หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1097-1100
บทที่ 1097 ยืมหัว
ป้ายทองคำโบราณลอยเงียบที่เบื้องหน้ามู่เฉิน
โดยไม่มีอะไรสะท้อนออกมาราวกับว่าเป็นหลุมดำที่ดูลึกลับ
มู่เฉินจ้องเขม็งที่ป้ายทองคำพลางเหยียดแขนออกไปปล่อยให้ป้ายตกลงบนฝ่ามือ นิ้วมือลูบไล้ไปตามพื้นผิว แม้คำว่า ‘สอง’ ที่เขียนไว้บนนั้นจะเลือนราง แต่ก็ทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้
มู่เฉินฉายสีหน้าเคร่งเครียดขณะคลื่นหลิงไหลเวียนพยายามเทลงไปในป้ายโบราณ แต่ก็ไม่มีผลสะท้อนใดๆ ป้ายโบราณยังคงเงียบสงบดูราวกับว่าเป็นแค่วัตถุธรรมดา
“มาดูกันว่าข้าจะชำระได้ไหม…”
เมื่อเห็นว่าการตรวจสอบไม่ได้ผล มู่เฉินก็หยดเลือดสองสามหยดลงไปหลังจากลังเลชั่วครู่ ทำให้คลื่นหลิงกลายเป็นเปลวไฟห่อหุ้มพยายามชำระให้จงได้
แต่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากป้าย มีเพียงหยดเลือดกลิ้งไปมาบนพื้นผิวเท่านั้น ไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปได้
ดูเหมือนจะมีการปกป้องที่ทรงพลังที่ไม่สามารถตรวจจับได้ปิดกั้นไม่ให้สิ่งใดเข้ามา
หลังจากใช้เพลิงอมตะแผดเผาอยู่นานแล้วไม่ได้ผล มู่เฉินได้แต่ถอนหายใจด้วยความผิดหวัง ป้ายนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแงะความลับออกมา แต่มู่เฉินก็ไม่ได้รู้สึกปวดใจมากกับราคาที่จ่ายไปมากมายมหาศาล เนื่องจากยิ่งแงะความลับยากก็ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความลึกซึ้งและนัยสำคัญ
เมื่อไรที่เขาสามารถวิเคราะห์ความลึกลับออกมาได้ละก็ มูลค่าก็คุ้มยิ่งกว่าราคาที่จ่ายไปแน่นอน
เมื่อเพลิงอมตะจางหายไป ป้ายทองคำก็ตกลงบนมืออีกครั้ง มู่เฉินกำมือจับเอาไว้ สัมผัสได้ถึงความลึกซึ้งที่ละเอียดอ่อน แต่การรับรู้นั้นอ่อนแอเกินไปจึงไม่สามารถติดตามไปยังแหล่งที่มาได้
แต่ด้วยเหตุนี้มู่เฉินก็มั่นใจว่าวัตถุชิ้นนี้จะต้องเป็นของจอมพลสองแห่งวังสวรรค์บรรพกาล นั่นเป็นเพราะมีแรงกดดันโบราณทรงพลังเล็ดลอดออกมา ซึ่งแม้จะเป็นเศษเสี้ยวที่หลงเหลือไว้จากหลายหมื่นปี ก็ทำให้มู่เฉินตกตะลึงในใจ
คนที่สามารถทำสิ่งนี้ได้จะต้องอยู่ในระดับจอมพลผู้นำหอเท่านั้น
“ดูเหมือนข้าต้องค่อยๆ วิเคราะห์ไป…” มู่เฉินตัดสินใจหยุดลงก่อนนี่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน บางทีนี่อาจใช้ได้หลังจากเข้าสู่ซากโบราณของวังสวรรค์บรรพกาล เมื่อถึงเวลานั้นคงไม่ทำให้เขาผิดหวัง
“ตอนนี้มุ่งเน้นที่การฝึกค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก่อนเถอะ”
มู่เฉินเก็บป้ายทองคำไปแล้วนำม้วนภาพค่ายกลออกมาโดยหวังว่าจะได้ข้อมูลเชิงลึกที่จะช่วยให้ตนเองสร้างค่ายกลสุดยอดนี้ได้สำเร็จ
ในเวลาหนึ่งวันต่อมา
มู่เฉินก็ยังอยู่ในสวนโดยมุ่งไปที่การฝึกฝนฝนค่ายกล เขาไม่ได้พาพรรคพวกแอบรีบออกจากเมืองซี เนื่องจากรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบสายตาจากการเฝ้ามองจำนวนมากไป นอกจากนี้คนอย่างมู่เฉินก็ไม่ต้องการทำเช่นนั้น
นอกจากผู้เฒ่าไป๋และหลินจิ้งก็ไม่มีคนอื่นออกไป ผู้เฒ่าไป๋ได้รับคำสั่งจากมู่เฉินจัดหากระดูกมังกรทั่วเมือง ส่วนหลินจิ้งไม่ชอบอยู่เฉย นางเพิกเฉยต่อความจริงที่ว่าตนเองเป็นหีบทองคำเคลื่อนที่ได้ในสายตาของผู้อื่น ดังนั้นนางยังคงเที่ยวเล่นไปเรื่อยๆ แต่น่าประหลาดใจแม้ว่าจอมยุทธ์ทรงพลังจำนวนมากแอบซุ่มมองนาง แต่ก็ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวชัดเจนว่าพวกเขาระแวงภูมิหลังลึกลับของนาง
ความสงบสุขดำเนินไปจนถึงวันที่สอง
เมื่อพลบค่ำวันที่สอง มู่เฉินนั่งอยู่ในเก๋งจีนนั่งประจันหน้าประลองหมากรุกกับจิ่วโยว
“ตอนนี้พวกเรากลายเป็นจุดสนใจของทั่วเมืองแล้ว” จิ่วโยวกวาดสายตาออกไปนอกสวน แม้สองวันที่ผ่านมาจะเงียบสงบ แต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นใต้น้ำที่ซ่อนอยู่และสายตาจับจ้องเหยื่อที่เพิ่มขึ้น
มู่เฉินพยักหน้าพลางยิ้ม “ถ้าพวกเขาเต็มใจที่จะชะลอก็ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น ข้าจะได้มีเวลาศึกษาค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารมากขึ้น ขณะเดียวกันก็รอกำลังสบันสนุนอาณาเขตกงเวทสวรรค์มาถึงด้วย!”
จิ่วโยวพยักหน้าตอบรับ
“ลูกน้องของเจ้าคนนั้นเหมือนจะยังไม่กลับมานะ” หลินจิ้งนั่งเล่นกับกระต่ายน้อยที่มาจากไหนไม่รู้ จากนั้นก็โพล่งขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม
จิ่วโยวอึ้งไป จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปนางเพิ่งนึกได้ว่าปกติเวลานี้ผู้เฒ่าไป๋ควรจะกลับมานานแล้ว เขาไม่ได้เป็นคนชักช้า
นางมองไปที่มู่เฉินก็เห็นสีหน้าสงบนิ่ง แต่ดวงตาหรี่ลงพร้อมกับแววอันตรายวูบวาบไปมา
“ดูเหมือนจะมีคนไม่สามารถระงับใจได้อีกต่อไป” เขาพึมพำกับตัวเองว่า
จังหวะนั้นเสียงหัวเราะที่ห่อหุ่มด้วยคลื่นหลิงทรงพลังก็เจาะผ่านมิติดังขึ้นกะทันหัน สะท้อนไปทั่วเมือง และดังเข้าในสวนที่ถูกปิดกั้นด้วยค่ายกล
“ฮ่าๆ ท่านจอมยุทธ์อาณาเขตกงเวทสวรรค์ ลูกน้องเจ้ามาเป็นแขกขององค์ชายคนนี้ ไม่รู้ว่าเรามาพบปะสังสรรค์กันหน่อยได้ไหม?” เสียงอวดตัวนี้ชัดว่าเป็นเสียงของเซี่ยหงแห่งแคว้นเซี่ยนั่นเอง
เสียงเขาไม่ได้ทำการปิดบังอะไร คนทั้งเมืองจึงได้ยินชัดเจน ทันใดนั้นหัวใจผู้คนก็สั่นสะท้าน ในที่สุดเซี่ยหงก็หมดความอดทนและคิดจัดการอาณาเขตกงเวทสวรรค์แล้วรึ?
