หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1067-1068
บทที่ 1067 หอกอสูรตัดหัวปีศาจ
ตู้ม!
พร้อมกับเสียงคำรามของมู่เฉิน มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตที่ปกคลุมท้องฟ้าเหนือแท่นบูชาก็พวยพุ่งขึ้นอย่างสมบูรณ์ ราวกับว่ามีน้ำหนักสิบล้านจิง เมื่อรัศมีจั้นยี่ม้วนตัวก็ทำให้มิตแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ทุกคนสัมผัสได้ถึงพลังที่แฝงอยู่ในรัศมีจั้นยี่น่าสะพรึงกลัว
“เขาทำสำเร็จ?!”
เมื่อได้เห็นมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ ผู้คนก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา ความสุขและตื่นตะลึงวูบไหวในดวงตาพร้อมกัน แม้ว่าสติจะบอกว่านี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับมู่เฉินที่สามารถสั่งการกองทัพอสูรสวรรค์ได้ แต่ก็มีอารมณ์บางอย่างก่อความชั่วร้ายในจิตใจ ทำให้ความรู้สึกอิจฉาหนาแน่นพล่านในส่วนลึกของหัวใจ
นั่นเป็นเพราะพวกเขาเข้าใจว่าถ้าในอดีตพวกเขาแค่หวาดเกรงต่อมู่เฉิน งั้นตอนนี้มู่เฉินที่สั่งการกองทัพอสูรสวรรค์ได้ก็ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวอย่างแท้จริง
ความกลัวนี้คล้ายกับการเผชิญหน้าผู้อาวุโสทรงอำนาจในเผ่าพันธุ์ที่สามารถปราบปรามพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์ด้วยการพลิกมือ
พวกเขายังเข้าใจด้วยว่าถ้าตอนนี้มู่เฉินออกกระบวนท่าใส่พวกเขา เพียงแค่คิดพวกเขาทั้งหมดที่นี่ก็จะตายโดยไม่มีการต่อต้านใดๆ ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ไม่อาจรอดชีวิตไปได้
แม้แต่ไป๋หมิง ไป๋ปิงและจอมยุทธ์เผ่าหงส์ฟ้าก็เข้าใจในจุดนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่กลืนน้ำลายอึกใหญ่แล้วลดสายตาลง มากจนกระทั่งพวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะมองร่างมู่เฉิน กลัวว่าอาจจะไปยั่วยุเอาได้ ถ้ามู่เฉินเกิดบ้าคลั่งขึ้นมา ทุกคนที่นี่ได้ตายในอ่างเลือดแน่
มู่เฉินในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะสามารถยุแหย่ได้
“เขาทำสำเร็จ แต่…” จิ่วโยวไม่ได้รู้สึกโล่งใจกับความจริงที่มู่เฉินสามารถสั่งการกองทัพได้ สายตาของนางจับจ้องไปที่ร่างคลุมเครือที่ปรากฏในมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ขนาดใหญ่ เส้นเลือดที่เต้นระริกอยู่บนท่อนแขนของมู่เฉินพล่านขึ้นไปบนใบหน้า หยดเลือดไหลลงมาจากหว่างคิ้ว ซึ่งเป็นสัญญาณบอกว่ามู่เฉินกำลังทรมานอย่างน่ากลัวในหัวสมอง
แม้ว่าราชินีวิหคอมตะจะมอบวัตถุป้องกันให้ แต่ก็ยังเป็นภาระหนักหนาสำหรับมู่เฉินที่จะสั่งรัศมีจั้นยี่ที่ทรงพลังเช่นนี้
ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็จะทำให้มู่เฉินต้องได้รับการตอบโต้จากรัศมีจั้นยี่
ฮา…
