หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1057-1064
บทที่ 1057 มังกรพยัคฆ์สู้กัน
ครืน!
ภูเขาน้ำแข็งที่ดูราวกับหงส์ฟ้าสยายปีกพุ่งลงมาด้วยความเย็นไม่มีขีดจำกัด เมื่อความหนาวเย็นพัดผ่านกระทั่งมิติก็ยังถูกแช่แข็ง ช่างเป็นภาพงดงามตระการตาเมื่อมองจากระยะไกล
ทว่าภายใต้ความงดงามกลับเป็นอันตรายที่ทำให้หัวใจของผู้คนหวาดกลัว
เมื่อภูเขาน้ำแข็งขยายตัวอย่างรวดเร็วในม่านตาของมู่เฉิน เขาก็สูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าเคร่งขรึมลงหลายส่วน ก่อนที่จะเริ่มวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว
ฮึ่ม!
คลื่นหลิงทรงพลังระเบิดออกจากภายในร่างของมู่เฉินราวกับน้ำท่วม เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนหน้าคลื่นพลังของเขาแข็งแกร่งขึ้นมากหลายเท่า
“ที่แท้ก็บรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้วนี่เอง!” เมื่อรับรู้ถึงคลื่นพลังงานรอบตัวมู่เฉิน สายตาทุกคนก็วูบไหว ตอนที่พวกเขาพบกับมู่เฉินที่นอกสุสานสักการะเทพ เขาอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุดเท่านั้น ไม่คิดว่ามู่เฉินจะสามารถก้าวขึ้นไปอีกขั้นในเวลาอันสั้นได้
แต่ถึงแม้จะบรรลุได้ เขาก็อยู่ที่ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดเท่านั้น ขณะที่ไป๋หมิงอยู่ในขั้นแปดของแท้!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตหมุนวนรอบตัวขณะที่สายตามู่เฉินกะพริบวูบไหว ตราประทับเปลี่ยนไปอีกครั้ง แสงสีทองเบ่งบานออกมาจากร่างกาย เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้องกังวาน มีแรงกดดันทรงพลังกระจายออกมาเบาบาง
มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่สถิตอยู่ในแขนของมู่เฉินส่งเสียงคำรามลั่นชั้นฟ้า แสงสีทองเอิบอาบไปทั่วเนื้อหนังของมู่เฉิน เกล็ดมังกรสีทองและปีกหงส์ฟ้าสีทองผุดขึ้นบนแขนของเขา ราวกับว่ากำลังก่อร่างเป็นชุดเกราะแขน ครอบคลุมแขนเขาเอาไว้เป็นชั้นๆ
พลังหลิงและพลังกายระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ในขณะนี้
ตู้ม!
แสงหลิงที่มองเห็นด้วยตาเปล่าผันผวนบนร่างของมู่เฉิน แรงกระเพื่อมทำให้จอมยุทธ์หลายคนมีสีหน้าเปลี่ยนไป นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้สึกถึงภัยคุกคามที่รุนแรงที่เกิดขึ้นจากมู่เฉิน
แม้แต่จอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดยังรู้สึกว่าหนังหัวลุกชันเมื่อเผชิญหน้ากับมู่เฉินในตอนนี้
“เจ้านั่นมีความสามารถใช้ได้ มิน่าล่ะถึงกล้าท้าทายไป๋หมิง!” ใบหน้าของจอมยุทธ์เหล่านั้นค่อยๆ เปลี่ยนเคร่งเครียด อาการเยาะเย้ยก่อนหน้าหายไปมาก นั่นเป็นเพราะภาพเบื้องหน้าพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดธรรมดาจะมีได้
ปัง!
เมื่อความคิดวนเวียนอยู่ในใจ พวกเขาก็เห็นมู่เฉินถอยกลับไปครึ่งก้าวหลังจากรวมพลังกายและพลังหลิงเข้าด้วยกัน ร่างของเขาราวกับคันธนู ศอกง้างกลับไปด้านหลังจากนั้นก็ซัดออกมา
หมัดดูเชื่องช้าราวกับเคลื่อนที่ผ่านโคลน ทว่าทุกคนสามารถมองเห็นมิติบิดเบี้ยวในวิถีหมัด ระลอกคลื่นกระจายออกไปจากกำปั้นของเขาอย่างต่อเนื่อง
ตู้ม!
หมัดเหวี่ยงออกไป แสงหลิงที่รุนแรงก็ถูกกวาดออกปะทะกับภูเขาน้ำแข็งที่เคลื่อนลงมาภายใต้สายตาเคร่งเครียดที่จับจ้องมากมาย
ความผันผวนที่มองเห็นได้ปะทุเปรี้ยงปร้าง รอยร้าวกระจายออกไปอย่างรวดเร็วบนลานประลอง ร่างของมู่เฉินถูกภูเขาน้ำแข็งกดลงไปหนึ่งชุ่น เท้าจมลงในแผ่นพื้นที่แข็งแรง
เมื่อมองจากที่ไกล มู่เฉินดูราวกับพยัคฆ์ร้ายที่อยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็ง พยายามดิ้นรนอย่างขมขื่น
เมื่อไป๋หมิงเห็นภาพนี้จากบนท้องฟ้าก็ยิ้มเย็นพร้อมกับขยับไปปรากฏตัวบนภูเขาน้ำแข็ง ตั้งใจที่จะกระทืบฝ่าเท้าลงไปเพื่อให้มู่เฉินฝังตัวอยู่ในลานประลอง
แต่ขณะที่เท้าของเขากำลังจะเหยียบลงไป ภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าก็สั่นสะเทือน!
โฮก!
เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้องออกมาจากใต้ภูเขาน้ำแข็ง เสาแสงมังกรหงส์ขนาดหนึ่งร้อยจั้งก็พวยพุ่งขึ้นแยกภูเขาน้ำแข็งทะลุไปถึงยอด แสงสีทองที่ครอบงำนาบลงที่ใต้ฝ่าเท้าของไป๋หมิง
ใบหน้าของไป๋หมิงมืดครึ้ม ก่อนที่ร่างจะสว่างวาบหายไป ทิ้งภาพมายาไว้เบื้องหลังซึ่งถูกแสงสีทองแทงทะลุผ่านมา
ปัง!
แสงสีทองพุ่งขึ้นสู่ชั้นฟ้าดูราวกับเสาสูงตระหง่านที่เชื่อมโยงสวรรค์และโลก ภายใต้แสงสีทองอำไพ ภูเขาน้ำแข็งก็โยกคลอนก่อนที่จะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างรวดเร็วแล้วอันตรธานหายไป
เมื่อกลุ่มอื่นๆ บนแท่นบูชาเห็นภาพนี้ก็ตกใจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คิดว่าการประลองซึ่งควรจะเป็นการต่อสู้ด้านเดียวจะเหนือความคาดหมายเช่นนี้
รัศมีเย็นเยือกค่อยๆ จางหายไป ทุกคนจ้องมองไป ก็เห็นมู่เฉินกำลังดึงขาขึ้นจากพื้นโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นสายตาจับจ้องที่ท้องฟ้า
จุดนั้นไป๋หมิงปรากฏตัวขึ้นในพริบตา แม้เขายังแสดงสีหน้าไม่แยแส แต่ในดวงตามีแววอัศจรรย์ใจปรากฏอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางเขาจะตกใจไปกับพลังที่มู่เฉินแสดงออกมาก่อนหน้า
ด้วยการรวมกันของพลังหลิงและพลังกาย แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด แต่ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่เขาครอบครองมีมากเกินขอบเขตไปไกลมาก
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมู่เฉินถึงกล้าท้าทายเขา ที่แท้ก็มีความสามารถบางอย่างนี่เอง
ตู้ม!
ขณะที่ดวงตาของไป๋หมิงกะพริบ มู่เฉินที่อยู่เบื้องล่างก็กระทืบเท้าลงบนพื้นส่งแรงพุ่งเป็นสายแสงทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าพุ่งเข้าหาไป๋หมิง
ความปั่นป่วนสะท้อนไปทั่วบริเวณ มู่เฉินยังกล้าเป็นฝ่ายเริ่มตีโต้กลับรึ?
ฟิ้ว!
มู่เฉินปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับเหนือไป๋หมิง มือวาดตราประทับอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตก็ระเบิดออกมา มิติบิดเบี้ยวที่ด้านหลัง จุดจื้อจุนไห่เผยขึ้นอย่างเลือนราง แสงสีทองพุ่งออกมารวมตัวกันเป็นร่างขนาดใหญ่ที่สูงตระหง่านประหนึ่งเทพเซียน
มู่เฉินซัดใส่อย่างโหดร้ายทันทีที่เริ่มการโจมตี เขาเร้าร่างเทพสุริยะตั้งแต่เริ่มต้น เห็นได้ชัดว่าเขารู้ว่าไป๋หมิงเป็นคู่ต่อสู้ที่ยากต่อกร ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะลากการต่อสู้ให้ยาวเลือกดึงพลังเต็มที่ออกมาอย่างรวดเร็ว
ร่างเทพสุริยะยืนอยู่บนท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยแสงสีทองและดูลึกลับมาก มู่เฉินปรากฏบนหัวร่างใหญ่พร้อมกับตราประทับในมือเปลี่ยนแปลงวูบไหว ดวงตะวันห้าดวงลุกโชติช่วงขึ้นจากร่างเทพสุริยะ สุดท้ายก็ระเบิดออกมา
“เปิดห้าตะวัน หอกสุริยะ!”
สายธารสีทองควบแน่นอยู่บนฝ่ามือของร่างเทพสุริยะกลั่นเป็นหอกทองคำขนาดใหญ่ที่มีดวงตะวันห้าดวงโคจรโดยรอบ เปล่งพลังทรงประสิทธิภาพออกมา
ด้วยขุมพลังปัจจุบันของมู่เฉิน เพียงแค่พลิกมือก็ใช้กระบวนท่าระดับนี้ออกมาได้
ฟิ้ว!
หอกทองคำพุ่งออกไป ทำให้อากาศระเบิดออก จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงสีทองพุ่งไปทางไป๋หมิง ความผันผวนที่น่าสะพรึงกลัวราวกับอุกกาบาตดิ่งลงมานำมาซึ่งการทำลายล้าง
“หึ!”
หอกทองคำกวาดลงมา ไป๋หมิงสัมผัสได้ถึงการโจมตีไร้ขอบเขตใบหน้าก็มืดครึ้มลง เขาเค้นเสียงเย็นชา ทันใดนั้นมือทั้งสองข้างก็ประสานเข้ากันสร้างตราประทับ สัญลักษณ์ลึกซึ้งกระจายออกมาจากฝ่ามือ ก่อนที่เขาจะกดลงไปที่อากาศตรงหน้า
“ขนหงส์ฟ้าน้ำแข็ง!”
ฮึ่ม!
แสงหลิงไร้ขอบเขตควบแน่นกลายเป็นขนนกสีฟ้าน้ำแข็งร้อยจั้งแผ่ซ่านด้วยไอเย็นสะท้านปะทะกับหอกทองคำ
ปัง!
คลื่นกระแทกรุนแรงพัดออกมา หอกทองคำและขนนกน้ำแข็งก็ระเบิดพร้อมกัน
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ขณะที่คลื่นกระแทกกวาดอาละวาด เสียงมวลลมพัดกระหึ่มก็ดังกึกก้องอยู่เบื้องหน้า ไป๋หมิงเงยหน้าขึ้นทันทีก่อนที่ม่านตาจะหดลง
สายธารสีทองสิบกว่าสายปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้า สายธารแต่ละสายล้วนก่อจากหอกทองคำที่มีพลังพอจะจัดการจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดให้บาดเจ็บหนักได้
เมื่อพลังของมู่เฉินเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด เขาก็สามารถใช้พลังหอกสุริยะได้อย่างง่ายดาย ซึ่งในอดีตเขาต้องเค้นความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะสามารถใช้การโจมตีกระบวนท่านี้ได้
ขนาดของกระบวนท่านี้เพียงพอที่จะทำให้เหล่าจอมยุทธ์รู้สึกหนังหัวชาดิกไปหมด
“ทักษะปัญญาอ่อน!”
พร้อมกับใบหน้าเย็นชา นิ้วของไป๋หมิงก็พวยพุ่งด้วยแสงเย็นเยือก เขาวาดตราประทับบนมิติตรงหน้า อึดใจต่อมานิ้วก็หยุดลง สายธารเย็นเยือกถั่งโถมออกมาก่อตัวเป็นโล่หนาขนาดพันจั้งที่มีภาพหงส์ฟ้าสยายปีกสลักอยู่ด้านบน ช่างงดงามและแข็งแกร่งมาก แม้แต่การโจมตีของจอมยุทธุ์มพลังจื้อจุนขั้นแปดก็ไม่สามารถเจาะทะลุผ่านได้
ปัง! ปัง!
หอกทองคำครางกระหึ่มกระแทกกับโล่หงส์ฟ้าน้ำแข็งอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าการโจมตีจะดุร้ายก็ทำได้เพียงให้เกิดรอยแตกบนโล่ ไม่สามารถทะลุผ่านได้
“ไม่มีพลังระดับจื้อจุนขั้นแปด ก็ฝันไปเถอะที่จะทำลายโล่วิญญาณหงส์ฟ้าน้ำแข็งของข้า” ยืนอยู่ข้างหลังโล่ไป๋หมิงสาดยิ้มเย็นชา
ฮึ่ม!
ทันทีที่เขาพูดจบ แสงสีทองก็ระเบิดออกมาที่เบื้องหน้า ลำแสงสีทองสองสายยิงออกมาราวกับดาวหาง ซึ่งภายในก็คือคทาสีทองขนาดใหญ่สองเล่ม
นี่คือกระบวนท่าย่อยเปิดเจ็ดตะวัน—คทาขวางฟ้า!
ในอดีตมู่เฉินสามารถควบแน่นได้เพียงหนึ่งเล่มด้วยพลังกาย แต่เมื่อรวมกับการพัฒนาขุมพลังตอนนี้ เขาสามารถควบแน่นคทาสองเล่มได้เพื่อใช้โจมตีพร้อมกัน
พลังคทาสองเล่มเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดของแท้ก็ไม่กล้าประมาท
ตู้ม!