“ไอ้บ้านั่นน่ารังเกียจจริงๆ!” ใบหน้าจิ่วโยวบูดบึ้ง
“ระวังตัวมากจริง” มู่เฉินพูดเสียงเบา ตอนแรกเขาคิดว่าเซี่ยหงจะมาพบกันตรงๆ ที่นี่ แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะใช้กลอุบายเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเซี่ยหงจะกังวลว่าเขาจะวางค่ายกลไว้รอบๆ เพื่อชิงความได้เปรียบสินะ
“นายท่าน…เราควรทำอย่างไร?” ถานชิวมองไปที่มู่เฉินรอความคิดเห็นของเขา
มู่เฉินลุกขึ้นยืน ร่างสูงโปร่งตั้งตรงราวกับหอก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังต้นกำเนิดเสียงพร้อมกับรอยยิ้มคลี่ออก “ไก่ที่ข้ารอมาสองวันในที่สุดก็มา ถ้าไม่ได้ไก่ตัวนี้เราจะทำให้คนอื่นกลัวได้ยังไง?”
“ให้ชื่อเสียงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์เริ่มต้นจากเจ้านี่ที่จะเป็นหินรองเท้าเถอะ…”
เมื่อพูดจบร่างเขาก็เปลี่ยนเป็นร่างแสงพุ่งไปที่ท้องฟ้า จิ่วโยว และคนอื่นๆ ติดตามไปอย่างใกล้ชิดพร้อมกับรังสีสังหารเดือดพล่าน
“ว้าว น่าสนใจ! มาดูกันว่าขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าจะสู้กับขั้นเก้าได้ยังไง!” หลินจิ้งยิ้มกริ่มกับภาพตรงหน้า แววความคาดหวังเปล่งประกายในดวงตา ก่อนจะกลายเป็นร่างแสงติดตามไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อกลุ่มมู่เฉินออกไปจากสวน
ร่างแสงนับไม่ถ้วนก็พุ่งขึ้นจากเมืองซีเช่นกัน ทุกคนมุ่งหน้าไปยังทิศทางของเซี่ยหง
ใครๆ ก็มองออกว่าคลื่นใต้น้ำที่ไหลอยู่มาสองวันกำลังปะทุขึ้นในวันนี้
เพียงแต่ไม่รู้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะสามารถรักษาป้ายลึกลับไว้ได้หลังจากวันนี้หรือไม่?
ในสถานที่อีกสามแห่งในเมือง ชิ้งหย่า มู่ซันและเจียงหลิงก็มอง ร่างแสงนับที่ทะยานที่แสดงถึงกลุ่มมู่เฉิน แสงเปล่งประกายในดวงตาพวกเขา
“มู่เฉินจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์บ้าบิ่นแท้จริง กล้าไปหาเซี่ยหงด้วยตัวเอง ถึงแม้เซี่ยหงจะน่ารังเกียจแต่ก็ไม่ได้อ่อนแอ ศึกวันนี้น่าสนใจมากเลยทีเดียว”
ทั้งสามยิ้มพลางสะบัดแขนเสื้อทะยานขึ้นไปในท้องฟ้าพร้อมกับร่างแสงติดตามมา ร่างแสงเหล่านี้ล้วนทรงพลังอัน ไม่มีใครอ่อนแอเลย
ทั่วทั้งเมืองซีระเบิดขึ้นแล้วในตอนนี้
ที่ใจกลางเมืองซี
มีลานประลองขนาดใหญ่บนลานกว้าง เซี่ยหงนั่งอยู่บนบัลลังก์โดยมีสาวงามสองคนคอยรับใช้ที่ด้านข้าง
ส่วนด้านหลังมีคนสิบกว่าคนพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตผันผวนกำจายไปรอบตัว ทำให้ชั้นบรรยากาศสะเทือนเบาๆ
ที่สะดุดตาที่สุดเป็นร่างชายสูงวัยสวมชุดสีเทา ทั่วร่างเอิบอาบด้วยไอเย็นชาย้อมคลื่นหลิงจนหนาวเหน็บสุดขั้ว
บนเสามีร่างเงาถูกโซ่โยงไว้ นี่ก็คือผู้เฒ่าไป๋ ลวดลายคลื่นหลิงที่ปรากฏรอบตัว ประทับลมปราณที่อยู่ภายในร่างกายเขาเอาไว้จนหมด
“หวังกง เจ้าคิดว่าไอ้นั่นจะมาไหม?” เซี่ยหงคลึงจอกสุราเล่นไปมา
ที่ด้านหลังชายสูงวัยชุดเทาก็ยิ้มน่าขนลุก “ไม่ว่าจะมาหรือไม่ ตอนจบถูกตัดสินไปแล้ว ป้ายนั่นไม่ใช่สิ่งที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์สามารถเก็บไว้ได้”
เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว เซี่ยหงก็คลี่ยิ้มด้วยความพึงพอใจก่อนจะยกจอกดื่มรวดเดียว จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่คึกคักขึ้น ตอนนี้มีคนมากมายมาที่นี่รอคอยการแสดงที่กำลังจะเปิดโรง
“พวกเขามาที่นี่จริง… กล้าหาญกันมาก” เซี่ยหงเงยหน้าขึ้นพลางยกมือ
สิ้นเสียงเขา ท้องฟ้าในลานประลองก็สั่นไหว ร่างแสงหลายร่างปรากฏขึ้น โดยมีมู่เฉินเป็นผู้นำ
มู่เฉินมองไปที่เซี่ยหงก่อนจะสะบัดนิ้ว แสงหลิงพุ่งออกไปหาผู้เฒ่าไป๋ตัดโซ่ช่วยให้เป็นอิสระคว้าตัวเขากลับมา
เมื่อเห็นอย่างนี้เซี่ยหงก็ไม่ได้ขัดขวาง เขาพูดด้วยดวงตายิ้มหยีไปทางมู่เฉินที่ช่วยผู้เฒ่าไป๋ไปได้ “ทิ้งป้ายโบราณและสาวงามทั้งสองไว้ที่นี่ซะ ข้ารับรองว่าเจ้าจะออกจากเมืองซีไปอย่างปลอดภัย”
พอได้ยินอย่างนี้มู่เฉินก็หัวเราะเบาๆ พลางมองเซี่ยหง
“ขอยืมหัวไก่แกหน่อยได้ไหม?”