ภายใต้การจ้องมองอย่างกระวนกระวายของจิ่วโยว มู่เฉินก็สูดหายใจเข้าลึกสุดปอด ระงับความเจ็บปวดที่รุนแรงในศีรษะด้วยความยากลำบาก ขนนกแสงปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้ว เพราะมีสิ่งนี้ช่วยปกป้องสติไว้ได้ ไม่เช่นนั้นสมองของเขาคงถูกทำลายจากรัศมีจั้นยี่ที่น่ากลัวไปนานแล้ว
“ข้ามีโอกาสครั้งเดียวเท่านั้น…”
ภายใต้ความเจ็บปวดที่รุนแรง จิตใจของมู่เฉินกลับสงบนิ่งอย่างผิดปกติ เขาสัมผัสเจตจำนงรัศมีจั้นยี่ทรงพลังที่ล้อมรอบกาย เขารู้ว่าขนนกราชินีวิหคอมตะสามารถใช้ได้ครั้งเดียว นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดด้านเวลาอีกด้วย หากเขาไม่สามารถโจมตีปีศาจโดยกองทัพอสูรสวรรค์รวดเดียวจบ เขาก็ต้องยอมแพ้ในการสั่งการกองทัพ มิฉะนั้นเขาจะตายทันทีที่รัศมีจั้นยี่ตีกลับ
คิดถึงจุดนี้ก็ไม่มีคลื่นใดในหัวใจของมู่เฉินอีกต่อไป เขาเงยหน้าที่เส้นเลือดเต้นยุบยับขึ้น มองไปที่ใบหน้าปีศาจมหึมาที่ถูกพันธนาการโดยราชันทั้งสาม อึดใจมือของเขาก็ประสานกันก่อร่างตราประทับ ป้ายหินสั่นสะเทือนที่เบื้องหน้า
“กองทัพอสูรสวรรค์แสดงให้ข้าเห็นว่ารัศมีจั้นยี่ของพวกเจ้าทรงอำนาจแค่ไหน!”
ตู้ม!
เมื่อเสียงของมู่เฉินดังก้องในหัวใจ มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ที่เบื้องหน้าก็ระเบิดอย่างรุนแรง สายธารนับไม่ถ้วนพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนที่จะรวมตัวกัน
ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตก็จางหาย หอกอสูรโบราณที่มีความยาวเกินคณนาก็ลอยอยู่ในอากาศ
หอกอสูรสลักด้วยลวดลายจั้นเหวินที่หนาแน่นคลุมเครือ ทว่าพลังที่ปล่อยออกมาจากหอกนั้นสามารถเปลี่ยนสีหน้าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนได้เลย
เมื่อเผชิญหน้ากับรัศมีจั้นยี่ยิ่งใหญ่ ก็เป็นไปไม่ได้ที่มู่เฉินจะควบคุมได้อย่างแม่นยำ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ควบรวมรัศมีจั้นยี่ไว้ด้วยกัน พยายามปลดปล่อยพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
“หอกอสูร ปราบมาร!”
รัศมีจั้นยี่ไหลออกมาราวกับสสารจากดวงตาของมู่เฉิน อึดใจต่อมาหอกมหึมาที่ถูกสร้างขึ้นจากรัศมีจั้นยี่ก็ทะลุผ่านมิติ เคลื่อนตัวออกไปปรากฏต่อหน้าใบหน้าปีศาจในพริบตา
โฮก! โฮก!
ใบหน้าปีศาจรับรู้ได้ถึงการโจมตีน่ากลัวที่เข้าร่วมในการต่อสู้ ทันใดนั้นร่างเงาปีศาจบนใบหน้านับไม่ถ้วนก็ส่งเสียงคำรามราวกับสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามจากการทำลายล้างยิ่งใหญ่
ใบหน้าปีศาจไม่คิดว่านอกเหนือจากร่างดวงจิตสามราชัน จะยังมีการโจมตีที่น่ากลัวเข้าร่วมในสมรภูมิอีก
ตู้ม! ตู้ม!
รัศมีปีศาจน่าสยดสยองพุ่งพรวดออกมาจากใบหน้าปีศาจพยายามจะสะบัดให้หลุดพ้นจากพันธนาการของสามราชัน ทว่าทั้งสามจะปล่อยให้เป็นไปตามที่ใบหน้าปีศาจวางแผนไว้ได้อย่างไร? ทันใดนั้นพวกเขาก็หมุนเวียนคลื่นพลังทั้งหมด ทำให้โซ่ตรวนแข็งแรงขึ้น
ปัง! ปัง!
