หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1085-1086
บทที่ 1085 ซากโบราณ
ในจัตุรัส
เมื่อได้ยินคำพูดของหลงปี้ ความโกลาหลก็กวาดไปทั่ว แต่ไม่มีความไม่อยากเชื่อเหมือนเมื่อครู่กลับเต็มไปด้วยอาการทอดถอนหายใจแทน
เนื่องจากมู่เฉินพิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งพร้อมกับพลังการต่อสู้ทรงประสิทธภาพของจอมยุทธ์เกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าที่สู้กับขั้นเก้าระยะต้นตัวจริงได้!
เขามีคุณสมบัติแท้จริงที่จะก้าวขึ้นตำแหน่งจอมพล
“น่าเกรงขามมาก” ซิวหลัวมองร่างอ่อนอาวุโสในจัตุรัส ใบหน้าที่มักไม่มีอารมณ์ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนที่จะถอนหายใจ
เมื่อนึกย้อนกลับไปตอนที่มู่เฉินเพิ่งจะมาถึงอาณาเขตกงเวทสวรรค์ เขาเป็นเพียงแม่ทัพตัวจ้อยเท่านั้น แต่หลังจากผ่านไปหลายปี เขาก็ก้าวข้ามทุกคนขึ้นดำรงตำแหน่งจอมพล
เหล่าผู้บัญชาการดั้งเดิมคนอื่นก็ถอนหายใจ เนื่องจากพวกเขาถือได้ว่าเห็นการทะยานขึ้นสวรรค์ของมู่เฉินจากพื้นล่างจนถึงสูงสุดที่น่าอัศจรรย์ในในปัจจุบัน
“เสี่ยยิง พวกเจ้าสองคนมีเรื่องบาดหมางกันในอดีตมากมายนี่” เลี่ยซันจ้องมองไปที่เสี่ยยิงแล้วเอ่ยหยอก ย้อนกลับไปตอนที่จิ่วโยวเพิ่งกลับมาก็เกิดความขัดแย้งหลายเรื่องระหว่างนางกับเสี่ยยิง ทำเอาทั้งสำนักปั่นป่วนไปหมด
เสี่ยยิงมีสีหน้าอึกอักหลังจากได้ยินเรื่องนี้ หากเขารู้ว่ามู่เฉินและจิ่วโยวจะมาไกลขนาดนี้ ในอดีตเขาก็ไม่กล้าทำผิดกับอีกฝ่าย แต่โชคดีที่แม้จะมีความขัดแย้ง แต่ก็ไม่ได้ล้ำเส้น ไม่อย่างนั้นเขาคงตัวสั่นงันงกด้วยความกลัวในขณะนี้
ผู้บัญชาการคนใหม่อื่นๆ ก็แอบกระซิบกระซาบกัน สถานการณ์ปัจจุบันเกินความคาดหมายของทุกคน ไม่มีใครคิดว่าหลงปี้และผู้เฒ่าคูจะแพ้ในการพิธีมอบยศราชันครั้งนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้มู่เฉินกับจิ่วโยวก็จะขึ้นเป็นจอมพลอันดับสี่และห้า
เมื่อมีการเพิ่มสองตำแหน่งจอมพลก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงในสำนักแน่นอน เนื่องจากอำนาจของจอมพลในเขตปกครองยิ่งใหญ่มาก มากจนสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับทรัพยากรที่จะจัดสรรให้กับเหล่าผู้บัญชาการ
ผู้บัญชาการที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งใหม่บางคนถึงกับครุ่นคิดว่าควรแสดงความตั้งใจจะพินอบพิเทาเพื่อรับการสนับสนุนจากจอมพลทั้งสองหรือไม่
จัตุรัสร้อนระอุด้วยความปั่นป่วนและความคิดที่แตกต่าง แต่เหล่าจอมพลทั้งสามกลับมีรอยยิ้มบนใบหน้า เนื่องจากจิ่วโยวและมู่เฉินถือได้ว่าสมาชิกเก่าของสำนัก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีความกินแหนงแคลงใจมากเเกี่ยวกับทั้งคู่ที่รับตำแหน่งใหม่ ไม่ว่าอย่างไรก็ดีกว่าหลงปี้และผู้เฒ่าคู
มั่นถัวหลัวยืนขึ้นเบื้องหน้าบัลลังก์ แม้ว่าตัวนางจะดูเล็กกระทัดรัด แต่เมื่อยืนขึ้นจัตุรัสที่มีแต่เสียงอึกทึกก็นิ่งเงียบ ทั้งสมาชิกเก่าและใหม่ของสำนักต่างมองมาทางนางด้วยสายตาเคารพนับถือ
ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย จอมยุทธ์อันดับหนึ่งของภูมิภาคทางเหนือ ล้วนเป็นฉายาที่ทำให้มั่นถัวหลัวกลายเป็นจอมยุทธ์ที่โด่งดังที่สุดในเวลานี้
“จากบทสรุปของการประลอง จากนี้เป็นต้นไปอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะมีจอมพลเพิ่มอีกสองคน จอมพลมู่และจอมพลจิ่วโยว” เสียงนุ่มนวลของมั่นถัวหลัวครอบคลุมไปทั่วเขตแดน
“ขอแสดงความยินดีกับท่านจอมพลทั้งสองสำหรับตำแหน่งใหม่!
