หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1071-1078
บทที่ 1071 เผ่าวิหคโลกันตร์ที่ตื่นตระหนก
โถงสภาอาวุโสแห่งเผ่าวิหคโลกันตร์
สถานที่แห่งนี้เป็นที่กุมอำนาจสูงสุดของเผ่าวิหคโลกันตร์ ยามนี้บรรยากาศในห้องโถงเต็มไปด้วยความบีบคั้นและรุนแรง แม้ว่าร่างที่นั่งส่วนใหญ่อายุจะดูมาก แต่แรงกดดันมหาศาลที่ปล่อยออกมาก็ยังคงทำให้มั่วเฟิงและมั่วหลิงรู้สึกอึดอัด แม้แต่มั่วหลิงที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาก็ยังเงียบไป
เทียนฮวงนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน เขาขมวดคิ้วแน่นในขณะนี้ เมื่อมองไปที่มั่วเฟิงและมั่วหลิง ก่อนที่จะพูดด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “ทำไมจิ่วโยวกับมู่เฉินถึงไม่กลับมากับพวกเจ้า?”
ทันทีที่ตั้งคำถาม ผู้อาวุโสสวมชุดสีฟ้าอมเขียวซึ่งมีอคติกับมู่เฉินก็ยิ้มเย็นชา “ไอ้หนูนั่นคงรู้สึกว่าจะต้องล้มเหลวในการทำงาน จึงพาจิ่วโยวหนีตายไปแล้วมั้ง ฮึ่ม ช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน”
เมื่อผู้อาวุโสคนอื่นได้ยินก็ขมวดเช่นกัน ถ้านั่นเป็นความจริง มู่เฉินที่ไม่รับผิดชอบก็น่าผิดหวังมากเกินไปแล้ว
แต่เมื่อผู้อาวุโสสวมชุดสีฟ้าอมเขียวพูดจบ มั่วหลิงที่ยืนอยู่ในห้องโถงก็ยกริมฝีปากด้วยความไม่พอใจเถียงขึ้นมาว่า “ใครบอกว่าพี่ใหญ่มู่เฉินหนีไป? ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่มู่เฉิน พี่ใหญ่จิ่วโยวจะได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณซะที่ไหน?”
“หืม?!”
เมื่อได้ยินคำพูดของมั่วหลิง ร่างผู้อาวุโสแต่ละคนในโถงก็สั่นสะท้าน ประกายแสงวูบไหวในดวงตา แม้แต่เทียนฮวงก็ดวงตาหดลงไม่สามารถปิดบังความตกใจในคำพูดได้ “เจ้าว่าอะไรนะ? จิ่วโยวได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณเรอะ?”
สีหน้าภูมิใจปรากฏบนใบหน้าของมั่วหลิงขณะที่เล่า “พี่ใหญ่มู่เฉินทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากราชินีวิหคอมตะจนลุล่วง เหตุผลที่เขาไม่ได้กลับมากับพี่ใหญ่จิ่วโยว แน่นอนว่าเพราะพวกเขาได้รับรางวัลจากผู้อาวุโส ไม่รู้ว่ากำลังรับประโยชน์มากแค่ไหนอยู่ตอนนี้?
“ราชินีวิหคอมตะ?!”
ผู้อาวุโสชุดสีฟ้าอมเขียวร้องคราง เขาไม่ได้แปลกหูสำหรับชื่อนี้ ในสมัยโบราณนี่เป็นหนึ่งในสามราชันแห่งดินแดนเสินโซ่ซึ่งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่แท้จริง
“เป็นไปไม่ได้! ราชินีวิหคอมตะสิ้นชีพไปนานแล้ว พวกเจ้าจะไปเจอได้อย่างไร?” ผู้อาวุโสสวมชุดสีฟ้าอมเขียวมีข้อกังขาอยู่เต็มใบหน้า ถามด้วยความสงสัย
เทียนฮวงไม่ได้แสดงข้อกังขา เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะพูดว่า “มั่วเฟิงเล่ารายละเอียดทุกอย่างที่เกิดขึ้นในดินแดนเสินโซ่มา ห้ามพลาดแม้แต่เรื่องเดียว!”
เขาจะมาฟังดูสิว่าตอนอยู่ในดินแดนเสินโซ่มู่เฉินทำอะไรไปบ้าง!
มั่วเฟิงพยักหน้ารับ ความรู้สึกของเขาที่มีต่อมู่เฉินเปลี่ยนไปอย่างมากตลอดการเดินทางไปยังดินแดนเสินโซ่ ยิ่งกว่านั้นยังแอบรู้สึกนับถืออยู่ด้วย ดังนั้นเขาจึงยินดีมากที่จะบอกเล่าเรื่องราวให้ผู้อาวุโสในเผ่าฟังเพื่อจะเปลี่ยนแปลงความคิดของพวกเขาเกี่ยวกับมนุษย์ผู้นี้
ดังนั้นเขาจึงจัดเรียงความคิดในใจสั้นๆ ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องราวของการเดินทางไปยังดินแดนเสินโซ่
เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณ สุสานหมื่นอสูร สุสานอสูรโบราณโภคะและการต่อสู้กับไป๋หมิงจอมยุทธ์รุ่นใหม่ชั้นสูงของเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งจนได้รับชัยชนะในที่สุด
ทั้งโถงเงียบกริบเหลือเพียงมั่วเฟิงที่ยังเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโส แต่กระทั่งเทียนฮวงก็ยังค่อยๆ เบิกตาจากคำอธิบายของมั่วเฟิงด้วยความตะลึงใจ
จอมยุทธ์รุ่นใหม่เผ่าวิหคโลกันตร์ก็เคยเข้าไปในเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณ แต่จำนวนของคนที่สามารถไปถึงชั้นสุดท้ายสามารถนับได้ด้วยนิ้วมือ ทว่ามู่เฉินกลับทำสำเร็จ
ส่วนสุสานหมื่นอสูร พวกเขาตระหนักดีถึงอันตรายที่อยู่ในนั้น ไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะมีความกล้าหาญเช่นนี้ สุสานอสูรโบราณโภคะเป็นสิ่งที่เย้ายวนใจ ไม่เพียงแต่เขาจะประสบความสำเร็จในการคว้ามาได้ เขายังนำพาทุกคนที่ไปกับเขารับอาวุธเสมือนมหสวรรค์ด้วย
กระนั้นพวกเขาก็ยังรักษาความสงบเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ได้ แต่เมื่อพวกเขาได้ยินเกี่ยวกับการปะทะของมู่เฉินกับไป๋หมิงเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็ง สายตาของพวกเขาก็ค่อยๆ เคร่งขรึมลง
นั่นเป็นเพราะพวกเขาตระหนักดีว่าจอมยุทธ์ชั้นสูงที่ได้รับการเลี้ยงดูโดยเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งทรงประสิทธิภาพเพียงใด แม้ว่าสายเลือดของไป๋หมิงจะไม่ใช่พวกสูงศักดิ์ในเผ่าหงส์ฟ้า แต่เทียนฮวงและคนอื่นๆ ก็ต้องยอมรับว่าแม้แต่จอมยุทธ์ชั้นสูงรุ่นใหม่ในเผ่าของพวกเขาก็เอาชนะไป๋หมิงได้ยาก
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาถูกเยาะเย้ยจากเผ่าหงส์ฟ้า ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้ยินว่ามู่เฉินต่อสู้กับไป๋หมิงและชนะ พวกเขาก็พูดอะไรไม่ออกเลยในตอนนี้
“เยี่ยม! พวกเราประเมินเจ้าหนูนั่นต่ำไปจริงๆ!” ผู้อาวุโสบางคนตบลงที่พนักเก้าอี้ด้วยความตื่นเต้น พวกเขารู้สึกโล่งใจจากอาการไม่พอใจในใจ พวกเขาไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็ง มีแต่คำล้อเลียนเยาะเย้ยที่ส่งมาให้หลายต่อหลายครั้ง แต่ตอนนี้จอมยุทธ์รุ่นใหม่ที่อีกฝ่ายเลี้ยงดูไม่สามารถเอาชนะมู่เฉินซึ่งมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดได้ ในอนาคตก็มาดูกันสิว่าเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งจะยังกล้าอวดดีกับเผ่าวิหคโลกันตร์ยังไง
แม้ว่ามู่เฉินจะไม่ใช่สมาชิกเผ่าวิหคโลกันตร์ แต่เขามีสายเลือดของเผ่าวิหคโลกันตร์ผ่านพันธะโลหิตของเขากับจิ่วโยว เมื่อมองจากอีกมุม มู่เฉินก็ถือได้ว่าเป็นสมาชิกครึ่งคนของเผ่าวิหคโลกันตร์
ผู้อาวุโสบางคนก็พยักหน้าเห็นด้วย โดยลืมไปว่าเคยคัดค้านพันธะโลหิตระหว่างมู่เฉินกับจิ่วโยวจนหัวชนฝา
“เจ้าหนูนั่นมีความสามารถแท้จริง”
แม้แต่เทียนฮวงก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเบาๆ ขณะที่ใบหน้าคลายความตึงเครียดลง เขาไม่ต้องการเห็นว่ามนุษย์ที่จิ่วโยวสร้างพันธะโลหิตด้วยจะธรรมดา หากเป็นเช่นนั้นแม้ว่าจิ่วโยวจะค้าน เขาก็จะไม่อนุญาตให้พันธะโลหิตระหว่างพวกเขาดำรงอยู่
แต่เมื่อมองสถานการณ์ในตอนนี้สายตาของบุตรสาวไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง
“งั้นก็น่าจะได้รับแก่นมรดกโลหิตของวิหคอมตะโบราณหลังจากเอาชนะไป๋หมิงใช่ไหม?” เทียนฮวงถาม ตอนนี้เขาไม่สงสัยสิ่งที่มั่วหลิงพูดมาก่อนหน้าแล้ว
เมื่อคิดได้ว่าจิ่วโยวได้รับแก่นโลหิตวิหคอมตะโบราณและทำให้สายเลือดของนางสมบูรณ์แบบแล้ว กระทั่งเขายังอดยิ้มไม่ได้ นั่นหมายความว่าจิ่วโยวอาจเป็นเพียงหนึ่งเดียวในรอบหมื่นปีที่ผ่านมาที่มีพัฒนาการสู่การเป็นวิหคอมตะ ในเวลานั้นสถานะของเผ่าวิหคโลกันตร์ก็จะยกสูงขึ้น แม้แต่เผ่าหงส์ฟ้าก็ต้องมองพวกเขาในฐานะที่เท่าเทียมกัน
มั่วเฟิงพยักหน้าขณะที่พูดต่อ “แต่หลังจากได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณก็เกิดบางอย่างขึ้น ปีศาจที่ก่อร่างขึ้นจากแรงปรารถนาที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยจอมพลปีศาจที่ตายไปแล้วในสมัยโบราณออกอาละวาด โชคดีที่ราชันทั้งสามทิ้งไพ่ตายไว้เบื้องหลัง พวกเขาปรากฏขึ้นในรูปแบบร่างดวงจิตเพื่อเผชิญหน้ากับมัน ท้ายที่สุดก็เป็นมู่เฉินที่ใช้ความสามารถศาสตร์อื่นในฐานะจั้นเจิ้นซือเพื่อควบคุมรัศมีจั้นยี่ของกองทัพอสูรสวรรค์เพื่อช่วยเหลือสามราชันฆ่าสิ่งมีชีวิตน่าขยะแขยงนั่นลงอย่างสมบูรณ์”
เมื่อมั่วเฟิงพูดจบก็รู้สึกถึงบรรยากาศหยุดนิ่งทันควัน เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นท่าทางของผู้อาวุโสแต่ละคนอึ้งทึ่งไป แม้แต่เทียนฮวงก็ผงะขณะที่จ้องมองมาที่เขา
ขณะนี้คำพูดของเขาดังสะท้อนอยู่ในใจของเทียนฮวงและเหล่าผู้อาวุโส จอมพลปีศาจ… สามราชัน… กองทัพอสูรสวรรค์…
เมื่อคำพูดเหล่านี้ปรากฏขึ้น ก็ทำให้สมองของพวกเขากระเพื่อมด้วยระลอกคลื่น นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ซึ้งถึงความหมายเบื้องหลังคำเหล่านั้นดีกว่ามั่วเฟิงและคนอื่นๆ
จอมพลปีศาจเป็นสิ่งมีชีวิตน่ากลัวที่เทียบเคียงได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว
ส่วนสามราชันดินแดนเสินโซ่เป็นจอมยุทธ์ชั้นนำที่มีชื่อเสียงในสมัยโบราณ
สำหรับกองทัพอสูรสวรรค์ก็เป็นสุดยอดกองกำลังที่โด่งดังและทรงพลังในสมัยโบราณ ขณะที่รัศมีจั้นยี่ของกองทัพนี้กวาดอาละวาด ก็ไม่รู้สังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนไปแล้วเท่าไร
ดังนั้นเมื่อได้ยินคำเหล่านั้นจากมั่วเฟิง พวกเขาก็อยากถามว่าพวกเจ้าย้อนเวลากลับไปในสมัยโบราณหรือเนี่ย
“แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นจั้นเจิ้นซือก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสั่งการกองทัพอสูรสวรรค์หรอกมั้ง?” เทียนฮวงฟื้นจากอาการตกใจคนแรกก็ถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ
ผู้อาวุโสคนอื่นก็พยักหน้าเช่นกัน ถ้ามู่เฉินสามารถสั่งการกองทัพอสูรสวรรค์ได้ เขาก็สามารถไปได้ตามที่ใจปรารถนาทั่วมหาภพันภพแล้ว ในระดับนั้นไม่ว่าขุมพลังหลิงของเขาจะอ่อนแอเพียงใด แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ยังหวาดกลัวต่อเขา
“กองทัพอสูรสวรรค์ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด แค่ได้รับการเก็บรักษาไว้ส่วนหนี่งด้วยวิธีพิเศษโดยสามราชัน ยิ่งกว่านั้นราชินีวิหคอมตะก็ให้การป้องกันแก่มู่เฉิน แต่ถึงอย่างนั้นมู่เฉินก็ยังบาดเจ็บหนักมาก” มั่วเฟิงเล่าแบบถึงลูกถึงคน เขาไม่ได้คุยโม้ให้กับมู่เฉิน นั่นเป็นเพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจะฟังดูไม่สมจริง
ทว่าคำสัตย์จริงของเขาก็ทำให้เทียนฮวงและคนอื่นๆ เงียบงันไปอีกครั้ง ด้วยประสบการณ์ของพวกเขากว้างใหญ่จึงสามารถอนุมานเบาะแสอื่นๆ จากคำพูดของมั่วเฟิงได้
กองทัพอสูรสวรรค์มีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นกองทัพที่หลงเหลืออยู่ก็อาจเทียบได้กับระดับตี้จื้อจุน ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่ามู่เฉินจะมีการป้องกันจากวัตถุที่ราชินีวิหคอมตะมอบให้ ซ้ำยังได้รับบาดเจ็บหนักในตอนท้าย แต่ก็พิสูจน์พรสวรรค์และความเข้าใจในเส้นทางแห่งศาสตร์จั้นเจิ้นซือได้ เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นจั้นเจิ้นซือคนใดที่สามารถสั่งการกองทัพอสูรสวรรค์ได้ด้วยวัยเท่านั้น นี่จึงอธิบายสิ่งต่างๆ ได้มากมาย
บางทีในอนาคตอาจมีสักวันที่มู่เฉินจะสามารถบัญชาการกองทัพที่มีพลังเฉกเช่นกองทัพอสูรสวรรค์ได้จริงๆ
ช่วงเวลาที่เขาประสบความสำเร็จก็จะก้าวขึ้นเป็นยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพนี้
ดังนั้นคนทั้งหมดจึงนิ่งเงียบหลังจากขบคิดเรื่องนี้ แม้แต่ผู้อาวุโสที่มีอคติต่อมู่เฉินก็ยังปิดปากสนิท
หลังจากมีชีวิตมายาวนานสายตาก็เฉียบคมใช้ได้ บางทีมู่เฉินตอนนี้อาจจะไม่สามารถทำให้พวกเขารู้สึกกลัวได้ แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จในระดับใดในอนาคต?