คทาสีทองทะลุขอบฟ้า อึดใจต่อมาก็กระแทกกับโล่วิจิตรบรรจง อาวุธทั้งสองชะงักลงชั่วคราว จากนั้นคลื่นกระแทกที่น่าสะพรึงกลัวก็กวาดออกมา โล่น้ำแข็งที่สามารถต้านการโจมตีของระดับจื้อจุนขั้นแปดก็ระเบิดออก
สะเก็ดน้ำแข็งและแสงสีทองสร้างหายนะไปทั่ว ไป๋หมิงก็ถอยร่นออกไปในสภาพที่น่าสมเพช ผมเผ้ายุ่งเหยิงไปหมด เห็นได้ชัดว่าการโจมตีรุนแรงกะทันหันของมู่เฉินทำให้เขาเสียเปรียบ
บริเวณใกล้เคียงเหล่าจอมยุทธ์ฉายแววตาตกตะลึง เพราะไม่มีใครคาดว่ามู่เฉินจะบีบให้ไป๋หมิงเข้าสู่สภาวะน่าอนาถได้
บนแท่นบูชาใบหน้าของไป๋ปิงก็เปลี่ยนเป็นความไม่เชื่อเช่นกัน ที่ด้านข้างใบหน้าของฉื่อหงหวู่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ทั้งสองไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะมีความแข็งแกร่งพอที่จะเผชิญหน้ากับไป๋หมิงได้
บนแท่นบูชาภายใต้สายตาตะลึงพรึงเพริดนับไม่ถ้วน ไป๋หมิงก็ทรงตัวได้มั่นคงบนลานประลอง สายตาราวกับใบมีดขณะที่จ้องมองมู่เฉินด้วยสีหน้าโกรธแค้น
เขาไม่คิดว่าการจัดการกับมนุษย์คนนี้จะทำให้เขาลำบากเช่นนี้
ทว่าไป๋หมิงไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นความโกรธในใจจึงถูกระงับลงอย่างรวดเร็ว เขามองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชาก่อนที่จะเหยียดมือออกช้าๆ แสงเย็นเยือกวูบไหว พัดขนนกน้ำแข็งสีฟ้าก็ปรากฏขึ้น
เมื่อไป๋หมิงจับพัด แม้แต่มู่เฉินก็ต้องหดตาลง เนื่องจากภัยคุกคามจากอีกฝ่ายในตอนนี้ถูกยกขึ้นไปอีกขั้น
“ในที่สุดก็จะใช้อาวุธเสมือนมหสวรรค์แล้วเรอะ”
**สำนวน มังกรพยัคฆ์สู้กัน แปลได้ว่า การต่อสู้ดุเดือดหรือหฤโหดมาก
บทที่ 1058 เนตรดับชีวิตปะทะพัดหงส์ฟ้าน้ำแข็ง
เมื่อพัดขนนกน้ำแข็งปรากฏขึ้นในมือของไป๋หมิง
อุณหภูมิระหว่างสวรรค์กับโลกก็ลดฮวบลง มากจนกระทั่งเกล็ดหิมะโปรยปรายลงมา แรงกดดันที่อธิบายไม่ได้ค่อยๆ เล็ดลอดออกมา
“ไอ้มนุษย์นั่นบีบให้พี่ใหญ่ไป๋หมิงต้องใช้พัดหงส์ฟ้าน้ำแข็ง” เมื่อไป๋ปิงเห็นภาพนี้ ใบหน้าก็มืดครึ้มลง พัดหงส์ฟ้าน้ำแข็งเป็นของขวัญที่ผู้อาวุโสในเผ่ามอบให้แก่ไป๋หมิงเนื่องจากความเป็นอัจฉริยภาพของเขา ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูธรรมดาไป๋หมิงไม่เคยคิดใช้ เขาจะใช้อาวุธนี้เฉพาะกับคู่ต่อสู้ในระดับที่เท่าเทียมกันเช่น ข่งหลิงเผ่านกยูงเก้าสีหรือจงชิงเฟิงเผ่าคุนเผิง
แต่ตอนนี้ไป๋หมิงถูกบีบให้ต้องนำออกมาเมื่อเผชิญหน้ากับมนุษย์ที่เพิ่งบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด ความหมายเบื้องหลังการกระทำนี้ชัดเจนมาก
มู่เฉินซึ่งพวกเขาดูถูกเหยียดหยามในตอนแรก มีพลังที่ไป๋หมิงไม่สามารถประมาทได้
“ไม่ว่ามันจะทรงพลังเพียงใด ก็ต้องจบลงตอนนี้แหละ!” ไป๋ปิงกัดฟันกรอดสายตาสาดไอชั่วร้าย พรสวรรค์และพลังที่มู่เฉินแสดงออกมาทำให้เขารู้สึกอิจฉา คนแบบนี้ในเมื่อเป็นศัตรูแล้ว พวกเขาก็ต้องกำจัดให้สิ้นซาก อัจฉริยะแบบนี้ต้องตายก่อนที่จะเติบใหญ่มากกว่านี้!
ด้วยพลังของไป๋หมิงที่อยู่ระดับจื้อจุนขั้นแปดบวกกับพัดหงส์ฟ้าน้ำแข็ง แม้แต่อสูรวิญญาณขั้นแปดก็จะถูกฆ่าทันที ไม่ต้องพูดถึงมู่เฉินเลย
อีกมุมหนึ่งจิ่วโยว หานซันและคนอื่นๆ ก็มองการต่อสู้ด้วยแววกังวลในดวงตา ตอนแรกพวกเขาคิดว่าไป๋หมิงจะใช้อาวุธในอีกสักพัก แบบนั้นมู่เฉินจะได้มีเวลาเตรียมตัวมากขึ้นอีกหน่อย แต่ใครจะคิดว่าไป๋หมิงจะชี้ขาดแบบนี้ เมื่อพบว่ามู่เฉินไม่ได้เป็นจอมยุทธ์ธรรมดา เขาก็ตัดสินใจนำอาวุธเสมือนมหสวรรค์ออกมาทันที
ด้วยอาวุธเสมือนมหสวรรค์ พลังในการต่อสู้ของไป๋หมิงจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ไป๋หมิงยืนอยู่บนท้องฟ้าในขณะที่โบกพัดขนนกในมือเบาๆ สายตาอัดแน่นด้วยความเย็นเยือกเสียดแทงถึงแก่นกระดูก หลังจากพัดหงส์ฟ้าน้ำแข็งออกมาเขาก็ไม่ได้คิดจะพูดอะไรให้เปลืองน้ำลาย เทคลื่นหลิงลงไปภายในอย่างต่อเนื่อง
ครืน!
เมื่อสะบัดพัดหงส์ฟ้าน้ำแข็ง กระแสธารน้ำแข็งสีฟ้าก็กวาดออกอย่างยิ่งใหญ่เปลี่ยนท้องฟ้าให้กลายเป็นโลกน้ำแข็ง
พายุทอร์นาโดเย็นจัดส่งเสียงกระหึ่มขณะที่พุ่งเข้าใส่มู่เฉิน ในทางผ่านแม้แต่อากาศยังกลายเป็นน้ำแข็ง
กระแสธารเย็นยะเยือกบรรจุด้วยความผันผวนของคลื่นหลิงน่ากลัวอย่างยิ่ง ความเย็นนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดยังไม่กล้าดูถูก นอกจากนี้กระแสธารยังไหลเร็วมาก เพียงลมหายใจเดียวก็พัดไปถึงร่างเทพสุริยะแล้ว
แคร็ก!
ชั้นน้ำแข็งหนากระจายออกไปอย่างรวดเร็วบนร่างเทพสุริยะ ไม่กี่อึดใจร่างใหญ่โตก็กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งเสียแล้ว
ปัง!
แต่ชั้นน้ำแข็งหนาก็ปกคลุมได้เพียงชั่วครู่ ก่อนที่แสงสีทองรุนแรงจะระเบิดออกมาจากร่างเทพสุริยะ แตกสลายชั้นน้ำแข็งหนาจนแหลกลาญ
ร่างเทพสุริยะยืนตระหง่านบนท้องฟ้าขณะที่แสงสีทองมันวาวเปล่งประกายขึ้น แต่มู่เฉินที่ยืนอยู่ด้านบนใบหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด เพราะเขารู้ชัดว่าตนเองใช้พลังงานจำนวนมหาศาลเพียงใดเพื่อทำลายชั้นน้ำแข็งเมื่อครู่
หลังจากใช้พัดหงส์ฟ้าน้ำแข็ง คลื่นหลิงเย็นเยือกของไป๋หมิงก็ยกระดับขึ้นหลายส่วน ในเวลาเดียวกันก็ยากที่จะรับมือมากขึ้น
สายตาของมู่เฉินวูบไหวก่อนที่จะประสานมือเข้าด้วยกันฉับพลัน แสงสีทองระเบิดออกก่อตัวเป็นคทาขวางฟ้าสองเล่มเบื้องหน้าร่างเทพสุริยะอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ซัดใส่ไป๋หมิงเต็มเหนี่ยว
ทว่าเผชิญหน้ากับการโจมตีที่ทำให้ตนเองต้องตกอยู่ในสภาพน่าอนาถก่อนหน้า ไป๋หมิงก็ไม่แม้แต่ยกคิ้วขึ้น เขาโบกพัดขนนกในมือ กระแสธารเย็นเยือกกวาดผ่าน คทาสีทองที่พุ่งเข้ามาก็ถูกเปลี่ยนเป็นน้ำแข็งทันทีก่อนที่จะระเบิด
“เขาแข็งแกร่งขึ้นมากจริงๆ พัดขนนกในมือเจ้านั่นไม่ธรรมดา” มู่เฉินหรี่ตาลง คลื่นหลิงที่ไป๋หมิงฝึกฝนหนาวเย็นสุดขั้วบวกกับพัดหงส์ฟ้าน้ำแข็งในมือก็ราวกับพยัคฆ์ติดปีก ตอนนี้แม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปด ไป๋หมิงก็ถือว่าต่อกรด้วยยากแล้ว
“ถ้านี่คือทั้งหมดที่แกมี ก็รอความตายมาถึงได้เลย”
ไป๋หมิงโบกพัดเบาๆ จ้องมองมู่เฉินด้วยสายตาไม่แยแสพลางพูดขึ้น เขาไม่รอมู่เฉินจะได้ตอบโต้อะไร พัดขนนกก็ยกขึ้นอย่างช้าๆ ลอยอยู่ที่เบื้องหน้า
ไป๋หมิงวาดตราประทับด้วยมือทั้งสอง คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพรั่งพรูออกมาจากร่างกายทันทีเทลงบนพัดขนนกอย่างต่อเนื่อง
เมื่อคลื่นพลังงานหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด พัดก็ขยายตัว ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจก็ขยายขนาดไปเป็นร้อยจั้ง ตัวพัดค่อยๆ กลายเป็นน้ำแข็งที่ดูงดงามมาก
มองพัดขนนกที่ราวกับอัญมณี มู่เฉินก็รู้สึกเจ็บปวดรุนแรงไปทั่วร่างกาย สีหน้าเคร่งเครียดลงหลายส่วน เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกถึงภัยคุกคามรุนแรง
รัศมีเย็นเยือกเชี่ยวกรากกวาดออกมาจากพัดขนนก สีฟ้าเย็นยะเยือกก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มลึกซึ่งเต็มไปด้วยพลังการทำลายล้าง
สายตาเย็นเยือกของไป๋หมิงจับจ้องไปที่มู่เฉิน รอยยิ้มอัดแน่นด้วยจิตสังหารยกขึ้นที่มุมปาก
“พัดหงส์ฟ้าน้ำแข็ง หงส์ฟ้าน้ำแข็งสังหาร!”
ตราประทับในมือไป๋หมิงเปลี่ยนแปลงเร็วรี่ พัดขนนกเอียงลงช้าๆ ก่อนที่จะพัดลมใส่มู่เฉินที่อยู่ไกลออกไป
ตู้ม!
ฟ้าดินกลายเป็นหนาวเย็นและดำมืดทันที กระแสธารเย็นเยือกสีน้ำเงินเข้มที่ไม่มีที่สิ้นสุดกวาดออกมาจากพัด นอกจากนี้เมื่อไอเย็นส่งเสียงครางกระหึ่มก็กลายเป็นหงส์ฟ้าน้ำแข็งสีน้ำเงินเข้มที่มีขนาดประมาณหนึ่งพันจั้ง ไอเย็นเยือกที่ปกคลุมบนหงส์ฟ้าน้ำแข็งสามารถเปลี่ยนจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดให้กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งได้เลยทีเดียว
นอกลานประลอง ทุกคนตัวสั่นเทิ้มพร้อมกับความหวาดผวาฉายบนใบหน้า นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้สึกได้ว่าคลื่นหลิงในร่างกายกำลังแสดงสัญญาณค่อยๆ แข็งตัวลง
พวกเขาเพียงแค่ได้รับผลกระทบจากกระแสไอเย็นสุดขั้ว หากพวกเขาเผชิญหน้ากับมัน บางทีพวกเขาอาจจะกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งโดยไม่มีพลังใดๆ หลงเหลือ ก่อนที่หงส์ฟ้าน้ำแข็งสีน้ำเงินเข้มจะร่อนลงมาเสียอีก
“ช่างเป็นไอเย็นที่น่าสะพรึงกลัว!”
ใบหน้าของทุกคนซีดไปหมด ไป๋หมิงไม่ไว้หน้าจริงๆ เขานำพลังของพัดหงส์ฟ้าน้ำแข็งออกมาใช้ได้อย่างสมบูรณ์ การโจมตีนี้ ไม่ต้องพูดถึงมู่เฉิน แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดอย่างข่งหลิงก็ต้องเผชิญหน้าอย่างเต็มกำลัง
“มันตายแน่!” ไป๋ปิงยิ้มกริ่ม แม้ว่ามู่เฉินจะค่อนข้างมีความสามารถ แต่ก็เป็นทุกขลาภในเวลาเดียวกันที่บีบให้ไป๋หมิงใช้กระบวนท่านี้
หงส์ฟ้าน้ำแข็งกวาดออกไป ใบหน้าของไป๋หมิงก็มืดดำลงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าการโจมตีที่น่ากลัวทำให้เขาอ่อนเพลียมาก แต่ก็ถึงเวลาที่จะจบการต่อสู้นี้แล้ว
หวือ! หวือ!
หงส์ฟ้าน้ำแข็งกวาดเข้ามา พื้นผิวบนร่างกายของมู่เฉินก็ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ไอเย็นเยือกที่เจ็บปวดเจาะกระดูกกัดกร่อนเข้ามาในร่าง แม้ว่าจะมีพลังกายทรงประสิทธิภาพก็ยังรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวสำหรับเขา
ถ้าปล่อยให้หงส์ฟ้าน้ำแข็งปะทะเข้ามาละก็ เขาได้กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งแน่ แม้ว่าจะฝึกฝนกายามังกรหงส์ขั้นสองแล้วก็ตาม
ฮา
มู่เฉินพ่นลมหายใจออกมากลายเป็นน้ำแข็งที่เบื้องหน้าพร้อมกับตัวเขาค่อยๆ หลับตาลง
“ไม่คิดต่อต้านแล้วเรอะ?” พอเห็นท่าทางนั่น ไป๋หมิงก็หัวเราะเยาะ แต่รอยยิ้มก็อยู่เพียงชั่วครู่ก่อนที่เขาจะขมวดคิ้ว เขาเห็นเส้นแนวตั้งค่อยๆ เปิดเป็นม่านตาสีดำบนหน้าผากของมู่เฉิน
“นั่นคืออะไร?” คนอื่นๆ ที่ตกใจกับการโจมตีของไป๋หมิง เมื่อเห็นฉากนี้ก็ต้องร้องอุทาน
จิ่วโยวและพรรคพวกรู้สึกโล่งใจ ในที่สุดมู่เฉินก็นำเนตรดับชีวิตออกมาใช้ นี่เป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์เช่นกัน ด้วยสิ่งนี้เขาอาจจะสามารถป้องกันการโจมตีของไป๋หมิงได้
เมื่อเนตรดับชีวิตเปิดออกก็ครอบคลุมไปด้วยแสงสีดำลึกลับ มู่เฉินสะบัดนิ้ว กระแสคลื่นกวาดออกมาส่งเสียงฮึมฮัมซึ่งบรรจุด้วยคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตและบริสุทธิ์ เมื่อคนอื่นเห็นฉากนี้ ดวงตาก็แทบจะถลนออกจากเบ้า เนื่องจากพวกเขาพบว่ากระแสคลื่นนี้เกิดจากของเหลวจื้อจุน
ตัดสินจากขนาดของเหลวจื้อจุนนี้ต้องมีอย่างน้อยล้านหยด
ตราประทับของมู่เฉินเปลี่ยนแปลงเร็วจี๋ แรงดูดทรงพลังระเบิดออกจากเนตรดับชีวิตราวกับวาฬสูบน้ำ กลืนกินของเหลวจื้อจุนเข้าไปทั้งหมด
เมื่อของเหลวจื้อจุนล้านหยดซึมซาบลงไปในเนตรดับชีวิต แรงกระเพื่อมสีดำที่ผันผวนก็ราวกับหลุมดำเมื่อมองจากระยะไกล
“ก็แค่มายากล!”