น้ำเสียงแสดงความเคารพดังสะท้อนก้องพร้อมกับสายตาอิจฉาพุ่งไปที่ทั้งสอง นี่ถือเป็นครั้งแรกของอาณากงเวทสวรรค์ที่มีจอมพลอายุน้อยเพียงนี้
ทว่าขณะที่ผู้ชมอิจฉาความเยาว์วัยของทั้งสอง ก็ตกใจไปกับพรสวรรค์และพลังของทั้งคู่เช่นกัน พวกเขาสามารถประลองกับหลงปี้และผู้เฒ่าคูซึ่งเป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในภูมิภาคทางเหนือได้ตั้งแต่อายุเท่านี้ พรสวรรค์นี้ทำให้ทุกคนรู้สึกอิจฉาอย่างแท้จริง
มั่นถัวหลัวกวาดมองไปที่หลงปี้และผู้เฒ่าคูกล่าวปลอบว่า “ไม่จำเป็นต้องเสียใจกับความล้มเหลวนี้ พวกเจ้าทั้งสองมีพลังพอที่จะได้รับตำแหน่งจอมพล เพียงแค่ขาดระยะเวลาในสำนักเท่านั้น”
ทั้งคู่อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเก้าและพลังของพวกเขาก็มีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่ออาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดังนั้นมั่นถัวหลัวจึงต้องเอ่ยปลอบใจเพื่อไม่ให้พวกเขาเกิดความไม่พอใจ
แน่นอนว่าจอมยุท์ทั้งสองคนนี้มีจิตใจที่หยิ่งยโส ถ้าได้รับตำแหน่งจอมพลตั้งแต่แรกอาจทำให้เย่อหยิ่งในอนาคต ซึ่งนั่นไม่เป็นเรื่องดีสำหรับสำนัก ดังนั้นมั่นถัวหลัวจึงดีใจที่เห็นทั้งมู่เฉินและจิ่วโยวเอาชนะพวกเขาและได้รับตำแหน่งจอมพลแทน
เมื่อได้ยินคำพูดประโลมใจของมั่นถัวหลัว สีหน้าของหลงปี้และผู้เฒ่าคูก็ดีขึ้นเล็กน้อย หลังจากประสบกับเหตุการณ์นี้ ความเย่อหยิ่งในใจก็ลดลงไปหลายส่วน
ย้อนกลับไปตอนที่พวกเขาเข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ พวกเขาจ้องตาเป็นมันที่ตำแหน่งระดับสูง เพราะนอกเหนือจากมั่นถัวหลัว ก็มีเพียงซุยนอนเท่านั้นที่ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว กระทั่งเทียนจิ้วและหลิงถงพวกเขายังไม่วางไว้ในสายตา เนื่องจากตอนที่พวกเขาบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าและกลายเป็นจอมยุทธ์ชั้นนำของภูมิภาคทางเหนือ จอมพลทั้งสองยังอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นแปดเท่านั้น
ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกอย่างเป็นธรรมชาติว่าหลังจากเข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะได้รับตำแหน่งจอมพลซึ่งถัดจากมั่นถัวหลัวเท่านั้น ในแง่ของสถานะไม่มีใครที่มีคุณสมบัติสามารถแข่งขันกับพวกเขาได้
แต่ใครจะไปคิดว่ามู่เฉินและจิ่วโยวจะปรากฏตัวในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ทำลายความมั่นใจในตัวเองของพวกเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ
เมื่อมองดูแบบนี้ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ลึกเกินหยั่งและไม่สามารถมองข้ามได้ ดังนั้นพวกเขาต้องปรับทัศนคติใหม่
คิดถึงจุดนี้ หลงปี้และผู้เฒ่าคูก็แอบพยักหน้า ประสานมือโค้งคำนับให้มั่นถัวหลัว เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนท่าทางพวกเขาเต็มใจมากขึ้น
ความวุ่นวายในจัตุรัสยังไม่ได้หยุดลง เมื่อชื่อจอมพลทั้งสองเผยออก วัตถุประสงค์ของการประชุมราชันครั้งนี้ก็ถึงฉากจบแล้ว มั่นถัวหลัวกวาดสายตาไปโดยรอบก่อนจะพูดว่า “ทุกคนน่าจะรู้กันว่าซากโบราณของวังสวรรค์บรรพกาลได้ปรากฏขึ้นแล้วในทวีปเทียนหลัว”
