หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1069-1070
บทที่ 1069 ฝึกฝนขมขื่นในมหาสมุทรเทพสร้าง
เบื้องหน้ามหาสมุทรเทพสร้าง
“พวกเจ้าสามารถเพาะบ่มพลังได้ที่นี่และตัดสินใจเอาเองว่าต้องการอยู่นานแค่ไหน แม้ว่าคลื่นหลิงในสถานที่นี้จะยิ่งใหญ่ แต่ก็ครอบงำเนื่องจากแก่นเลือดโลหิตแท้จริงของเทพอสูรชั้นสูงมากมาย ด้วยพลังของพวกเจ้าทั้งสองคงไม่สามารถอยู่ได้นาน มิฉะนั้นเลือดและรัศมีจะถูกปนเปื้อน ทำให้พลังงานหลิงไม่บริสุทธิ์”
เมื่อมู่เฉินและจิ่วโยวได้ยินคำพูดของราชินีวิหคอมตะก็พากันพยักหน้า ต่อให้นางไม่เตือนเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาก็รู้สึกได้ว่าแม้คลื่นหลิงที่นี่จะหนาแน่น แต่เลือดและรัศมีก็พลุ่งพล่านด้วยการกดขี่ข่มเหง ดังนั้นหากควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็อาจจะก่อให้เกิดอันตรายมากกว่าผลดี
“มีเพียงพวกข้าสามคนเท่านั้นที่สามารถเปิดเส้นทางสู่มิตินี้ได้ หลังจากนี้ไปคลื่นหลิงของพวกข้าจะค่อยๆ หมดลง ดังนั้นนี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกข้าจะปรากฏตัวที่โลกภายนอก”
มู่เฉินขมวดคิ้ว นี่หมายความว่าเป็นครั้งสุดท้ายที่มิตินี้จะเปิดขึ้นและจะไม่มีใครสามารถเข้ามาได้อีกหลังจากที่พวกเขาออกไปงั้นหรือ?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เฉินมู่ก็รู้สึกเสียดายอย่างมาก พลังของเขากับจิ่วโยวมีจำกัด จึงไม่มีทางครอบครองคลื่นหลิงในสถานที่นี่ให้เป็นของตนเอง ตอนนี้พวกเขาก็ราวกับมดปลวกที่หล่นเข้าในยุ้งข้าว ไม่ว่าจะขยายท้องแค่ไหนก็ไม่สามารถกินได้ทั้งหมด
เขาไตร่ตรองชั่วครู่ก่อนที่จะมองไปที่ราชันทั้งสามกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ที่แห่งนี้เกิดขึ้นจากจอมยุทธ์มากมายของดินแดนเสินโซ่ ถ้าปล่อยให้มันจางหายไปตามกาลเวลา จะไม่เป็นการทิ้งให้เสียประโยชน์เหรอ?”
“แม้ว่าตอนนี้มหาพันภพจะสงบสุข แต่จักรวรรดิปีศาจต่างมิติยังคงจับจ้องจักรวาลของเราราวกับหมาป่าหิวโซ ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่เราจะแสวงหาสันติภาพกับพวกมัน หากมีวันหนึ่งที่พวกมันยาตราทัพบุกรุกเข้ามาอีกครั้ง พวกมันจะต้องทำสุดกำลังแน่นอน ในเวลานั้นทั้งมหาพันภพจะต้องเผชิญกับอันตรายทำลายล้างเผ่าพันธุ์ใหญ่หลวง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าว่าถ้าสามารถทำให้สิ่งที่เหล่าจอมยุทธ์ดินแดนเสินโซ่หลงเหลือไว้เป็นประโยชน์ในการช่วยปกป้องมหาพันภพ พวกเขาก็ต้องเห็นด้วยเช่นกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดจริงจังของมู่เฉิน ทั้งสามก็อึ้งไปก่อนที่พวกเขาจะเปิดเผยสีหน้าบางอย่าง ความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อเผ่าปีศาจไปไกลเกินกว่าที่มู่เฉินคิดไว้มาก ดินแดนเสินโซ่เป็นบ้านเกิดของพวกเขา แต่กลับถูกทำลายโดยเผ่าปีศาจ ครอบครัวเพื่อนพ้องจบชีวิตลงในการต่อสู้
