หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1081-1082
บทที่ 1081 ครอบเพลิงอมตะ
“ระดับจื้อจุนขั้นเก้า…”
สายตาทั่วจัตุรัสตื่นตะลึงจ้องมองไปที่จิ่วโยวด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ตามที่ได้ยินมาพลังของผู้บัญชาการจิ่วโยวอยู่ที่ขั้นหกหรือขั้นเจ็ดเท่านั้นไม่ใช่เหรอ? ทำไมขุมพลังของนางถึงทรงพลังมากในตอนนี้?
เหล่าผู้บัญชาการเก่าก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน เพราะพวกเขาเข้าใจในตัวจิ่วโยวดีกว่าใคร ก่อนที่นางจะกลับเผ่า แม้ขุมพลังของนางจะถือว่าดี แต่ก็อยู่ในอันดับสามหรือสี่เท่านั้น ทว่าตอนนี้ระดับจื้อจุนขั้นเก้าที่แม้แต่ซิวหลัวก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ ทำไมนางถึงแซงหน้าไปได้ก่อน?
“นางใช้ทักษะลับบางอย่างเพื่อเพิ่มขุมพลังชั่วคราวหรือเปล่า?” มีคนเอ่ยอย่างประหลาดใจ
“เป็นไปไม่ได้! ถ้าใช้ทักษะลับจะทำให้คลื่นหลิงของนางยากต่อการควบคุม แต่ดูจากระลอกคลื่นที่ถูกปล่อยออกมา ไม่มีสัญญาณของความยุ่งเหยิงใดๆ ดังนั้นคลื่นหลิงของนางจะต้องสร้างขึ้นจากตัวเอง!”
“แต่นี่ยังไม่ถึงปีเลยนะ ทำไมนางถึงพัฒนาได้มากขนาดนี้?!”
ความโกลาหลระเบิดขึ้น กระทั่งเหล่าผู้บัญชาการก็ยังมีอาการตกใจเขียนบนใบหน้า แต่สุดท้ายพวกเขาก็ได้แต่ส่ายหัวเท่านั้น เนื่องจากพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจิ่วโยวไปประสบอะไรมาในช่วงหนึ่งปีทำให้มีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว
ผู้เฒ่าคูก็มองจิ่วโยวด้วยความไม่เชื่อบนลานประลอง แต่ดีที่เขาเป็นมือเก๋ามากประสบการณ์ ดังนั้นความตกใจจึงลดลงอย่างรวดเร็ว ทว่ายามนี้ใบหน้าไม่มีริ้วความดูถูกใดๆ กลับถูกแทนที่ด้วยความเคร่งขรึมหนาแน่น
เพราะจากรัศมีพลังที่เกิดจากจิ่วโยว แม้แต่เขายังรู้สึกว่าถูกคุกคาม
จิ่วโยวเป็นเทพอสูรจาก0เผ่าวิหคโลกันตร์ ดังนั้นแม้ว่าทั้งคู่จะอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นเหมือนกัน เขาก็ไม่มั่นใจในการต่อสู้ครั้งนี้
ตอนนี้เขาเข้าใจถึงความมั่นใจที่มาจากมู่เฉินแล้ว ที่แท้จิ่วโยวได้ก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นเก้าเรียบร้อย ซึ่งมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะลงชิงชัยตำแหน่งจอมพล
“ตาแก่คนนี้มองเจ้าผิดไป ในเมื่อเป็นแบบนี้ข้าก็ขอลองทักษะของเจ้าสักหน่อย” ผู้เฒ่าคูมองไปที่จิ่วโยว ดวงตาขุ่นมัวเปล่งประกาย ขณะที่กำหมัดขึ้นช้าๆ
ตู้ม!
