หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1093-1096
บทที่ 1093 แย่งชิง
“หกล้าน”
เสียงสงบนิ่งสะท้อนในโรงประมูลดึงดูดสายตาประหลาดใจมากมาย ก่อนที่จะพุ่งตรงไปมองชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในชั้นสาม
“ใครกัน? หรือว่าจะเป็นหลิงเจิ้นซือ เขาถึงได้เสนอราคาสำหรับแผนภาพค่ายกลนี้?”
“ไม่รู้สิ ตอนนี้จอมยุทธ์ชั้นนำรุ่นใหม่ในทวีปเทียนหลัวมารวมกันที่นี่มากมาย จะไปรู้จักทุกคนได้ยังไง แต่เขาคนนี้ไม่คุ้นหน้าเลย น่าจะไม่ติดอันดับในทำเนียบนะ”
“แต่ดูจากความผันผวนของพลังงานรอบตัว เขาอยู่ในระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้านะ ซึ่งไม่ธรรมดาในหมู่คนรุ่นใหม่แล้ว”
เสียงกระซิบทุกประเภทดังก้อง
ด้วยความกังขากับตัวตนของมู่เฉิน
บนชั้นสามก็มีสายตาจับจ้องมาที่มู่เฉินเช่นกัน เซี่ยหงก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ดวงตาของเขาหรี่ลงราวกับสุนัขจิ้งจอก ก่อนที่จะกะพริบตาแล้วกวาดมองไปที่มู่เฉินแบบไม่แยแส
“ฮ่าๆ มีใครเสนอราคาสูงกว่านี้ไหม?” หานเฟยจ้องมองมู่เฉิน ก่อนที่จะถอนสายตาถามพร้อมกับรอยยิ้มแย้มในโรงประมูล
ความเงียบกินเวลาในการประมูลไปชั่วครู่ แต่ที่นี่ก็มีหลิงเจิ้นซือคนอื่นด้วยเช่นกัน พวกเขายังให้ความสนใจในภาพค่ายกลนี้ ดังนั้นหลังจากเงียบไปครู่หนึ่งในที่สุดก็มีคนพูดออกมา
“หกล้านห้า” ชายคนหนึ่งยืนขึ้นสัญลักษณ์หลิงยิ่งปกคลุมบนแขนเสื้อ แสงไหลเวียนอยู่บนนั้น
“นั่นคือมู่ไป๋ ศิษย์เอกสำนักค่ายกลอมตา ลือกันว่าเป็นหลิงต้าเจิ้นซือสามารถสร้างค่ายกลระดับเทียนขั้นกลางได้แล้ว” มีคนตาแหลมคมในการประมูล ดังนั้นอัตลักษณ์ของผู้เสนอราคาจึงถูกจดจำได้ทันที
มู่ไป๋ประสานมือด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรให้มู่เฉิน
มู่เฉินก็ตอบรับในทำนองเดียวกัน แต่เห็นได้ชัดว่าต่อให้อีกฝ่ายมีท่าทางเป็นมิตรเขาก็ไม่คิดจะละทิ้งภาพไม่สมบูรณ์นี้ จึงยื่นราคาต่อ “เจ็ดล้าน”
เมื่อได้ยินการเสนอราคา มู่ไป๋ก็อึ้งไปก่อนที่จะพูดพร้อมกับยิ้ม “แปดล้าน”
พวกเขาทั้งสองให้ความสนใจอย่างชัดเจนกับภาพค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์นี้ แม้จะไร้ประโยชน์ต่อผู้อื่น แต่ก็ถือว่าเป็นสมบัติสำหรับหลิงเจิ้นซืออย่างพวกเขา ต่อให้สุดท้ายจะไม่สามารถสร้างค่ายกลได้ แต่พวกเขาก็จะได้รับการพัฒนาจากการทำความเข้าใจในค่ายกลนี้
การประกวดราคาของทั้งสองร้อนแรงขึ้น ซึ่งดึงดูดความสนใจของทุกคน แต่พวกเขารู้สึกได้ว่าแม้ทั้งสองจะใส่ราคากันอย่างต่อเนื่องก็ยังคงเป็นมิตร ไม่ได้มีประกายไฟบินว่อน
ทั้งสองไม่ยอมแพ้กัน ดังนั้นจึงดึงดูดหลิงเจิ้นซืออีกหลายคนให้เข้าร่วมในการเสนอราคา ทำให้ราคาของค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ก็เพิ่มเป็นสิบเอ็ดล้าน ซึ่งเข้าใกล้ราคาของไข่มุกทะเลเดือดเข้าไปทุกที ดังนั้นจำนวนคู่แข่งจึงค่อยๆ ลดลง เหลือเพียงมู่เฉินและมู่ไป๋อีกครั้ง
“สิบสองล้าน”
มู่เฉินเสนอราคาอย่างสงบนิ่ง ราคานี้ไม่ต่ำเลย ช่างน่าเจ็บปวดรวดร้าวสำหรับหอวิหคโลกันตร์นัก หากมั่นถัวหลัวไม่ได้มอบของเหลวจื้อจุนให้กับเขาในการเดินทางครั้งนี้ เขาคงต้องม้วนเสื่อกลับบ้านแล้ว
เมื่อราคาแตะที่สิบสองล้านก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนในการประมูล ทุกคนรู้สึกว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ภาพค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ถูกยกระดับราคาเช่นนี้
สายตาของมู่ไป๋เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดผสมความลังเล ราคานี้เท่ากับรายได้ทั้งปีของเขาเลย
หลังจากความลังเลเบาบาง มู่ไป๋ก็ถอนหายใจจากนั้นก็ส่ายหัวแล้วนั่งลง
เมื่อเห็นว่ามู่ไป๋ยอมแพ้ มู่เฉินก็โล่งใจ ถ้ามู่ไป๋ดื้อรั้นเสนอราคาต่อ อาจเป็นตัวเขาเองจะต้องยอมแพ้ถ้าราคาขึ้นอีกไม่กี่รอบ
“สิบสี่ล้าน!”
ทว่าขณะที่มู่เฉินกำลังรู้สึกโล่งใจในใจจากการยกธงขาวของมู่ไป๋ เสียงไม่แยแสก็ดังกึกก้องซึ่งดึงดูดความปั่นป่วนอีกครั้ง
ทันใดนั้นสายตานับไม่ถ้วนก็มองขึ้นไปตรงที่มาของเสียง จากนั้นประกายแสงก็วูบไหวบนใบหน้าของพวกเขา
นั่นเป็นเพราะบนเก๋งจีนชั้นสามเซี่ยหงกำลังเล่นกับไข่มุกดำด้วยท่าทางไม่แยแส นั่นคือไข่มุกทะเลเดือดที่เขาเพิ่งประมูลได้ หลังจากเสนอราคาออกมา เขาก็ไม่ได้มองหน้าใคร ทำเพียงมองไปที่ไข่มุกในมือโดยไม่สนใจสายตาที่จ้องมองมาทั้งหมด
สำหรับมู่เฉินซึ่งถูกขัดจังหวะ เซี่ยหงก็ไม่สนใจที่จะมองราวกับว่าสิ่งที่เพิ่งทำไม่คุ้มค่าที่จะพูดถึง
พฤติกรรมของเขาดึงดูดความประหลาดใจจากทุกคน เมื่อพิจารณาจากท่าทางแล้ว ดูเหมือนเซี่ยหงจะมีเรื่องบาดหมางกับมู่เฉิน…
“ไอ้เวรนั่น!”