บทที่ 1098 แสดงอำนาจให้ประจักษ์
บนลานประลองขนาดใหญ่
เสียงหัวเราะสงบเย็นของมู่เฉินดังก้องไปทั่ว ขณะเดียวกันก็ส่งเข้าโสตประสาทของเหล่าผู้ชมนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้า ซึ่งเมื่อได้ยินพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะด้วย
ชายหนุ่มจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์กล้าจริง…
ทว่าด้วยขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเขามีคุณสมบัตินี้จริงหรือ? ไม่ต้องสนใจผู้ใต้บังคับบัญชาทรงพลังที่ด้านหลังเซี่ยหงนั่น กระทั่งตัวเซี่ยหงเองก็มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า มิหนำซ้ำยังอยู่อันดับที่ยี่สิบในทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของทวีปเทียนหลัว
ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าเซี่ยหงจะอยู่ในระยะต้นของขั้นเก้า แต่ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่แท้จริงของเขาไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นภายนอก ตัวเขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดและล่าถอยออกมาได้อย่างปลอดภัย
ซึ่งนี้เป็นความสำเร็จที่น่าตกใจมากแล้ว
ในทางตรงกันข้ามแม้ว่าจะเป็นเรื่องน่าตกใจที่มู่เฉินเกือบจะเข้าถึงระดับจื้อจุนขั้นเก้าได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ตอนนี้มีอัจฉริยะนับไม่ถ้วนมารวมตัวกัน ณ ที่นี้ ซึ่งแต่ละคนล้วนไม่ธรรมดา ดังนั้นขุมพลังเกือบบรรลุขั้นเก้าจึงไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกอัศจรรย์ใจมากนัก
ชิ้งหย่า มู่ซันและเจียงหลินยืนอยู่บนท้องฟ้าเหนือลานประลอง พลางมองไปด้วยความสนใจเข้มข้น เห็นได้ชัดว่าความอหังการที่ไม่เกรงกลัวของมู่เฉินทำให้พวกเขารู้สึกสนใจมาก
แต่แค่ไม่รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้มีความมั่นใจแท้จริงหรือแค่แกล้งทำออกมา…
“ยืมหัวข้ารึ?”
ขณะทุกคนชื่นชมในความกล้าหาญของมู่เฉิน เซี่ยหงก็หรี่ตามองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาเยาะเย้ย “ไม่คิดว่าจะมีวันที่ข้าเซี่ยหงถูกมองว่าเป็นหินรองเท้า”
เขาได้เห็นความตั้งใจของมู่เฉินเพียงปราดมอง เห็นชัดว่าอีกฝ่ายคิดจะใช้เขาเป็นหินเพื่อก้าวเดินขึ้นไป ตราบใดที่มู่เฉินสามารถเอาชนะเซี่ยหงได้ ชื่อของมู่เฉินก็จะกระจายไปทั่วทวีปเทียนหลัว ในเวลานั้นแม้ว่าต้องการไป คนอื่น ๆ ก็ต้องคิดสองตลบว่าควรจะขัดขวางเส้นทางดีหรือไม่
“ในเมื่อแกมากำนัลถึงหน้าประตูบ้านข้า ทำไมข้าจะไม่รับ?” มู่เฉินแสร้งทำเป็นว่าไม่เห็นสายตาอันตรายของเซี่ยหงและตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ด้วยแกเนี่ยนะ?”
เซี่ยหงยิ้มอ่อน รอยยิ้มโค้งเป็นมุมที่น่าขนลุก ก่อนที่จะยกมือขึ้นเบาๆ “หวังหวู่จัดการมันสิ”
ปัง!
เมื่อเซี่ยหงพูดจบ ร่างร่างหนึ่งที่อยู่ข้างหลังก็ทะยานออกมาพร้อมส่งคลื่นหลิงมหาศาลกวาดออกราวกับพายุ
พิจารณาจากความผันผวนของคลื่นพลังงานที่ปลดปล่อยออกมาก็อยู่ในระดับเกือบจื้อจุนขั้นเก้าเช่นกัน!
พร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขต ร่างเงานั้นก็พุ่งมาหามู่เฉินพร้อมดาบยาวสีแดงเข้มที่อัดแน่นด้วยรัศมีสังหาร ท่าทางเด็ดขาดนั้นชัดว่าเขาเป็นคนที่มีประสบการณ์ในสนามรบ
ผู้ชมต่างร้องอุทานในใจ แคว้นเซี่ยสมเป็นผู้ปกครองเผด็จการในภูมิภาคทางตะวันตก ด้วยรากฐานที่หยั่งลึก พวกเขาสามารถส่งนักรบที่มีขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าออกมา จอมยุทธ์เช่นนี้ถือได้ว่าเป็นคนที่มีพลังการต่อสู้สูงยิ่งแม้ในหมู่ขั้วอำนาจระดับต้น
ร่างแสงพุ่งมาอย่างรวดเร็วมาปรากฏที่เบื้องหน้ามู่เฉินในพริบตา พร้อมกับสายตาเย็นเยือกหวังหวู่ก็เฉือนดาบสีแดงเข้มลงมา ราวกับจันทร์เสี้ยวแสงสีแดงเข้มซัดลงบนศีรษะมู่เฉิน
นี่เป็นเพลงดาบเด็ดขาดของหวังหวู่ที่ผลักดันพลังของตัวเองไปสู่ขีดสุด แม้แต่จอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเหมือนกันก็ถูกสังหารได้ด้วยความประมาทเล็กน้อย
ภาพดาบสีแดงเลือดสะท้อนในม่านตาของมู่เฉิน แต่ที่ทำให้ผู้ชมประหลาดใจคือเขายังคงท่าทางสงบไม่สะทกสะท้านราวกับไม่เห็นดาบที่พุ่งมาเบื้อบงหน้า
พรรคพวกที่ข้างหลังก็ต่างยืนนิ่ง ทุกคนฉายแววเย้ยหยันในดวงตา
หลินจิ้งเบิกตาโตมองฉากนี้ด้วยความตื่นเต้น นางต้องการเห็นพัฒนาการของมู่เฉินเติบโตขึ้นมากแค่ไหนหลังจากไม่เจอกันมาหลายปี
ท่ามกลางความสนใจของทุกคน แสงก็ห่อหุ้มร่างมู่เฉิน แต่ที่ทำให้เกิดความตกตะลึงคือมู่เฉินก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ กลับหลับตาช้าๆ ราวกับยอมรับความพ่ายแพ้
“รนหาที่ตาย!”
เมื่อหวังหวู่เห็นแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเค้นเสียงเย็น
ใบดาบแสงพุ่งเข้าใกล้มู่เฉิน ทว่าทันทีที่จะสัมผัสร่าง แสงสีทองก็กระจายออกมาจากร่างกาย ขณะเดียวกันเสียงคำรามของมังกรก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด
แสงสีทองระเบิดออก ทันใดนั้นมังกรยักษ์สีม่วงทองก็ทะยานออกมาจากในร่างมู่เฉินพร้อมกับแรงกดดันที่ไม่สามารถอธิบายได้ ซึ่งทำให้ใบดาบที่พุ่งเข้ามาหยุดชะงักลง
โฮก!
มังกรยักษ์สีม่วงทองพันรอบร่างมู่เฉิน กรงเล็บงองุ้มแน่นกลายเป็นหมัดปะทะกับดาบแสงจังใหญ่
ปัง!
ระลอกคลื่นป่าเถื่อนไร้เทียมทานกวาดออกมา มิติถึงกับแปรปรวน เมื่อแสงสีทองพวยพุ่งออกมา สีหน้าหวังหวู่ก็เปลี่ยนไปรุนแรง เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงพลังงานน่ากลัวที่พล่านมาจากใบดาบ ซึ่งเป็นพลังทำลายล้างที่ต่อให้เขาเร้าคลื่นพลังออกมาทั้งหมดก็ต้องแตกสลาย
แคร็ก!
