หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1087-1092
บทที่ 1087 จาโหลหลัว
“จาโหลหลัว…”
ในสวนเงียบสงบ ดวงตาของมู่เฉินวูบไหวพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียดฉายขึ้น ราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่ยิ่งใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองมั่นถัวหลัวถามว่า “เขาคือใคร?”
ภูมิภาคทางเหนือมีความขัดแย้งตลอด ซึ่งไม่ได้มีความสำคัญมากในทวีปเทียนหลัว ในขณะเดียวกันทำให้พวกเขาไม่ค่อยได้รับข่าวสารเกี่ยวกับภูมิภาคอื่นๆ มากนัก ดังนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่มู่เฉินเคยได้ยินชื่อนี้
“เขาเป็นคนเก่งฟ้าประทานของตำหนักเทพปีศาจในภูมิภาคทางใต้ เฮ้ ชื่อเสียงของจาโหลหลัวยิ่งใหญ่กว่าเจ้าในทวีปเทียนหลัวมากเลยนะ”
มั่นถัวหลัวมองมู่เฉินด้วยอาการหยอกล้อก่อนที่จะพูดต่อ “ภูมิภาคทางใต้มีขนาดใหญ่กว่าภูมิภาคทางเหนือ จาโหลหลัวคนนี้ก็มีส่วนช่วยอย่างมากในการรวบรวมเขตแดน สำนักและกองทัพนับไม่ถ้วนตายตกตามกันด้วยน้ำมือของเขา ไม่เพียงแต่ขั้วอำนาจนับไม่ถ้วนในภูมิภาคทางใต้จะสั่นไหวเมื่อได้ยินชื่อ แม้แต่ขั้วอำนาจในภูมิภาครอบข้างก็หวาดกลัวต่อเขาอย่างยิ่ง”
“ตอนนี้เขามีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า ว่ากันว่าเมื่อเขาบรรลุขั้นนี้ เขาก็ไม่กลัวจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดแล้ว ความแข็งแกร่งน่าทึ่งมาก”
“ในทวีปเทียนหลัวเขายังได้รับการจัดอันดับสามบนทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ด้วย”
ริ้วความประหลาดใจวูบไหวในดวงตาของมู่เฉิน ถือเป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจที่ได้ครอบครองอันดับสาม เพราะยังไงทวีปเทียนหลัวก็เป็นมหาทวีปในมหาพันภพซึ่งเต็มไปด้วยจอมยุทธ์มากมาย ดังนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนคนหนึ่งจะโดดเด่นท่ามกลางเหล่าอัจฉริยะ
“มู่เฉินอยู่อันดับเท่าไร?” จิ่วโยวกลั้วหัวเราะจากด้านข้าง
มั่นถัวหลัวเหลือบมองมู่เฉินก่อนจะตอบว่า “ไม่มีใครจัดอันดับให้เขาเลย”
ความอับอายฉาบบนใบหน้าของมู่เฉิน ภูมิภาคทางเหนือไม่มีนัยสำคัญในทวีปเทียนหลัวเนื่องจากมีความขัดแย้งตลอดเวลาทำให้ไม่มีผู้ปกครองแท้จริง ดังนั้นมีคนไม่มากที่ให้ความสนใจกับภูมิภาคนี้ มิหนำซ้ำเขาก็หายตัวบ่อยครั้ง ดังนั้นจึงไม่เพียงพอที่เขาจะดึงดูดความสนใจของผู้อื่นและได้รับการจัดอันดับ
ทว่าจิ่วโยวกับมั่นถัวหลัวรู้เรื่องนี้ดี แต่ที่พวกนางส่งมุกกันก็ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะแซวเขา มู่เฉินจึงทำได้เพียงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้เท่านั้น
ทว่าขนาดจาโหลหลัวที่ทรงพลังเช่นนี้ยังอยู่อันดับสามในทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของทวีปเทียนหลัวเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของทวีปเทียนหลัวแข็งแกร่งเพียงใด เมื่อเทียบกันแล้วก็บอกได้ว่าจอมยุทธ์ที่พบในดินแดนเสินโซ่ไม่มีอะไรเลย
แน่นอนมู่เฉินก็รู้ว่าแม้พวกที่เจอในดินแดนเสินโซ่จะเป็นจอมยุทธ์รุ่นใหม่ชั้นสูงในเผ่าเทพอสูร แต่ก็ยังไม่ใช่จอมยุทธ์ที่โดดเด่นที่สุดอย่างไป๋หมิง เขาไม่ได้เป็นจอมยุทธ์ชั้นนำในเผ่าหงส์ฟ้าด้วยซ้ำ
“แล้วที่มาตำหนักเทพปีศาจคืออะไรล่ะ?” มู่เฉินส่ายหัวไม่คิดมากต่อไปเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา
รอยยิ้มบนใบหน้าของมั่นถัวหลัวค่อยๆ จางหายไป ประกายเย็นยะเยือกฉายในม่านตาสีทองคำ น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยว่า “ตำหนักเทพปีศาจเป็นผู้ปกครองของภูมิภาคทางใต้ เจ้าตำหนักชื่อลู่หยวน ทุกคนตั้งฉายาเขาว่าจักรพรรดิปีศาจ เขาบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายมาหลายปีแล้ว”
“จักรพรรดิปีศาจลู่หยวน? เจ้ามีความขุ่นเคืองอะไรกับเขาหรือเปล่า?” มู่เฉินอึ้งไป ช่างเป็นฉายาที่ครอบงำจริงๆ แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในคำพูดของมั่นถัวหลัว ซึ่งปลุกเร้าคำถามนี้ในตัวเขา
ภูมิภาคทางใต้และทางเหนือห่างกันเป็นพันล้านลี้ โดยมีดินแดนคั่นระหว่างนั้นอีกมากมาย แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังต้องใช้เวลานานในการเดินทางไกล แล้วทั้งสองเกิดความไม่พอใจต่อกันได้ยังไง?
“คนรู้จัก…” มั่นถัวหลัวตอบอย่างไม่แยแสแล้วพูดต่อ “คำสาปในร่างข้า โดนฝังเพราะมันนี่แหละ”
สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไป เนื่องจากเขารู้คำสาปในร่างมั่นถัวหลัว ครั้งหนึ่งสิ่งนี้สร้างความทรมานให้นางไม่จบสิ้น ทำให้นางต้องอยู่ในห้วงนิทราเป็นเวลานาน หากนางไม่ได้พบกับมู่เฉิน นางอาจยังติดอยู่ในห้วงนิทราอยู่
ทว่ามู่เฉินไม่คิดเลยว่าการสาปแช่งนั้นเกี่ยวข้องกับลู่หยวนคนนี้
“ดูเหมือนว่าเราจะมีโชคชะตากันจริงๆ คนเก่งฟ้าประทานของตำหนักเทพปีศาจเป็นศัตรูของข้า ขณะที่เจ้าและจักรพรรดิปีศาจก็เป็นศัตรูคู่แค้นกัน” เมื่อเห็นท่าทางเย็นชาของมั่นถัวหลัว มู่เฉินก็พูดอย่างช่วยไม่ได้
“ดังนั้นเจ้าจะต้องได้รับวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะ อย่าให้ตกอยู่ในมือของจาโหลหลัว!” มั่นถัวหลัวกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ดวงตาสีดำฉายแววแน่วแน่ เขาเข้าใจถึงความสำคัญของวิธีวิวัฒนาการสำหรับตนเอง เขาวางแผนเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในที่สุดก็ได้เห็นแสงที่ปลายอุโมงค์ ดังนั้นเขาจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ไม่ว่าชื่อเสียงจาโหลหลัวในทวีปเทียนหลัวจะโด่งดังแค่ไหน คนอย่างมู่เฉินก็จะสู้จนถึงที่สุดแน่
“จาโหลหลัวอาจรู้เกี่ยวกับหอคัมภีร์เทพซ่อนและทะเลสาบสวรรค์จากลู่หยวนเช่นกัน ดังนั้นเจ้าต้องระวังตัว”
มู่เฉินพยักหน้าอีกครั้งก่อนที่ส่งเสียงสงสัย “วังสวรรค์บรรพกาลหายไปนานหลายพันปี ข่าวคราวเรื่องนี้น่าจะถูกปกปิด ทำไมเจ้ากับลู่หยวนถึงรู้ล่ะ?”
สีหน้าของมั่นถัวหลัวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “เพราะมันกับข้ามาจากวังสวรรค์บรรพกาล”
“อะไรนะ?” ม่านตาของมู่เฉินและจิ่วโยวเบิกกว้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อขณะมองมั่นถัวหลัว นางมาจากวังสวรรค์บรรพกาลรึ? วังสวรรค์บรรพกาลไม่ได้พินาศพร้อมกับการตายของจักรพรรดิฟ้าหลังสงครามใหญ่รึ? มั่นถัวหลัวกับลู่หยวนออกมาจากที่นั่นได้ยังไง?
ข้อมูลนี้ถือเป็นความลับสุดยอด กระทั่งในทวีปเทียนหลัวก็ไม่น่าจะมีใครรู้เรื่องนี้ มิฉะนั้นมั่นถัวหลัวและลู่หยวนคงไม่ได้รับความสงบสุขเช่นนี้
“สถานการณ์ค่อนข้างซับซ้อน ข้าไม่สามารถอธิบายได้ ความทรงจำของข้าช่วงนั้นคลุมเครือมาก ข้าได้ข้อมูลมาจากชิ้นส่วนความทรงจำที่เหลืออยู่น่ะ” มั่นถั่วหลัวโบกมือ ไม่ได้ชี้แจงอะไรเพิ่มเติม
เมื่อเห็นว่ามั่นถัวหลัวไม่ต้องการจะพูดต่อ มู่เฉินและจิ่วโยวก็ระงับความอยากรู้ไว้ในใจ ยามนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมมั่นถัวหลัวถึงรู้เรื่องวังสวรรค์บรรพกาลละเอียดขนาดนี้ นั่นเพราะนางมาจากที่นั่น
“มีขั้วอำนาจทรงพลังไหนอีกมั่งที่ละโมบอยากได้วังสวรรค์บรรพกาล?” มู่เฉินเปลี่ยนหัวข้อ
“ขั้วอำนาจที่อยากได้วังสวรรค์บรรพกาลจะไม่แข็งแกร่งได้อย่างไร?” มั่นถัวหลัวเบะปากขณะพูดต่อ “จากข้อมูลปัจจุบันที่ข้าได้รับผู้เข้าร่วมอย่างแน่นอนก็มีตำหนักเทพปีศาจจากภูมิภาคใต้ แคว้นเซี่ยจากภูมิภาคตะวันออก สำนักหงหวางจากภูมิภาคตะวันตก ราชาหมื่นอสูรจากภูเขาไป่วั้น และเจ้าวิญญาณแห่งเวิ้งโลกันตร์”
“ประมุขขั้วอำนาจเหล่านี้ล้วนมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายโดยมีรากฐานที่แข็งแกร่ง นอกเหนือจากพวกเขาก็มีจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงนอกทวีปที่เข้ามาเพราะข่าวนี้ด้วย”
มู่เฉินผงะไปเมื่อได้ยินคำพูดของนาง การรวมตัวที่ทรงพลังเช่นนี้อาจเป็นสุดยอดจอมยุทธ์เกือบทั้งหมดในทวีปเทียนหลัว ถ้าเกิดการต่อสู้ขึ้นจริงๆ ก็จะเป็นการทำลายอย่างแท้จริง
“พวกจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจะเข้ามาแทรกแซงด้วยหรือไม่?” มู่เฉินถามเสียงเบา แม้ว่าจะยากที่จอมยุทธ์ระดับนั้นจะถูกดึงดูดโดยซากโบราณธรรมดา แต่วังสวรรค์บรรพกาลแตกต่างออกไป ที่นั่นคือสุสานของจักรพรรดิฟ้า ซึ่งในสมัยโบราณจักรพรรดิฟ้าผู้นี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดยุทธ์แม้กระทั่งในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน วิชาสามพิสุทธิ์ที่เขาฝึกฝนก็เป็นหนึ่งวิทยายุทธระดับเสินทางขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า ซึ่งแม้แต่จอมยุทธขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ยังถูกดึงดูดเข้ามาด้วยสิ่งล่อลวงนี้
“ว่ากันว่าวังสวรรค์บรรพกาลอยู่ในมิติแตกสลาย ส่งผลทำให้พื้นที่มิติไหลเคลื่อนอย่างวุ่นวาย นอกจากนี้วังสวรรค์บรรพกาลยังเป็นดินแดนไร้เมตตา เนื่องจากที่นั่นเป็นสมรภูมิรบของจักรพรรดิฟ้าและจอมพลปีศาจซึ่งมีกับดักนับไม่ถ้วนซ่อนอยู่เบื้องหลัง กับดักเหล่านั้นคุกคามจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยิ่งนัก ดังนั้นข้าคิดว่าแม้จะถูกล่อลวงพวกเขาก็จะไม่มาเสี่ยง” มั่นถัวหลัวคิดสักพักแล้วเอ่ยออกมา
มู่เฉินรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่งเมื่อได้ยิน หากแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็มามีส่วนร่วมในเรื่องนี้ พวกเขาคงไม่ได้รับอะไรเลย แม้จะมีการรวมตัวที่ทรงพลังพวกเขาก็ยังอ่อนแอเหมือนมดแมลงต่อหน้าจอมยุทธ์ระดับนี้
กระนั้นการแข่งขันเพื่อวังสวรรค์บรรพกาลก็ต้องดุเดือดที่สุดในรอบหลายหมื่นปีของทวีปเทียนหลัวแน่นอน
“แม้แต่ข้าก็จะถูกยับยั้งโดยวังสวรรค์บรรพกาล ดังนั้นหากต้องแย่งชิงวิธีวิวัฒนาการร่างเทพ เจ้าก็ต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น ข้าไม่สามารถช่วยอะไรได้” มั่นถัวหลัวมองมู่เฉินขณะเอ่ยเตือน
“สิ่งเดียวที่ข้าทำได้ก็คือกันลู่หยวนไม่ให้เข้ามายุ่งกับเรื่องนี้”
“นั่นก็เพียงพอแล้ว!”
มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้า ก่อนหน้านั้นเหตุผลที่เขาเข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์และทำงานอย่างหนักเพิ่มสถานะของตัวเองก็เพื่อคำพูดเหล่านี้จากมั่นถัวหลัว นั่นเป็นเพราะถ้าเขาไม่มีภูมิหลัง ต่อให้เขาได้รับวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะมา เขาก็ไม่สามารถนำออกมาได้อย่างราบรื่นหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย
มั่นถัวหลัวพยักหน้าแล้วสะบัดนิ้ว แสงสีทองบินไปทางมู่เฉิน
มู่เฉินคว้าแสงเอาไว้ในมือ ก่อนจะกลายเป็นม้วนคัมภีร์ทองคำโบราณ เมื่อมองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหดเกร็งดวงตา เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่คุ้นเคยที่เกิดขึ้น นี่คือค่ายกล
“นี่เป็นค่ายกลระดับเทียนขั้นสูงรึ?” มู่เฉินหันไปมองมั่นถัวหลัวด้วยความประหลาดใจ
“ความสามารถของเจ้าเกี่ยวกับศาสตร์ค่ายกลเพิ่มขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ภาพค่ายกลชั้นสูงก็ยิ่งหายากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ช่วงนี้ข้าตามหามานานก็ได้รับมาแค่ม้วนเดียว” มั่นถัวหลัวตอบ
“ถึงเจ้าจะอยู่ในระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า แต่ฝ่ายตรงข้ามที่เจ้าจะเผชิญคือจอมยุทธ์รุ่นใหม่ชั้นนำของทวีปเทียนหลัว ไม่ใช่คนที่มาจากภูมิภาคทางเหนือจะเทียบได้ ดังนั้นเจ้าต้องเตรียมตัวให้มากขึ้น”
มู่เฉินกำคัมภีร์สีทองอย่างช้าๆ จากนั้นก็มองดูมั่นถัวหลัวพยักหน้าหนักแน่น “ขอบคุณ”
เขารู้สึกได้ถึงความตั้งใจของมั่นถัวหลัว เพื่อช่วยเขา นางพยายามค้นหาภาพค่ายกล หากไม่ใช่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ตั้งมั่นแบบในปัจจุบัน คงยากสำหรับนางที่จะได้รับสิ่งนี้
มั่นถัวหลัวโบกมือแบบไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ก่อนจะเยื้องย่างนุ่มนวลจากไป เสียงของนางพลิ้วมาตามสายลม
“เตรียมตัวให้ดี เราจะเดินทางไปยังวังสวรรค์บรรพกาลหลังจากนี้อีกครึ่งเดือน!”
มู่เฉินมองไปที่ร่างเงาของมั่นถัวหลัวก็กำมือแน่นพร้อมกับดวงตาสีดำสนิทลุกโชติช่วงด้วยไฟการต่อสู้ แม้ว่าครั้งนี้เขาจะต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์รุ่นใหม่หัวกะทิของทวีปเทียนหลัว แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างมู่เฉินจะยอมรับความพ่ายแพ้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มาสู้กันสักตั้งแล้วดูว่าใครจะเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย
มู่เฉินเลียริมฝีปากเกิดความคาดหวังในศึกวังสวรรค์บรรพกาลที่กำลังจะมาถึงแล้ว
บทที่ 1088 เมืองซี
ครึ่งเดือนผ่านไปในพริบตา
ในครึ่งเดือนที่เตรียมการ มั่นถัวหลัวก็ตัดสินรายชื่อจอมยุทธ์ที่จะติดตามนางไปด้วย แม้จะมีจำนวนไม่มาก แต่ทุกคนได้รับการคัดสรรอย่างดี แทบจะเลือกจอมยุทธ์ทรงพลังทุกคนของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไปหมด
ครั้งนี้ไม่เพียงแต่มั่นถัวหลัวจะมุ่งหน้าไปยังวังสวรรค์บรรพกาลเอง จอมพลทั้งห้าก็ออกโรงกันหมด กระทั่งเจ้าเมืองที่มีพลังโดดเด่นก็ถูกอนุญาติให้ติดตามไปด้วย จำนวนจอมยุทธ์ทั้งหมดมีประมาณห้าสิบคนเท่านั้น แต่คนที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาก็มีขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า
การเดินทางไปยังวังสวรรค์บรรพกาลเต็มไปด้วยอันตราย ไม่มีใครรู้ว่าอันตรายแบบไหนที่รออยู่ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่เป็นเรื่องฉลาดแน่ที่จะใช้กองทัพใหญ่ ดังนั้นการเลือกจึงมุ่งเน้นไปที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ
ทว่าครั้งนี้อาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่ได้ไปสำนักเดียว พวกเขาจะรวมกับขั้วอำนาจสูงสุดของภูมิภาคทางเหนือจัดตั้งกองทัพพันธมิตร เนื่องจากการไปรวมตัวอาจจะล่าช้าไป มั่นถัวหลัวจึงสั่งการให้จิ่วโยวและมู่เฉินนำเหล่าผู้บัญชาการบางคนมุ่งหน้าไปยังวังสวรรค์บรรพกาลก่อนเพื่อรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ก่อนที่จะกองทัพใหญ่จะไปถึง
มู่เฉินเต็มใจที่จะนำคนไปก่อน เนื่องจากในหัวใจของเขาพลุ่งพล่านไปด้วยเรื่องวังสวรรค์บรรพกาลจนไม่อาจสงบลงได้จึงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะฝึกฝน ดังนั้นเขาจึงอยากออกเดินทางไปยังหน้างานเพื่อค้นหาข่าวสาร สถานที่แห่งนั้นอยู่ไกลจากภูมิภาคทางเหนือมาก แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายแบบมั่นถัวหลัวก็ไม่สามารถทราบถึงข่าวสารข้อมูลที่นั่นได้ทุกอย่าง…
นอกรัศมีค่ายกลเคลื่อนย้ายเขตต้าหลัวเทียน
จิ่วโยวยืนอยู่ข้างๆ มู่เฉิน โดยมีคนสามคนยืนอยู่ข้างหลังด้วยความเคารพนับถือ ซึ่งประกอบไปด้วยชายชราชุดขาว ชายวัยกลางคนและหญิงสาว ชายชราชุดขาวปลดปล่อยคลื่นหลิงทรงพลังออกมารอบตัวด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นแปด เขาเป็นหนึ่งในคนที่เพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการ รู้จักกันในนามผู้เฒ่าไป๋
แม้กระทั่งในบรรดาผู้บัญชาการ ความแข็งแกร่งของเขาก็ถูกจัดในอันดับต้นๆ นอกจากนี้เขายังมีประสบการณ์ยอดเยี่ยม เนื่องจากเขาเคยออกท่องยุทธภพไปทั่วทวีปเทียนหลัว ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ให้เขาติดตามไปด้วย
สำหรับชายวัยกลางคนและหญิงสาวพลังก็ไม่ได้เลวร้ายนัก เนื่องจากทั้งคู่อยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ช่วงนี้พวกเขาสองคนเข้ามาสานสัมพันธ์ที่หอวิหคโลกันตร์บ่อยมาก ในอดีตพวกเขาฝึกยุทธ์เป็นการส่วนตัว พึ่งพาตัวเองและโอกาสมาไกลถึงเพียงนี้ ดังนั้นจึงต้องการการคุ้มครองที่แข็งแกร่งที่สุดและแสวงหาทรัพยากรที่ดีกว่าในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดังนั้นหอวิหคโลกันตร์ที่มีจอมพลสองคนจึงเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดที่จะสวามิภักดิ์
มู่เฉินไม่ได้ให้ความสนใจที่พวกเขาเข้าร่วม แต่พวกเขาทั้งหมดได้รับการทดสอบจากถังปิง ก่อนที่นางจะรายงานมู่เฉินและจิ่วโยว คนคู่นี้ใช้ความสามารถของตัวเองในการฝึกฝนและมีนิสัยอดทน ถือว่ามีศักยภาพและปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือพวกเขามีความภักดีไม่ใช่ประเภทที่จะแทงข้างหลัง
ถังปิงดูแลจัดการหอวิหคโลกันตร์มานานหลายปี ดังนั้นจึงมีสายตาเฉียบแหลม ทั้งมู่เฉินและจิ่วโยวก็ไว้วางใจนาง ซึ่งทำให้ทั้งสองคนได้เข้าร่วมกับหอวิหคโลกันตร์และได้ร่วมการเดินทางมายังวังสวรรค์บรรพกาลครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
“นายท่านมู่ ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้จะนำไปสู่เมืองที่อยู่นอกอาณาเขตกงเวทสวรรค์ จากนั้นพวกเราก็ต้องเปลี่ยนอีกสองสามครั้งเพื่อจะออกจากภูมิภาคทางเหนือได้อย่างรวดเร็ว” คนที่พูดขึ้นเป็นหญิงสาวสวมชุดยาวสีแดงที่เน้นรูปร่างยั่วยวน นางชื่อถานชิวเป็นผู้บัญชาการหญิงที่กำลังโดนรุมจีบจากพวกผู้บัญชาการชายหลายคน
“อืม”
มู่เฉินพยักหน้าก่อนที่จะแลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยวพูดว่า “ไปกันเถอะ”
จิ่วโยวไม่มีข้อคัดค้าน ดังนั้นทั้งสองจึงก้าวเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้าย ประกายแสงกะพริบวูบไหวก่อนที่เงาจะหายไป
หลังจากที่พวกเขาไปแล้ว ชายชราก็มองไปที่หญิงสาวและชายวัยกลางคนพูดอย่างไม่รีบร้อน “ท่านประมุขส่งข้อความมา แม้ว่าจอมพลทั้งสองจะโดดเด่นแต่ก็ยังเด็กมาก พวกเราสามคนท่องยุทธภพมาหลายปีมีประสบการณ์ต่อโลกภายนอกช่ำชอง ดังนั้นจงระวังหากมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา เราจะไม่มีจุดจบที่ดีในอาณาเขตกงเวทสวรรค์แน่”
“ผู้เฒ่าไป๋พูดเรื่องอะไรกัน…ในเมื่อเจ้านายทั้งสองยินดีที่จะรับข้าไว้ ข้าก็จะตอบแทนพวกเขาด้วยชีวิตนี้” ถานชิวยิ้ม
“หากใครต้องการทำร้ายพวกเขา ก็ต้องข้ามศพของข้าไปก่อน” ชายวัยกลางคนร่างกำยำตบแผ่นอกผาง แม้จะดูไม่ค่อยฉลาด แต่ท่าทางแน่วแน่จริงจังมาก
การกระทำของชายคนนี้ราวกับก้อนหิน แข็งกร้าวยิ่ง ดังนั้นในอาณาเขตกงเวทสวรรค์จึงรู้จักกันในชื่อผู้บัญชาการสือ
ผู้เฒ่าไป๋พยักหน้าจากนั้นทั้งสามคนก็ก้าวเข้าไปในค่ายกลหายตัวไปในแสงที่วาบขึ้น มีเพียงความผันผวนเชิงมิติที่กระเพื่อมออก
สุดขอบทางตะวันตกของทวีปเทียนหลัว
ที่นี่เป็นดินแดนแห้งแล้งซึ่งมีภัยพิบัตินานัปการ ผืนดินเต็มไปด้วยสายลมดวงดาวที่สามารถแยกภูเขาออกจากกัน พายุหิมะเย็นสุดขั้วกวาดรัศมีนับแสนลี้ มีสัตว์อสูรประหลาดปรากฏตัว แม้จะมีสติปัญญาต่ำแต่ก็ยากที่จะรับมือ…
ภัยคุกคามหลากหลายที่นี่ ทำให้น้อยคนที่จะก้าวเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ นอกเหนือจากผู้ที่ตั้งใจมาล่าสัตว์อสูรและนักล่าขุมทรัพย์ โดยทั่วไปแล้วไม่มีจอมยุทธ์คนไหนอยากแหย่เท้าเข้าไปที่นี่หรอก
แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปตั้งแต่ครึ่งปีก่อน เนื่องจากในส่วนลึกของดินแดนนี้ มิติแตกร้าวสามารถมองเห็นภาพวังโบราณได้อย่างเลือนราง…
นั่นคือวังสวรรค์บรรพกาล!