เมื่อไป๋หมิงเห็นภาพนี้ ดวงตาก็หดลงแวบหนึ่ง แต่จากนั้นก็ยิ้มเย็นเยือก ไม่ว่ามู่เฉินจะทำแบบไหน เขาก็สามารถเอาชนะได้ด้วยกระบวนท่านี้แน่
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
รัศมีทรงกลดสีดำเปล่งออกมาจากเนตรดับชีวิต ก่อนที่มู่เฉินจะเปิดดวงตาขึ้นในขณะนี้ เมื่อเขาลืมตามือทั้งสองก็วาดกระบวนท่า “เนตรดับชีวิต แสงเทพดับชีวิต!”
ม่านตาสีดำเปิดกว้าง ทันใดนั้นโดยรอบก็มืดฟ้ามัวดิน แสงทั้งหมดเหมือนจะถูกกลืนกินโดยดวงตาแนวตั้งนั่น
ลำแสงสีดำขนาดใหญ่ยิงออกมาจากรูม่านตา
ลำแสงสีดำมืดมนน่าสะพรึงกลัว ไม่มีคลื่นหลิงรุนแรงผันผวนออกมา แต่เมื่อแสงยิงออกไป ทุกคนในบริเวณนี้ก็รู้สึกว่าหัวใจของพวกเขาเย็นเยือกและหนังหัวลุกชันไปหมด
พวกจิ่วโยวก็มีสีหน้าเคร่งเครียด ลำแสงที่ออกมาจากเนตรดับชีวิตครั้งนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าตอนที่สังหารอสูรวิญญาณขั้นแปดเสียอีก!
เพียงแต่ไม่รู้ว่าการโจมตีนี้จะสามารถต้านทานการโจมตีที่น่ากลัวของไป๋หมิงได้หรือไม่?
อาวุธเสมือนมหสวรรค์ชิ้นไหนจะทรงพลัง คงสามารถบอกได้หลังจากที่ปะทะกันในกระบวนท่านี้
ภายใต้สายตากระวนกระวายใจ ลำแสงสีดำก็ทะลุผ่านเส้นขอบฟ้าก่อนที่จะปะทะกับหงส์ฟ้าน้ำแข็งที่ทะยานเข้ามา
พริบตานั้นทั้งสวรรค์และโลกก็เงียบสนิท
บทที่ 1059 สังเวยโลหิตหงส์ฟ้า
เมื่อแสงสีดำและหงส์ฟ้าน้ำแข็งปะทะกัน
ฟ้าดินก็มืดมนลง ราวกับว่าสวรรค์และโลกกำลังหวาดกลัวกับผลกระทบที่น่ากลัว
ผลกระทบนี้ไม่ได้สร้างเสียงขนาดใหญ่เมื่อระเบิดออก แต่เป็นความเงียบที่ทำให้หัวใจสั่นสะท้าน แต่ความเงียบก็คงอยู่ไม่นาน ก่อนที่ทุกคนจะเห็นคลื่นกระแทกเย็นยะเยือกระเบิดออกมา
แคร็ก!
ท้องฟ้าถูกแช่แข็งทันทีที่กระแสเย็นเยือกเคลื่อนผ่านจนกลายเป็นโลกน้ำแข็ง แต่น้ำแข็งนั่นไม่ได้เป็นสีฟ้าเหมือนแต่ก่อน กลับเป็นสีดำมืด บรรจุด้วยพลังงานที่น่ากลัวสองสาย
กระแสน้ำแข็งป่าเถื่อนพัดผ่าน แท่นบูชาขนาดใหญ่ก็ถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็ง บนแท่นบูชาทั้งหมดมีเพียงลานประลองสองแห่งที่ปลดปล่อยคลื่นหลิงที่สร้างหายนะต่อต้านการครอบงำของกระแสไอเย็นได้
เมื่อรับรู้ถึงความผันผวนแปลกประหลาด คู่ประลองที่เหลือที่กำลังโรมรันพันตูก็ชะลอตัวลง ทั้งหมดเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ มองไปยังต้นกำเนิดของคลื่นกระแทกที่น่ากลัว
“มู่เฉินสามารถยืนหยัดกับการเผชิญหน้ากับไป๋หมิงได้เรอะ?” เมื่อพวกเขาทั้งสี่เห็นฉากนี้ จิตใจก็สั่นไหว จากนั้นใบหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียดลง เมื่อก่อนบางทีพวกเขาไม่ได้มองว่ามู่เฉินเป็นคู่ต่อสู้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้มองในแง่ดีเกี่ยวกับผลลัพธ์ของเขาเมื่อเผชิญหน้ากับไป๋หมิง แต่ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่ามองพลาดไป
ดวงตาของข่งหลิงกะพริบเบาๆ ก่อนที่จะส่ายหัว มู่เฉินอยู่เหนือความคาดหมายก็จริง แต่โชคดีที่พวกนางไม่เคยขัดแข้งขัดขากันมาก่อน ไม่เช่นนั้นคงจะลำบากที่มีศัตรูเช่นนี้
“เฮ้ ดูเหมือนความช่วยเหลือจากข้าเป็นหมันซะแล้ว เจ้านั่นรักษาชีวิตเอาไว้เองได้” ลู่โหวเผ่าวานรทะลุฟ้ายิ้มเยาะตนเอง เมื่อครู่เขายังบอกด้วยว่าถ้ามู่เฉินแพ้ เขาจะช่วยปกป้องชีวิตให้ แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ปัจจุบันชัดว่ามู่เฉินไม่ต้องการความช่วยเหลืออะไรเลย
จงชิงเฟิงเผ่าคุนเผิงจ้องมองที่มู่เฉินอย่างลึกล้ำเช่นกัน อันที่จริงเขาเคยได้ยินชื่ออีกฝ่ายมานานแล้ว จงเถิงและมู่เฉินเหมือนมีความขัดแย้งกัน ก่อนหน้านี้ยังส่งสารมาขอให้เขาช่วยจัดการ ตอนแรกเขาคิดว่าถ้ามีโอกาสก็จะช่วยซะหน่อย แต่ตัดสินจากสถานการณ์ปัจจุบันจะเป็นการดีกว่าที่เขาจะสลายความคิดบ้าบอและเตือนจงเถิงว่าอย่ายั่วยุคนที่เหี้ยมหาญเช่นนี้
“ด้วยพลังการต่อสู้ที่มู่เฉินแสดงออกมา เขาน่าจะสามารถสู้รับมือไป๋หมิงได้อีกสักพัก อืม…ก็ดี ต่อให้จะไม่สามารถหยุดยั้งได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ราบรื่นนักที่จะได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะ”
“บ้าเอ๊ย!”
ขณะที่ทุกคนมีความคิดไหลเวียนอยู่ในใจ ใบหน้าของไป๋หมิงก็มืดครึ้มลง เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มืดสนิท ลำแสงสีดำและหงส์ฟ้าน้ำแข็งต่างก็ครอบครองท้องฟ้าอย่างละครึ่ง แต่ละฝ่ายออกฤทธิ์อย่างบ้าคลั่งพยายามสลายฝ่ายตรงข้าม แต่สุดท้ายทั้งสองก็ไม่สามารถบรรลุผล ซึ่งส่งผลทำให้สถานการณ์หยุดชะงักลง
ทว่าสถานการณ์ชะงักงันไม่ได้เป็นสิ่งที่ไป๋หมิงต้องการเห็น
เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดบวกกับอาวุธเสมือนมหสวรรค์จะไม่สามารถแม้แต่จะฆ่าสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดได้
“ฝันไปเถอะที่คิดจะเอาชนะข้าวันนี้!” สายตาของไป๋หมิงกะพริบพร้อมกับความเย็นชา จากนั้นตราประทับก็เปลี่ยนแปลง พัดหงส์ฟ้าน้ำแข็งพุ่งออกมาพร้อมกับกระแสเย็นเยือกขยายตัวออกมา คลื่นพลังหลั่งไหลลงไปไม่หยุดยั้งพยายามที่จะทำลายลำแสงสีดำ
มู่เฉินยืนอยู่บนร่างเทพสุริยะ สัมผัสได้ว่าแรงกดดันที่มาจากหงส์ฟ้าน้ำแข็งกำลังเพิ่มสูงขึ้น เห็นได้ชัดว่าไป๋หมิงกำลังเพิ่มพลังงานให้กับหงส์ฟ้าน้ำแข็งเพื่อเอาชนะเขา
“เจ้าประเมินการโจมตีของข้าที่ใช้ของเหลวจื้อจุนล้านหยดน้อยไป”
ทว่าเมื่อเผชิญกับสิ่งนี้ รอยยิ้มเยาะเย้ยก็ยกขึ้นที่มุมปากของมู่เฉิน เนื่องจากจำเป็นต้องใช้ปริมาณของเหลวจื้อจุนจำนวนมากในการใช้งานเนตรดับชีวิตทุกครั้ง ราคานั้นเป็นสิ่งที่ทำให้หัวใจของมู่เฉินเจ็บปวด แต่สิ่งเดียวที่เขารู้สึกสบายใจก็คือหลังจากที่กลืนกินของเหลวจื้อจุนจำนวนมากการโจมตีของเนตรดับชีวิตก็คุ้มค่ายิ่งนัก
เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มู่เฉินก็ไม่ลังเลต่อไป ด้วยการเคลื่อนไหวเนตรดับชีวิตบนหน้าผากก็เปิดออกพร้อมกับเปล่งรัศมีทรงกลดสีดำ
ราวกับว่ามีสัญลักษณ์สีดำรวมตัวกันอย่างลึกซึ้ง
ฟิ้ว!
แสงสีดำละเอียดถูกยิงออกมาจากเนตรดับชีวิต พุ่งบิดเกลียวราวกับฟ้าฟาดรวมเข้ากับแสงสีดำที่กำลังเผชิญหน้ากับหงส์ฟ้าน้ำแข็ง ทันใดนั้นลำแสงสีดำก็ขยายตัว คลื่นกระแทกสีดำที่น่าหวาดกลัวกวาดออก ทำให้เกิดรอยแตกบนมิติโดยรอบเลยทีเดียว
“แตก”
เสียงแผ่วเบาเปล่งออกจากปากมู่เฉินในขณะนี้
ตู้ม!
เมื่อถ้อยคำหลุดออกมาจากปาก ลำแสงสีดำที่น่ากลัวก็ตอบสนองราวกับว่าได้รับคำสั่งจากเทพทำลายล้างพุ่งลงมาบนโลกมนุษย์ แสงสีดำสั่นเทิ้มทะลุผ่านหงส์ฟ้าน้ำแข็งขนาดใหญ่ไป
หลุมดำขนาดใหญ่ปรากฏบนร่างหงส์ฟ้าน้ำแข็ง กัดกร่อนร่างนั้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มันค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำ
ทันทีที่หงส์ฟ้าน้ำแข็งถูกเจาะผ่าน สีหน้าของไป๋หมิงก็เปลี่ยนไปรุนแรง ความไม่อยากเชื่ออัดแน่นในดวงตา การโจมตีจากพัดหงส์ฟ้าน้ำแข็งเต็มกำลัง ไม่เพียงจะถูกต่อต้านโดยมู่เฉิน แต่ยังถูกทำลายลงอีกด้วยเรอะ?
“เป็นไปได้ยังไง?!” สีหน้าอำมหิตปกคลุมใบหน้าของไป๋หมิงพลางคำรามด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว
ฟิ้ว!
แต่มู่เฉินไม่ใส่ใจกับความรู้สึกของไป๋หมิงในขณะนี้ ลำแสงสีดำที่ควบแน่นด้วยราคาของเหลวจื้อจุนล้านหยดอ่อนล้าลงอย่างมากหลังจากการทะลุผ่านร่างหงส์ฟ้าน้ำแข็ง แต่ก็ยังไม่ได้หายไปอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นเพียงแค่คิด ลำแสงสีดำก็พลิกกลับฉับพลันกวาดไปทางไป๋หมิง
เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจที่จะกำจัดอีกฝ่าย
“แกคิดฆ่าข้าเรอะ? เพ้อเจ้อแล้ว!”
เมื่อไป๋หมิงเห็นฉากนี้ ม่านตาก็หดลงก่อนที่จะคำรามลั่น ฝ่าเท้ากระแทกลง พายุทอร์นาโดก็พวยพุ่งออกมาก่อร่างเป็นหงส์ฟ้าน้ำแข็งขนาดใหญ่อยู่เบื้องหลัง หงส์ฟ้าน้ำแข็งตัวนี้เปล่งประกายแวววาวประหนึ่งอัญมณี แรงกดดันทรงพลังกำจายออกมา
ไป๋หมิงถูกบีบให้ต้องนำร่างเทพอสูรออกมาแล้ว
ร่างของไป๋หมิงเคลื่อนไหวไปปรากฏบนหงส์ฟ้าน้ำแข็ง จากนั้นมือก็คว้าจับพัดหงส์ฟ้าน้ำแข็งที่ลอยบนท้องฟ้า กระแสเย็นเยือกไหลออกมา แสงน้ำแข็งสีฟ้าวูบไหว
“หงส์ฟ้าน้ำแข็งป้องกัน!
ทันใดนั้นพัดน้ำแข็งในมือของไป๋หมิงสั่นสะท้าน กระแสเย็นเยือกหลั่งไหลออกมา หงส์ฟ้าน้ำแข็งที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าก็พ่นคลื่นพลังรุนแรง เมื่อหมุนคว้างไปก็กลายเป็นม่านพลังขนาดหนึ่งพันจั้งบนท้องฟ้าปกป้องเขาไว้
ตู้ม!
ลำแสงทำลายล้างปะทะม่านพลังก่อนที่เสียงกัมปนาทจะดังออกมา รอยแตกกระจายอย่างรวดเร็วครอบคลุมม่านพลังทั้งหมด
ปัง!
