หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1079-1080
บทที่ 1079 ประลองชิงตำแหน่งราชัน
บรรยากาศการประชุมปะทุขึ้นด้วยคำพูดของมั่นถัวหลัว
ดวงตาของผู้คนเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ โดยเฉพาะคนที่มีความตั้งใจที่จะลงชิงตำแหน่ง ดูราวกับวัวกระทิงที่อยากพุ่งชนโดยไม่สนใจอะไร ลมหายใจแต่ละคนหอบถี่
การชิงตำแหน่งผู้บัญชาการแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับในอดีต ไม่เพียงแต่ต้องผ่านการประลอง มิหนำซ้ำยังต้องถูกเสนอชื่อโดยผู้บัญชาการอย่างน้อยห้าคน แน่นอนว่าอีกปัจจัยสำคัญก็คือจำนวนตำแหน่งที่มั่นถัวหลัวจะเปิดให้
มีจอมยุทธ์จำนวนมากในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ดังนั้นอุปทานจึงไม่ตรงกับความต้องการ หากมั่นถัวหลัวเปิดตำแหน่งมากเกินไปก็จะมีข้อพิพาทเกิดขึ้นในสำนัก ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นก็จะนำมาซึ่งความปั่นป่วนภายใน ดังนั้นมั่นถัวหลัวจึงเปิดครั้งละน้อยนิด เช่นในการประชุมครั้งนี้ก็เปิดเพียงห้าตำแหน่งเท่านั้น
แล้วจำนวนของผู้เข้าแข่งขันที่หมายจะชิงห้าตำแหน่งนี้ก็มีหลายสิบคน ซึ่งสร้างอัตราการกำจัดที่โหดร้ายยิ่ง
ดังนั้นเมื่อมั่นถัวหลัวโบกมือส่งสัญญาณ คลื่นหลิงก็พุ่งออกมาทุกทิศทาง ร่างหลายสิบคนลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนที่จะร่อนลงบนลานประลอง
โห่! โห่!
เสียงอื้ออึงสนับสนุนดังก้องกังวานจากทุกที่ หากคนที่พวกเขาสนับสนุนชนะและได้รับตำแหน่ง พวกเขาก็จะได้รับรางวัลสำหรับการสนับสนุนเช่นกัน ในอนาคตเมื่อผู้บัญชาการคนใหม่ต้องการจัดตั้งกองทัพของตนเอง ในฐานะผู้สนับสนุนพวกเขาก็จะมีส่วนร่วมในทรัพยากร ทำให้ช่วยเร่งการฝึกฝนได้มาก
มั่นถัวหลัวกวาดม่านตาไปรอบลานประลองก่อนที่จะหลับตาลง เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ในระดับนี้ต่ำกว่ามาตรฐานในสายตาของนางไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะการขยายตัวของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้น นางคงมอบหน้าที่ในการประชุมราชันให้สามจอมพลไปจัดการเองนานแล้ว
นอกจากนี้เหตุผลที่นางมาที่นี่ก็ไม่ใช่มาเพื่อดูการประลองสำหรับตำแหน่งผู้บัญชาการ
มั่นถัวหลัวมองไปที่หลงปี้และผู้เฒ่าคูจากปรายหางตา พวกเขาทั้งคู่ดูเป็นอิสระและสบายใจ ราวกับชื่อของจอมพลตกอยู่ในมือแล้ว ในสายตาของพวกเขาไม่มีผู้บัญชาการคนใดที่สมควรได้รับความสนใจ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าไม่มีคู่แข่งในหมู่คนเหล่านี้
มุมปากของมั่นถัวหลัวโค้งขึ้นเมื่อเห็น หลงปี้และผู้เฒ่าคูมีพลังพอตัว แต่พวกเขาเย่อหยิ่งจองหองเกินไป ซึ่งนั่นไม่เป็นประโยชน์ต่ออาณาเขตกงเวทสวรรค์ หากพวกเขาได้รับตำแหน่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