คลื่นหลิงพุ่งพรวดออกมาจากร่างโดยมีสีอมเทา แม้แต่พื้นดินก็ค่อยๆ เหี่ยวแห้งลงจากลักษณะเฉพาะตัวของคลื่นพลังเขา
ชัดว่าไม่มีจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเก้าคนใดที่สามารถชื่อเสียงโด่งดังได้ในภูมิภาคทางเหนือจะต่อกรได้ง่าย
ก่อนที่จะเริ่มประลองกัน แรงกดดันมหาศาลที่มาจากการปะทะกันของคลื่นพลังงานก็ทำให้ทุกคนที่นี่รู้สึกหนังหัวชาหนึบไปหมดแล้ว
ริ้วแสงในดวงตาของผู้เฒ่าคูวูบวาบขณะที่ย่างสามขุมออกไป ลำแสงสีเทาพลุ่งพล่านกวาดไปทางจิ่วโยวในทุกทิศทาง
ลำแสงนั้นกระจายรัศมีเหี่ยวเฉาออกมา ทุกที่ที่อยู่ในวิถีทาง แม้แต่มิติก็เสื่อมถอยลง
“ถ้าสัมผัสโดนคลื่นหลิงกัดกร่อนของผู้เฒ่าคูก็จะทำให้ร่างกายเหี่ยวแห้งทันที มากจนแม้แต่พลังงานในร่างกายจะปนเปื้อน ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพ” เมื่อมองไปที่ลำแสงสีเทา ความกลัวก็กระจายบนใบหน้าของผู้คน ถ้าพวกเขาโดนสัมผัสเข้า ก็คงต้องได้รับบาดเจ็บหนักแน่
ถ้าผู้เฒ่าคูมีเจตนาที่จะโจมตีมาทางพวกเขา ไม่กี่อึดใจก็ทำให้เกิดร่างกายเหี่ยวแห้งนับไม่ถ้วนแล้ว
ภายใต้สายตาหวาดกลัว จิ่วโยวกลับเผชิญกับการโจมตีที่ยิ่งใหญ่อย่างใจเย็น จากนั้นก็กดมือเรียวลงไป
ครืน!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตครางกระหึ่มราวกับคลื่นสึนามิในมหาสมุทร อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่ากลัว ทำให้อากาศยังลุกเป็นไฟ
ชี่! ชี่!
คลื่นพลังงานขนาดมหึมาสองสายปะทะกัน แต่กลับไม่มีเสียงดังสนั่นที่ทุกคนคาดไว้ นั่นเป็นเพราะขณะที่ชนกัน พวกมันก็พยายามกัดกร่อนซึ่งกันและกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดรอยดำในมิติ
ลำแสงสีเทาตกลงมาเหมือนดาวหาง แต่ไม่ว่ารัศมีเหี่ยวเฉาจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่สามารถเข้าไปใกล้จิ่วโยวได้ในระยะหนึ่งพันจั้งได้
คลื่นหลิงของผู้เฒ่าคูไม่ธรรมดาและน่าสะพรึงกลัว ทว่าคลื่นหลิงของจิ่วโยวก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ภายใต้การแนะนำวิธีฝึกฝนของราชินีวิหคอมตะ นางสามารถกลั่นเพลิงอมตะที่แท้จริงได้ ซึ่งทำให้นางได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในคลื่นพลังงานของตนเอง
เพลิงอมตะมีพลังแห่งชีวิตและความตายอยู่แล้ว ในบางแง่มุมก็ครอบงำเหนือกว่าคลื่นพลังเหี่ยวแห้งของผู้เฒ่าคู ดังนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่พลังงานของอีกฝ่ายจะเข้ามาปนเปื้อนคลื่นพลังของจิ่วโยว
ไม่ว่าผู้เฒ่าคูจะพยายามโจมตีอย่างไร การโจมตีของเขาก็ไม่สามารถเข้าถึงรัศมีหนึ่งพันจั้งรอบตัวจิ่วโยวได้ ซึ่งทำให้ใบหน้าของทุกคนเคร่งเครียดลงหลายส่วน
“ผู้เฒ่าคู ถ้านี่คือทั้งหมดที่มีแล้ว ข้าว่าท่านไม่มีความสามารถรับตำแหน่งจอมพลในวันนี้ได้หรอก” จิ่วโยวยิ้มบาง การโจมตีของผู้เฒ่าคูอาจดูเหมือนไร้ขอบเขต แต่กลับพยายามทดสอบกำลังของนาง