ข่าวนี้ระเบิดตูมตามทั่วทั้งทวีปเทียนหลัว ในเวลาเดียวกันดินแดนแห้งแล้งนี้ก็กลับกลายเป็นที่นิยม มีเหล่าจอมยุทธ์จับกลุ่มมาที่นี่ราวกับฝูงตั๊กแตนบุก ทำให้สถานที่แห่งนี้คึกคักจนเทียบได้กับเมืองเฟื่องฟูที่สุดในศูนย์กลางของทวีปเทียนหลัว
กระทั่งจำนวนและประสิทธิภาพของจอมยุทธ์ยังยอดเยี่ยมกว่าเสียอีก
อาจกล่าวได้ว่าดินแดนสุดขอบตะวันตกได้กลายเป็นแกนกลางทวีปเทียนหลัวไปแล้ว ทั้งหมดนี้ก็เนื่องมาจากการปรากฏตัวของเจ้าทวีปอย่างวังสวรรค์บรรพกาล…
ขณะเดียวกันนี่ก็เป็นเป้าหมายของกลุ่มมู่เฉิน…
ระยะทางของดินแดนสุดขอบตะวันตกกับภูมิภาคทางเหนือห่างกันครึ่งทวีป
ระยะทางที่ไกลเช่นนี้ ถ้ามู่เฉินเดินทางโดยการเหาะเหินมาเอง เขาอาจจะใช้เวลามากกว่าครึ่งปี
โชคดีที่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายเอาไว้ใช้ แต่ถึงกระนั้นครึ่งเดือนก็ผ่านไปเมื่อพวกเขาเริ่มเข้าใกล้ดินแดนสุดขอบตะวันตก
ในเมืองที่อยู่ใกล้กับดินแดนสุดขอบตะวันตก กลุ่มของมู่เฉินนั่งอยู่ในโรงน้ำชา ตอนแรกเมืองนี้อยู่ห่างไกลผู้คนมาก แต่เนื่องจากอยู่ใกล้ดินแดนสุดขอบตะวันตก ทำให้ตอนนี้ทั้งเมืองคลาคล่ำไปด้วยผู้คน มากเสียจนมีร่างแสงมากบินฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้าตลอดเวลา ซึ่งชัดว่ามุ่งหน้าไปยังดินแดนสุดขอบตะวันตก
โรงน้ำชาเต็มไปด้วยผู้คน ทุกคนกำจายคลื่นหลิงรอบตัว ซึ่งบอกให้เห็นถึงพลังของพวกเขา
“นายท่านมู่ นายหญิงจิ่วโยว เรามาถึงเมืองที่ใกล้ที่สุดกับดินแดนสุดขอบตะวันตกแล้ว ซึ่งสิ้นสุดระยะค่ายกลเคลื่อนย้าย ต่อจากนี้ก็คงต้องเดินทางกันเองแล้ว” ถานชิวนั่งข้างมู่เฉินพูดด้วยเสียงนุ่มนวล
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ดินแดนสุดขอบตะวันตกทุรกันดารมาก ดังนั้นจึงไม่มีขั้วอำนาจใดมาโปรยเงินเพื่อตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายที่นี่ แต่ก็ถือว่าโชคดีที่สถานที่นี้ใกล้มากแล้ว ด้วยความเร็วของพวกเขาน่าจะสามารถไปถึงได้ในเวลาไม่กี่วัน
“จากข้อมูลที่เรารวบรวมมาที่ชายแดนตะวันตกมีเมืองใหญ่ที่เรียกว่าเมืองซี นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดที่ใกล้ของดินแดนสุดขอบตะวันตก ขั้วอำนาจต่างๆ ก็ไปรวมตัวกันอยู่ที่นั่น มิหนำซ้ำยังมีผู้ออกสำรวจโดยรอบแล้ว ดังนั้นเราน่าจะได้รับข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับวังสวรรค์บรรพกาลได้ที่นั่น” ผู้เฒ่าไป๋ตอบด้วยเสียงให้เกียรติ
“มีแม้แต่คนที่กล้าเสี่ยงจะเข้าไปในมิติแตกสลายรอบวังสวรรค์บรรพกาลจนได้รับสมบัติมาแล้วเปิดประมูลขายต่อในเมืองซี ทำให้ดึงดูดคนกันมาก”
“โอ้?” การแสดงออกของมู่เฉินเปลี่ยนไปเมื่อได้ยิน คนเหล่านั้นช่างไม่รักตัวกลัวตาย รอยร้าวมิติที่ปั่นป่วนรอบวังสวรรค์บรรพกาลนั้นความประมาทเพียงเล็กน้อยก็จะถูกดูดเข้าไปในมิติ ซึ่งเป็นการไม่ฉลาดเลยที่จะเข้าไปในตอนนี้
แต่ถ้าพวกเขาสามารถเก็บเกี่ยวอะไรได้บ้าง ก็อาจได้รับเบาะแสบางอย่างเพื่อให้ก้าวไปข้างหน้าได้ทันทีหลังจากเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล โอกาสยอดเยี่ยมนี้ ใครมาก่อนก็ได้ก่อน
“ดูเหมือนว่าเราต้องเดินทางไปที่เมืองซีสินะ” จิ่วโยวพยักหน้าเบาๆ
มู่เฉินพยักหน้าตอบ นอกเหนือจากนั้นยังมีจอมยุทธ์จากทวีปเทียนหลัวมารวมกันที่นั่น ไม่รู้ว่าเหล่าจอมยุทธ์รุ่นใหม่จะมารวมอยู่ที่นั่นด้วยหรือไม่ เขาชักจะอยากรู้จักซะแล้ว
“ไปที่เมืองซีกันเถอะ”
เมื่อระงับความว้าวุ่นในใจลง มู่เฉินก็ลุกขึ้นยืนออกจากโรงน้ำชาไป เขาทะยานตัวขึ้นไปบนท้องฟ้ากลายเป็นร่างแสง ตามด้วยจิ่วโยวและคนที่เหลือที่ด้านข้างพุ่งหายไปในเส้นขอบฟ้า
ขณะที่กลุ่มของของมู่เฉินกำลังเดินทางไปเมืองซี ในเมืองที่ไกลออกไป หญิงสาวสวมชุดขาวก็เดินออกมาจากโรงเตี๊ยม ความงามของนางปานล่มเมือง ดวงตายิ่งเป็นที่ดึงดูดใจทำให้นางดูเหมือนกับภาพวาดเทพธิดา
ทว่านางเหมือนไม่ได้สนใจรัศมีราวเทพธิดาของตน กลับหยิบผลไม้หายากออกมาซึ่งเปล่งไปด้วยคลื่นหลิงที่น่าอัศจรรย์จากนั้นก็กลืนลงคอภายใต้สายตาร้อนแรงนับไม่ถ้วนที่จ้องมองมา ก่อนที่จะปัดมือพร้อมกับบ่นกับตัวเอง “เจ้านั่นก็อยู่ในทวีปเทียนหลัวนี่ ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ข้ายังติดหนี้บุญคุณเขาอยู่เลย…”
นางเอียงศีรษะเบาๆ อดไม่ได้ที่จะจือปากแล้วก้าวเดินออกไปอย่างสบาย ละทิ้งเมืองไว้ที่เบื้องหลัง
บทที่ 1089 เซี่ยหง
เมืองซี
เป็นเมืองใหญ่ตั้งอยู่ที่ชายแดนตะวันตก แต่ในอดีตเมืองนี้เงียบเหงามาก ประชากรก็เหลือน้อยจนเมืองเกือบจะกลายเป็นเมืองร้างไปแล้ว
ทว่าการปรากฏขึ้นฉับพลันของวังสวรรค์บรรพกาล ทำให้เมืองนี้ได้รับการฟื้นฟูให้รุ่งเรืองขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน
เมื่อกลุ่มของมู่เฉินปรากฏตัวบนยอดเขานอกเมืองซี พวกเขาก็เห็นร่างแสงเป็นริ้วปกคลุมท้องฟ้า เสียงที่ทำเอาแก้วหูแทบแตกดังกึกก้องไม่สิ้นสุด
ความผันผวนของคลื่นนับไม่ถ้วน ทำให้พลังงานในฟ้าดินเกิดปฏิกิริยาขึ้นบนท้องฟ้า สามารถรับรู้ได้แม้แต่ในระยะไกล
“การล่อลวงของวังสวรรค์บรรพกาลเป็นสิ่งไม่ธรรมดาแท้จริง สามารถทำให้เมืองแสนธรรมดากลายเป็นคึกคักขนาดนี้…” มู่เฉินถอนหายใจเมื่อเห็นภาพนี้ เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงทรงประสิทธิภาพหลากหลาย เจ้าของคลื่นพลังเหล่านี้ทรงพลังมาก จนถึงจุดที่เขาต้องเผชิญหน้าด้วยความจริงจัง
ตามการประเมินของเขา ขนาดของจอมยุทธ์ในเมืองนี้เกินกว่าการรวมตัวของจอมยุทธ์ชั้นยอดในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ซะอีก
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบพื้นผิว ไม่อย่างนั้นหากมั่นถัวหลัวเคลื่อนไหวละก็ ทั้งเมืองอาจราบเรียบเป็นหน้ากองได้เลย แต่ชัดว่าในเมืองนี้ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย
“ไปกันเถอะ”
มู่เฉินและจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็วแล้วทะยานออกไปโดยมีผู้บัญชาการทั้งสามตามหลังมา ร่างแสงห้าร่างเข้าร่วมกับการไหลของแสงบนท้องฟ้าพุ่งเข้าไปในเมือง
เมื่อเข้ามาพวกมู่เฉินก็มองหาโรงเตี๊ยมเพื่อปักหลัก ผู้เฒ่าไป๋และถานชิวออกไปหาข่าว ขณะที่ผู้บัญชาการสือติดตามมู่เฉินและจิ่วโยวประหนึ่งผู้พิทักษ์ที่ซื่อสัตย์
เมื่อมู่เฉินเห็นทั้งสามคนแยกกันทำงานเสร็จสรรพ ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมในใจว่าเป็นการฉลาดที่พาพวกเขาทั้งสามร่วมเดินทางมาด้วย มิฉะนั้นเขาจะต้องวิ่งขวั่กหาข้อมูลรอบตัว
ยิ่งเมื่อผู้เฒ่าไป๋ที่มากประสบการณ์ออกโรง เขาและจิ่วโยวก็เพียงแค่รอข้อมูลที่รวบรวมมาเท่านั้น
โรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยเสียงคึกคัก ซึ่งก็ถูกส่งเข้ามาในโสตประสาทของมู่เฉินและจิ่วโยวอยู่ไม่น้อย ในสถานที่แบบนี้จะปะปนไปด้วยคนทุกประเภท ซึ่งเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการค้นหาข้อมูลไปรอบๆ
“ข้าได้ยินมาว่าฝั่งทิศเหนือของเมืองซีมีคนเคลื่อนไหวอีกแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นชายหนุ่มสวมชุดสีฟ้าอมเขียวถือหอกทองคำ พลังของเขานับว่าดีทีเดียว อย่างน้อยก็อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นแปดระยะปลายสุด”
“จุ๊ๆ นั่นคือหอกเทพทองคำ-หลิ่วหมิง เขามาจากภูมิภาคทางตะวันตก บรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดระยะปลายสุดได้ตั้งแต่เยาว์วัย ช่วงนี้เขาท้าประลองจอมยุทธ์จำนวนมาก โดยมีหลายคนหมดท่าแพ้ไปแล้ว”
“เขามีความสามารถจริงๆ แต่ข้าว่าเขายังด้อยกว่าจอมยุทธ์กระบี่บัวหยกที่แสดงฝีมือเมื่อสองสามวันก่อน ตัดสินจากระดับพลัง ข้าคิดว่าเขาน่าจะอยู่ในระยะเกือบจะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า ตอนที่ประลองกันเขาตัดแขนจอมยุทธ์ขั้นแปดสี่คนโดยการออกกระบวนท่าครั้งเดียว ช่างน่าเกรงขามอย่างแท้จริง”
“ยังมีอีกนะ ครึ่งเดือนก่อน…”
“…”
ข่าวทุกประเภทลอยเข้ามาในโสตประสาทของมู่เฉิน ทำให้เขาอึ้งไปเล็กน้อย ดินแดนสุดขอบตะวันตกแห่งนี้กำลังเป็นที่รวบรวมจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนของทวีปเทียนหลัว คนพวกนั้นจะต้องเป็นจอมยุทธ์ชั้นนำของคนรุ่นใหม่ถ้าอยู่ที่อื่น แต่ตอนนี้พวกเขากลับเผยตัวขึ้นทีละคน…ละคน
ครืน!
ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจกับจำนวนจอมยุทธ์มากพรสวรรค์ในเมืองซีแห่งนี้ ทันใดนั้นเสียงสายฟ้าก็ดังกึกก้องมาจากขอบฟ้า ปรากฏขึ้นในเมืองพริบตา
ในเมืองสายตานับไม่ถ้วนจ้องมองไปทางทิศนั้น จากนั้นก็เกิดเสียงอุทานไม่สิ้นสุด
มู่เฉินจ้องมองไปบนท้องฟ้าก็ต้องอึ้งไป จากนั้นก็ต้องเบะปาก นั่นเป็นเพราะตอนนี้สังเกตเห็นยานพาหนะที่หรูหราที่สุดในสายฟ้า รถม้าถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายมังกรสีทอง ความผันผวนอันทรงพลังได้ถูกปล่อยออกมาบ่งบอกว่านี่คืออาวุธเทพ
แน่นอนว่าที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่รถม้า แต่เป็นสิงโตสีเงินสี่ตัวที่กำลังลากรถโดยมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบที่ใต้ฝ่าเท้า ราวกับว่าพวกมันกำลังขี่สายฟ้าอยู่
นี่คือ…สิงโตสายฟ้าซึ่งมีสายเลือดของเทพอสูร เมื่อพวกมันโตเต็มวัยก็จะสามารถพัฒนาการเป็นเทพอสูรแท้จริงได้ ไม่คิดว่าจะถูกใช้เป็นยานพาหนะเช่นนี้
“ใครกันทำตัวดูเด่นจริงๆ?” จิ่วโยวขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่านางไม่ค่อยชอบใจกับคนที่ใช้เทพอสูรเป็นสัตว์เลี้ยง
มู่เฉินส่ายหัว ก่อนที่เสียงตื่นเต้นปนอิจฉาจะดังก้องออกมาจากโรงเตี๊ยม
“อลังการแบบนี้ ลวดลายบนรถแบบนี้ ท่าทางจะมาจากแคว้นเซี่ย…”
“จุ๊ๆ สมเป็นเจ้าเขตตะวันออกอย่างแท้จริง ไม่คิดว่าพวกเขาก็มาเช่นกัน ในรถม้านั่นจะต้องมีองค์ชายแคว้นเซี่ยแน่นอน”
“เฮ้ มีเสียงหัวเราะพะเน้าพะนอของหญิงสาวมาจากในรถม้า ดูท่าคนนี้จะชื่นชอบเรื่องดังกล่าว ในแคว้นเซี่ยนอกจากองค์ชายสี่เซี่ยหงแล้วก็คงไม่มีใครอื่น”
“โอ้? องค์ชายสี่เซี่ยหง? คนที่อยู่อันดับที่ยี่สิบของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งทวีปเทียนหลัวเหรอ?”
“ก็เขาคนนี้แหละ มีข่าวลือว่าเขามีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าแล้ว ทว่าเส้นทางการเพาะบ่มกลับมุ่งไปทางกามารมณ์ ซึ่งส่งผลให้เขาพัฒนาอย่างรวดเร็ว”
เมื่อมู่เฉินและจิ่วโยวได้ยินก็หรี่ตาลง ที่แท้ก็องค์ชายสี่แห่งแคว้นเซี่ย มิน่าล่ะถึงฟุ่มเฟือยแบบนี้ แคว้นเซี่ยทรงพลังและมีรากฐานหยั่งลึกในภูมิภาคทางตะวันออก
“แคว้นเซี่ยทรงพลังจริงๆ” มู่เฉินถอนหายใจ เทียบกับภูมิภาคทางเหนือที่มีความขัดแย้งไม่หยุด ภูมิภาคตะวันออกดูสงบกว่าเยอะ ซึ่งสาเหตุหลักก็เพราะมีแคว้นเซี่ยเป็นเจ้าเขตปกครองเอาไว้
จิ่วโยวพยักหน้ากำลังจะพูด แต่ความสนใจก็ถูกดึงดูดโดยเสียงในโรงเตี๊ยมอีกครั้ง
“แม้ว่าเซี่ยหงจะใช้ได้ แต่เขาก็ยังจ้อยร่อยเมื่อเทียบกับรัชทายาทเซี่ย”
“ฮ่าๆ แน่นอน ชื่อเสียงของรัชทายาทคนนี้กระจายไปทั่วทวีปเทียนหลัว ในฐานะอันดับสี่ของทำเนียบจอมยุทธ์รุ่นใหม่ เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าเซี่ยหง” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความนับถือและเคารพต่อองค์ชายใหญ่แคว้นเซี่ย
เมื่อได้ยินคำพูดนั้นหัวใจของมู่เฉินและจิ่วโยวก็สั่นสะท้าน ท่าทางเคร่งเครียดลง รัชทายาทแห่งแคว้นเซี่ยทรงพลังขนาดนั้นเชียว ถูกจัดอยู่ในอันดับสี่ของทำเนียบ ซึ่งแทบไม่ด้อยไปกว่าจาโหลหลัวเลย
แคว้นเซี่ยไม่สามารถมองข้ามได้อย่างแท้จริง ทวีปเทียนหลัวเป็นมหาทวีปที่มีจอมยุทธ์ชั้นสูงนับไม่ถ้วน
ขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงกับพลังของแคว้นเซี่ย ชายคนหนึ่งก็เดินออกจากรถม้าพร้อมกับหญิงงามขนาบทั้งสองข้าง
เมื่อเขาเดินออกมาก็ดึงดูดสายตาจ้องมองนับไม่ถ้วน เขาสวมเสื้อคลุมสีทอง ความสูงศักดิ์ปลดปล่อยออกมาจากร่าง ใบหน้าค่อนข้างขาวและมีรอยยิ้มที่อยู่ข้างริมฝีปากซึ่งดูร้ายไม่น้อย แต่ในเวลาเดียวกันก็มีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร
เขาคนนี้คือองค์ชายสี่แห่งแคว้นเซี่ย…เซี่ยหง
เซี่ยหงจ้องมองจากด้านบน กวาดสายตาอย่างไม่แยแสราวกับจักรพรรดิเดินทางเยี่ยมเยือนในดินแดนทุรกันดาร ก่อนที่จะมองไปที่จิ่วโยวที่นั่งอยู่กับมู่เฉิน ด้วยสายตาอ่อนไหวต่อความงาม
วันนี้จิ่วโยวสวมชุดสีดำด้วยรูปร่างเพรียวบางและมีเสน่ห์จึงเน้นย้ำความประณีตหยดย้อย นางมีใบหน้าที่งดงามและนิสัยที่นิ่งสงบก็ทำให้ดูมีรัศมีเย็นชา นอกจากนี้หลังจากที่สายเลือดวิหคอมตะตื่นขึ้น รัศมีสูงส่งที่เปล่งออกมาจากสายเลือดก็ทำให้นางยิ่งพิเศษยิ่งกว่าเดิม
ดังนั้นเมื่อเซี่ยหงเห็นจิ่วโยวประกายแสงก็วูบวาบในดวงตาส่วนลึก
แต่ก่อนที่เขาจะมองได้นานอีกหน่อย จิ่วโยวที่รู้สึกถึง ใบหน้าสาดไอเย็นชาลง สายตาเยือกเย็นของนางกวาดออก ซึ่งทำให้สีหน้าของเซี่ยหงเปลี่ยนไป ชัดว่ารู้สึกถูกคุกคาม
“น่าสนใจ…”
เซี่ยหงยิ้มสบายๆ ไม่คิดว่าหญิงสาวไม่คุ้นหน้าคนนี้จะมีพลังที่น่าทึ่งซึ่งไม่อ่อนแอกว่าตนเอง
สายตาเซี่ยหงกะพริบวูบไหวทว่าก็ไม่ได้พลิ้วตัวลงมาจากท้องฟ้า เขาพยักหน้ายิ้มให้จิ่วโยวจากระยะไกลช่างเป็นบุรุษเหลือเกิน โดยไม่สนใจมู่เฉินที่อยู่ด้านข้างสักนิด
ทว่าตอบสนองต่อท่าทางนั่น จิ่วโยวยังคงแสดงความเย็นชา แสงเย็นเยือกกลั่นตัวในดวงตา เตรียมจะขยับเข้าซัดจอมอวดตัว
แต่ขณะที่นางกำลังจะออกตัวแรง มู่เฉินก็ยื่นมือออกมาตบเบาๆ บนมือนางแล้วยิ้ม “ดูเหมือนว่าเสน่ห์ของเจ้าจะไม่น้อย ดึงดูดคนได้เยอะเลย”
เมื่อได้ยินการหยอกล้อ จิ่วโยวก็อดกลอกตาไม่ได้ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการแสดงออกที่เย็นชานี่อ่อนโยนกว่าหลายเท่า ซึ่งเผยให้เห็นถึงเสน่ห์ที่หายาก
เซี่ยหงก็สังเกตเห็นการกระทำของมู่เฉินและท่าทางของจิ่วโยว ทันใดนั้นดวงตาก็หรี่แคบลง ก่อนจ้องมองชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเขามาก…
สัมผัสสายตาของเซี่ยหง มู่เฉินก็ยิ้มบางเงยหน้าขึ้นโดยไม่กลัวอีกฝ่าย
ในเมืองที่คึกคัก สายตาสองสายก็ฟาดฟันกันอย่างเยือกเย็นเงียบๆ
บทที่ 1090 ป้าย
ในเมืองที่พลุกพล่าน
สายตาของมู่เฉินและเซี่ยหงปะทะกันพร้อมกับไอหนาวเหน็บ ความผันผวนของคลื่นหลิงกระเพื่อมรอบตัว แต่สุดท้ายพวกเขาก็ดึงพลังงานกลับคืนมา
ความคมชัดในสายตาของเซี่ยหงค่อยๆ หดกลับ ก่อนที่จะส่งรอยยิ้มบางจางให้มู่เฉิน ทว่ารอยยิ้มนั้นไม่มีความอบอุ่นสักนิด
มู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้ม สีหน้านิ่งสงบ
“เฮ้ ดูเหมือนวังสวรรค์บรรพกาลจะดึงดูดผู้คนทุกประเภท” เมื่อเซี่ยหงเห็นทาทางที่สงบนิ่งของมู่เฉิน ดวงตาเขาก็หรี่แคบลงพลางพึมพำกับตัวเอง เขารู้สึกได้ถึงพลังของมู่เฉินที่อยู่ในระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า ทว่าชายคนนี้กลับไม่แสดงความนับถือต่อเขา ซึ่งทำให้เขาไม่พอใจมาก
ทว่าแม้จะไม่พอใจ แต่เซี่ยหงก็เป็นคนที่มีไหวพริบ ดังนั้นจึงไม่แสดงท่าทีอะไร เพราะจากพลังของมู่เฉินและจิ่วโยวน่าจะมีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง หากเขาเคลื่อนไหวโดยประมาทไม่ตรวจสอบ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะดึงดูดปัญหาให้กับตนเอง