การประลองตำแหน่งผู้บัญชาการเข้มข้นมาก แต่ไม่นานก็จบลงด้วยช่องว่างระหว่างผู้แข่งขันค่อนข้างชัดเจน ดังนั้นการต่อสู้ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงก่อนจะเหลือจอมยุทธ์ห้าคนอยู่บนเวที
ทั้งห้าคนปลดปล่อยความผันผวนของพลังงานที่ไม่ธรรมดา พวกเขาทั้งหมดอยู่ในระยะต้นของระดับจื้อจุนขั้นแปดซึ่งเทียบเท่ากับไป๋หมิงที่มู่เฉินปะทะในดินแดนเสินโซ่
นี่เป็นห้าคนสุดท้ายที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อตำแหน่งผู้บัญชาการ
มั่นถัวหลัวพยักหน้าเบาๆ ให้จอมยุทธ์ทั้งห้า พร้อมกับการเติบโตของสำนักแล้ว คุณภาพของจอมยุทธ์ก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เนื่องจากตอนนี้ความดึงดูดใจของอาณาเขตกงเวทสวรรค์มีมากกว่าในอดีตสิ้นเชิง
ดังนั้นขุมพลังของเหล่าผู้บัญชาการคนใหม่ล้วนทรงพลังมาก นอกเหนือจากซิวหลัวและเลี่ยซัน ผู้บัญชาการดั้งเดิมคนอื่นๆ อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดเท่านั้น ซึ่งเป็นสาเหตุข้อพิพาทระหว่างคนใหม่กับคนเก่าอยู่เนืองๆ
ผู้บัญชาการเก่าเชื่อในประสบการณ์และความอาวุโส ขณะที่ผู้บัญชาการใหม่เชื่อในพลังของตนเอง ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุของความไม่ลงรอยกัน ทว่ามั่นถัวหลัวก็ไม่ได้ดำเนินการใดๆ ที่จะหยุดยั้ง เนื่องจากเรื่องนี้ไม่ได้เป็นข้อเสียต่อสำนักสักเท่าไร
เมื่อปรากฏผู้บัญชาการใหม่ทั้งห้า ก็ทำให้ทั่วจัตุรัสส่งเสียงโห่ร้องยินดี
เหล่าจอมพลยืนขึ้นประกาศการรับผู้บัญชาการใหม่รวมทั้งผู้สนับสนุน ก่อนที่จะเชิญทั้งห้าลงจากลานประลอง แต่แม้จะให้ทั้งห้าลงไปแล้ว ทว่าบรรยากาศกลับยิ่งร้อนแรงเดือดพล่านมากขึ้น
สายตาทั้งหมดจ้องมองไปที่ชายสองคนที่นั่งเงียบๆ ที่ใจกลาง
เพราะทุกคนรู้ว่าพิธีมอบยศราชันช่วงต้นเป็นเพียงอาหารว่าง ช่วงหลังต่างหากที่เป็นอาหารหลักในวันนี้!
จำนวนของผู้บัญชาการในปัจจุบันมีเกินยี่สิบตำแหน่งแล้ว แต่จอมพลยังคงมีอยู่แค่สามตำแหน่งเท่านั้น ปกติเมื่อท่านประมุขเข้าสมาธิฝึกฝน กิจวัตรต่างๆ ก็จะได้รับการจัดการโดยจอมพลทั้งสาม ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดถึงอำนาจหน้าที่ของจอมพลมีมากเพียงใด
แต่เวลาเดียวกันการประลองเพื่อชิงตำแหน่งจอมพลก็ยกระดับขึ้น มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติชิงตำแหน่ง
ซึ่งในปัจจุบันมีเพียงหลงปี้และผู้เฒ่าคูเท่านั้นที่มีคุณสมบัติ
ดังนั้นหากทั้งสองคนสามารถขึ้นดำรงตำแหน่ง จำนวนจอมพลก็จะเพิ่มขึ้นจากสามเป็นห้าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ในบรรดาผู้บัญชาการมีหลายคนตั้งใจจะเชื่อมสายสัมพันธ์ เพื่อที่จะได้รับการดูแลเมื่อทั้งสองได้ตำแหน่งไป
ม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวเปิดออก เสียงดังก้องกังวาน “ข้าขอประกาศว่าวันนี้จะมีการเพิ่มตำแหน่งจอมพลสองตำแหน่งสำหรับผู้พร้อมจะลงชิงชัย”
ฮือฮา!