ทว่าก็ไม่มีอะไรทีพวกเขาทำได้เนื่องจากสิ้นชีพไปแล้ว ดังนั้นนี่จึงเป็นความปรารถนาสุดท้าย หากพลังที่เหลืออยู่สามารถสร้างภัยคุกคามหรือขัดขวางเผ่าปีศาจต่างมิติในอนาคต
แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะเปิดทางเข้าสู่มหาสมุทรเทพสร้างแห่งนี้ เนื่องจากที่นี่ได้รับการปกปักรักษาโดยปณิธานของจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนจากดินแดนเสินโซ่ ดังนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ยากที่จะบุกเข้ามา ตอนนี้พลังของพวกเขาก็กำลังเหือดหายไป อาจไม่มีใครที่สามารถเปิดเส้นทางสู่มิตินี้อีกหลังจากพวกเขาสูญสลายไปชั่วนิรันดร์
ทั้งสามคนแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็ราวกับได้ตัดสินใจบางอย่าง สามฝ่ามือประสานกัน แสงหลิงคลี่กระจายกลายเป็นป้ายผลึกหยกระหว่างฝ่ามือของพวกเขา ระลอกคลื่นลึกซึ้งเปล่งออกมาจากป้ายนี้
เมื่อป้ายควบแน่น มู่เฉินและจิ่วโยวก็มองเห็นร่างดวงจิตของราชันทั้งสามพร่ามัวไปมาก ราวกับว่าอีกไม่นานก็จะหายไป
ราชินีวิหคอมตะจับป้ายผลึกหยกส่งให้มู่เฉินยิ้มพลางพูดว่า “เจ้าหนู เจ้าก็แค่อยากได้พลังในมิตินี้ไม่ใช่เหรอ ยังพูดให้ดูหรูหราอีก แต่ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด แทนที่จะปล่อยให้สถานที่นี้หายไปตามกาลเวลาก็เป็นการดีกว่าที่มอบให้เป็นของขวัญแก่ชนรุ่นหลัง ด้วยวิธีนี้อาจได้สนับสนุนจอมยุทธ์สุดยอดสักคนที่สามารถปกป้องมหาพันภพไว้ก็ได้”
“ป้ายผลึกหยกนี้ประกอบด้วยพลังสุดท้ายของพวกข้า หากเจ้ารู้สึกว่ามีคุณสมบัติพอที่จะสืบทอดสถานที่นี้ในอนาคต เจ้าสามารถใช้สิ่งนี้เพื่อกลับมายังที่นี่อีกครั้ง แต่จำไว้นะมันใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น”
พอเห็นว่าความคิดของตนถูกมองทะลุปรุโปร่งโดยราชินีวิหคอมตะ เขาก็รู้สึกเงอะงะไปบ้าง แต่เมื่อพบว่าไม่มีความไม่พอใจใดๆ ในน้ำเสียงของอีกฝ่าย กลับให้ความรู้สึกเหมือนมอบหมายภารกิจหนักหนา สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด
เขารู้สึกได้ถึงความไว้วางใจและความคาดหวังของราชันทั้งสาม ซึ่งทำให้เขารู้สึกละอายใจบ้าง ราชันทั้งสามสละชีพในสมัยโบราณเพื่อมหาพันภพ กระทั่งตายไปแล้วพวกเขาก็ยังปรารถนาที่จะช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ ความทรงคุณธรรมนี้ทำให้มู่เฉินรู้สึกเคารพยิ่งในใจ
ตอนแรกราชันทั้งสามพอมีเวลาที่จะอยู่ได้นานกว่านี้อีกหน่อย แต่พวกเขากลับเต็มใจใช้พลังทั้งหมดเพื่อให้โอกาสมู่เฉินในการเข้าสู่สถานที่แห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง แม้ราคาที่จ่ายก็คือเร่งความเร็วของการหายไปของร่างดวงจิต