ด้วยเหตุนี้สายตาของเขาจึงกะพริบเบาๆ ก่อนที่จะถอนออกมา วางแผนจะให้คนไปตรวจสอบภูมิหลังของทั้งสอง หากพวกเขาไม่มีพื้นหลังใดๆ บางทีเขาอาจจะลงมือได้ หญิงสาวชุดดำทรงพลังและมีบุคลิกที่ยอดเยี่ยมซึ่งเหนือกว่าหญิงสาวทั้งหมดของเขา หากเขาสามารถมีหญิงสาวแบบนี้ในตำหนักสักคนเพื่อพาขึ้นเตียง เขาจะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอีกแน่นอน
พอแค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ รอยยิ้มก็เผยบนมุมปาก ก่อนที่จะมองไปที่มู่เฉินและจิ่วโยวจากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ สิงโตสายฟ้าปลดปล่อยเสียงคำรามกลายเป็นประกายสายฟ้ามุ่งไปยังทิศทางหนึ่งของเมือง
“สายตาของเจ้านั่นน่าเกลียดเกินทน” เมื่อเห็นว่าเซี่ยหงไปแล้ว จิ่วโยวก็พูดขึ้นมาพร้อมกับขมวดคิ้ว แม้ว่าเซี่ยหงจะปกปิดความคิดเอาไว้ลึกซึ้ง แต่นางก็สามารถสัมผัสความคิดสกปรกด้วยประสาทสัมผัสเฉียบแหลมของตนเอง
ถ้าไม่ใช่เพราะเซี่ยหงมีภูมิหลังทรงพลังละก็ นางคงไม่ยอมปล่อยเขาไปแน่
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ “ระวังเขาให้มากเถอะ แต่หากเขาวางแผนบางอย่างจริงๆ ต่อให้เป็นองค์ชายแคว้นเซี่ยก็ต้องจ่ายราคาโหดหิน”
แม้ว่ารากฐานของแคว้นเซี่ยจะหยั่งลึกและทรงพลัง แต่ถ้าเซี่ยหงคิดร้ายกับจิ่วโยวจริงๆ มู่เฉินก็ไม่สนใจรายละเอียดพวกนี้เท่าไร หลายปีที่ผ่านมาคนที่ไม่พอใจเขาเคยมีน้อยด้วยเหรอ? เพิ่มแคว้นเซี่ยเข้าไปอีกสักหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไร
มู่เฉินและจิ่วโยวหันไปพูดคุยกันเรื่องอื่น แต่ไม่นานความผันผวนของคลื่นหลิงที่รุนแรงก็ดังกระหึ่มมาจากขอบฟ้าที่ห่างไกลอีกครั้ง ผู้คนจำนวนมากก็เห็นร่างแสงหลายร่างพุ่งเข้ามา
ร่างเงาเหล่านั้นเปล่งคลื่นหลิงที่ทรงพลังและไร้ขีดจำกัด การมาถึงของพวกเขาทำให้เกิดความโกลาหลในเมือง
“นั่นคือประมุขน้อยแห่งสำนักมังกรซ่อน—มู่ซัน ว่ากันว่าเขาถูกจัดอยู่ในอันดับยี่สิบกว่าของทำเนียบด้วย”
เมื่อได้ยินเสียงเหล่านั้น มู่เฉินก็เบนสายตาไป มองเห็นมังกรขนาดใหญ่ขดตัวพันรอบพร้อมกับคำราม มังกรตัวนี้แปลกตา ถึงแม้จะมีสายเลือดของเผ่ามังกรก็ไม่ถือว่าบริสุทธิ์ ทว่าหากมีโอกาสมากพอก็อาจจะวิวัฒนาการกลายเป็นเทพอสูรของแท้ได้
ชายคนหนึ่งยืนอยู่บนหัวของมังกร เสื้อผ้าโบกสะบัดไปตามสายลม คลื่นหลิงที่ส่งออกไปทำให้มิติรอบตัวสั่นไหว
ชายคนนั้นขี่มังกรโดยไม่หยุดเข้าไปในเมืองซี
“ยังมีเจียงหลิงสำนักกระบี่แดนสรวง ว่ากันว่าเขาปิดตัวฝึกฝนในสุสานกระบี่ของสำนักและประสบความสำเร็จในก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นเก้า”
หลังจากมู่ซันผ่านไป กระบี่เล่มหนึ่งก็ทะยานมาพร้อมกับชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนนั้น เขาพุ่งทะลุท้องฟ้าด้วยรัศมีคมกริบเข้าไปในเมืองซี
“จุ๊ๆ แม้แต่แม่นางชิ้งหย่าแห่งตึกฟ้าเหวก็มาด้วย ตึกฟ้าเหวเป็นแหล่งซื้อขายข้อมูล ซึ่งข้อมูลที่พวกเขามีคงดีที่สุด กระทั่งนางยังมา ดูท่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในเมืองซีแห่งนี้แล้ว”
จอมยุทธ์ที่เข้ามาตอนนี้เป็นหญิงสาวชุดสีแดง นางมีรูปลักษณ์ที่สูงส่งและร้อนแรง ทุกการแสดงออกดูทรงเสน่ห์นัก
นอกจากนี้คลื่นหลิงของนางยังถูกดึงกลับเข้าไปในร่างกาย ชัดเจนว่านางมีสมบัติซ่อนความผันผวนของพลังงานเอาไว้ เพื่อไม่ให้คนอื่นสามารถตรวจจับขุมพลังของนางได้ ซึ่งทำให้นางดูไม่อาจหยั่งรู้ยิ่งนัก
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เสียงบินหวือดังกึกก้องอยู่บนท้องฟ้า ผู้คนจำนวนมากมาถึงโดยไม่ขาดบุคคลที่โด่งดังในทวีปเทียนหลัว ทำเอาเมืองซีเดือดพล่านไปเลย
ทิวทัศน์นี้กินเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะสงบลง แต่ลับหลังกลับเกิดการเคลื่อนไหวมากขึ้น เนื่องจากมีจอมยุทธ์มากมายมารวมตัวกันในเมืองซี ดูเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว
ในโรงเตี๊ยมมู่เฉินและจิ่วโยวมองท้องฟ้าที่ค่อยๆ สงบลงพลางฟังเสียงอุทานที่ดังขึ้นรอบๆ ท่าทางก็ตึงเกร็งขึ้น จอมยุทธ์รุ่นใหม่จำนวนมากรวมกันที่เมืองซีมากขนาดนี้ ดูท่าจะต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่แล้ว
เพราะตอนนี้ทุกขั้วอำนาจในทวีปเทียนหลัวก็เล็งมาที่ดินแดนนี้ เนื่องจากความไม่มีเสถียรภาพของมิติจึงทำให้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังไม่กล้าเข้าไป ดังนั้นพวกเขาจึงส่งจอมยุทธ์รุ่นใหม่ชั้นนำเข้ามาเพื่อรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวังสวรรค์บรรพกาล
“ดูเหมือนเรามาถูกที่แล้ว…” จิ่วโยวมองไปที่มู่เฉินแล้วยิ้ม แม้ว่านางจะไม่ทราบเหตุผลที่แน่ชัดที่คนเหล่านี้มารวมตัวกัน แต่ต้องเกี่ยวข้องกับวังสวรรค์บรรพกาลแน่
“มารอข้อมูลของผู้เฒ่าไป๋กันเถอะ” มู่เฉินพยักหน้าขณะนี้โรงเตี๊ยมคึกคักไปด้วยเสียงคน พวกเขาต่างรู้สึกงงงวย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้ข้อมูลที่ละเอียดกว่านี้
การรอของพวกเขากินเวลาไม่นาน ประมาณสองชั่วโมงผู้เฒ่าไป๋และถานชิวก็กลับมา
“ฮ่าๆ นายท่านสังเกตเห็นพวกหนุ่มสาวที่รวมตัวกันในเมืองซีแล้วใช่ไหม?” ผู้เฒ่าไป๋หัวเราะเบาๆ
มู่เฉินพยักหน้าถามว่า “ทั้งสองคนได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาไหม?”
ถานชิวยิ้ม “เราพบอะไรบางอย่าง ลือกันว่ามีกลุ่มเสี่ยงเข้าไปในมิติแตกสลาย หลังจากต้องจ่ายด้วยจำนวนสมาชิกครึ่งหนึ่ง พวกเขาก็ตะเกียกตะกายกลับมาที่นี่ได้ในวันนี้”
“พวกเขาเก็บเกี่ยวอะไรได้เหรอ?” สายตาของมู่เฉินขยับ ไม่มีใครสนใจเกี่ยวกับการบาดเจ็บล้มตายหรอก แต่ถ้ากลุ่มนั้นไม่ได้มีการเก็บเกี่ยวที่ดีละก็ คงไม่มีใครเดินทางมาที่นี่เลย
ถานชิวพยักหน้า “พวกเขาได้รับบางสิ่งที่แปลกประหลาดมา ว่ากันว่าเมื่อพวกเขารับของชิ้นนั้น ทำให้เกิดลมพายุพลังหลิงขึ้นในวังสวรรค์บรรพกาล สมาชิกสิบกว่าคนกลายเป็นกองเลือดทันที ดังนั้นของนั่นน่าจะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อวังสวรรค์บรรพกาล”
“มันคืออะไร?” มู่เฉินเอ่ยถาม
“ดูเหมือนว่าจะเป็นป้ายชิ้นหนึ่ง” ผู่เฒ่าไป๋ตอบ
“ป้าย?” มู่เฉินและจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากัน สายตาเคร่งเครียดลงหลายส่วน ในซากโบราณ วัตถุประเภทป้ายเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุด เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่ามันจะเป็นกุญแจไขอะไรได้ บางทีอาจทำให้ได้รับโอกาสยิ่งใหญ่จนแซงหน้าผู้อื่นไปได้
“นอกจากนี้ป้ายนั้นดูเหมือนจะถูกสลักด้วยคำโบราณว่า ‘สอง’…” ถานชิวเอ่ยเพิ่ม
“สอง?” หัวใจของมู่เฉินเต้นไม่เป็นส่ำ มั่นถัวหลัวเคยบอกเขาว่ามีจอมพลห้าคนในวังสวรรค์บรรพกาลและคนที่พวกเขาพบในสงครามล่าก็คือจอมพลสี่ หรือว่าป้ายนั่นจะเกี่ยวข้องกับจอมพลสองกัน?