บรรยากาศลุกฮือด้วยคำพูดของนาง สายตาร้อนแรงจ้องมองหลงปี้และผู้เฒ่าคูที่นั่งสงบนิ่ง ราวกับว่าไม่ได้เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง ตราบใดที่ตำแหน่งจอมพลเพิ่มสองตำแหน่ง พวกเขาก็สามารถก้าวเข้าไปอยู่ในนั้นได้แน่นอน
ซิวหลัวและเลี่ยซันถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาเคยเป็นผู้ที่มีแนวโน้มได้ตำแหน่งจอมพลมากที่สุด แต่ก็ถูกผลักกลับไปพร้อมกับการขยายตัวของสำนัก
แม้จะรู้สึกอึดอัดใจ แต่ก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาพูดได้ เพราะด้วยพลังของทั้งสองคนนี้ นอกจากในฐานะคนเก่าของสำนักก็ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาจะสู้ได้
เทียนจิ้วและหลิงถงแลกเปลี่ยนสายตาโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ ในอนาคตสำนักคงจะเฮฮาน่าดู เมื่อมีทั้งสองคนเข้าร่วม สิ่งต่างๆ ก็คงจะไม่ราบรื่นนัก
มั่นถัวหลัวมองมาที่ทุกคน เสียงเรียบเฉยยังคงดังก้อง “ทุกคนสามารถลงชิงชัยตำแหน่งจอมพลได้”
หลงปี้และผู้เฒ่าคูยืนขึ้นแล้วมองไปรอบๆ ด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล “ไม่ทราบว่ามีใครต้องการท้าพวกข้าหรือไม่? ถ้าพวกข้าแพ้ก็จะปล่อยตำแหน่งจอมพลให้ด้วยมือตัวเอง”
ความกดดันครอบงำอยู่ในน้ำเสียงราบเรียบ เนื่องจากทั้งสองไม่ได้มีความกังวลเกี่ยวกับการประลองเลย
เหล่าผู้บัญชาการดั้งเดิมมีสีหน้าบิดเบี้ยว ก่อนที่จะแลกสายตาพลางส่ายหัว ด้วยพลังที่มีแม้ว่าพวกเขาจะขึ้นไปก็รังแต่จะทำให้ตนเองอับอาย
ทั่วทั้งจัตุรัสเงียบกริบ เวลาผ่านไปแต่ก็ไม่มีใครกล้าเปล่งเสียง เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ว่าจอมยุทธ์สองคนนี่ไม่ใช่คนที่พวกเขาสามารถเผชิญหน้าได้
เมื่อหลงปี้เห็นฉากนี้ รอยยิ้มพึงพอใจก็ปรากฏบนใบหน้าหยาบกระด้าง ดวงตาก็หรี่ลง “ในเมื่อไม่มีใครอยากประลอง งั้นพวกข้าก็…”
ทว่าก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค เสียงหัวเราะสดใสก็กระจายมาจากที่ไกลเขย่าทั้งสวรรค์และโลก
“ฮ่าๆ อย่าใจร้อนสิท่านจอมยุทธ์ พวกข้าสองคนสนใจตำแหน่งจอมพลเช่นกัน”
เสียงดังขึ้นกะทันหันทำให้ทั่วจัตุรัสเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ แม้แต่ผู้บัญชาการเก่าก็อึ้งไปก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองเห็นแสงหลิงจำนวนมากเคลื่อนตัวเข้ามา
คนที่ยืนอยู่หน้าสุดเป็นชายหนุ่มอ่อนเยาว์และหญิงสาวสะคราญโฉม
ผู้บัญชาการเก่าทั้งเจ็ดคนต่างตกตะลึงเมื่อเห็นร่างเงาทั้งสองก็อุทานออกมา “ผู้บัญชาการมู่?! ผู้บัญชาการจิ่วโยว?!”