ดังนั้นมู่เฉินจึงยื่นรับป้ายผลึกหยกมาก่อนที่จะโค้งคำนับด้วยมารยาทสูงสุดให้กับทั้งสาม เขากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแฝงความความเคารพว่า “หากในอนาคตมหาพันภพต้องประสบภัยจากการรุกรานของเผ่าปีศาจอีก ข้าคนนี้จะปกป้องด้วยกำลังทั้งหมดที่มี”
มู่เฉินไม่ใช่เด็กหนุ่มไม่ประสาแบบในอดีตอีกต่อไป แม้ว่าเขาจะไม่เคยปะทะโดยตรงกับเผ่าปีศาจ แต่เขาก็สามารถหาข้อมูลได้จากซากวีรชนในสนามรบโบราณ เผ่าปีศาจทั้งชั่วร้ายและโหดเหี้ยม เป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะอยู่อย่างสงบสุขกับสิ่งมีชีวิตในมหาพันภพ ดังนั้นทันทีที่พวกมันประกาศสงคราม จะต้องกระทบไปทั้งมหาพันภพแน่นอน ในเวลานั้นแม้ว่าจะเป็นเพื่อเพียงปกป้องคนใกล้ชิด เขาก็ต้องต่อสู้กับเผ่าปีศาจสุดกำลังแน่นอน
ทั้งสามจ้องมองไปที่ท่าทางเด็ดเดี่ยวของมู่เฉินก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าก็รีบฝึกฝนซะ”
ราชินีวิหคอมตะมองไปที่จิ่วโยวด้วยสายตาอ่อนโยน “ข้าอยู่ได้อีกไม่นาน แต่ในช่วงเวลานี้ข้าจะแนะนำเจ้าในเส้นทางวิวัฒนาการของวิหคอมตะ”
เผ่าวิหคโลกันตร์เป็นสายเลือดของนาง ดังนั้นจึงถือว่าชะตาลิขิตที่นางได้พบเจอกับลูกหลานก่อนที่จะหายไปตลอดกาล นางจึงไม่ยึกยักที่จะแนะนำจิ่วโยวเท่าที่จะทำได้
“ขอบพระคุณผู้อาวุโส!”
เมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดนั่น ความตื่นเต้นก็แผ่ซ่านออกมาจากใบหน้า ถ้านางสามารถได้รับคำแนะนำจากราชินีวิหคอมตะ นี่จะถือเป็นโชคชะตายิ่งใหญ่สำหรับนาง ไม่ต้องพูดถึงเผ่าวิหคโลกันตร์ แม้แต่ในเผ่าหงส์ฟ้าก็คงไม่มีใครได้รับความอนุเคราะห์เช่นนี้
มู่เฉินก็สุขใจไปกับจิ่วโยวเมื่อเห็นสิ่งนี้ เขาไม่ลังเลอีกต่อไป ร่างทะยานไปนั่งลงเหนือมหาสมุทรโลหิต
นั่งอยู่เหนือผิวน้ำ ต่อให้ยังไม่เริ่มเพาะบ่ม เขาก็สามารถสัมผัสถึงรัศมีเลือดที่พลุ่งพล่านจากเบื้องล่าง ค่อยๆ ซึมซาบเข้ามาในร่างของเขา
ทันใดนั้นเลือดเนื้อของเขาก็กระสับกระส่ายไม่หยุดยั้ง รัศมีเลือดที่ไม่มีที่สิ้นสุดหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขาส่งเสียงครางกระหึ่ม ร่างกายของเขากลืนกินรัศมีเลือดเพื่อทำให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ความไม่สบายจากการสั่งกองทัพอสูรสวรรค์ก่อนหน้าได้หายไปอย่างสมบูรณ์ในเวลานี้ คลื่นพลังไหลผ่านแขนขาและกระดูกนำพาเขากลับไปยังจุดสูงสุดของพลัง
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
เมื่อเลือดและรัศมีในร่างกายมาถึงจุดสูงสุด มู่เฉินก็รู้สึกว่าแขนทั้งสองสั่นเทาก่อนที่จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงจะระเบิดออกมาด้วยแสงสีทองตระการตา จากนั้นก็บินฉวัดเฉวียนออกจากท่อนแขนของมู่เฉิน ขดตัวอยู่รอบตัวเขา
ฟู! ฟู่!
จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าฟ้าแท้จริงตัวเล็กพัวพันรอบตัวรอบมู่เฉิน เปล่งเสียงคำรามที่คมชัด ส่งผลให้เกิดลูกคลื่นยกตัวขึ้นในมหาสมุทรโลหิตเบื้องล่าง เสาโลหิตพุ่งทะลักเข้าสู่ร่างมังกรและหงส์ฟ้าอย่างไม่รู้จบ ถูกกลืนกินเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ขณะที่จิตวิญญาณทั้งสองซึมซับรัศมีเลือดไร้ขอบเขต มู่เฉินก็สามารถเห็นร่างจิตวิญญาณซึ่งแต่เดิมเป็นสีทอง บัดนี้กลับถูกปนเปื้อนด้วยเส้นใยสีแดงเข้ม นอกจากนี้เขายังรู้สึกถึงพลังที่บรรจุอยู่ในมังกรและหงส์ฟ้าแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
การฝึกฝนคัมภีร์หลงเฟิ่งต้องพึ่งการกลืนกินแก่นโลหิตเทพอสูรชนิดต่างๆ อยู่แล้ว ตอนนี้มหาสมุทรเบื้องล่างเขาถูกกลั่นตัวมาจากเลือดเทพอสูรชั้นสูงนับไม่ถ้วน ดังนั้นจึงเป็นอาหารเอร็ดอร่อยที่สุดของจิตวิญญาณทั้งสอง
“หืม?”
ขณะที่มู่เฉินอึ้งไปกับความเร็วในการเติบโตของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง ราชันทั้งสามก็สัมผัสได้ พวกเขาจ้องมองไปทันที เมื่อเห็นร่างมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงรอบร่างมู่เฉิน ดวงตาของพวกเขาหดเกร็งลง
“จิตวิญญาณที่บรรจุด้วยสายเลือดมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงหรือ?” ราชันทั้งสามมีสายตาเฉียบคม พวกเขาระบุร่างวิญญาณเทพอสูรทั้งสองได้ด้วยการมองเพียงปราดเดียว นอกจากนี้วิญญาณแท้จริงก็ไม่ได้เกิดจากคลื่นหลิงเพียงอย่างเดียว แต่มีสายเลือดบริสุทธิ์ของมังกรและหงส์ฟ้าอยู่ด้วย
“คัมภีร์ที่เจ้าหนุ่มนี่ฝึกฝนน่าพิศวงอย่างยิ่ง สามารถควบแน่นมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงเพื่อป้องกันตัวเองได้” ราชันอสูรไร้พิรุณพูดออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เขารู้ถึงศักยภาพทรงพลังของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง ถ้าบำรุงเลี้ยงอย่างดี ในอนาคตเมื่อควบรวมเต็มที่ พลังก็จะไม่ด้อยไปกว่ามังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงตัวจริงเลย
เจ้าหนูนี่เป็นขวดวิเศษที่น่าประหลาดใจจริงๆ
อีกสองคนก็พยักหน้าขณะที่มองมู่เฉินอย่างลึกซึ้ง พวกเขารู้สึกเลือนรางว่าบางทีในอนาคตเมื่อมหาพันภพต้องเผชิญกับเผ่าปีศาจ การเลือกของพวกเขาในวันนี้อาจสร้างเสาหลักทรงพลังแล้วก็เป็นได้
มู่เฉินไม่สนใจอาการตกใจของราชันทั้งสาม เขามองดูจิตวิญญาณของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง จากนั้นก็ยิ้มบางก่อนที่จะปิดตาลงเพื่อสัมผัสกับเลือดและรัศมีที่พวยพุ่งในร่างกาย
โอกาสนี้เป็นโชคที่หายากมากสำหรับเขา ดังนั้นเขาต้องยึดช่วงเวลาเพื่อให้ตัวเองพัฒนาการอีกครั้ง
นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าเมื่อออกจากดินแดนเสินโซ่ก็ถึงเวลาจะต้องเตรียมการสำหรับการเข้าสู่วังสวรรค์บรรพกาลแล้ว
อย่างที่มั่นถัวหลัวบอกจะต้องมีวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะในวังสวรรค์บรรพกาล ดังนั้นเมื่อเวลานั้นมาถึง เขาก็อาจจะได้พบกับจอมยุทธ์ที่ฝึกร่างเทห์สวรรค์นี้เช่นกัน
คนเหล่านั้นจะต้องเป็นสัตว์ประหลาดที่แท้จริง
ดังนั้นหากเขาต้องการโดดเด่นที่สุดในกลุ่มสัตว์ประหลาดและได้รับวิธีวัฒนาการไป เขาก็ต้องแข็งแกร่งขึ้น!
