หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1065-1066

 บทที่ 1065 สามราชันเทพอสูร

ราชินีวิหคอมตะมองมู่เฉินด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ


แต่มู่เฉินไม่รู้สึกว่าเป็นเกียรติอะไรเลย ตรงกันข้ามเขารู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด ท่าทางของอีกฝ่าย ชัดว่าค้นพบตัวตนของเขาในฐานะจั้นเจิ้นซือแล้ว


แม้เขาจะไม่เคยเผยออกมา แต่ก็ถูกค้นพบ ซึ่งนี่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึงในหัวใจ จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนน่ากลัวปานนี้เชียวรึ? เพียงมองแวบเดียวนางก็เห็นความลับทั้งหมดของเขาได้


บนแท่นบูชาผู้คนอื่นๆ ก็ส้มผัสได้ถึงสายตาของราชินีวิหคอมตะจึงกวาดสายตาตามไปรวมตัวกันที่มู่เฉินด้วยอาการตกตะลึง


“เขาเป็นจั้นเจิ้นซือด้วยเหรอ?” มีคนอดไม่ได้ที่จะร้องอุทานด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่าความจริงนี้ทำให้พวกเขาค่อนข้างตื่นตะลึง หากเป็นเช่นนั้นหมายความว่าเขายังไม่ได้เผยไพ่ทั้งหมดเมื่อประจันหน้ากับไป๋หมิงงั้นเหรอ?


หลายคนมองหน้ากันแล้วส่ายหัวพลางถอนหายใจ ยิ่งรู้สึกว่ามู่เฉินคนนี้ลึกเกินหยั่งถึงมากขึ้น


“สหายน้อย เจ้ายอมช่วยเราไหม?” ร่างสะคราญโฉมมองหน้ามู่เฉินด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะพูดต่อ “ถ้าเราไม่กำจัดปัญหานี้ กลัวว่าจะไม่มีใครในพวกเจ้าที่สามารถหนีออกจากที่นี่ได้”


ขวับ!


สายตารอบด้านต่างมุ่งไปที่มู่เฉินด้วยไฟแผดเผาในดวงตา ซึ่งทำให้หัวใจของมู่เฉินรัดแน่น ถ้าเขาปฏิเสธตอนนี้ ไม่ต้องให้ราชันทั้งสามลงมือทำอะไร พวกเขาก็จะรุมสกรัมเขาแน่


จิ่วโยวยิ้มขมขื่นเมื่อเห็นภาพนี้ สายตาของราชินีวิหคอมตะเฉียบคมจนสามารถมองเห็นความลับของมู่เฉินได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เขาไม่อาจซ่อนไว้ได้เลย


ขณะนี้มู่เฉินเข้าใจว่าไม่สามารถถอยไปได้อีก เขาจึงได้แต่ฝืนพูดออกไปว่า “ผู้อาวุโสประเมินข้าสูงเกินไป พลังของข้าอยู่ที่ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดเท่านั้น ข้าจะควบคุมสถานการณ์ปัจจุบันนี้ได้ยังไง?”


“ได้ไม่ได้ ก็ต้องลองดูก่อน” ราชันอสูรไร้พิรุณเอ่ย “หายนะนี้เกิดเพราะพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าต้องร่วมด้วยช่วยกัน”


พอได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้าของเฉินก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ แม้ว่าเขาจะยอมรับว่าตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน แต่ก็ไม่ได้เป็นสาเหตุหลักแน่นอน ราชันอสูรไร้พิรุณผลักความผิดเก่งไปแล้ว


ทว่าก็เป็นเรื่องโง่ที่จะให้เหตุผลกับร่างดวงจิตซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุน ดังนั้นมู่เฉินจึงได้แต่ยิ้มแห้ง ไม่กล้าพูดอะไรอีก


คึ คึ!


ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุย ใบหน้าโลกปีศาจก็ยิ่งน่ากลัวยิ่งขึ้น เสียงหัวเราะแปร่งปร่าแปลกประหลาดระเบิดออก ทันใดนั้นมันก็เปิดปาก หมอกปีศาจฟุ้งกระจายออกมาราวกับมังกรปีศาจคำรามข้ามเส้นขอบฟ้ากวาดไปที่แท่นบูชา


“หึ!”