บางทีในอนาคตแม้แต่เผ่าวิหคโลกันตร์ก็ยังต้องพึ่งพาเขา เมื่อพิจารณาจากศักยภาพที่เขาได้แสดงไว้ก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้
“ราชินีวิหคอมตะบอกว่านางจะมอบโชคยิ่งใหญ่ให้กับมู่เฉิน จิ่วโยวก็รอคอยไม่ยอมกลับมา อาจเป็นไปได้อย่างมากว่านางจะถูกผู้อาวุโสคนนั้นเก็บตัวไว้เพราะมู่เฉิน” มั่วเฟิงได้ข้อสรุปสุดท้าย
ทั้งโถงเงียบกริบ ผู้อาวุโสหลายคนอิจฉาในโชคชะตาของทั้งสอง การได้รับคำแนะนำจากราชินีวิหคอมตะ โชคชะตาเช่นนี้ทำให้ดวงตาของพวกเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง
เทียนฮวงตบพนักเก้าอี้เบาๆ จากนั้นก็หลับตาครู่หนึ่งก่อนที่จะเปิดตาอีกครั้ง สายตาที่เข้มงวดกวาดออกไป เขามองไปที่เหล่าผู้อาวุโส เสียงเคร่งขรึมดังก้องไปทั่วห้องโถง
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปห้ามไม่ให้ใครพูดประชดประชันมู่เฉินเกี่ยวกับพันธะโลหิตอีก”
เขาหยุดครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดเสียงเฉียบขาดว่า “เมื่อทั้งสองกลับมา เราจะยกตำแหน่งผู้อาวุโสเผ่าวิหคโลกันตร์ให้แก่มู่เฉิน”
ทันทีที่พูดคำเหล่านั้น หัวใจของทุกคนก็สั่นสะท้านพลางจ้องมองกันและกัน พวกเขาต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็นิ่งเงียบไป บางทีมู่เฉินยังไม่ได้มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้อาวุโสในขณะนี้ แต่ศักยภาพของเขามีนั้น
มากเกินพอแล้ว…
บทที่ 1072 วังสวรรค์บรรพกาลปรากฏ
เมื่อดินแดนเสินโซ่ปิดตัวลง
ความปั่นป่วนก็กวนตัวในเผ่าเทพอสูร แม้ว่าความสำเร็จของมู่เฉินจะน่าตกตะลึง แต่ก็ยังก่อให้เกิดการถกเถียงมากมายในเผ่าเทพอสูรของมหาพันภพ
แม้ว่าจะมีเผ่าเทพอสูรมากมายเข้าร่วมการเข้าไปในดินแดนเสินโซ่ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เช่นเผ่ามังกรซึ่งเป็นที่รู้จักกันในฐานะเจ้าเหนือหัวของเผ่าเทพอสูรทั้งปวง พวกเขาไม่ได้ส่งจอมยุทธ์เข้าร่วม ขณะที่ไป๋หมิงก็เป็นเพียงจอมยุทธ์รุ่นใหม่ชั้นนำของเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งซึ่งเป็นเผ่าย่อยของเผ่าหงส์ฟ้าเท่านั้น แม้ว่าเขาจะค่อนข้างโด่งดัง แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวแทนสายเลือดสูงส่งของเผ่าหงส์ฟ้า สำหรับจอมยุทธ์ที่เป็นเสาหลักของเผ่าหงส์ฟ้า การล่อลวงของดินแดนเสินโซ่ไม่มากพอสำหรับพวกเขาเช่นเดียวกับไป๋หมิง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องการลดระดับตนเองลงมาร่วมในงานเช่นนี้
ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงคิดแค่ว่าคุณภาพของจอมยุทธ์ที่เข้าร่วมในดินแดนเสินโซ่ครั้งนี้ต่ำลง ส่งผลให้มนุษย์อย่างมู่เฉินโดดเด่นขึ้นมาถ้าเขาพบกับจอมยุทธ์ชั้นสูงแท้จริงของเผ่าเทพอสูร มู่เฉินก็คงไม่สามารถได้รับความสำเร็จที่โดดเด่นเช่นนี้ได้
ทว่าการโต้เถียงก็เป็นเพียงลมปาก ทุกคนรู้ว่าถ้าพวกเขาต้องการรู้มาตรฐานของมู่เฉินจริง สิ่งที่พวกเขาต้องทำก็คือท้าประลองในสักวันหนึ่ง เมื่อถึงตอนนั้นก็จะพบเองว่ามู่เฉินทรงพลังมากเกินไปหรือไป๋หมิงอ่อนแอเกินไป
ในบางแง่มุม ดินแดนเสินโซ่ก็เป็นเพียงประสบการณ์สำหรับเผ่าเทพอสูร ดังนั้นนอกเหนือจากเผ่าเทพอสูรก็ไม่ได้ทำให้เกิดระลอกคลื่นในมหาพันภพ แม้แต่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ไม่ได้ยินข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
ดังนั้นอาณาเขตกงเวทสวรรค์จึงสงบสุขเช่นเคย
หลังจากสงครามล่าหมู่ตึกเทวะก็ถูกตัดแบ่งอย่างสมบูรณ์ ภายใต้พันธมิตรภูมิภาคทางเหนือที่ได้รับการแนะนำจากมั่นถัวหลัวจำนวนความขัดแย้งก็ลดลง ขั้วอำนาจสูงสุดต่างกำลังย่อยส่วนที่ได้จากหมู่ตึกเทวะ ไม่มีความเป็นศัตรูกันเหมือนเมื่อก่อน
ภายใต้ความกลมกลืนดังกล่าวชื่อเสียงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็เพิ่มสูงขึ้นในภูมิภาคทางเหนือ ซึ่งมีแววจะแซงหน้าหมู่ตึกเทวะในอดีตไปแล้ว
จอมยุทธ์ภูมิภาคทางเหนือไม่ได้โง่ ทุกคนสามารถบอกได้ว่าแม้ภูมิภาคทางเหนือจะตั้งพันธมิตร แต่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ยังมีเสียงในคำพูดมากกว่า
ผู้นำขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ก็ยังสุภาพเมื่อพบปะกับมั่นถัวหลัว เพราะตอนนี้นางเป็นจอมยุทธ์เพียงคนเดียวในภูมิภาคทางเหนือที่บรรลุระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายแล้ว
ความแข็งแกร่งของนางเหนือกว่าประมุขแถวหน้าคนอื่นๆ
ดังนั้นถึงแม้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะไม่แสดงสัญญาณในการครอบครองทั้งภูมิภาค แต่ก็ไม่มีใครสงสัยศักยภาพของพวกเขา ดังนั้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาอิทธิพลของสำนักจึงขยายตัวอย่างรวดเร็วด้วยการหลั่งไหลของจอมยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วน ส่งผลให้สำนักขึ้นกุมอำนาจสูงสุด แม้แต่ภูมิภาคอื่นๆ ของทวีปเทียนหลัวก็ยังรู้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์เติบโตขึ้นในภูมิภาคทางเหนือ
ทวีปเทียนหลัว ภูมิภาคทางเหนือ อาณาเขตกงเวทสวรรค์
บนยอดเขาสีฟ้าใสในจุดลึกของสำนักปกคลุมไปด้วยหมู่เมฆ ร่างเงาเล็กนั่งอยู่บนยอดเขาพร้อมกับเมฆเคลื่อนคล้อยตามลมหายใจของนาง มิติบิดเบี้ยวอยู่รอบตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาพเงาของนางช่างคลุมเครือ ราวกับว่าจะจางหายไปกับเวลา
ไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้นานแค่ไหน ทันใดนั้นนางก็เปิดตากวาดม่านตาสีทองคำออกไป ทำให้ยอดเขาสั่นไหว พลังงานหลิงโดยรอบพวยพุ่งขึ้นราวกับคลื่นมหาสมุทร กลายเป็นคลื่นพลังงานหลายหมื่นจั้ง จากนั้นนางก็อ้าปากกลืนกินทั้งหมด
หลังจากดูดซับคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตแล้ว ม่านตาสีทองคำก็เปล่งประกายก่อนจะค่อยๆ สงบลง มือเล็กสร้างตราประทับ ทำให้มิติด้านหลังแตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนที่พีระมิดสีทองขนาดใหญ่โตจะปรากฏขึ้นในมิติที่แตกเป็นเสี่ยงๆ นั่น
พีระมิดสีทองปกคลุมไปด้วยลวดลายโบราณที่ดูเหมือนสร้างมาจากดวงดาว การกะพริบทุกครั้งทำให้เกิดคลื่นพลังงานทางที่น่ากลัว
หมันถั่วหลัวมองลวดลายบนพีระมิดสีทอง แสงสีทองพลุ่งพล่านราวกับกำลังคำนวณอะไรบางอย่าง ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้กินเวลาไปตลอดหนึ่งเดือน
ในอีกหนึ่งเดือนถัดมา ร่างเล็กของมั่นถัวหลัวก็สั่นสะท้าน ทันใดนั้นนางก็เงยหน้าขึ้น ม่านตาสีทองคำมองพีระมิด ภาพดวงดาวบนนั้นก็พร่างพราวค่อยๆ แยกออกมา ก่อนที่จะรวมตัวกันในท้องฟ้า แสงดาวแผ่กระจายก่อตัวเป็นแผนภาพหมู่ดาว
มั่นถัวหลัวมองดูแผนภาพหมู่ดาวลึกลับ ความสุขก็ปรากฏบนใบหน้าเงียบสงบ สายตาของนางพุ่งตรงไปที่ระยะไกลราวกับว่ากำลังมองทะลุผ่านมิติที่ไม่มีที่สิ้นสุด
“ในที่สุดวังสวรรค์บรรพกาลก็จะปรากฏแล้วรึ?”
ขณะที่มั่นถัวหลัวรู้สึกถึงบางสิ่งผ่านพีระมิดแสงดาวปราบปีศาจ สถานที่แห่งหนึ่งในทิศตะวันออกของทวีปเทียนหลัว ที่นี่คือที่ราบขั้วโลกที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนธรรมดาก็ไม่สามารถต้านทานได้ ลมพายุแข็งแกร่งที่พัดผ่านสามารถฉีกใครก็ตามที่อยู่ภายใต้ระดับจื้อจุนขั้นห้าให้แหลกเป็นชิ้นๆ
ทันใดนั้นดวงดาวบนท้องฟ้าของดินแดนน้ำแข็งรกร้างก็สว่างไสวขึ้น แสงดาวส่องลงมาพร้อมรอยแตกปรากฏในเส้นทางของแสงดาว…
รัศมีรกร้าง โบราณและไร้ขอบเขตที่อยู่ในรอยแตกก็ราวกับเคลื่อนผ่านกาลเวลากวาดออกมา
มิติบิดเบือนเป็นครั้งคราว เมื่อมองผ่านรอยแตกเข้าไปก็เหมือนจะเห็นภาพตำหนักโบราณที่ปกคลุมไปด้วยหมู่เมฆ ซึ่งสามารถก่อกวนจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนได้ทุกผู้ทุกนาม
ขณะที่รอยแตกปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เหล่าประมุขจากขั้วอำนาจสูงในทวีปเทียนหลัวรวมถึงจอมยุทธ์ที่บรรลุระดับตี้จื้อจุนก็สามารถสัมผัสได้ ทันใดนั้นสายตาของพวกเขาก็มองไปยังทิศทางดินแดนน้ำแข็งด้วยความตื่นตระหนกตกใจ
ขณะนี้แม้แต่ยอดยุทธ์เหล่านี้ที่มักสงบนิ่งก็ผุดลุกขึ้นความสุขกระจายบนใบหน้า
“รัศมีนี้…วังสวรรค์บรรพกาล! ในที่สุดก็จะปรากฏขึ้นแล้ว!”
ทางเหนือของมหาพันภพ
ที่นี่เป็นดินแดนที่ถูกปกคลุมด้วยเปลวเพลิง ย้อมทุกอย่างเป็นสีแดงฉาน พื้นที่แห่งนี้ด้อยกว่าทวีปเทียนหลัวมาก แต่ในมหาพันภพชื่อเสียงของที่นี่กลับไปไกลเกินกว่าทวีปเทียนหลัวไม่รู้กี่เท่า
นั่นเป็นเพราะมีอีกชื่อที่เรียกขานสำหรับที่นี่
แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว
เจ้าเหนือหัวของดินแดนนี้เป็นที่รู้จักกันในฉายาเทพจักรพรรดิอัคคี
ชายที่มาจากพิภพเขตล่างและก่อตั้งแคว้นนี้ขึ้นในเวลาเพียงร้อยปี ชื่อเสียงของเขาดังก้องไปทั่วมหาพันภพ โดยเป็นใหญ่ในทิศหนึ่งของมหาพันภพเลยทีเดียว ตัวเขาก็ก้าวขึ้นสู่การเป็นยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพ
สำหรับจอมยุทธ์ในมหาพันภพ เขาเป็นตำนานมีชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย กระทั่งเวลานี้ที่ซึ่งมีจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนมากมาย เขาก็คือการดำรงอยู่ที่ดึงดูดสายตาทุกคน
ที่ใจกลางดินแดนเป็นเมืองคู่บารมีที่เต็มไปด้วยมหาสมุทรเปลวเพลิงบนท้องฟ้า ช่างดูตระการตาอย่างยิ่ง
ในศาลาหินที่เงียบสงบในเมือง ชายชราและชายคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่นั่นพร้อมกับกระดานหมากล้อมบนโต๊ะ
ชายชราฉายแววตาเมตตาด้วยสติปัญญาเติมเต็มม่านตา ขณะที่รัศมีมากประสบการณ์ไม่สามารถปกปิดได้
ที่นั่งตรงหน้าก็คือชายสวมชุดสีดำ ดวงตาลึกซึ้งราวกับท้องฟ้าพร่างด้วยหมู่ดาว รอยยิ้มอ่อนโยนแขวนอยู่บนใบหน้า รูปร่างเพรียวสูง รัศมีของเขาลึกเกินหยั่งถึงประหนึ่งมหาสมุทร
ขณะนี้เขากำลังจ้องมองกระดานหมากล้อมด้วยความลำบากใจปรากฏบนใบหน้า เห็นได้ชัดว่าเขาตกอยู่ในสภาวะอับจน ถือหมากเก้ๆ กังๆ ไม่สามารถตัดสินใจได้
เขาไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนที่จะวางหมากลง แต่ทันทีที่วางหมากลงไป เปลวไฟก็วูบไหวในดวงตา จังหวะนั้นเปลวไฟก็พุ่งออกมาจากตัวหมาก
“หืม?”
เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้ว มองเข้าไปในมิติที่ห่างไกล
“เกิดอะไรขึ้น?” ชายชราถามอย่างสงสัย
“วังสวรรค์บรรพกาลปรากฏขึ้น ข้ารู้สึกได้” ชายชุดดำยิ้มบาง
“เจ้าวังสวรรค์บรรพกาล?” ชายชราเอ่ยอย่างประหลาดใจ
ชายชุดสีดำพยักหน้า แววตาสนใจวูบไหวขึ้น “ฮ่าๆ ก็คือหนึ่งในเก้าจักรพรรดิโบราณ เจ้าวังสวรรค์บรรพกาล”
ใบหน้าของชายชราเคร่งเครียดลงหลายส่วน เจ้าวังสวรรค์บรรพกาลมีชื่อเสียงที่น่าเกรงขาม ซึ่งถือได้ว่าเป็นจอมยุทธ์ชั้นยอดแม้ในหมู่ระดับเทียนจื้อจุน ว่ากันว่าในสงครามสมัยโบราณจำนวนจอมพลปีศาจที่ตายอยู่ในมือของจักรพรรดิผู้นี้ไม่สามารถนับได้ด้วยนิ้วมือทั้งสองข้าง ดังนั้นชื่อเสียงในความกล้าหาญของการต่อสู้จึงยากที่จะจินตนาการ
“คนแบบนี้ถือได้ว่าเป็นวีรบุรุษ ถ้าข้าเกิดในสมัยโบราณ ข้าจะขอเป็นเพื่อนกับเขาอย่างแน่นอน”
ชายชุดดำหัวเราะร่วนขณะที่เพ่งมองไปที่ห้วงมิติ “วังสวรรค์บรรพกาลเต็มไปด้วยความลึกลับ ข้าคิดว่าคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขันได้เมื่อปรากฏขึ้น แต่ตามที่ข้ารู้วังสวรรค์บรรพกาลล่มสลายในมือของจอมปีศาจและร่องรอยของจักรพรรดิผู้นั้นก็หายไปหลังจากนั้น”
“จอมปีศาจ?” สีหน้าของชายชราเปลี่ยนไป ในเผ่าปีศาจต่างมิตินักรบที่โดดเด่นที่สุดเท่านั้นที่สามารถเป็นที่รู้จักในฐานะจอมปีศาจ
ชายชุดสีดำพยักหน้ายิ้มบาง “ในอดีตผู้อาวุโสคนนั้นปกป้องมหาพันภพอย่างสุดความสามารถ ในฐานะที่เป็นคนรุ่นหลังก็ถือได้ว่าเราได้รับการปกป้องจากเขา ดังนั้นข้าจะต้องรักษาความสงบหลังเขาตายเอาไว้”
แม้ว่าเขาจะพูดด้วยเสียงเบาแต่น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวมาก ในโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถพูดออกมาว่าจะปกป้องความสงบเบื้องหลังจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในอดีต
“เจ้าหมายความว่า” ใบหน้าของชายชราเปลี่ยนเครียดจัด
ชายชุดดำส่ายหัวตอบว่า “หวังว่าข้าจะคิดมากเกินไป”
เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนที่จะมองออกไปนอกศาลาหิน ภายใต้แสงแดดร่างงดงามในชุดสีฟ้าอมเขียวดูสง่างามและทรงเสน่ห์ นางช่างงดงามจนแม้แต่เวลาก็หยุดเคลื่อนคล้อยอยู่ใต้ความงามของนาง
“ซุนเอ๋อ เรียกเซียวเซียวมาหน่อยสิ นางอยากไปที่ทวีปเทียนหลัวไม่ใช่เรอะ? ครั้งนี้ปล่อยให้นางไปเถอะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา นางก็ยิ้มบางเผยให้เห็นถึงความงามสังหาร ก่อนที่จะพยักหน้ารับทราบ
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จชายชุดสีดำก็หันกลับมา ยิ้มด้วยดวงตายิบหยีต่อชายชรา “อาจารย์เรามาเริ่มต้นใหม่ไหม?”