มู่เฉินมองไปที่จิ่วโยว นางก็พยักหน้ากลับมา ทั้งคู่ต่างคิดในสิ่งเดียวกัน
“จอมยุทธ์พวกนั้นมาที่นี่เพื่อสิ่งนั้นแน่” มู่เฉินเอ่ยอย่างช้าๆ
“ป้ายชิ้นนั้นจะแย่งชิงกันยังไง?” จิ่วโยวถาม แม้ว่าพวกเขาจะไม่ทราบว่าจะใช้ป้ายได้อย่างไร แต่ก็เป็นการดีที่สุดที่จะได้รับ หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาจะได้รับประโยชน์เมื่อเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาล
“ฮ่าๆ จะยังไงอีกล่ะ? ตอนนี้มีจอมยุทธ์รุ่นใหม่มากมายมารวมตัวกันที่นี่ซึ่งต่างมีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง จะให้ต่อสู้แย่งกันก็ไม่ได้หรอกมั้ง? หากเป็นเช่นนั้นอาจทำให้เป็นประโยชน์กับคนนอกซะอีก พวกเขาไม่ใช่คนโง่”
ผู้เฒ่าไป๋ยิ้ม “ดังนั้นจึงใช้วิธีที่สามัญที่สุด…การประมูล ผู้เสนอราคาสูงสุดจะได้รับไป”
มู่เฉินพยักหน้า ในสถานการณ์เช่นนี้ที่ทุกคนระแวงซึ่งกันและกัน ก็คงต้องใช้วิธียุติธรรมทางเดียว แต่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งถ้ามีการต่อสู้แอบแฝงเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของป้ายนั่น
“นายท่านคิดว่าเราควรทำอย่างไร?” ถานชิวถามเบาๆ
มู่เฉินและจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากันพลางยิ้ม “จะมีอะไรอีก? ในเมื่อพบของดีเราก็ไม่ควรเพิกเฉย พรุ่งนี้เราจะเข้าร่วมการประมูลด้วย ถ้าได้รับมาจะเป็นการดีสุด”
ไม่เช่นนั้นหากป้ายวังสวรรค์บรรพกาลตกอยู่ในมือของคนอื่น อาจจะมีใครบางคนไม่พอใจและวางแผนแย่งมา ตอนนั้นพวกเขาก็ดูว่ามีโอกาสคว้าหรือไม่
ผู้เฒ่าไป๋ ถานชิวและผู้บัญชาการสือพยักหน้าแสดงให้เห็นว่าไม่คัดค้านอะไร
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ก่อนลุกขึ้นพร้อมกับจิ่วโยวเดินออกจากโรงเตี๊ยม เขาเงยหน้าขึ้นมองที่ใจกลางเมืองซี บริเวณนั้นเมฆพายุกำลังก่อตัว ดูราวกับว่าไม่นานจะมีพายุมา
มู่เฉินมองไปที่ทิศนั้น จากนั้นก็ก้าวออกไปด้วยรอยยิ้ม
พรุ่งนี้ให้ข้าได้สัมผัสกับพลังอันยิ่งใหญ่ของเหล่าจอมยุทธ์รุ่นใหม่หน่อยนะ…หวังว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังล่ะ
บทที่ 1091 ประมูล
เช้าวันถัดมา
ในเมืองซีกำลังเดือดพล่านจากการรวมตัวของจอมยุทธ์ชั้นนำรุ่นใหม่ที่มาเมื่อวานนี้และข่าวเกี่ยวกับป้ายวังสวรรค์บรรพกาลที่ขยายออกไปไกล ซึ่งดึงดูดความสนใจผู้คนเป็นจำนวนมาก
จอมยุทธ์ทุกคนที่มารวมตัวกันในเมืองซีก็เพื่อวังสวรรค์บรรพกาล ตอนนี้มิติในดินแดนสุดขอบตะวันตกปั่นป่วน คนทั่วไปไม่กล้าเข้าไปบุ่มบ่าม ดังนั้นจึงต่างรอโอกาส ทว่าจู่ๆ ก็มีข่าวป้ายหลุดออกมา ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่จะดึงดูความสนใจผู้คน
แม้ว่าทุกคนจะรู้ว่าป้ายลึกลับนั้นเป็นที่จับตามองของเหล่าขั้วอำนาจทรงพลังแล้ว ตามปกติไม่มีทางที่พวกเขาจะลงสู้ราคาแย่งชิงไหว แต่ใครๆ ก็ต่างมุ่งหวังที่จะให้มันตกอยู่ในมือจากโชคชะตา ซึ่งนั่นจะเป็นโอกาสที่ดีและในอนาคตพวกเขาอาจจะสามารถใช้สิ่งนี้เพื่อก้าวขึ้นเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในทวีปเทียนหลัว จนเรียกลมสั่งฟ้าได้
ดังนั้นเมื่อเช้าวันที่สองมาถึง เสียงจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปกคลุมทั่วท้องฟ้า ร่างแสงจำนวนมากมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ส่วนกลาง
มีโรงประมูลขนาดใหญ่อยู่ใจกลางเมือง ทว่าที่นั่นก็ร้างมาเป็นเวลาหลายปี แต่วันนี้กลับถูกเปิดใช้ใหม่ ความคึกคักนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าโรงประมูลใหญ่ๆ ในทวีปเทียนหลัวเลย
พื้นที่การประมูลส่วนใหญ่เป็นเก๋งจีน ซึ่งถูกแบ่งออกเป็นสามชั้น ชั้นล่างสุดเป็นที่นั่งระดับธรรมดา ขณะที่คุณภาพจะเพิ่มขึ้นในชั้นที่สูงขึ้นไป การตกแต่งหรูหราสามารถมองการประมูลทั้งหมดได้
ตอนนี้กลุ่มของมู่เฉินเข้ามานั่งในพื้นที่ชั้นสามของโรงประมูลแล้ว เขาปัดเบาะที่ทำจากขนของเสือดาวไฟน้ำแข็งเบาๆ เมื่อนั่งบนนั้นก็ราวกับจะจมลงไป ให้ความรู้สึกสบายอย่างยิ่ง
พวกนี้เป็นสิ่งที่ถานชิวเตรียมมา ซึ่งทำให้มู่เฉินอดถอนหายใจในใจไม่ได้ มีผู้ติดตามอยู่ใกล้ชิดนี่ดีจริงๆ ถ้าเขามาคนเดียวจะคิดได้รอบคอบเช่นนี้ได้อย่างไร
“ใครเป็นผู้จัดประมูล? กลุ่มเมื่อวานนี้เหรอ?” มู่เฉินถามอย่างสนใจ หากการประมูลครั้งนี้จัดขึ้นโดยคนที่กล่าวอ้างเมื่อวาน พวกเขาจะต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น
เมื่อได้ยินคำถามผู้เฒ่าไป๋ก็ตอบทันที “การประมูลจะจัดขึ้นโดยกลุ่มท้องถิ่น แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ทรงพลัง แต่ก็ไม่ได้อยู่ใต้อาณัติใคร ฮ่าๆ ไม่มีใครยอมให้คู่ต่อสู้เป็นเจ้าภาพประมูลเพื่อป้องกันตัวเองจากการถูกหลอกลวง ดังนั้นพวกเขาจึงแนะนำให้กลุ่มท้องถิ่นจัดการประมูลแทน”
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ
ขณะที่มู่เฉินกำลังพูดคุยกับผู้เฒ่าไป๋ บรรยากาศในโรงประมูลก็ถูกยกระดับขึ้นทันที มู่เฉินเบนสายตาก็มองเห็นคนหลายกลุ่มเดินเข้ามา
กลุ่มคนพวกนี้ไม่ธรรมดา ด้านหน้าสุดร่างสี่คนเดินนำช้าๆ ซึ่งพวกเขาก็คือเซี่ยหง มู่ซัน เจียงหลิงและชิ้งหย่า…
พวกเขาล้วนถูกจัดอยู่ในทำเนียบจอมยุทธ์ชั้นนำรุ่นใหม่ ดังนั้นการปรากฏตัวของพวกเขาจึงทำให้เกิดเสียงอุทานดังก้อง
“ฮ่าๆ แคว้นเซี่ยต้องการป้ายนี้ หากพวกเจ้ายอมถอยเพื่อประโยชน์แคว้นเซี่ยของข้า ข้าจะจดจำพระคุณนี้ไม่ลืม” เซี่ยหงจ้องมองฝูงชนในโรงประมูล จากนั้นก็หันหลังกลับมายิ้มให้อีกสามคน
ทว่ามู่ซันกลับยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดนั่น “ข้าให้ของเหลวจื้อจุนแก่เจ้าห้าล้านหยดเป็นการส่วนตัว แล้วเจ้าก็อย่ามาแย่งกับพวกเราเลย สำนักมังกรซ่อนของข้าไม่ลืมบุญคุณอย่างแน่นอน”
เขาไม่ได้ปกปิดคำเยาะเย้ยในคำพูด แม้ว่าแคว้นเซี่ยจะเป็นเจ้าเขตตะวันออก แต่ก็อยู่ห่างจากสำนักมังกรซ่อนของเขาไปหลายสิบล้านลี้ ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
ชิ้งหย่าป้องปากหัวเราะเบาๆ นางมองทั้งสองข่มใส่กัน ขณะที่พวกเขาสู้กันในศึกน้ำลาย เจียงหลิงก็ไม่ได้แสดงออกใดๆ เขายืนกอดกระบี่ยาวไว้ ท่าทางราวกับว่าเขาไม่ได้ยินเสียงกระทบกระเทียบของเซี่ยหงกับมู่ซัน
เซี่ยหงยิ้มด้วยดวงตาหรี่แคบลงขณะมองมู่ซัน “ในเมื่อเป็นแบบนั้นข้าก็หวังว่าประมุขน้อยมู่ซันจะนำของเหลวจื้อจุนมาเพียงพอนะ”
พูดจบเขาก็ขี้เกียจสนใจมู่ซันอีก เบนสายตาไปยังชิ้งหย่าที่งดงาม ยิ้มเอ่ยขึ้น “แม่นางชิ้งหย่า สนใจไปนั่งชมการประมูลครั้งนี้กับข้าไหม?”