เมื่อม่านพลังมาถึงขีดจำกัดก็ระเบิดออก ไป๋หมิงที่ยืนอยู่บนหงส์ฟ้าน้ำแข็งได้รับผลกระทบจากการระเบิด เลือดกระอักเต็มปาก ใบหน้าของเขามืดครึ้มลง
ฮือฮา
เมื่อคนอื่นมองเห็นภาพนี้ก็อดสูดปากดูดอากาศไม่ได้ เพราะไม่มีใครคิดว่าไป๋หมิงจะเป็นคนแรกที่ได้รับบาดเจ็บจากการเผชิญหน้ากับมู่เฉิน
“ปะ… เป็นไปได้ยังไง?!” เมื่อไป๋ปิงเห็นภาพนี้ใบหน้าก็ซีดเผือดลง
ที่ด้านข้างฉื่อหงหวู่ก็แสดงออกอย่างเคร่งขรึม มาถึงจุดนี้ถ้าใครยังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนจอมยุทธ์ขุมพลังจือจุนขั้นเจ็ดทั่วไปก็โง่เต็มทีแล้ว
ครั้งนี้ไป๋หมิงเตะแผ่นเหล็กเข้าให้แล้ว
มู่เฉินยืนอยู่บนร่างเทพสุริยะมองไปที่ไป๋หมิงที่กระอักเลือดออกมา ใบหน้าไม่มีริ้วอารมณ์ใด ในทางตรงกันข้ามเขารู้สึกเสียดายเล็กน้อย ปฏิกิริยาของไป๋หมิงรวดเร็วไปหน่อย เขาเพิ่มการป้องกันออกมาทันทีที่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เลือดเต็มปากเป็นเพียงสัญญาณบ่งบอกว่าได้รับผลกระทบบางอย่าง ส่วนแสงเนตรดับชีวิตก็ถูกใช้ไปจนหมดแล้ว
ของเหลวจื้อจุนหนึ่งล้านหยดที่ใช้ลงไป สามารถจัดการไป๋หมิงได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ชายคนนี้จัดการยากแท้จริง
ไป๋หมิงยืนอยู่บนหงส์ฟ้าน้ำแข็งค่อยๆ เช็ดรอยเลือดออกจากมุมปาก สายตาจ้องมองมู่เฉินด้วยแววมืดมน เสียงของเขาค่อนข้างแหบห้าวพูดว่า “กระบวนท่าเมื่อครู่แกยังสามารถโจมตีได้อีกกี่ครั้ง?”
การโจมตีกระบวนท่าเมื่อครู่ของมู่เฉินน่าสะพรึงกลัวก็จริง แต่เขารู้ว่ามีขีดจำกัดในการโจมตีประเภทนี้แน่นอน มิฉะนั้นไม่มีใครทนรับได้ถ้ามู่เฉินเปิดตัวการโจมตีอีก
“อยากลองไหม?” เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนั่นก็ยิ้ม
“มาเลย!”
ไป๋หมิงยิ้มเย็นจากนั้นก็กระทืบเท้า หงส์ฟ้าน้ำแข็งที่อยู่เบื้องล่างกางปีกบินออกไป ขณะที่ปีกกระพือกระแสเย็นเยือกนับพันจั้งก็พุ่งเข้าหาร่างเทพสุริยะ
ตู้ม!
ร่างเทพสุริยะก็ทะยานเข้ามาในเวลาเดียวกัน แสงสีทองพุ่งออกไปในทุกทิศทุกทางต่อต้านกระแสเย็นเยือกอันน่ากลัว ก่อนที่จะรัวการโจมตีเป็นชุด
บนท้องฟ้าแสงสีทองและกระแสเย็นเยือกครางกระหึ่ม ร่างใหญ่ทั้งสองปะทะกันไม่หยุด แรงกระแทกนั้นทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน เบื้องบนร่างมหึมามีคนสองคนแลกกระบวนท่า พวกเขาหมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างจนถึงขีดสุด แต่ละคนวูบไหวราวกับสายฟ้า สร้างภาพมายากระจายเต็มท้องฟ้า
ในเวลาไม่กี่นาทีทั้งสองก็แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันหลายร้อยกระบวนท่า ทุกการปะทะราวกับจะฉีกขาดท้องฟ้า
บนแท่นบูชาทุกคนได้แต่ตะลึงกับการบู๊ล้างผลาญครั้งนี้ จิตสังหารและคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตซึ่งปล่อยออกมาจากทั้งสอง ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว
ขณะนี้ทั้งสองโรมรันพันตูกันจนกระทั่งดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
ตู้ม!
บนท้องฟ้ากำปั้นใหญ่โตของร่างเทพสุริยะและปีกของหงส์ฟ้าน้ำแข็งปะทะกัน มู่เฉินเหวี่ยงฝ่ามือออกปะทะกับหมัดไป๋หมิง
คลื่นกระแทกที่ครอบงำสร้างหายนะ ขณะที่ทั้งสองฝ่ายถูกผลักกลับไปพร้อมกับคลื่นหลิงที่ผันผวนรอบตัวยุ่งเหยิงไปหมด พวกเขาได้รับความเดือดร้อนจากคลื่นกระแทกอย่างชัดเจน
การต่อสู้ดุเดือดจบลงที่เสมอกัน
“บ้า! บ้าเอ๊ย!”
แต่การตึงมือกันนี้กลับทำให้ดวงตาของไป๋หมิงแดงฉาน คนที่มีความภาคภูมิใจในตัวเองเช่นเขาไม่สามารถยอมรับได้ว่าจะถูกมนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดสร้างความปั่นป่วนให้ขนาดนี้
“ไม่ว่าจะต้องจ่ายราคาเท่าไร ข้าก็จะฝังแกไว้ที่นี่!” ไป๋หมิงคำรามลั่นด้วยจิตสังหารรุนแรง
เมื่อเห็นไป๋ปิงเห็นสีหน้าโหดเหี้ยมเพียงนี้ สีหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปเช่นกัน แววตื่นระวังลุกโชนในดวงตา
เขารู้ว่าด้วยพลังและสถานะของไป๋หมิงจะต้องมีไพ่ตายอยู่แน่ เหตุผลที่อีกฝ่ายไม่ใช้ก่อนหน้าก็เพราะเสียดายในการใช้ แต่หลังจากถูกบังคับให้มาถึงจุดนี้ก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป
ดวงตาของไป๋หมิงเป็นสีแดงฉาน จิตสังหารรุนแรงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เขาจ้องเขม็งที่มู่เฉิน จากนั้นก็กระทืบเท้า หงส์ฟ้าน้ำแข็งที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าส่งเสียงร้องครางก่อนที่จะพ่นแก่นเลือดออกมา
แก่นโลหิตนั้นบรรจุด้วยคลื่นหลิงไร้ขอบเขต
ไป๋หมิงแตะนิ้วลงไป พัดหงส์ฟ้าน้ำแข็งในมือก็บินออกไป ราวกับว่าเปิดปากกลืนกินเลือดเข้าไป
ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีซีดทันที
พัดน้ำแข็งสีฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง โดยมีเส้นเลือดสีแดงเต้นยุบยับขึ้นบนตัวพัด กลิ่นคาวเลือดรุนแรง มองดูอำมหิตมาก
ไป๋หมิงมองดูการเปลี่ยนแปลงของอาวุธคู่กาย ก็ปล่อยเสียงคำรามลึกดังก้องไปทั่วขอบฟ้า
“สังเวยโลหิตหงส์ฟ้า!”
บทที่ 1060 พัดโลหิตสำแดงอำนาจ
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
พัดน้ำแข็งสีแดงสั่นเทิ้มเบาๆ บนท้องฟ้า เสียงน่ากลัวของลมถูกฉีกขาดกระจายออกมา มิหนำซ้ำยังผสมผสานด้วยกลิ่นคาวเลือดหนาแน่น
ทันใดนั้นอุณหภูมิในฟ้าดินก็เย็นลงฉับพลัน ร่องรอยของความเย็นดูราวกับสามารถเจาะเข้าไปในกระดูก ทำให้ร่างกายถูกรุกรานด้วยไอเย็นเยือก
บนแท่นบูชาเมื่อผู้คนเห็นภาพที่น่าตกใจนี้ใบหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ยิ่งไป๋ปิง ฉื่อหงหวู่และจอมยุทธ์เผ่าหงส์ฟ้ายังฉายสีหน้าตลกมาก
“บ้าจริง! ไป๋หมิงสติแตกแล้ว!” ใบหน้าของฉื่อหงหวู่เขียวคล้ำขณะกัดฟันกรอด “เขาใช้กระบวนท่านั้นจริงๆ เขาไม่รู้หรือไงว่านี่จะทำให้อาวุธเสมือนมหสวรรค์เสียหายแค่ไหน?!”
ที่เรียกว่าสังเวยโลหิตหงส์ฟ้าก็คือกระบวนท่าที่ต้องบาดเจ็บทั้งคู่ แม้ว่าจะสามารถยกระดับพลังของอาวุธเสมือนมหสวรรค์ให้อยู่ในระดับที่น่าอัศจรรย์ แต่ก็เป็นทักษะที่จะสร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อตัวอาวุธ
แต่ตอนนี้ไป๋หมิงคิดใช้วิธีการดังกล่าวเพื่อคว้าชัยชนะ
ที่ข้างนาง ไป๋ปิงก็ตัวแข็งทื่อเมื่อมองไปที่พัดสีแดง เขาอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะบีบให้ไป๋หมิงมาถึงจุดนี้
“ถึงแม้ว่าอาวุธเสมือนมหสวรรค์จะมีค่า แต่ตราบใดที่พี่ใหญ่ไป๋หมิงได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ ทุกอย่างก็คุ้มค่า!” ไป๋ปิงหาข้ออ้างให้ไป๋หมิงขณะที่เอ่ยต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้นพี่ใหญ่ไป๋หมิงจะแพ้การต่อสู้นี้ไม่ได้ เขาเป็นอัจฉริยะของเผ่าหงส์ฟ้า ถ้าเขาแพ้ต่อมู่เฉินก็จะเป็นความเสียหายต่อชื่อเสียงของเผ่าพันธุ์เรา”
“เจ้า!”
ฉื่อหงหวู่เดือดดาล แต่สุดท้ายก็ระงับความโกรธลง เรื่องมาไกลถึงขนาดนี้ ไร้ประโยชน์ที่จะพูดอะไรต่อไป ไป๋หมิงถลำลึกกับชัยชนะและความภาคภูมิใจมากเกินไป เขาไม่อาจรับความจริงที่ว่าเขาไม่สามารถเอาชนะมู่เฉินได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้วิธีนี้เพื่อชนะ
หากเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นอันตรายต่อมู่เฉิน หลังจากใช้ทักษะนี้พลังของพัดหงส์ฟ้าน้ำแข็งจะเพิ่มขึ้นทบทวี แม้ว่าจะไม่สามารถไปถึงระดับของอาวุธมหสวรรค์ได้ แต่ก็แข็งแกร่งกว่าอาวุธเสมือนมหสวรรค์อื่นๆ แน่นอน
เผชิญหน้ากับไป๋หมิงที่มีพละกำลังเพิ่มสูงขึ้น ก็ไม่มีโอกาสชนะสำหรับมู่เฉิน แม้ว่าเขาจะมีอาวุธเสมือนมหสวรรค์ก็ตาม…
“เฮ้ย ไป๋หมิงถูกบีบให้ถึงขนาดนี้เชียว…” ฉื่อหงหวู่และพรรคพวกไม่ได้ตกใจแค่กลุ่มเดียว แม้แต่อีกสี่คนที่อยู่ในลานประลองอีกสองแห่งก็มีท่าทางเปลี่ยนไป ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้
พวกเขาเป็นจอมยุทธ์ระดับเดียวกันกับไป๋หมิง ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจไพ่ตายใบนี้ดี ถึงจะเป็นพวกเขาที่ต้องเผชิญกับกระบวนท่าครั้งนี้จากไป่หมิง พวกเขาก็ต้องล่าถอย หากถอยไม่ทันก็อาจจะต้องจ่ายในราคาที่แพงระยับ
แต่ตอนนี้วิธีที่ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวกลับถูกนำมาใช้เพื่อจัดการกับมนุษย์ที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเท่านั้น
ถ้าเป็นเมื่อก่อนพวกเขาคงจะหัวเราะจนฟันร่วง แต่เมื่อเห็นการประลองครั้งนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถกระทั่งยิ้มอีกต่อไปได้ ใบหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด เพราะรู้ดีว่าแม้กระทั่งพวกเขาเองก็ยากในการเอาชนะมู่เฉิน
มนุษย์คนนี้เคี้ยวไม่ได้ง่ายเหมือนที่พวกเขาคิดไว้
ขึ้นไปบนท้องฟ้ามู่เฉินยืนอยู่บนร่างเทพสุริยะด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะมองไปที่พัดสีแดงฉานที่ลอยอยู่เหนือไป๋หมิง เขาสัมผัสได้ถึงรัศมีคุกคามซึ่งทำเอาหนังหัวชาวาบ
สายตาของมู่เฉินกะพริบวูบไหวแต่ก็ไม่ได้หันหลังเพื่อถอยกลับ นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าไม่มีทางที่ตนเองเลือกจะหนี จังหวะที่เขาก้าวถอยออกไปก็เท่ากับการละทิ้งแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ
ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะโจมตี
เนตรดับชีวิตเปิดขึ้นอีกครั้งบนหน้าผากของมู่เฉิน แสงสีดำกะพริบวูบวาบ ลำแสงสีดำพุ่งออกมาฉีกขาดเส้นขอบฟ้ายิงใส่หัวของไป๋หมิง
“หึ…”
ภายใต้พัดสีแดงเข้ม ใบหน้าซีดเซียวของไป๋หมิงก็เผยรอยยิ้มเยาะเย้ยก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นจ้องมองลำแสงสีดำที่พุ่งเข้ามา
ฮึ่ม!
เมื่อลำแสงอยู่ห่างจากเขาไปสิบจั้ง กระแสเย็นเยือกสีแดงเข้มก็กวาดออกมาแช่แข็งลำแสงสีดำเอาไว้ทันที ทำให้กลายเป็นเสาน้ำแข็งก่อนที่จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ม่านตามู่เฉินหดเกร็ง พลังของพัดหงส์ฟ้าน้ำแข็งเพิ่มขึ้นขนาดนี้เชียว
“ครั้งนี้ข้าไป๋หมิงตาบอดไปจริงๆ ถึงถูกเจ้าบีบมาจนจุดนี้…” เมื่อใบหน้ายกขึ้นก็ไม่มีอารมณ์ใดๆ ในดวงตาของไป๋หมิงขณะจ้องมองมู่เฉินก่อนที่เสียงจะดังสะท้อนช้าๆ
“แต่ในเมื่อสถานการณ์ไปไกลขนาดนี้แล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเสียใจ เพื่อแสดงความขอบคุณที่บีบให้ข้ามาถึงจุดนี้ ข้าจะแช่แข็งแกให้เป็นรูปปั้นเก็บไว้เป็นของที่ระลึกเพื่อเตือนความทรงจำ”
ดวงตาของไป๋หมิงเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเมื่อมองมู่เฉินพร้อมกับมุมปากโค้งขึ้น ใบหน้าซีดเซียวดูโหดร้ายยิ่ง
เมื่อจบคำพูด เขาก็ยื่นมือออกมา พัดสีแดงเข้มพลิ้วลงมาช้าๆ ก่อนที่เขาจะจับไว้ในมือ
เขาจับด้ามพัดไว้แล้วโบกไปในทิศทางของมู่เฉินด้วยสีหน้าที่ไม่แยแส
ฮึ่ม!
สายธารเย็นเยือกสีแดงเข้มกวาดออกมาราวกับพายุ ความเร็วเกินขอบเขตคำบรรยาย สายธารกลั่นตัวตัวเป็นใบมีดนับไม่ถ้วน ใบมีดเหล่านี้มีสีแดงเลือด แต่ละเล่มสามารถฉีกร่างจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดได้
การโจมตีกระบวนท่านี้น่ากลัวจริงๆ
เมื่อพายุสีแดงเข้มขยายอย่างรวดเร็วในม่านตาของมู่เฉิน ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาไม่กล้าที่จะประวิงเวลา แค่คิดร่างเทพสุริยะก็ระเบิดด้วยแสงสีทองตระการตาราวกับเป็นปราการทองคำ
ปัง! ปัง!