เสียงอุทานดังก้องระเบิดความโกลาหลขึ้น สายตาพุ่งไปยังทั้งสองด้วยความตกใจ จากนั้นเสียงพูดคุยก็ดังไปทั่ว
“นั่นผู้นำหอวิหคโลกันตร์ ผู้บัญชาการมู่กับผู้บัญชาการจิ่วโยวรึ?”
“พวกเขาหายหน้าไปเกือบปี ไม่คิดว่าจะกลับมาอีก”
“ผู้บัญชาการมู่มีตำแหน่งสำคัญในสำนัก มีข่าวลือว่าท่านประมุขสามารถบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้ก็เพราะเขา”
“เรื่องนี้รู้ๆ กันอยู่แล้ว ไม่งั้นหอวิหคโลกันตร์จะมีสถานะเช่นนี้ในวันนี้ได้รึ?” เสียงที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาดังก้องท่ามกลางการโต้เถียง
“จุ๊ๆ แต่เมื่อกี้ผู้บัญชาการมู่พูดอะไรนะ? เขาและผู้บัญชาการจิ่วโยวต้องการลงชิงชัยตำแหน่งจอมพลเรอะ? เฮ้ ข้าว่าพวกเขานี่เป็นวัวน้อยไม่กลัวเสือ แม้ว่าท่านประมุขจะให้ความสำคัญกับเขา แต่ตำแหน่งจอมพลไม่ใช่สิ่งที่เด็กน้อยอย่างเขามีคุณสมบัติเหมาะสม!”
“ใช่ๆ ผู้บัญชาการมู่คิดจะประลองกับหลงปี้และผู้เฒ่าคู ดูเพ้อเจ้อไปจริงๆ”
“…”
บทสนทนาทุกประเภทดังก้อง แต่เห็นได้ชัดว่าทุกคนดูถูกคำพูดของมู่เฉิน แม้แต่คนที่รู้จักเขา
หลงปี้และผู้เฒ่าคูเงยหน้าขึ้นคิ้วขมวดหากันภายใต้บทสนทนาหลากหลาย ก่อนที่พวกเขาจะมองไปที่มู่เฉินและจิ่วโยวที่เก็บคลื่นหลิงเข้าสู่ร่างกาย หลงปี้ก็ยิ้มกว้าง เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังกึกก้อง
“ก็ว่าใคร ที่แท้ก็คือผู้บัญชาการมู่และผู้บัญชาจิ่วโยวงั้นสินะ ข้าได้ยินมานานเกี่ยวกับเรื่องที่พวกเจ้ามีส่วนช่วยอย่างมากกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ชื่อของเจ้าช่างเลื่องลือ แต่ถ้าวันนี้พวกเจ้าคิดอยากแย่งตำแหน่งจอมพล ข้าก็มีคำบอกพวกเจ้าทั้งสอง …”
“ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ…”
**สุภาษิต วัวน้อยไม่กลัวเสือเปรียบคนที่อ่อนประสบการณ์ย่อมไม่กลัวอะไร
บทที่ 1080 กลับมาด้วยความแข็งแกร่ง
“ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”
เสียงประเมินไม่แยแสของหลงปี้ดังก้องในท้องฟ้า ปกคลุมบทสนทนาทั้งหมดไว้ เวลาเดียวกันทั่วทั้งจัตุรัสก็ตกอยู่ในความเงียบงัน
ผู้คนมีสายตาแปลกประหลาด โดยเฉพาะเหล่าผู้บัญชาการดั้งเดิมของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ใบหน้าน่าเกลียดลงทันที หลงปี้ทรงพลังและมีชื่อเสียงโด่งดังก็จริง ทว่ามู่เฉินมีคุณูปการมากมาย หากไม่มีมู่เฉิน ไม่เพียงแต่ท่านประมุขจะไม่สามารถบรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายได้ สุดท้ายอาจจะทำให้หมู่ตึกเทวะได้รับชัยจนพวกเขาไม่สามารถดำรงอยู่ต่อในภูมิภาคทางเหนือได้อีกเลย