ชายชราอึ้งไปก่อนที่จะก้มศีรษะลงมองก็เห็นว่าหมากบนกระดานไหม้เป็นเถ้าถ่านไปหมดแล้ว ทำให้เขาได้แต่ส่ายหัวยิ้มอย่างช่วยไม่ได้
แม้จะผ่านมาหลายปีเจ้าตัวอันธพาลคนนี้ก็ยังชอบขี้โกงเหมือนเดิม ถ้าคนอื่นเห็นท่าทางแบบนี้ของเขา คงจะยากที่จะเชื่อล่ะมั้ง?
นั่นเป็นเพราะบุคคลที่อยู่เบื้องหน้าเขาก็ประมุขแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว
เทพจักรพรรดิอัคคี—เซียวเหยียน
บทที่ 1073 พัฒนาพลัง
ขณะที่ข่าววังสวรรค์บรรพกาลปรากฏ
แล้วค่อยๆ แพร่กระจายออกไปในทวีปเทียนหลัว ลุกลามไปอย่างรวดเร็วในมหาพันภพ ส่วนในมิติที่แยกตัวออกมาเวลายังคงไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ในดินแดนที่ไม่มีดวงอาทิตย์ขึ้นลง กาลเวลาเป็นสิ่งที่ถูกหลงลืม
บนมหาสมุทรสีแดงเข้ม ร่างหนึ่งนั่งอยู่บนเกาะหินเงียบๆ ตอนนั้นเองเสียงร้องคมชัดก็ดังก้องขึ้น จากนั้นเปลวเพลิงก็ครอบงำไปทั่วเกาะหิน ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจครอบคลุมไปทั่วทั้งเกาะนี้แล้ว
สีของเปลวเพลิงนั้นเบาบางแต่กลับอัดแน่นด้วยพลังครอบงำ ขณะที่เพลิงพวยพุ่งแม้แต่มหาสมุทรรอบๆ ก็พลุ่งพล่านไปหมด มากจนแม้แต่มิติยังบิดเบือน
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตในบริเวณนี้ดูเหมือนว่ากำลังจะถูกเผาผลาญ
สิ่งที่ทำให้ตกตะลึงที่สุดคือพลังชีวิตไร้ขอบเขตที่บรรจุอยู่ในเปลวไฟ เปลวไฟดูเหมือนจะครอบงำและทำลายล้าง แต่ในส่วนลึกก็มีพลังภายในทำให้ลึกลับอย่างยิ่ง
เปลวไฟน่าพิศวงนี้ก็คือเพลิงอมตะที่เป็นเอกลักษณ์ของวิหคอมตะนั่นเอง!
แต่เพลิงอมตะนี้ไม่ได้เป็นของราชินีวิหคอมตะ เมื่อสายตามองไปก็จะเห็นร่างเงาเพรียวบางที่นั่งอยู่บนเกาะซึ่งเป็นจุดกำเนิดของเปลวไฟ
ร่างนั้นก็คือจิ่วโยว ตอนนี้นางได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ผมของนางยาวมากขึ้นและเส้นผมทุกเส้นก็แล่นพล่านด้วยริ้วไฟกระพือขึ้นลงอยู่ด้านหลังคล้ายกับหางของเปลวไฟอันงดงาม
นอกจากนี้เส้นผมทุกเส้นยังบรรจุด้วยพลังแข็งแกร่ง ด้วยความคิดเดียวนางก็สามารถที่จะฟาดออกมาราวกับแส้เพลิง ซึ่งสามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดมีช่วงเวลาที่ยากลำบากเมื่อต่อกรกับเพลิงนี้
เห็นได้ชัดว่าการฝึกฝนครั้งนี้ ทำให้จิ่วโยวเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
นางนั่งอยู่เงียบๆ ทันใดนั้นดวงตาที่ถูกปิดมาเกือบครึ่งปีก็เปิดอย่างช้าๆ
ฟู่! ฟู่!
จังหวะที่ดวงตาเปิดขึ้นทั่วบริเวณก็ราวกับกำลังลุกโชติช่วง ทำให้เกิดช่องว่างบิดเบือนจากความร้อนในเส้นทางที่นางกวาดมอง ห้วงมิติถึงกับแตกสลาย
มีลวดลายเปลวเพลิงแปลกประหลาดปรากฏอยู่ตรงหว่างคิ้วนาง ลวดลายค่อยๆ เปลี่ยนเป็นประกายไฟ ทำให้เปลวไฟบนร่างของนางแข็งแรงขึ้นในเวลาเดียวกัน
ฮา
ลมหายใจสีขาวขุ่นพรูออกมาจากริมฝีปากของจิ่วโยว หมอกนั้นก่อตัวเป็นเปลวไฟในทันที ทำให้ต้นไม้เล็กๆ เบื้องหน้านางกลายเป็นเถ้าถ่าน
แต่หลังจากเผาต้นไม้เล็กๆ เป็นเถ้าถ่านแล้ว เปลวไฟสีขาวก็ไม่หายไปยังคงเผาไหม้ต่อไปด้วยพลังงานแปลกประหลาดที่ถูกปล่อยออกมาจากพวกมัน
สีเขียวมรกตอ่อนงอกขึ้นมาจากเถ้าถ่านของต้นไม้ เมื่อปรากฏออกมาจากเถ้าถ่านก็เปล่งชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
จิ่วโยวมองดูต้นอ่อนในกองขี้เถ้าพร้อมกับความเบิกบานใจพล่านในดวงตา
“ไม่เลว เจ้าสามารถเข้าใจแก่นของเพลิงอมตะได้ ทำให้ตายกลายเป็นมีชีวิต ในอนาคตไม่ว่าเจ้าจะได้รับบาดเจ็บใดๆ ตราบใดที่เพลิงอมตะยังไหลวนในสายเลือด เจ้าก็จะสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว” ที่ด้านหลังจิ่วโยว เสียงหัวเราะใสก็ดังผะแผ่ว เพียงแต่ฟังเหมือนทรุดโทรมและเหนื่อยล้าเต็มกำลัง
จิ่วโยวหันกลับมาอย่างรวดเร็วก็เห็นเงาสลัวรางของราชินีวิหคอมตะ ซึ่งกำลังจะสลายหายไปได้ทุกเมื่อ ความอ่อนล้ากระจายบนใบหน้างดงาม แต่กลับดูปลื้มปริ่มเมื่อมองไปที่จิ่วโยว
เมื่อจิ่วโยวเห็นสภาพนี้ก็รู้ว่าราชินีวิหคอมตะกำลังถึงขีดจำกัดแล้ว ในช่วงเวลาที่นางอยู่ในการเพาะบ่มที่เงียบสงบ ราชันปักษาวิญญาณและราชันอสูรไร้พิรุณก็หมดสิ้นพลังอย่างสมบูรณ์ตั้งแต่ครึ่งปีก่อน เหลือเพียงราชินีวิหคอมตะเท่านั้นที่ยังคงอยู่จนถึงตอนนี้ โดยอาศัยความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ของเพลิงอมตะ
จิ่วโยวมองไปที่ราชินีวิหคอมตะก็รู้สึกเปรี้ยวขึ้นในจมูก ทันใดนั้นนางก็คุกเข่าลงกับพื้น ก้มคารวะด้วยความเคารพสูงสุด
ถ้าไม่ใช่คำแนะนำของราชินีวิหคอมตะ นางไม่มีทางชำระแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้และไม่สามารถพัฒนาเพลิงอมตะของนางได้ถึงขั้นนี้แน่นอน
เมื่อเห็นจิ่วโยวคำนับให้ ราชินีวิหคอมตะก็มองไปด้วยความพึงพอใจอย่างที่สุด ในสายตาของนางพรสวรรค์ของจิ่วโยวโดดเด่นเป็นพิเศษ หากไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นในอนาคตก็มีโอกาสที่จะพัฒนาเป็นวิหคอมตะแท้จริง ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากระดับหนึ่ง นางมองจิ่วโยวในฐานะผู้สืบทอด
“จากนี้เจ้าจะต้องพึ่งพาตัวเองกับเส้นทางในอนาคต นอกจากนี้เผ่าวิหคอมตะก็มีสมาชิกจำนวนน้อยตั้งแต่ต้น ดังนั้นแม้จะถูกจัดสรรเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าหงส์ฟ้า แต่จักรพรรดิของเผ่าหงส์ฟ้าก็มีเพียงหงส์ฟ้าแท้จริง พวกเขาค่อนข้างหวาดกลัวและหวาดระแวงพวกเรา” ราชินีวิหคอมตะพูดด้วยเสียงอ่อนระโหย
ในเผ่าหงส์ฟ้า เฉพาะหงส์ฟ้าแท้จริงเท่านั้นที่อยู่เหนือผู้ใด ส่วนวิหคอมตะแยกออกมาโดดเดี่ยว ดังนั้นแม้ว่าเผ่าหงส์ฟ้าจะให้ความเคารพนับถือกับเผ่าวิหคอมตะ แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ที่พวกเขาจะตั้งระวังภัยไว้สูง
จิ่วโยวพยักหน้า นางถือกำเนิดจากเผ่าวิหคโลกันตร์ ต่อให้นางจะสามารถพัฒนาเป็นวิหคอมตะได้ในอนาคต นางก็จะอยู่ต่อในเผ่าวิหคโลกันตร์ นางไม่สนใจที่จะไปแย่งชิงอำนาจในเผ่าหงส์ฟ้า
เพลิงอมตะไร้ขอบเขตรอบตัวจิ่วโยวเริ่มถอยกลับเข้าไปสถิตในร่างกาย เมื่อเกลียวเพลิงหายไปผมของนางก็กลับมาเป็นดังเดิม ยกเว้นอย่างเดียวก็คือดวงตาที่เปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม
จิ่วโยวลดศีรษะลง ค่อยๆ กำหมัดสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่ไม่มีที่สิ้นสุดในร่างกาย รอยยิ้มถูกยกขึ้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้บนใบหน้า
นับจากเวลา นางอยู่ในมิตินี้ไปแล้วสองปีเต็ม แต่โลกภายนอกผ่านไปแค่ครึ่งปี
สองปีนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อจิ่วโยว ไม่เพียงแต่นางจะสามารถชำระสายเลือดสมบูรณ์แบบ แต่ยังพัฒนาขุมพลังผ่านทางแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะ ทำให้พลังของนางพุ่งจากระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดเป็นขั้นเก้าแล้ว!
สองปีพัฒนาไปสองขุมพลัง!
ตอนนี้จิ่วโยวเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าอย่างแท้จริงแล้ว!
นี่ถ้านางกลับไปที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ นางจะต้องได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นจอมพลคนที่สี่ด้วยขุมพลังในปัจจุบันทันที!
หากคนอื่นรู้เกี่ยวกับพัฒนาการของนาง ดวงตาของพวกเขาคงแทบถลนออกมานอกเบ้า นั่นเป็นเพราะโดยทั่วไปแค่ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดบรรลุขั้นแปด ก็ต้องใช้เวลาหลายปีในการเพาะบ่มอย่างขมขื่นรวมถึงทรัพยากรจำนวนมากและโชคชะตาที่จะบรรลุเป้าหมายนั้นด้วย
แน่นอนว่าพัฒนาการของจิ่วโยวเป็นสิ่งที่ถือได้ว่าโชคหล่นทับโดยไม่ต้องขวนขวย ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ การเพาะบ่มพลังในมิติพิเศษและจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเป็นผู้ชี้แนะ…ขาดหนึ่งในสามเงื่อนไขนี้ไปก็คงเป็นเรื่องยากที่นางจะได้รับความก้าวหน้าถึงขนาดนี้
“ด้วยพลังในปัจจุบัน ข้าคงไม่ไร้ประโยชน์เหมือนเมื่อก่อนแล้วใช่ไหม?” จิ่วโยวคลี่ยิ้มบนริมฝีปากพลางมองออกไปในระยะไกล เมื่อก่อนนางสามารถสัมผัสได้ถึงพลังของมู่เฉินที่พุ่งทะยาน ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เขาเพิ่งเข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ นางยังให้ความช่วยเหลือแก่น้องชายคนนี้ได้บ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปพลังของเขาก็ก้าวล้ำผ่านนางไป
ตั้งแต่นั้นมาจิ่วโยวก็พบว่านางไม่สามารถช่วยเหลือมู่เฉินได้อีก มากจนนางต้องพึ่งพาเขาในการเดินทางมาที่ดินแดนเสินโซ่ นางเป็นเพียงผู้ชมตลอดการเดินทาง
สถานการณ์แบบนี้ทำให้จิ่วโยวอึดอัดใจมาก ตัวนางเคยดูแลมู่เฉินมาตลอด แต่เมื่อไร้ประโยชน์ก็ทำให้นางรู้สึกไม่คุ้นชิน
ดังนั้นนางจึงรู้สึกโล่งใจมากเมื่อรับรู้ได้ถึงความก้าวหน้าที่มี
นางรู้ว่าเหตุผลที่มู่เฉินมาที่ทวีปเทียนหลัวก็เพราะวังสวรรค์บรรพกาล เพื่อที่เขาจะได้รับทักษะวิวัฒนาการสำหรับร่างเทพสุริยะ ทุกสิ่งที่เขาทำมาจนถึงตอนนี้ก็คือการเตรียมการสำหรับเรื่องนี้
หลังจากจัดการเรื่องราวที่เผ่าวิหคโลกันตร์เรียบร้อยแล้ว ชัดว่ามู่เฉินจะเตรียมการเรื่องวังสวรรค์บรรพกาลอย่างเต็มที่ ด้วยพัฒนาการพลังที่เกิดขึ้นนางจะสามารถช่วยเหลือมู่เฉินได้อย่างแน่นอน
“แต่พูดถึงมู่เฉิน…เหมือนเขาจะไม่ได้เผยตัวนานแล้วนะ”
จิ่วโยวเบนสายตาไปยังมหาสมุทรกว้างใหญ่ ไม่มีใครที่นั่นเลย ร่างมู่เฉินเหมือนจะจมลงไปใต้น้ำตั้งแต่หนึ่งปีก่อน เนื่องจากคลื่นหลิงบริเวณนั้นหนาแน่นและทรงพลังยิ่งกว่า
หืม?
ขณะที่ความคิดวูบไหวในใจนาง มหาสมุทรที่ไกลออกไปก็ยกตัวขึ้นด้วยคลื่นเชี่ยวกราก ลอนคลื่นสูงหมื่นจั้งกวาดออกมาจากก้นมหาสมุทร ภาพเงาสูงโปร่งนั่งอยู่บนคลื่นอย่างเงียบๆ
“เอ๊ะ?”
จิ่วโยวมองร่างที่ปรากฏบนคลื่น ก็อดไม่ได้ที่จะร้องอุทานอย่างตกใจ นั่นเป็นเพราะนางรู้สึกได้ว่าความผันผวนของคลื่นหลิงรอบตัวมู่เฉินไม่ได้เติบโตขึ้นมาก เขายังดูอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดเหมือนเดิม
เขาไม่พัฒนาในช่วงสองปีที่ฝึกฝนเลยเหรอ?
ใบหน้าจิ่วโยวฉายความตื่นตะลึง ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ที่มีพรสวรรค์ต่ำเตี้ยก็คงต้องมีการพัฒนามั้งนะ? ไม่ต้องพูดถึงพรสวรรค์ของมู่เฉินที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้วเลย
“เจ้าหนูนั่นฉลาด…”
ขณะที่จิ่วโยวกำลังงุนงง ราชินีวิหคอมตะก็แย้มยิ้มขณะที่พูด “นี่เป็นการสะสมและรอการระเบิดออกมา”
จิ่วโยวเป็นคนหลักแหลมจึงเข้าใจความหมายทันทีและถามว่า “เขาตั้งใจระงับไว้เหรอ?”
ราชินีวิหคอมตะพยักหน้าเบาๆ “ยิ่งเขาระงับตัวเองมากเท่าไร ก็จะระเบิดพลังมากขึ้นเท่านั้น แต่เขาถึงขีดจำกัดในการระงับแล้ว ตอนนี้เรามาดูว่าเขาจะระเบิดออกไปได้ไกลแค่ไหน”
ตามการประเมินในตอนแรกของนาง มู่เฉินน่าจะสามารถไปถึงระดับจื้อจุนขั้นแปดได้ในการเข้าสมาธิลึกครั้งนี้ แต่ไม่ได้คิดว่าความทะเยอทะยานของเขาจะมากเพียงนี้ ถึงขนาดระงับคลื่นหลิงในร่างกายได้ถึงสองปี ตอนนี้ถ้าเขาปลดปล่อยการระเบิดจะต้องน่ากลัวอย่างยิ่ง
เมื่อมองแบบนี้ระดับจื้อจุนขั้นแปดก็คงไม่พอให้เขาหยุดลงได้
บทที่ 1074 เกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า
ครืน!