ดงดาบสีแดงเข้มพร้อมกับสายธารกระแทกอย่างแรงกับร่างเทพสุริยะ เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีรุนแรงเช่นนี้แสงสีทองพร่างพราวของร่างเทพสุริยะก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะระเบิดออก
“ฟันลงซะ!”
ไป๋หมิงยิ้มเหี้ยมแล้วกำมือ ทันใดนั้นสายธารเย็นเยือกสีแดงเข้มบนท้องฟ้าก็ควบแน่นเป็นใบมีดยาวสีแดงขนาดหมื่นจั้ง เมื่อใบมีดเฉือนลง มิติก็ฉีกขาดขณะที่พุ่งลงมาใส่ร่างเทพสุริยะ
ก่อนที่ใบดาบจะตกลงมา มู่เฉินก็รู้สึกถึงอันตรายที่รุนแรง ดวงตากะพริบวาบ ตราประทับถูกวาดด้วยมือข้างเดียว จิตวิญญาณหงส์ฟ้าแท้จริงก่อตัวขึ้นเป็นปีกคู่หนึ่งผุดขึ้นทันท่วงที ความเร็วของเขาเพิ่มสูงขึ้น ร่างกลายเป็นแนวแสงถอยออกมาจากหัวของร่างเทพสุริยะ
ชี่!
เมื่อใบมีดน้ำแข็งฟันลงมาก็แยกร่างเทพสุริยะออกเป็นสองส่วน ความคมชัดที่น่ากลัวทำให้เปลือกตาของมู่เฉินกระตุก
“ลื่นเป็นปลาไหลเลย” เมื่อเห็นว่ามู่เฉินถอยไปได้ทันท่วงที ไป๋หมิงก็ยิ้มก่อนจะมองไปที่ปีกหงส์ฟ้าที่อยู่บนหลังมู่เฉิน เขาสัมผัสได้ถึงรัศมีหงส์ฟ้าแท้จริงที่มาจากมัน ซึ่งนี่ทำให้ดวงตาของเขาแดงฉานขึ้นทันที
“แกมีสมบัติของตระกูลข้าที่อัดแน่นด้วยรัศมีหงส์ฟ้าจริงด้วย ดูเหมือนข้าได้อีกเหตุผลที่จะฆ่าแกแล้ว”
ไป๋หมิงหัวเราะ จากนั้นก็กระทืบเท้า ปีกสีฟ้าน้ำแข็งคู่หนึ่งกางออกที่ข้างหลัง ด้วยการเคลื่อนไหวเขาก็ไปปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉินทันที เส้นโป่งพองบนพัดโลหิตนั้นราวกับเส้นเลือดขณะที่เขาสะบัดลงมา
ตู้ม!
สายธารโลหิตร้องคำรามราวกับมังกรตัวมหึมากวาดเข้าใส่มู่เฉิน
หลังจากได้เห็นพลังพัดโลหิต มู่เฉินก็ไม่กล้าที่จะประมาทอีกต่อไป แสงสีทองระเบิดในเวลาเดียวกับที่เขาถอย กายามังกรหงส์ถูกเร้าจนถึงขีดสุด ป้องกันรอบตัวเอาไว้
ปัง!
สายธารโลหิตแดงฉานครางกระหึ่มเข้ามากระแทกร่างมู่เฉิน คลื่นเย็นเยือกที่น่าสะพรึงกลัวทำให้แสงสีทองรอบร่างมู่เฉินลดลงทันที นอกจากนี้ร่างของเขายังถูกกระแทกกลับราวกับว่าได้รับผลกระทบหนักหน่วง เขาดิ่งพสุธาลงมาบนพื้น หลุมขนาดร้อยจั้งก็ปรากฏขึ้นบนลานประลองอันแข็งแรง
จอมยุทธ์ที่อยู่บนแท่นบูชาเปลือกตากระตุกเมื่อเห็นภาพนี้ ตอนนี้มู่เฉินเห็นได้ชัดว่าถูกผลักกลับโดยไม่สามารถขัดขวางไป๋หมิงได้
จิ่วโยว มั่วหลิงและคนอื่นก็มีใบหน้าซีดเซียว การต่อสู้นี้ดุเดือดมาก ไม่คิดว่ามู่เฉินที่ได้เปรียบเมื่อครู่จะพลิกกลับไปในตำแหน่งเสียเปรียบ
จิ่วโยวกัดฟันขณะที่กำมือแน่นด้วยความกังวลอัดแน่นในดวงตา มากจนนางอยากให้มู่เฉินหยุดที่จะต่อสู้กับไป๋หมิงด้วยซ้ำ นางสามารถยอมแพ้ต่อแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะนางรู้ว่าด้วยตัวนิสัยของมู่เฉินเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมแพ้
มู่เฉินไม่ใช่เด็กน้อยที่มณฑลเป่ยหลิงอีกต่อไป ประสบการณ์ความเป็นตายหลายปีได้ขัดเกลาให้เขาอดทนและ…ทรงพลังมาก
ในปากหลุมขนาดใหญ่บนลานประลอง มู่เฉินนอนพังพาบอยู่ในสภาพที่น่าสมเพช ร่างถูกปกคลุมไปด้วยเลือดซึ่งเกิดจากคลื่นใบมีดเย็นเยือก ทำให้เขาดูราวกับมนุษย์เลือด
บนแท่นบูชาคนอื่นๆ ก็ส่ายหัวด้วยความเสียใจ ตัดสินจากสถานการณ์ปัจจุบันผลลัพธ์เห็นชัดเจนว่ามู่เฉินแพ้การต่อสู้
แต่แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ก็ต้องภูมิใจที่สามารถบังคับให้ไป๋หมิงมาถึงขั้นนี้
บนท้องฟ้าไป๋หมิงกระพือปีกน้ำแข็งสีฟ้าขณะที่ยืนก้มมองมู่เฉินที่อยู่ในหลุม ก่อนที่จะโบกพัดน้ำแข็งสีแดงเข้มในมือเบาๆ ปล่อยความผันผวนที่น่ากลัวออกมา
แววดุร้ายและเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากของเขาขณะยิ้ม “ก่อนหน้านี้แกเคยคิดว่าจะอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเช่นนี้รึเปล่า? ราวกับหมาจรจัด”
ในปากหลุมขนาดใหญ่มู่เฉินไม่ขยับตัว ดวงตาปิดลงราวกับว่าเขายอมรับสภาพ
เมื่อไป๋หมิงเห็นภาพนี้ก็ส่ายหัวโดยไม่สนใจพูดอย่างเฉยเมยว่า “ในเมื่อยอมแพ้ก็ตายซะ”
จบคำพูดพัดสีแดงเข้มก็พุ่งออกมาจากมือแล้วโบกสะบัดรุนแรง สายธารโลหิตเย็นเยือกนับไม่ถ้วนหลั่งไหลออกมารวมตัวกับพายุทอร์นาโดสีแดงเลือดแดงขนาดมหึมา พายุทอร์นาโดนี้ราวกับมังกรยักษ์ที่ฉีกผ่านฟ้าดิน พุ่งหวือไปหามู่เฉินพร้อมกับพลังทำลายล้าง
เห็นได้ชัดว่าไป๋หมิงตั้งใจจะยุติการประลองครั้งนี้แล้ว!
หลายคนส่ายหัวอย่างน่าเสียดาย
บนแท่นบูชา คลื่นหลิงระเบิดออกมาจากร่างของจิ่วโยวพร้อมกับไอเย็นเยือกในดวงตา เห็นได้ชัดว่านางทนไม่ไหวอีกต่อไปและคิดจะออกไปจัดการ
ทว่าขณะที่พายุทอร์นาโดสีแดงเลือดกวาดลงมา มู่เฉินที่หลับตาแน่นก็เบิกตาโพลง
จังหวะที่เขาลืมตา รัศมีก็เหมือนจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
นั่นคือรัศมีแห่งการเสียสละตนกลายเป็นปีศาจ
บทที่ 1061 อำนาจหมัดปีศาจ
ครืน!
พายุทอร์นาโดสีแดงเลือดกดลงมา ดวงตาของมู่เฉินก็เปิดออก ไม่มีความกลัวใดๆ ในม่านตาสีดำ ตรงกันข้ามกลับมีประกายแสงลุกโชนให้เห็นได้ชัดจนใจสั่น
แววตาลุกโชนนั้นราวกับปรารถนาในการเดิมพันชีวิตและความตาย
การแสวงหาชีวิตท่ามกลางความตายต้องใช้ความกล้าหาญที่จะเสียสละตัวเอง หากไม่มีความกล้าหาญที่จะเสียสละตัวเองและขี้ขลาด เขาจะแสวงหาชีวิตท่ามกลางความตายได้อย่างไรเล่า?
มู่เฉินลุกขึ้นยืนช้าๆ ในหลุมลึก คลื่นหลิงไร้ขอบเขตรอบตัวค่อยๆ จางหายถูกแทนที่ด้วยรัศมีโลหิตที่ควบแน่นอยู่รอบตัว
รัศมีนี้เต็มไปด้วยจิตสังหารที่น่ากลัวและโหดร้ายอย่างยิ่ง ราวกับว่าเขาต้องการเสี่ยงทุกอย่าง ใช้ชีวิตในการแก้สถานการณ์สิ้นหวังตรงหน้า!
จิตสังหารที่น่าอัศจรรย์พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อตัวเป็นพายุทอร์นาโดรอบๆ ร่างมู่เฉิน กระทั่งก้อนหินขนาดใหญ่ที่อยู่โดยรอบก็แตกเป็นฝุ่นล่องลอยไปตามกระแสลม
“เกิดอะไรขึ้น?!”
คนอื่นที่ยืนอยู่ด้านนอกลานประลองเมื่อเห็นฉากนี้ใบหน้าก็เปลี่ยนไป ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ พวกเขาจ้องมองจิตสังหารซึ่งห่อหุ้มร่างมู่เฉินก็อดไม่ได้ที่ดวงตาจะหดลง
นั่นเป็นเพราะจิตสังหารโหดร้ายนั่นทำให้หนังหัวของพวกเขาลุกชัน
รัศมีที่ถูกปล่อยออกมาจากมู่เฉิน ทำให้พวกเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนั้นตั้งใจจะเสี่ยงชีวิต แม้ว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับการตกอยู่ในนรก เขาก็จะลากคู่ต่อสู้ลงไปด้วย
นั่นเป็นการกระทำของคนบ้าชัดๆ!
หลายคนใบหน้าซีดขาวกับรัศมีของมู่เฉิน พวกเขาใช่ว่าไม่เคยเห็นคนโหด แต่น้อยมากที่จะเห็นใครมีรัศมีโหดเหี้ยมเหมือนมู่เฉินในตอนนี้
“นั่นคือรัศมีหมัดอย่างหนึ่ง! ต้องไม่ใช่เพลงหมัดของวิทยายุทธระดับเสินซู่แน่นอน!” หลายคนมีสายตาเฉียบคม พวกเขาไตร่ตรองชั่วครู่ก่อนร้องอุทานด้วยความตกใจ
ไม่ใช่เพลงหมัดของวิทยายุทธระดับเสินซู่? นั่นหมายความว่าวิชานี้เกินขอบเขตของระดับเสินซู่ไปแล้ว และอะไรคือวิทยายุทธที่เหนือกว่า? นั่นคือขอบเขตของวิทยายุทธระดับเสินทง!
พลังที่มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเท่านั้นที่จะครอบครองได้!
นั่นก็หมายความว่ามู่เฉินกำลังใช้เพลงหมัดระดับเสินทงรึ?!
ดวงตาทุกคนวาวโรจน์เมื่อจ้องมองที่มู่เฉิน นั่นคือวิทยายุทธระดับเสินทงแม้กระทั่งในเผ่าของพวกเขาก็เป็นสมบัติที่หายากยิ่ง หากไม่ใช่จอมยุทธ์ที่มีคุณูปการต่อเผ่า แม้แต่ผู้อาวุโสเผ่ายังไม่สามารถเข้าถึงได้
แต่ตอนนี้มู่เฉินกลับครอบครองวิชาดังกล่าวแล้วพวกเขาจะไม่อิจฉาได้อย่างไร?
“หมัดระดับเสินทง?”
เวลาเดียวกันไป๋หมิงที่อยู่บนท้องฟ้าก็จ้องมองมู่เฉินด้วยหัวใจสั่นเทิ้ม ความไม่เชื่อปรากฏบนใบหน้าดุร้ายเป็นครั้งแรก
เผ่าหงส์ฟ้าก็มีวิทยายุทธระดับเสินทงเหมือนกัน แต่มีเพียงผู้อาวุโสบางส่วนเท่านั้นที่สามารถฝึกฝนได้ แม้เขาจะน้ำลายสอมานาน แต่ก็ไม่สามารถเข้าถึง
แต่ตอนนี้…วิทยายุทธระดับเสินทงกลับอยู่กับมนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเท่านั้น!
“แกทำให้ข้าตกใจจริงๆ ฮึ่ม วิชาหมัดระดับเสินทงรึ? ดี เมื่อไรที่ข้าจัดการแกได้ สมบัติทั้งหมดของแกจะเป็นของข้า!” แต่ตอนนี้เป็นไปไม่ได้ที่ไป๋หมิงจะถูกมู่เฉินกำราบ นอกจากนี้แม้ว่าวิทยายุทธระดับเสินทงจะทรงพลัง แต่ก็ยากมากที่จะฝึกฝน ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไมเขาถึงไม่สามารถรับการถ่ายทอดวิทยายุทธระดับเสินทงของเผ่าได้
ดังนั้นเขาก็ไม่เชื่อว่ามู่เฉินจะสามารถฝึกฝนได้ด้วยขุมพลังจื้อจุนเจ็ด!
“ตาย!” ไป๋หมิงคำรามขณะที่กางกรงเล็บออก พายุทอร์นาโดสีแดงเลือดที่โอบล้อมมู่เฉินส่งเสียงครามกระหึ่ม แรงผลักดันราวกับต้องการทำลายล้างโลก
ตู้ม! ตู้ม!
พายุทอร์นาโดเย็นเยือกกวาดลงมาพร้อมกับรัศมีที่น่าตกใจ ขยายตัวอย่างรวดเร็วในม่านตามู่เฉิน เขาเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะกำหมัดแน่น พายุที่ปกคลุมเขาไว้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นโดยมีจิตสังหารโหดร้ายพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า
ดวงตาของมู่เฉินค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง จากนั้นหมัดที่กำแน่นก็ชกออกไป
หมัดนี้เรียบง่ายมากราวกับว่าชกออกไปโดยไม่ตั้งใจ แต่เมื่อมู่เฉินชกหมัดออกไป ฟ้าดินก็สั่นคลอน ทุกคนสามารถเห็นรัศมีโลหิตรอบๆ มู่เฉินรวมตัวกันอย่างบ้าคลั่งบนกำปั้น ก่อนที่จะพุ่งออกไป
วิทยายุทธระดับเสินทง หมัดปีศาจพลีชีพ!
ฮึ่ม!
ริ้วแสงโลหิตพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า หมัดสีแดงเข้มขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้น ประหนึ่งว่าหมัดสร้างขึ้นจากความกล้าหาญและความแข็งแกร่งของมู่เฉินโดยมีเจตจำนงว่า…ไม่รอดก็ตาย!
หากใครคิดขัดขวางก็ต้องตายไปพร้อมมู่เฉิน!