ทั่วบริเวณเงียบกริบฉับพลันจากคำพูดของนาง ดวงตาลุกเป็นไฟ ข่าวเกี่ยวกับวังสวรรค์บรรพกาลกระจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้าของทวีปเทียนหลัว แม้แต่ภูมิภาคทางเหนือก็ยังพูดถึงเรื่องนี้อย่างร้อนแรง
วังสวรรค์บรรพกาลเป็นขั้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่และเป็นขั้วอำนาจหนึ่งเดียวที่เคยปกครองทวีปเทียนหลัวทั้งหมด เจิดจรัสแม้แต่ในสมัยโบราณซึ่งเต็มไปจอมยุทธ์ทรงพลังมากมาย
นั่นเป็นเพราะผู้ก่อตั้งเป็นหนึ่งในเก้าจักรพรรดิในสมัยโบราณ—จักรพรรดิฟ้า!
ทว่าวังโบราณได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อเผ่าปีศาจต่างมิติบุกเข้ามา แม้ว่าจะมีข่าวออกมาเป็นครั้งคราว แต่เมื่อตรวจสอบทั้งหมดก็ล้วนแต่เป็นข่าวโคมลอย
ทว่าคราวนี้ทุกคนรู้ว่าข่าวนี่เป็นของจริง!
นั่นเป็นเพราะขั้วอำนาจทรงพลังทั้งหมดที่มีความละโมบอยากครอบครอบขุมทรัพย์โบราณนี้ ต่างได้ให้ความสนใจต่อซากอารยธรรมโบราณแห่งนี้
“วังโบราณระดับนี้เต็มไปด้วยโอกาสมากมายกระทั่งคนอย่างข้ายังอดใจสั่นไม่ได้ ข้าได้ทำการตกลงกับขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ของภูมิภาคทางเหนือ เราจะเข้าร่วมศึกนี้ในฐานะพันธมิตรกัน!” เสียงของมั่นถัวหลัวดังก้อง ทำให้ไฟที่ลุกโชนในดวงตาของทุกคนแกร่งกร้าวขึ้น
พวกเขาไม่สงสัยในคำพูดของมั่นถัวหลัวเลย วังสวรรค์บรรพกาลที่ทิ้งไว้โดยจักรพรรดิฟ้า โอกาสในนั้น ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายเลย ต่อให้เป็นขั้นเต็มหรือแม้กระทั่งคนที่มีคุณสมบัติก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนก็ยังถูกล่อลวงมาด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่าสิ่งนี้ช่างดึงดูดใจนัก วังสวรรค์บรรพกาลเคยอยู่ยงคงกระพันในทวีปเทียนหลัว หากพวกเขาสามารถได้รับโอกาสบางอย่างในนั้น พลังจะต้องทะยานขึ้นอย่างแน่นอน บางทีอาจมีการพัฒนาเหมือนมู่เฉินและจิ่วโยวเลยก็ได้
สำหรับพันธมิตรก็ไม่เป็นเรื่องที่สมควรทำ ภูมิภาคทางเหนือไม่โดดเด่นในทวีปเทียนหลัวเนื่องจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงไม่มีขั้วอำนาจที่สามารถปกครองทั้งภูมิภาคได้ ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่ความจริงที่ว่าประมุขของพวกเขาบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายละก็ การตั้งพันธมิตรเช่นนี้ยังยากที่จะทำได้
ถ้าพวกเขาต้องการเผชิญหน้ากับขั้วอำนาจทรงพลังอื่นๆ ในทวีปเทียนหลัวเพื่อแย่งชิงสมบัติ ก็จำเป็นต้องรวมขั้วอำนาจสูงสุดทั้งหมดในภูมิภาคทางเหนือเข้าด้วยกัน ไม่เช่นนั้นเป็นไปไม่ได้ถ้ามีเพียงอาณาเขตกงเวทสวรรค์สำนักเดียว
หลงปี้และผู้เฒ่าคูแลกเปลี่ยนสายตากันก็เห็นอารมณ์พลุ่งพล่านในดวงตากันและกัน พวกเขาติดแหง็กที่ระดับจื้อจุนขั้นเก้ามาหลายปีแล้ว ยิ่งกว่านั้นยังมีจอมยุทธ์หลายคนที่ติดแหง็กอยู่ในขุมพลังนี้ไปตลอดชีวิตที่เหลือ พวกเขาไม่มั่นใจเกี่ยวกับการบรรลุระดับตี้จื้อจุน แต่ถ้าได้เข้าไปในซากวังโบราณ ก็จะได้รับโอกาสมากขึ้น
ดังนั้นทั้งสองจึงรีบประสานมือเสียงดังก้องออกมา “พวกเราพร้อมสนับสนุนการตัดสินใจของท่านประมุขและจะพยายามเต็มความสามารถเพื่อช่วยเหลือ!”