ใบดาบยาวสีแดงเข้มแตกออก หวังหวู่ก็ราวกับได้รับผลกระทบสาหัส ร่างกระเด็นออกไป เลือดสดสาดกระจายจากนั้นเขาก็ล้มลงกับพื้นทิ้งรอยยาวพันจั้งเอาไว้
โห่!
ใบหน้าทุกคนเปลี่ยนไป ความโกลาหลตีกวน ไม่มีใครคิดว่าจอมยุทธ์อีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าจะถูกทำให้ตกอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเช่นนี้ในพริบตา
ยิ่งไปกว่านั้นมู่เฉินไม่แม้แต่จะเคลื่อนไหว อีกฝ่ายก็พ่ายแพ้ไปแล้ว!
วาบ!
ทุกคนมองไปที่มู่เฉินด้วยความตกตะลึงในดวงตา จากนั้นก็มองมังกรสีม่วงทองที่ขดรอบร่างที่ส่งเสียงคำรามอย่างต่อเนื่อง ขณะที่มิติผันผวน บรรยากาศที่หายใจไม่ออกก็เล็ดลอดออกมาจากมังกร
ส่วนมู่เฉินยังคงทิ้งแขนแนบลำตัวไม่มีระลอกคลื่นบนใบหน้า
“นั่นคือรัศมีมังกร…ที่หายากแม้แต่ในเผ่ามังกร!” ความปั่นป่วนดังขึ้นบนท้องฟ้า ชัดว่าบอกได้ถึงความพิเศษของมังกรตัวนี้
“หรือว่ามู่เฉินเป็นสมาชิกเผ่ามังกร?”
“เขาเป็นมนุษย์แน่นอน แต่น่าจะฝึกฝนทักษะที่เกี่ยวข้องกับเผ่ามังกร!” บางคนเอ่ยออกมาด้วยสายตาแหลมคม
“แม้ว่ามังกรตัวนี้จะดูเหมือนของจริงแต่ก็ยังมีร่องรอยภาพลวงตา ทว่าพลังที่ระเบิดออกมาจากภายใน ก็เกินกว่าจอมยุทธ์ระยะอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าส่วนมากแล้ว”
“เขาสามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังเดียวกันได้โดยมังกรที่ควบแน่นออกมาเนี่ยนะ?” ผู้คนหรี่ตาลงอย่างไม่สามารถควบคุมได้ วิชาทรงพลังนั่นคืออะไร? มู่เฉินไม่ธรรมดาจริงๆ มิน่าล่ะถึงไม่กลัวแม้จะเผชิญหน้ากับเซี่ยหง ที่แท้ไพ่ตายที่เขามีก็ทรงพลังเช่นกัน
เมื่อบวกรากฐานของมังกรกับพลังของมู่เฉิน เขาสามารถจะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเก้าได้อย่างแท้จริง
หลินจิ้งกะพริบตาวิบวับมองมังกรสีม่วงทองซึ่งยังคงขดตัวรอบร่างมู่เฉินด้วยความอยากรู้อยากเห็น พลางพึมพำกับตัวเอง “นี่คือรัศมีมังกรแท้จริง…”
จากประสบการณ์นางสามารถบอกที่มาของมังกรได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือความจริงที่รัศมีที่เปล่งออกมาจากมังกรแท้จริงนั้นเป็นของดั้งเดิม
มังกรแท้จริงเผ่ามังกรเคยมาเยี่ยมบิดานางที่แคว้นหวูครั้งหนึ่ง รัศมีมังกรแท้จริงยิ่งใหญ่มากกระทั่งครองเหนือสวรรค์ได้
แต่ตอนนี้รัศมีมังกรรอบตัวมู่เฉินก็ให้ความรู้สึกเหมือนผู้อาวุโสคนนั้นเช่นกัน
ภายใต้ความโกลาหลเซี่ยหงมองไปที่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่พ่ายแพ้ รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จางหายไป เขามองไปที่มู่เฉินโดยไม่มีสีหน้าใดๆ สายตาเย็นชาราวกับใบมีดที่ทำให้คนอื่นกลัว
แต่มู่เฉินไม่ได้รับผลกระทบอะไรกับสายตานั่น เขามองไปที่วิญญาณมังกรแท้จริงที่ขดรอบตัวแล้วหันไปหาเซี่ยหงพูดอย่างใจเย็น “ได้ของมาไม่ให้กลับเป็นเรื่องไม่มีมารยาท”
พูดจบฝ่าเท้าก็ก้าวไปข้างหน้าครึ่งก้าว สีหน้าสงบนิ่ง หมัดกำแน่นก่อนที่แสงสีทองพร่างพราวจะพุ่งขึ้นสู่ขอบฟ้าขณะที่เขาเหวี่ยงหมัดออกไป
โฮก!
ขณะที่มู่เฉินเหวี่ยงหมัด มังกรก็แผดเสียงคำรามเปลี่ยนเป็นลำแสงสีม่วงทองพุ่งลงมารวมเข้ากับฝ่ามือของมู่เฉิน
ตู้ม!
ภาพหมัดขนาดพันจั้งพุ่งออกไปราวกับมังกร ขณะที่กรงเล็บมังกรกวัดแกว่งไปมา ความผันผวนที่น่ากลัวสร้างความหายนะ ทำให้เกิดรอยแตกบนพื้น
เมื่อเทียบกับดาบแล้วหมัดของเขามีพลังมากกว่าไม่รู้กี่เท่า!
เผชิญหน้ากับหมัดนี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนสีหน้าพร้อมกับความหวาดเกรงในสายตา
ตู้ม!
หมัดมังกรพุ่งลงเร็วปานสายฟ้า พริบตาก็ไปอยู่ตรงหน้าเซี่ยหงห่อหุ้มตัวเขาไว้
สีหน้าของเซี่ยหงมืดครึ้มลง แสงเย็นกะพริบในดวงตา เมื่อเผชิญหน้ากับพลังหมัดของมู่เฉิน เขาไม่ได้หลีกเลี่ยงการโจมตีกลับเค้นเสียงเย็นชาออกมาแทน “ให้ข้าคนนี้ทดสอบถึงพลังที่แกมี มาดูสิว่าแกมีคุณสมบัติที่จะโอ้อวดต่อหน้าข้าหรือไม่!”
พูดจบเขาก็งอนิ้วเป็นกรงเล็บพลางซัดออกไป ปลายนิ้ววูบไหวด้วยแสงสีดำทิ้งรอยลึกไว้ในมิติ
แสงหลิงพริบพราวในกรงเล็บเหมือนจะก่อตัวเป็นรูปมังกรดำและขยายปากอำมหิต
“ร่างเก้าเทพอสูร กรงเล็บมังกรปีศาจกลืนฟ้า!”
ตู้ม!
หมัดมังกรทองพุ่งเข้าใส่ พริบตาถัดมาก็เข้าปะทะกับกรงเล็บมังกรดำของเซี่ยหง!
บทที่ 1099 ขุดหลุมพราง
ตู้ม!