ผลงานของเขาเป็นบุญกับทุกคนในสำนัก แม้แต่จอมพลทั้งสามยังเกรงใจมู่เฉิน ไม่ได้ดูถูกอีกฝ่ายเพราะความอ่อนเยาว์
ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกไม่พอใจที่หลงปี้ทำเช่นนี้ต่อหน้ามู่เฉิน
“หลงปี้ แม้เจ้าจะมีชื่อเสียงในภูมิภาคทางเหนือ แต่สำหรับสำนักเจ้าก็เป็นเพียงคนใหม่ เจ้าเข้าร่วมกับเราเพราะสำนักที่ทรงพลังขึ้น แต่อย่าลืมว่าที่เรามีวันนี้ได้เป็นเพราะการช่วยเหลือของมู่เฉิน” ซิวหลัวพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจคนใหม่ทั้งสอง
“ฮ่าๆ ใครมาก่อนก็มีสิทธิ์ก่อน อย่าเอาความแก่มาเบ่งที่นี่” เลี่ยซันเผยรอยยิ้มเยาะ
ผู้บัญชาการดั้งเดิมคนอื่นๆ ก็ส่งเสียงดังแสดงความคิดเห็น ส่วนผู้บัญชาการใหม่ได้แต่แลกเปลี่ยนสายตากัน ไม่ได้เข้าร่วมศึกแลกน้ำลายที่เกิดขึ้น กลัวว่าจะไปมีปัญหากับหลงปี้และผู้เฒ่าคู เพราะหากทั้งสองได้ขึ้นครองตำแหน่งจอมพลก็จะถือเป็นเสาหลักของสำนักหลังจากนี้
เมื่อหลงปี้และผู้เฒ่าคูเห็นเหล่าผู้บัญชาการดั้งเดิมฟาดใส่ไม่ยั้ง พวกเขาก็อึ้งไป ก่อนที่ใบหน้าจะกลายเป็นไม่น่าดู
ในฐานะจอมยุทธ์ชั้นสูงของภูมิภาคทางเหนือที่สร้างชื่อเสียงมานาน พวกเขามีความภูมิใจและไว้ตัว พวกเขาไม่เคยให้ความสำคัญกับมู่เฉินมากนัก จึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องสุภาพ ถึงยังไงมู่เฉินก็ยังเด็กเหลือเกิน แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายโชคดีไปสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่อะไรในสงครามล่าจนทำให้ท่านประมุขดูแลเป็นอย่างมาก แต่การดูแลที่ได้มาจากความสัมพันธ์เช่นนี้ ยิ่งทำให้พวกเขาดูถูกเข้าไปใหญ่
ดังนั้นหลงปี้จึงอดเยาะเย้ยไม่ได้ เมื่อเขาเห็นมู่เฉินปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับความตั้งใจที่จะลงประลองเพื่อชิงตำแหน่งจอมพลกับพวกเขา แต่ชัดว่าเขาประเมินชื่อเสียงของมู่เฉินต่ำเกินไป เมื่อเขาพูดเยาะเย้ยออกมาก็คล้ายกับแหย่เข้าไปในรังแตน
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ตอบโต้อะไร เทียนจิ้วและหลิงถงก็พูดย้ำเสียงดังก้องว่า “ผู้บัญชาการมู่และผู้บัญชาการจิ่วโยวมีบุญยิ่งใหญ่ต่ออาณาเขตกงเวทสวรรค์ ตอนนี้พวกเจ้าก็ยังไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง จึงมีสถานะเดียวกัน ดังนั้นอย่าได้ไร้มารยาทเกินไป”