รัศมีโหดร้ายพุ่งออกมาจากหมัด ทำให้จอมยุทธ์จำนวนมากรู้สึกว่าหนังหัวชาวาบไปหมด ประจันหน้ากับหมัดที่เดิมพันด้วยชีวิตคนคนหนึ่ง ไม่มีใครกล้าเผชิญหน้ากับสิ่งนี้ได้
หากมีคนที่ไม่แน่วแน่ในปณิธาน พลังการต่อสู้ก็จะหายไปเมื่อเผชิญหน้ากับหมัดนี้
หมัดสีแดงเข้มพุ่งขึ้นไปห่อหุ่มร่างไป๋หมิง รัศมีการเดิมพันนี้ทะลุทะลวงหัวใจของไป๋หมิง ทำให้เขารู้สึกว่าหัวใจเย็นเยือกลง วินาทีนั้นเขามีความคิดที่จะหลบหนีทันที
ทว่าตัวเขาเป็นจอมยุทธ์รุ่นใหม่ชั้นนำของเผ่าหงส์ฟ้าและมีประสบการณ์ในสงครามนองเลือดมามากมาย ดังนั้นในช่วงเวลาวิกฤตนี้เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ระงับการเต้นของหัวใจ
เขารู้ว่าเมื่อการต่อสู้มาถึงขั้นนี้ ใครก็ตามที่ถอยออกไปก่อนจะเป็นผู้แพ้
“คิดจะข่มขวัญข้าด้วยการวางก้ามนี่เรอะ? ตลกล่ะ!” แสงเย็นวาบขึ้นในดวงตาของไป๋หมิงขณะสาดรอยยิ้มน่าขนลุก มือฟาดลงไปอย่างไร้ปรานี พายุทอร์นาโดสีแดงเลือดที่อัดแน่นไปด้วยพละกำลังพุ่งเข้าปะทะหมัดที่ส่งเสียงครางกระหึ่ม
ครืน!
ทันทีที่ปะทะ ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นกระแทกน่าสะพรึงกลัวที่สำแดงฤทธิ์บนท้องฟ้ายามนี้ พลังนั้นแม้จะมีแท่นบูชาคอยสกัดกั้นไว้ แต่ก็ทำให้กระแสเลือดและรัศมีที่อยู่ในร่างกายกวนตัว พวกเขาแทบจะกระอักโลหิตออกมาจากปาก
ทว่าหลายคนก็ไม่สนใจสภาพของตน สายตาของพวกเขาจ้องเขม็งไปที่จุดระเบิดสีแดงเข้มข้นบนท้องฟ้า กระทั่งมิติก็บิดเบี้ยวจากคลื่นกระแทกที่น่ากลัว
แสงโลหิตไร้ขอบเขตกวาดออกไปบนเส้นขอบฟ้า ทำให้พวกเขาไม่สามารถมองผ่านไปได้
สายตาของไป๋หมิงจับจ้องไปที่การระเบิด ครู่เดียวสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปรุนแรง เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเองกำลังสลายไปด้วยความเร็วที่น่าตกใจ
บนลานประลองมู่เฉินที่ยืนนิ่งไม่แสดงสีหน้าใดก็ปรากฏแววกระหายเลือดที่มุมปาก แสงสีแดงวูบวาบในดวงตาขณะที่เขากำมือจากระยะไกลตะโกนว่า “แตก!”
ปัง!
ลูกไฟสีแดงเข้มระเบิดขึ้นบนท้องฟ้า พายุทอร์นาโดสีแดงเลือดขนาดใหญ่ก็ระเบิดออก กระแสคลื่นเย็นเยือกกวาดออกมา ขณะที่หมัดสีแดงเข้มฉีกขาดพายุทอร์นาโดออกเป็นชิ้นๆ ในลักษณะที่ทำลายไม่ได้ ก่อนที่จะพุ่งไปทางไป๋หมิงที่อยู่บนท้องฟ้า
ทุกคนสูดอากาศเย็นเข้าปอด การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของไป๋หมิงถูกทำลายโดยมู่เฉิน!
“เป็นไปได้ยังไง?!” ใบหน้าของไป๋หมิงซีดลงขณะที่คำรามด้วยความเคียดแค้น เพื่อเอาชนะมู่เฉิน เขาไม่ลังเลที่จะทำลายอาวุธเสมือนมหสวรรค์ของตนเอง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถหยุดมู่เฉินได้เรอะ?
มนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดคนนี้ยากที่ต่อกรอะไรขนาดนี้!
แต่ไป๋หมิงก็ไม่ได้แผดเสียงคำรามต่อ เนื่องจากเขาหวาดผวาไปเมื่อเห็นหมัดสีแดงเข้มพุ่งเข้าหา ทันใดนั้นเขาก็ตกใจกลัวจนขาดสติ ปีกที่อยู่ข้างหลังสะบัด ถอยหนีออกมาอย่างน่าสมเพช
แต่ถึงกระนั้นหมัดสีแดงเข้มก็ไล่ตามเขาเหมือนหนอนไชกระดูก ไม่สามารถสะบัดหลุดไปได้
เมื่อไป๋หมิงเห็นฉากนี้ก็เปล่งเสียงคำราม แสงหลิงที่ไร้ขอบเขตระเบิดออกมาก่อตัวเป็นหงส์ฟ้าน้ำแข็งขนาดหลายพันจั้ง
“ศูนย์สัมบูรณ์!”
เขาคำราม แสงหลิงไร้ขอบเขตก็พวยพุ่งก่อร่างเป็นชั้นน้ำแข็งหนาปกคลุมเขาทันท่วงที
เขาสามารถสัมผัสได้ว่าหมัดของมู่เฉินทรงพลังแค่ไหน เขาจึงยอมแพ้ในการตอบโต้และใช้พลังทั้งหมดในการป้องกัน
ตู้ม!
หมัดสีแดงเข้มที่โหดเหี้ยมกระแทกลงบนหงส์ฟ้าตัวมหึมาที่ปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็งภายใต้สายตาตกตะลึงจำนวนมาก
ท้องฟ้าสั่นไหวในขณะนี้ อึดใจเสียงแตกก็ดังทอดยาว ในปราการน้ำแข็ง หงส์ฟ้าตัวมหึมาฉายความกลัวในสายตาขณะมองรอยแตกกระจายไปอย่างรวดเร็ว ไป๋หมิงไม่คิดเลยว่าการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาจะถูกทำลายอย่างง่ายดายขนาดนี้
หมัดของมู่เฉินน่ากลัวปานใดกันแน่?!
ปัง!
รอยแตกกระจายออกไปแล้วระเบิดเป็นเกล็ดหิมะก่อนที่หงส์ฟ้าจะส่งเสียงโศกเศร้าก้องกังวาน ไป๋หมิงถลาออกมา เลือดสดไหลออกมาจากร่างอย่างต่อเนื่อง ในช่วงเวลาสั้นๆ ร่างกายของเขาก็ถูกย้อมเป็นสีแดง มองจากที่ไกลดูราวกับไก่เพลิงตัวใหญ่เลยทีเดียว
บนแท่นบูชาทุกคนตะลึงเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ หงส์ฟ้าตัวมหึมาย้อมด้วยเลือดดิ่งพสุธาลงมาจากท้องฟ้า ราวกับผีพุ่งไต้กระแทกกับพื้นดินที่มืดดำด้านนอกแท่นบูชา เลือดสดพุ่งออกมาเป็นทะเลสาบเลือด
ทั้งแท่นบูชาเงียบกริบไม่มีคำพูดสักคำ
รอยยิ้มบนใบหน้าไป๋ปิงและคนที่เหลือชะงักไปนานแล้ว ในตอนนี้ความไม่เชื่ออัดแน่นในดวงตา ท่าทางของพวกเขาดูตลกอย่างยิ่ง
คนอื่นก็มีสีหน้าตกตะลึง พักใหญ่กว่าจะฟื้นจากอาการ ทันใดนั้นพวกเขาก็สูดอากาศเย็นเยือกเข้าไปสุดปอด มองดูร่างเงาสูงโปร่งที่ยังยืนไว้สง่าบนลานประลองด้วยความอึ้งทึ่ง ระลอกคลื่นดันตัวขึ้นในหัวใจพวกเขา
ใครจะไปคิดได้ว่าจอมยุทธ์ชั้นนำของเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดแท้จริงอย่างไป๋หมิงจะพ่ายแพ้ในน้ำมือของมนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด แม้ว่าจะงัดทักษะต่างๆ นานามาใช้แล้วก็ตาม
มนุษย์คนนี้เป็นสัตว์ประหลาดแท้จริง!
บทที่ 1062 ใกล้แค่เอื้อม
แท่นบูชาขนาดใหญ่เงียบงัน
ทุกคนตกตะลึงเมื่อมองไปที่ร่างชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนลานประลอง แม้ว่าคลื่นหลิงที่อยู่รอบตัวเขาจะลดน้อยลง แต่เขาก็ยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง ม่านตาสีดำสนิทประหนึ่งเหวลึกที่ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สามารถหยั่งรู้ได้
ในขณะนี้ทุกคนที่นี่ต่างรู้สึกนับถือมนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดคนนี้
ความนับถือนี้มาจากความแข็งแกร่งที่ทรงพลังของเขา
นั่นเพราะตั้งแต่เริ่มต้นไม่มีใครมองในแง่ดีเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินกับไป๋หมิง ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นว่ามู่เฉินท้าทายไป๋หมิง พวกเขาจึงมองดูเขาด้วยสายตาเวทนา
แต่ตอนนี้ความเป็นจริงบอกพวกเขาว่ามู่เฉินไม่ได้หยิ่งยโสและโง่เขลา เขามีคุณสมบัติที่จะทำเช่นนั้น แค่ในตอนเริ่มต้นพวกเขาตาบอดไม่สามารถมองเห็นได้เอง
“ชายคนนี้ยากหยั่งถึงอย่างแท้จริง”
ความเงียบดำเนินไปเป็นเวลานานก่อนที่ใครบางคนจะถอนหายใจด้วยเสียงต่ำอย่างอดไม่ได้ ด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด เขาสามารถเอาชนะไป๋หมิงที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดและครอบครองอาวุธเสมือนมหสวรรค์ แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดคือมู่เฉินครอบครองวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย
ไพ่ตายต่างๆ ของเขาทำให้พวกเขาเข้าใจว่าทำไมมู่เฉินถึงไม่กลัวเมื่อเผชิญหน้ากับไป๋หมิง
เทียบกับทุกคนที่อุทานด้วยความตกใจ จอมยุทธ์เผ่าหงส์ฟ้าก็อ้าปากตาค้างไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งไป๋ปิง เขามองหงส์ฟ้าตัวใหญ่ที่น่าสมเพชที่ถูกปกคลุมไปด้วยเลือดอย่างตะลึงงัน ท่าทางราวกับไม่อยากจะเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง
อัจฉริยะของเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งพ่ายแพ้อย่างนี้เหรอ?
ยิ่งกว่านั้นแม้จะงัดกลยุทธ์ทุกประเภทก็พ่ายแพ้ในมือมนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเนี่ยนะ?