หมัดมังกรทองกวาดข้ามขอบฟ้าพุ่งชนกับกรงเล็บดำของเซี่ยหง เวลานั้นทั่วทั้งผืนดินก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น คลื่นกระแทกที่มองเห็นด้วยตาเปล่าแผ่ระลอกออกมาโดยมีเซี่ยหงอยู่ตรงกลาง เมฆฝุ่นยกตัวขึ้น
ผืนดินพังทลาย
แสงสีทองและสีดำเขมือบกันอย่างไม่มีใครยอมใคร คลื่นลูกแล้วลูกเล่าระเบิดออกทั่วพื้นที่ ในที่สุดภายใต้สายตาของฝูงชนคลื่นหลิงก็สลายลง ขณะเดียวกันทุกสายตาก็พุ่งตรงไป
ลมพายุกวาดข้ามขอบฟ้าทำเกิดเมฆฝุ่นขึ้น เมื่อทิวทัศน์บนลานประลองชัดเจนขึ้น ทุกคนก็เห็นเซี่ยหงยืนในท่าเดิม ไม่มีการแสดงออกใดๆ บนใบหน้าแต่ดวงตากะพริบด้วยไอโหดเหี้ยม
ทุกคนพุ่งความสนใจมาที่เซี่ยหงที่ยืนนิ่ง ราวกับว่าผลกระทบยิ่งใหญ่จากการปะทะไม่สามารถทำให้เขาสั่นไหวได้ แม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่ได้เผยิบผยาบจากคลื่นกระแทก
ทว่ามีคนที่มีสายตาแหลมคมมองไปที่บัลลังก์สีทองด้านหลัง
เมื่อลมพัดวูบหนึ่ง บัลลังก์มั่นคงก็กลายเป็นเถ้าถ่านปลิวออกไปในสายลม
ผู้ชมดวงตาหดเกร็ง แม้ว่าหมัดของมู่เฉินไม่ได้สร้างภัยคุกคามกับเซี่ยหงมากนัก แต่ก็สามารถทะลวงแนวป้องกันและทำลายบัลลังก์ที่อยู่ข้างหลังสลายเป็นอากาศธาตุ
มู่เฉินกำลังแสดงอำนาจด้วยหมัดลุ่นๆ หมัดนี้
นอกจากนี้วิธีการขู่ของเขาดูเหมือนว่าจะได้ผลดีเลยทีเดียว อย่างน้อยหลายคนแววตาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดเมื่อมองไปที่มู่เฉิน ทุกคนบอกได้ว่าแม้ขุมพลังของเขาจะอยู่ในระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น แต่พลังที่มีก็เกินกว่าที่มองเห็นภายนอกไปไกล
“เจ้านี่มีความสามารถมากนะเนี่ย” มู่ซันยิ้มขณะที่ดวงตาหรี่ลง เขากับเซี่ยหงขุ่นเคืองกันหลายเรื่อง ดังนั้นเขารู้สึกเพลิดเพลินที่เซี่ยหงโดยกดขี่โดยธรรมชาติ
“ช่างเป็นเรื่องไม่คาดคิด…แต่เซี่ยหงคงจะระวังมากขึ้น การที่เขาจริงจังก็ไม่ง่ายที่จะรับมือ” ชิ้งหย่าตอบด้วยรอยยิ้ม
มู่ซันพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของชิ้งหย่า เขาและเซี่ยหงต่อสู้กันมาหลายปี แต่เขาก็ยังไม่เคยได้เปรียบ มากจนแม้แต่อยู่ต่ำกว่าในทำเนียบอีกด้วย ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าเซี่ยหงที่จริงจังรับมือยากลำบากเพียงใด แม้ว่ามู่เฉินจะดูไม่เคี้ยวง่าย แต่ก็เร็วไปที่จะบอกถึงผู้ชนะคนสุดท้าย
ภายใต้เสียงกระซิบทั้งหมด เซี่ยหงเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ มองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาเย็นชาราวกับใบมีด ก่อนที่จะถอนฝ่ามือออกพูดไม่แยแสว่า “ไม่เลว”
เขาต้องยอมรับความจริงว่ามู่เฉินสามารถผ่าแนวป้องกันของเขามาได้
“ตอนแรกข้าคิดว่าการต่อสู้วันนี้คงน่าเบื่อ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่แย่เหมือนอย่างที่คิดไว้” เซี่ยหงเดินขึ้นหน้า ขณะที่ความผันผวนของคลื่นหลิงรอบตัวเพิ่มขึ้นไปในระดับใหม่ เดินไม่กี่ก้าวทั้งลานประลองก็ถูกห่อหุ้มด้วยแรงกดดัน ซึ่งทำให้สีหน้าของผู้เฒ่าไป๋ ถานชิวและผู้บัญชาการสือซีดขาวลง คลื่นพลังในร่างก็เหมือนหมุนเวียนช้าลง
นี่คือจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าของแท้!
สายตาแหลมคมของเซี่ยหงมองตรงไปที่มู่เฉิน เสียงน่าขนลุกเอ่ยว่า “แต่ถ้าแกมีความสามารถเท่านี้ก็อย่าหวังว่าจะออกจากที่นี่ไปได้”
ทันทีที่เซี่ยหงพูดจบ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตอีกสายก็พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้แรงกดดันคลื่นพลังที่ก่อตัวไว้โดยเซี่ยหงกระจัดกระจายหายไป
ดวงตาของเซี่ยหงหดลง จากนั้นก็หันกลับไปมองอย่างช้าๆ จ้องมองที่จิ่วโยวที่ปลดปล่อยพายุคลื่นหลิงแผ่ไปรอบตัว
จิ่วโยวมองเซี่ยหงกลับด้วยสายตาเย็นชา เพลิงโปร่งใสลุกโชนอยู่ในมือ พร้อมกับอารมณ์เย็นเยือก ทันใดนั้นนางก็ชี้นิ้วออกมา เพลิงโปร่งใสกลายเป็นลำแสงซัดใส่เซี่ยหง
ฟิ้ว!
ทว่าเมื่อลำแสงพุ่งออกมา เกลียวสีเทาก็แล่นแปลบปลาบที่เบื้องหน้าเซี่ยหง ชายชราชุดเทาเผยตัวขึ้น ฝ่ามือแห้งเหี่ยวกำลำแสงเอาไว้ คลื่นหลิงทรงพลังพล่านออกมาจากฝ่ามือดับลำแสงเพลิงลง
“ฮ่าๆ ในเมื่อองค์ชายเลือกเหยื่อแล้ว ก็อย่าเข้ามาขวางหูขวางตาดีกว่านะ” หวังกงยิ้มตาหยีขณะปัดลำแสงเพลิงออกไป
เมื่อมองไปที่หวังกง สายตาของจิ่วโยวก็มืดครึ้มลง นางรู้สึกได้ถึงพลังหยินเยือกเย็นรอบตัวตาเฒ่าคนนี้ที่ทรงพลังมาก ดูเหมือนว่าชายคนนี้อีกก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุด ความแข็งแกร่งของเขาไปไกลเกินกว่าขั้นเก้าทั่วไป
วาบ!
เสียงลมกรูกันออกมาด้านหลังลานประลอง ร่างคนสิบกว่าคนพุ่งออกจากล้อมกรอบลานประลอง ปิดล้อมกลุ่มของจิ่วโยวจากระยะไกลและตัดเส้นทางการถอยหนีทุกช่อง
ผู้บัญชาการทั้งสามเมื่อเห็นร่างเงาเหล่านั้น สีหน้าก็อดเปลี่ยนแปลงโดยควบคุมไปไม่ได้ เนื่องจากพบว่าในกลุ่มคนนั้นมีจอมยุทธ์สี่คนอยู่ในขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า ที่เหลือก็อยู่ในขั้นเจ็ดขั้นแปดแล้ว
การรวมตัวของฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งกว่าพวกเขามากนัก
ขณะนี้ทั้งพื้นที่อยู่ภายใต้การควบคุมของนักรบแคว้นเซี่ย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะล่าถอยไปอย่างราบรื่น
“ในเมื่อมาแล้ว ก็สายเกินไปที่จะหนีนะ”
เซี่ยหงคลี่รอยยิ้มบางจาง ก่อนจะสำรวจเรือนร่างเพรียวบางของจิ่วโยว จากนั้นก็ยกสายตาไปที่หลินจิ้งด้วยความปรารถนาพล่านในดวงตา จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่ “แต่การต่อสู้แบบนี้น่าเบื่อเสียจริง เรามาวางเดิมพันกันไหมล่ะ?”