ราชันปักษาวิญญาณเค้นเสียงเย็นพลางโบกแขนเสื้อ แสงห้าสีระเบิดออกมา ซึ่งดูน่าทึ่งอย่างยิ่งและบรรจุด้วยพลังงานลึกลับ เมื่อกวาดออกไปก็บดบังหมอกปีศาจที่ไร้ขอบเขตก่อนที่จะเริ่มกัดเซาะกันและกัน ภายใต้การกัดกร่อนมิติภายในรัศมีหลายหมื่นจั้งก็พังทลายลงมาอย่างต่อเนื่อง


เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ เห็นพลังทำลายล้างนี้ หนังหัวก็ลุกชัน ถ้าพวกเขาสัมผัสกับริ้วพลังงานนี้เพียงเล็กน้อย ก็คงสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน


แต่เมื่อเวลาผ่านไปทุกคนก็บอกได้ว่าริ้วแสงห้าสีพังทลายลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่หมอกปีศาจดูเหมือนจะไร้ที่สิ้นสุดพุ่งออกมาจากปากปีศาจ ราวกับว่าจะไม่หยุดจนกว่าจะทำลายแท่นบูชาได้


ทุกคนเฝ้าดูด้วยหัวใจสั่นสะท้านจากความหวาดกลัว หากราชันทั้งสามไม่สามารถหยุดปีศาจเหล่านี้ได้ ทุกคนในที่นี้ก็จะตกเป็นอาหารของมัน


“ไอ้ปีศาจขยะนี้รับมือยากขึ้นจริงๆ” ราชันอสูรไร้พิรุณมีสีหน้าเคร่งขรึมมากกว่าเดิม อึดใจก็ซัดฝ่ามือออกไป ฝ่ามือแจ่มชัดขนาดหลายหมื่นจั้งปรากฏขึ้น ซึ่งถูกสลักไว้ด้วยลวดลายโบราณนับไม่ถ้วน แม้แต่สวรรค์และโลกก็เหมือนไม่สามารถรับฝ่ามือนี้ได้


ด้วยความช่วยเหลือจากราชันอสูรไร้พิรุณ หมอกปีศาจเชี่ยวกรากก็ไม่สามารถเข้าใกล้แท่นบูชาได้ พลังจากสองฝั่งตึงกันเอาไว้ ปะทะกันอย่างต่อเนื่องบนท้องฟ้า


คึ! คึ!


แต่ภาวะหยุดชะงักก็อยู่ไม่นาน ใบหน้าปีศาจแผดเสียงอีกครั้ง ทำให้โลกปีศาจสั่นสะเทือนแยกช่องเปิดออกมานับไม่ถ้วน พร้อมกับเงาเหล่าปีศาจพุ่งออกมาจากช่องเปิดเหล่านั้น รัศมีปีศาจรุนแรงปกคลุมดวงอาทิตย์


เพื่อวันนี้ชัดว่าใบหน้าปีศาจเตรียมตัวมานาน ดังนั้นทันทีที่เปิดการโจมตีแม้แต่สามราชันก็ถูกผลักกลับ


เพราะตอนนี้พวกเขาก็เป็นเพียงร่างดวงจิต ไม่มีร่างกายแท้จริง


เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ สีหน้าก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน ก่อนหน้าที่เขาเห็นราชันทั้งสาม เขายังคงมีความคิดที่จะพึ่งพาอีกฝ่าย แต่ในเวลานี้พวกเขาไม่น่าไว้วางใจอย่างที่เขาคิดเสียแล้ว เมื่อไรที่ร่างดวงจิตหายไปก็ไม่มีใครสามารถหลบหนีได้


ทว่าปีศาจเหล่านี้ทรงพลังเกินไปแล้วมั้ง?


“ปีศาจนี้ถูกสร้างขึ้นจากความปรารถนาชั่วร้ายของนักรบระดับจอมพลห้าคน ซึ่งยังกลืนกินซากศพนักรบเผ่าปีศาจนับไม่ถ้วน ทว่าตอนพบเจอ พวกเราทั้งสามได้ละสังขารไปแล้ว ดังนั้นจึงได้แต่ทิ้งร่างดวงจิตเอาไว้เพื่อระงับมัน” ราชินีวิหคอมตะมองไปที่มู่เฉิน น้ำเสียงยิ่งเคร่งเครียดมากขึ้น


เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ ได้ยินก็หายใจลึกสุดปอด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมปีศาจตนนี้ถึงน่ากลัวขนาดนี้ ที่แท้มันถูกสร้างขึ้นจากความคิดโสมมที่หลงเหลืออยู่ของจอมพลปีศาจทั้งห้า ซึ่งเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนห้าคนเลยทีเดียว