เมื่อเสียงสะท้อนของพวกเขาดังกังวาน ทันใดนั้นจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนในจัตุรัสก็เอ่ยตาม ช่างเป็นฉากงดงามนัก
มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ แม้ว่าท่าทางยังสงบนิ่ง แต่นิ้วมือที่สั่นระริกก็แสดงให้เห็นถึงคลื่นที่แล่นพล่านในหัวใจ
หลังจากที่เขาออกจากสำนักศึกษาเป่ยชางพร้อมกับจิ่วโยวเดินทางมาที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ เขาก็มีพัฒนาการและฝึกฝนมาตลอด ทุกอย่างที่ทำมาก็เพื่อวันนี้ไม่ใช่เหรอ…
ทักษะในการพัฒนาร่างเทพสุริยะที่ต้องการอยู่ในวังโบราณนี้ มีเพียงการได้รับมาเท่านั้นถึงจะทำให้เขาสามารถพัฒนาร่างเทห์สวรรค์ได้ แม้ว่าร่างเทพสุริยะจะไม่ธรรมดา แต่มู่เฉินก็พบว่าร่างนี้ยังขาดไปเมื่อพลังของเขาเพิ่มขึ้น เขารู้ดีว่าเมื่อตนเองบรรลุระดับตี้จื้อจุนความช่วยเหลือจากร่างเทพสุริยะก็จะเหลืออยู่เพียงน้อยนิด
เพราะไม่ว่าจะลึกซึ้งเพียงใด ร่างนี้ก็เป็นเพียงร่างต้นในสุดยอดทำเนียบร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง
ดังนั้นเขาจึงต้องพัฒนาร่างเทพสุริยะ เพราะด้วยวิธีนี้เท่านั้น เขาถึงจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อไล่ล่าสุดยอดร่างเทห์สววรค์ในตำนาน—ร่างมหาเทพนิรันดร์ได้
ซึ่งนั่นเป็นร่างเทห์สวรรค์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ยังถูกดึงดูด นี่เป็นความใฝ่ฝันที่ซ่อนไว้ในใจมู่เฉินอยู่ตลอดเวลา
เมื่อเขาประสบความสำเร็จก็จะเดินทางไปทุกหนแห่งในมหาพันภพตามที่ปรารถนา ไม่มีใครสามารถขัดขวางได้ ในเวลานั้นเขาจะไม่ต้องกลัวพวกลึกลับที่ขังมารดาของเขาไว้
ดังนั้นมู่เฉินคงเป็นคนที่คาดหวังมากที่สุดกับวังโบราณแห่งนี้
มองดูจัตุรัสที่เดือดพล่านพร้อมกับสายตาร้อนแรง มั่นถัวหลัวก็มองไปที่มู่เฉิน แม้ว่ามู่เฉินจะยังคงแสดงออกอย่างสงบ นางก็สามารถสัมผัสถึงความตื่นเต้นในส่วนลึกของดวงตาเขา นางแย้มยิ้มดูเหมือนทุกคนมีความสนใจเรื่องนี้อย่างมาก
จากนั้นนางก็หันศีรษะมองไกลออกไป ราวกับทะลุผ่านมิติ จับจ้องไปที่ซากโบราณ
ในเมื่อวังโบราณปรากฏขึ้น คนผู้นั้นก็คงจะปรากฏด้วยเช่นกัน นางรู้ดีในใจว่าเขาให้ความสำคัญกับวังโบราณเพียงใด
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้มั่นถัวหลัวก็แตะที่ข้อมือตัวเองรู้สึกถึงคำสาปที่ทำให้เจ็บปวดแสนสาหัส ขณะที่ไอเย็นสะท้านวาบผ่านนัยน์ตาไป
ถึงเวลาที่ความแค้นจะได้รับการชำระเสียที…
บทที่ 1086 ความแข็งแกร่งของวังสวรรค์บรรพกาล
การประชุมราชันปิดม่านลง
ทว่าทั่วทั้งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยังคงอยู่ในบรรยากาศตื่นเต้น บางส่วนมาจากการเพิ่มจอมพลใหม่ แต่เหตุผลส่วนใหญ่เป็นเพราะการปรากฏของวังสวรรค์บรรพกาล
ทุกคนรู้ดีถึงความแข็งแกร่งในอดีตของวังสวรรค์บรรพกาล นั่นเป็นยักษ์ใหญ่แท้จริงและไม่มีขั้วอำนาจใดในทวีปเทียนหลัวปัจจุบันสามารถเทียบเคียงได้