สายตาของจิ่วโยวสาดไอเกรี้ยวกราดและเย็นเยือก เซี่ยหงจงใจเล็งหาเรื่องมู่เฉิน ชัดว่าไม่ต้องการเห็นมู่เฉินได้ของไปครอบครองอย่างง่ายดาย
ตรงข้ามกับจิ่วโยวที่โกรธเคือง สีหน้ามู่เฉินกลับไม่ได้เปลี่ยนอะไรไปมาก เขาคงคิดถึงสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงเพียงแค่จ้องมองอย่างเงียบๆ ไปที่เซี่ยหงก่อนที่จะยิ้ม “สิบห้าล้าน”
เซี่ยหงลูบไข่มุกเบาๆ พูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง “สิบหกล้าน”
บรรยากาศในงานประมูลเริ่มเดือดขึ้นอีกครั้ง หากมู่เฉินและมู่ไป๋ทำไปแบบมิตรภาพ การแข่งขันราคาระหว่างมู่เฉินกับเซี่ยหงก็เท่ากับล้างบางกันแล้ว
จิ่วโยวสาดสีเย็นชาลงหลายส่วน นางกำกำปั้นความผันผวนของพลังงานที่น่าสะพรึงก็กระเพื่อมออกมาจากหมัด แม้แต่ผู้เฒ่าไป๋ ผู้บัญชาการสือและถานชิวที่นั่งอยู่ข้างหลังก็แสดงสีหน้าไม่ดีเช่นกัน
“สิบเจ็ดล้าน”
มู่เฉินรักษาเสียงราบเรียบไร้อารมณ์
เมื่อราคานี้เอ่ยขึ้นก็ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนในโรงประมูล นี่มากเกินไป แม้แต่เซี่ยหงยังหยุดเล่นไข่มุกแล้วเงยหน้าขึ้นมองมู่เฉินด้วยท่าทางหยอกล้อ “สหายใจกว้างจริงๆ งั้นข้าถอยให้แล้วกัน”
หลายคนถึงกับแอบเดาะลิ้น เซี่ยหงใจร้ายจริงๆ ดูจากท่าทางก็เห็นชัดว่าเขาไม่ได้สนใจภาพค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์สักนิด แต่เหตุผลที่เขาเสนอราคาเพียงเพื่อให้มู่เฉินต้องจ่ายราคาสูงขึ้นอีกนิด ซึ่งเขาพอใจกับผลลัพธ์ที่ทำไป เนื่องจากทำให้มู่เฉินต้องจ่ายของเหลวจื้อจุนเพิ่มไปอีกห้าล้านหยด
“งั้นข้าก็ขอขอบคุณองค์ชายสี่”
ภายใต้การจ้องมองอย่างน่าสงสารของทุกคน มู่เฉินกลับไม่ได้ใส่ใจและยังยิ้มให้เซี่ยหง “แต่ข้าหวังว่าองค์ชายสี่จะไม่เสียใจที่ทำให้ข้าได้สิ่งนี้ เมื่อถึงเวลานั้นข้าคิดว่าราคาที่เจ้าจะต้องจ่ายจะยิ่งกว่าของเหลวจื้อจุนสิบเจ็ดล้านหยดนี้”
คำพูดของมู่เฉินทำให้คนอื่นประหลาดใจ ต่างคิดว่าชายหนุ่มคนนี้โอหังไม่น้อย…
ทว่าม่านตาของเซี่ยหงกลับหดลงเมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน เขารู้สึกไม่สบายใจคลุมเครือ แต่จากนั้นก็ระงับความรู้สึกลงไปได้ จอมยุทธ์ระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าจะทำอะไรได้แม้จะมีภาพค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ เมื่อกองทัพของแคว้นเซี่ยมาถึง ชายคนนี้ก็ถูกบดขยี้จนไม่เหลือซากได้ง่าย
ดังนั้นจึงเขายิ้มบาง ก่อนที่ริ้วเหยียดหยามจะเผยขึ้นที่มุมปาก “ในเมื่อเป็นแบบนี้ข้าจะรอ หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ผิดหวังนะ”
มู่เฉินยิ้มไม่พูดอะไรต่ออีก
“ไอ้ตัวน่ารังเกียจ!” จิ่วโยวพูดด้วยเสียงเย็นชา แม้ของเหลวจื้อจุนห้าล้านหยดไม่ได้เป็นจำนวนเล็กน้อย แต่สิ่งที่ทำให้นางโมโหที่สุดคือวิธีของเซี่ยหง
“เขาคิดจริงๆ หรือว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์แหย่ได้ง่ายๆ?” ถานชิวโกรธจนหัวร้อนฉ่า สำนักของพวกเขาไม่เหมือนกับเมื่อก่อน แม้ภูมิหลังยังเทียบแคว้นเซี่ยไม่ได้ แต่ถ้าสู้กันจริงๆ แคว้นเซี่ยก็ไม่สามารถได้รับผลประโยชน์ใดๆ อย่างแน่นอน
ทว่าเผชิญหน้ากับความโกรธของพรรคพวก มู่เฉินก็โบกมือแล้วยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ข้าบอกแล้วไงองค์ชายสี่จะต้องเสียใจแน่นอนที่ให้ข้าได้ภาพพค่ายกลมาครอบครอง”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ เนื่องจากเขารู้สึกได้เบาบางว่าพลังของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง หากเขาสามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ สิ่งนี้ก็ไม่ใช่ของที่สามารถซื้อได้ด้วยของเหลวจื้อจุนสิบเจ็ดล้านหยด
จิ่วโยวและพรรคพวกรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน แม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับศักยภาพของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร แต่ก็ต้องไม่ธรรมดาแน่นอนในเมื่อมู่เฉินกล่าวออกมาเช่นนั้น
ขณะที่พวกเขาสนทนากัน หานเฟยก็ปิดการประมูลสำหรับภาพค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร ให้ผู้ดูแลส่งม้วนภาพนี้ไปให้มู่เฉิน แล้วเริ่มการประมูลของชิ้นที่สาม
นี่คือวิทยายุทธระดับเสินทงฉบับไม่สมบูรณ์ซึ่งทั้งโบราณและไม่ธรรมดา ทว่ามู่เฉินไม่สนใจจะประมูลอีกต่อไปเนื่องจากกินเยอะเคี้ยวไม่หมดเอา ตอนนี้เขาไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะรวบรวมสิ่งที่ไม่สมบูรณ์จำนวนมากเพื่อทำความเข้าใจ
ดังนั้นวิทยายุทธระดับเสินทงฉบับไม่สมบูรณ์จึงถูกประมูลโดยชิ้งหย่าในราคาสิบแปดล้าน…
เมื่อสิ้นสุดการประมูลของชิ้นที่สาม บรรยากาศในโรงประมูลก็ตึงเครียดถึงขีดสุด สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปที่ถาดเงินถาดที่สี่
คนส่วนมากมาที่นี่ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่วัตถุสามชิ้นแรก แต่เป็นวัตถุที่ได้สร้างคลื่นปั่นป่วนในเมืองในช่วงสองวันที่ผ่านมา…
บนแท่นประมูลหานเฟยกวาดมองสายตาร้อนแรงที่จ้องมองมา สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขารับถาดเงินมาถือด้วยตนเอง ม่านแสงก็จางลงเผยสิ่งที่อยู่ในนั้น
นี่เป็นป้ายทองคำกระดำกระด่างวางบนถาด คำโบราณพร่ามัวสลักด้านบนที่ดูเหมือนคำว่า ‘สอง’…
สายตาของมู่เฉินเป็นประกาย นี่เป็นตราประจำตัวของจอมพลสองแน่แล้ว!
บทที่ 1094 หญิงลึกลับ
ป้ายทองคำโบราณวางบนถาดเงิน
มีรอยด่างบ่งบอกถึงอายุ ในเวลาเดียวกันป้ายนี้ก็ดูธรรมดามาก แต่มีความเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
ผู้คนจ้องมองที่ป้ายด้วยสายตาร้อนแรง คนส่วนใหญ่ที่นี่มาจากขั้วอำนาจต่างๆ และแรงจูงใจที่มาที่นี่ก็คือป้ายทองคำลึกลับนี้
มั่นถัวหลัวไม่ใช่คนเดียวที่รู้เกี่ยวกับเรื่องจอมพลสอง ขั้วอำนาจระดับต้นอื่นๆ ในทวีปเทียนหลัวก็ได้ทำการสืบเสาะข้อมูลวังสวรรค์บรรพกาลมาด้วยเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สถานะของจอมพลสอง นี่ยิ่งดึงดูดความสนใจเมื่อป้ายเผยออกมา
ทรัพยากรและโอกาสในวังสวรรค์บรรพกาลยิ่งใหญ่เหลือล้น หากขั้วอำนาจใดสามารถรับไปได้ ก็อาจจะสามารถทะยานขึ้นกลายเป็นผู้ปกครองคนใหม่ของทวีปเทียนหลัว ในเวลาเดียวกันสำนักของพวกเขาก็จะได้เลื่อนขึ้นเป็นหนึ่งในมหาอำนาจแห่งมหาพันภพ!