บทที่ 1070 ปิดฉาก
ครืน!
มหาสมุทรสีแดงฉานปกคลุมมิติทั้งหมด พลังงานหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งไม่หยุดกลั่นตัวเป็นหมอก บางครั้งกลุ่มหมอกจะควบแน่นกันกลายเป็นเมฆที่มีสายฝนหลิงร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า ยกระลอกคลื่นบนพื้นผิวของมหาสมุทรขึ้นลง
แม้ว่ามหาสมุทรนี้จะสร้างจากแก่นเลือดเทพอสูรระดับต้นนับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่มีกลิ่นคาวเลือดเลยสักนิด ความบริสุทธิ์ของพลังงานนั้นเกินทุกสถานที่ที่มู่เฉินเคยเจอมา
จากการคาดการณ์ของเขาแม้ว่าค่ายกลบรรจบจิตทรงพลังหลากหลายค่ายกลรวมตัวกัน ก็คงไม่สามารถปรับแต่งพลังงานหลิงจำนวนมหาศาลเช่นนี้…
พื้นที่บริเวณนี้ถูกปกคลุมไปด้วยสายฝนหลิง มู่เฉินนั่งอยู่บนพื้นมหาสมุทรปล่อยให้ฝนหลิงเย็นยะเยือกตกลงบนร่างกาย ขณะที่แสงสีทองไหลเวียนอยู่บนผิวกายดูดซับสายฝนหลิงอย่างตะกละตะกลาม นำพาคลื่นพลังเข้ามารวมในจุดจื้อจุนไห่หลังจากการปรับแต่ง ซึ่งทำให้คลื่นหลิงของเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ครืน!
มหาสมุทรที่อยู่เบื้องหลังกระเพื่อมเป็นลอนคลื่น เทพอสูรขนาดใหญ่ดูราวกับวาฬทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนที่จะดำดิ่งลงทะลุผ่านร่างของมู่เฉินกลับไปที่มหาสมุทร
ร่างของมู่เฉินไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร ปล่อยให้เงาเทพอสูรเหล่านี้ผ่านร่างกายไปตามสบาย ดวงตาปิดสนิท ไม่มีคลื่นรบกวนใดบนใบหน้า
โดยไม่รู้ตัวเขาใช้เวลาหนึ่งเดือนไปกับมหาสมุทรนี้ แต่เขาก็ไม่เร่งรีบกลืนกินคลื่นหลิงที่นี่เพื่อพยายามบรรลุ
นั่นเป็นเพราะเมื่อไม่นานมานี้เขาเพิ่งได้ใช้ดอกบัวมรกตเก้าโคจรเพื่อบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด ดังนั้นถ้าเขาต้องการบรรลุอีกครั้งในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ บางทีอาจเป็นไปได้ในสถานที่แห่งนี้ แต่นั่นจะไปเขย่ารากฐานที่มั่นคงของเขาจนผิดเพี้ยนไปและส่งผลเสียต่อการฝึกในอนาคต
มู่เฉินไม่ได้เป็นคนโง่ที่ตาบอดเพื่อจะเสริมพลังตรงหน้าเพียงอย่างเดียว ดังนั้นเขาจึงมีสติในการระงับความอยากที่จะบรรลุและเลือกที่จะฝึกฝนอย่างเงียบๆ ปล่อยให้คลื่นหลิงในร่างกายไหลเวียนและดูดซับคลื่นหลิงจากโลกภายนอก
เขาต้องการพัฒนาการที่สมบูรณ์แบบ
แม้ว่าพัฒนาการเช่นนี้จะช้าที่สุด แต่ก็ทนทานที่สุดเช่นกัน นอกจากนี้ในเมื่อกฎเวลาในมิตินี้แตกต่าง มู่เฉินก็ไม่ขาดแคลนเวลา