ดังนั้นจึงไม่มีใครหน้าไหนในทวีปเทียนหลัวสามารถเผชิญหน้ากับซากโบราณที่เหลืออยู่ของสุดยอดสำนักเช่นนี้ด้วยจิตใจที่สงบได้ หากพวกเขาได้รับโอกาสในสถานที่แห่งนั้น พวกเขาจะก้าวกระโดดเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์กลายเป็นดาวจรัสแสง
ฉะนั้นการแข่งขันเพื่อวังสวรรค์บรรพกาลจะต้องเข้มข้นถึงขีดสุดตลอดหลายหมื่นปีของทวีปเทียนหลัว ทุกขั้วอำนาจที่พอมีฐานกำลังจะต้องเดินทางมาในครั้งนี้อย่างแน่นอน เพราะวังสวรรค์บรรพกาลดึงดูดใจล้นเหลือ
ขณะที่ทั่วทั้งอาณาเขตกงเวทสวรรค์กำลังสนทนาในหัวข้อวังสวรรค์บรรพกาล หอวิหคโลกันตร์ก็ไม่ได้เงียบสงบเช่นกัน ตั้งแต่มู่เฉินและจิ่วโยวได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป้นจอมพล หอวิหคโลกันตร์ก็ก้าวไปสู่การเป็นหอที่ทรงพลังที่สุดและมีเสียงมากที่สุดในอาณาเขตกงเวทสวรรค์
เนื่องจากนับตั้งแต่ก่อตั้งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ไม่เคยมีตำแหน่งจอมพลสองคนอยู่ในหอเดียวกัน
ดังนั้นเมื่อการประชุมราชันได้ข้อสรุป หอวิหคโลกันตร์ก็กระจายความชีวิตชีวาต้อนรับแขกเรื่อที่มาเยือนไม่ขาดสาย ในเวลาเดียวกันแต่ละคนยังแสดงความตั้งใจหาที่คุ้มภัย เพราะแม้จะอยู่ในสำนักเดียวกันก็ยังคงมีการแข่งขันภายในเพื่อผลประโยชน์ หากพวกเขาสามารถได้รับการสนับสนุนจากจอมพลทั้งสอง ต่อจากนี้พวกเขาก็จะมีชีวิตสะดวกสบายมากขึ้นในสำนักแห่งนี้
ทว่าถึงหอวิหคโลกันตร์จะคึกคักอย่างยิ่ง แต่มู่เฉินกับจิ่วโยวรู้สึกหงุดหงิดมากที่ต้องเผชิญกับจอมยุทธ์ที่เข้ามาเยี่ยมเยือนไม่หยุด พวกเขาไม่ถนัดในการจัดการเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นสุดท้ายพวกเขาจึงผลักหน้าที่นี้ให้ผู้ดูแลหออย่างถังปิงและประกาศว่าจะเก็บตัวฝึกยุทธ์ ถึงได้รับความเงียบสงบลงบ้าง
ในสวนลึกของหอวิหคโลกันตร์
ที่นี่เป็นสวนเงียบสงบและงดงาม มีศาลาหินและลำธารไหลเอื่อย
จิ่วโยวนั่งอยู่บนก้อนหินในลำธารซึ่งสะท้อนภาพเงาเพรียวบางที่ถูกห่อหุ้มด้วยชุดที่ขับเน้นส่วนโค้งเว้าโดดเด่น ดวงตาของนางปิดอยู่ ความผันผวนของพลังงานแผ่ออกมา เปลวเพลิงอ่อนใสละเอียดหมุนวนรอบร่าง แม้ว่าเปลวเพลิงจะไม่ให้อุณหภูมิสูง แต่ก็ทำให้มิติโดยรอบบิดเบี้ยวจากแรงกดดัน
หลังจากนั่งสมาธิอย่างเงียบๆ มาสักระยะ นางก็ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ จากนั้นก็เหยียดแขนบิดตัวขี้เกียจ เผยโค้งเว้าอันน่าทึ่งซึ่งดึงดูดสายตาจากศาลาหิน
เมื่อรู้สึกถึงสายตาจ้องมอง จิ่วโยวก็กวาดสายตาดุกลับมา มู่เฉินไอแห้งตอบดึงสายตากลับมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นพลางมองไปที่ม้วนภาพค่ายกลในมือ
“หอวิหคโลกันตร์กำลังคึกคักแต่เจ้าสองคนกลับมาขลุกกันอยู่ที่นี่เรอะ” เสียงหยอกล้อดังก้องในสวน มิติบนลำธารบิดเบือนก่อนที่มั่นถัวหลัวจะเดินออกมา นางสวมชุดสีดำ ไม่มีความเฉยเมยหรือศักดิ์ศรีใดๆ บนใบหน้าเหมือนตอนเผชิญกับคนอื่น กลับยิ้มแย้มแทน