มิน่าล่ะร่างดวงจิตของสามราชันเทพอสูรถึงไม่สามารถจัดการได้ ปีศาจตัวนี้มีต้นกำเนิดที่ไม่ธรรมดานี่เอง


“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสต้องการให้ข้าทำอะไร?” มู่เฉินประสานมือแล้วถาม


“ช่วยเราฆ่ามันให้สิ้นซาก!” ราชินีวิหคอมตะพูดด้วยเสียงเคร่งขรึมพร้อมกับจิตสังหารพลุ่งพล่านในน้ำเสียง


มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะยิ้มอย่างขมขื่น “ด้วยพลังของข้า กลัวว่าจะไม่สามารถสร้างความเสียหายได้ ถึงแม้ว่าจะโจมตีเต็มแรงก็ตาม”


ราชินีวิหคอมตะยิ้มบางก่อนที่จะโบกมือ ทันใดนั้นแสงไร้ขอบเขตเบ่งบานบนแท่นบูชา ทุกคนเห็นระลอกคลื่นแปรปรวนบนพื้น ร่างเงานับไม่ถ้วนค่อยๆ ปรากฏขึ้นแล้วยืนอย่างเงียบๆ บนแท่นบูชา


ทุกคนจับจ้องไปก็เห็นร่างจำนวนมากสวมชุดเกราะสัตว์อสูรหลับตาสนิท พวกเขามีร่างที่แข็งแกร่งและความตั้งใจในการฆ่าที่ทรงพลังห่อหุ้มพวกเขาด้วยรัศมีที่ร้ายกาจ ราวกับเป็นเทพความตายกลับชาติมาเกิด


ทุกร่างเงาเหล่านั้นมีพละกำลังที่ไม่อ่อนแอไปกว่ามู่เฉินและคนอื่นๆ นอกจากนี้รัศมีของพวกเขาก็ทรงพลังจนพวกมู่เฉินไม่สามารถเทียบได้


ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือจำนวนของร่างเงามีหลายหมื่นเลยทีเดียว


นักรบที่ทรงพลังหลายหมื่นเห็นได้ชัดว่าเป็นกองทัพที่น่ากลัวเกินกว่ากองทัพใดๆ ที่มู่เฉินเคยเห็นมาก่อน


หากเขาสามารถสั่งการกองทัพที่ทรงพลังเช่นนี้ได้ แม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขา


“นั่นกองทัพอสูรสวรรค์ในตำนานรึ?!”


ขณะที่มู่เฉินกำลังตกตะลึงกับกองทัพเบื้องหน้า เสียงอุทานก็ดังกึกก้องไปทั่วแท่นบูชา จอมยุทธ์มากมายมีท่าทางตะลึงงัน


“กองทัพอสูรสวรรค์?” มู่เฉินรู้สึกงุนงง เนื่องจากตัวเขาไม่ได้เป็นสัตว์อสูร ดังนั้นก็เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ทราบเรื่องความลับดังกล่าว


“เล่าลือว่าในสมัยโบราณราชันทั้งสามแห่งดินแดนเสินโซ่มีกองทัพที่ทรงพลังที่สามารถฆ่าสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนได้ กองทัพนี้เป็นที่รู้จักกันในนามกองทัพอสูรสวรรค์ หากข้าเดาได้ถูกต้องก็น่าจะเป็นกองทัพที่อยู่ตรงหน้านี่แหละ” จิ่วโยวบอกออกมา


เมื่อมู่เฉินได้ยินคำอธิบายของจิ่วโยวก็ตกตะลึงอยู่ในใจ กองทัพที่สามารถสังหารจอมยุท์ขุมพลังตี้จื้อจุนได้จะน่าสะพรึงขนาดไหน? กองทัพชั้นยอดเช่นนี้เป็นสุดยอดปรารถนาของจั้นเจิ้นซือทุกคน ตราบใดที่สามารถควบคุมได้ มีสถานที่ใดบ้างที่จะไม่กล้าไปเยือนในมหาพันภพนี้?