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รีบเร่งและเลือกใช้วิธีที่ช้าที่สุด
แม้แต่ราชันทั้งสามก็พยักหน้าเห็นด้วยเกี่ยวกับการเลือกของเขาในใจ หากมีคนอื่นสามารถเข้ามาที่พื้นที่เพาะบ่มที่มีค่าเช่นนี้ พวกเขาอาจจะตาบอดจากชิ้นปลามันนี้และเลือกกลืนพลังงานให้มากที่สุด
แต่สุดท้ายวิธีนั้นก็เป็นได้แค่ดื่มเหล้าพิษแก้ขาดน้ำ ถือว่าเป็นเรื่องโง่ในระยะยาว
แม้ว่าประสิทธิภาพของวิธีมู่เฉินจะช้า แต่ก็รับประกันความมั่นคงในแต่ละก้าวของเขา ทำให้อนาคตต่อไปในเส้นทางของการเพาะบ่มเขาสามารถไปได้ไกลยิ่งกว่า
ทว่าแม้มู่เฉินจะไม่ได้ยึดติดกับการฝึกฝนขุมพลังหลิงในเดือนที่ผ่านมา แต่เขาก็มีผลการเก็บเกี่ยวเช่นกัน อย่างน้อยเขาก็ได้รับการพัฒนาที่น่าทึ่งในเส้นทางการฝึกฝนอีกทางหนึ่ง
มู่เฉินนั่งเงียบๆ บนมหาสมุทรก่อนที่จะลืมตาจากนั้นก็ยกมือ มหาสมุทรที่เบื้องหน้าเขากระเพื่อมไหวรุนแรง อึดใจต่อมาพื้นผิวมหาสมุทรก็แยกออกจากกัน แสงสองดวงพวยพุ่งออกมา
แสงทั้งสองคลอเคลียรอบร่างมู่เฉินพร้อมกับกำจายแสงสีทอง นี่คือจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง
แต่ในเวลานี้พวกมันได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ภาพพร่ามัวควบแน่นมากขึ้นหลังจากกลืนกินเลือดเทพอสูรมากมายในเวลาหนึ่งเดือน แม้ว่าจะยังห่างไกลจากรูปลักษณ์เดิม แต่ก็ดูสมจริงกว่าเมื่อเทียบกับความรู้สึกลวงตาที่มีมาก่อนหน้า
ยิ่งกว่านั้นร่างสีทองของพวกมันก็เปลี่ยนเป็นสีทองที่เข้มข้นกว่า ซึ่งดูแข็งแกร่งและทรงพลังอย่างยิ่ง
จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าที่แท้จริงพัวพันอยู่รอบมู่เฉิน ความแปรปรวนคลื่นหลิงที่ทรงพลังถูกปล่อยออกมาจากพวกมันตลอดเวลา
มู่เฉินมองจิตวิญญาณทั้งสองด้วยความประหลาดใจในดวงตา นั่นเป็นเพราะในช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือนการเติบโตของมังกรและหงส์ฟ้าแข็งแกร่งขึ้นมากหลายขุม
ตอนนี้เนื่องจากคลื่นหลิงควบแน่นในร่างจิตวิญญาณของมังกรและหงส์ฟ้าเพียงพอแล้ว ดังนั้นพวกมันจึงสามารถออกจากร่างมู่เฉินและต่อสู้ในระยะหนึ่งได้
จากการประเมินของมู่เฉิน เขาไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวกระบวนท่า จิตวิญญาณทั้งสองก็สามารถเผชิญกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดด้วยตัวเองได้
นั่นจะเทียบเท่ากับการมีผู้ช่วยที่ทรงพลังเคียงข้างเขา นอกจากนี้ผู้ช่วยทั้งสองก็ยังมีศักยภาพที่จะเติบโตอย่างทรงพลัง มู่เฉินไม่สงสัยเลยว่าเมื่อพวกมันเติบโตอย่างเต็มที่ ความแข็งแกร่งที่มีจะทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังหวาดกลัว
ดังนั้นเมื่อมองจากแง่มุมหนึ่ง จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงถึงเป็นส่วนที่น่ากลัวที่สุดของคัมภีร์หลงเฟิ่ง
แน่นอนว่าขั้นตอนนั้นยังห่างไกล มู่เฉินก็ไม่เคยคิดจะบรรลุเป็นเซียนได้ในวันเดียว ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือเลี้ยงดูมังกรและหงส์ฟ้าอย่างดี เพื่อวันหนึ่งในอนาคตพวกมันจะกลายเป็นองครักษ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา
สำหรับตอนนี้…
มู่เฉินจ้องมองจิตวิญญาณทั้งสองก็ยิ้มบาง ตอนนี้ก็พยายามดูแลการเติบโตของพวกมันให้ดีเถอะ…
เมื่อความคิดตกผลึก มู่เฉินก็ไม่ได้ฟุ้งซ่านอีกต่อไป เขามองไปที่เกาะเล็กที่ลอยอยู่บนมหาสมุทรโลหิต จิ่วโยวนั่งอยู่ที่นั่นโดยที่ทั่วร่างกำจายไปด้วยเปลวเพลิง
นั่นคือเพลิงอมตะ ในอดีตเพลิงอมตะของจิ่วโยวมีสีม่วงเข้ม แต่ในตอนนี้สีนั้นได้ค่อยๆ จางลงมีแนวโน้มไปสู่วิวัฒนาการของผลึกเพลิงอมตะ
มู่เฉินรู้ดีว่านี่เป็นเพราะคำแนะนำของราชินีวิหคอมตะ ในฐานะที่เป็นวิหคอมตะ นางรู้วิธีที่จะพัฒนาไปสู่การเป็นวิหคอมตะแท้จริง ดังนั้นคำแนะนำของนางสำหรับจิ่วโยวจึงมีค่าอย่างยิ่งทำให้ลดการเดินออกนอกเส้นทางไปมาก วิวัฒนาการก็จะสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
มู่เฉินมองเห็นอนาคตแล้วว่าเมื่อมีคำแนะนำจากราชินีวิหคอมตะ หลังจากสิ้นสุดการฝึกยุทธ์ครั้งนี้ พลังของจิ่วโยวจะต้องพัฒนาไปไกลยิ่งอย่างแน่นอน
ถึงเวลานั้นนางอาจจะแซงหน้าเขาไปไกลอีกครั้งก็ได้ หลังจากที่เขากระดึบตามนางมาอย่างขมขื่น
“สามปีแล้วที่ข้าออกจากสำนักศึกษาเป่ยชาง…”
ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นพรูลมหายใจ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเด็กหนุ่มที่ไม่มีประสบการณ์จนขึ้นตำแหน่งหนึ่งในสิบผู้บัญชาการของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ยิ่งกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าหลังจากที่กลับไปในครั้งนี้อาจจะมีตำแหน่งเพิ่มเติมในหมู่จอมพลก็เป็นได้
หลายปีในการฝึกฝน ทำให้ความไร้ประสบการณ์ของชายหนุ่มหายไปหมดสิ้น การทำงานหนักนี้ทั้งหมดก็เพื่อช่วยมารดาและสัญญาที่เขาให้ไว้กับหญิงคนรัก
คำมั่นสัญญาที่เขาจะก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในใต้หล้านี้ให้ได้
“ลั่วหลี…เจ้าสบายดีไหม?”