ที่ด้านข้างฉื่อหงหวู่ก็อ้าปากค้างด้วยความไม่เชื่อเต็มใบหน้า พักใหญ่นางก็ขยี้ตา สุดท้ายถอนหายใจพูดพึมพำว่า “ไป๋หมิงแพ้”
นางรู้ว่าไป๋หมิงถึงที่แล้ว มีหลายกลุ่มที่ร่วมเป็นสักขีพยานในการต่อสู้ หากเรื่องนี้ส่งกลับไปที่เผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็ง ชื่อเสียงของไป๋หมิงจะต้องถูกกระทบครั้งใหญ่ ผู้อาวุโสทุกคนในเผ่าหงส์ฟ้าต่างมีความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง หากพวกเขารู้ว่าไป๋หมิงพ่ายแพ้ในมือของมนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด พวกเขาจะต้องผิดหวังอย่างมาก แม้แต่ทรัพยากรในการเพาะบ่มพลังที่มอบให้ก็จะถูกลดทอน
เส้นทางในอนาคตของไป๋หมิงน่าเป็นห่วงแท้จริง
ขณะที่ทุกคนต่างตกตะลึงกับฉากเบื้องหน้า จิ่วโยวเป็นคนแรกที่ฟื้นสติจ้องมองไปที่มู่เฉินที่คลื่นหลิงลดลง ก่อนจะส่งสัญญาณทางสายตาให้กับมั่วเฟิงและพรรคพวก ทั้งหมดทะยานออกเข้าไปในลานประลองเพื่อปกป้องมู่เฉินเอาไว้
ยามนี้ชัดว่ามู่เฉินเสียพลังไปมาก ดังนั้นหากมีคนเคลื่อนไหวจัดการก็อาจทำให้เกิดปัญหา พวกเขาจึงต้องป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องขึ้น
ทว่าความกังวลของจิ่วโยวและพรรคพวกค่อนข้างเกินเลยไปหน่อย ขณะนี้ทุกคนมองมู่เฉินด้วยความเคารพนับถือและความเคร่งขรึมในสายตา แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่ามู่เฉินเสียพลังไปมาก อาจเหลือไม่ถึงสามส่วน แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะคิดอะไรหลังจากได้เห็นชุดหมัดบ้าคลั่งนั่น พวกเขากลัวว่าจะทำให้มู่เฉินโกรธ เมื่อไรที่เขาปล่อยหมัดอีกครั้งก็จะผลักพวกเขาไปสู่ความตาย ซึ่งพวกเขาคงได้แต่เสียใจอย่างมาก
มู่เฉินมองพรรคพวกก่อนที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกแล้วนั่งลงปรับคลื่นพลังงานในร่างกายให้มีเสถียรภาพ อันที่จริงเขาก็ค่อนข้างตกใจที่ว่าตนเองสามารถใช้หมัดปีศาจพลีชีพของแท้ได้
แม้ว่าช่วงนี้เขาจะพยายามทำความเข้าใจถึงเจตนาการฆ่าที่โหดร้ายของหมัดปีศาจ แต่เขาก็ไม่สามารถใช้พลังนี้ได้อย่างสมบูรณ์ แต่เมื่อครู่เขารู้สึกถึงการคุกคามรุนแรงจากการโจมตีที่ทรงพลังของไป๋หมิง ภายใต้การคุกคามนั้นได้ปลุกเร้าปัจจัยที่ไม่ยอมแพ้ ดังนั้นเขาจึงล้มเลิกความคิดที่จะหลีกเลี่ยง เลือกที่จะเผชิญหน้าโดยตรง ทว่าการค้นหาความตายในลักษณะนี้ กลับทำให้เชื่อมโยงกับรัศมีหมัดปีศาจ ซึ่งทำให้เขาประสบความสำเร็จได้ในท้ายสุด
“ไม่แสวงหาชีวิตแต่แสวงหาความตาย เพื่อชีวิตหลังจากนั้นเรอะ” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง เขาเกิดความสุขในใจบางเบา นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหลังจากเหตุการณ์วันนี้ เขาก็ได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับหมัดปีศาจพลีชีพ ในอนาคตเพียงแค่ทำให้คุ้นชิน ต่อไปเมื่อเขาต้องการที่จะใช้เพลงหมัดนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องถูกบังคับให้สิ้นหวังเช่นนี้อีกแล้ว
วิทยายุทธระดับเสินทงเกินขอบเขตจากระดับเสินซู่แท้จริง เพียงแค่รัศมีเพียงอย่างเดียวก็สามารถข่มศัตรูได้
ขณะที่มู่เฉินกำลังรักษาระดับพลังงานให้มั่นคง ไป๋ปิงและคนอื่นๆ ก็หายจากอาการตกตะลึง พวกเขามองไปที่มู่เฉินด้วยความหวาดกลัว ก่อนที่จะกระโจนลงจากแท่นบูชาเข้าสู่ทะเลสาบเลือด ยามนี้ไป๋หมิงกลับสู่ร่างมนุษย์ นอนพังพาบด้วยดวงตาปิดสนิทภายในแอ่งเลือดดูน่าสมเพชอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
พวกไป๋ปิงรีบประคองไป๋หมิงขึ้น ก่อนจะพากลับไปที่แท่นบูชา แต่ในเวลานี้พวกเขาไม่มีความกล้าพอที่จะเฉียดไปใกล้มู่เฉิน แม้พวกเขาจะมาจากเผ่าหงส์ฟ้าและมีความภาคภูมิใจอย่างมาก แต่ความภาคภูมิใจทุกอย่างก็สู้หมัดแข็งแกร่งนั้นไม่ได้หรอก ถ้าพวกเขาไม่อยากทำให้ตัวเองขายหน้า เป็นการดีที่สุดที่จะไม่ไปยั่วแหย่มู่เฉินอีก
สำหรับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ พวกเขาคงไม่มีโชควาสนาแล้ว
แม้ว่าพวกเขาจะมีคนจำนวนมากกว่า หากพวกเขากลุ้มรุมเข้าไปพร้อมกัน บางทีนั่นอาจเป็นภัยคุกคามต่อกลุ่มมู่เฉิน แต่เมื่อไป๋ปิงเหลือบมองพรรคพวกที่มีใบหน้าซีดเผือด เขาก็รู้ว่าทุกคนหวาดกลัวในใจ ต่อให้ออกไปสู้ก็ไร้ประโยชน์
ครั้งนี้พวกเขาถูกปราบปรามโดยมู่เฉินอย่างสมบูรณ์
หลังจากพาไป๋หมิงซึ่งได้รับบาดเจ็บหนักไปแล้ว ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าทะเลสาบเลือดหงส์ฟ้าซึ่งถูกทิ้งไว้โดยไป๋หมิงที่อยู่ด้านนอกแท่นบูชาค่อยๆ ซึมลงบนพื้นสีดำอย่างเงียบๆ หลังจากดูดซับเลือดสดความมืดบนพื้นดินก็มืดมิดผิดแผกไปมากขึ้น
มู่เฉินปรับเสถียรภาพร่างกายซึ่งใช้เวลาไปสิบกว่านาที ก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้น ความผันผวนของพลังงานที่ลดน้อยลงรอบตัวได้รับการฟื้นฟูไม่น้อย ความแวววาวควบแน่นในรูม่านตาสีดำสนิทอีกครั้ง
จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อยืนขึ้น เมื่อร่างตั้งมั่นก็มีสายตามากมายมองมาด้วยความเคารพ
มู่เฉินมองไปรอบๆ เข้าใจว่าจะไม่มีใครกล้ายั่วยุเขาหลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ หากไม่มีอะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เขาก็เป็นผู้ได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะไป
ทันใดนั้นสายตาของเขาก็พุ่งเข้าหาเผ่าหงส์ฟ้า เมื่อทั้งกลุ่มเห็นว่ามู่เฉินเพ่งสายตามา พวกเขาก็ตื่นระวังขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่มีความกลัวพลุ่งพล่านในสายตามาก
ถึงอย่างไรพวกเขาก็มาจากเผ่าหงส์ฟ้า แม้ว่าจะเป็นสายย่อย พวกเขาก็ยังคงภาคภูมิใจ พวกเขารู้ว่าตอนนี้มู่เฉินมีพลังเพียงใด แต่ก็ไม่กังวลว่าอีกฝ่ายจะฆ่าล้างบางพวกเขาทั้งกลุ่ม
เผ่าหงส์ฟ้าไม่มีความขุ่นข้องใจต่อมู่เฉินในการเอาชนะไป๋หมิง แต่ถ้ามู่เฉินสังหารพวกเขาทั้งหมดที่นี่ ก็เป็นเขาเองที่จะสร้างความหมองใจให้กับเผ่าหงส์ฟ้า ผลที่ตามมาไม่ใช่สิ่งที่เขาหรือเผ่าวิหคโลกันตร์รับได้
มู่เฉินก็รู้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บีบคั้นอีกต่อไป เพียงแค่จ้องมองอย่างเฉยเมยไปที่กลุ่มไป๋ปิงพร้อมกับเตือนด้วยสายตา
เผ่าหงส์ฟ้าได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและกลืนความไม่พอใจลงไปในท้อง ไม่กล้าที่จะโต้เถียงกับมู่เฉิน
เมื่อมู่เฉินเห็นการตอบสนองของพวกเขาก็ไม่อยากจะเสียเวลาไปอีก สายตาเขาเบนไปยังอีกสองลานประลอง การต่อสู้ดุเดือดสิ้นสุดลงแล้วเช่นกัน
อีกสองลานประลอง ทั้งสี่คนล้วนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปด ดังนั้นความรุนแรงของการต่อสู้ก็ทำให้คนอื่นๆ ต้องเพ่งสายตาไปมองด้วยเช่นกัน
แต่การต่อสู้ของพวกเขาไม่เลือดเดือดเหมือนการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินและไป๋หมิง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาควบคุมตนเองไม่ต้องการเสี่ยงชีวิตเหมือนที่มู่เฉินทำ
ดังนั้นผู้ชนะทั้งสองก็คือจงชิงเฟิงเผ่าคุนเผิงและลู่โหวเผ่าวานรทะลุฟ้า พวกเขาเอาชนะได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด
แต่ในสายตาของมู่เฉิน ข่งหลิงเผ่านกยูงเก้าสีไม่ได้อ่อนแอกว่าจงชิงเฟิง เหตุผลที่จงชิงเฟิงคว้าชัยได้ต้องมีข้อตกลงระหว่างพวกเขาแน่นอน มิฉะนั้นจงชิงเฟิงไม่ใช่คนหัวเราะคนสุดท้ายแน่
แต่เขาก็ไม่สนใจ เขาไม่ได้โลภและเป้าหมายของเขามีเพียงแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ ดังนั้นสำหรับแก่นมรดกอีกสองชิ้น เขาไม่สนใจว่าใครเป็นคนได้ไป
เมื่อการต่อสู้ได้ข้อสรุป สายตาของพวกเขาก็จ้องมองมาที่มู่เฉิน แต่ละคนมีแววแปลกประหลาดอยู่ในดวงตา พวกเขาเห็นฉากที่มู่เฉินเอาชนะไป๋หมิงเช่นกัน ดังนั้นจึงตกตะลึงอยู่ในใจ
พลังของพวกเขาไม่ด้อยไปกว่าไป๋หมิง หากพวกเขาเป็นมู่เฉินก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะไป๋หมิง เว้นแต่พวกเขาจะประลองด้วยเดิมพันชีวิต
แต่มู่เฉินสามารถเอาชนะไป๋หมิงได้ ซ้ำยังทำให้บาดเจ็บหนัก นั่นหมายความว่าถ้ามู่เฉินเผชิญหน้ากับพวกเขาก็มีสิทธิ์ลงเอยด้วยผลลัพธ์เดียวกันกับไป๋หมิง
แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ใบหน้าของข่งหลิง จงชิงเฟิงและคนอื่นๆ ก็เคร่งเครียดลงหลายส่วนขณะที่มองมู่เฉินโดยไม่มีแววดูถูกเหยียดหยามเหมือนที่เคยมีมา เพราะถูกแทนที่ด้วยความหวาดระแวงของคนในระดับเดียวกัน
“มู่เฉินไม่ธรรมดา ตอนนั้นที่จงเถิงส่งข้อความมา เขาบอกแค่ว่ามู่เฉินสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุด แต่ตอนนี้ขั้นแปดยังพ่ายแพ้ต่อเขา การพัฒนาของเขาน่าทึ่งมาก” จงชิงเฟิงมองไปที่มู่เฉิน เขาพับเก็บเรื่องของจงเถิงลงอย่างสมบูรณ์
ดีที่สุดที่เขาจะหลีกเลี่ยงการสร้างศัตรูเช่นนี้
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับความคิดของพวกเขา เมื่อเขาเห็นว่าตัดสินใจผู้ชนะเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันหลังกลับมาจ้องมองวิหคอมตะโบราณที่ปลายบันไดหิน
ยามนี้รูปปั้นหินวิหคอมตะโบราณกำลังเปล่งประกายราวกับเรียกผู้ชนะ
มู่เฉินสูดหายใจลึกพยักหน้าเบาๆ ไปให้จิ่วโยว จากนั้นร่างก็เคลื่อนออกไปประหนึ่งสายฟ้าพุ่งไปในทิศทางของรูปปั้นหิน
แก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณอยู่แค่เอื้อมแล้ว
บทที่ 1063 แก่นมรดกโลหิต
วาบ!
เมื่อมู่เฉินทะยานขึ้นไปที่รูปปั้นหินวิหคอมตะ จงชิงเฟิงและลู่โหวก็พุ่งไปที่รูปปั้นอีกสองรูป
พวกเขาผ่านการต่อสู้ที่ยากลำบากมากมายเพื่อมาที่นี่ ตอนนี้ถึงเวลาที่พวกเขาจะได้เพลิดเพลินกับผลงานของตนเอง
บนแท่นบูชาทุกคนจ้องมองไปที่ร่างเงาทั้งสามที่เคลื่อนไปยังรูปปั้นหิน ดวงตาของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ นั่นคือแก่นมรดกโลหิตของมหาเทพอสูร หากพวกเขาสามารถได้รับมาก็จะเกิดการพัฒนาสายเลือด ทำให้เส้นทางการเพาะบ่มขุมพลังราบรื่นขึ้น
มากจนพวกเขาอาจช่วยให้ก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนในอนาคตได้
แต่น่าเสียดายที่แก่นโลหิตทั้งสามมีเจ้าของแล้ว เผชิญหน้ากับคู่แข่งทรงพลังเหล่านี้ กระทั่งพวกเขายังทำได้เพียงแต่มองผู้อื่นเก็บเกี่ยวไป
ภายใต้สายตาร้อนระอุ มู่เฉินปรากฏขึ้นที่บันไดหินขั้นบนสุด เขาพลิ้วตัวที่เบื้องหน้ารูปปั้น จ้องมองรูปปั้นที่มีขนาดประมาณพันจั้ง ซึ่งมีร่องรอยที่ทิ้งไว้โดยกาลเวลาทำให้ดูเก่าแก่มาก ปีกคู่มหึมาที่กางออกปกคลุมท้องฟ้าซึ่งราวกับลุกโชนด้วยเพลิงอมตะ ถึงแม้ว่าจะละร่างไปหลายหมื่นปี แต่ก็เหมือนยังคงมีพลังชีวิตเหลืออยู่
มู่เฉินฉายสีหน้าเคร่งเครียด แม้จะเป็นเพียงรูปปั้นหินเบื้องหน้า แต่เขาก็ยังรู้สึกถึงแรงกดดันที่อธิบายไม่ได้ แรงกดดันที่ส่งออกมาทะลวงลงสู่หัวใจอย่างรวดเร็ว ทำให้เขารู้สึกราวกับว่ามีก้อนหินถ่วงอยู่ในใจ หากเป็นคนที่มีจิตใจไม่มั่นคง คนคนนั้นคงล้มพับกับพื้นไปนานแล้ว
นี่เป็นแรงกดดันของมหาเทพ
พลังอำนาจระดับเทียนจื้อจุน
“หืม?”
ขณะที่มู่เฉินสัมผัสได้ถึงพลังแผ่วเบาจากรูปปั้น ดวงตาก็หดเกร็งลง เขาเห็นเพลิงบางจางที่ตอนแรกเหมือนไม่มีอยู่จริงบนรูปปั้นของวิหคอมตะโบราณเริ่มลุกโชน
เพลิงนี้แปลกมากดูคล้ายกับอัญมณี เหมือนไม่มีอยู่จริง แต่ขณะที่เผาไหม้ก็มีพลังไร้ขอบเขตแผ่ขยายออกมาราวกับเป็นนิจนิรันดร์
“ระดับสูงสุดของเพลิงอมตะ!”
มู่เฉินจำแนกเปลวไฟที่ใสราวกับอัญมณีได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากได้สร้างพันธะโลหิต ตัวเขาจึงได้รับเพลิงอมตะจากจิ่วโยวหลังจากที่นางก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนเพื่อชำระคลื่นหลิงของเขา
ดังนั้นคลื่นหลิงของเขาจึงมีพลังเพลิงอมตะบรรจุอยู่ ความคุ้นเคยก็มาจากสิ่งนั้น
แต่เพลิงอมตะที่เบื้องหน้าเขาเป็นระดับสูงสุด ซึ่งมีความแข็งแกร่งกว่าเพลิงอมตะสีม่วงของจิ่วโยวหลายขุม
เมื่อผลึกเพลิงปรากฏขึ้น จู่ๆ มู่เฉินก็รู้สึกว่ารูปปั้นสั่นไหว เขาอึ้งไปก่อนที่จะเห็นว่าดวงตาของรูปปั้นหินวิหคอมตะเปิดขึ้นกะทันหันในเวลานี้
ดวงตาของมันอัดแน่นไปด้วยแสงระยิบระยับไม่มีม่านตาให้เห็น แต่เมื่อเปิดตาขึ้น เพลิงอมตะไร้ขอบเขตก็กวาดออกราวกับเสาเพลิงครอบคลุมร่างมู่เฉินเอาไว้
อ้าก!