“กองทัพอสูรสวรรค์แท้จริงสูญสิ้นไปตั้งแต่สงครามครั้งนั้น นี่เป็นเพียงซากจากโครงกระดูกของนักรบ ซึ่งรักษาส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งเอาไว้ได้และเป็นวิธีสุดท้ายของพวกข้าในการทำลายล้างปีศาจนี้” ราชินีวิหคอมตะถอนหายใจเบา ยังไงตอนนี้พวกนางก็เป็นเพียงร่างดวงจิต ไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่สามารถทำลายสวรรค์และโลกได้เหมือนในเวลานั้น ดังนั้นพวกนางจึงต้องขอยืมมือจากภายนอก เนื่องจากพวกนางไม่ใช่จั้นเจิ้นซือ ในอดีตกองทัพอสูรสวรรค์ถูกบัญชาการโดยสหายนสนิทของพวกนางซึ่งเป็นจั้นเจิ้นซือ แต่ตอนนี้พวกนางไม่มีทางเลือกนอกจากขอยืมความช่วยเหลือจากภายนอก


“ท่านต้องการให้ข้าสั่งการกองทัพนี้เพื่อฆ่าปีศาจหรือ?” มู่เฉินถาม


ราชินีวิหคอมตะพยักหน้า


มู่เฉินฉายสีหน้าลำบากใจ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นจั้นเจิ้นซือ แต่ก็เป็นเพียงวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือที่มีระยะห่างจากสือวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือ จำนวนนักรบเบื้องหน้าเขามีอยู่หลายหมื่นคน แต่ละคนก็เป็นกำลังหนึ่งต่อร้อย เมื่อนับด้วยวิธีนี้ก็เทียบเท่ากับกองทัพทหารธรรมดาหลายล้านหรือสิบล้านคน แล้วเขาจะประสบความสำเร็จในการสั่งการด้วยฐานะวั่นเหวินจั้นเจิ้นซือได้อย่างไร?


หากเขาฝืนบังคับออกคำสั่ง อาจต้องทนทุกข์จากการตีโต้กลับจนถึงวิญญาณก็ได้


ราชินีวิหคอมตะที่เห็นการแสดงออกของมู่เฉินก็รู้ว่าเขากังวลเรื่องอะไร ทันใดนั้นนางก็ยิ้มชี้นิ้วออกไป ขนนกบางเบาพลิ้วออกมาพุ่งเข้าไปที่กลางหว่างคิ้วของมู่เฉิน “วัตถุนี้สามารถปกป้องเจ้าได้ แต่ข้าต้องบอกตามตรงว่ารัศมีจั้นยี่ของกองทัพอสูรสวรรค์นี้ทรงพลังมาก ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าที่จะควบคุม ดังนั้นแม้จะมีการป้องกันแต่ก็ยังเป็นอันตรายอยู่”


“ดังนั้นเจ้าสามารถเลือกได้ว่าจะลงมือหรือไม่” ราชินีวิหคอมตะมองไปที่เฉินและพูดช้าๆ


ขวับ!


สายตาโดยรอบมุ่งตรงไปที่มู่เฉิน ร่างกายทุกคนเกร็งเครียดเมื่อมองมู่เฉินอย่างใจจดใจจ่อ พวกเขากลัวว่าเขาจะปฏิเสธ หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็จะถูกฝังที่นี่ตลอดกาล


จงชิงเฟิง ข่งหลิง ลู่โหวและคนอื่นๆ ก็มองมู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน ก่อนหน้าใครจะจินตนาการว่าจะมีเวลาที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากมู่เฉินเพื่อช่วยให้ตนเองอยู่รอด


สายตาวิตกกังวลนับไม่ถ้วนมองมาที่มู่เฉิน เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ มาถึงจุดนี้แล้วเขาจะปฏิเสธได้อย่างไร? ต่อให้เพื่อความปลอดภัยตัวเอง เขาก็ต้องลองเสี่ยง มิฉะนั้นเมื่อร่างดวงจิตของราชันทั้งสามหายไป พวกเขาก็ต้องตายแน่นอน


นอกจากนี้เขายังรู้ว่าด้วยสถานะของราชินีวิหคอมตะ หากเขาสามารถทำภารกิจนี้ได้สำเร็จ นางจะต้องมอบรางวัลก้อนใหญ่ให้เขา ดังนั้นเขาจะไม่ถูกล่อลวงได้อย่างไร?


ด้วยเหตุนี้เขาจึงหายใจเข้าลึก โดยไม่ลังเลก็มองไปที่ราชินีวิหคอมตะก่อนที่จะพยักหน้าแข็งขัน


“ผู้อาวุโสโปรดบอกมา ข้ายินดีที่จะลองเสี่ยงดู!”