ทั้งสองจอมพลมีความเห็นเกี่ยวกับหลงปี้และผู้เฒ่าคูไม่ดีอยู่แล้วตั้งแต่ต้น ดังนั้นเมื่อสบโอกาสที่เห็นว่าทั้งสองถูกโจมตีจากเหล่าผู้บัญชาการดั้งเดิม พวกเขาก็โยนหินใส่ลงไปโดยไม่ลังเล
กระทั่งซุยนอนก็ยังระบายยิ้มเบาบาง ขณะที่พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนี้
สีหน้าหลงปี้และผู้เฒ่าคูสลับไปมาระหว่างเขียวกับขาว พวกเขาไม่คิดเลยว่าประโยคเดียวสั้นๆ จะทำให้ผู้คนเกิดความโกรธแค้นขนาดนี้
ทีแรกเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะวิจารณ์คนที่อายุน้อยกว่าจากพลังและชื่อเสียงที่มี แต่ใครจะคิดว่าสถานการณ์จะกลายเป็นเช่นนี้
พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันแบบกระอักกระอ่วนก่อนจะมองมั่นถัวหลัวบนบัลลังก์ พยายามจะให้นางพูดอะไรบางอย่าง ทว่านางก็ยังคงทำราวพักสายตา โดยไม่มีท่าทีจะเอื้อนเอ่ยคำใดและยิ่งไม่สนจะหยุดคนอื่นๆ ไม่ให้พูด
เมื่อหลงปี้และผู้เฒ่าคูเห็นท่าทางของมั่นถัวหลัวหัวใจก็ดิ่งลง พวกเขาประเมินมู่เฉินต่ำไป เห็นได้ชัดว่าในหัวใจของประมุขพวกเขามีน้ำหนักน้อยกว่ามู่เฉิน เนื่องจากนางไม่ได้มีท่าทีการสนับสนุนพวกเขา แม้จะตกเป็นเป้านิ่งของทุกคนก็ตาม
คิดถึงจุดนี้ สีหน้าทั้งสองก็เขียวสลับขาว แม้จะรู้สึกไม่พอใจในใจ แต่สุดท้ายสิ่งที่พวกเขาทำได้ก็คือระงับอารมณ์ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองมู่เฉินและจิ่วโยวบนท้องฟ้าพลางยิ้มลุแก่โทษและฝืนยิ้ม “เป็นความผิดของข้าเอง หวังว่าผู้บัญชาการมู่จะไม่ถือโทษโกรธกัน”
ไม่ว่าตอนนี้จะรู้สึกยังไง พวกเขาก็ต้องเลือกกลืนลงไปเพราะกลัวว่าจะเพิ่มคำตำหนิมากขึ้น ซึ่งเท่ากับสร้างความอับอายให้แก่ตนเอง
บนท้องฟ้า มู่เฉินอึ้งไปเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก่อนที่จะส่ายหัวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า อาณาเขตกงเวทสวรรค์ในปัจจุบันน่าสนใจมากและในเวลาเดียวกันก็วุ่นวายมาก แม้หลงปี้และผู้เฒ่าคูจะล้ำเส้นเขาไปบ้าง แต่ชัดว่าได้สร้างความไม่พอใจไว้มากแล้วก่อนหน้า ทำให้เรื่องนี้เป็นเพียงชนวนที่จุดระเบิด
“ตาแก่สองคนนี้ซวยจริงๆ”
มู่เฉินพึมพำในใจ จากนั้นก็ส่ายหัวยิ้มบางพูดว่า “ในเมื่อท่านประมุขบอกว่าทุกคนสามารถประลองเพื่อตำแหน่งจอมพลทั้งสองได้ งั้นพวกข้าสองคนก็น่าจะเข้าร่วมได้ใช่ไหม?”