ดังนั้นอะไรก็ตามที่สามารถเพิ่มโอกาสได้ ล้วนมีค่ามาก พวกเขาต้องรับสิ่งนี้มาให้ได้!
บนเก๋งชั้นสาม ไม่เพียงแต่ดวงตาของเซี่ยหงเปลี่ยนเป็นคมกริบ แม้แต่คนอื่นๆ ก็ท่าทางเคร่งเครียดลงหลายส่วน
ชัดว่าวัตถุที่พวกเขารอคอยปรากฏขึ้นแล้ว
หานเฟยจ้องมองท่าทางน้ำลายไหลย้อยจากบนแท่นประมูลก็หัวเราะแล้วยกถาดสีเงินขึ้น “ราคาเริ่มต้นประมูลอยู่ที่ของเหลวจื้อจุนหนึ่งล้านหยด ให้เพิ่มราคาทุกครั้งไม่น้อยกว่าหนึ่งล้าน”
ราคาเริ่มต้นของวัตถุชิ้นนี้ต่ำมาก เทียบกับสามชิ้นแรกไม่ได้เลย แต่กลับไม่มีใครรู้สึกสบายใจในราคานี้ นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ว่าราคาของชิ้นนี้จะสูงเกินกว่าสามชิ้นที่ออกไปก่อนหน้าแน่นอน
“สองล้าน!”
ตามที่ทุกคนคาด ทันทีที่หานเฟยพูดจบเสียงก็ดังกึกก้อง
“สามล้าน!” ก่อนเสียงแรกจบสิ้นสุด การเสนอราคาก็ดังก้อง
“สี่ล้าน”
“…”
เสียงดังกึกก้องอยู่ในโรงประมูล ยกระดับบรรยากาศถึงสุดขีดทันที ดวงตาทุกคนเปลี่ยนเป็นสีแดง
ในเวลาไม่กี่อึดใจราคาก็เพิ่มเป็นสิบล้านแล้ว
หลังจากราคาเพิ่มขึ้นเป็นสิบล้าน ความถี่ในการเสนอราคาก็ลดลง แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีเสียงโหวกเหวกเป็นระยะ ชัดว่าพวกเขาจะต้องมีขั้วอำนาจแข็งแกร่งยืนเบื้องหลังแน่
เวลาผ่านไปหลายนาที ราคาเพิ่มขึ้นเป็นสิบหกล้าน
“มาถึงสิบหกล้านแล้ว”
เมื่อมู่เฉินเห็นฉากการประมูลนี้ เขาก็อดเดาะลิ้นอย่างช่วยไม่ได้ สำนักชั้นยอดยังไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเลย แต่ราคาก็ทะยานอย่างน่ากลัวแล้ว
“สิบแปดล้าน!”
ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจ จู่ๆ เสียงหัวเราะก็ดังกึกก้องขึ้น ทำให้บรรยากาศที่ร้อนแรงหยุดลงชั่วคราว สายตานับไม่ถ้วนจ้องมองประมุขน้อยสำนักมังกรซ่อนที่มองทุกคนด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เห็นได้ชัดว่าในที่สุดเขาก็ขยับหลังจากดูการเสนอราคามาพักหนึ่ง
เขาเพิ่มราคาประมูลจากสิบหกล้านเป็นสิบแปดล้าน การเพิ่มราคาทีเดียวสองล้าน ทำให้สีหน้าของจอมยุทธ์คนอื่นๆ น่าเกลียด จนสุดท้ายพวกเขาก็ลังเลก่อนจะนั่งลงอย่างไม่เต็มใจ
“ฮ่าๆ ในเมื่อประมุขน้อยมู่ใจดีเริ่ม งั้นแคว้นเซี่ยของข้าก็ไม่น้อยหน้าขอเสนอราคายี่สิบล้าน” เมื่อมู่ซันเสนอราคา เสียงเกียจคร้านก็ดังก้อง ในที่สุดเซี่ยหงก็เสนอราคาแล้ว
เมื่อมองภาพนี้ ขั้วอำนาจอื่นๆ ที่ตอนแรกยังรู้สึกมีหวังก็ส่ายหัวด้วยความเสียใจเนื่องจากต่อไปพวกเขาได้แต่เฝ้ามอง เฉพาะพวกร่ำรวยเท่านั้นถึงจะสามารถแข่งขันเพื่อประมูลป้ายทองคำนี้
“ยี่สิบเอ็ดล้าน”
เสียงหัวเราะนุ่มนวลดังสะท้อนจากริมฝีปากของชิ้งหย่า “ในเมื่อเจ้าสองคนลงชิงชัย ข้าชิ้งหย่าก็ขอมีส่วนร่วมด้วย”
“ยี่สิบสองล้าน” เจียงหลิงพูดราคาโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ บนใบหน้า
เมื่อขั้วอำนาจชั้นยอดทั้งสี่เสนอราคา ทำให้ราคาสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ ตัดความคิดของกลุ่มอื่นออกไปอย่างสมบูรณ์
เซี่ยหงกะพริบตาจ้องมองทั้งสามคนพูดด้วยเสียงเย็นชา “ยี่สิบห้าล้าน”
เขาจะต้องได้ป้ายทองคำนี้ แต่ทั้งสามเป็นอุปสรรคต่อเขา พวกเขาอาจทำให้เขาจ่ายในราคาแพง แต่เขาไม่กลัวที่จะไม่ได้รับ เพราะในแง่ของรากฐานสำนักมังกรซ่อน ตึกฟ้าเหวและสำนักกระบี่แดนสรวงล้วนสู้แคว้นเซี่ยไม่ได้
มู่ซัน ชิ้งหย่าและเจียงหลิงขมวดคิ้ว เนื่องจากรู้สึกถึงความมุ่งมั่นของเซี่ยหงที่จะเอาชนะ ของเหลวจื้อจุนยี่สิบห้าล้านหยด ไม่ได้เป็นจำนวนน้อยสำหรับสำนักของพวกเขาแล้ว
ดังนั้นในช่วงจังหวะหนึ่ง พวกเขาก็เริ่มไตร่ตรองและพิจารณาส่วนได้ส่วนเสีย
เซี่ยหงเย้ยหยันในหัวใจ ขั้วอำนาจที่มีฐานรากตื้นเขินต้องการที่จะแข่งขันกับแคว้นเซี่ยของข้าเรอะ? ฝันไปเถอะ!
“ยี่สิบแปดล้าน”
ทว่าขณะที่เซี่ยหงกำลังรู้สึกยินดี จู่ๆ เสียงสงบนิ่งก็ดังขึ้น ซึ่งทำลายความเงียบลง
ควับ!
