอันดับของเซี่ยหงอยู่ที่ยี่สิบ ดังนั้นการที่มู่เฉินเอาชนะได้ จึงเข้าแทนที่เซี่ยหงทันที
มู่เฉินส่ายหัวไม่ได้ใส่ใจอันดับตัวเองมากนัก เขาอ่านข้อมูลต่อไป
“อันดับสิบเก้า ลู่ซันศิษย์เอกจากสำนักกำราบภูผา ขุมพลังระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้น ฝึกฝนร่างกำราบภูผา มีพลังมหาศาลสามารถถอนภูเขาได้”
“…”
“อันดับสิบหก หวังทงเสียน…”
“อันดับสิบสาม…”
ข้อความยังคงปรากฏขึ้นและทุกคำต่างเป็นตัวแทนของจอมยุทธ์รุ่นใหม่ในทวีปเทียนหลัว พลังและความสำเร็จสร้างความประหลาดใจให้มู่เฉิน ในแง่ของคุณภาพสูงกว่าจอมยุทธ์เผ่าเทพอสูรที่เคยพบในดินแดนเสินโซ่เสียอีก!
เมื่อข้อความยังปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ สายตาของมู่เฉินก็เคร่งเครียดลง เพราะตอนนี้ชื่ออันดับห้าเผยออกมาแล้ว…
“อันดับห้า ฉินจิงเจ๋อประมุขน้อยแห่งสำนักกระบี่บัวเขียว ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด ฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์ยอดเยี่ยมของสำนักชื่อว่าร่างกระบี่บัวเขียว อันดับสี่สิบเก้าในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง เคยเผชิญหน้าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดสามคนและไม่พ่ายแพ้”
“สู้แบบสามต่อหนึ่งและไม่แพ้ น่าเกรงขามนัก”
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ แม้ว่าจะไม่ได้ระบุว่าฉินจิงเจ๋อได้รับชัยชนะ แต่การยืนหยัดอยู่ได้อย่างไม่พ่ายแพ้เพียงอย่างเดียวก็พิสูจน์ได้ว่าทรงพลังเพียงใด สมควรได้รับลำดับห้าจริงๆ
ขณะที่ถอนหายใจ มู่เฉินก็มองต่อไปที่ข้อความ จากนั้นก็หรี่ตาลงเล็กน้อย
“อันดับสี่ เซี่ยหยู่องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเซี่ย ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด ฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์อันดับสี่สิบห้าในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่างชื่อว่าร่างราชันฟากฟ้า ว่ากันว่าสามารถต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มได้”
“ร่างราชันฟากฟ้า…”
มู่เฉินหดตาลง ร่างราชันฟากฟ้าทรงพลังมากกว่าร่างอสูรเก้าฉกาจที่เซี่ยหงได้รับการฝึกฝน สมกับเป็นองค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเซี่ย
ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าความสำเร็จจะไม่ชัดเจน แต่เพียงแค่คำพูดที่บอกว่าเทียบได้กับระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว
ดูเหมือนว่าเขาจะต้องระมัดระวังเมื่อเผชิญหน้ากันในอนาคต
“อันดับสาม จาโหลหลัวจอมยุทธ์ฟ้าประทานจากตำหนักเทพปีศาจ ฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์ลึกลับที่ไม่ได้จัดอยู่ในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่างแต่ก็ทรงพลังมาก ครั้งสุดท้ายที่ลงมือคือหนึ่งปีก่อน ซึ่งได้ไล่ล่าผู้อาวุโสขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดและสังหารผู้ทรยศ”
“ตอนนี้เหมือนจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว การประเมินผลไม่อาจหยั่งรู้ได้”
มู่เฉินมองข้อความเหล่านั้นโดยไม่ได้เลื่อนสายตา จาโหลหลัวร้ายกาจแท้จริง เขาสามารถฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด ถ้าตอนนี้เข้าสู่ระยะเต็มแล้ว เขาก็คงยืนอยู่ที่ด้านบนสุดของพีระมิดภายใต้ระดับตี้จื้อจุนเท่านั้น
นี่เป็นคู่ต่อสู้ตัวฉกาจ
ทว่าคนอย่างมู่เฉินก็ไม่ได้กลัว ที่จริงดวงตาเขาลุกโชนด้วยไฟแห่งการต่อสู่อีกต่างหาก เส้นทางของยอดยุทธ์จำเป็นต้องก้าวไปข้างหน้าโดยไม่กลัวคู่ต่อสู้ใดๆ
“คราวนี้เจ้าคือคู่ต่อสู้ของข้า!”
มู่เฉินแตะข้อความเหล่านั้นพร้อมกับดวงตาสาดประกายคมกล้า
หลังจากอึดใจสั้น ๆ เขาก็ระงับไฟการต่อสู้ลงก่อนที่จะมองไปที่ข้อมูลจอมยุทธ์อีกสองคนด้วยความอยากรู้อยากเห็นในใจ เขาอยากรู้มากว่าอัจฉริยะประเภทไหนที่ได้รับการจัดอันดับสูงกว่าคนอย่างจาโหลหลัวอีก?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น