บนบัลลังก์มั่นถัวหลัวเปิดเปลือกตามองไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มไม่เชิงยิ้มกระจายบนใบหน้างาม
แม้ทั้งสองจะปกปิดความผันผวนของคลื่นหลิงไว้ แต่จอมยุทธ์ในระดับนางก็สามารถรับรู้ถึงพลังได้
“ได้” ดังนั้นนางจึงพยักหน้าเอ่ยตอบ
เมื่อคำประกาศหลุดออกมา ความโกลาหลก็เกิดขึ้น แต่ครั้งนี้แม้แต่เหล่าผู้บัญชาการดั้งเดิมก็ยังขมวดคิ้ว พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินและจิ่วโยวจะลงชิงตำแหน่งจอมพลจริงๆ
หลงปี้และผู้เฒ่าคูมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นซึ่งทรงพลังมาก แม้กระทั่งเทียนจิ้วและหลิงถงก็ยังอยู่ในระดับนี้เช่นกัน
พวกเขารู้ว่าพลังของมู่เฉินและจิ่วโยวจะต้องเพิ่มขึ้นหลังจากการเดินทางออกจากสำนักเกือบหนึ่งปี แต่ตอนที่จากไปจิ่วโยวอยู่ในขั้นเจ็ดส่วนมู่เฉินอยู่ในขั้นหกเท่านั้น เวลาหนึ่งปีอย่างมากที่สุดการบรรลุขึ้นไปอีกขั้นก็เป็นขีดจำกัดแล้ว
แต่กระนั้นโอกาสก็เท่ากับศูนย์เมื่อเทียบกับหลงปี้และผู้เฒ่าคู
ประกายแสงวูบไหวในดวงตาของหลงปี้และผู้เฒ่าคู จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทว่ามุมปากกลับยกยิ้มเย้ยหยันเพิ่มขึ้น
ด้วยชื่อเสียงของมู่เฉินและจิ่วโยวในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ก็คงไม่มีทางที่จะเอาคืนด้วยวิธีปกติ แต่ในเมื่อทั้งสองยืนกรานที่จะลงประลอง พวกเขาก็จะช่วยส่งเสริมให้ได้อับอายบ้าง
พวกเขาจะมาดูสิว่าหลังจากที่ไอ้เด็กอ่อนเยาว์สองคนพ่ายแพ้ในมือพวกเขา ชื่อเสียงนั้นจะทนต่อความอับอายได้กี่ครั้ง?
“ผู้บัญชาการมู่ ผู้บัญชาการจิ่วโยว การชิงตำแหน่งจอมพลไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าสองคนต้องระวังนะ” เทียนจิ้วเตือนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แม้จะสัมผัสได้ว่าความผันผวนของคลื่นพลังรอบตัวมู่เฉินและจิ่วโยวดูคลุมเครือ แต่พิจารณาจากสภาพทั่วไป พวกเขาก็ไม่ได้คิดว่าพลังของทั้งสองจะทะยานขึ้นแบบฉุดไม่อยู่
“ขอบคุณสำหรับการเตือนขอรับท่านจอมพลเทียนจิ้ว” มู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้มแต่ไม่ได้แสดงเจตนาในการถอนตัว
แววสงสัยวูบไหวในดวงตาเทียนจิ้วเมื่อได้ยินคำพูดมั่นใจของมู่เฉิน เขามีความเข้าใจในพื้นนิสัยของมู่เฉินดี ชายหนุ่มคนนี้มีนิสัยแน่วแน่แม้จะอายุน้อย ดังนั้นจะไม่ยอมเอาชีวิตมาเสี่ยงถ้าไม่ได้มีความมั่นใจ หรือว่ามู่เฉินมีวิธีทรงพลังที่สามารถเผชิญหน้ากับระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นได้?