บทที่ 1066 กองทัพอสูรสวรรค์

เมื่อเห็นมู่เฉินพยักหน้า


รอยยิ้มอ่อนโยนก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของราชินีวิหคอมตะ มือเรียวยกขึ้น ลำแสงสายหนึ่งก็บินไปหามู่เฉิน เมื่อแสงนั้นจางลงก็กลายเป็นป้ายหินขนาดเท่าฝ่ามือสลักด้วยรูปสัตว์อสูรมากมาย เหมือนมีเสียงคำรามที่น่าตกใจนับไม่ถ้วนเปล่งออกมาอย่างเลือนราง


“นี่คือป้ายบัญชาการของกองทัพอสูรสวรรค์ เจ้าสามารถใช้สิ่งนี้เพื่อเชื่อมต่อกับรัศมีจั้นยี่ของพวกเขาและควบคุมได้”


เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของนาง ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขณะที่กวาดมองป้ายหินในมือของมู่เฉิน ด้วยวัตถุนี้ก็เทียบเท่ากับการควบคุมกองทัพน่าสะพรึงกลัวที่สามารถเทียบเคียงได้กับระดับตี้จื้อจุน กระทั่งในเผ่าของพวกเขาวัตถุชิ้นนี้ก็ต้องถูกจัดอันดับว่าเป็นสมบัติล้ำค่า


แต่ไม่ว่าพวกเขาจะอยากได้แค่ไหนก็ไม่กล้าคิดอะไรอื่น มากจนพวกเขาหวังว่ามู่เฉินจะสามารถควบคุมได้ มิฉะนั้นคงไม่มีใครสักคนที่สามารถหนีรอดออกจากที่นี่ได้


แววตาของมู่เฉินก็ลุกโชนขณะรับป้ายบัญชาการมาอย่างระมัดระวัง เขาจ้องมองป้ายหินที่มีรูปลักษณ์เรียบง่ายแต่บรรจุด้วยพลังงานที่น่ากลัว หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยไอคุกรุ่น


เมื่อมีวัตถุนี้ในมือก็หมายความว่าเขามีอำนาจในการเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน หากเขาสามารถนำสิ่งนี้กลับไปยังภูมิภาคทางเหนือ เขาอาจจะสามารถสู้กับขั้วอำนาจสูงสุดด้วยตัวคนเดียวเลย


แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็ได้แต่คิด ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาสามารถนำติดตัวกลับไปได้หรือไม่ ถึงแม้ว่าเขาจะทำได้ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสั่งการกองทัพอสูรสวรรค์โดยไม่ได้รับการปกป้องจากราชินีวิหคอมตะ


ขณะที่มู่เฉินกำลังน้ำลายสออยู่ในหัวใจ ราชินีวิหคอมตะก็จ้องมองปีศาจที่กำลังเผชิญหน้ากับราชันปักษาวิญญาณและราชันอสูรไร้พิรุณด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


การประจัญบานนี้สั่นสะเทือนโลกา การปะทะกันทุกครั้งทำให้ท้องฟ้าแยกออก มิติพังทลาย หากไม่ได้รับการปกป้องจากแท่นบูชา ผลกระทบเพียงอย่างเดียวก็สามารถฆ่าทุกคนนอกเหนือจากร่างดวงจิตทั้งสาม


นอกจากนี้ทุกคนบอกได้ว่าพลังของปีศาจนั่นค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากกดทับลงมายังทิศทางของแท่นบูชาอย่างต่อเนื่อง


“ผิดคาดจริงๆ ที่ให้ไอ้ปีศาจเตรียมการอย่างสมบูรณ์เช่นนี้ ตอนนี้ถ้าต้องการปราบมันอีกก็เป็นปัญหาใหญ่เลยทีเดียว” ราชินีวิหคอมตะถอนหายใจเบาๆ แต่นางรู้ว่าไม่มีสิ่งใดที่สามารถทำได้ พวกนางทั้งสามสิ้นชีพไปแล้วโดยเหลือเพียงร่างดวงจิต นอกจากนี้แม้จะมีกองทัพอสูรสวรรค์เป็นไพ่ตาย แต่หลายปีที่ผ่านมาพวกเขาก็ไม่พบกับจั้นเจิ้นซือที่ทรงพลังแท้จริง ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้สิ่งนี้เพื่อฆ่าปีศาจได้