รัศมีปีศาจระเบิด ทำให้โซ่ตรวนสั่นสะเทือนไม่หยุดหย่อน แต่ใบหน้าปีศาจก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้
ฟิ้ว!
ขณะนี้เองหอกอสูรขนาดใหญ่ที่ควบแน่นจากรัศมีจั้นยี่ทรงพลังของกองทัพอสูรสวรรค์ก็กวาดออกไป พุ่งเข้าใส่กลางหว่างคิ้วของใบหน้าปีศาจโดยไม่ลังเล
ฮึ่ม!
รัศมีปีศาจป่าเถื่อนพุ่งออกจากหว่างคิ้วปีศาจรุนแรง ก่อร่างเป็นเงาปีศาจนับไม่ถ้วนที่ส่งเสียงหวีดหวิวพยายามกลืนกินหอกอสูร
ปัง! ปัง!
ทว่ารัศมีจั้นยี่ที่บรรจุแน่นอยู่ในหอกอสูรทรงพลังอย่างมาก ขณะที่ปีศาจนี้ไม่ใช่การดำรงอยู่แท้จริงของจอมพลปีศาจ เป็นเพียงสิ่งที่ก่อจากเจตจำนง ดังนั้นจึงแตกสลายทันทีที่สัมผัสกับรัศมีจั้นยี่น่าสะพรีงกลัว
ปุ!
เงาปีศาจระเบิดแล้วเหือดหายไป ส่วนหอกอสูรยังคงซัดไปที่หว่างคิ้วปีศาจ รัศมีจั้นยี่ที่ทรงประสิทธิภาพกวาดล้างออกไปทันที
โฮก!
ปากที่ดูน่ากลัวของปีศาจปลดปล่อยเสียงกรีดร้องสยองขวัญ หอกอสูรที่แทงลงตรงหว่างคิ้วทำให้รัศมีปีศาจของใบหน้าปีศาจปั่นป่วน การระเบิดเกิดขึ้นภายใน ทุกครั้งของการระเบิดรุนแรงจะทำให้ใบหน้าปีศาจหดขนาดลงอย่างรวดเร็ว
ปัง! ปัง!
ในเวลาไม่กี่ลมหายใจขนาดของใบหน้าปีศาจหลายหมื่นจั้งก็ถูกย่อลงเหลือเพียงพันจั้งเห็นจะได้ รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากก็ลดน้อยลงเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าการจู่โจมจากมู่เฉินซึ่งใช้ประโยชน์จากกองทัพอสูรสวรรค์ก่อให้เกิดภัยคุกคามครั้งใหญ่
“ฆ่ามัน!”
เมื่อราชันทั้งสามเห็นภาพนี้ ความสุขก็ฉาบบนดวงตา พวกเขาทั้งสามออกกระบวนท่าอย่างเต็มกำลังทันที โซ่ตรวนขนาดใหญ่ที่พันธนาการไว้กับใบหน้าปีศาจก็รัดแน่นไม่ปล่อยให้แม้แต่กลิ่นอายปีศาจเล็ดลอดออกมาได้
มองจากที่ไกลใบหน้าปีศาจดูราวกับลูกแสงที่ถูกรัดด้วยโซ่
อ็อก!
ราชันทั้งสามพ่นเลือดออกมาเต็มปาก เลือดเคลื่อนไหวยึกยือก่อร่างเป็นอักขระโบราณสามตัว ตกลงบนลูกแสงอย่างช้าๆ และรวมเข้ากันอย่างรวดเร็ว
โฮก!
เมื่ออักขระโลหิตโบราณรวมเข้าด้วยกัน เสียงคำรามของความสิ้นหวังก็ดังก้องจากใบหน้าปีศาจ
“ในเมื่อตายไปก็จงอยู่อย่างนั้นอย่าก่อให้เกิดหายนะใดๆ” ราชีนีวิหคอมตะเปล่งเสียงพูดเบาๆ ก่อนที่มือเรียวจะประสานกัน ริ้วแสงโลหิตมากมายพล่านออกมาจากในลูกแสงแล้วระเบิดดังสนั่น
คลื่นกระแทกน่าสยอดสยองครอบครองท้องฟ้า ปกคลุมรัศมีหลายหมื่นลี้ทำให้มิติพังทลาย มีรอยแตกร้าวมากมายนับไม่ถ้วนลึกราวกับเหวนรกพล่านไปบนพื้นดิน สร้างความวินาศสันตะโรให้กับสุสานสักการะเทพ
ทุกคนมองไปที่ท้องฟ้าพร้อมกับสีหน้ากังวลใจ เมื่อคลื่นกระแทกค่อยๆ จางหายไป ใบหน้าปีศาจก็บิดเบี้ยวอย่างรวดเร็วแล้วหายไปอย่างสมบูรณ์
“ปีศาจถูกจัดการแล้ว!”