“คารวะท่านประมุข” จิ่วโยวคำนับทันทีที่เห็นการมาถึงของมั่นถัวหลัว
มู่เฉินวางม้วนภาพลงแล้วยิ้ม “เจ้าเตรียมพร้อมเรื่องพันธมิตรแล้วหรือ? หายากนักที่เจ้าจะมีเวลาว่างมาหาแบบนี้”
“ไม่มีอะไรที่จะต้องเตรียม คนเหล่านั้นไม่โง่และรู้ดีว่าการดึงดูดของวังโบราณเป็นอย่างไร ด้วยกองทัพพวกเขาอย่างเดียว ไม่สามารถผ่านเข้าไปแข่งขันกับขั้วอำนาจระดับสูงอื่นๆ ในทวีปได้ ดังนั้นพวกเขากระตือรือร้นในเรื่องพันธมิตรมากกว่าข้าซะอีก” มั่นถัวหลัวนั่งลงบนก้อนหิน แช่เท้าในลำธารเย็นฉ่ำ
พูดถึงตรงนี้ นางก็เหลือบมองมู่เฉินแล้วพูดต่อ “เจ้าเป็นคนที่ตั้งตารอให้วังโบราณปรากฏมากที่สุด แต่ยามนี้กลับยังคงนิ่งเหมือนภูเขาไท่ซันทั้งที่วังเผยตัวออกมาแล้วนะ?”
มู่เฉินยิ้มพูดว่า “แกล้งทำเป็นนิ่งเฉยๆ ด้วยความปั่นป่วนที่เกิดจากวังสวรรค์บรรพกาล ใครจะรู้ว่าที่นั่นดึงดูดขั้วอำนาจระดับสูงอื่นๆ แค่ไหน? ระยะเกือบจะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าของข้าคงได้แต่มองดูเท่านั้น”
เมื่อข่าวของวังโบราณที่แพร่กระจายไปอย่างกว้างขวาง มู่เฉินก็สงบความตื่นเต้นลง แม้เขาจะรอวันนี้มาตลอดนับตั้งแต่เขาได้รับร่างเทพสุริยะ แต่เขาก็รู้ว่าการแข่งขันที่นั่นจะเข้มข้นแค่ไหน จากสถานการณ์ในปัจจุบันแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายอย่างมั่นถัวหลัวก็ไม่มั่นใจ ไม่ต้องพูดถึงพลังของเขาเลย พอฟังเหตุผลของเขา มั่นถัวหลัวก็ยิ้มบาง “ไม่มีประโยชน์กับคนทั่วไปที่จะรับวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะ เฉพาะผู้ฝึกที่ประสบความสำเร็จในการชำระร่างนี้เท่านั้นที่จะได้รับ ดังนั้นเจ้าอาจไม่มีคู่แข่งมากนัก”
พูดถึงจุดนี้ น้ำเสียงของนางก็เปลี่ยนไป “แต่ถึงแม้จะมีคู่แข่งน้อย ข้าก็กลัวว่าจะรุนแรงมาก”
มู่เฉินพยักหน้า จอมยุทธ์ที่เข้ามาช่วงชิงวิธีวิวัฒนาการโดยธรรมชาติจะต้องเป็นผู้ฝึกร่างเทห์สวรรค์นี้เช่นกัน ซึ่งในเวลาเดียวกันก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถและโอกาสที่ดีของคู่ต่อสู้ของเขา มิฉะนั้นเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาที่จะเพาะบ่มร่างเทพสุริยะได้ภายใต้เงื่อนไขรุนแรงเช่นนี้
การต่อสู้กับจอมยุทธ์ชั้นสูงที่โดดเด่นเหล่านี้ ความรุนแรงของการต่อสู้จะต้องเหนือกว่าศึกอื่นๆ ที่มู่เฉินเคยผ่านมา แต่ถึงอย่างนั้นมู่เฉินก็ไม่กลัว
“วังสวรรค์บรรพกาลทรงพลังขนาดไหนตอนยังดำรงอยู่?” มู่เฉินไตร่ตรอง เขาคิดว่ามีความจำเป็นที่จะต้องเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของวังสวรรค์บรรพกาล เพื่อตัดสินใจว่าเขาจะวางแผนใช้กลยุทธ์ใดในสถานที่นั่นดี
“วังสวรรค์บรรพกาลแบ่งออกเป็นสิบตำหนักเจ็ดหอ ที่เราพบก่อนหน้าในสงครามล่าก็คือเจ้าหอสี่…ท่านจอมพลสี่ เหล่าจอมพลทั้งหมดเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม”