บนมหาสมุทรที่ทอดยาวสุดสายตา คลื่นพายุยกตัวขึ้นสูงหมื่นจั้ง คลื่นที่ถูกยกขึ้นมาก็กวาดออกกระแทกลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดเสียงดังก้อง ราวกับเสียงของการทำลายล้างที่ทำให้หัวใจของผู้คนสั่นสะท้าน
ภายใต้ชั้นคลื่นที่หนักหน่วง ร่างเงาของมู่เฉินก็ยังมั่นคงราวกับหินผา แม้ว่าลูกคลื่นมากมายนับร้อยพันจะซัดสาดทั่วร่างก็ยังไม่สามารถสั่นคลอนเขาได้
คลื่นหลิงรอบตัวเขาย้อนกลับเข้าไปโดยไม่มีการรั่วไหลใดๆ มีเพียงแสงสีทองไหลเวียนอยู่บนพื้นผิวของร่างกาย แสงสีทองไม่เพียงแต่ไม่สว่างกว่าเมื่อก่อน กลับยังมืดมนลงหลายส่วน ประหนึ่งทองแท้ที่ถูกฝังกลบอยู่ใต้ดินนานหลายปี
ขณะที่คลื่นกวาดออกมาอย่างต่อเนื่อง ดวงตาของมู่เฉินที่ปิดมานานกว่าหนึ่งปีก็เปิดออกอย่างช้าๆ
ตู้ม!
ม่านตาสีดำสนิทฉาบประกายทองคำในเวลานี้ ราวกับว่าเป็นแสงทองจริงๆ ซึ่งแฝงด้วยคลื่นหลิงทรงพลังสุดจะพรรณนาพวยพุ่งออกมาจากดวงตาของมู่เฉิน
เหวกว้างหนึ่งร้อยจั้งถูกฉีกออกด้วยแสงสีทองสองสายปรากฏขึ้นในมหาสมุทรฉับพลัน เป็นเวลานานกว่ากระแสน้ำจะกลับมาเป็นปกติ
ดวงตาของมู่เฉินพรั่งพรูด้วยแสงสีทอง ถ้ามองอย่างละเอียดจะเห็นว่าร่างกายของเขาสั่นเทิ้มไม่หยุด มือกำเข้าหากันแน่น เส้นเลือดบิดตัวไปมาบนท่อนแขนของเขา ทุกครั้งที่เกิดการดิ้นทุรนทุรายพลังน่าสะพรึงกลัวที่ถูกระงับไว้จะถูกปลดปล่อยออกมา ทำให้บรรยากาศโดยรอบวูบวาบไปหมด
มู่เฉินหัวใจเต้นระรัวในยามนี้ มีเพียงเขาคนเดียวที่รู้ว่าคลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่ใหญ่โตและไร้ขอบเขตเพียงใด มากจนกระทั่งถึงจุดที่เขาสงสัยว่าถ้าตนเองยังคงฝึกฝนต่อไปแม้กระทั่งจุดจื้อจุนไห่ก็อาจไม่สามารถรับไหวจนระเบิดออก
ทุกเส้นสายภายในและกล้ามเนื้อในร่างกายอัดแน่นด้วยคลื่นหลิงจนถึงขีดสุด
หากมีใครโจมตีเขาในตอนนี้ เพียงการเคลื่อนไหวของพลังงานขนาดเล็กก็สามารถทำลายการควบคุมคลื่นหลิงของมู่เฉินในร่างกาย ทำให้พลังงานในร่างกายเขากวาดออกไป ในเวลานั้นถึงแม้จะมีกายามังกรหงส์ ตัวเขาก็อาจจะสลายลงเป็นเถ้าถ่านภายใต้การระเบิดของคลื่นพลังที่รุนแรง
ขณะนี้เขาหมือนภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุ
ทว่าหากเขาทนรับพลังงานระเบิดได้ การเก็บเกี่ยวของเขาก็จะทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนดวงตาแดงก่ำด้วยความอิจฉา
“ประมาณนี้แหละ”
เมื่อสัมผัสถึงคลื่นหลิงรุนแรงแผดเสียงในร่างกาย มู่เฉินก็พึมพำก่อนที่จะไม่ลังเล ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม จากนั้นก็วาดตราประทับด้วยมือทั้งสองข้าง
ตู้ม!
ทันทีที่ตราประทับก่อร่างขึ้น ร่างของมู่เฉินก็กระตุกอย่างรุนแรง ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีแดงทันใด มากจนหยดเลือดไหลออกมาจากรูขุมขนทั่วสรรพางค์กาย
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจ เนื่องจากตอนนี้ในร่างกายของเขาอยู่ในสภาพที่น่ากลัวอย่างยิ่ง คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตในจุดจื้อจุนไห่ระเบิดออกรอบทิศทาง ราวมังกรเกรี้ยวกราดพุ่งทะลุร่างของเขา ในเส้นทางที่พาดผ่าน เส้นลมปราณบิดตัว เลือดเนื้อเจ็บปวดรุนแรง แม้กระทั่งเลือดก็ถูกบีบอัดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
พลังงานที่น่ากลัวเหมือนต้องการทำลายร่างกายของมู่เฉินอย่างสมบูรณ์
ความเจ็บปวดที่ไม่สามารถอธิบายได้พล่านไปทั่ว แต่สายตาของเขาก็ไม่ได้เคลื่อนไหว เพราะนับตั้งแต่เขาตัดสินใจระงับคลื่นพลังงานเพื่อไปสู่ความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ เขาก็เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้ไว้แล้ว
นั่นเป็นเพราะตามการประเมิน เขาจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นแปดเท่านั้นถ้าฝึกฝนตามปกติ เพราะเขาไม่ได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณเหมือนกับจิ่วโยว ดังนั้นเขาไม่สามารถก้าวกระโดดสองขั้นได้อย่างนางแบบง่ายดาย
ท้ายที่สุดเขาเป็นเพียงมนุษย์ซึ่งแตกต่างจากเทพอสูร การฝึกฝนของมนุษย์เชื่องช้า ในกรณีส่วนใหญ่การฝึกฝนของเทพอสูรเป็นแบบไม่มีการพัฒนานาน แต่ถ้ามีการพัฒนาเมื่อไรก็จะก้าวกระโดดขึ้นไปมากเลยทีเดียว
ในอดีตพลังของจิ่วโยวอยู่เหนือมู่เฉินไปมาก แต่ก็ถูกเขาตามทัน ทว่าในตอนนี้ชัดว่าเป็นเวลาที่พลังของจิ่วโยวจะเพิ่มสูงขึ้นแล้ว
ดังนั้นหากมู่เฉินต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อเพิ่มพลังให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขาจะต้องใช้วิธีการอื่นเช่นการดูดซับคลื่นพลังให้มาก ระงับไว้แล้วค่อยระเบิดทีเดียว
ทว่าก็มีความเสี่ยงในการใช้วิธีนี้ นั่นเป็นเพราะหากคลื่นหลิงถูกระงับมากเกินไป ก็มีโอกาสสูงที่ผู้ฝึกจะไม่สามารถทนได้ ซึ่งจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการทำลายล้าง
แต่ความเสี่ยงดังกล่าวไม่น่ากลัวสำหรับมู่เฉินที่วนเวียนอยู่ระหว่างความเป็นตายมาหลายปี ดังนั้นเขาเลือกเส้นทางนี้โดยไม่ลังเล
ตู้ม! ตู้ม!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตมหาศาลพวยพุ่งไปทั่วร่างของมู่เฉิน ทำให้ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ จนในท้ายสุดมีเลือดไหลหยดลงมาจากมุมหางตา ราวกับว่าเป็นน้ำตาเลือด
ร่างถูกปกคลุมไปด้วยรอยเลือดปริแตก ราวกับว่ากำลังจะระเบิด
บนเกาะหิน จิ่วโยวรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่งเมื่อมองฉากนี้ นางรู้ว่ามู่เฉินมาถึงช่วงเวลาวิฤกตแล้ว ถ้าเขาล้มเหลวไม่เพียงแค่การฝึกสองปีจะต้องสูญเปล่า เขายังจะได้รับบาดเจ็บหนักอีกด้วย
โฮก!
ขณะที่ดวงตาของจิ่วโยวจับจ้องอยู่ที่มู่เฉิน การโจมตีก็กระหน่ำยิงจากคลื่นลูกใหญ่ที่อยู่เบื้องล่าง เสียงคำรามใหญ่โตราวกับมังกรดังก้อง มู่เฉินลุกขึ้นยืนจุดชนวนคลื่นหลิงในร่างกายโดยตรง โดยไม่ได้สนใจรอยแตกร้าวที่เกิดขึ้น!
คลื่นกระแทกที่ไม่สามารถอธิบายได้ของพลังงานระเบิดออก มหาสมุทรในรัศมีหมื่นจั้งถูกกดลงใต้ก้น ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่
รอบกระแสน้ำวน คลื่นขนาดหมื่นจั้งถูกผลักออกไป ก่อนที่จะไปถึงเกาะหินก็หายไปอย่างเงียบๆ
ดวงตาของจิ่วโยวจับจ้องอยู่ที่เบื้องบนกระแสน้ำวนในมหาสมุทร
แสงหลิงคลี่กระจายออกมาจากร่างของมู่เฉินที่ลอยตัวบนอากาศ ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังระเบิดออกแล้วลุกโชนด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์
ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด!
ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุด!
ระดับจื้อจุนขั้นแปด!
ในเวลาไม่กี่อึดใจความผันผวนของคลื่นหลิงที่พวยพุ่งจากมู่เฉินก็บุกผ่านขั้นเจ็ดและได้ก้าวเข้าสู่ขั้นแปด
“เขาบรรลุระดับจื้อจุนขั้นแปดได้แล้ว!” จิ่วโยวร้องด้วยความยินดี
ที่ด้านข้างร่างราชินีวิหคอมตะที่โปร่งแสงก็ยิ้มบางก่อนพูดว่า “ยังไม่ถึงที่สุด ความทะเยอทะยานของเจ้าหนูนั่นไม่เล็กเลย”
“แล้วเขาจะบรรลุถึงขั้นเก้าไหมเจ้าคะ?” จิ่วโยวอดไม่ได้ที่จะถาม แต่เมื่อถามออกไปท่าทางของนางก็กลับกลายเป็นเคร่งเครียด ไม่มีแววดีใจอะไรมาก นั่นเป็นเพราะนางรู้ว่ารากฐานการฝึกฝนของมู่เฉินมั่นคงมาตลอด หากเขาฝืนอย่างรวดเร็วเกินไป ต่อให้ผ่านการฝึกฝนยาวนานมาสองปีก็จะส่งผลกระทบอย่างแน่นอน
“ถ้าเขาเทหมดหน้าตัก ก็เป็นไปได้ที่จะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาจะต้องแบกรับผลกระทบบางอย่าง” ราชินีวิหคอมตะพูดเบา ๆ
สายตาคมชัดของยอดยุทธ์ทำให้นางสามารถเห็นศักยภาพของมู่เฉินที่ทะลวงเข้าสู่ขั้นเก้าได้ แต่ก็เป็นตามที่จิ่วโยวกังวล ถ้าเขาพัฒนาเร็วเกินไปก็จะไม่เป็นเรื่องดีสำหรับเขา
จิ่วโยวพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็มองไปที่ร่างเหนือมหาสมุทร มืออดกำแน่นไม่ได้
ภายใต้สายตาจดจ่อของทั้งสอง คลื่นหลิงผันผวนที่ระเบิดออกมาจากร่างมู่เฉิน ยังคงแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเวลาสิบกว่าลมหายใจความแปรปรวนที่ปะทุออกมาก็เหนือชั้นกว่าระดับจื้อจุนขั้นแปดสามัญไปแล้ว พุ่งเข้าสู่ขั้นแปดระยะปลายสุดอย่างรวดเร็ว
อีกหลายสิบลมหายใจผ่านไป คลื่นหลิงผันผวนที่กระจายจากร่างมู่เฉินราวกับเมฆสายฟ้าปกคลุมทั่วท้องฟ้า ช่างทรงพลังมาก
หัวใจของจิ่วโยวโลดมาถึงคอหอย ดูจากสถานะปัจจุบันตราบใดที่มู่เฉินต้องการก็สามารถก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นเก้าได้
เมื่อบรรลุระดับนั้น ระดับตี้จื้อจุนก็อยู่ในอุ้งมือเขาแล้ว
เขาเข้าใกล้การเป็นยอดยุทธ์เข้าไปทุกที
ตู้ม!
ตามคาดความผันผวนของคลื่นหลิงที่ปะทุออกมาจากร่างของมู่เฉินเพิ่มขึ้นอีกรอบ ในเวลาสิบกว่าลมหายใจคลื่นพลังก็มาถึงขีดสุดของระดับจื้อจุนขั้นแปดก่อนจะระเบิดลั่น จิ่วโยวรับรู้ได้ถึงความผันผวนพลังงานของมู่เฉินผ่านขอบเขตขั้นแปดเริ่มบรรลุขั้นเก้าแล้ว
เฮ้อ
จิ่วโยวถอนหายใจในใจ ราชินีวิหคอมตะก็ส่ายหน้าเช่นกัน หากมู่เฉินไม่สามารถควบคุมตัวเอง เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานในอนาคต เมื่อต้องการบรรลุระดับตี้จื้อจุน
ในฐานะที่เป็นมหาเทพอสูรและจอมยุทธ์ชั้นนำในระดับเทียนจื้อจุน นางรู้อยู่แล้วว่ามีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้านับไม่ถ้วนในโลก แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถผ่านไปถึงระดับตี้จื้อจุน นั่นเป็นเพราะหากมีความผิดพลาดในการฝึกฝนก่อนหน้าเพียงเล็กน้อยก็จะทำให้พวกเขาหยุดชะงักอยู่ที่ระดับจื้อจุนขั้นเก้าและไม่สามารถก้าวขึ้นไปสูงกว่านี้ได้
แม้ว่ากรณีของมู่เฉินจะไม่ร้ายแรง แต่อนาคตก็จะต้องเสียพลังงานและเวลามากขึ้นสำหรับในการพัฒนา
“หืม?”
ทว่าขณะที่ความคิดเหล่านี้ไหลเวียนในหัวใจ การแสดงออกของพวกนางก็เปลี่ยนไป พวกนางมองที่พื้นผิวมหาสมุทรด้วยความประหลาดใจ นั่นเป็นเพราะพวกนางรู้สึกได้ว่าความผันผวนของคลื่นหลิงที่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงได้ถูกระงับไว้เมื่อเข้าใกล้ระดับจื้อจุนขั้นเก้า!
ในท้องฟ้าอันห่างไกลคลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกไปราวกับคลื่นยักษ์ ร่างอ่อนเยาว์ยืนอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับพื้นผิวของร่างกายเปล่งแสงสีทองจางๆ ความกดดันที่คลุมเครือถูกปล่อยออกมาเงียบๆ
ในที่สุดจิ่วโยวที่กำหมัดแน่นก็คลายออก ความสุขที่ไม่สามารถปกปิดได้ปรากฏบนใบหน้า
ราชินีวิหคอมตะก็พยักหน้าด้วยสีหน้าชื่นชม มู่เฉินไม่ได้ทำให้นางผิดหวัง ดูเหมือนว่าในอนาคตบางทีเขาอาจมีความสามารถและพลังในการสืบทอดสถานที่แห่งนี้จริงๆ
นั่นเป็นเพราะขณะนี้มู่เฉินสามารถควบคุมความล่อลวงใจที่จะบุกทะลวงสู่ระดับจื้อจุนขั้นเก้าไว้ได้แล้ว
แต่ในเวลาเดียวกันก็ทำลายตรวนขั้นแปด
นั่นคือระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า
บทที่ 1075 หวนกลับ
บนมหาสมุทรกว้างใหญ่
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าเป็นสาย ก่อร่างเป็นสายเมฆยาวแต้มไล่สี มู่เฉินยืนอยู่กลางอากาศ เนื่องจากเพิ่งบรรลุขุมพลังทำให้มีปัญหาในการควบคุมคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตในร่างกาย เวลานี้เสื้อผ้าถึงกับสั่นกระพือ เสียงพายุดังกึกก้อง เกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นโดยรอบจนถึงจุดที่ระเบิดเสียงครางกระหึ่มออกมาเลยทีเดียว
ดวงตาที่ปิดอยู่ก็เปิดขึ้นช้าๆ แสงหลิงมืดดำส่องประกายในนัยน์ตา รอยปริแตกเลือดบนผิวหนังก็หายไปอย่างสมบูรณ์แล้วในขณะนี้
“ระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า”
มู่เฉินก้มหน้าลงมองมือตัวเองแล้วก็อึ้งไป รู้สึกถึงคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตในร่างกาย ยามนี้กระทั่งคนแบบเขายังอดไม่ได้ที่จะหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ
ตอนที่เขาจากสำนักศึกษาเป่ยชางไม่ได้ฝึกกระทั่งร่างเทห์สวรรค์ ตอนที่เข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์เขาก็เพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นหนึ่งเท่านั้น ทว่าเวลาผ่านมาหลายปีในที่สุดเขาก็ได้สัมผัสกับขั้นสูงสุดของระดับจื้อจุนเสียที
ตราบใดที่เขาสามารถปลดตรวนระดับจื้อจุนขั้นเก้าได้ เขาก็จะผงาดขึ้นเป็นจอมยุทธ์ชั้นยอด!
ระดับตี้จื้อจุน!