เมื่อเห็นฉากนี้ ร่างกายที่ตึงเครียดของทุกคนก็คลายตัวลงพร้อมกับความสุขปกคลุมใบหน้า บางคนถึงขนาดนั่งแปะลงบนพื้น ชัดว่าการต่อสู้น่ากลัวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าทำให้พวกเขารู้สึกกดดันอย่างมาก
“สำเร็จจริงๆ…” จิ่วโยวและคนที่เหลือรู้สึกโล่งใจ ในใจยังไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่น่ากลัวจะถูกกวาดล้างเบื้องหน้าสายตา
“ต้องขอบคุณมู่เฉิน”
กลุ่มจิ่วโยวไม่ได้เป็นกลุ่มเดียวที่มีความคิดเช่นนี้ แม้แต่คนอื่นๆ ก็รู้สึกซาบซึ้งเมื่อมองไปที่มู่เฉินบนท้องฟ้า พวกเขาต้องยอมรับว่าเป็นหนี้บุญคุณมู่เฉินแล้ว
สีหน้าของกลุ่มไป๋หมิงสลับไปมาระหว่างขาวกับเขียว แต่ยามนี้พวกเขาไม่กล้าแสดงความไม่พอใจต่อมู่เฉินอีกแม้แต่น้อย เพราะถ้าพวกเขาทำ ก็จะต้องรับแรงโกรธคลั่งจากมวลชนลูกใหญ่แน่
มู่เฉินไม่สนใจสายตาซาบซึ้งเหล่านั้น เขามองปีศาจที่กำลังจางหายไป คลื่นจิตของเขาซึ่งตึงเครียดตลอดการต่อสู้ก็คลายลง หลังจากนั้นความเจ็บปวดที่น่ากลัวก็พล่านออกมาจากหัวสมองราวกับคลื่นยักษ์พยายามที่กลืนกินเขา
อ็อก!
เลือดสดกระอักเต็มปากมู่เฉิน ใบหน้าซีดเซียว ก่อนหน้าที่ฝืนสั่งการรัศมีจั้นยี่น่ากลัว เขาได้รับผลกระทบบางอย่าง แม้จะได้รับการปกป้องจากราชินีวิหคอมตะก็ตาม
ภายใต้การโต้กลับนี้ ศีรษะของเขาก็เหมือนกำลังจะระเบิด ภาพเบื้องหน้าสายตามืดลง ร่างกายก็ดิ่งลงจากท้องฟ้า
ร่างกายของเขาดิ่งลงอย่างไร้พลัง สายตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำ เมื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เหลืออยู่ มู่เฉินก็อดยิ้มอย่างขมขื่นไม่ได้
“บ้าเอ๊ย… วันหลังจะไม่สั่งการกองทัพแบบนี้อีกแล้ว… เกือบกลายเป็นนักรบตายซากแล้ว…”
วาบ!