แววตาผู้เฒ่าคูดุดันลงหลายส่วนก่อนที่จะพยักหน้า ทันใดนั้นมือเหี่ยวย่นก็ประสานกัน คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตก็พุ่งพรวดออกมาราวกับพายุทอร์นาโด ก่อร่างคลื่นหลิงที่เบื้องหลังเขา
ร่างเงานั้นมีลักษณะเฉพาะตัว เป็นรูปแบบคล้ายมนุษย์ แต่กลับปกคลุมด้วยกิ่งก้านต้นไม้ที่เหี่ยวเฉา ราวกับต้นไม้ดึกดำบรรพ์สูงตระหง่าน ทว่าต้นไม้เก่าแก่นี้ปลดปล่อยพลังงานเหี่ยวแห้ง ทำให้คลื่นหลิงในฟ้าดินอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว
“นั่นคือร่างเทห์สวรรค์ของผู้เฒ่าคู—ร่างเทพร่วงโรย!” เมื่อมองไปที่ร่างบนท้องฟ้า เปลือกตาของทุกคนก็กระตุกพร้อมเสียงอุทานต่ำ
ร่างเทพร่วงโรยที่ผู้เฒ่าคูฝึกฝนมหัศจรรย์มากซึ่งอยู่ในอันดับที่หกสิบเอ็ดของทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง การฝึกฝนร่างนี้จะต้องดูดซับพลังงานกัดกร่อนต่างๆ ในสวรรค์และโลก ชายชราใช้เวลาหลายปีในดินแดนรกร้างเพื่อเพาะบ่มร่างกาย ก่อนที่จะสามารถสร้างร่างเทห์สวรรค์ที่เหี่ยวแห้งนี้ได้
นี่เป็นร่างเทห์สวรรค์ที่ครอบงำซึ่งเต็มไปด้วยพลังเหี่ยวแห้ง ถ้าเคลื่อนไหวเข้ามาในร่างกายก็จะสร้างความหายนะให้
โดยปกติแล้วนี่เป็นไพ่ตายของผู้เฒ่าคู แต่ไม่มีใครคิดว่าผู้เฒ่าคูจะใช้ตั้งแต่ที่เริ่มสู้กับจิ่วโยว เห็นได้ชัดว่าจากการหยั่งเชิงเมื่อครู่ เขารู้ว่าไร้ประโยชน์ที่จะใช้วิธีการทั่วไปกับคู่ต่อสู้คนนี้
ร่างของผู้เฒ่าคูลอยขึ้นไปยืนอยู่บนต้นไม้ดึกดำบรรพ์ สายตาจ้องมองมาที่จิ่วโยว เสียงแหบห้าวดังก้อง “ถ้าผู้บัญชาการจิ่วโยวสามารถต้านรับพลังการเหี่ยวแห้งนี้ได้ ตาแก่คนนี้จะยอมรับความพ่ายแพ้”
จิ่วโยวเงยหน้าขึ้นมองไปที่ต้นไม้ดึกดำบรรพ์ นางไม่ได้ดูตกใจกับพลังนั่น กลับยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าผู้เฒ่าคูสามารถทำลายครอบเพลิงอมตะของข้าได้ ข้าก็จะยอมรับความพ่ายแพ้เช่นกัน”
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตเหนือร่างเริ่มควบแน่น ก่อตัวเป็นนกยักษ์สีดำที่ปกคลุมท้องฟ้าด้วยปีกที่กางออก
นกยักษ์กรีดร้องเสียงแหลมคม เปิดปากพ่นเปลวไฟที่ดูราวกับโปร่งใส ช่างน่ามหัศจรรย์นัก
“ครอบเพลิงอมตะ!”
เสียงนุ่มของจิ่วโยวเปล่งออกมาจากในหัวใจ ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็พวยพุ่งออกมา มิติบิดเบือนสุดท้ายกลายเป็นที่ครอบห่อหุ้มร่างเทพร่วงโรยไว้
ฉ่า! ฉ่า!
เมื่อที่ครอบโปร่งใสครอบลงมา ใบหน้าของผู้เฒ่าคูก็สั่นสะท้าน “เจ้าไม่มั่นใจเกินไปรึ? คิดว่าที่ครอบเพลิงแค่เนี่ยจะขัดขวางข้าได้รึไง?”
ผู้เฒ่าคูเค้นเสียงเยาะอยู่ในหัวใจ แต่สายตาก็ดุดันรุนแรง ตราประทับในมือเปลี่ยนแปลงไปมา ต้นไม้ดึกดำบรรพ์ใต้เท้าก็เริ่มแกว่งไกวด้วยลำแสงสีเทานับหมื่นกวาดตามออกมา
“ฝ่ามืออ่อนร่วงโรย!”