เมื่อใดที่เขาสามารถก้าวเข้าสู่ระดับนั้น เขาก็จะมีคุณสมบัติอันน่ายกย่องในมหาพันภพ ถึงเวลานั้นเขาจะถูกจัดอันดับให้อยู่ในทำเนียบจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่
ในเวลานั้นเขาก็จะมีความสามารถและความมั่นใจในการเดินทางไปยังตระกูลลั่วเสิน
หนทางที่เคยเหมือนยาวไกล กลับลอยมาอยู่เหนืออุ้งมือของเขาแล้วในวันนี้ ซึ่งทำให้มู่เฉินรู้สึกปลาบปลื้มใจ การฝึกฝนที่ขมขื่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่ได้สูญเปล่า
มู่เฉินยิ้มบางขณะที่ดำดิ่งสำรวจร่างกายก่อนที่จะสังเกตเห็นจุดจื้อจุนไห่ ขนาดของจุดจื้อจุนไห่กว้างใหญ่ขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า คลื่นหลิงก็แข็งแกร่งเกินกว่าที่เคยเป็นมานับไม่ถ้วน
มิหนำซ้ำคลื่นหลิงก็ถูกขัดเกลาอย่างมาก หากมองลงไปอย่างละเอียดก็จะพบว่ามีเปลวเพลิงโปร่งใสลอยฟุ้งอยู่ในสายคลื่นพลัง อัดแน่นด้วยพลังที่มีชีวิตชีวา
“นี่คือเพลิงอมตะที่ข้าเคยดูดซับมาก่อน…”
เมื่อมองภาพนี้ มู่เฉินก็ดีใจในหัวใจ ดูเหมือนว่าการฝึกฝนตลอดสองปีที่ผ่านมาทำให้เพลิงอมตะที่อยู่ในจุดจื้อจุนไห่ผสานเข้ากับคลื่นหลิงของเขาแล้ว ซึ่งนี่ถือเป็นการเก็บเกี่ยวที่ยอดเยี่ยมนัก
เพลิงอมตะเหล่านั้นอาจดูไม่น่าทึ่ง แต่มู่เฉินทราบดีว่าหลังจากที่เพลิงอมตะหลอมรวมเข้ากับคลื่นหลิงของเขาสมบูรณ์ พวกมันจะมอบพลังชีวิตให้คลื่นของเขาไม่หยุด ดังนั้นแม้ความจริงมู่เฉินจะอยู่ในระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า แต่ในแง่ของพลังแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าแท้จริงก็ไม่สามารถได้เปรียบในมือเขา
มู่เฉินยิ้มพุ่งออกจากจุดจื้อจุนไห่แล้วมองไปที่ท่อนแขน เห็นจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงสถิตอยู่ที่นี่ แม้ว่าจะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงขนาด แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากเกี่ยวกับสี สีเหลืองทองที่ส่องประกายกลายเป็นสีทองเข้มอย่างสมบูรณ์ มิหนำซ้ำยังมีจุดแสงสีม่วงอยู่เล็กน้อย
เหมือนสัมผัสได้ถึงสายตาของมู่เฉิน มังกรและหงส์ฟ้าจึงเบิกตา เวลานี่เองพลังกดดันของเทพอสูรแท้จริงก็ล้อมรอบไปทั่ว ทำให้ระดับคลื่นโดยรอบชั้นทะเลพลังลดลง
รับรู้ถึงแรงกดทรงพลัง ดวงตาของมู่เฉินก็เปล่งประกาย แรงกดดันนี้เป็นสิ่งที่ทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดยังถูกยับยั้งจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ โจมตีกลับไม่ได้เลย
ชัดว่าช่วงสองปีในการฝึกฝน มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงได้รับประโยชน์จากสถานที่แห่งนี้มหาศาล ซึ่งทำให้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสมบูรณ์
ตอนนี้ถ้ามู่เฉินปะทะกับไป๋หมิงอีกครั้ง บางทีเขาอาจไม่ต้องลงมือเอง แค่การรั่วไหลของแรงกดดันของเทพอสูรแท้จริง ชายคนนั้นก็หมอบราบคาบแก้วลงกับพื้นแล้ว
“ผลการเก็บเกี่ยวครั้งนี้ยิ่งใหญ่แท้จริง”
มู่เฉินออกจากห้วงจิต สัมผัสถึงพัฒนาการ ความพึงพอใจก็ผุดขึ้นในดวงตา ตามกฎเวลาของที่นี่เขาน่าจะฝึกฝนเป็นเวลาสองปี แต่ภายนอกก็ผ่านไปเพียงครึ่งปีเท่านั้น
ในเวลาเพียงครึ่งปี พัฒนาการเช่นนี้ของเขาเป็นสิ่งที่จะทำให้ทุกคนตกตะลึง
เขายิ้มบาง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ เงาร่างไปปรากฏบนเกาะอย่างน่าพิศวง
“ฮ่าๆ ขอแสดงความยินดีกับพัฒนาการของเจ้า”
เมื่อร่างของเขาเพิ่งปรากฏขึ้น เสียงหัวเราะร่าของจิ่วโยวก็สะท้อนเข้ามา เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นร่างเพรียวบางฉายในดวงตาของเขา อาการตกตะลึงวูบไหวบนใบหน้าหล่อเหลา
“เจ้าบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าแล้วเรอะ?” มู่เฉินถามด้วยความตื่นตะลึง เขาสามารถสัมผัสได้ถึงการคุกคามแผ่วเบาที่เกิดจากจิ่วโยว ซึ่งเป็นบางสิ่งที่เกิดจากระดับจื้อจุนขั้นเก้าที่แท้จริง
“ต้องขอบคุณแก่นมรดกโลหิตของผู้อาวุโส” จิ่วโยวพยักหน้าด้วยรอยยิ้มกระจายเต็มใบหน้า เห็นได้ชัดว่านางพึงพอใจกับการเก็บเกี่ยวในการเดินทางครั้งนี้มาก ซึ่งจะทำให้นางสามารถช่วยมู่เฉินได้ ไม่ใช่เป็นตัวถ่วงให้เขาต้องคอยพยุงต่อไป
มู่เฉินเบ้ปาก เขาฝึกฝนอย่างขมขื่นสองปี ถึงได้ก้าวไปถึงระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น ปรากฏว่าโชคของจิ่วโยวกลับแซงหน้าไปอีก นางทะยานตรงไปยังขั้นเก้าได้เลย ช่างน่าอิจฉาจริงๆ
“หลักการของการฝึกฝนระหว่างเทพอสูรกับมนุษย์แตกต่างกัน แต่ละคนมีข้อดีและข้อเสียในตัวเอง” ราชินีวิหคอมตะแย้มยิ้มบางจากด้านข้าง
มู่เฉินพยักหน้ามองดูร่างสะคราญโฉมที่เกือบจะโปร่งใส ดวงตาก็มืดมัวลง เขารู้ว่าอีกไม่ช้าราชินีวิหคอมตะจะหายตัวไปจากโลกชั่วนิรันดร์
ผู้อาวุโสท่านนี้ให้โอกาสเขาเข้าสู่มิตินี้ มิฉะนั้นถ้าเขาต้องการจะไปให้ถึงขุมพลังในปัจจุบัน เขาอาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีกเป็นปี นอกจากนี้รากฐานก็จะไม่มั่นคงเท่านี้
เมื่อราชินีวิหคอมตะมองเห็นสายตาของเขาก็ยิ้มบางเอ่ยว่า “ข้าตายไปนานแล้ว ที่เหลือร่างดวงจิตไว้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ปีศาจเข้ามาปนเปื้อนในดินแดนเสินโซ่เท่านั้น ตอนนี้ได้พบผู้สืบทอดด้วย ทุกอย่างเป็นที่พอใจแล้ว”
“ในอนาคตถ้าข้ามีความแข็งแกร่งในการสืบทอดสถานที่นี้ ข้าจะปกป้องมหาพันภพสุดกำลัง” มู่เฉินประสานมือโค้งคำนับด้วยคำสัตย์สาบาน
ราชินีวิหคอมตะรู้สึกพึงใจพลางพยักหน้าให้ ก่อนที่ร่างจะโปร่งใสมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับกำลังจะจางหายไป นางชี้นิ้ว มิติเบื้องหน้าก็ผันผวนก่อตัวเป็นกระแสคลื่นวน
“ประตูเคลื่อนย้ายมิตินี้จะนำพวกเจ้ากลับไปยังเผ่าวิหคโลกันตร์ เมื่อข้าจากไป เจ้าสองคนก็กลับไปเถอะ”
ทั้งมู่เฉินและจิ่วโยวคำนับด้วยมารยาทสูงสุดให้แก่ราชินีวิหคอมตะอีกครั้ง
ราชินีวิหคอมตะกวาดมองดินแดนแห่งนี้โดยไม่มีความอาลัยหลงเหลือ จากนั้นนางก็ค่อยๆ หลับตา ร่างกายโปร่งใสยิ่งขึ้น ก่อนที่จะกลายเป็นประกายไฟจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วจางหายไป
ตู้ม! ตู้ม!
มหาสมุทรขนาดใหญ่กลิ้งตัว ส่งเสียงร้องครวญครางดังก้องราวกับว่ากำลังเอ่ยร่ำลาผู้เป็นใหญ่ที่สุดซึ่งครั้งหนึ่งเคยปกครองดินแดนเสินโซ่
มู่เฉินและจิ่วโยวมองไปยังจุดที่ราชินีวิหคอมตะหายไปเป็นเวลานาน ก่อนที่จะถอนหายใจแล้วแลกเปลี่ยนสายตากัน ทั้งสองไม่มีความลังเลก้าวเข้าไปในประตูมิติ
ระลอกแปรปรวนจากกระแสคลื่นมิติกลืนกินพวกเขา สุดท้ายความผันผวนระเบิดออก จากนั้นกระแสคลื่นก็ค่อยๆ หายไป
พร้อมกับการจากไปของพวกเขา มิติที่เต็มไปด้วยมีพลังแห่งจิตวิญญาณที่ไม่มีที่สิ้นสุดก็เงียบสงบอีกครั้ง รอเวลาที่จะเผยโฉมใหม่ในอนาคต บางทีเมื่อถึงเวลานั้นมู่เฉินก็ได้กลายเป็นยอดยุทธ์ที่แท้จริงแล้ว
ความผันผวนของมิติโกลาหลไปหมด รบกวนประสาทสัมผัสของมู่เฉินและจิ่วโยว แต่การขนส่งข้ามมิตินี้ก็ไม่ได้อยู่นาน ลำแสงกระจายที่เบื้องหน้า ทั้งสองก้าวออกมาทิวทัศน์โดยรอบก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
ทิวทัศน์คุ้นตาฉายในดวงตาของทั้งคู่ ร่างแสงนับไม่ถ้วยทะยานมาจากระยะไกล ชัดว่ารู้สึกถึงความผันผวนมิติของที่นี่
มู่เฉินและจิ่วโยวมองไปที่ทิวทัศน์คุ้นเคยในเผ่าวิหคโลกันตร์ก็รู้สึกราวกับว่าได้รับชีวิตใหม่ การฝึกฝนเป็นเวลาสองปีในมิตินั้นช่างโดดเดี่ยวและเงียบเหงามาก
ขณะที่มู่เฉินและจิ่วโยวกำลังอึ้งไป ร่างแสงเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้น เมื่อพวกเขาเห็นจิ่วโยว ความหวาดระแวงในดวงตาก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึง
“พาเราไปพบท่านประมุขและเหล่าผู้อาวุโส” จิ่วโยวยกมือพูดขึ้นเบาๆ
ร่างแสงเหล่านี้ก็คือผู้คุมกฎของเผ่าวิหหคโลกันตร์ที่ทรงพลัง สถานะของพวกเขายิ่งใหญ่มาก ในอดีตพวกเขาแข็งแกร่งกว่าจิ่วโยว แต่วันนี้เมื่อพวกเขาพบจิ่วโยวอีกครั้ง พวกเขาก็อึ้งไปกับความกดดันที่ถูกปล่อยออกมาจากนาง แต่ละคนได้แต่ตื่นตะลึงในใจ เนื่องจากพวกเขาเคยสัมผัสแรงกดดันแบบนี้จากผู้อาวุโสของเผ่าเท่านั้น
ในเวลาเพียงครึ่งปีความแข็งแกร่งของจิ่วโยวทำไมถึงเติบโตได้มากเช่นนี้?
พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตาด้วยความสงสัยอัดแน่นใจหัวใจ แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครกล้าถาม พวกเขาหันหลังกลับนำทางทันที
สภาผู้อาวุโส
เมื่อเทียนฮวงและผู้อาวุโสของเผ่าเห็นจิ่วโยวและมู่เฉินมาถึง แววตกตะลึงก็วูบไหวในดวงตา
“จิ่วโยว เจ้าสองคน…” เทียนฮวงอดที่จะถามไม่ได้ ในเวลาเพียงครึ่งปีจิ่วโยวที่อยู่ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดก็บรรลุขั้นเก้า?
แม้แต่มู่เฉินก็ยังก้าวเข้าระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าจากขั้นหก
การพัฒนาครั้งใหญ่นี้ ทำให้แม้แต่เทียนฮวงที่มีประสบการณ์มากมายยังรู้สึกตกใจ
จิ่วโยวยิ้มบาง “ข้าได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ นอกจากนี้เรายังได้รับคำแนะนำจากราชินีวิหคอมตะด้วย ดังนั้นพลังถึงได้พัฒนาไปมาก”
นางไม่ได้พูดถึงมหาสมุทรเทพสร้างเพราะเป็นสิ่งล่อใจยิ่งใหญ่เกินไป แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ยังต้องตาแดงก่ำ ยิ่งกว่านั้นยังมีเงื่อนไขในมือมู่เฉินเพียงข้อเดียว ถ้าถูกเปิดเผยจะทำให้เขาเดือดร้อนอย่างแน่นอน
“ราชินีวิหคอมตะจริงสินะ…”
เทียนฮวงและคนอื่นก็เข้าใจได้ในทันที พวกเขาได้แต่ถอนหายใจ พวกเขารู้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่พูด แต่ในเมื่อจิ่วโยวไม่ต้องการเปิดเผย พวกเขาก็ไม่สามารถถามอะไรได้มาก ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับเผ่าวิหคโลกันตร์
เทียนฮวงและผู้อาวุโสแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็หันไปมองมู่เฉิน สายตาดูอ่อนโยนยิ่งขึ้น ครั้งนี้มู่เฉินไม่เพียงแต่ช่วยให้จิ่วโยวได้รับแก่นมรดกโลหิตเท่านั้น เขายังช่วยให้นางเพิ่มพูนพละกำลัง ซึ่งนับเป็นบุญคุณใหญ่หลวง
“มู่เฉินตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราจะไม่พูดถึงพันธะโลหิตของเจ้ากับจิ่วโยว ข้าหวังว่าในอนาคตเจ้าสองคนจะต้องระวังตัวให้มากขึ้น” เทียนฮวงกล่าวอย่างช้าๆ
“ขอบคุณท่านประมุขและผู้อาวุโส” มู่เฉินประสานมือ หัวใจคลายการบีบรัดลง ในที่สุดเขาก็แก้ไขปัญหานี้ได้เนื่องจากเขาไม่ต้องการที่จะให้ความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับเผ่าวิหคโลกันตร์น่าอึดอัดใจ โดยที่จิ่วโยวจะต้องยืนอยู่ตรงกลาง
“นอกจากนี้…”
เทียนฮวงหยุดพูดไปจังหวะหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “จากการประชุม ทางเผ่าได้ตัดสินใจจะแต่งตั้งเจ้าให้ดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสแห่งเผ่าวิหคโลกันตร์ ไม่รู้ว่าเจ้าคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้?”
มู่เฉินและจิ่วโยวอึ้งไป การจะดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสของเผ่าวิหคโลกันตร์อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าซึ่งจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นจอมยุทธ์ทรงพลังที่สุดในเผ่า ไม่ต้องพูดถึงมู่เฉินในอดีต กระทั่งตอนนี้เขาก็อยู่ในระยะเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าเท่านั้น ชัดว่าไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ นอกจากนี้ที่สำคัญเขาไม่ใช่สมาชิกของเผ่าวิหคโลกันตร์
ตำแหน่งของผู้อาวุโสในเผ่านั้นสำคัญมาก หากจัดการได้ดี เผ่าวิหคโลกันตร์ก็จะเป็นพื้นหลังให้เขาในอนาคต
นี่คือขุมกำลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าของอาณาเขตกงเวทสวรรค์เสียอีก!
นอกจากนี้มู่เฉินก็ต้องการพลังดังกล่าว ดังนั้นเขาจึงลังเลชั่วครู่เมื่อได้ยินข้อเสนอจากเทียนฮวง จากนั้นก็ประสานมือด้วยรอยยิ้ม
“ข้าไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้”
เมื่อได้ยินการตอบสนองของมู่เฉิน เทียนฮวงและเหล่าผู้อาวุโสก็รู้สึกโล่งใจ สายตาของพวกเขาเป็นมิตรมากขึ้นเมื่อมองไปที่มู่เฉิน
“อีกเรื่องเมื่อไม่นานประมุขมั่นถัวหลัวแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ฝากข้อความมาถึงเจ้า” เทียนฮวงยกมือขึ้น แผ่นหยกก็บินไปหามู่เฉิน
มู่เฉินรับมาแล้วบีบแผ่นหยกให้แตก ก่อนที่ม่านตาจะหดเกร็ง
มีเพียงประโยคเดียวที่อยู่ในแผ่นหยกนี้ แต่ก็ทำให้หัวใจของมู่เฉินกระเพื่อมเป็นลอนคลื่นเลยทีเดียว
“วังสวรรค์บรรพกาลปรากฏแล้ว กลับมาให้เร็วที่สุด!”