“คิกๆ พวกเราต่างเป็นคู่ต่อสู้กัน คงจะทำให้อึดอัดใจกันซะเปล่าถ้านั่งด้วยกันนะ” ชิ้งหย่าหัวเราะเบาๆ ปฏิเสธคำเชิญของเซี่ยหงก่อนที่จะเดินขึ้นชั้นบนอย่างสง่างาม
เซี่ยหงไม่ได้ใส่ใจเรื่องการปฏิเสธ เขาเงยหน้าขึ้นมองร่างสะคราญโฉมของชิ้งหย่าด้วยดวงตาร้อนแรง ก่อนจะฉายทำท่าทางปกติเดินตามหลังนางไป
เมื่อเดินไปได้สักครึ่งทางเซี่ยหงก็รู้สึกว่าชิ้งหย่าหยุดฝีเท้าลง นางเงยหน้าขึ้นมองไปที่มุมหนึ่งแววประหลาดใจก็วาบผ่านนัยน์ตา
กวาดตามองตามนาง ดวงตาเขาก็หรี่ลงเพราะเขาเห็นมู่เฉินและจิ่วโยวที่ได้พบกันเมื่อวานนี้
“ทำไม? แม่นางชิ้งหย่ารู้จักพวกเขาหรือ?” เซี่ยหงถามเสียงต่ำ ด้วยข้อมูลมหาศาลของตึกฟ้าเหว นางน่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับคนแปลกหน้าเหล่านั้นดี
ชิ้งหย่าหยุดชั่วครู่ก่อนที่จะยิ้ม “ถ้าข้าเดาไม่ผิดพวกเขาน่าจะมาจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ว่ากันว่าช่วงนี้มีสองคนขึ้นดำรงตำแหน่งจอมพลใหม่ จอมพลมู่และจอมพลจิ่วโยว ข้าว่าน่าจะเป็นทั้งสองนี่แหละ”
“ภูมิภาคทางเหนือ? อาณาเขตกงเวทสวรรค์? พวกเขาประเมินความสามารถของตนเองมากเกินไปแล้ว” เซี่ยหงอึ้งไปจากนั้นรอยยิ้มเย้ยหยันก็ผุดที่มุมปาก ภูมิภาคทางเหนือถูกมองว่าเป็นสถานที่ห่างไกลของทวีปเทียนหลัว มิหนำซ้ำที่นั่นยังเต็มไปด้วยความขัดแย้งโดยไม่มีเจ้าเขตแท้จริงแบบแคว้นเซี่ย สำหรับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ชื่อเสียงก็ไม่สลักสำคัญอะไรเลย
ตอนแรกเขาคิดว่าไอ้บ้านั่นต้องมีภูมิหลังที่ทรงพลังโดยดูจากท่าทางไม่แสดงความเคารพใดๆ ต่อเขา แต่ท้ายที่สุดกลับกลายเป็นว่าแค่มาจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์เล็กๆ เท่านั้น
ชิ้งหย่าเหลือบเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปากของเซี่ยหง สายตานางกะพริบวูบหนึ่ง ดูเหมือนว่าเซี่ยหงจะมีปัญหากับจอมพลคนใหม่ทั้งสองเสียแล้ว
แต่ชัดว่าเซี่ยหงยังไม่รู้ว่าแม้จะยังไม่มีเจ้าเขตเหนือ แต่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็มีความโดดเด่นมากกว่าจากขั้วอำนาจชั้นสุงสุดอื่นๆ ที่นั่น แม้ว่ารากฐานของอาณาเขตกงเวทสวรรค์อาจยังอ่อนแอกว่าแคว้นเซี่ย แต่ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็บรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้ว ไม่ได้ด้อยกว่าฮ่องเต้แคว้นเซี่ยเลย
ถ้าเซี่ยหงทำอะไรกับจอมพลทั้งสอง ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์คงไม่ยอมให้เรื่องนี้จบง่ายอย่างแน่นอน ในเวลานั้นแม้แต่ฮ่องเต้เซี่ยก็คงต้องปวดหัวหนักน่าดูเลยมั้ง?
แบบนี้ก็ดี…ให้แคว้นเซี่ยมีศัตรูเพิ่มขึ้นอีก
ความคิดนี้วาบผ่านในใจ ชิ้งหย่าก็เดินไปยังเก๋งจีนอีกมุมหนึ่ง เซี่ยหง มู่ซันและคนอื่นๆ ก็นั่งลงบนที่ที่จัดให้โดยมีคนมาคอยบริการ
มู่เฉินให้ความสนใจกับคนกลุ่มนี้ตลอด ดังนั้นจึงเห็นการสนทนาระหว่างเซี่ยหงและชิ้งหย่าและเห็นรอยยิ้มเยาะเย้ยที่มุมปากของเซี่ยหง เมื่อคิดไตร่ตรองก็เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง
“ดูเหมือนว่าเราจะถูกประเมินต่ำไปนะ” มู่เฉินยิ้ม เอ่ยขึ้น
“ที่นี่ไม่ใช่ภูมิภาคทางเหนือ ไม่มีใครรู้จักเจ้าหรอก” จิ่วโยวล้อเลียน
“ข้าจะมีชื่อเสียงอะไรได้…” มู่เฉินส่ายหัวอย่างไม่ช่วยไม่ได้ เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “แต่ถ้าใครคิดว่าข้าเป็นคนยอมคน กลัวว่ามือจะโดนหักแทนน่ะสิ”
แม้จะเป็นการพูดสบายๆ แต่ก็มีความภาคภูมิใจแฝงอยู่ เขาเดินมาทีละก้าว…ละก้าวตลอดหลายปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ที่เขาออกจากสำนักศึกษาเป่ยชางเพิ่งเริ่มชำระร่างเทพสุริยะ จนกระทั่งบรรลุขุมพลังระดับนี้ เขาพบคู่ต่อสู้มากมาย แต่ท้ายที่สุดเขาก็เป็นคนสุดท้ายที่ยังยืนอยู่
ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าตนเองสามารถเผชิญหน้ากับคนรุ่นเดียวกันได้
ถ้าเซี่ยหงประพฤติตัวดีๆ ก็ช่างไป แต่ถ้าเขามีความคิดพิเรนทร์ มู่เฉินก็ไม่ใส่ใจที่จะให้เซี่ยหงรู้ว่าราคาจากความอหังการของตัวเองต้องจ่ายมากเท่าไร
พูดจบมู่เฉินก็หันหน้ากลับเห็นว่าจิ่วโยวจ้องมองเขาเงียบๆ จึงยกมือแตะหน้าตัวเองด้วยความสงสัย “มีอะไรเหรอ?”
จิ่วโยวอึ้งไปกับร่องรอยความคมชัดที่มู่เฉินปล่อยออกมา ก่อนที่นางจะถอนหายใจ มู่เฉินไม่ได้เป็นน้องชายที่ยังไม่โตอีกแล้ว ความมั่นใจของเขาก้าวข้ามอดีตมาไกล
หลายปีผ่านมาเขาเติบโตอย่างแท้จริง
“ตึ้ง!”
ขณะที่จิ่วโยวยังอยู่ในภวังค์ เสียงระฆังก็ดังขึ้นในโถงซึ่งปกคลุมไปด้วยความโกลาหลที่มาจากด้านล่าง ทุกคนค่อยๆ เงียบเสียงลง ความร้อนแรงเพิ่มในดวงตาเมื่อจ้องมองไปยังแท่นยกสูง ซึ่งมีชายวัยกลางคนเดินขึ้นไปบนแท่น
“ข้าชื่อหานเฟยจากสำนักตะวันตกเย็นเยือกและเป็นพิธีกรของการประมูลครั้งนี้…”
เมื่อเสร็จสิ้นคำพูดเขาก็โบกมือ หญิงสาวหลายคนก็เดินออกมาพร้อมกับถาดเงินในมือ
ถาดเงินถูกห่อหุ้มด้วยม่านพลังขัดขวางความผันผวนของพลังงานภายใน
สายตานับไม่ถ้วนจ้องไปบนถาดเงิน ไอร้อนแรงวูบไหวในดวงตา
หานเฟยยิ้มเมื่อเห็นภาพนี้
“ในเมื่อทุกคนไม่คิดรออีกต่อไป ข้าขอประกาศเริ่มการประมูล ณ บัดนี้”
บทที่ 1092 ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร
โรงประมูลแห่งนี้มีผู้คนมากมาย
แต่แม้จะมีจำนวนมากมาย ทั้งโถงก็เงียบลงสายตาแต่ละคู่จ้องมองบนแท่นประมูล…
พูดให้ตรงก็คือพวกเขาจ้องมองไปที่ถาดเงินที่ถือโดยหญิงสาวสี่คนที่มีอักขระพลังหลิงปรากฏอยู่บนถาดที่ก่อตัวม่านแสงขัดขวางความผันผวนของพลังงานเพื่อไม่ให้ใครสัมผัสได้
หานเฟยกวาดมองสายตาร้อนแรงที่จ้องมองโดยรอบก็ยิ้ม “ขนาดของการประมูลครั้งนี้ไม่ใหญ่นัก แต่สิ่งของทั้งสี่ชิ้นนี้มีต้นกำเนิดจากวังสวรรค์บรรพกาล ผ่านกระบวนการคัดเลือกที่เข้มงวด…”
“งั้นขอเริ่มจากชิ้นแรกเลย”
หานเฟยโบกมือ หญิงสาวคนหนึ่งก็เยื้องย่างประคองถาดเงินออกมา ริ้วแสงบนถาดค่อยๆ จางหายเผยให้เห็นวัตุภายใน
ทุกคนมองไปก็เห็นหินอ่อนสีดำวางบนถาดที่ปกคลุมด้วยรอยด่างดำ รัศมีโบราณและลึกซึ้งเบาบางไหลพล่านออกมา
มู่เฉินหรี่ตาลงเมื่อจ้องมองหินอ่อนนั่น จากนั้นรอยแยกก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผากเขา เมื่อแสงสีดำพวยพุ่งเขาก็มองทะลุผ่านหินอ่อนด่างดำเห็นพลังงานมหึมาบรรจุอยู่ภายใน
“นั่นคืออะไร?” จิ่วโยวถามด้วยความสงสัย หินอ่อนสีดำชิ้นนี้ดูธรรมดามากจากพื้นผิว
“น่าจะเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ ทรงพลังมากเลยทีเดียว” รอยแยกเล็กๆ บนหน้าผากปิดลง มู่เฉินพูดออกมาช้าๆ ด้วยพลังของเนตรดับชีวิตเขาสามารถมองเห็นพลังทรงประสิทธิภาพที่บรรจุอยู่ในหินอ่อนสีดำ ซึ่งพลังนี้ถือว่ายอดเยี่ยมมาก ไม่ด้อยไปกว่าเนตรดับชีวิตของเขาเลย
ความจริงนี้ทำให้มู่เฉินถอนหายใจด้วยความชื่นชม วังสวรรค์บรรพกาลพิเศษอย่างแท้จริง เพียงหินอ่อนชิ้นเดียวก็ทรงพลังได้ถึงเพียงนี้ อย่าว่าแต่คนอื่นเลย เผชิญหน้ากับวัตถุแบบนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็ถูกล่อลวงเอาได้
ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจด้วยความชื่นชม ทั้งโถงก็เกิดจลาจลย่อมๆ แม้ว่าคนส่วนใหญ่ที่นี่ไม่สามารถบอกได้ว่าหินอ่อนสีดำคืออะไร แต่ก็ยังมีคนที่มีความสามารถพิเศษในการสอดแนมได้ ดังนั้นไม่นานเสียงกระซิบก็ค่อยๆ ดังกึกก้องทำให้เกิดความปั่นป่วนไปหมด
“ฮ่าๆ ท่านจอมยุทธ์ทั้งหลายอาวุธชิ้นนี้เรียกว่าไข่มุกทะเลเดือดมีเพียงสมาชิกที่มีคุณูปการยิ่งใหญ่ในวังสวรรค์บรรพกาลเท่านั้นที่จะได้รับเป็นรางวัล นี่เป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ที่มีพลังในการแยกทะเลอย่างมีประสิทธิภาพ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็ไม่กล้าดูถูกเลยทีเดียว” หานเฟยยิ้มตาหยี
ความปั่นป่วนในโถงถูกต้มจนเดือดจากการอธิบายของหานเฟย ผู้คนนับไม่ถ้วนมองไปที่อาวุธเสมือนมหสวรรค์ด้วยสายตาลุกโชน กระทั่งในขั้วอำนาจระดับต้น อาวุธระดับนี้ก็หายากมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไข่มุกทะเลเดือดที่ทรงพลังกว่าอาวุธเสมือนสวรรค์ทั่วไปเลย
“ขอเสนอราคาเริ่มต้นที่ของเหลวจื้อจุนสิบล้านหยด เคาะครั้งหนึ่งต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งล้าน หากใครสนใจก็สามารถเรียกราคาประมูลได้เลย” หานเฟยยิ้ม
เมื่อราคาพูดออกมาก็ทำเอาความโกลาหลหยุดลงทันใด นี่เป็นจำนวนเงินมากพอดู หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากขั้วอำนาจชั้นสูงแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหยิบเงินจำนวนมากออกมาได้ด้วยตัวคนเดียว
นอกจากนี้แม้ว่าพวกเขาจะมี แต่ส่วนใหญ่ก็เก็บไว้ใช้เพื่อการเพาะบ่มขุมพลัง เพราะของเหลวจื้อจุนเป็นสิ่งจำเป็นในการฝึกยุทธ์ หากปราศจากสิ่งนี้ก็จะส่งผลกระทบต่อความเร็วของการฝึกเช่นกัน
แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะชะงักไปด้วยราคาที่สูง แต่ก็มีจอมยุทธ์ชั้นสูงมารวมตัวกันอยู่ในเมืองซีขณะนี้และพวกเขาทั้งหมดก็เตรียมตัวมาอย่างดี ดังนั้นแม้จะเป็นเรื่องที่น่าปวดใจสำหรับราคานี้ แต่เมื่อคิดถึงพลังที่แข็งแกร่งเพียงนั้น พวกเขาก็กัดฟันเสนอราคา
“ของเหลวจื้อจุนสิบเอ็ดล้านหยด!” ที่ชั้นสองชายชุดขาวคนหนึ่งตะเบ็งเสียงออกมา ดึงดูดสายตาและเสียงกระซิบนับไม่ถ้วน
“นั่นประมุขน้อยสำนักหยกทองคำ ว่ากันว่าปัจจุบันเขาอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุด”
“ไม่แปลกใจเลยที่เขาใจกว้างแบบนี้ ของเหลวจื้อจุนสิบล้านกว่าหยด อาจทำให้ข้าบรรลุขั้นเจ็ดหรือขั้นแปดได้เลย”
ชายชุดสีขาวโบกพัดหยกในมือพลางยิ้มบาง เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาที่จ้องมองมาที่ตนเองแบบอิจฉา
แต่ก่อนที่เขาจะรักษาตำแหน่งนี้ไว้ได้นานก็ถูกเสียงหนึ่งรบกวนขึ้น “สิบสองล้านหยด!”