ทุกคนส่งสายตาจ้องมองไปที่แหล่งกำเนิดของเสียง ก็เห็นมู่เฉินซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับภาพค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ไปยืนขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
“เขาเสนอราคาสูงขนาดนี้จริงเหรอ!” มีบางคนที่รู้สึกไม่เชื่อเพราะของเหลวจื้อจุนยี่สิบแปดล้านหยด ไม่ใช่สิ่งที่ขั้วอำนาจใดๆ เอามาโปรยเล่นได้
ชิ้งหย่า มู่ซันและคนอื่นๆ ก็มองไปที่มู่เฉินด้วยแววตาตกใจเช่นกัน
เซี่ยหงอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนที่จะจ้องมองมู่เฉินด้วยสีหน้ามืดครึ้มแล้วพูดด้วยเสียงน่าขนลุก “ไอ้เวร นี่ไม่ใช่สถานที่ที่แกจะมาทำตลก ถ้าแกประมูลแบบบ้าบิ่น แกก็ต้องจ่ายราคาสำหรับสิ่งนั้นด้วย”
มู่เฉินยกเปลือกตาขึ้นตอบแผ่วเบา “องค์ชายสี่ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น อาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าสามารถจ่ายของเหลวจื้อจุนยี่สิบแปดล้านหยดได้สบาย”
พรรคพวกที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างก็อึ้งไปกับการเสนอราคานี้ พวกเขาเหลือของเหลวจื้อจุนอยู่สามสิบล้านหยด หลังจากการประมูลเมื่อครู่
ทว่าแม้จะตกใจพวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะพวกเขาเข้าใจถึงขีดจำกัดความมั่งคั่ง ดังนั้นหากพวกเขาต้องการที่จะชนะการประมูล พวกเขาต้องทำตัวรวยเพื่อข่มผู้อื่น
แต่แค่ไม่รู้ว่าจะข่มขู่เซี่ยหงด้วยจำนวนของเหลวจื้อจุนยี่สิบแปดล้านหยดได้จริงหรือไม่
สีหน้าของเซี่ยหงมืดครึ้มอีกหลายส่วน เขาจ้องมองมู่เฉินแสงเย็นไหลในดวงตา แม้ว่าแคว้นเซี่ยของพวกเขาจะร่ำรวย แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในสิ่งที่เขาสามารถใช้ได้
ของเหลวจื้อจุนสามสิบล้านหยดสามารถรองรับการเติบโตของขั้วอำนาจระดับสูงได้และเพียงพอที่จะทำให้จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนมาสวามิภักดิ์แล้ว
ดวงตาของเซี่ยหงกะพริบก่อนที่จะหายใจลึกพูดเสียงเยือกเย็นว่า “สามสิบล้าน!”
ฮือฮา!
โรงประมูลกลายเป็นจลาจลทุกคนตะลึงไปก่อนจะส่ายหัว พวกนี้บ้าจริงๆ ราคานี้สามารถซื้ออาวุธเสมือนมหสวรรค์หลายชิ้นได้เลยทีเดียว แม้จะอยู่ในองค์กรนักฆ่าในมหาพันภพยังสามารถใช้จำนวนเงินนี้เพื่อเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนมาได้
ไม่เพียงแต่ผู้ชมจะตกตะลึงกับราคานี้ แม้แต่ชิ้งหย่าและคนอื่นๆ ก็เผยท่าทางเคร่งเครียด ก่อนที่จะพากันส่ายหัว
จากนั้นทุกคนก็หันไปมองมู่เฉิน สงสัยว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร
ภายใต้สายตาเหล่านั้น มู่เฉินเสนอราคาอีกครั้งโดยไม่ลังเล “สามสิบเอ็ดล้าน”
การแสดงออกนิ่งสงบ ไม่มีใครสามารถเห็นขีดจำกัดของเขาได้ มีเพียงพรรคพวกเท่านั้นที่รู้ว่าราคานี้ถึงขีดจำกัดของพวกเขาแล้ว ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถจ่ายได้สักหยดแล้ว
วาบ!
เซี่ยหงยืนขึ้นพร้อมกับสีหน้าบูดเบี้ยว เขากัดฟันกรอดจ้องมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย ทิ้งรอยฝ่ามือลึกลงบนที่เท้าแขน เขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะกล้าเล่นกับเขาแบบนี้!
“สามสิบห้าล้าน!” เซี่ยหงคำรามเสียงต่ำลึกทำให้หนังหัวของทุกคนชาหนึบ นี่เป็นราคาขีดจำกัดของแคว้นเซี่ยแล้วเช่นกัน
เมื่อเห็นใบหน้าบิดเบี้ยวของเซี่ยหง มือเรียวของมู่เฉินก็ลูบที่เท้าแขนเบาๆ สีหน้านิ่งสงบ แต่ก็ต้องถอนหายใจในใจ แคว้นเซี่ยร่ำรวยจริงๆ ราคานี้เขาสู้ไม่ไหวแล้วเช่นกัน
แม้แต่รายได้ต่อปีของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ตอนนี้ ก็ไม่สามารถเข้าถึงจำนวนนั้นได้
ดังนั้นเขาจึงส่ายหัวเบาๆ และเลือกที่จะยอมแพ้
“ลองคิดวิธีอื่นดูนะ” จิ่วโยวพูดเสียงเบาๆ แม้ว่าเซี่ยหงจะได้รับป้ายไปก็ไม่ได้หมายความว่าจะนำออกไปได้
มู่เฉินพยักหน้านี่เป็นทางเลือกเดียวสำหรับตอนนี้
“ทำไมถึงไม่ประมูลต่ออีกล่ะ?”
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินยอมแพ้ ใบหน้าที่บิดเบี้ยวของเซียวหงก็เปลี่ยนเป็นเย้ยหยัน “อาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่อ่อนแอต้องการแข่งขันกับแคว้นเซี่ยของข้าเรอะ ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”
สีหน้าจิ่วโยวเย็นชาถึงขั้นสุด นางกำลังจะลุกขึ้นยืน แต่ก็ถูกมู่เฉินห้ามไว้ ไม่จำเป็นที่จะลงมือในสถานที่แห่งนี้
เซี่ยหงเค้นเสียงเย็นก่อนจะหันกลับไปหาหานเฟยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ประกาศผู้ชนะได้รึยัง?”
ด้วยราคาของเหลวจื้อจุนสามสิบห้าล้านหยด ใครจะสามารถแข่งขันกับเขาได้อีก?
หานเฟยพยักหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ขณะที่กำลังจะยุติการประมูล เสียงไพเราะก็ดังกึกก้องราวกับฟ้าร้องทำเอาทุกคนตกตะลึงทันที
“โอ้ เดี๋ยวก่อน ข้าขอเสนอราคาสี่สิบห้าล้าน”
เงียบกริบ
โรงประมูลทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบงัน เซี่ยหงตาพร่าไปกับราคานั้น แม้แต่มู่เฉินก็ตกตะลึง ใครคือคนที่เพิ่มราคาครั้งเดียวถึงสิบล้าน?
นางโปรยของเหลวจื้อจุนเล่นเหมือนถั่วเลยเรอะ?
ใครเป็นคนเสนอราคา?