บทที่ 1076 สถานการณ์ของอาณาเขตกงเวทสวรรค์
ภูมิภาคทางเหนือ
นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามล่า อดีตขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคทางเหนืออย่างหมู่ตึกเทวะก็ถูกทำลาย สถานการณ์ที่เกิดขึ้นราวกับพายุพุ่งมารวมกัน เนื่องจากรากฐานของหมู่ตึกเทวะทรงพลังอย่างยิ่ง ขั้วอำนาจสูงสุดต่างต้องการที่จะตัดแบ่งกันเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่ถึงปีก็กลายเป็นขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคทางเหนือ
สำหรับพันธมิตรที่มั่นถัวหลัวก่อตั้งขึ้นพร้อมกับขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ก็เริ่มมีความหมายบางอย่างภายใต้การควบคุมของนาง ด้วยพลังที่แข็งแกร่งในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย มั่นถัวหลัวก็มีแววจะก้าวเป็นผู้นำของพันธมิตรภูมิภาคทางเหนือ ซึ่งผู้นำขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ก็ไม่ได้โต้แย้งปฏิเสธอะไร เพราะมั่นถัวหลัวและอาณาเขตกงเวทสวรรค์ในปัจจุบันเป็นขั้วอำนาจทรงพลังที่สุดจริงๆ
ด้วยชื่อเสียงและสถานะของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ทำให้ที่นี่กลายเป็นขั้วอำนาจที่จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนต้องการสวามิภักดิ์ ดังนั้นในช่วงหนึ่งปีนี้จอมยุทธ์มากมายมุ่งหน้ามาที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์เพื่อขอเข้าร่วมด้วยวิธีต่างๆ นานา
ด้วยเหตุนี้ยิ่งทำให้พลังของอาณาเขตกงเวทสวรรค์พุ่งทะยานขึ้น
ทว่าการขยายตัวนี้ก็ทำให้เกิดปัญหาบางอย่าง พวกจอมยุทธ์เลือดเก่าก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความขัดแย้งกับพวกจอมยุทธ์เลือดใหม่ที่เพิ่งมาเข้าร่วม แม้แต่มั่นถัวหลัวก็ไม่มีทางออกที่ดีสำหรับเรื่องนี้ เนื่องจากนี่คือสิ่งที่ต้องปรากฏในการขยายตัวของขั้วอำนาจอยู่แล้ว ตอนนี้ได้แต่พึ่งพาเวลาที่จะละลายสิ่งต่างๆ ให้เข้ากัน
เขตต้าหลัวเทียนคึกคักมากในเวลานี้ ร่างแสงปกคลุมขอบฟ้าพลิ้วตัวลงทั่ว ทำให้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความเร่าร้อน
วันนี้เป็นการประชุมราชัน
ขนาดของการประชุมราชันเปรียบเทียบไม่ได้กับในอดีต นั่นเป็นเพราะพร้อมกับการขยายอย่างรวดเร็วของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ทำให้มีผู้บัญชาการเพิ่มขึ้นเป็นสิบแปดคนแล้ว
นอกจากนี้นี่ยังเป็นผลหลังการเลือกอย่างระมัดระวังโดยมั่นถัวหลัว ถ้าใช้มาตรฐานพลังเหมือนในอดีต จำนวนรวมของผู้บัญชาการคงจะเกินกว่าจำนวนที่มีอยู่ในปัจจุบันไปมาก
แต่ต่อให้เป็นผลหลังการคัดเลือกจากมั่นถัวหลัวก็ยังมีผู้บัญชาการใหม่จำนวนมาก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าก่อให้เกิดผลกระทบต่อสถานการณ์ในปัจจุบันของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แม้แต่ซิวหลัว เสี่ยยิง เลี่ยซันและคนดั่งเดิมล้วนแต่ถูกคุกคาม
ทุกครั้งที่ประชุมก็จะมีโอกาสการเสนอชื่อจอมพลหรือผู้บัญชาการคนใหม่ตลอด ดังนั้นการประชุมราชันจึงกลายเป็นวาระสำคัญที่สุดในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ทันทีที่มีการดำเนินการแม้กระทั่งเจ้าเมืองต่างๆ ก็จะเร่งรีบมา ส่งผลทำให้เกิดบรรยากาศเช่นในวันนี้
ทว่าขณะที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ระเบิดไปด้วยความสับสนวุ่นวาย หอวิหคโลกันตร์ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของสำนักกลับเงียบสงบ ทว่าภายใต้ความเงียบสงบ กลับแฝงด้วยรัศมีไร้ขอบเขต
ในโถงกว้างใหญ่หน่วยรบจำนวนหนึ่งสวมชุดเกราะสีดำยืนเฝ้าระวัง มีคลื่นหลิงทรงพลังผันผวนในท้องฟ้า มองเห็นเส้นสายโครงข่ายหลิงปรากฏขึ้นเลือนราง นั่นเป็นค่ายกลป้องกันทรงพลัง
ปัจจุบันนี้หอวิหคโลกันตร์ไม่เหมือนเดิม ในช่วงเวลาที่มู่เฉินและจิ่วโยวไม่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นเมืองหรือจอมยุทธ์ภายใต้การปกครองของพวกเขาก็มีการเติบโตที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีที่ผ่านมา
เพราะทุกคนในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ทราบว่ามู่เฉินแห่งหอวิหคโลกันตร์มีความสัมพันธ์แนบแฟ้นกับประมุขมั่นถัวหลัว ด้วยชั้นความสัมพันธ์นี้ กระทั่งจอมพลทั้งสามก็ยังให้หน้ากับหอวิหคโลกันตร์ ดังนั้นหอวิหคโลกันตร์จึงไม่ขาดแคลนทรัพยากรใดๆ
ผู้คนที่ผ่านหน้าหอวิหคโลกันตร์และเห็นบรรยากาศภายในก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาตาร้อน ทุกคนรู้ถึงสถานะของหอวิหคโลกันตร์ปัจจุบันในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ดี ด้วยทรัพยากรและจอมยุทธ์จำนวนมากถูกจัดสรรให้กับที่นี่ ซึ่งส่งผลให้ที่นี่จะเป็นหน่วยรบที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้อาณาเขตกงเวทสวรรค์แล้ว
การดูแลของมั่นถัวหลัวที่มีต่อหอวิหคโลกันตร์ทำให้ทุกคนอิจฉา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่มีผู้ในเรื่องนี้ เนื่องจากด้วยข้อมูลที่พวกเขาทราบมาผู้บัญชาการทั้งสองก็เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเท่านั้น
แม้ว่าพลังดังกล่าวอาจถือได้ว่ามีความโดดเด่นในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แต่ก็ยังห่างไกลจากการพิจารณาว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ดังนั้นพลังของพวกเขาจึงไม่ผ่านเกณฑ์ในการเป็นผู้นำหอวิหคโลกันตร์ขนาดใหญ่ ซึ่งครอบครองทรัพยากรจำนวนมาก
ดังนั้นในสายตาของผู้คนที่เพิ่งเข้าร่วมอาณาเขตกงเวทสวรรค์ มู่เฉินได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากมั่นถัวหลัวเพียงเพราะได้มอบสมบัติล้ำค่าให้ แต่เป็นไปไม่ได้คนอื่นจะให้ความเคารพมากพอจากความสัมพันธ์แบบนั้น ในอนาคตก็คงยากจะคุมจอมยุทธ์ทรงพลังในหอวิหคโลกันตร์ได้จนส่งผลให้เกิดการแตกแยก
ในเวลานั้นก็จะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง แม้จะได้รับการสนับสนุนจากมั่นถัวหลัว เพราะเมื่อหัวใจไม่อยู่ ต่อให้บังคับก็ไร้ประโยชน์
ในโถงของหอวิหคโลกันตร์
ขณะที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์กำลังเดือดพล่าน หอวิหคโลกันตร์กลับเงียบสงบอย่างที่สุด ราวกับว่าการประชุมราชันในตำหนักใหญ่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา
แน่นอนว่าจากบางมุมมอง พวกเขาก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการประชุมนี้อย่างแท้จริง
นั่นเป็นเพราะสองผู้บัญชาการไม่ได้อยู่ที่นี่ ถังปิงในฐานะผู้ดูแลหอก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นตัวแทน ดังนั้นหอวิหคโลกันตร์จึงไม่ได้มีส่วนร่วมในการประชุมของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา ถังปิงมีพรรสวรรค์ในการจัดการดูแลภายใน แต่นางรู้ว่าเมื่อไม่มีจิ่วโยวและมู่เฉิน นางก็ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นอะไรพร่ำเพรื่อ กลัวว่าจะทำให้เกิดข้อพิพาท
เนื่องจากตอนนี้มั่นถัวหลัวสนับสนุนหอวิหคโลกันตร์เป็นอันมาก จึงก่อให้เกิดคลื่นใต้น้ำขึ้นมาแล้ว
มีคนไม่น้อยในโถงใหญ่นี้ สองที่นั่งบนตำแหน่งประธานว่างอยู่ โดยที่ถังปิงและถังโหยวนั่งอยู่ลำดับถัดลงมา
ลำดับถัดไปเป็นหญิงสาวชุดสีขาวนั่งในรถเข็น นางมีรูปลักษณ์ที่งดงาม แต่ใบหน้าค่อนข้างซีดขาว มิหนำซ้ำคลื่นหลิงรอบกายก็ไม่แข็งแกร่ง ทว่าสถานะของนางเป็นรองพี่น้องถังเท่านั้น
นี่คือจินไถหลิวหลี ซึ่งมู่เฉินได้พบในสงครามล่า
หลังจากที่หมู่ตึกเทวะล้มสลาย เนื่องจากมู่เฉินได้ให้การช่วยเหลือ จินไถหลิวหลีและครอบครัวจึงย้ายมาอยู่ที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ ในฐานะจั้นเจินซือนางจึงเป็นที่ต้องการมากอยู่แล้ว
นั่นเป็นเพราะในอดีตมู่เฉินเป็นเพียงจั้นเจิ้นซือคนเดียวของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ตอนนี้เมื่อนางเข้าร่วม ตราบใดที่นางเต็มใจแม้แต่มั่นถัวหลัวก็จะปล่อยให้นางก้าวขึ้นเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพอาณาเขตสวรรค์
แต่คาดไม่ถึงว่านางไม่เลือกที่จะสร้างขุมกำลังของตัวเอง กลับเลือกเข้าร่วมหอวิหคโลกันตร์เพื่อควบคุมหน่วยรบวิหคโลกันตร์เท่านั้น
ดังนั้นแม้ขุมพลังหลิงของนางจะไม่แข็งแกร่ง แต่ด้วยความแข็งแกร่งในฐานะจั้นเจิ้นซือ กระทั่งจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดทั่วไปก็ยากที่จะต่อกรกับนางได้
ที่เบื้องหลังจินไถหลิวหลี ร่างเงาหลายสิบร่างมาพร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสี่คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าตัดสินจากความผันผวนของพลังงาน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้ว!
ด้วยพลังที่มี พวกเขามีคุณสมบัติที่จะได้รับตำแหน่งราชันในอาณาเขตกงเวทสวรรค์เลยทีเดียว
จอมยุทธ์เหล่านี้ถูกมั่นถัวหลัวสั่งการมาให้ช่วยเหลือถังปิงเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับหอวิหคโลกันตร์
“ตามปกติหอวิหคโลกันตร์จะยังไม่เข้าร่วมการประชุมราชัน เราจะพักอยู่เงียบๆ หนึ่งวัน” ถังปิงมองไปที่การรวมตัวที่แข็งแกร่งเบื้องหน้า ก็ถอนหายใจในใจพลางพูดขึ้นมา
แม้ว่าทุกคนจะคาดไว้กับคำพูดของถังปิง แต่พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ น่าเสียดายที่หอวิหคโลกันตร์ต้องหายหน้าไปจากการประชุมอีกครั้ง
“ลือกันว่าการประชุมราชันครั้งนี้ หลงปี้และผู้เฒ่าคูอาจจะขึ้นเป็นจอมพล นี่เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญ หอวิหคโลกันตร์จะไม่ออกหน้าบ้างเลยหรือ?” ในโถงชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงกลางท่ามกลางจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดก็พูดออกมา
หลงปี้และผู้เฒ่าคูเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงที่เข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ในช่วงปีที่ผ่านมา ทั้งสองมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า ตอนนี้ก็มีอำนาจสูงในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ พวกเขาหมายตาตำแหน่งจอมพลมานานแล้ว แต่ก่อนหน้าเนื่องจากฐานยังไม่มั่นคง ดังนั้นจึงไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอะไร ตอนนี้เมื่อได้เตรียมตัวพร้อมก็คงจะลงมือแย่งชิงตำแหน่งแล้ว
ถ้าพวกเขาชิงตำแหน่งได้สำเร็จ จอมพลก็จะเพิ่มจากสามเป็นห้า สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไป ดังนั้นชายวัยกลางคนจึงต้องการให้หอวิหคโลกันตร์และจอมพลใหม่ทั้งสองคนได้รู้จักมักจี่กันมากยิ่งขึ้น
ชายวัยกลางคนมีชื่อว่าสูคุนซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด แม้ว่าเขาเพิ่งจะเข้าร่วมกับหอวิหคโลกันตร์ไม่นาน แต่เนื่องจากภายนอกดูเป็นจอมยุทธ์ที่ทรงพลังที่สุดในหอวิหคโลกันตร์ ดังนั้นจึงมีอำนาจไม่น้อย ทันทีที่เขาพูดก็มีหลายคนที่ออกเสียงเห็นด้วย เพราะในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ จอมพลมีสถานะต่ำกว่าประมุขเท่านั้น
ถังปิงมุ่นคิ้ว นางรู้อย่างถ่องแท้เกี่ยวกับหลงปี้และผู้เฒ่าคู ในอดีตก็มีความคิดที่จะเยี่ยมเยือนในนามของหอวิหคโลกันตร์ แต่ทั้งสองคนหัวสูงมาก ไม่ต้องพูดถึงนาง พวกเขาไม่สนใจกระทั่งมู่เฉินกับจิ่วโยว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ปฏิบัติโดยมารยาทต่อหอวิหคโลกันตร์ ในมุมมองของถังปิง หากไม่ใช่ท่านประมุขทั้งสองที่มีนิสัยเย่อหยิ่งจองหองคงจะไม่สนใจเกี่ยวกับหอวิหคโลกันตร์เลย
เพราะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าคือคนที่แม้แต่ท่านประมุขยังต้องลดทัศนคติลงให้ เนื่องจากพวกเขาเป็นจอมยุทธ์ทรงพลังที่ถัดจากประมุขเท่านั้น
ในเมื่อทั้งสองเย็นชาเย่อหยิ่งเช่นนี้ ถังปิงก็ไม่อยากให้หอวิหคโลกันตร์ลดตัวลงไปสร้างความสัมพันธ์ บวกกับมู่เฉินและจิ่วโยวไม่อยู่ ทำให้นางก็ไม่มั่นใจ จึงได้แต่พยายามคุมภายในหอไว้เท่านั้น
เมื่อถังปิงได้ยินเสียงถกเถียงกันในโถง นางก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ในหัวใจ พร้อมกับการขยายตัวของหอวิหคโลกันตร์ เกียรติของนางก็ลดลงเช่นกัน แม้ว่าผู้มาใหม่จะทรงพลัง แต่พวกเขาเย่อหยิ่งและไม่ยอมฟังคำสั่ง แต่เนื่องจากนางไม่แข็งแกร่งพอ ก็ไม่สามารถทำให้พวกเขาเคารพนางเต็มที่ ปกติก็แค่รักษามารยาทภายนอกไว้เท่านั้น
นางรู้เรื่องเกี่ยวกับสูคุน มีข่าวลือว่าเขามีความสัมพันธ์กับหลงปี้และผู้เฒ่าคู อิงจากสิ่งนี้ก็ชัดว่าเขาต้องการใกล้ชิดกับอีกฝ่าย
เพราะเมื่อทั้งสองก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งจอมพล สถานการณ์ของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ต้องเปลี่ยนไปแน่นอน ด้วยการสนับสนุนของจอมพลใหม่ทั้งสอง ก็ดีกว่าการอยู่ในหอวิหคโลกันตร์ที่ไม่มีผู้บัญชาการคุ้มหัว
เห็นได้ชัดว่าสูคุนไม่ใช่คนเดียวที่มีความคิดเช่นนี้ ดังนั้นทันทีที่มีผู้นำการหยั่งเสียงก็เพิ่มขึ้น ทำให้ความเงียบงันในห้องหมดลง เวลานี้แม้แต่ถังปิงก็ไม่สามารถระงับความวุ่นวายได้
“ผู้ดูแลถังถ้าเจ้าไม่เต็มใจก็อนุญาตให้ข้าเข้าร่วมการประชุมราชันด้วยตัวเอง…” เมื่อสูคุนเห็นว่ามีแรงสนับสนุนเพิ่มขึ้น เขาก็ยักยิ้มเล็กน้อยแล้วผุดลุกขึ้นยืนทันที
หลงปี้และผู้เฒ่าคูต้องการคนสนับสนุน ถ้าเขาสามารถไปและให้การสนับสนุนพวกเขาก็ถือเป็นการลงทุนชั้นเยี่ยม
เมื่อเขายืนขึ้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งลุกตาม จอมยุทธ์หลายคนก็เริ่มโอนเอนด้วยความลังเลใจ เมื่อถังปิงเห็นภาพนี้ใบหน้าก็เขียวคล้ำลง
สูคุนยิ้มบางเมื่อเห็นใบหน้าของถังปิงและไม่ให้ความสนใจ แม้ว่าถังปิงจะเป็นคนของผู้บัญชาการทั้งสอง แต่พลังของเขาแข็งแกร่งกว่าถังปิงมาก ต่อให้ผู้บัญชาการจะกลับมาก็ต้องพึ่งพาเขามาเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวที่จะสร้างความขุ่นเคืองใจกับถังปิง
เมื่อคิดถึงตกแล้ว เขาก็สะบัดแขนเสื้อพร้อมกับเดินออกไป
เมื่อเห็นสูคุนหันหลัง ทันใดนั้นถังปิงก็ลุกขึ้นยืนพูดคำว่า “หยุด!”