เมื่อนึกถึงไพ่ตายทรงพลังของมู่เฉินในฐานะหลิงเจิ้นซือและจั้นเจิ้นซือ ก็ทำให้ความกังวลของเขาคลายลงเล็กน้อย เขาหวังว่ามู่เฉินจะทำได้สำเร็จ มิเช่นนั้นจะต้องอับอายขายหน้าทั้งตัวเองและหอวิหคโลกันตร์
“ฮ่าๆ ในเมื่อเจ้าสองคนยืนกราน ข้าคงต้องถูกตราหน้าว่าแกล้งเด็กสักครั้ง” ผู้เฒ่าคูหัวเราะเสียงแหบห้าว ก่อนที่จะหายตัวไปปรากฏบนลานหินในจัตุรัส จากนั้นก็มองไปที่มู่เฉินและจิ่วโยวด้วยสายตาเย้ยหยัน
“ไม่รู้ว่าใครที่จะท้าทายข้า? ถ้าข้าแพ้ ข้าจะไม่แย่งตำแหน่งจอมพลนี้อีก”
ดวงตาทุกคู่จ้องมองมาที่มู่เฉินและจิ่วโยว บางคนคาดหวัง บางคนงุนงง ขณะเดียวกันก็มีคนยินดีในความโชคร้ายของทั้งคู่
“ข้าได้ยินชื่อเสียงของผู้เฒ่าคูมานานแล้ว วันนี้จะมาขอคำแนะนำสักหน่อยเจ้าค่ะ”
จิ่วโยวยิ้มหวานเคลื่อนตัวไปปรากฏตรงหน้าผู้เฒ่าคู ไฟแห่งการต่อสู้ร้อนแรงลุกฮือในดวงตา
นั่นคือรัศมีการสู้ที่เร่าร้อน
ฝึกฝนในมิติสองปี ด้วยคำแนะนำของราชินีวิหคอมตะและความช่วยเหลือของแก่นมรดกโลหิต พลังของนางได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ตอนนี้นางต้องการคู่ต่อสู้ที่สูสีเพื่อทดสอบพัฒนาการของตนเอง ซึ่งผู้เฒ่าคูชัดว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ผู่เฒ่าคูปรายตามองไปที่จิ่วโยวก่อนที่จะขมวดคิ้ว เมื่อเข้าใกล้เขาก็รู้สึกได้ถึงคลื่นหลิงของจิ่วโยวเก็บกลับสู่ร่างกายทั้งหมดโดยไม่มีการรั่วไหลแม้แต่น้อย
“เจ้าซ่อนพลังไว้หรือ?” ผู้เฒ่าคูถามด้วยอาการตกตะลึง
จิ่วโยวยิ้มไม่ตอบ เพียงแค่เยื้องย่างออกมา คลื่นหลิงที่น่ากลัวที่ถูกบีบอัดในร่างกายถูกปลดปล่อยออกมาอย่างสมบูรณ์ราวกับภูเขาไฟปะทุ ทำให้ผืนฟ้าและผืนดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เมื่อพลังงานกวาดออกก็พวยพุ่งปกคลุมดวงอาทิตย์ แรงกดดันน่าขนพองสยองเกล้าระเบิดออกมาจากร่างของจิ่วโยว
สายตาตะลึงพรึดเพริดจ้องมองร่างเพรียวบาง โดยเฉพาะเหล่าผู้บัญชาการดั้งเดิม ดวงตาเบิกโตเท่าไข่ห่าน
เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่บนใบหน้าของเทียนจิ้วและหลิงถงเช่นกัน สายตาจ้องมองไปที่จิ่วโยวด้วยความตกตะลึง สุดท้ายก็สูดหายใจลึกพึมพำด้วยความไม่เชื่อ “นาง…นางบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าแล้วรึ?!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น