ทุกคนค้นหาแหล่งกำเนิดของเสียงอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นสายตาก็จ้องไปที่มู่เฉิน
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตา มู่เฉินก็อึ้งไปก่อนที่จะหันมองด้านหลังอย่างรวดเร็ว หญิงสาวคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างหลังเขาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ นางถือผลไม้วิเศษขณะที่อ้าปากกินลงไป ดวงตาของนางแผ่ด้วยเสน่ห์อันน่าทึ่ง
ขณะที่เคี้ยวผลไม้ นางก็มองไปที่มู่เฉิน จากนั้นก็โบกมือไปมากลืนผลไม้อย่างรวดเร็วแล้วหัวเราะเบาๆ “โอ้ เราเจอกันอีกแล้วนะมู่เฉิน…”
บทที่ 1095 พบหลินจิ้งอีกครั้ง
ภายใต้สายตาไม่อยากจะเชื่อของทุกคน
แม้แต่ใบหน้าของมู่เฉินก็ฉายแววตกใจเมื่อมองหญิงสาว นางคลี่รอยยิ้มทรงเสน่ห์เผยให้เห็นฟันขาวมุกเรียงเป็นระเบียบ ดวงตาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณที่ไม่มีใครสามารถลืมได้เมื่อเห็นนาง
“จะ…เจ้า หลินจิ้ง?!” หัวใจของมู่เฉินตกตะลึงก่อนที่จะฟื้นคืนสติ เขามองไปที่หญิงสาวที่คุ้นเคยตรงหน้าอุทานเรียกชื่อ
ย้อนกลับไปตอนที่มู่เฉินออกจากสำนักศึกษาเป่ยชางมายังทวีปเทียนหลัว เขาได้พบกับหลินจิ้งระหว่างทางและตัวตนของนางก็คือองค์หญิงน้อยแห่งแคว้นหวู
เทพจักรพรรดิสงครามที่มีชื่อโด่งดังทั่วมหาพันภพก็คือบิดาของนาง
มู่เฉินไม่คิดเลยว่าหลังจากผ่านไปหลายปีเขาจะพบนางที่นี่อีกครั้ง นี่ทำเอาเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะอดยิ้มให้กับความทรงจำเก่าไม่ได้ ก่อนหน้านั้นเขาเป็นจอมยุทธ์ที่ยังไม่เคยชำระร่างเทห์สวรรค์ แต่ตอนนี้เขากลับก้าวเข้าสู่ระดับเกือบจื้อจุนขั้นเก้าได้แล้ว
“ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่?” มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะเกิดความประหลาดใจ
หลินจิ้งยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่าวังสวรรค์บรรพกาลปรากฏในทวีปเทียนหลัว นอกจากนี้ข้ายังจำได้ว่าเจ้าเคยบอกว่าจะมุ่งหน้ามาที่ทวีปนี้ ข้าอึดอัดจากการถูกประกบตัวแจที่บ้าน ดังนั้นก็เลยออกมาเที่ยวข้างนอกสักหน่อย”
ขณะที่พูดนางก็มองไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้ “แต่โชคชะตาเราต้องกันจริงๆ เราพบกันในงานประมูลทุกครั้งเลยเนอะ…”
เมื่อนางพูดถึงการประมูล มู่เฉินก็นึกขึ้นได้ สายตาตกตะลึงของทุกคนจ้องอยู่ที่หลินจิ้ง พวกเขายังตกใจกับราคาสูงลิ่วที่นางเสนอออกมา
“หึ สาวน้อยจากไหนกัน กล้ามาสร้างปัญหาที่นี่!” เซี่ยหงที่หายจากอาการตื่นตะลึงก็มองไปที่หลินจิ้ง เมื่อเขาเห็นรูปลักษณ์ของหลินจิ้งราวกับเทพธิดา ความตกใจก็วูบไหวในดวงตาแวบหนึ่งก่อนที่จะกลายเป็นแววแห่งกามารมณ์
ในมุมมองของเขาทั้งหลินจิ้งและจิ่วโยวเป็นสาวงามล่มเมือง คนหนึ่งมีไหวพริบฉับพลัน คนหนึ่งเรียบเย็นและภาคภูมิ ระดับดังกล่าวเป็นอันตรายต่อชีวิตสำหรับคนที่ชอบความสวยงามอย่างเขา
“อะแฮ่ม เจ้ายกเลิกการเสนอราคาเมื่อครู่ก่อน” มู่เฉินเตือนหลินจิ้งอย่างรวดเร็ว ของเหลวจื้อจุนสี่สิบห้าล้านหยด คงต้องคั้นมาทั้งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ นอกจากนี้ยังไม่คุ้มค่ากับป้ายที่ยังไม่รู้ว่ามีประโยชน์อะไร
“เฮ้ เจ้าคิดว่าที่นี่คือที่ไหน? ที่ที่เจ้าสามารถเสนอราคาและยกเลิกได้ตามที่ต้องการรึ?”
ทว่าเมื่อมู่เฉินพูดจบ เซี่ยหงก็เอ่ยเย้ยหยันทันควันก่อนที่จะมองหลินจิ้งตาหวาน “ทำไมเจ้าไม่มานั่งกับข้าแล้วประมูลด้วยกันล่ะแม่นางน้อย? ข้ารับประกันได้ว่าจะไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคำกับเรื่องเมื่อสักครู่”
หลินจิ้งกะพริบตา “เจ้าจะช่วยข้าจ่ายราคาของเหลวจื้อจุนสี่สิบหน้าล้านหยดเหรอ”
เซี่ยหงยิ้มค้างก่อนที่จะพูดว่า “ราคาของป้ายนี้ไม่คุ้มกับของเหลวจื้อจุนสี่สิบห้าล้านหยดหรอก… ข้าจะถือว่าไม่เคยได้ยินที่เจ้าพูดเล่น”
หลินจิ้งเบ้ปากพูดว่า “ใครจะเล่นกับเจ้า ข้าเสนอราคาสี่สิบห้าล้าน หากเจ้าไม่สามารถจ่ายได้ก็หยุดพล่ามเรื่องไร้สาระซะ”
ทุกคนตกตะลึงไปก่อนที่จะมองหลินจิ้งตาถลน หญิงสาวเสนอราคาของเหลวจื้อจุนสี่สิบห้าล้านหยดจริงเหรอ? นางมีปัญญาจ่ายจริงเรอะ?
ชิ้งหย่าและมู่ซันก็มีสีหน้าปกคลุมด้วยความตกใจ นี่เกินความคาดหมายของทุกคนไปไกลสำหรับสถานการณ์ที่ดำเนินอยู่ในที่แห่งนี้
หลินจิ้งที่เอ่ยประโยคตอกหน้าซึ่งสร้างความอับอายให้กับเซี่ยหง สายตาของเขาเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม “แม่นางน้อย อย่ากินอะไรเกินกว่าที่เคี้ยวได้ ของเหลวจื้อจุนสี่สิบห้าล้านหยด เจ้าจ่าย…”
ประโยคของเซี่ยหงถูกขัดจังหวะทันที สายตามองไปที่ข้างหน้าอย่างว่างเปล่าก็เห็นหลินจิ้งเหยียดมือขาวออกมาพร้อมกับขวดหยกบินออกไป จากนั้นปากขวดก็เอียงได้ยินเสียงดังก้อง สายธารหลายสายหลั่งไหลออกมา คลื่นหลิงยิ่งใหญ่เติมเต็มไปทั่วทุกมุมของโรงประมูลทันที
ทุกคนตกตะลึงจ้องมองไปที่สายธารเบื้องบน ด้วยสายตาพวกเขาบอกได้ว่าแม่น้ำนี้เกิดขึ้นจากของเหลวจื้อจุนซึ่งมีคุณภาพค่อนข้างสูงเลยทีเดียว…
มองไปที่สายธารไม่มีที่สิ้นสุดไหลออกมาจากขวดหยก ทีนี้ก็ไม่มีใครสงสัยว่านางสามารถจ่ายของเหลวจื้อจุนได้ถึงสี่สิบห้าล้านหยดแล้ว…
สายตาของชิ้งหย่าและคนอื่นๆ เคร่งขรึมลง พวกเขามองหญิงสาวตัวเล็กด้วยแววตาลึกซึ้ง คนที่สามารถพกของเหลวจื้อจุนจำนวนมหาศาลติดตัว นางจะต้องมาจากขั้วอำนาจพิเศษมากอย่างแท้จริง
เพราะไม่ใช่ขั้วอำนาจใดก็ได้ที่มีความสามารถทางการเงินในการใช้ของเหลวจื้อจุนสี่สิบห้าล้านหยดได้อย่างง่ายดายแบบนี้
ครืน…
สายธารของเหลวเริงระบำ หลินจิ้งก็โบกมือเรียกเก็บทั้งหมดกลับเข้าไปในขวด ก่อนจะมองไปที่เซี่ยหงที่ดวงตาถลนถามว่า “เจ้ายังมีปัญหากับการเสนอราคาของข้าหรือไม่?”