ลำแสงสีเทาควบแน่นรวมเป็นมือใหญ่สีเทา ซึ่งฉายความแห้งเหี่ยว ปลดปล่อยพลังเหี่ยวแห้งแรงกล้าจนทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นมืดมนลง
ทุกคนรู้สึกว่าหนังหัวลุกชันไปหมด เมื่อพวกเขาจดจำได้ว่านี่เป็นท่าไม้ตายโด่งดังของผู้เฒ่าคูที่สามารถฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดแบบตายคาที่
ชัดว่าแม้คำพูดผู้เฒ่าคูจะฟังดูไม่ยอมแพ้ แต่เผชิญหน้ากับจิ่วโยว ก็ยังค่อนข้างหวาดเกรง นั่นก็เพราะเขากลัวว่าวันนี้อาจจะล้มเหลวอย่างน่าสังเวช
ตู้ม!
มือปัดป่ายข้ามขอบฟ้าดูเหมือนไร้น้ำหนัก แต่พลังที่บรรจุอยู่ภายในทำให้ทุกคนที่นี่รู้สึกหวาดกลัว
ที่ครอบปลิวไสวทันทีที่มือใหญ่พุ่งเข้ามา เพลิงไหลเวียนก่อนที่จะกวาดเพลิงโปร่งใสออกมาปะทะกับมือแห้งเหี่ยว
ตู้ม! ตู้ม!
อุณหภูมิน่าสะพรึงกลัวสร้างหายนะไปทั่ว ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรุนแรงบนใบหน้าผู้เฒ่าคู นั่นเป็นเพราะมือสีเทาเหี่ยวแห้งนั้นเหมือนพบศัตรูตัวฉกาจ ลุกไหม้ราวกับต้นไม้แห้งที่ถูกไฟแผดเผา
“ช่างเป็นเพลิงครอบงำอะไรแบบนี้!”
จ้องมองฉากตรงหน้าผู้คนในจัตุรัสก็ใบหน้ากระตุกพลางอุทานเสียงลั่นออกมา
ดวงตาของเทียนจิ้วและหลิงถงหดลง กระทั่งพวกเขายังรู้สึกว่าถูกคุกคามรุนแรงจากเปลวเพลิงโปร่งใส
“นั่น…นั่นคือเพลิงอมตะแท้จริง?!”
ผู้เฒ่าคูร้องเสียงแหลมออกมาด้วยความหวาดผวาในดวงตา ร่างเทพร่วงโรยที่เขาฝึกฝนถูกสร้างจากพลังงานที่มีฤทธิ์ทำให้หมดแรง คลื่นพลังหยินนี้เย็นเยือก แต่เกรงกลัวต่อคลื่นหยางร้อนแรงมาก ส่วนเพลิงอมตะนี้เป็นตัวปัญหาในปัญหา เพราะไม่ว่าพลังงานของเขาจะพยายามแค่ไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายพลังชีวิตในเพลิงอมตะได้อย่างสมบูรณ์
จิ่วโยวยิ้มขณะที่จ้องมองสีหน้าเปลี่ยนแปลงรุนแรงของผู้เฒ่าคู ครอบเพลิงอมตะได้รับการถ่ายทอดโดยราชินีวิหคอมตะ แม้จะไม่สามารถทำร้ายผู้เฒ่าคูได้ แต่ดักจับเท่านี้ก็มากเกินพอแล้ว
“ท่านผู้เฒ่าสามารถลองต่อไปได้นะ” จิ่วโยวกล่าว
ใบหน้าของผู้เฒ่าคูมีสีเขียวสลับสีขาว ก่อนที่จะยิ้มอย่างขมขื่นและส่ายหัว “ผู้บัญชาการจิ่วโยวมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ในการประลองครั้งนี้”
ฮือฮา
ความโกลาหลระเบิดออก ไม่มีใครคาดว่าผู้เฒ่าคูจะยอมแพ้แบบนี้ แต่มีเพียงเขาที่รู้ว่าครอบเพลิงอมตะนี้ได้เปรียบมาก ถ้าทุ่มสุดแรงก็จะสามารถทำลายได้ แต่แบบนั้นไม่เพียงแต่ต้องใช้เวลานานมาก ยังให้โอกาสจิ่วโยวที่ไม่ต้องเสียแรงอะไร ดังนั้นแม้ว่าเขาจะสามารถหลุดพ้นได้ ก็เป็นเรื่องยากที่เขาจะคว้าชัยชนะ