ตอนนี้แม้ว่าพวกนางจะโชคดีพอที่ได้พบจั้นเจิ้นซือ แต่เขาก็อ่อนเยาว์เกินไป ไม่รู้ว่าชายหนุ่มจะสามารถควบคุมพลังของกองทัพอสูรสวรรค์ได้หรือไม่ หากเขาล้มเหลวทำให้ปีศาจเป็นอิสระ ทั่วทั้งดินแดนเสินโซ่ก็จะแปดเปื้อนไปอย่างสิ้นเชิง มากจนอาจเล็ดลอดออกไปยังมหาพันภพได้


ดังนั้นตอนนี้พวกเขาได้แต่ทำสิ่งที่สามารถทำได้เท่านั้น


เมื่อคิดถึงตรงนี้ ราชินีวิหคอมตะก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เงาร่างของนางค่อยๆ ลอยขึ้นไปยังจุดสูงสุดของแท่นบูชา จากนั้นก็จ้องมองไปที่สหายทั้งสองก่อนที่จะพยักหน้า


ทั้งสามวาดตราประทับพร้อมกัน ทันใดนั้นกระแสน้ำไม่สิ้นสุดก็ดันตัวขึ้นทั่วมิติ สภาพที่รุนแรงนี้ประหนึ่งธารสวรรค์เทลงอัดแน่นทั่วฟ้าดิน


คลื่นหลิงไร้ขอบเขตสามสายพุ่งลงมาบนรูปปั้นหินทั้งสามที่แท่นบูชา


ฮึ่ม! ฮึ่ม!


เกลียวแสงไร้ขอบเขตปะทุออกมาก่อนที่รูปปั้นหินจะระเบิด ร่างเงาทั้งสามทะยานขึ้น ขยายขนาดกลายเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาสามร่างบนท้องฟ้า


เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ก็สูดลมหายใจเย็นเข้าลึกสุดปอด ร่างมหึมาทั้งสามก็คือร่างเดิมของราชันเทพอสูรทั้งสามนั่นเอง นอกจากนี้ก็ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่นี่เป็นโครงกระดูกแท้จริงที่เหลือไว้เบื้องหลังเมื่อพวกเขาสิ้นชีพไป


แต่ภายใต้การควบคุมของร่างดวงจิต โครงกระดูกทั้งสามก็ฟื้นฟูพลังเปล่งประกายอำนาจของระดับเทียนจื้อจุนออกมาอีกครั้ง


บนพื้นดินใบหน้าปีศาจที่น่ากลัวแข็งค้างชั่วครู่ ราวกับว่าสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามที่มาจากสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาทั้งสาม


โฮก!


ใบหน้าปีศาจบิดเบี้ยว ขณะที่รัศมีปีศาจเพิ่มขึ้นก่อร่างเป็นลวดลายปีศาจน่าสะพรึงบนใบหน้า ขณะนั้นใบหน้าปีศาจก็ขยายขนาดเป็นร้อยเท่า เมื่อมองจากระยะไกลครอบคลุมพื้นโลกหลายหมื่นลี้ ซึ่งดูน่าขนพองสยองเกล้าอย่างยิ่ง


ใบหน้าปีศาจหลุดเป็นอิสระ ลอยขึ้นบนท้องฟ้า ภาพร่างปีศาจนับไม่ถ้วนบิดตัวไปมาบนใบหน้า เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้องอยู่ตลอดเวลา


เมื่อทุกคนเห็นสิ่งนี้ใบหน้าก็ซีดเผือด ชัดว่าถูกข่มขู่โดยรัศมีปีศาจ


ตู้ม!


บนท้องฟ้าร่างมหึมาทั้งสามพุ่งออกไป เพลิงอมตะ เกลียวแสงห้าสีและหมัดไร้พิรุณ กวาดไปหาใบหน้าปีศาจไม่ยั้ง


ใบหน้าปีศาจปลดปล่อยเสียงคำราม รัศมีปีศาจเพิ่มขึ้นก่อเป็นภาพปีศาจนับไม่ถ้วนส่งเสียงร้อง พลางปะทะกับกระบวนท่าโจมตีน่าสะพรึงกลัว


ทั้งสองฝ่ายเลือกวิธีที่ป่าเถื่อนที่สุดในการปะทะกัน ทุกครั้งที่ปะทะกันก็เผาฟ้าผลาญดิน ทำให้เกิดความกลัวในหัวใจของผู้ที่กำลังมองดู


ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งขรึมลงขณะที่เฝ้ามองการล้างผลาญ จากนั้นเขาก็หายใจเข้าลึกๆ โดยไม่ลังเลร่างเงาก็เคลื่อนไหวไปปรากฏตัวเหนือกองทัพอสูรสวรรค์


เขายื่นมือออกป้ายหินลอยอยู่กลางฝ่ามือ เมื่อเร้าคลื่นหลิง ทันใดนั้นป้ายหินก็เปล่งแสงสีขาวพร่างพราว ภาพสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนที่สลักอยู่บนป้ายเหมือนฟื้นชีวิตขึ้นมาใหม่


ตู้ม!


บนแท่นบูชาเงาร่างจำนวนหลายหมื่นก็ลืมตาโพลง จิตสังหารทรงพลังพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที


ทุกคนถอยหนีกันจ้าละหวั่นด้วยความตกใจจากแรงผลักดัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ด้วยกองทัพที่ทรงพลังนี้ เพียงแค่คิดทุกคนที่นี่ก็จะถูกฆ่าล้างอย่างสมบูรณ์


“ไม่รู้ว่ามู่เฉินจะสามารถควบคุมกองทัพทรงพลังเช่นนี้ได้หรือไม่” จิ่วโยวพูดด้วยความกังวล ขณะที่มองดูร่างมู่เฉินบนท้องฟ้า กองทัพอสูรสวรรค์ทรงประสิทธิภาพมากเกินไป ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็เป็นไปได้ที่จะได้รับการตีโต้จากรัศมีจั้นยี่ เวลานั้นมู่เฉินตายคาที่แน่นอน


ท่ามกลางสายตากระวนกระวายใจมากมาย มู่เฉินก็นั่งลงบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่าหลังจากใช้ป้ายบัญชาการก็มีรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตที่เต็มไปด้วยความดุร้ายและความภาคภูมิใจกวาดเข้ามาหาเขาอย่างรุนแรง


ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ มหาสมุทรขนาดใหญ่ที่สร้างจากรัศมีจั้นยี่ก็ปกคลุมท้องฟ้า มู่เฉินดูตัวเล็กเท่ามดเมื่อเทียบกับมหาสมุทรรัศมีที่น่ากลัว


ภายใต้รัศมีจั้นยี่นี้ แม้แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น กองทัพที่เขาสั่งการในอดีตไม่มีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกองทัพอสูรสวรรค์ตรงหน้านี้เลย


แต่ในเวลานี้เขารู้ว่าไม่มีทางถอยอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงโยนความขี้ขลาดทั้งปวงทิ้ง หัวใจยึดมั่นขึ้น จากนั้นเขาก็ไม่ลังเล คลื่นจิตกวาดออกไปพุ่งเข้าสู่มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขต


ตู้ม!


เมื่อคลื่นจิตของเขาสัมผัสกับรัศมีจั้นยี่ขนาดมหึมา สมองของเขาก็ระเบิดทันที รัศมีจั้นยี่ที่น่าสะพรึงหลั่งไหลเข้ามาพร้อมกับเสียงคำรามฆ่าฟันนับไม่ถ้วนครอบงำสติของเขา


แต่โชคดีที่มู่เฉินเตรียมพร้อม เขารีบปกป้องจิดใจของตนปล่อยให้รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกวาดไปทั่ว ยามนี้เขาเหมือนเรือลำเล็กในมหาสมุทรบ้าคลั่ง เสี่ยงต่อการถูกพลิกคว่ำตลอดเวลา


ร่างกายของเขาสั่นไหวภายใต้รัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขตซึ่งค่อยๆ ปกคลุมร่างเขาจนมิด


ตู้ม!


คลื่นกระแทกทำลายล้างกระจายออกไปทั่วทั้งสุสานสักการะเทพ รัศมีความตายที่อยู่ในฟ้าดินก็สลายไปอย่างต่อเนื่อง ภายใต้คลื่นกระแทกอันน่าสะพรึงกลัว


อสูรวิญญาณที่โชคร้ายก็ตายด้วยอัตราเป็นหมื่น แม้แต่อสูรวิญญาณระดับจื้อจุนขั้นเก้าก็ตายไม่เห็นซาก เมื่อสัมผัสกับคลื่นกระแทกนี้


ทุกคนตกตะลึงเมื่อเฝ้าดูการเผชิญหน้าของการทำลายล้าง แม้ว่าราชันทั้งสามจะเป็นเพียงร่างดวงจิตที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ส่วนปีศาจก็ถูกสร้างขึ้นด้วยความปรารถนาของจอมพลปีศาจเท่านั้น แต่การปะทะกันนี้ก็เกินจินตนาการของพวกเขาไปมาก


ปัง!