หลินจิ้งจ้องมองสีหน้าน่าเกลียดของเซี่ยหงพูดต่อว่า “แต่เจ้าสามารถเรียกราคาประมูลเพิ่มได้นะ ใครจะรู้? ข้าอาจยอมถอยหากเจ้าเพิ่มราคาอีกก็ได้”
ใบหน้าของเซี่ยหงมืดครึ้มลง แม้ว่าหลินจิงจะพูดในลักษณะนี้ แต่ดวงตากลับพริบพราวแจ่มชัดด้วยความตื่นเต้น นางไม่มีท่าทางที่จะถอยและยึดจากท่าทางที่ทำไปก่อนหน้า นางไม่ลังเลที่จะเพิ่มราคาตามเซี่ยหงแน่นอน
นอกจากนี้ด้วยการเสนอราคาสูงถึงสี่สิบห้าล้าน ใครจะกล้าเกทับนางอีก? แม้ว่าพี่ใหญ่จะอยู่ที่นี่ด้วยก็ต้องไตร่ตรองการตัดสินใจอีกครั้ง ทรัพยากรและภูมิหลังทางการเงินของแคว้นเซี่ยแข็งแกร่งก็จริง แต่ก็ไม่สามารถใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยขนาดนี้
ทุกคนมองเซี่ยหงสายตาบางส่วนฉายแววขบขันในที เซี่ยหงเคยเบ่งทับคนอื่นด้วยศักยภาพทางการเงิน แต่ตอนนี้มีใครบางคนใจถึงกว่าปรากฏตัวขึ้น ข่มเขาด้วยความร่ำรวยจนถึงจุดที่เขาไม่กล้าเพิ่มราคา…
ในใจของเซี่ยหงเดือดดาล เขากำลังคิดจะผลักการเสนอราคาออกไป แต่เมื่อนึกถึงผลที่ตามมาของราคาที่น่าสะพรึงกลัว เขาก็กระแทกตัวนั่งลง มือกำแน่นจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นเปรียะ
หลินจิ้งมองเซี่ยหงที่นั่งลงก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่มู่เฉิน “ครั้งนี้ข้าพกเงินมาเยอะเลย”
ดูเหมือนว่านางยังจำได้ว่ามู่เฉินเคยให้ความช่วยเหลือ ตอนที่หนีออกจากบ้านมาแบบถังแตกเมื่อหลายปีก่อน
มู่เฉินและจิ่วโยวมองหน้ากันแล้วส่ายหัวเผยรอยยิ้มขมขื่น การจ่ายของเหลวจื้อจุนสี่สิบห้าล้านหยดในครั้งเดียว… นางเป็นคนใจถึงจริงๆ แต่เมื่อนึกถึงตัวตนของนางพวกเขาก็เข้าใจเหตุผลว่าทำไม
แคว้นหวูเป็นขั้วอำนาจที่มีชื่อเสียงสูงสุดในมหาพันภพแม้แต่ขั้วอำนาจโหดหินทั้งหลายในทวีปเทียนหลัวก็สู้ไม่ได้กระทั่งรวมพลังกัน เพราะประมุขแคว้นหวูมีขุมพลังเทียนจื้อจุนแท้จริง นอกจากนี้…ก็ยังเป็นหนึ่งในยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพตัวจริง พลังของเทพจักรพรรดิสงครามผู้นี้ไม่อาจคาดเดาและไม่สามารถวัดได้
การมีบิดาที่ทรงพลังเช่นนี้ก็สมเหตุสมผลที่หลินจิ้งจะไม่เกรงกลัวอะไร
ขณะที่มู่เฉินกับหลินจิ้งกำลังพูดคุยกัน หานเฟยที่อยู่บนแท่นประมูลก็ออกจากภวังค์ เขาจ้องมองหลินจิ้งราวกับว่าได้เห็นเทพธิดามาโปรด ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนโปรยเงินเล่นแบบไม่แยแส…
“อืม… แม่นางน้อยผู้นี้เสนอราคาสี่สิบห้าล้าน มีใครให้ราคาสูงกว่านี้ไหม?” หานเฟยถามเสียงดังพลางมองไปรอบๆ
ทว่าคำถามของเขาดึงดูดสายตาผู้คนให้มองมาราวกับเห็นคนโง่ สี่สิบห้าล้านหยดกระทั่งเซี่ยหงยังเลือกที่จะถอย แล้วใครจะกล้าเกทับอีกล่ะ?
เมื่อเห็นสายตาเหล่านั้น หานเฟยก็รู้สึกอายเล็กน้อย เขารีบประกาศว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ป้ายล้ำค่าก็เป็นของแม่นางน้อยผู้นี้!”
ทันทีที่พูดเสร็จก็โบกมือเพื่อส่งป้ายให้กับหลินจิ้งโดยมีผู้คุ้มกันหลายสิบคนเดินล้อมไปด้วย
ทว่าการทำธุรกรรมเป็นไปอย่างราบรื่น หลังจากที่ตรวจสอบจำนวนของเหลวจื้อจุนเสร็จแล้ว หานเฟยก็ส่งมอบป้ายให้กับหลินจิ้งด้วยมารยาทพร้อมกับมือที่สั่นเทา
หลินจิ้งหยิบป้ายขึ้นมาโยนขึ้นลงโดยไม่ได้สนใจ ทำให้เปลือกตาทุกคนกระตุกไม่หยุด นั่นคือของที่มีมูลค่าถึงสี่สิบห้าล้านหยดของเหลวจื้อจุนเชียวนะ ถ้าหล่นแตกขึ้นมาจะทำยังไง…
แต่ขณะที่เปลือกตากระตุก การกระทำต่อมาของหลินจิ้งก็เล่นเอาขากรรไกรพวกเขาอ้ากว้าง นางโยนเล่นป้ายไปครู่หนึ่งจากนั้นก็โยนไปให้มู่เฉิน
“เอ้า ครั้งก่อนเจ้าซื้อโมราไฟสวรรค์ให้ข้า ครั้งนี้ข้าซื้อของให้เจ้าคืน… ห้ามปฏิเสธนะ ไม่งั้นข้าโยนทิ้งแน่!”
ใบหน้าทุกคนกระตุก โมราไฟสวรรค์? นั่นมีราคาเพียงหมื่นหยดของเหลวจื้อจุนเท่านั้นจะเทียบกับป้ายลึกลับที่มีมูลค่าถึงสี่สิบห้าล้านหยดได้ยังไง?
หนึ่งแลกหนึ่ง?
ผู้คนนับไม่ถ้วนมองหน้ากันหายใจเข้าลึก พวกเขาอยากมีเพื่อนร่ำรวยแบบไม่สนใจจำนวนเงินแบบนี้เช่นกัน…
ภายใต้สายตาไม่อยากจะเชื่อ มู่เฉินก็มองการกระทำของหลินจิงด้วยความตกตะลึง เขาอยากจะปฏิเสธในตอนแรก แต่หลังจากได้ยินประโยคถัดไปก็อดยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เขารับมาด้วยความจริงจัง
“ขอบใจมาก ข้าจะระลึกถึงสิ่งนี้ไว้นะ”
เมื่อเห็นมู่เฉินตรงไปตรงมา หลินจิ้งก็ยิ้มชื่นชมฉายในม่านตาสดใส ถ้าคนอื่นรู้จักตัวตนของนาง พวกเขาจะพยายามเข้ามาตี้ซี้นางยกเว้นมู่เฉินที่ไม่เคยมีเจตนาแบบนั้น นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเขาปฏิบัติต่อนางในฐานะหลินจิ้งเท่านั้น ไม่ใช่องค์หญิงน้อยแห่งแคว้นหวู
ดังนั้นเมื่อนางได้ยินมู่เฉินบอกว่าจะระลึกไว้ในใจ นางก็ไม่รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องตลก แม้ว่าด้วยตัวตนของนาง หนี้บุญคุณทุกอย่างไม่ได้มีความหมายมากนัก
“เอาล่ะ ตอนนี้ข้าไม่มีที่จะไป เจ้าก็พาข้าไปด้วยละกัน” หลินจิ้งหัวเราะเบาๆ
มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม หลังจากจัดการจ่ายค่าม้วนค่ายกลโบราณที่ประมูลได้แล้ว เขาก็นำหลินจิ้ง จิ่วโยวและคนอื่นๆ ออกจากโรงประมูลไปแบบสบายใจ ท่ามกลางสายตาของฝูงชน
สายตาของเซี่ยหงมืดครึ้มขณะมองการจากไปของกลุ่มมู่เฉิน จากนั้นก็เอียงศีรษะพูดแบบไม่มีอารมณ์ใด “ไปสืบเรื่องผู้หญิงคนนั้น…”
“อีกอย่างจับตาดูพวกมันไว้”
“คิดจะแย่งของจากมือข้ารึ…พวกมันรนหาที่ตายแล้ว!”