ในเมื่อเป็นแบบนี้ เขาก็ก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้และไม่พยายามอย่างไร้ประโยชน์จะดีกว่า
“ขอบคุณสำหรับชัยชนะ” จิ่วโยวยิ้มบางก่อนจะสะบัดมือดึงเพลิงโปร่งใสหดกลับมาแล้วดูดซับพวกมันผ่านปาก อุณหภูมิระหว่างชั้นฟ้าและชั้นดินกลับคืนสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว
ร่างผู้เฒ่าคูพลิ้วตัวออกจากลานประลองหยุดอยู่ที่ข้างหลงปี้ขณะเหลือบมองอีกฝ่ายก็พูดเสียงเบา “ผู้บัญชาการจิ่วโยวไม่ง่ายต่อกรเลย ข้าเชื่อว่าผู้บัญชาการมู่ก็ไม่ง่ายที่จะจัดการเช่นกัน”
“ก็แค่ปลอมตัวเป็นเทพเพื่อแกล้งผี”
ดวงของหลงปี้วูบไหวขณะมองมู่เฉินอย่างเย็นชา ก่อนที่จะหันมามองหน้าผู้เฒ่าคู “จิ่วโยวเป็นเทพอสูรที่ครอบครองเพลิงอมตะ ดังนั้นนางจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ง่ายต่อการจัดการ แต่ข้าไม่เชื่อว่าในฐานะมนุษย์ มู่เฉินจะสามารถเพิ่มพลังจนเทียบเท่าระดับจื้อจุนขั้นเก้าในเวลาเพียงปีเดียว!”
เขาเค้นเสียงอย่างเย็นชาจากนั้นก็ส่งแรงไปที่ฝ่าเท้าทะยานขึ้นไปบนลานประลองขนาดใหญ่ มองไปที่มู่เฉินด้วยแววตาดุร้ายและพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
“ผู้บัญชาการมู่ ถ้าเจ้าต้องการตำแหน่งจอมพลที่ข้าหมายตา ก็ขอดูหน่อยว่าเจ้าทำเช่นนั้นได้หรือไม่!”
บทที่ 1082 อำนาจแขนมังกร
บนลานประลอง
หลงปี้ยืนสองมือไพล่หลังราวกับภูเขาสูงตระหง่าน ทำให้แม้แต่แผ่นดินยังสั่นสะเทือนอยู่ใต้ฝ่าเท้าเขา
ในฐานะจอมยุทธ์ชั้นแนวหน้าของภูมิภาคทางเหนือที่ยืนแถวเดียวกับผู้เฒ่าคู ความสำเร็จของหลงปี้รุ่งโรจน์กว่ามาก ในอดีตแม้กระทั่งหมู่ตึกเทวะยังพยายามติดต่อเขาแต่ก็ล้มเหลว เหตุผลก็คือพวกเจ้าภูเขาหมู่ตึกเทวะพ่ายแพ้เขา ดังนั้นสามารถบอกได้ว่าชื่อเสียงและพลังของเขาเลื่องลือในภูมิภาคทางเหนืออย่างไร
แม้ว่ามู่เฉินจะมีชื่อเสียงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ก็คนส่วนใหญ่ก็มองแค่ว่าเป็นคลื่นลูกใหม่ เพราะต่อให้จอมยุทธ์รุ่นใหม่จะมีศักยภาพมาก แต่ในตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้สึกว่าเขาสามารถเทียบกับผู้เชี่ยวชาญอย่างหลงปี้ได้
ดังนั้นสายตาทุกคนจึงเลื่อนไปที่มู่เฉิน เมื่อหลงปี้ก้าวขึ้นไปบนลานประลอง ทว่าหลังจากการพลิกสถานการณ์ของจิ่วโยว ครั้งนี้ก็ไม่มีการเยาะเย้ยถากถางอีก เนื่องจากมู่เฉินน่าจะมีไพ่ตายเพิ่มขึ้น ไม่เช่นนั้นเขาไม่มีทางแหย่หลงปี้ด้วยนิสัยที่มีอย่างแน่อน
แต่ที่ทุกคนสนใจคือไพ่ตายของมู่เฉินสามารถก่อภัยคุกคามต่อหลงปี้ได้มากเท่าไร?