ราชินีวิหคอมตะปรากฏขึ้นกลางอากาศ นางเหยียดนิ้วออกมารองรับร่างกายของมู่เฉิน ก่อนที่จะแตะอีกครั้งที่หน้าผากของเขา แสงหลิงคลี่กระจาย ภายใต้แสงใบหน้าของมู่เฉินที่ปกคลุมไปด้วยเส้นเลือดปูดโปนก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ
นางมองไปที่ใบหน้าอ่อนเยาว์ ระลอกตกตะลึงก็วูบไหวในดวงตา เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเรื่องคาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินสามารถสั่งการกองทัพอสูรสวรรค์เพื่อโจมตีรุนแรงใส่ใบหน้าปีศาจได้
นางยิ้มพรายพร้อมส่ายหน้าเล็กน้อย
“เจ้าหนูคนนี้… ข้าประเมินเขาต่ำไป…”
บทที่ 1068 โชคใหญ่
เมื่อสมองมู่เฉินปลอดโปร่งขึ้นใหม่อีกครั้ง
ภาพแรกที่อยู่ในครรลองสายตาก็คือสุสานสักการะเทพที่วินาศสันตะโร โดยมีหุบเหวลึกกระจายบนพื้นดิน ทำให้มู่เฉินรู้สึกหวาดผวานัก
หากไม่ได้รับการปกป้องจากแท่นบูชาพวกเขาทุกคนคงสลายกลายเป็นอากาศธาตุจากการสู้รบที่น่ากลัวนี้แล้ว
“ตื่นแล้วเหรอ?” เสียงดังสะท้อนออกมา มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียงก็เห็นราชีนีวิหคอมตะมองเขาด้วยรอยยิ้มบางจาง
มู่เฉินลูบหัวตัวเองปอยๆ ซึ่งยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดอยู่ก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ที่แท้ความรู้สึกในการควบคุมกองทัพที่ทรงพลังเกินไปสำหรับกำลังตัวเองเป็นแบบนี้นี่เอง”
มู่เฉินรู้สึกสยองเพียงแค่นึกถึงรัศมีจั้นยี่ เมื่อเขายืมกำลังบัญชาการรัศมีจั้นยี่ของกองทัพอสูรสวรรค์ เขาก็สัมผัสได้ว่าหากรัศมีจั้นยี่นั้นกระเพื่อมไหวแม้เพียงน้อยนิด ก็จะสามารถทำลายล้างเขาได้อย่างสมบูรณ์
“ในฐานะจั้นเจิ้นซือ การสัมผัสถึงรัศมีจั้นยี่ทรงพลังของกองทัพล่วงหน้าจะเป็นประโยชน์สำหรับเจ้าในการทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งเกี่ยวกับรัศมีจั้นยีในอนาคต” ราชันปักษาวิญญาณยิ้มเล็กน้อย เมื่อมองมู่เฉินดวงตาของเขาก็มีแววชื่นชม เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกประหลาดใจที่เห็นมู่เฉินสามารถปล่อยการโจมตีรุนแรงได้
มู่เฉินพยักหน้าเพราะนี่เป็นเรื่องจริง แม้ว่าจะอันตรายมากสำหรับเขาในการสั่งการรัศมีจั้นยี่ที่ทรงพลัง แต่ก็เป็นโอกาสเช่นกัน หากเขาพบสถานการณ์ที่คล้ายกันในอนาคตหรือครอบครองกองทัพทรงประสิทธิภาพเช่นนี้ เขาก็จะไม่มีสภาพน่าสมเพชเหมือนวันนี้เนื่องจากผ่านประสบการณ์มาแล้ว
“มู่เฉิน เจ้าเป็นอะไรไหม?” จิ่วโยวพลิ้วเข้ามาหยุดลงข้างๆ มู่เฉิน ดวงตาอัดแน่นด้วยความกังวล
มู่เฉินส่ายหัวกวาดสายตาไปรอบๆ ก็พบว่ายามนี้กลุ่มอื่นๆ ออกไปแล้ว มีเพียงจิ่วโยวที่ยังคงรออยู่ที่นี่
“ทุกคนออกกันไปหมดแล้ว พวกมั่วเฟิงข้าก็ให้พวกเขาออกไปก่อน” จิ่วโยวบอก ในเมื่อสุสานสักการะเทพเสียหายจนถึงจุดนี้ กลุ่มอื่นๆ ก็พุ่งความสนใจไปที่พื้นที่โดยรอบและดูว่าจะสามารถหาสมบัติล้ำค่าได้อีกหรือไม่ ขณะที่นางกังวลเกี่ยวกับมู่เฉิน นางจึงเลือกอยู่ที่นี่ต่อ
มู่เฉินพยักหน้าแล้วกำมือก็ต้องอึ้งไปเมื่อพบว่าตราประทับหินกองทัพอสูรสวรรค์แตกเป็นผุยผงแล้วปลิวไปในสายลม
“นี่…” มู่เฉินรู้สึกปวดร้าวใจกับภาพนี้ นี่คือป้ายบัญชาการกองทัพอสูรสวรรค์นะ!