บทที่ 1096 ศึกษาค่ายกล
การประมูลในเมืองซีปิดฉากลง
หลังจากนั้นก็ทำให้ทั้งเมืองถึงกับแผ่นดินไหว ทุกคนต่างตกใจกับราคาสุดท้ายที่พุ่งไปสูงถึงสี่สิบหน้าล้านหยดของเหลวจื้อจุน ขณะเดียวกันก็คาดเดาตัวตนของหลินจิ้งไปต่างๆ นานา
แม้ว่าการประมูลจะสิ้นสุดลง แต่ผู้ที่มีไหวพริบก็รู้ดีว่าเรื่องเกี่ยวกับป้ายนี้ยังไม่สิ้นสุด ด้วยความสนอกสนใจกันมากทำให้เหล่าจอมยุทธ์มารวมตัวกันในเมืองแม้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะสามารถชนะการประมูล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเป็นเจ้าของป้ายที่แท้จริง…
อาณาเขตกงเวทสวรรค์อาจถูกกล่าวขวัญในภูมิภาคทางเหนือ แต่ในทวีปเทียนหลัวไม่ได้เป็นแบบนั้น ชื่อเสียงของพวกเขาไม่มากนัก มิหนำซ้ำตอนนี้ยังมีขั้วอำนาจอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงไม่ต่างกันอยู่ในเมืองซีมากมาย ซึ่งเซี่ยหงและคนอื่นก็ล้วนเป็นจอมยุทธ์หัวกะทิในหมู่คนรุ่นใหม่ของทวีปเทียนหลัว ตราบใดที่ผู้นำอัจฉริยะของขั้วอำนาจชั้นสูงต่างๆ ไม่เผยตัว พวกเขาก็นับว่าไม่มีใครสู้ได้
แม้ว่ามู่เฉินจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะไม่ใช่ธรรมดา แต่ก็มีขุมพลังระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น ดังนั้นหากต้องปะทะกับคนอย่างเซี่ยหงก็ยังมีช่องว่างอยู่ดี
ดังนั้นเมื่อขั้วอำนาจต่างๆ รู้ว่าป้ายตกอยู่ในมืออาณาเขตกงเวทสวรรค์ ไม่เพียงแต่จะไม่ผิดหวังพวกเขากลับวางแผนร้ายกันในใจ นั่นเป็นเพราะพวกเขาตระหนักได้ว่าต้องมีขั้วออำนาจอื่นๆ คอยจับตาดูกลุ่มของมู่เฉินเช่นกัน เมื่อไรที่การต่อสู้ระเบิดออก พวกเขาก็อาจมีโอกาสขโมยป้ายมาได้…
สำหรับผลลัพธ์ของกลุ่มมู่เฉินไม่มีใครสนใจ ในมุมมองของคนอื่นคนธรรมดาเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่คนที่มีสมบัติเป็นอาชญากร คราวนี้อาณาเขตกงเวทสวรรค์คงจะต้องเสียหายอย่างหนักแล้ว
ดังนั้นคลื่นใต้น้ำและพายุคลั่งจึงเริ่มก่อตัวขึ้นในเมืองซี
ที่สวนกว้างแห่งหนึ่งในเมืองซี
ประตูสวนถูกปิดอย่างแน่นหนาพร้อมกับค่ายกลบนท้องฟ้าป้องกันการสอดรู้สอดเห็นจากภายนอก
มู่เฉินยืนอยู่ในสวนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าพลางคลี่ยิ้ม “ข้าว่าเราคงกลายเป็นเป้าของทุกคนในเมืองซีตอนนี้แล้วแหละ”
จิ่วโยวที่ด้านหลังก็พยักหน้าพูดเสียงเรียบ “ดูเหมือนว่าจะไม่ง่ายที่จะเอาป้ายออกไปจากที่นี่นะ”
“สุดท้ายก็เพราะเราอ่อนแอเกินไป” มู่เฉินส่ายหัว อาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่เป็นที่รู้จักในทวีปเทียนหลัวเท่าที่ควร ยิ่งไปกว่านั้นในกลุ่มของเขามีเพียงจิ่วโยวเท่านั้นที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า แม้แต่มู่เฉินก็ยังถูกมองอยู่นอกสายตา
“ดูเหมือนว่าข้าซื้อของสร้างปัญหาให้พวกเจ้าซะแล้ว…”
ที่ด้านหลังหลินจิ้งกำลังเอื้อมมือเล่นกับนกตัวเล็กๆ ในสวน นางเงยหน้าขึ้นยิ้มน่ารัก “ถ้าต้องการความช่วยเหลือบอกมาเลยนะ”
มู่เฉินหันมามองนางพลางหรี่ตาแคบลง หลินจิ้งแทบไม่มีการรั่วไหลของคลื่นหลิง เห็นได้ชัดว่านางต้องมีสมบัติบางอย่างที่ปกปิดคลื่นพลังงานเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นตรวจจับพลังได้
แต่เมื่อตอนที่พบกับครั้งแรก หลินจิ้งอยู่ในขุมพลังเดียวกับเขา ทั้งคู่กำลังตามหาวัตถุดิบในการชำระร่างเทห์สวรรค์เหมือนกัน หลายปีผ่านไปด้วยตัวตนของธิดาเทพจักรพรรดิสงคราม พร้อมกับการชี้แนะของบิดาที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน พลังของนางคงไม่อ่อนไปกว่าเขา
บวกกับรากฐานที่ลึกซึ้งของแคว้นหวู หลินจิ้งคงมีสมบัติมากมายที่ใช้ปกป้องตนเอง ตามการคาดเดาของมู่เฉิน กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ไม่สามารถฆ่านางได้
ทว่าเผชิญกับผู้ช่วยอย่างนางที่สามารถสนับสนุนได้ดีเช่นนี้ มู่เฉินกลับยิ้มพร้อมส่ายหัว “ถ้าข้าไม่สามารถแม้แต่จะปกป้องป้ายนี้ได้ ก็ควรมอบให้คนอื่นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซะจะดีกว่า”
เขาฉายสีหน้าสงบ ไม่มีความตื่นตระหนกกับสถานการณ์ปัจจุบัน ความสงบของเขายิ่งทำให้หลินจิ้งชอบใจยิ่งขึ้นไปอีก
มิน่าล่ะมารดาของนางถึงประเมินมู่เฉินไว้สูง ในตอนนั้นหลินจิ้งยังไม่เห็นด้วยเลย แต่หลังจากหลายปีผ่านมา มู่เฉินก็แสดงศักยภาพเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเขาต่างจากคนทั่วไป
“งั้นเจ้าวางแผนจะทำอย่างไร? ดูจากสถานการณ์ตอนนี้เราจะถูกล้อมทันทีที่ออกจากเมือง” จิ่วโยวถาม
เปลือกตาของของมู่เฉินหลุบลงก่อนจะตอบเสียงเบา “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็รอเถอะ…ในเมื่อคนอื่นๆ ดูถูกอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของเราก็ให้พวกเขามาลองดู”
“ตอนนี้เราต้องการเชือดไก่ให้ลิงดูอยู่พอดี!”