มู่เฉินมีสีหน้าสงบนิ่งเมื่อได้ยิน เห็นชัดว่าเขาไม่สนใจ
แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรออกไป ดวงตาของหลินจิ้งก็สว่างวาบ นางถามด้วยความสนใจ “เดิมพันอะไร?”
“พนันว่าใครจะชนะระหว่างเขากับข้า?” เซี่ยหงชี้ไปที่มู่เฉินจากนั้นก็พูดต่อด้วยรอยยิ้มตาหยี “ถ้าข้าแพ้ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าไปพร้อมกับมอบอาวุธเสมือนมหสวรรค์สามชิ้นเป็นของกำนัล”
เมื่อผู้ชมโดยรอบได้ยินน้ำเสียงของเซี่ยหงก็อดอุทานไม่ได้ อาวุธเสมือมหสวรรค์สามชิ้น เซี่ยหงช่างฟุ่มเฟือยจริงๆ…
“ถ้าเจ้าชนะล่ะ?” หลินจิ้งถามพลางกะพริบตาวิบวับ
“งั้นก็ขอให้สาวงามทั้งสองมาแนบกายไง” เซี่ยหงยิ้ม
หลินจิ้งจือปากหัวเราะเบาๆ “พวกข้าสองคนมีค่าเพียงอาวุธเสมือนมหสวรรค์สามชิ้นเองหรือ? องค์ชายแห่งราชวงศ์เซี่ยขี้เหนียวจริง”
เซี่ยหงอึ้งไปก่อนจะเลิกคิ้ว “งั้นเจ้ามีข้อเสนออะไรล่ะคนสวย?”
หลังจากคิดครู่หนึ่งหลินจิ้งตอบแบบสบายๆ “เขียนใบรับรองลูกหนี้แล้วก็ประทับตราไว้ ถ้าเจ้าแพ้จะเป็นหนี้ของเหลวจื้อจุนร้อยล้านหยดกับข้า”
โอ้!
ผู้ชมขากรรไกรอ้าค้างเมื่อนางพูดจบ แม้แต่เซี่ยหงก็อดใบหน้ากระตุกไม่ได้ ของเหลวจื้อจุนร้อยล้านหยดอาจทำให้คลังของแคว้นเซี่ยว่างเปล่าเลยนะ
ของเหลวร้อยล้านหยดนี้สามารถซื้ออาวุธมหสวรรค์ของจริงได้เลยทีเดียว!
เซี่ยหงใบหน้าแข็งทื่อไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มแห้ง “แม่นางน้อยคำพูดนี่เกินจริงไปหน่อยนะ นอกจากนี้พูดอย่างไม่เกรงใจ ต่อให้ข้าเขียนใบรับรองลูกหนี้ให้เจ้า ข้าเกรงว่าเจ้าก็ไม่สามารถได้รับของเหลวจื้อจุนจากแคว้นเซี่ยแม้แต่หยดเดียว”
คำพูดของเขาเป็นความจริง หากใครก็ตามที่ถือใบรับรองลูกหนี้ไปอ้างสิทธิ์กับแคว้นเซี่ย บิดาของเขาอาจจะบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่างูที่พยายามจะกลืนช้างเป็นอย่างไร รนหาที่ตาย…
แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายก็ไม่สามารถนำของเหลวจื้อจุนปริมาณเท่านั้นออกจากแคว้นเซี่ยไปได้
เมื่อหลินจิ้งได้ยินคำพูดนั่นก็เบ้ปากออก “ถ้าใจไม่ถึงก็อย่าพนันตั้งแต่ต้นสิ สู้กันตามปกติ ให้เสียเวลาไปเล่นๆ”
ครั้นได้ยินน้ำเสียงของหลินจิ้งที่อัดแน่นด้วยอาการดูถูก เซี่ยหงก็ขมวดคิ้วก่อนจะยิ้มกว้าง “ก็ได้ ในเมื่อแม่นางน้อยสนใจเรื่องนี้มาก งั้นข้าว่าตามเจ้าแล้วกันนะ!”
พูดจบเขาก็หยิบม้วนกระดาษทองคำออกมา นิ้วตวัดไปมาสลักลงไปด้วยคลื่นหลิง จากนั้นก็หยดเลือดสร้างรอยประทับเป็นอันเสร็จขั้นตอน
พอเรียบร้อยแล้วเซี่ยหงก็ยิงม้วนกระดาษทองคำเข้าในสิงโตหินในลานประลอง
“ถ้าข้าแพ้ พวกเจ้าก็เอามันไปเลย แต่ข้าขอเตือนถ้าเจ้าคิดจะนำไปที่แคว้นเซี่ยจริงๆ ก็รนหาที่ตายแล้ว” เซี่ยหงยิ้มบาง
เขาถือว่านี่เป็นเรื่องเด็กเล่นของหลินจิ้งเท่านั้น จึงไม่ได้คิดมากอะไรกับเรื่องนี้ นอกจากนี้เขาก็ไม่คิดว่าตนเองจะแพ้ ก้าวถอยหลังหนึ่งหมื่นก้าวแม้ว่าเขาจะแพ้ แต่ก็เป็นเรื่องโง่ที่จะไปที่แคว้นเซี่ยด้วยเรื่องใบแจ้งหนี้นี้
“ไม่ต้องกังวลว่าข้าจะไปทวงหนี้อย่างไร” หลินจิ้งหัวเราะคิกคักราวกับสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์
“มู่เฉิน ข้าฝากความหวังไว้ที่เจ้านะ ถ้าเจ้าชนะข้าจะแบ่งของเหลวจื้อจุนให้ครึ่งหนึ่ง!” หลินจิ้งมองไปที่มู่เฉินโบกมือหยอยๆ ให้กำลังใจเขา
เมื่อมู่เฉินเห็นการกระทำของนางก็ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี แต่สุดท้ายก็พยักหน้าพลางมองเซี่ยหงด้วยความเห็นอกเห็นใจ
ถ้าเซี่ยหงรู้ว่านางเป็นธิดาของเทพจักรพรรดิสงครามแห่งแคว้นหวูที่มีชื่อเสียงเกรียงไกรในมหาพันภพ สีหน้าท่าทางจะตลกขนาดไหน?