สูคุนชะงักฝีเท้าพลางขมวดคิ้ว ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเอก “ผู้ดูแลถัง ข้าไม่ได้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้า!”
ทั้งสองประจันหน้ากัน บรรยากาศในโถงก็ขมวดเกร็ง ทุกคนแลกสายตาเพราะพวกเขาไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ดังนั้นสถานการณ์จึงตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ แต่ขณะนั้นเสียงหัวเราะบางจางก็ดังก้องไปในโถง
“ฮ่าๆ ไม่คิดว่าไม่เจอกันครึ่งปี หอวิหคโลกันตร์จะครื้นเครงขนาดนี้…”
เสียงที่ดังขึ้นฉับพลันทำลายบรรยากาศตึงเครียดจนหมด ทุกคนอึ้งไป อึดใจพวกเขาก็รู้สึกถึงบางอย่างจนต้องเงยหัวขึ้นมองไปบนที่นั่งประธานทั้งสอง
ไม่รู้ว่าเมื่อไรชายหญิงคู่นี้ปรากฏตัวขึ้น ชายหนุ่มทั้งดูดีและหล่อเหลาจ้องมองทุกคนด้วยรอยยิ้มระบายบนใบหน้า
แม้ว่ารอยยิ้มจะดูอ่อนโยน แต่ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่อธิบายไม่ได้ที่กำซ่านออกมาจากเขา
ถังปิงตกตะลึงไปเมื่อมองร่างเงาของทั้งสองคน จากนั้นความสุขก็โชนขึ้นในดวงตา ก่อนที่เสียงจะดังไปทั่วโถง
“พี่ใหญ่จิ่วโยว? มู่เฉิน? พวกเจ้ากลับมาแล้วเหรอ?!”
บทที่ 1077 กำจัดของเสีย
“พี่ใหญ่จิ่วโยว? มู่เฉิน?”
เมื่อชื่อทั้งสองดังสะท้อนในโสตประสาทของจอมยุทธ์ทั้งหมดที่นี่ หัวใจของพวกเขาก็สั่นไหว สายตามองไปที่ร่างเงาทั้งสองด้วยความตื่นตะลึง ทั้งสองก็คือผู้บัญชาการแห่งหอวิหคโลกันตร์…จิ่วโยวและมู่เฉินรึ?
พวกเขาดูเยาว์วัยจริงๆ แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนฉงนก็คือความจริงที่พวกเขารู้สึกถึงแรงกดดันที่มาจากทั้งสองคนได้คลุมเครือ
สูคุนหยุดฝีเท้ามองไปที่ทั้งสองด้วยความตื่นตะลึงถามว่า “พวกเจ้าคือผู้บัญชาการจิ่วโยวกับผู้บัญชาการมู่รึ?”
น้ำเสียงของเขามีข้อกังขามากกว่าเคารพ เนื่องจากความเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดและมีความโดดเด่นแม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์ระดับเดียวกันในภูมิภาคทางเหนือ ว่ากันว่าอดีตมู่เฉินและจิ่วโยวเป็นจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นหกและขั้นเจ็ดเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงมีคุณสมบัติที่จะเย่อหยิ่งใส่ได้
มู่เฉินมองดูอีกฝ่ายอย่างสงบถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”
สูคุนจ้องมองท่าทางสงบนิ่งของมู่เฉิน ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกกลัวในใจ จึงอดตอบออกไปไม่ได้ “ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้ชื่อสูคุนได้รับมอบหมายจากท่านประมุขเพื่อเข้ามาปกป้องหอวิหคโลกันตร์”
มู่เฉินพยักหน้าจากนั้นก็มองไปรอบๆ คนที่ถูกมองก็ลุกขึ้นยืนโค้งคำนับด้วยมารยาท ก่อนจะรายงานชื่อของตนเอง
เมื่อคนสุดท้ายแนะนำตัวเรียบร้อย มู่เฉินก็ถอนสายตา ความกดดันที่ห่อหุ้มสลายหายไป ทำให้จิตใจของทุกคนคลายตัวลง ทว่าพวกเขาก็ต้องตกตะลึงและงุนงง เพราะพวกเขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมมู่เฉินถึงมีแรงกดดันเช่นนี้ทั้งที่ยังเยาว์วัยมาก
ไหนบอกว่าทั้งสองคนอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกกับขั้นเจ็ดเท่านั้น?
“จินไถหลิวหลีทักทายผู้บัญชาการทั้งสอง” จินไถหลิวหลีจ้องมองมู่เฉินจากนั้นก็โค้งคำนับด้วยความเคารพ
“อ้าว แม่นางจินไถ…” เมื่อมู่เฉินเห็นว่าจินไถหลิวหลีอยู่ในหอวิหคโลกันตร์ก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้าให้ด้วยท่าทางอ่อนโยน
เมื่อจบคำพูด เขาก็ยกสายตามองไปที่เหล่าคนมาใหม่ที่ฉายความเย่อหยิ่ง ก่อนที่จะพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไม่สนชื่อเสียงของพวกเจ้าในอดีตว่าเป็นอย่างไร แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในหอวิหคโลกันตร์แล้วก็ต้องปฏิบัติตามกฎของหอ”
“ถังปิงเป็นผู้ดูแลที่ข้าและผู้บัญชาการจิ่วโยวแต่งตั้ง สิทธิอำนาจของนางอยู่ภายใต้เราเท่านั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกเจ้าต้องอยู่ภายใต้การดูแลของนาง”
ระดับปัจจุบันของหอวิหคโลกันตร์ไปไกลเกินความคาดหมายของมู่เฉินและจิ่วโยวแล้ว แต่เนื่องจากทั้งคู่ไม่มีเวลามากพอในการจัดการ พวกเขาจึงได้ฝากฝังเรื่องต่างๆ ไว้ที่ถังปิง นอกจากนี้พวกเขายังมีความไว้วางใจแนบแน่นต่ออีกฝ่ายด้วย
ถึงแม้ว่าระหว่างสูคุนและจอมยุทธ์คนอื่นๆ จะแข็งแกร่งกว่าถังปิง แต่เขากับจิ่วโยวก็ยังคงเลือกถังปิงโดยไม่ลังเล
เมื่อสูคุนและคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดของเขา สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้ พวกเขาไม่คิดว่าเมื่อจิ่วโยวและมู่เฉินกลับมา ก็มอบสิทธิ์ขาดให้ถังปิง มิหนำซ้ำพวกเขายังจะต้องฟังคำสั่งของถังปิงอีกด้วย
ในอดีตตอนที่จิ่วโยวและมู่เฉินไม่ได้อยู่ที่นี่ แม้ว่าถังปิงจะเป็นผู้ดูแล แต่พวกเขาก็ไม่ได้ให้ความเคารพกับนางมากนัก เพราะในสายตาของพวกเขาพลังของนางเล็กจิ๋วมาก ดังนั้นช่วงเวลาที่ผ่านมาสูคุนก็พยายามแบ่งอำนาจของถังปิงเพื่อเขย่าตำแหน่งของนาง
ทว่าคำพูดของมู่เฉินทำลายความทะเยอทะยานของเขาอย่างสมบูรณ์
สายตาของสูคุนเปลี่ยนไปพลางกัดฟันกรอด “ผู้บัญชาการมู่ แม้ว่าผู้ดูแลถังจะเป็นคนเก่าของหอวิหคโลกันตร์ แต่พลังของนางอ่อนแอมาก ด้วยขนาดของหอที่ขยายขึ้นมากในตอนนี้ ถ้าให้นางดูแลควบคุมทั้งหมด พวกข้าคงจะไม่เต็มใจ!”
เมื่อพูดจบสูคุนก็เงยหน้าขึ้นมองมู่เฉิน ตัวเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ขุมพลังนี้มีคุณสมบัติที่จะลงชิงชัยในตำแหน่งผู้บัญชาการ เมื่อเขาประสบความสำเร็จก็จะอยู่ในระดับเดียวกับมู่เฉินและจิ่วโยว ดังนั้นในมุมมองของเขาถ้าทั้งสองมีไหวพริบ พวกเขาก็ควรจะรู้ว่าคุณค่าของเขาสูงกว่าถังปิงอย่างมาก
เมื่อสูคุนพูดจบ เสียงเห็นด้วยหลายเสียงก็สะท้อนมาจากจอมยุทธ์ที่ถูกสูคุนลากเข้าพวก
ยิ่งเมื่อได้ยินเสียงสนับสนุน ความมั่นใจของสูคุนก็เพิ่มขึ้นอีก ร่างที่โน้มตัวก็ค่อยๆ ยืดตรงขึ้น
แต่เมื่อมองไปที่มู่เฉิน เขาก็สังเกตเห็นว่าไม่มีริ้วคลื่นกระเพื่อมบนใบหน้าของอีกฝ่าย ม่านตาสีดำเฝ้ามองคำคัดค้านของทุกคนด้วยความเฉยเมย ทำให้สูคุนรู้สึกไม่สบายใจ
ขณะเดียวกับที่เขาไม่สบายใจ ทุกคนในห้องก็เห็นมู่เฉินยืนขึ้นอย่างช้าๆ สายตาไม่แยแสกวาดออก “ข้าบอกเหรอว่านี่เป็นการอภิปรายน่ะ?”
แม้ว่าจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ความเป็นเผด็จการที่แฝงอยู่นั้น ทำให้คนทั้งโถงปิดปากฉับพลัน เขย่าหัวใจทุกดวง
สูคุนอึ้งไปกับความเผด็จการของมู่เฉิน ก่อนที่เขาจะขมวดคิ้ว “มู่…”
ตู้ม!
ทว่าทันทีที่เขาเพิ่งจะออกเสียง ดวงตาสีดำสนิทของมู่เฉินก็หันขวับมา คลื่นหลิงทั่วบริเวณปะทุขึ้นฉับพลัน
ปัง!
แรงกดดันที่น่ากลัวบีบเค้นมาจากทุกทิศทาง ก่อนที่สูคุนจะตอบสนอง ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่าไม่สามารถควบคุมร่างกายตนเองได้ เข่าทั้งสองอ่อนนิ่ม ร่างกายทรุดลงไปบนพื้น คลื่นหลิงล้อมรอบตัวประหนึ่งภูเขาหนักพันชังกดร่างของเขาเอาไว้ ราวกับว่าถ้าอีกฝ่ายเกิดเจตนาสังหารเพียงเล็กน้อย เขาก็จะถูกสับเป็นเนื้อบดด้วยคลื่นพลังที่ไร้ขอบเขต
ทุกคนสามารถสัมผัสกับความผันผวนของคลื่นพลังที่ปะทุเหมือนภูเขาไฟระเบิดพุ่งออกมาจากร่างมู่เฉิน เหมือนกับพายุถั่งโถมล้อมไปทั่วทั้งโถง
เมื่อสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิง จอมยุทธ์ทุกคนในโถงก็สีหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง ความไม่อยากจะเชื่อพล่านในสายตา
คลื่นหลิงนี้เหมือนเกือบจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าแล้ว!
สูคุนคุกเข่าบนพื้นเหงื่อเปียกชุ่ม ขุมพลังของมู่เฉินไม่ใช่ระดับจื้อจุนขั้นหกหรอกรึ? แต่ตอนนี้อำนาจของคลื่นพลังไม่แพ้หลงปี้และผู้เฒ่าคูเลย
กึก! กึก!
จอมยุทธ์คนอื่นๆ รีบคุกเข่าลง ความเย่อหยิ่งก่อนหน้าถูกเช็ดออกไปโดยสิ้นเชิง
เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ที่เทียบเคียงระดับจื้อจุนขั้นเก้า พวกเขาอาจถูกฆ่าตายได้ทันที หากพวกเขากล้าที่จะเบ่งกล้ามอีก
มู่เฉินมองคนที่คุกเข่าอยู่ในห้องโดยไม่แยแส พูดด้วยเสียงบางจางว่า “มีใครอยากคัดค้านอีกไหม?”
พบกับผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านี้ มู่เฉินไม่ได้ใช้วิธีปลอบประโลม ปะทะกับพวกหยิ่งยโส เขารู้ว่าวิธีการกดข่มและเผด็จการเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาเชื่องอย่างสมบูรณ์
ขณะนี้แม้แต่สูคุนยังร่างสั่นระริกเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น เขาไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว
ที่เบื้องหน้าถังปิงอ้าปากกว้างเมื่อมองมู่เฉินที่ฉายท่าทางเผด็จการ จากนั้นก็แอบจู๋ปาก มู่เฉินในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าทรงพลังกว่าเมื่อก่อนมากหลายเท่า
ทั้งโถงเงียบไป จอมยุทธ์หลายคนได้แต่เหลือบมองมู่เฉินและจิ่วโยวที่อยู่เหนือ ในสายตาของพวกเขาไม่มีข้อกังขาอีกต่อไป แต่ถูกแทนที่ด้วยความเคารพ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกข่มด้วยพลังที่มู่เฉินเปิดเผยออกมา
“เราไม่ได้คาดหวังว่าหอวิหคโลกันตร์จะเติบโตในระดับนี้ แต่ในเมื่อพวกเจ้าเป็นสมาชิกของหอแล้ว ถ้าอนาคตเป็นพวกสองหัวก็ไม่ต้องอยู่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ต่ออีก” น้ำเสียงไม่แยแสของมู่เฉินดังก้อง ทำให้ทุกคนใจสั่นสะท้าน พวกเขาได้ยินอย่างชัดเจนว่ามู่เฉินกล่าวว่าไม่ต้องอยู่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ไม่ใช่หอวิหคโลกันตร์
ภูมิภาคทางเหนือในปัจจุบัน ถ้าพวกเขาถูกเตะโด่งออกจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ก็คงไม่มีทางอยู่ในภูมิภาคทางเหนือได้แล้วเช่นกัน
ถ้านี่เป็นอดีต บางทีทุกคนอาจจะหัวเราะกับคำพูดเหล่านั้น แต่หลังจากได้เห็นพลังอันแข็งแกร่งของมู่เฉิน พวกเขารู้ว่าด้วยความแข็งแกร่งและตำแหน่งของเขาในสำนัก เขามีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้น
“เราไม่มีความคิดอื่นใด!”
ทุกคนเหงื่อเย็นชุ่มโชก รีบแสดงถึงความภักดีต่อทั้งสองทันที แม้กระทั่งสูคุนก็ไม่กล้าที่จะแสดงความเย่อหยิ่งอีกต่อไป เพราะเขาถูกปราบลงราบคาบแล้ว
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศลบล้างไปได้หมดอย่างสมบูรณ์ มู่เฉินและจิ่วโยวก็แลกเปลี่ยนสายตากัน หญิงสาวยิ้มบาง เห็นได้ชัดว่านางพึงพอใจกับวิธีการของมู่เฉินในการข่มขู่พวกหน้าใหม่
“วันนี้เป็นการประชุมราชันรึ?” หลังจากจัดการกับเรื่องภายในหอเรียบร้อย มู่เฉินก็เอ่ยถามขึ้น
ถังปิงรีบก้าวออกมาอธิบายรายละเอียด
“หลงปี้? ผู้เฒ่าคู?” เมื่อได้ยินชื่อทั้งสองสีหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไป พวกเขาเป็นจอมยุทธ์อหังการในอดีตของภูมิภาคทางเหนือ ไม่คิดว่าพวกเขาจะมาเข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ นอกจากนี้ดูจากท่าทางคงมีความคิดในตำแหน่งจอมพลด้วย
“ตอนนี้ชื่อเสียงของพวกเขาในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยิ่งใหญ่มาก มิหนำซ้ำขุมพลังก็ถึงระดับที่มีคุณสมบัติที่จะชิงชัยเพื่อตำแหน่งจอมพล ด้วยสถานะปัจจุบันโอกาสของความสำเร็จก็ค่อนข้างสูง”
พูดถึงตรงนี้ริมฝีปากแดงเรื่อของถังปิงก็เบะลงด้วยความไม่พอใจ “แต่พวกเขาหยิ่งเหลือเกิน ดูเหมือนจะดูถูกหอวิหคโลกันตร์เอาไว้มาก”
คำพูดของถังปิงอ้อมค้อมอยู่บ้าง เนื่องจากในมุมมองของนาง พวกเขาไม่ใช่แค่ดูถูกหอวิหคโลกันตร์ ที่ดูถูกยิ่งกว่าคือผู้บัญชาการทั้งสอง
เพราะในมุมมองของพวกเขา เหตุผลที่ทำให้หอวิหคโลกันตร์เติบโตอย่างแข็งแกร่งเกิดจากแรงสนับสนุนของท่านประมุข คนแบบนี้ไม่สมควรได้รับความสนใจใดๆ
แต่เมื่อพิจารณาถึงภาพรวมแล้ว ถังปิงก็ไม่ได้พูดออกมาดังๆ
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดของถังปิงก็มองไปที่จิ่วโยว นางยิ้มบางดูเหมือนจะเข้าใจบางสิ่งในคำพูดแฝง “พวกผีเฒ่าน่ารังเกียจเสียจริง”
มู่เฉินยิ้มพลางลุกขึ้นยืน “ไปกันเถอะ”
ถังปิงอึ้งไปถามว่า “ไปที่ไหน?”