มู่เฉินยังคงมีท่าทีสงบ แม้จะมีสายตาอยากรู้อยากเห็นทั่วไปหมด เขามองไปที่หลงปี้ที่ปลดปล่อยแรงกดดันทรงพลังบนลานประลองก็ยิ้มบาง วูบเดียวก็ไปปรากฏตัวบนลานประลอง
“ผู้บัญชาการมู่ก็ปกปิดคลื่นหลิงไว้ด้วยหรือไม่? หรือว่าเจ้าบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าแล้วเหมือนกัน? ถ้าเป็นแบบนั้นข้าขอสดุดีด้วยใจจริง!” เสียงเย้ยเบาๆ พุ่งมาจากหลงปี้ขณะจับจ้องไปที่มู่เฉิน แม้ว่าจะมีตัวอย่างจากจิ่วโยว เขาก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่มู่เฉินจะบุกเข้าสู่ขั้นตอนดังกล่าวในช่วงเวลาสั้นๆ ถึงจะสามารถทำได้ แต่ก็จะทำให้รากฐานไม่มั่นคง ความก้าวหน้าในอนาคตจะจำกัดมาก
มู่เฉินรับรู้ถึงเจตนาที่อยู่เบื้องหลังคำพูดก็ไม่ได้โมโหกลับยิ้มออกมา “ระดับจื้อจุนขั้นเก้า? ข้ายังไปไม่ถึงหรอก…”
ร่างกายตึงเครียดของหลงปี้คลายลงจากคำพูดนี้ ตราบใดที่มู่เฉินไม่ได้อยู่ในขั้นนั้น ก็ไม่มีอะไรให้เขาต้องกลัวในวันนี้
เสียงถอนหายใจโล่งใจดังกึกก้องโดยรอบ ผู้บัญชาการบางคนก็รู้สึกโล่งอก หากแม้แต่มู่เฉินก็มาถึงขั้นดังกล่าว แล้วพวกเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
“เป็นเรื่องยากที่จะไปถึงระดับจื้อจุนขั้นเก้า ดังนั้นแม้จะมีโอกาส…” มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองหลงปี้พูดต่อช้าๆ
“ข้าก็ยังขาดอีกครึ่งก้าว”
ตู้ม!
มหาสมุทรคลื่นพลังไร้ขอบเขตระเบิดออกมาจากร่างมู่เฉินเมื่อพูดจบ ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็แผ่ขยายออกไปทั่วพื้นที่ ก่อให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่ม้วนตัว เสียงก้องกังวานไปทั่วทั้งฟ้าดิน สร้างพายุลูกใหญ่ขึ้น
เสื้อผ้าของมู่เฉินโบกสะบัดไปตามแรงลม รอยยิ้มแขวนอยู่บนใบหน้า ทว่ากลับมีแรงกดดันทรงพลังกำจายออกมาจากร่าง
ท่าทางเหล่าจอมยุทธ์ที่รู้สึกโล่งอกเมื่อครู่ก็แข็งทื่อ พวกเขารู้สึกถึงแรงกดดันทรงพลัง หนังหัวก็ระเบิด
อันที่จริงมู่เฉินยังไม่บรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเมื่อตัดสินความผันผวนของพลังงาน ทว่าเขามาไกลเกินกว่าขั้นแปดและอยู่ห่างออกไปเพียงครึ่งก้าวก็จะบรรลุขั้นสุดท้ายของระดับจื้อจุนแล้ว!
มู่เฉินอยู่ในขุมพลังจื้อจุนอีกครึ่งเก้าจะบรรลุขั้นเก้า!
ห่างจากระดับจื้อจุนขั้นเก้าแท้จริงเพียงครึ่งก้าว!
แววตกตะลึงครอบคลุมเหล่าผู้บัญชาการดั้งเดิม ตอนที่มู่เฉินไปเยือนเผ่าวิหคโลกันตร์ เขาเพิ่งจะบรรลุขั้นหกเท่านั้น เวลาไม่ถึงหนึ่งปีความแข็งแกร่งของเขาก็อยู่ที่เสมือนขั้นเก้าแล้ว!
พื้นฐานของเทพอสูรกับมนุษย์แตกต่างกัน ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจจิ่วโยวได้ แต่มู่เฉินมาถึงขั้นดังกล่าวได้อย่างไรกัน?