“ส่วนผู้บัญชาการตำหนักทั้งหมดแม้จะอ่อนแอกว่าแต่ก็บรรลุระดับตี้จื้อจุนทั้งสิ้น คนที่อยู่อันดับต้นๆ ได้เข้าสู่ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้วด้วย” มั่นถัวหลัวอธิบายอย่างช้าๆ
เมื่อได้ยินสีหน้ามู่เฉินและจิ่วโยวก็เปลี่ยนไปอย่างไม่อาจควบคุมได้ แววตกตะลึงพาดผ่าน แค่พลังที่แสดงออกมาก็น่าสะพรึงเพียงนี้ วังสวรรค์บรรพกาลสมกับเป็นผู้ปกครองของทวีปเทียนหลัวจริงๆ
“นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด เนื่องจากวังสวรรค์บรรพกาลยังมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคน” ขณะที่พูดสีหน้าของมั่นถัวหลัวก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน
ซื้ด
มู่เฉินและจิ่วโยวสูดลมหายใจเย็นเข้าสุดปอด ข้อมูลนี้เกินจากที่คาดหมายไว้ หรือว่านอกเหนือจากจักรพรรดิฟ้ายังมียอดยุทธ์อีกสองคนเรอะ?
มั่นถัวหลัวรู้ว่าทั้งคู่กำลังคิดอะไรก็ส่ายหัว “จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอีกสองคนถูกสร้างโดยจักรพรรดิฟ้า…”
“สร้างโดยจักรพรรดิฟ้า?” ทั้งคู่ต่างตะลึงงัน ชัดว่าไม่สามารถเข้าใจความหมายที่อยู่เบื้องหลังคำพูดของมั่นถัวหลัวได้
เมื่อมองทั้งสองที่ตะลึงงัน มั่นถัวหลัวก็พูดต่อว่า “พวกเจ้ารู้เกี่ยวกับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าไหม? จักรพรรดิฟ้าครอบครองของหนึ่งในวิชานั้น ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อวิชาสามพิสุทธิ์ สามารถแยกตัวเองออกเป็นสามคน สองร่างจะเป็นร่างรอง แต่เหมือนมีตัวตนเป็นของตัวเอง ซึ่งน่าอัศจรรย์มาก ร่างรองทั้งสองมีความแข็งแกร่งเท่าร่างหลัก ดังนั้นจักรพรรดิฟ้าจึงเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคน”
“วิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า…” มู่เฉินกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ความรู้ที่ผ่านมาของเขาเกี่ยวกับคัมภีร์เทพเหล่านี้ เขารู้คร่าวๆ ว่าวิทยายุทธระดับเสินทงแบ่งออกเป็นสามขั้นคือเล็ก-เต็ม-ยอดเยี่ยม ซึ่งมีช่องว่างระหว่างกันมาก ดังนั้นนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเกี่ยวกับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า
แต่เมื่อคิดเกี่ยวกับวิชาหมัดปีศาจพลีชีพ วิทยายุทธระดับเสินทงที่เขาได้รับมา ซึ่งยังไม่ถือว่าเป็นขั้นเต็มอย่างสมบูรณ์ แต่พลังของวิชานี้ก็น่าทึ่งมากแล้ว ถ้าสูงกว่านี้ไปอีกสองขั้น มู่เฉินก็เริ่มเข้าใจแล้วว่ามันน่ากลัวอย่างไร
เพราะแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายแบบมั่นถัวหลัวก็ยังถูกล่อลวงด้วยวิทยายุทธเสินทงขั้นเต็ม สำหรับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นยอดเยี่ยม นางก็คงไม่เคยได้รับ ส่วนขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน…คงเป็นคัมภีร์ที่มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่จะไล่ล่าได้ ซึ่งอยู่ไกลเกินกว่าที่มู่เฉินจะเอื้อมถึง