มู่เฉินมองสายหมอกที่พรั่งพรูบนท้องฟ้า ภาพเรือนผมยาวสลวยสีเงินยวงและใบหน้างดงามที่มีม่านตาคล้ายกับผลึกแก้วปรากฏขึ้น กระตุ้นความรู้สึกคิดถึงในหัวใจเขา
มู่เฉินเม้มปากใบหน้าฉายความแน่วแน่ แม้ว่าเขาจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่เขาก็รู้ว่าลั่วหลีซึ่งกลับไปที่ตระกูลลั่วเสินก็ไม่ได้สบายเช่นกัน ภายใต้ท่าทางละมุนละไมนั้นนางดื้อดึงกว่าเขาไม่รู้กี่เท่า
นางต้องแบกภาระทั้งหมดของตระกูลลั่วเสินที่นับวันก็เสื่อมถอย ซึ่งที่นั่นยิ่งใหญ่กว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ บางทีในเวลานี้นางก็กำลังใช้ไหล่บอบบางรับภาระเอาไว้
“ลั่วหลี…รอข้าเถอะ…รอวันที่ข้าไปหาเจ้าอีกครั้ง ตอนนั้นข้าจะทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้า…”
มู่เฉินกำมือแน่นและไม่ลังเลอีกต่อไป เขาระงับความคิดฟุ้งซ่านในหัวใจค่อยๆ หลับตาลง พลังงานหลิงรอบตัวก็ผันผวนก่อตัวเป็นกระแสน้ำวน กลืนกินคลื่นพลังงานที่ไม่มีขอบเขตในบริเวณนี้เข้าไปไม่สิ้นสุด
ในช่วงเวลาต่อไป เขาจะอยู่ในสมาธิลึก
เวลาเงียบงันผ่านไปรวดเร็ว
ขณะที่มู่เฉินและจิ่วโยวเริ่มฝึกฝนอยู่ในสมาธิลึก
การท่องยุทธในดินแดนเสินโซ่ได้สิ้นสุดหลังจากผ่านไปครึ่งเดือนตั้งแต่ทั้งสองเข้าไปในมหาสมุทรเทพสร้าง กลุ่มต่างๆ ก็ค่อยๆ ทยอยออกไปเมื่อได้รับโอกาสยิ่งใหญ่กลับไปยังเผ่าของตัวเอง
ทว่าเมื่อดินแดนเสินโซ่ปิดลง ทุกคนก็ได้รับรู้เรื่องการต่อสู้ในสุสานสักการะเทพ ชื่อของมู่เฉินก็ขจรขจายไปในเวลาเดียวกัน
เมื่อจงเถิงพบกับจงชิงเฟิง ก่อนที่เขาจะได้สอบถามเกี่ยวกับมู่เฉิน จงชิงเฟิงก็ใช้น้ำเสียงลึกซึ้งเตือนสติไม่ให้เขายั่วยุมู่เฉินต่อไปในอนาคต ไม่เช่นนั้นก็ต้องยอมรับการกระทำของตัวเองที่จะเกิดขึ้น
คำพูดของจงชิงเฟิงทำให้จงเถิงเหงื่อเย็นแตกพลั่ก โดยเฉพาะเมื่อที่รู้ว่ามู่เฉินเอาชนะไป๋หมิงเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งไปได้ เขาถึงกับพูดไม่ออก สุดท้ายก็บ่ายหน้าออกจากดินแดนเสินโซ่ด้วยสภาพคอตก เขาไม่กล้าคิดบัญชีกับมู่เฉินอีกต่อไป คนประเภทนี้ต้องไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดาในอนาคตแน่นอน หากเขายังสร้างเรื่องขุ่นเคืองให้กับคนเช่นนี้ เขาก็จะสูญเสียมากกว่าที่จะได้รับ
กลุ่มที่เคยปะทะกับมู่เฉินก็ต่างรู้สึกหวาดกลัว รีบถอยกลับไปที่เผ่าอย่างเงียบๆ
ภายใต้สถานการณ์นี้มั่วเฟิงและมั่วหลิงก็ออกจากดินแดนเสินโซ่มุ่งหน้ากลับไปยังเผ่าวิหคโลกันตร์ ทันทีที่กลับมาถึงพวกเขาก็ถูกเรียกเข้าพบโดยท่านประมุขและสภาผู้อาวุโสเพื่อสอบถามเกี่ยวกับการเก็บเกี่ยวในดินแดนเสินโซ่ครั้งนี้…
**สำนวนดื่มเหล้าพิษแก้ขาดน้ำแปลว่าได้แค่ประโยชน์ตรงหน้า อนาคตจบ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น