ผู้ชมรอบด้านจุกจนพูดไม่ออก แม้แต่จอมพลทั้งสามยังมีท่าทางเคร่งขรึม โดยเฉพาะเทียนจิ้วที่มองดูมู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน ตอนที่จิ่วโยวพามู่เฉินเข้ามาในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ครั้งแรก เขาเพิ่งจะเริ่มชำระร่างเทห์สวรรค์เท่านั้น ทว่าเพียงไม่กี่ปีก็มาถึงขั้นเก้าไล่ตามอยู่ข้างหลังตาแก่คนนี้แล้ว
“ตอนนั้นข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าหนูนี่พิเศษ แต่ไม่คิดว่าเขาจะมีพัฒนาการรวดเร็วในเวลาเพียงไม่กี่ปี” เทียนจิ้วถอนหายใจ ด้วยความเร็วนี้อีกไม่นานมู่เฉินก็จะแซงหน้าไปแล้ว
อนาคตของมู่เฉินไม่สามารถวัดได้ หากเขามีเวลามากพอ ไม่ต้องพูดถึงขั้นเก้าเลย ถึงตอนนั้นแม้แต่ประมุขก็อาจต้องมองเขาในฐานะจอมยุทธ์ระดับเดียวกัน
ในเวลานี้เทียนจิ้วเข้าใจแล้วว่าทำไมประมุขถึงได้ให้การดูแลเป็นพิเศษสำหรับมู่เฉิน บางทีอาจมีเหตุผลอื่นๆ แต่ก็ต้องมีส่วนที่นางรู้ถึงศักยภาพของมู่เฉิน ดังนั้นนางจึงไม่นับว่ามู่เฉินเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาตั้งแต่แรก แต่ถือว่าเป็นสหายกัน ต่อให้สถานะตอนนี้ยังดูห่างไกลกันมาก
ในทำนองเดียวกันใครจะคิดว่ามู่เฉินจะมาไกลขนาดนี้ในเวลาเพียงไม่กี่ปีตอนพบกันครั้งแรก?
“อีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า”
ใบหน้าของหลงปี้ถึงกับการกระตุกเมื่อมองไปที่ร่างเยาว์วัย แม้ว่าเขาจะประเมินความแข็งแกร่งของมู่เฉินไว้แล้ว แต่ความจริงที่รับรู้ก็ยังทำให้เขารู้สึกตกตะลึงในใจ
การเข้าถึงอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าตั้งแต่อายุเท่านี้ พรสวรรค์ของมู่เฉินน่าเหลือเชื่อจริงๆ
นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้หลงปี้รู้สึกว่าไม่อยากเชื่อมากที่สุดก็คือคลื่นหลิงที่ถูกปล่อยออกมาจากร่างมู่เฉิน ทั้งหนาแน่นและไม่มีที่สิ้นสุดราวกับว่าไม่มีขีดจำกัด โดยไม่มีความรู้สึกผิวเผิน ซึ่งหมายความว่ารากฐานของมู่เฉินแข็งแกร่งมาก
นี่เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่าในเวลาเพียงหนึ่งปีการเพาะบ่มพลังของมู่เฉินกระโดดขึ้นมาเกือบสามขั้น แม้ว่าใช้สมบัติภายนอกเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง แต่ก็มีสถานการณ์ที่เขาต้องเผชิญกับความยากลำบากในการควบคุมคลื่นหลิงที่เพิ่มขึ้น แต่ขณะนี้คลื่นหลิงของมู่เฉินอยู่ภายใต้การควบคุมของตัวเองสมบูรณ์แบบโดยไม่มีความผิดปกติใดๆ
“เจ้าหนูคนนี้…” ความหวาดกลัวกวนตัวขึ้นในส่วนลึกของดวงตาหลงปี้ขณะขมวดคิ้วอย่างแน่นหนา เขาเก็บแววเหยียดหยามในสายตาลงทั้งหมด เนื่องจากมู่เฉินมีคุณสมบัติที่เขาจะให้ความสำคัญด้วยอย่างแท้จริง
“ดูเหมือนผู้บัญชาการมู่จะเตรียมการมาดีจริงๆ”
หลงปี้หายใจเข้าลึก ระงับอารมณ์ในใจ สีหน้าสงบลงหลายส่วน นี่ไม่ใช่เวลาที่จะคิดเกี่ยวกับสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังของพัฒนาการมู่เฉินและรากฐานที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เพื่อที่จะได้รับทรัพยากรและสิทธิอำนาจเต็มที่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยตำแหน่งจอมพลให้หลุดมือไปได้
โชคดีที่แม้คลื่นหลิงของมู่เฉินจะมั่นคงแข็งแกร่ง แต่ก็อยู่ในขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น ซึ่งยังมีช่องว่างระหว่างขั้นเก้ากับอีกครึ่งก้าวจะขั้นเก้าอยู่ไม่น้อย
ตราบใดที่เขาไม่ประมาทก็น่าจะสามารถเอาชนะมู่เฉินได้โดยอาศัยความแข็งแกร่งของตัวเขาเอง
หลงปี้จ้องมองมู่เฉินโดยไม่มีริ้วอารมณ์ใด “หายากนักสำหรับคนอย่างผู้บัญชาการมู่ที่จะประสบความสำเร็จในขุมพลังอีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ถ้าเจ้าต้องการให้ข้าปล่อยมือจากตำแหน่งจอมพล ต้องมาดูกันว่าความสามารถของเจ้าจะเพียงพอหรือไม่!”