“วังสวรรค์บรรพกาลเคยปกครองทวีปเทียนหลัวทั้งหมด ดังนั้นภายในจึงมีแหล่งขุมทรัพย์ไม่มีใครเทียบได้อยู่มากมาย หากเจ้าเข้าไปข้างในจะต้องค้นหาแหล่งขุมทรัพย์สองแห่งให้ได้” มั่นถัวหลัวกล่าวขณะที่มองไปทางมู่เฉิน
“สองแห่งไหน?” มู่เฉินอึ้งไป
“หอคัมภีร์เทพซ่อนและทะเลสาบสวรรค์” มั่นถัวหลัวพยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อ “หอคัมภีร์เทพซ่อนเป็นสถานที่เก็บคัมภีร์ของวังสวรรค์บรรพกาลหลากหลายหมวดหมู่ เจ้าสามารถค้นหาวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะที่นั่นได้”
“สำหรับทะเลสาบสวรรค์มีความสำคัญมาก เป็นดินแดนขุมทรัพย์ที่แม้แต่สมาชิกวังสวรรค์บรรพกาลยังปรารถนา นั่นเป็นเพราะทะเลสาบสวรรค์ประกอบด้วยพลังงานทรงประสิทธิภาพที่สามารถสร้างความมั่นคงให้กับรากฐานทางจิตวิญญาณและปลดห่วงตรวนเพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในภัยพิบัติ ในอดีตมีเพียงจอมยุทธ์ที่มีคุณูปการยิ่งใหญ่เท่านั้นที่จะได้รับโอกาสนี้”
ตอนแรกที่ได้ยินคำพูดของมั่นถัวหลัว ทั้งคู่ก็ยังคงสงบนิ่ง แต่เมื่อได้ยินว่าสามารถเจาะตรวนและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในภัยพิบัติ ทั้งสองก็ไม่สามารถระงับไฟที่ลุกโชติช่วงในดวงตาได้เลย
ทุกคนรู้ว่ามีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเท่านั้นที่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้มีอำนาจในมหาพันภพและสามารถปกครองภูมิภาคได้ แม้แต่ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็ยังห่างไกลเป็นโยชน์
ทว่าแม้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนจะทรงพลัง แต่ก็เพียงหนึ่งส่วนของระดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้นที่สามารถบุกเข้าสู่ขุมพลังนี้ เหตุผลหลักใหญ่ที่สุดก็คือความน่ากลัวในภัยพิบัติซึ่งอาจส่งผลทำให้พวกเขาพังพินาศ
ดังนั้นโอกาสต่ำยิ่งในการผ่านภัยพิบัติจึงเป็นเหตุทำให้จอมยุทธ์จื้อจุนขั้นเก้าจำนวนมากไม่กล้าที่จะก้าวออกไปเพื่อเจาะตรวนบรรลุระดับตี้จื้อจุน กลัวว่าถ้าล้มเหลวจะถูกทำลายจนสิ้นซาก
ณ สถานะปัจจุบันของพวกเขาระดับตี้จื้อจุนไม่ได้อยู่ไกลเกินกว่าจะเข้าถึงอีกต่อไป ดังนั้นจึงพอข้อมูลในเรื่องนี้
“นอกจากนี้เจ้ายังต้องระวังจอมยุทธ์คนหนึ่ง ชื่อของเขาคือจาโหลหลัว เขาอาจจะเป็นศัตรูตัวกาจของเจ้าในการเดินทางไปยังวังสวรรค์บรรพกาลครั้งนี้” มั่นถัวหลัวหรี่ตาลงพลางกล่าวช้าๆ
“ศัตรูตัวฉกาจ?” มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะเรียกคืนสติอย่างรวดเร็ว ม่านตาถึงกับหดเกร็งทันที
คนที่สามารถให้มั่นถัวหลัวเอ่ยเตือนเขาอย่างจริงจัง เหตุผลเบื้องหลังชัดเจนมาก จาโหลหลัวผู้นี้… อาจจะเป็นหนึ่งในผู้ฝึกร่างเทพสุริยะ!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น