“ในเมื่อเป็นการประชุมราชันก็ขาดพวกเราไม่ได้สิ” มู่เฉินสะบัดแขนพลางยิ้มอ่อน ประโยคต่อไปของเขาก็กระตุกหัวใจของทุกคนด้วยความไม่เชื่อกระจายในสายตา
“ตัวข้าเองและจิ่วโยวก็สนใจตำแหน่งจอมพลเช่นกัน”
การเดินทางไปวังสวรรค์บรรพกาลใกล้เข้ามาแล้ว เขาก็ต้องยกสถานะตนเองในสำนักให้มากที่สุด เพราะถึงตอนนั้นเขาอาจต้องพึ่งพาพลังของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ด้วย
ดังนั้นมู่เฉินจึงสนใจในตำแหน่งจอมพลมาก
**สำนวนพวกผีเฒ่าแปลว่าพวกชอบเอาข้ออ้างเรื่องอายุมากมากดขี่คนอื่น
บทที่ 1078 เหล่าราชันใหม่
ลึกลงไปในเขตต้าหลัวเทียน
ร่างแสงพุ่งเข้ามาจากทุกทิศทางก่อนที่จะพลิ้วตัวลง ช่างเป็นฉากที่น่าตื่นตา เติมเต็มจัตุรัสจนถึงจุดที่ไม่มีที่ว่างโดยรอบ
เทียบกับปีที่แล้ว ในปัจจุบันอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ด้วยจำนวนจอมยุทธ์มารวมตัวกันเหมือนเมฆบนท้องฟ้า ด้วยมาตรวัดนี้อาจได้รับการจัดอันดับว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคทางเหนือแล้ว
ขณะนี้จัตุรัสในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ดึงดูดความสนใจไว้มากที่สุด
นั่นเป็นเพราะการประชุมราชันทุกครั้งจะมีตำแหน่งใหม่เกิดขึ้น ณ สำนักแห่งนี้เพียงได้รับตำแหน่งถึงจะมีคุณสมบัติพอที่จะสั่งสมพลังอำนาจ ในเวลาเดียวกันก็จะได้รับทรัพยากรมากมายอีกด้วย ดังนั้นในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่รู้มีจอมยุทธ์เท่าไรที่หมายตาชิงตำแหน่งอยู่
ซึ่งเห็นได้ชัดว่าการชิงตำแหน่งดุเดือดกว่าหนึ่งปีก่อนมาก
ในอดีตจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าก็มีคุณสมบัติที่จะแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่ง แต่ในวันนี้ถ้าไม่ถึงขั้นเจ็ดก็ไม่กล้าจะลงชิงตำแหน่งหรอก
ด้วยสิ่งนี้ก็สามารถบอกได้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์มีการเปลี่ยนแปลงมากแค่ไหนเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว…
ในจัตุรัสใหญ่คึกคักไปด้วยเสียงอื้ออึง บางครั้งจะมีร่างแสงกลุ่มใหญ่ส่งเสียงกระหึ่มบนท้องฟ้าด้วยการเคลื่อนไหวที่ไม่ธรรมดาที่สามารถดึงดูดสายตาอิจฉาโดยรอบ นั่นเป็นเพราะในเขตต้าหลัวเทียนตำแหน่งผู้บัญชาการถึงจะเริ่มสร้างกองทัพของตัวเองได้
ภายใต้สายตาอิจฉานับไม่ถ้วน ร่างแสงก็ร่อนลงไปที่ศูนย์กลางจัตุรัส ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของอาณาเขตกงเวทสวรรค์
สายตานับไม่ถ้วนพุ่งไปที่ศูนย์กลางนั่น
มีบัลลังก์ทองคำที่สุดปลายบันไดซึ่งโดดเด่นเป็นสง่า ราวกับว่าบัลลังก์มีแรงกดดันที่อธิบายไม่ได้ ต่อให้แค่ตั้งตรงอย่างเงียบๆ เหล่าจอมยุทธ์ก็ยังให้ความเคารพในสายตาขณะมองดู นั่นเป็นเพราะบัลลังก์นี้เป็นของประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ จอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคทางเหนือในขณะนี้
ใต้บัลลังก์ทองคำมีบัลลังก์เงินสามบัลลังก์ ภายใต้แสงตะวันสีเงินก็ส่องแสงระยิบระยับพร่างตา ขณะนี้มีชายสามคนนั่งอยู่บนบัลลังก์ ดวงตาแต่ละคู่ปิดอยู่ รับความเคารพนับถือและความอิจฉานับไม่ถ้วนที่จ้องมองมาอย่างเฉยเมย
ในเขตอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ผู้ที่ครอบครองตำแหน่งนี้ก็คือจอมพลซุยนอน จอมพลเทียนจิ้วและจอมพลหลิงถง ทั้งสามเป็นผู้จงรักภักดีที่ติดตามมั่นถัวหลัวมาตั้งแต่แรกเริ่มต้น
ลดลั่นลงมาจากสามจอมพลเป็นบัลลังก์หินกลุ่มหนึ่ง บนนั้นมีร่างที่นั่งอยู่อัดแน่นด้วยความครอบงำที่ไม่ธรรมดา ทุกคนล้วนเปล่งคลื่นหลิงไร้ขอบเขต พวกเขาก็คือเหล่าผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์
ในบรรดาผู้บัญชาการที่ดึงดูดความสนใจตอนนี้ไม่ใช่ซิวหลัวและเลี่ยซันที่อยู่ในอันดับต้นๆ ในอดีต แต่เป็นคนสองคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุด
ทั้งสองเป็นผู้นำท่ามกลางเหล่าผู้บัญชาการ คนด้านซ้ายมีลักษณะสูงวัย มีรอยย่นบนผิวหนัง เมื่อมองจากระยะไกลดูเหมือนต้นไม้แก่ใกล้ตาย ดวงตาหลุบต่ำมองดูอ่อนแอ แต่กระนั้นเขากลับเปล่งแรงกดดันที่น่ากลัวออกมา
นั่นเป็นเพราะชายคนนี้เป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ชั้นยอดของภูมิภาคทางเหนือที่เข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์—ผู้เฒ่าคู
ทางด้านขวาเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำ เงาของเขาใหญ่โตพอที่จะห่อหุ้มร่างผู้เฒ่าคูได้ ท่อนแขนของเขามีเอกลักษณ์พิเศษมาก เหมือนจะหนากว่าคนทั่วไป มือกางออกกว้างถูกวางไว้ข้างลำตัว เมื่อมองให้ละเอียดก็จะพบว่าเมื่อเขาขยับนิ้ว ก็จะเกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องราวกับว่านิ้วมีพลังทำลายล้างที่สามารถทำลายภูเขาด้วยมือข้างเดียว
เขาก็คือหลงปี้จอมยุทธ์ชั้นยอดของภูมิภาคทางเหนือ ว่ากันว่าวิทยายุทธที่เขาฝึกฝนมีความพิเศษมาก ทำให้เขาสามารถรวมแขนมังกรเข้ากับแขนตัวเองได้ ปรับแต่งจนเป็นของตนเองอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นจึงมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับเผ่ามังกร
พวกเขาก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นเก้าซึ่งเป็นขุมพลังที่เหนือกว่าผู้บัญชาการคนอื่น มากจนแม้แต่ผู้บัญชาการที่แข็งแกร่งที่สุดที่ผ่านมาอย่างซิวหลัวยังถูกวางไว้ข้างหลังทั้งสอง
แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้เห็นตำแหน่งผู้บัญชาการอยู่ในสายตา พวกเขายิ้มสนทนากัน เพียงแต่บางครั้งจะจ้องมองไปที่ร่างเงาทั้งสามบนบัลลังก์เงินด้วยความท้าทายและถือดีในส่วนลึกของดวงตา
นั่นเป็นเพราะในสายตาของทั้งสอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขุมพลังหรือชื่อเสียง พวกเขาก็ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าจอมพลทั้งสามแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ในบรรดาจอมพลนอกเหนือจากซุยนอนที่มักจะหลับตานอนอยู่ตลอดเวลาที่ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย พวกเขาเชื่อว่าตนเองไม่ได้อ่อนแอกว่าเทียนจิ้วและหลิงถงเลย
ก็เป็นปกติที่พวกเขาต้องการตำแหน่งที่เหมาะสมกับพลังของตนเอง ซึ่งก็คือตำแหน่งจอมพลนั่นเอง
ที่บัลลังก์เงินเมื่อเทียนจิ้วและหลิงถงสัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา ก็ไม่มีระลอกคลื่นใดในสายตาของพวกเขา แต่เสียงเย้ยหยันเย็นชากลับดังขึ้นในหัวใจ
ในฐานะสมาชิกดังเดิมของสำนัก พวกเขารู้สึกถึงการแข่งขันรุนแรงในหนึ่งปีที่ผ่านมา มากจนกระทั่งตำแหน่งของพวกเขาก็ถูกเล็งเอาไว้
แต่พวกเขาไม่สามารถกล่าวหาว่าทั้งสองไม่มีสิทธิ์ นั่นเป็นเพราะชื่อเสียงของผู้เฒ่าคูและหลงปี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าพวกเขา
มากจนกระทั่งถ้าไม่ใช่เพราะทรัพยากรที่ท่านประมุขมอบให้ในปีที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาเจาะผ่านคอขวดบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าแท้จริง พวกเขาอาจถูกแซงโดยผู้มาใหม่ที่ทะเยอทะยานเหล่านี้ไปแล้ว
ความขัดแย้งระหว่างคนใหม่และคนเก่าเริ่มส่งผลกระทบมาถึงระดับพวกเขาแล้ว
“ครั้งนี้ไอ้สองนั่นดูมั่นใจในการได้รับตำแหน่งจอมพล” หลิงถงมองไปที่ทั้งสอง ริมฝีปากขยับส่งคลื่นเสียงไปยังเทียนจิ้ว
ในอดีตมักจะเกิดการแข่งระหว่างหลิงถงและเทียนจิ้วเสมอ ดังนั้นจึงไม่มีความสัมพันธ์ที่กลมกลืนนัก แต่การแข่งขันเข้มข้นของจอมยุทธ์ที่เข้าร่วมกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ทำให้การแข่งขันระหว่างพวกเขาหายไป นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังมีความตั้งใจที่จะรวมพลังกันต่อต้านกลับด้วย
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงถง เทียนจิ้วก็พยักหน้าเบาๆ พูดว่า “พลังของสองคนนั่นเพียงพอแล้ว ตอนนี้ยังสร้างรากฐานให้ตัวเองได้ดี กลัวว่าครั้งนี้พวกเขาจะประสบความสำเร็จแล้ว”
ขณะที่พูดเทียนจิ้วก็เบ้ปากอย่างไม่พอใจ ด้วยอุปนิสัยของหลงปี้และผู้เฒ่าคู หากพวกเขาได้รับตำแหน่งจอมพล การแข่งขันก็จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในอนาคต
“ฮ่าๆ พี่เหมิงคิดยังไง?” ดวงตาของหลิงถงเป็นประกาย ขณะที่มองไปที่ซุยนอนที่ดวงตาหลุบลงอย่างเฉื่อยเนือย เขาไม่ได้พูดข้ามหัวซุยนอนเมื่อพูดคุยกับเทียนจิ้ว ชัดว่าเขาไม่ได้สนใจว่าซุยนอนจะได้ยินการสนทนาของพวกเขาหรือไม่
แม้จะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า แต่หลิงถงก็ยังแสดงทัศนคติสุภาพต่ออีกฝ่าย นั่นเพราะเขารู้ว่าซุยนอนติดตามท่านประมุขมานานหลายปีและเป็นคนที่ภักดีมากที่สุด ดังนั้นซุยนอนน่าจะรู้ความคิดบางอย่างของท่านประมุข
เมื่อซุยนอนที่ราวกับกำลังงีบได้ยินคำพูดของหลงถิง เขาก็เปิดเปลือกตาเล็กน้อยและยิ้มบาง “ความคิดเห็นของท่านประมุขก็คือถึงเวลาที่ตำแหน่งจอมพลจะเพิ่มขึ้นอีกสองตำแหน่งแล้ว”
ทั้งสองตกตะลึงก่อนที่จะส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “สองคนนั่นโชคดีซะจริง”
ในอดีตหลงปี้และผู้เฒ่าคูพยายามที่จะขอตำแหน่งจอมพลตลอด แต่ก็ถูกมั่นถัวหลัวปฏิเสธ เพราะตำแหน่งนี้สำคัญมากและทั้งสองคนก็ยังไม่มีคุณสมบัติและความภักดีพออีกด้วย
แต่ดูจากสถานการณ์ในปัจจุบัน มั่นถัวหลัวคงจะเริ่มเห็นด้วยแล้ว หากเป็นเช่นนั้นเรื่องการมอบตำแหน่งจอมพลก็จะเป็นไปอย่างราบรื่น
ทั้งสองถอนหายใจยาวเหยียด พวกเขารบเคียงบ่าเคียงไหล่มากับท่านประมุขหลายปีเพื่อรับตำแหน่งในปัจจุบัน แต่คนใหม่ที่เพิ่งมาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยังไม่ทันครบปี มิหนำซ้ำยังไม่ได้สร้างคุณูปการ ทว่ากลับกำลังจะอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน ดังนั้นทั้งสองจึงรู้สึกไม่สบาย
ทว่าถ้ามองด้วยเหตุผล พวกเขาก็รู้ว่าพลังของหลงปี้และผู้เฒ่าคูมีคุณสมบัติที่จะอยู่ในตำแหน่งนี้
นัยน์ตาของซุยนอนเปิดขึ้นอีกเล็กน้อย สายตาจ้องมองไปที่หลงปี้และผู้เฒ่าคูก่อนจะกดยิ้มลึก “ท่านประมุขบอกเพียงว่าจะมีตำแหน่งจอมพลเพิ่มอีกสองตำแหน่ง แต่นางไม่ได้บอกว่าจะมอบให้พวกเขานะ”
หลิงถงและเทียนจิ้วอึ้งไปทันทีจากนั้นก็รู้สึกงุนงง ในสำนักยามนี้มีเพียงหลงปี้และผู้เฒ่าคูเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งจอมพล หรือว่าท่านประมุขตั้งใจจะยกให้ซิวหลัวดำรงตำแหน่งนี้? หากเป็นเช่นนั้นจะทำให้ทั้งสองคนไม่พอใจอย่างแน่นอน เพราะพลังของซิวหลัวที่อยู่ระดับจื้อจุนขั้นแปดยังไม่อาจโน้มน้าวใจคนได้
ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็คิดจะถามต่อ แต่ซุยนอนกลับหลับตาลง ท่าทางจะพักผ่อนนั้น ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
ตึง!
เสียงระฆังโบราณดังก้องขึ้นทั่วบริเวณ จัตุรัสที่คึกคักเงียบสงบลง ผู้คนนับไม่ถ้วนฉายแววเคารพในสายตา แม้แต่หลงปี้และผู้เฒ่าคูยังก้มหน้าเล็กน้อยอย่างนบนอบ
เกลียวแสงทะลุผ่านมิติก่อนที่จะรวมตัวกันบนบัลลังก์ทองมลังเมลือง ภาพเงาเล็กบางสวมชุดสีดำปรากฏขึ้น สายตาไม่แยแสกวาดไปรอบๆ ความกดดันน่าสะพรึงกระจายออกไปตามการจดจ้อง แม้แต่จอมยุทธ์ที่ทรงพลังอย่างพวกหลงปี้ยังรู้สึกถึงคลื่นหลิงในร่างกายถูกแช่แข็งพร้อมกับหัวใจเต็มไปด้วยความประหลาดใจ นี่คือพลังของระดับตี้จื้อจุน เพียงแค่จ้องมองก็สามารถทำให้พวกเขาไม่มีแรงต่อต้านได้
หลังจากกวาดสายตาแล้ว มั่นถัวหลัวก็โบกมือ น้ำเสียงสงบอ่อนโยนดังก้องไปบนท้องฟ้า ทำให้บรรยากาศปะทุขึ้นทันที
“การประชุมราชันเริ่มขึ้นได้ ณ บัดนี้”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น