ทิวทัศน์ราตรีโอบล้อมผืนดิน
มู่เฉินนั่งสมาธิเงียบๆ อยู่ในห้องพร้อมกับคลื่นหลิงที่ผันผวนรอบตัว เวลานี้คลื่นหลิงในฟ้าดินหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นด้วยการสะบัดมือ วัตถุสองชิ้นก็ปรากฏที่เบื้องหน้า
หนึ่งภาพค่ายกล หนึ่งป้าย
นี่คือภาพค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารที่ไม่สมบูรณ์และป้ายทองคำลึกลับซึ่งเขาได้รับจากการประมูล
เมื่อมองไปที่วัตถุทั้งสองมู่เฉินก็ครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนที่จะหยิบภาพค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ ถ้าภาพค่ายกลนี้สมบูรณ์แม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนตัวจริงก็ยังมีปัญญาในการตั้งรับ
หลิงเจิ้นจงซือเป็นความใฝ่ฝันของผู้ฝึกศาสตร์ค่ายกลทุกคน ตราบใดที่ผู้ฝึกก้าวเข้าสู่ระดับนั้นก็นับว่าประสบความสำเร็จมากแล้ว
แน่นอนว่าระดับสูงสุดแท้จริงในเส้นทางการฝึกศาสตร์ค่ายกลก็คือการบรรลุหลิงเจิ้นต้าจงซือ
ระดับนั้นเทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว ซึ่งหลิงเจิ้นต้าจงซือหาได้ยากแม้แต่ในมหาพันภพ แต่สิ่งที่ทำให้มู่เฉินรู้สึกภาคภูมิใจก็คือมารดาของเขาคือหนึ่งในนั้น
“ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง… รวมทั้งพี่หลิงซีด้วย นับตั้งแต่ออกจากสำนักศึกษาเป่ยชางก็ไม่มีข่าวอีกเลย นางบอกว่าจะไปหาท่านแม่ ไม่รู้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
มู่เฉินลูบภาพค่ายกลโบราณความคิดล่องลอยไป แต่สุดท้ายเขาก็หายใจลึกระงับอารมณ์ของตนเอง แม้ว่าตอนนี้เขาจะเกือบบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าแล้ว นั่นก็ยังไม่เพียงพอ เพราะด้วยพัฒนาการที่มีทุกครั้ง เขาก็เริ่มสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงเผ่าทรงพลังที่อยู่เบื้องหลังมารดา ซึ่งเผ่านี้แม้แต่มารดาของเขาซึ่งเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือในตำนานก็ยังครั่นคร้าม แม้ว่าจะส่วนเพื่อปกป้องเขาและบิดาให้ปลอดภัย แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าเผ่านั้นมีอำนาจมากเพียงใด
มู่เฉินเม้มริมฝีปากจดจ่ออยู่กับภาพค่ายกล เมื่อหลับตาลงคลื่นหลิงก็พวยพุ่งขึ้นในมือไหลเข้าไปในภาพค่ายกลรุ่งริ่ง
ตู้ม!
คลื่นหลิงแทรกซึม การรับรู้ก็ระเบิดดังก้องในห้วงแห่งจิตของมู่เฉิน แสงงดงามพลุ่งพล่านเปลี่ยนวิวทิวทัศน์ไปทันที
ภาพชายชราคนหนึ่งยืนมือไพล่หลังอยู่บนยอดเขา ขณะที่แขนเสื้อโบกสะบัด สัญลักษณ์หลิงยิ่งก็ท่วมท้นขึ้นมาราวกับคลื่นยักษ์ในทุกทิศทางผสานเข้ากับความว่างเปล่า ก่อร่างเป็นลวดลายที่ซับซ้อนมากมาย เมื่อลวดลายเหล่านั้นไขว้พันกัน ก็ทำให้พลังงานระหว่างสวรรค์และโลกแปรปรวน
ค่ายกลค่อยๆ ถักทอขึ้น ชายชราก็พลิกนิ้วแสงเก้าสายครางกระหึ่มออกมาพร้อมกับเสียงคำรามของมังกรลึกลับ
เกลียวแสงทั้งเก้าสายวิ่งเข้าไปในค่ายกล เมื่อแสงจางลงก็เผยให้เห็นกระดูกมังกรโบราณถึงเก้าชิ้น!
กระดูกมังกรทั้งเก้าก่อตัวเป็นศูนย์กลางของค่ายกล เมื่อหลอมรวมเข้าด้วยกันก็ดูเหมือนฟื้นคืนชีพขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น คลื่นหลิงเชี่ยวกรากครอบงำ พลังไร้ขอบเขตรวมตัวกันรอบกระดูกมังกร สร้างเนื้อเลือดขึ้นจากกระดูกทั้งเก้าให้กลายเป็นมังกรจริงเก้าตัว!
ทว่ามังกรเหล่านี้ไม่ใช่ร่างเนื้อแท้จริง แต่ถูกสร้างขึ้นด้วยคลื่นหลิง
ถึงกระนั้นมังกรทั้งเก้าก็ปลดปล่อยแรงกดดันทรงพลังและน่ากลัวออกมา
ฟิ้ว!
เมื่อค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก่อร่างขึ้น แสงก็ส่องสว่าง ภาพเงาทะยานออกมาพร้อมกับรัศมีที่น่ากลัว ซึ่งนั่นก็คือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน!
ชายชราสร้างค่ายกลอย่างนิ่งสงบจากนั้นก็สะบัดนิ้วอีกครั้ง มังกรเก้าตัวเริ่มแผดเสียงพร้อมกับลมหายใจมังกรเก้าสายพุ่งทะลุผ่านมิติกระแทกลงบนร่างจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน
ปัง!
การโจมตีครั้งเดียวก็ทำเอาจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนกระเด็นออกไปในสภาพน่าสมเพช เลือดไหลออกมาจากทั่วทุกรูขุมขน คลื่นหลิงรอบตัวก็ลดลงอย่างกะทันหัน เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก
ภาพเบื้องหน้าจบลง ตามด้วยข้อมูลจำนวนมากหลั่งไหลเข้าสู่สมองของมู่เฉิน
ฮา
มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกตะลึงและพึมพำกับตัวเอง “ช่างเป็นค่ายกลที่ซับซ้อนและทรงพลังอะไรอย่างนี้…”
เขาส่ายหัวพลางถอนหายใจ พิจารณาจากข้อมูลที่ไหลเข้ามาในห้วงแห่งจิตแม้ว่าจะยังไม่สมบูรณ์ แต่เขาสามารถสรุปได้ว่าค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารไม่เพียงแต่จะยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ยังจำเป็นต้องมีของสำคัญอย่างกระดูกมังกรเป็นศูนย์กลางอีกด้วย
นอกจากนี้กระดูกมังกรยังเชื่อมต่อกันโดยผ่านรัศมีที่เหลืออยู่เพื่อสร้างมังกรและโดยการรวบรวมของของสองสิ่งนี้เท่านั้น ค่ายกลถึงจะปลดปล่อยพลังอำนาจที่เทียบเท่ากับระดับตี้จื้อจุน
“ทว่าเนื่องจากม้วนภาพไม่สมบูรณ์ ต่อให้ทำการศึกษาค้นคว้า สุดท้ายก็น่าจะสามารถสร้างมังกรได้สี่ตัวเท่านั้น ซึ่งห่างไกลจากมังกรเก้าตัวมากเลยทีเดียว”
มู่เฉินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยแต่จากนั้นก็โล่งใจ ถ้าภาพค่ายกลอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจัดเรียงค่ายกล ด้วยความสามารถที่บรรลุในปัจจุบันของเขา
ในทางตรงกันข้ามภาพค่ายกลไม่สมบูรณ์นี้ อาจเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จหากศึกษาให้ดี
“ดูเหมือนว่าข้าต้องรวบรวมกระดูกมังกรเตรียมไว้ก่อน…” มู่เฉินพูดกับตัวเอง จากที่ค่ายกลเผยในห้วงแห่งจิต ยิ่งกระดูกมังกรแข็งแกร่งก็จะยิ่งมีพลังของค่ายกลเพิ่มมากขึ้น
แต่ตัวเขาตอนนี้ยังไม่ต้องการกระดูกมังกรที่มีคุณภาพสูงมาก ดังนั้นคงไม่ยากเกินไปที่จะจัดหามา
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้มู่เฉินก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็เลื่อนสายตามาที่ป้ายทองคำโบราณ…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น