แม้ว่าแคว้นเซี่ยจะทรงพลัง แต่ถ้าพวกเขากล้าเบี้ยวหนี้กับองค์หญิงน้อย ก็คงไม่ใช่แค่จอมยุทธ์ระดับตี้จื้อจุนสองสามคนจะมาเคาะประตูบ้าน…
หากนางโกรธขึ้นมาจริงๆ จนถึงขั้นเรียกบิดามาช่วยละก็ ฮ่องเต้เซี่ยก็ได้แต่กลืนความคับข้องใจลงไปในท้อง
เซี่ยหงกระโดดลงไปในหลุมพรางที่หลินจิ้งขุด…
มู่เฉินกับจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนจะส่ายหัวเงียบๆ
“ไอ้หนุ่มโชคร้ายนั่น… ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว”
บทที่ 1100 สู้กับเซี่ยหง
“ไอ้หนุ่มโชคร้าย…”
ขณะที่มู่เฉินกับจิ่วโยวรู้สึกความเห็นใจเซี่ยหงอยู่ในใจ อีกฝ่ายก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วจากสายตาของพวกเขา สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ระงับอารมณ์เบาบางนี้ไว้ในใจ
นั่นเป็นเพราะไม่ว่าจะไตร่ตรองอย่างไร ก็ไม่เห็นความผิดพลาดตรงไหน เนื่องจากเขารู้ว่าทั้งใบรับรองลูกหนี้และคำกล่าวก่อนหน้าของหลินจิ้งที่ได้สาวงามสองคน ทั้งสองฝ่ายคงไม่ยอมรับกันภายหลังอยู่แล้ว
ที่เสนอก่อนหน้าก็เพื่อต้องการมีข้ออ้างที่จะลงมือกับสาวงามทั้งสองหลังจากจัดการกับมู่เฉินเรียบร้อย ตราบใดที่หลินจิ้งและจิ่วโยวอยู่เคียงข้าง เขาก็มีวิธีปราบพยศแม่เสือสาวทั้งสอง
เซี่ยหงตั้งสติก่อนจะมองไปที่หลินจิ้งที่ยิ้มราวกับนางจิ้งจอก ทำเอาไฟปรารถนาถูกจุดในหัวใจ เมื่อไรที่นางตกอยู่ในอ้อมกอดของเขา องค์ชายคนนี้จะทำให้นางยิ้มจนพอใจ
แต่ก่อนอื่นต้องกำจัดไอ้ตัวเกะกะสายตาก่อน…
แววตาเย็นเยือกราวกับใบมีดของเซี่ยหงหันไปหามู่เฉินอย่างช้าๆ การแลกกระบวนท่าเมื่อครู่เขาเสียเปรียบเล็กน้อยเนื่องจากประเมินมู่เฉินต่ำไป ทว่าเขาจะไม่ทำผิดพลาดซ้ำสอง ดังนั้นเขาจะพยายามเต็มที่เพื่อกำจัดมู่เฉินให้เร็วที่สุดและบอกให้รู้ว่าจอมยุทธ์ไร้ชื่อจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำตัวหยิ่งผยองในสถานที่แห่งนี้ที่เหล่าจอมยุทธ์ชั้นสูงของทวีปเทียนหลัวมารวมตัวกัน
คลื่นหลิงระหว่างฟ้าดินเดือดพล่านพร้อมกับระลอกคลื่นกดดันพุ่งไปยังมู่เฉิน ทำให้ผืนดินใต้เท้ามู่เฉินสั่นสะท้านภายใต้แรงกดดัน
ใบหน้าของมู่เฉินสงบ เขารู้ว่าเซี่ยหงทรงพลังเพียงใด แม้ว่าเซี่ยหงจะอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นเท่านั้น แต่ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่แท้จริงสูงกว่าหลงปี้มาก ตามการคาดการณ์ของมู่เฉิน เซี่ยหงอาจจะสามารถต่อสู้กับระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดได้เลยทีเดียว
มู่เฉินเก็บความคิดทุกอย่าง แขนทั้งสองทิ้งดิ่งลงข้างลำตัว คลื่นหลิงในร่างก็เริ่มไหลเวียน พลังงานรอบตัวเขากวาดไปราวกับมหาสมุทรทำให้มิติบิดเบี้ยวที่เบื้องหลัง จุดจื้อจุนไห่ของเขาปรากฏขึ้นอย่างคลุมเครือ ปล่อยคลื่นหลิงทรงพลังออกมา
ปัดเป่าแรงกดดันที่มาจากเซี่ยหงจนหมดสิ้น
แม้ว่าเขาจะอยู่ในระยะอีกครึ่งก้าวถึงจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า แต่คลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่ของมู่เฉินได้รับการขัดเกลาอย่างเข้มข้นในมหาสมุทรเทพสร้างสองปี ซึ่งนั่นทำให้คลื่นหลิงของเขาหนาแน่นจนถึงขีดสุด
ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากเขาได้กลั่นเพลิงอมตะที่ราชินีวิหคอมตะทิ้งไว้ ซึ่งมอบคุณสมบัติอันเป็นอมตะให้กับคลื่นหลิงของเขา ดังนั้นในแง่ความหนาแน่นและทนทานของคลื่นพลังเพียงอย่างเดียว มู่เฉินก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า ในทางกลับกันเขาแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ
“น่าสนใจ…”
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตผิดแผกของมู่เฉินถูกเซี่ยหงสัมผัสได้ ทันใดนั้นดวงตาก็วูบไหวพร้อมกับเค้นเสียงเย็น ก่อนที่แววตาจะเปลี่ยนเป็นเย็นชา
“ปัง!”
คลื่นหลิงทรงพลังระเบิดที่เบื้องหลังเซี่ยหง ขณะเดียวกันร่างเขาก็เปลี่ยนเป็นภาพมายา พริบตาก็มาปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉินซัดหมัดออกมา
ไม่มีทักษะใดอยู่เบื้องหลังหมัดนี้ แต่ก็ถูกควบแน่นด้วยคลื่นหลิงรุนแรง นอกจากนี้เมื่อหมัดซัดออกไปเลือดและรัศมีของเซี่ยหงก็เดือดพล่าน ห่อหุ้มหมัดพร้อมกับเสียงสังหารหมู่ที่ดังออกมา
“นั่นกายาเทพสงครามสังหารของเซี่ยหง!” ชิ้งหย่าอดไม่ได้ที่จะเกร็งดวงตาเมื่อเห็นเลือดและรัศมีที่ระเบิดจากร่างเซี่ยหง นี่เป็นทักษะฝึกฝนพลังกายที่ค่อนข้างครอบงำและน่าขนลุก ซึ่งผู้ฝึกจะต้องผ่านการต่อสู้นองเลือดมานับไม่ถ้วนเพื่อใช้เลือดของศัตรูมาชำระร่าง เพื่อฝึกวิชานี้ให้สำเร็จ เซี่ยหงถึงกับไปร่วมสงคราม ใช้เลือดของศัตรูในการฝึกฝนวิชาพลังกายนี้
“เขาฝึกฝนวิชาพลังกายด้วยเรอะ…”
เจตนาฆ่าพุ่งเข้ามาพร้อมกลิ่นอายโลหิตหนาแน่น นี่ทำให้มู่เฉินรู้สึกเหมือนมีทะเลโลหิตกวาดเข้ามา แต่สิ่งนี้ไม่ได้ส่งผลใดๆ กับเขา ดวงตาหลุบลง แสงสีม่วงทองระเบิดออกมาจากร่างกาย
กายามังกรหงส์!
แสงสีม่วงทองไหลเวียนบนพื้นผิวของร่างกายมู่เฉินซึ่งทำให้ดูไม่สามารถทำลายได้ เขาชกหมัดออกไปด้วยสีหน้าไม่แยแส
มู่เฉินไม่ได้หลบการโจมตีของเซี่ยหง ความภาคภูมิใจในพลังกายของอีกฝ่ายช่างน่าตลกในสายตาของเขา
หากเซี่ยหงใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นก็อาจจะสร้างปัญหาให้กับมู่เฉินอยู่บ้าง แต่ถ้าเซี่ยหงต้องการที่จะแข่งขันในแง่ของพลังกายก็เป็นเรื่องเพ้อฝันถ้าคิดจะทำให้มู่เฉินได้รับทำอันตรายใดๆ
มู่เฉินที่ฝึกฝนกายามังกรงหงส์และบรรลุถึงระดับจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็มั่นใจอย่างยิ่งกับพลังกายของตนเอง เขาไม่กลัวกระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดด้วยซ้ำ
หมัดน่ากลัวทั้งสองฉีกผ่านอากาศ ปะทะซึ่งกันและกันภายใต้สายตาเคร่งเครียดนับไม่ถ้วน
ตู้ม!