“กองทัพอสูรสวรรค์ตายไปตั้งแต่ต้นแล้ว ก่อนหน้าได้สูญเสียพลังทุกหยด ป้ายนี้ก็เสียการปกป้องจากรัศมีจั้นยี่ จึงไม่ต่างจากของไร้ประโยชน์น่ะ” ราชินีวิหคอมตะถอนหายใจเบาๆ
มู่เฉินเจ็บแปลบในหัวใจตาพร่าไปหมด แม้จะเป็นขุมกำลังสูงสุดในมหาพันภพ วัตถุเช่นนี้ก็ถือได้ว่าเป็นสมบัติยิ่งใหญ่ที่ไม่สามารถประเมินค่าได้
ทว่าสมบัติล้ำค่าเช่นนี้กลับกลายเป็นขี้เถ้าในมือเขา ทำให้เขารู้สึกยากที่จะยอมรับ
แต่ในเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ไร้ประโยชน์ไม่ว่าเขาจะรู้สึกเสียดายมากแค่ไหนก็ตาม มู่เฉินถอนหายใจแล้วจ้องมองราชินีวิหคอมตะ ท่าทางเขาดูเหมือนว่าจะพูดอะไร แต่ก็อมพะนำไว้
เมื่อราชินีวิหคอมตะเห็นก็ส่ายหัวอย่างนึกสนุกและโมโหในเวลาเดียวกัน “วางใจเถอะ ในเมื่อข้าสัญญาไปแล้ว ข้าก็จะไม่คืนคำพูด”
พอมู่เฉินได้ยินคำพูดของนางก็รู้สึกโล่งใจมาก แม้ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่ดีที่เขาสามารถอยู่รอดได้ในการต่อสู้ใหญ่ แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าโชคก้อนใหญ่ที่มอบให้โดยจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจะมากเกินไป
เมื่อจบคำพูด ราชินีวิหคอมตะก็มองไปที่ราชันปักษาวิญญาณและราชันอสูรไร้พิรุณ ทั้งสองต่างผงกหัวจากนั้นก็สร้างตราประทับขึ้นในมือเวลาเดียวกัน ริ้วแสงแวววาวเปล่งออกมาจากร่างของพวกเขาค่อยๆ ห่อหุ้มมู่เฉินเอาไว้
“โชคลาภไม่ได้อยู่ที่นี่ เจ้าต้องไปกับพวกข้า” ราชินีวิหคอมตะเอ่ยขึ้น
มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะชี้ไปที่จิ่วโยวอย่างรวดเร็ว “ผู้อาวุโสช่วยพานางไปด้วยได้ไหม?”
เขาจะรู้สึกยินดีถ้าจิ่วโยวได้รับโชคด้วยกัน เนื่องจากพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน
เมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดของมู่เฉินก็อึ้งไปก่อนจะรู้สึกขอบคุณจากหัวใจ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมแบ่งปันโชคลาภที่พวกเขาได้รับหลังจากเสี่ยงชีวิตมาหรอก
ราชินีวิหคอมตะก็ประหลาดใจไป นางมองไปที่จิ่วโยว ในดวงตาก็ปรากฏแววอ่อนโยน ชัดว่ารู้สึกถึงสายเลือดที่มาจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน
“ในเมื่อเจ้ามาจากเผ่าวิหคโลกันตร์ นั่นก็หมายความว่าเจ้าเป็นลูกหลานของข้า ดังนั้นไม่ว่าจะยังไงโชคชะตาเลือกให้เจ้าอยู่ที่นี่ สมบัติแห่งดินแดนเสินโซ่นี้จะมอบให้กับเจ้าสองคน” ราชินีวิหคอมตะพยักหน้าเบาๆ
มู่เฉินและจิ่วโยวดีใจมาก รีบประสานมือคารวะอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณผู้อาวุโส”
ตราประทับของราชันทั้งสามเปลี่ยนแปลงวูบไหว ริ้วแสงค่อยๆ ห่อหุ้มมู่เฉินและจิ่วโยว หลังจากนั้นแสงก็รุนแรงมากขึ้น ทำให้เกิดมิติเหลื่อมซ้อนก่อนที่จะพาทั้งสองหายไป
เมื่อแสงจางหาย แท่นบูชาก็ว่างเปล่าเหลือเพียงรัศมีโบราณที่ยังไหลวนไปทั่วบริเวณ
แสงเข้มข้นคงอยู่ไม่กี่อึดใจ
ก่อนที่มู่เฉินจะเปิดตาขึ้น จากนั้นภาพที่เบื้องหน้าก็ทำให้สีหน้าของเขาแข็งค้าง
ภาพที่ปรากฏคือมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาลที่มีสีแดงสดราวกับห้วงน้ำโลหิต แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจที่สุดคือไม่มีกลิ่นคาวเลือดเล็ดลอดออกมาสักนิด
ในมหาสมุทรสีแดง ร่างสัตว์อสูรจำนวนมากโจนตัวขึ้นมาเป็นครั้งคราว ภาพนี้ทำให้มู่เฉินและจิ่วโยวตะลึงงัน เนื่องจากพวกเขาค้นพบว่ารูปร่างของสัตว์อสูรเหล่านั้นคือเทพอสูรที่มีชื่อเสียงในสมัยโบราณ…
นอกจากนี้มู่เฉินและจิ่วโยวยังสามารถสัมผัสได้ว่าความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่ากลัวสุดจะพรรณนาในมหาสมุทรสีแดงเข้ม ซึ่งทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังรู้สึกว่าหนังหัวชาดิกไปหมด
“มหาสมุทรแห่งนี้บรรจุไปด้วยแก่นโลหิตเทพอสูรมากมาย!” จิ่วโยวอุทาน ตัวนางเป็นเทพอสูรด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงรู้สึกถึงความลึกซึ้งของมหาสมุทรสีแดงสดได้
มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่ม่านตาจะหดเกร็ง เนื่องจากเขานึกถึงสุสานอสูรโบราณโภคะ หลุมดำลึกลับที่นำไปสู่สถานที่ที่ไม่รู้จัก เป็นไปได้ไหม…ที่แก่นโลหิตของอสูรโบราณโภคะจะถูกรวบรวมมาอยู่ที่นี่?
แก่นโลหิตเทพอสูรที่ละสังขารในสุสานหมื่นอสูรทั้งหมดมารวมตัวกันที่นี่ใช่หรือไม่?
เมื่อคิดถึงจุดนี้ มู่เฉินก็สูดหายใจเอาอากาศเย็นเข้าลึก เพียงแค่แก่นโลหิตของเทพอสูรชั้นยอดตัวเดียวก็สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างร่างคนคนหนึ่งได้เลยทีเดียว นี่จะน่ากลัวขนาดไหนสำหรับการรวบรวมแก่นโลหิตจำนวนมากไว้ที่นี่?