ฮึ่ม!
ดวงตาของเขาคุกรุ่นด้วยคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตกวาดข้ามเส้นขอบฟ้าราวกับพายุรวมตัวกัน ทันใดนั้นทั่วบริเวณก็มืดลง โลกใต้เท้าของเขาเกิดเสียงดังคร่ำครวญราวกับกำลังไว้ทุกข์
ร่างหลงปี้ที่แข็งแกร่งก็ขยายขึ้นและสร้างแรงกดดันที่ทำให้หายใจไม่ออก
แรงกดดันคลื่นหลิงที่เกิดขึ้นจากมู่เฉินถูกกำจัดออกไปโดยรัศมีที่ครอบงำของหลงปี้ ขณะนี้เขาดูประหนึ่งเทพแห่งสงคราม
ทันทีที่หลงปี้เคลื่อนไหวก็เปิดเผยความแข็งแกร่ง แรงกดดันครอบงำเกินขอบเขตผู้เฒ่าคูไปอีก
ภายใต้ความสนใจของทุกคน หลงปี้ก็กำหมัดอย่างช้าๆ ริ้วแสงแวววาวไร้ขอบเขตระเบิดออกมากลั่นตัวเป็นลวดลายโบราณลึกล้ำนับไม่ถ้วนบนพื้นผิวร่างกาย แสงสีแดงเจิดจ้าเปล่งประกายออกมาจากแขนของเขาพร้อมกับเสียงคำรามของมังกรที่ก้องกังวานสั่นสะเทือนสวรรค์และโลก
“ปัง!”
เสื้อช่วงแขนสลายเป็นเถ้าถ่านเมื่อหลงปี้กระตุกแขน ความหนาของแขนมีขนาดเท่ากับลำตัวเด็กและถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีแดงเข้ม เล็บมือยาวคมกริบราวกับกรงเล็บมังกร
แม้แต่เทียนจิ้วและหลิงถงยังมีสีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อเห็นแขนสองข้างของหลงปี้ ความหวาดเกรงพล่านในสายตา ลือกันว่าแขนของหลงปี้ครอบครองพลังมังกร ครั้งหนึ่งเขาเคยทำลายร่างเทห์สวรรค์ของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าด้วยพลังแขนอย่างเดียวเท่านั้น
ดังนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้ายังหวาดเกรง เมื่อปะทะกับแขนมังกรที่ครอบงำจนไม่อาจอธิบายได้
หลงปี้ให้ความสำคัญกับมู่เฉินมาก ดังนั้นเขาจึงเปิดเผยแขนมังกรโดยไม่ลังเล เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจที่จะยุติการต่อสู้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ทีนี้เจ้านั่นก็ระวังตัวเข้าแล้ว ซึ่งเป็นอันตรายต่อมู่เฉิน”
จอมพลทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตาที่กลายเป็นเคร่งเครียดรุนแรง ด้วยพลังของมู่เฉินตอนนี้ อาจจะไม่ได้เปรียบใดๆ ในการเผชิญหน้ากับแขนมังกร
มู่เฉินสูดหายใจลึก ภายใต้ความสนใจจากฝูงชน ไฟการต่อสู้มารวมกันที่ส่วนลึกของดวงตา
“พลังแขนมังกรเรอะ”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเองก่อนจะกำหมัดแน่น จิตวิญญาณเทพอสูรทั้งสองที่สถิตบนท่อนแขนของเขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นในเวลานี้
ให้ข้ามาทดสอบดูว่าระหว่างแขนมังกรของเจ้ากับมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงของข้า ใครจะแน่กว่ากัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น