อากาศระเบิดขึ้น คลื่นกระแทกเกรี้ยวกราดมองเห็นด้วยตาเปล่ากระจายออก มิติถึงกับบิดเบี้ยว พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของทั้งสองไม่สามารถแบกรับผลกระทบแตกออกในทันที
ทุกสายตาจ้องเขม็งที่ต้นกำเนิดของคลื่นกระแทก อึดใจสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป เพราะพวกเขาเห็นร่างกายของมู่เฉินตั้งมั่นประหนึ่งหินผา ไม่ได้เคลื่อนไหวสักกระผีกจากการปะทะกับเซี่ยหง
กลับกลายเป็นเซี่ยหงที่เหมือนได้รับแรงต้านกลับ ร่างกายสั่นไหวไปทีหนึ่ง
“พลังกายของมู่เฉินน่าสะพรึงมาก!” บางคนอุทานด้วยเสียงต่ำ ด้วยขุมพลังเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า จากการปะทะกับเซี่ยหงในแง่ของพลังกาย มู่เฉินไม่เพียงแต่จะไม่เสียเปรียบ กลับยังได้เปรียบอยู่เล็กน้อยด้วย!
สีหน้าของชิ้งหย่าและคนอื่นๆ ก็เคร่งเครียดลงหลายส่วนกับฉากนี้
ท่ามกลางความโกลาหล สายตาของเซี่ยหงก็วาวด้วยร่องรอยความมืดมน ความแข็งแกร่งของมู่เฉินเกินความคาดหมายของเขาไกลลิบ
“ตู้ม!”
รัศมีสังหารยิ่งใหญ่ปะทุออกมาจากร่างของเซี่ยหง เขากระทืบเท้า ผืนดินแตกสลายที่ใต้ฝ่าเท้า ร่างเงาก็กลายเป็นภาพซ้อนนับไม่ถ้วน ก่อนที่จะหมุนวนรอบร่างมู่เฉินพร้อมกับหมัดซัดใส่จากทุกทิศทาง
การโจมตีนี้เกินกว่าจะหลบหนีไปได้!
ตู้ม! ตู้ม!
เผชิญกับการโจมตีกระหน่ำของเซี่ยหง สีหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด เขาสะบัดแขนเสื้อ มังกรสีม่วงทองก็ทะยานออกมาล้อมรอบเขาสร้างปราการทรงพลังต้านหมัดเอาไว้
ตึง! ตึง!
เสียงต่ำลึกดังก้องจากลานประลองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พื้นตรงใต้เท้ามู่เฉินก็พังทลายจากแรงกระแทก
ไม่สามารถอธิบายความรุนแรงของการโจมตีของเซี่ยหงได้ สุดท้ายแม้แต่การป้องกันที่สร้างขึ้นจากจิตวิญญาณมังกรแท้จริงก็ไม่สามารถสกัดกั้นการโจมตีทั้งหมดได้ หนึ่งในหมัดนั้นพุ่งตรงไปที่ศีรษะของมู่เฉินหลังจากหาช่องโหว่ได้
ตู้ม!
มือเรียวยื่นออกมาปิดกั้นหมัด ขณะที่คลื่นหลิงโกรธเกรี้ยวระเบิดออกมา
วาบ!
แผ่นดินแตก ทั้งคู่กระเด็นลากเป็นรอยยาวบนพื้นก่อนที่จะทรงตัวได้
สายตานับไม่ถ้วนมองไป ร่างทั้งสองก็คือมู่เฉินกับเซี่ยหงที่ปะทะอย่างดุเดือดเมื่อสักครู่
มู่เฉินอยู่ในท่าฝ่ามือข้างหนึ่งตั้งขึ้น สีหน้านิ่งสงบ ฝ่ามือเป็นสีทองราวกับไม่สามารถทำลายลงได้ บริเวณแขนเสื้อมีรอยฉีกขาด ซึ่งเกิดจากแรงกระแทกในการปะทะก่อนหน้า
ส่วนเซี่ยหงที่อยู่ไกลออกไปก็มีสีหน้ามืดมน การโจมตีก่อนหน้าของเขาสามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าได้รับบาดเจ็บเลยทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงแค่พวกเสมือน แต่เมื่อกระบวนท่าซัดลงบนร่างมู่เฉินก็เพียงฉีกขาดแขนเสื้อได้เท่านั้น
ผลลัพธ์นี้ทำให้หัวใจของเซี่ยหงเต็มไปด้วยความโกรธและจิตสังหาร
“ฮา”
เซี่ยหงสูดหายใจเข้าลึก อารมณ์บนใบหน้าค่อยๆ หายไปจนกลายเป็นไม่แยแส
สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงนั่น มู่เฉินก็หรี่ตาลงเริ่มรู้สึกได้ถึงภัยคุกคามจากเซี่ยหง
เซี่ยหงฉายสายตาไร้อารมณ์ ยื่นมือออกมากำหมัดแน่น
ฮึ่ม!
ประกายสีแดงสดรวมตัวกันอยู่กลางฝ่ามือเขา กลายเป็นหอกสีแดงเข้มที่สลักลวดลาย เพียงแค่ปรากฏขึ้นก็ระเบิดคลื่นหลิงและไอสังหารที่น่าตกใจออกไป
เมื่อมองไปที่หอกสีแดง มู่เฉินก็หดม่านตาลง “อาวุธเสมือนมหสวรรค์?”
ขณะที่มู่เฉินรู้สึกอึ้งเล็กน้อยในใจ เซี่ยหงก็สาดยิ้มน่าขนพองสยองเกล้า แสงสีแดงเข้มพุ่งออกมาจากร่างเขาอีกครั้งกลายเป็นชุดเกราะสีแดงเข้มที่สลักลวดลายมังกรคำราม ดูทั้งน่ากลัวและดุร้าย
หอกและชุดเกราะชัดว่าเป็นของในชุดเดียวกันเนื่องจากมีรัศมีแบบเดียวกัน เมื่อเซี่ยหงสวมใส่ลงไปความผันผวนของคลื่นหลิงรอบตัวก็เพิ่มสูงขึ้นจนน่ากลัว
ตอนนี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็ต้องเผชิญหน้ากับเขาอย่างจริงจัง
“นั่นคือ…หอกสงครามมังกรแดงและเกราะสงครามมังกรแดง… ชุดอาวุธเสมือนมหสวรรค์ ทั้งชุดนี้สามารถประกาศความเป็นจักรพรรดิในหมู่อาวุธเสมือนมหสวรรค์… เซี่ยหงโหดเหี้ยมแท้จริง ถึงขนาดใช้พวกมัน” เมื่อชิ้งหย่าและคนอื่นๆ เห็นภาพนี้ สีหน้าของพวกเขาก็เคร่งเครียดลง ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดเกรง
เผชิญหน้ากับเซี่ยหงที่ใช้ไพ่ตายใบนี้ ต่อให้เป็นพวกเขาก็ต้องหลีกเลี่ยง
เห็นได้ชัดว่าหลังจากไม่ได้ผลในการโจมตีหลายครั้ง จิตสังหารของเซี่ยหงก็ถูกปลุกขึ้นอย่างสมบูรณ์
ทีนี้…มู่เฉินตกอยู่ในอันตรายแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น