ใบหน้าชายชุดสีขาวแข็งทื่อแล้วก็หันขวับกลับมามอง ก็เห็นชายวัยกลางคนที่มีแผลเป็นนูนบนใบหน้า สายตาดุร้ายประหนึ่งหมาป่า ชัดว่าเป็นคนโหดเช่นกัน
“เฮ นั่นไม่ใช่ประมุขสำนักหมาป่าสวรรค์ตะวันตกเฉียงเหนือรึ? ไม่คิดเลยว่าเขาจะมาที่นี่…”
มู่เฉินมองฉากตรงหน้าด้วยความสนุก แม้จะถูกล่อลวงโดยไข่มุกทะเลเดือด แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่เข้าร่วมการประมูลของชิ้นนี้ เนื่องจากเนตรดับชีวิตไม่ด้อยกว่าไข่มุกดำด่างนั่นเลย ดังนั้นไม่จำเป็นที่เขาจะต้องใช้เงินเพื่อซื้อหา ไม่งั้นต่อให้หอวิหคโลกันตร์จะไม่เหมือนในอดีต แต่ถังปิงคงมีใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำด้วยความโกรธ ถ้านางรู้ว่าเขาโปรยเงินออกไปอย่างสุรุ่ยสุร่ายแค่ไหน
ภายใต้การจ้องมองของคนนับไม่ถ้วนราคาของไข่มุกทะเลเดือดก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสูงจนถึงสิบสี่ล้าน ณ จุดนี้กระทั่งประมุขน้อยสำนักทองคำและประมุขหมาป่าสวรรค์ก็เริ่มหยุด ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปมาด้วยความลังเล
“สิบหกล้าน”
เสียงขี้เกียจดังก้องขึ้นขณะที่ทั้งสองมีท่าทางลังเล สิ่งนี้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกของพวกเขา ครั้นเงยหน้าขึ้นก็เห็นเซี่ยหงกำลังทำท่าเกียจคร้านอยู่
พอเห็นว่าเซี่ยหงเป็นคนเสนอราคาประมูล ทั้งสองก็เปลี่ยนสีหน้ากระแทกตัวนั่งลง เห็นได้ชัดว่าพวกเขายอมแพ้อย่างไม่เต็มใจ
เพราะพวกเขาไม่สามารถรุกรานแคว้นเซี่ยได้และในแง่ของความมั่งคั่งก็ด้อยกว่าหลายเท่า
เซี่ยหงเหลือบมองทั้งสองคน ก่อนที่จะกวาดสายตาพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา “มีใครเสนอราคาที่สูงกว่าข้าไหม?”
ในเสียงของเขาแฝงอาการเยาะเย้ย แม้จะทำให้เกิดความไม่พอใจกับหลายคน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร ของเหลวจื้อจุนสิบหกล้านหยดเทียบเท่ากับผลกำไรทั้งปีของบางขั้วอำนาจเลยทีเดียว
หานเฟยมองทุกคนที่นิ่งเงียบก็คลี่ยิ้ม “ในเมื่อไม่มีใครเสนอราคาที่ดีกว่านี้ ไข่มุกทะเลเดือดชิ้นนี้เป็นขององค์ชายสี่”
เขาปรบมือเบาๆ หญิงสาวก็ถอยหลังลงไปจากแทนประมูล ขณะเดียวกันหญิงสาวคนที่สองก็เดินออกมา
ทุกคนมองไปที่ไข่มุกทะเลเดือดที่จากไปก็ถอนหายใจก่อนที่จะให้ความสนใจกับถาดเงินที่สองต่อ
ผ่านการอุ่นเครื่อง บรรยากาศในการประมูลก็ยกระดับขึ้นอย่างชัดเจน หลายคนถึงกับถูมือเข้าด้วยกัน พวกเขาตื่นเต้นที่จะเห็นว่าถาดเงินลำดับต่อไปคืออะไร
เมื่อเห็นบรรยากาศนี้หานเฟยก็ไม่ชักช้ารีบโบกมือ ม่านพลังบนถาดที่สองหายไป เผยให้เห็นวัตถุภายใน
สายตาของมู่เฉินพุ่งไปที่แท่นประมูลกวาดมองวัตถุชิ้นที่สอง จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นสนใจขึ้น
เนื่องจากนั่นมีม้วนทองสำริดโบราณวางอยู่บนถาดเงิน ถึงแม้ว่าม้วนทองสำริดนี้จะดูขาดๆ หายๆ แต่ความผันผวนพิเศษก็ทำให้มู่เฉินเข้าใจว่านี่เป็นแผนภาพค่ายกล ซึ่งอย่างน้อยก็น่าจะอยู่ระดับเทียน
ขณะที่ความสนใจเพิ่มขึ้นในใจมู่เฉิน เสียงผิดหวังกลับดังก้องขึ้นในโถง คิดว่าคนส่วนใหญ่ในที่นี้รู้ว่านี่เป็นภาพค่ายกล ซึ่งจะมีประโยชน์ในมือของหลิงเจิ้นซือเท่านั้น ทว่าจำนวนของหลิงเจิ้นซือก็มีน้อยนัก
“ทุกท่าน ม้วนภาพนี้คือค่ายกลเก้าเทพมังกรประหาร… ล่ำลือกับว่าอยู่ในระดับจงซือ” หานเฟยอธิบายอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นความสนใจของผู้คนลดลง
“ระดับจงซือ?” ความโกลาหลระเบิดตามคำพูดดังกล่าว แม้แต่คนที่ไม่ได้เป็นหลิงเจิ้นซือยังมีแววตื่นตะลึงเขียนบนใบหน้า ค่ายกลระดับจงซือ? นั่นไม่ได้เทียบเท่ากับระดับตี้จื้อจุนหรอกหรือ?
ทุกคนรู้ว่าหลิงเจิ้นจงซือเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ดังนั้นค่ายกลระดับจงซือจึงมีพลังระดับตี้จื้อจุนเลยทีเดียว
นี่คือภาพค่ายกลที่แม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดในทวีปเทียนหลัวก็คงไม่มีในครอบครอง แต่ขณะนี้กลับมาปรากฏขึ้นที่นี่รึ?
มู่เฉินก็ตกใจไปก่อนจะขมวดคิ้ว ตามการประเมินของเขา แม้ว่าม้วนภาพจะมีความผันผวนพิเศษปล่อยออกมา แต่ก็ไม่น่าอยู่ในระดับจงซือนะ
“เจ้าบอกว่าภาพค่ายกลนี้อยู่ในระดับจงซือรึ?” มีคนที่มีสายตาเฉียบแหลม ดังนั้นพวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงถามด้วยความสงสัยหลังจากตรวจสอบไปครู่หนึ่ง
หานเฟยหน้าม้านไปวูบหนึ่งเมื่อได้ยินจากนั้นก็ตอบว่า “แน่นอน ถ้านี่เป็นฉบับเต็มของค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก็จะเป็นภาพระดับจงซือแท้จริง”
“เจ้ากำลังบอกว่านี่ไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์เรอะ?” ทุกคนที่นี่ไม่โง่ พวกเขาเข้าใจความหมายในคำพูดของหานเฟยทันที
หานเฟยยิ้มแห้ง “ภาพค่ายกลนี้ยังไม่สมบูรณ์ก็จริง แต่ถึงกระนั้นกระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะปลายสุดก็มีปัญหาในการเผชิญกับค่ายกลนี้”
เฮ้อ
เสียงผิดหวังดังทั่วโรงประมูล หลายคนถึงกับส่ายหัว พวกเขาไม่ใช่หลิงเจิ้นซือดังนั้นจึงไม่สนใจที่ใช้เงินเพื่อซื้อภาพค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์หรอก
หานเฟยถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้จากนั้นก็เอ่ยว่า “งั้นเริ่มการเสนอราคาวัตถุชิ้นที่สอง การเสนอราคาเริ่มต้นของภาพค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารก็คือของเหลวจื้อจุนห้าล้านหยด”
ห้าล้านหยดนับว่าถูกกว่าไข่มุกทะเลเดือดครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว แต่น่าแปลกใจที่ไม่มีใครเสนอราคา แม้แต่พวกหลิงเจิ้นซือก็ยังนั่งไตร่ตรองกันอยู่ เนื่องจากพวกเขาไม่มั่นใจในการทำความเข้าใจค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ หากพวกเขาล้มเหลวนี่ก็จะเป็นขยะในมือ
การทิ้งของเหลวจื้อจุนห้าล้านหยดนี้ไปก็ถือเป็นความเจ็บปวดกับกระเป๋าเงิน
ด้วยความคิดเช่นนี้ทั้งโรงประมูลจึงเงียบเสียงลง
เมื่อหานเฟยเห็นสถานการณ์นี้ก็ส่ายหัวช่วยไม่ได้ ทว่าเขารู้ในวัตถุทั้งสี่ชิ้น ภาพค่ายกลเป็นของที่ปล่อยประมูลยากที่สุด
ดังนั้นหลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็เตรียมพูดอีกครั้งเพื่อพยายามปลุกเร้าความสนใจของเหล่าหลิงเจิ้นซือ
แต่ขณะที่เขากำลังจะพูด เสียงอ่อนเยาว์ก็ดังก้องอยู่ในโถง
“หกล้าน”
หานเฟยอึ้งไปก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น ก็เห็นชายหนุ่มหล่อเหลามองมาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น