คลื่นกระแทกน่าสยดสยองกวาดออกมาขณะที่วิหคอมตะกระพือปีก นางมองไปที่ร่างเทพอสูรทั้งสองก่อนจะตะโกนด้วยเสียงคมชัด “สร้างค่ายกล ตราประทับทำลายล้างปีศาจ!”


เมื่อได้ยินเสียงนี้ ทั้งราชันปักษาวิญญาณและราชันอสูรไร้พิรุณก็คำรามตอบ ลวดลายพร่างพราวปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของพวกเขา ก่อนที่ร่างจะกลายเป็นแม่น้ำโชติช่วง


แม่น้ำแสงยาวหลายแสนจั้งดูเหมือนจะผ่านทะลุฟ้าดิน ซึ่งภายในเต็มด้วยลวดลายโบราณนับไม่ถ้วน และทุกลวดลายบรรจุด้วยพลังงานอันน่ากลัว


แม่น้ำแสงสามสายที่ก่อตัวขึ้นจากราชันเทพอสูทั้งสามกวาดออกพร้อมเสียงหวีดหวิว จากนั้นก็ม้วนเข้าหากันทะลุผ่านมิติ พวกมันราวกับโซ่ตรวนขนาดใหญ่พันรอบใบหน้าปีศาจไว้


โซ่ตรวนเชื่อมต่อกันราวกับตราประทับวิญญาณ จากนั้นก็กดทับลงมาพยายามที่จะผนึกปีศาจร้ายไว้


โฮก!


ปีศาจคำรามอย่างบ้าคลั่ง รัศมีปีศาจพวยพุ่งอย่างรุนแรง ทำให้โซ่ตรวนแม่น้ำแสงสั่นสะเทือนจากอานุภาพนี้


“สั่งการกองทัพอสูรสวรรค์!” ราชินีวิหคอมตะโกนร้องบอก


บนแท่นทุกคนจ้องมองอย่างกังวลไปที่มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขต ร่างของมู่เฉินจมหายไปแล้ว ราวกับว่าเขาถูกระเหยให้กลายเป็นเถ้าถ่านโดยรัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขต


บางคนรู้สึกว่าหัวใจของตนเองเย็นวาบ ถ้ามู่เฉินไม่สามารถสั่งการกองทัพอสูรสวรรค์ได้ก็ไม่สามารถทำการโจมตีสุดท้ายต่อปีศาจนั้นได้ ถ้าเวลาถูกลากออกไปสามราชันก็จะหมดแรงในไม่ช้า


ขณะที่เม็ดเหงื่อตกลงภายใต้ความกังวล พายุคลั่งก็พัดออกมาจากรัศมีจั้นยี่ คลื่นพลังผันผวนก่อนที่ร่างเงานั่งนิ่งจะปรากฏขึ้น


ยามนี้เส้นเลือดบนร่างของมู่เฉินเต้นยุบยับไปหมด ใบหน้าก็บิดเบี้ยว ราวกับกำลังอดทนกับอาการเจ็บปวดที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ทว่าเขาก็ฝืนทนไว้ได้ เกลียวแสงกะพริบที่กลางหว่างคิ้วของเขา ขนนกที่ลุกโชติช่วงด้วยผลึกเพลิงก็แตกออก กลายเป็นจุดแสงหลอมรวมเข้าในหัวสมองของเขา


สติของเขาซึ่งกำลังถูกทำลายก็กระจ่างชัดขึ้นทันที


มู่เฉินคว้าจับความชัดเจนในเสี้ยววินาทีนั้น ร่างของเขายืนขึ้น ป้ายหินในมือยกขึ้น รัศมีจั้นยี่ป่าเถื่อนก็ล้นทะลักออกมาพร้อมกับเสียงคำรามดังกึกก้องที่สั่นสะเทือนสวรรค์และโลก


“กองทัพอสูรสวรรค์ จงฟังคำสั่ง!”


ทันใดนั้นรัศมีจั้นยี่ที่น่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดในดวงตาของกองทัพบนแท่นบูชาเบื้องล่าง…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)