“ย้อนกลับไปตอนที่เผ่าปีศาจต่างมิติรุกรานเข้ามายังดินแดนเสินโซ่ สงครามทำให้จอมยุทธ์ส่วนใหญ่ของดินแดนนี้ล้มหายตายจาก”
“แต่พวกปีศาจก็จ่ายราคาแพงระยับสำหรับสงครามครั้งนั้นด้วยจอมพลทั้งห้าและนักรบอื่นๆ อีกมากมาย แต่ว่าพวกปีศาจเหล่านั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่งโดยเฉพาะพวกจอมพล แม้ว่าพวกมันจะสิ้นใจตายอยู่ในสุสานหมื่นอสูร แต่ก็ได้สามารถสร้างค่ายกลปีศาจก่อนที่จะตาย สกัดแก่นโลหิตของจอมยุทธ์เทพอสูรที่ละสังขารทั้งหมดมารวมกันเพื่อพยายามที่จะชุบชีวิตด้วยแก่นโลหิต” ราชินีวิหคอมตะมองดูมหาสมุทรสีแดงสดขณะที่ค่อยๆ อธิบาย
ใบหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไป ที่แท้มหาสมุทรแห่งนี้ก็เป็นผลงานของเผ่าปีศาจต่างมิติ…
“แต่เราค้นพบแผนการซะก่อน ดังนั้นจึงยอมเล่นตามน้ำกับพวกมัน พวกเราใช้ปณิธานที่หลงเหลืออยู่ในเลือดของเหล่าเทพอสูรมาระงับโครงกระดูกของห้าจอมพลปีศาจ ทำให้พวกมันไม่มีโอกาสพลิกตัวได้” ราชันปักษาวิญญาณเอ่ยต่อ
“พวกเราเรียกมหาสมุทรแห่งนี้ว่า ‘มหาสมุทรเทพสร้าง’ ซึ่งสร้างขึ้นจากจอมยุทธ์จำนวนมากมายของดินแดนเสินโซ่ พลังที่บรรจุอยู่ภายในนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังต้องปฏิบัติด้วยความเคร่งครัด”
มู่เฉินและจิ่วโยวพยักหน้าหงึกหงัก แม้แต่วิญญาณยังสั่นสะท้านเมื่อมองมหาสมุทรแห่งนี้ ขนาดและพลังเกินกว่าสิ่งใดๆ ที่พวกเขาเคยพบ
พลังแก่นโลหิตเทพอสูรมีผลในการชำระไขกระดูก เปลี่ยนกระดูก ปรับคลื่นพลังงาน เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างกายและส่งผลอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นแก่นโลหิตเทพอสูรจึงถือว่าเป็นยาชูกำลังที่หาได้ยากยิ่งทั้งสำหรับมนุษย์และสัตว์อสูร
ดังนั้นหากพวกเขาสามารถฝึกฝนได้ที่นี่ มู่เฉินก็ไม่สามารถจินตนาการได้ว่าตนเองจะได้รับผลมากเพียงใด
“นี่ยังไม่ได้เป็นส่วนที่น่าดึงดูดที่สุดนะ…” ขณะที่มู่เฉินและจิ่วโยวตกตะลึงกับมหาสมุทรเบื้องหน้า ราชินีวิหคอมตะก็ยิ้มบาง
ม่านตาของมู่เฉินและจิ่วโยวหดแคบลง มหาสมุทรเทพที่สามารถสร้างยอดยุทธ์นับไม่ถ้วนยังไม่ใช่จุดที่น่าดึงดูดที่สุดเหรอ?
ราชินีวิหคอมตะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพูดต่อ “ลองสัมผัสดูสิ”
มู่เฉินและจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากันก็ต่างเห็นแววสับสนของกันละกัน แต่ทั้งสองก็ยังหลับตาเพื่อพยายามรู้สึกถึงบางสิ่ง หลังจากนั้นไม่นานก็เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ
“เวลาที่นี่…ไหลช้ามาก!”
ทั้งสองคนฉายความตกตะลึงในสายตา พวกเขารู้สึกได้ว่าเวลาที่นี่ช้ากว่าโลกภายนอกมาก นั่นก็หมายความว่ากฎของที่นี่เปลี่ยนแปลงไป
การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสิ่งที่เกินความเข้าใจทั้งสอง อาจมีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่สามารถสัมผัสได้
“เวลาที่นี่ช้ากว่าโลกภายนอกประมาณสี่เท่า นั่นก็หมายความว่าการเพาะบ่มที่นี่ครึ่งปีเท่ากับภายนอกสองปีน่ะ…” ราชินีวิหคอมตะกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
ดวงตาของมู่เฉินและจิ่วโยวเป็นประกายวูบวาบ พวกเขารู้ว่าหากความลับของสถานที่นี้รั่วไหลออกไป แม้แต่ขั้วอำนาจในมหาพันภพก็ต้องเข่นฆ่าเพื่อแย่งชิงสถานที่แห่งนี้
นั่นเป็นเพราะดินแดนนี้เทียบเท่ากับสถานที่เพาะบ่มจอมยุทธ์
มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปาก เขากวาดมองมหาสมุทรด้วยดวงตาโชนแสง เขารู้ว่าโชคลาภนี้ก้อนใหญ่จริงๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น