ช่วงเวลานั้นผลึกเพลิงอมตะก็พุ่งลงมาบนร่าง ใบหน้าของมู่เฉินบิดเบี้ยวทันที ความเจ็บปวดจากการแผดเผาที่ไม่สามารถอธิบายได้กระจายไปทั่วสรรพางค์กาย ทำเอาเขาเกือบหมดสติ
แต่ดีที่เขามีจิตใจตั้งมั่น ทำให้จิตใจไม่ได้ถูกความเจ็บปวดกลืนกิน เขาเร้ากายามังกรหงส์ขึ้นมา ทันใดนั้นเสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าก็ก้องดังออกมาจากร่างกาย สั่นสะเทือนเลือดเนื้อต่อต้านการแผดเผาของเพลิงอมตะ
ริ้วแสงสีทองพวยพุ่งบนผิวหนัง จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็เริ่มเคลื่อนไหวดูดซับเพลิงอมตะอย่างต่อเนื่อง พยายามที่จะช่วยมู่เฉินต่อต้านความเสียหายจากการเผาไหม้
แต่ถึงแม้จะมีการป้องกัน บนผิวหนังก็ยังถูกเผาอย่างรวดเร็วจนถึงจุดที่เนื้อของเขาเริ่มพุพอง ราวกับว่าเขากำลังถูกครอบงำโดยเพลิงอมตะเมื่อมองจากที่ไกล
ฉากที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้ผู้คนบนแท่นเปลี่ยนสีหน้าพร้อมกับแววตาหวาดผวา ชัดว่าพวกเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของเพลิงอมตะเช่นกัน
แต่สถานการณ์นี้ไม่ได้มีเพียงมู่เฉินเท่านั้น ฉากที่คล้ายกันปรากฏขึ้นพร้อมกันที่เบื้องหน้าปักษาวิญญาณโบราณและอสูรไร้พิรุณโบราณ
รูปปั้นปักษาวิญญาณโบราณเปล่งริ้วแสงแวววาวนับไม่ถ้วนพร้อมกับเสียงร้องคลุมเครือซึ่งห่อหุ้มร่างจงชิงเฟิงเอาไว้ทันที กดดันให้เขาต้องคุกเข่าลงกับพื้น เสียงแตกดังออกมาจากกระดูก
ส่วนรูปปั้นหินอสูรไร้พิรุณโบราณยิ่งเผด็จการมากกว่า มันเหยียดเท้าออกมากระทืบลงไปที่ร่างลู่โหว…
เมื่อทุกคนเห็นฉากนี้ก็เข้าใจทันทีว่านี่คือการทดสอบขั้นสุดท้ายที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังโดยราชันทั้งสาม หากพวกเขาสามารถผ่านการทดสอบก็จะได้รับแก่นมรดกโลหิตไป
ทว่าจากการทดสอบทั้งสาม จงชิงเฟิงและลู่โหวดูเหมือนจะง่ายกว่ามู่เฉิน แต่เมื่อคิดดูแล้วก็เข้าใจได้ เพราะเผ่าพวกเขามีความสัมพันธ์กับมหาเทพอสูรทั้งสอง ดังนั้นการทดสอบสำหรับพวกเขาจึงไม่ยากเกินไป แต่สำหรับมู่เฉินแล้วโชคร้ายมาก
ผลึกเพลิงเผด็จการอย่างยิ่งยวด แผดเผามู่เฉินอย่างไร้ความปราณีจนถึงจุดที่ผิวหนังปริแยกออกจากกัน ฉากนี้ไม่เหมือนการทดสอบ ในทางกลับกันดูเหมือนว่ากำลังเผาไหม้คนที่มาจากเผ่าพันธุ์อื่น
“หึ เขากำลังรนหาที่ตาย มนุษย์ยังกล้าที่จะสัมผัสเผ่าพันธุ์เทพอสูรเรอะ?” เมื่อไป๋ปิงเห็นภาพนี้ เขาก็รู้สึกโล่งใจ แววเยาะเย้ยวูบไหวในดวงตา ก่อนหน้าเขาถูกปราบโดยมู่เฉินให้ตกอยู่ในสภาวะน่าสมเพช ตอนนี้ในที่สุดเขาก็สามารถระบายความโกรธได้บ้าง
เมื่อจิ่วโยวเห็นมู่เฉินเจ็บปวดแสนสาหัสจากเพลิงอมตะ ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไป เนื่องจากนางรู้ว่าการทดสอบต้องการให้เขาพิสูจน์ตัวเอง วิหคอมตะโบราณคงไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องในสายเลือดได้รับมรดกไป
“พี่ใหญ่จิ่วโยวทำยังไงดี?” มั่วหลิงถามอย่างร้อนรน เพลิงอมตะที่ห่อหุ้มมู่เฉินเริ่มแกร่งกร้าวขึ้นราวกับว่าต้องการแผดเผามู่เฉินให้กลายเป็นเถ้าถ่านก่อนที่จะหยุด
สีหน้าของจิ่วโยวเปลี่ยนไป อึดใจนางก็ขบฟัน กรีดข้อมือด้วยปลายนิ้ว ทันใดนั้นเลือดสดก็พรูออกมาเหมือนกับเสาโลหิตจากบาดแผล
นิ้วของนางเบนออก ทำให้เลือดสดแผ่กระจายประพรมลงบนร่างที่กำลังไหม้ของมู่เฉิน
สายเลือดของนางมาจากวิหคอมตะ ดังนั้นเลือดของนางน่าจะสามารถช่วยมู่เฉินได้
ตามที่นางคาดไว้เมื่อเลือดของนางตกลงไป แม้ว่ามู่เฉินจะชุ่มโชกไปด้วยเลือด แต่ผลึกเพลิงบนร่างของเขาก็เริ่มอ่อนลง
อาการปวดแสบปวดร้อนรุนแรงค่อยๆ จางหาย ใบหน้าที่บิดเบี้ยวของมู่เฉินก็ฟื้นคืนดังเดิมอย่างช้าๆ ดวงตาเขาส่องประกายเมื่อเห็นเพลิงอมตะแผ่วเบาลง
ผลึกเพลิงอมตะเหล่านี้มีระดับสูงสุดทั้งครอบงำและบริสุทธิ์ด้วยพลังไร้ขอบเขต หากเขาสามารถชำระและดูดซับไว้ได้แล้วรวมเข้ากับคลื่นหลิงของเขา ก็จะทำให้พลังงานของเขาเติบโตทบทวีคูณอย่างเอนกอนันต์ แม้แต่คุณภาพก็จะถูกยกขึ้นสู่ระดับใหม่
ในเมื่อมันก่อความเจ็บปวดใหญ่หลวงให้เขา ก็ต้องตอบแทนบางอย่างแก่เขา ถ้าเขาปล่อยให้มันเหือดหายไปเช่นนี้ ก็สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์
เมื่อความคิดนี้วาบขึ้น มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป แรงดูดพุ่งออกมาจากร่างดูดซับผลึกเพลิงอมตะที่ใสราวกับอัญมณีเข้ามาในร่าง รวมเข้ากับจุดจื้อจุนไห่ของเขา
ผลึกเพลิงอมตะเคลื่อนลงสู่จุดจื้อจุนไห่ คลื่นหลิงในร่างก็ถูกต้มจนเดือดพล่านจากเปลวเพลิง ทว่ามู่เฉินก็ไม่กลัว เพียงแค่คิดเขาก็หมุนเวียนคลื่นหลิงก่อให้เกิดสายธารกวาดผลึกเพลิงลงไปในจุดจื้อจุนไห่ของเขา ค่อยๆ กลั่นผ่านการเผาไหม้
เมื่อถึงเวลาที่เพลิงหมดลง เขาเชื่อว่าคุณภาพของคลื่นหลิงที่อยู่ในจุดจื้อจุนไห่ก็จะเพิ่มพูนอย่างมีนัยเช่นกัน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นการเพิ่มพลังการต่อสู้ของเขาแค่ไหน
เบื้องหน้ารูปปั้นหิน ผลึกเพลิงที่ลุกโชติช่วงบนร่างของมู่เฉินค่อยๆ หดกลับก่อนจะหายไป เมื่อเปลวไฟหายไป พื้นผิวร่างกายของมู่เฉินก็เปล่งประกายด้วยแสงสีทอง ผิวหนังและเนื้อที่ไหม้เกรียมก็ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วภายใต้กายามังกรหงส์ ยิ่งกว่านั้นความแวววาวก็ยิ่งใหญ่ขึ้นและมีพลังระเบิดบรรจุอยู่ใต้ผิวหนังของเขาด้วย
มู่เฉินค่อยๆ คลายกำปั้นเหลือบมองไปที่จิ่วโยวที่มีใบหน้าขาวซีด หากนางไม่ได้ใช้เลือดเพื่อช่วยเขาละก็ เขาอาจจะบินไปมาระหว่างชีวิตและความตายจากการเผาไหม้นี้
“นังสารเลว!”
ใบหน้าของไป๋ปิงเขียวคล้ำ เขาหวังว่าจะได้เห็นมู่เฉินถูกเผาไหม้จนตาย เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะสามารถเคลื่อนไหวแย่งชิงแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณได้ แต่ไม่คิดว่าจิ่วโยวจะยื่นมือเข้ามาช่วยกะทันหัน ช่วยให้มู่เฉินต่อต้านการแผดเผาของผลึกเพลิงอมตะ ซึ่งนี่ทำลายแผนการของเขาอย่างสมบูรณ์
แต่เนื่องจากสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่กล้ำกลืนความโกรธลงไป มากจนถึงขนาดเขาไม่กล้าแม้แต่จะมองมู่เฉิน กลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกได้
เมื่อผลึกเพลิงอมตะริ้วสุดท้ายหายไปจากผิวของมู่เฉิน แสงก็เบ่งบานจากรูปปั้นหินวิหคอมตะโบราณอีกครั้ง มู่เฉินที่ได้รับความทนทุกข์อย่างมากเมื่อครู่ไม่กล้ามีปฏิกิริยาตอบสนองชักช้า เขารีบถอยกลับออกมาก้าวหนึ่ง ใบหน้าฉาบแววเคร่งเครียด เพราะกลัวว่าตนเองจะถูกทรมานจากรูปปั้นหินใจโฉดอีก
แต่โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเพียงรัศมีทรงกลดเพิ่มขึ้นในดวงตาของรูปปั้นหินวิหคอมตะโบราณ ไม่มีความลึกกลวงเหมือนเมื่อก่อน
วิหคอมตะโบราณลดดวงตาลงจ้องมองมู่เฉิน ก่อนที่จะเปิดกระหม่อมขึ้น ความแวววาวไร้ขอบเขตพุ่งออกมา ริ้วแสงนี้มีสีแดงเข้มมากควบแน่นเป็นอัญมณีสีแดงเข้มขนาดเท่าฝ่ามือ ดูเหมือนมีวิหคอมตะบินฉวัดเฉวียนอยู่ในก้อนอัญมณี
เมื่อมู่เฉินเห็นอัญมณีสีแดงเข้ม แม้แต่เขาที่สงบอารมณ์ได้ดียังอดใจสั่นหวั่นไหวไม่ได้ เพราะเขารู้ว่าสิ่งนี้จะต้องแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณแน่นอน
ตราบใดที่ได้รับสิ่งนี้ก็จะช่วยจิ่วโยวให้มีสายเลือดสมบูรณ์แบบ หากมีโอกาสเพียงพอในอนาคตนางอาจจะสามารถพัฒนาเป็นวิหคอมตะโบราณที่เปรียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว!
มู่เฉินเอื้อมมือทั้งสองออกอย่างระมัดระวังรับอัญมณีสีแดงเข้มไว้ สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่รู้สึกโล่งใจอย่างมาก ในที่สุดเขาก็ได้รับแก่นมรดกโลหิตมาแล้ว!
บทที่ 1064 ปีศาจ
ช่างเป็นสัมผัสที่อบอุ่น
เมื่ออัญมณีสีแดงเข้มตกอยู่ในมือของมู่เฉินก็ราวกับมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ในนั้นพร้อมกับวิหคอมตะงดงามโปรยบินอยู่ในอัญมณีดูลึกลับอย่างยิ่ง
มู่เฉินจ้องมองแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณในมือ แม้แต่เขาที่มักสงบอารมณ์ได้ดี ยังอดไม่ได้ที่จะฉายความสุขบนใบหน้า พวกเขาไม่ได้พยายามหนักในดินแดนเสิ่นโซ่เพื่อแก่นมรดกโลหิตนี้รึ?
เมื่อได้สิ่งนี้ภารกิจของเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ ผู้อาวุโสของเผ่าวิหคโลกันตร์จะไม่แสดงท่าทางกระด้างเกี่ยวกับพันธะโลหิตของเขากับจิ่วโยวอีกต่อไป
“จิ่วโยวเอานี่”
มู่เฉินโยนแก่นมรดกโลหิตของวิหคอมตะโบราณเล่นในมือ จากนั้นนิ้วก็สะบัดออกแก่นโลหิตกลายเป็นลำแสงพุ่งไปหาจิ่วโยว
จิ่วโยวคว้ามือออกไปรับแก่นโลหิตด้วยใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างไม่สามารถควบคุมได้ แก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับนาง ตราบใดที่นางสามารถดูดซับได้ สายเลือดวิหคอมตะที่ไหลเวียนในร่างกายนางก็จะยกระดับสูงขึ้น หากมีโอกาสมากพอในอนาคตนางอาจจะสามารถพัฒนาเป็นวิหคอมตะที่แท้จริงได้
ในเวลานั้นนางก็จะเป็นจอมยุทธ์หญิงที่ทั้งมหาพันภพต้องให้ความสนใจ
เนื่องจากวิหคอมตะทุกตัวมีความแข็งแกร่งที่น่ากลัวซึ่งเทียบเท่ากับระดับเทียนจื้อจุน
เมื่อจอมยุทธ์เผ่าอื่นๆ บนแท่นบูชาเห็นมู่เฉินยกแก่นมรดกโลหิตที่เขาต่อสู้มาอย่างสาหัสากรรจ์ให้จิ่วโยว พวกเขาก็อึ้งไปเป็นเวลานาน ก่อนที่พวกเขาจะเบ้ริมฝีปาก สายตาที่มองไปยังมู่เฉินก็เปลี่ยนไปจากเดิม
ความกว้างใจกว้างนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถมีได้…
มู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับสายตาตกตะลึงเหล่านั้น เหตุผลที่เขามาดินแดนเสินโซ่ก็เพื่อช่วยจิ่วโยวให้ได้รับแก่นโลหิตวิหคอมตะโบราณ นอกจากนี้จิ่วโยวก็เป็นพี่สาวที่ดูแลเขาเป็นอย่างดีมานาน ดังนั้นแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณนี้ยังไม่เพียงพอกับความช่วยเหลือที่มีในสายตาของเขาเลย
หลังจากที่มู่เฉินส่งแก่นมรดกโลหิตให้จิ่วโยว จงชิงเฟิงและลู่โหวที่อยู่เบื้องหน้ารูปปั้นอีกสองแห่งก็ได้รับแก่นมรดกโลหิตเรียบร้อยเช่นกัน
จงชิงเฟิงและลู่โหวจ้องมองสมบัติเบื้องหน้าก็ฉายความสุขบนใบหน้า พวกเขาเก็บแก่นโลหิตไป การเก็บเกี่ยวของพวกเขาในการเดินทางมายังดินแดนเสินโซ่ถือว่าสมบูรณ์แบบแล้ว
ทว่าขณะที่พวกเขากำลังชื่นชมยินดี มู่เฉินก็รู้สึกว่าสีของรูปปั้นหินทั้งสามมืดลงและแสงหลิงที่ครอบครองก่อนหน้าก็เริ่มหายไป
ฮึ่ม!
เมื่อรูปปั้นหินทั้งสามหม่นหมองลง จู่ๆ ผืนดินก็โยกคลอนเล็กน้อย แม้ว่าการโยกนี้จะไม่ชัดเจน แต่มู่เฉินก็ยังรับรู้ได้จากประสาทสัมผัสที่ว่องไว
มู่เฉินขมวดคิ้วขณะที่กวาดสายตามอง ครู่เดียวสายตาของเขาก็จ้องไปที่มุมมุมหนึ่งซึ่งเป็นบริเวณที่ไป๋หมิงนอนบาดเจ็บอยู่ก่อนหน้า ทะเลสาบเลือดถูกดูดซึมลงไปในดินตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ทำให้ดินแดนมืดมนในตอนแรกมีร่องรอยสีแดงสดเพิ่มขึ้น ซึ่งให้ความรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง
มู่เฉินจ้องมองผืนดิน ไม่รู้ว่าทำไมภาพหลุมดำลึกลับใต้ทะเลสาบตัวเป่าผุดขึ้นในหัวอีกครั้ง ความไม่สบายใจกวนตัวขึ้นในใจ จากนั้นสายตาของเขาก็ส่องประกายตะโกนขึ้นอย่างรวดเร็วบอกจิ่วโยวและพรรคพวก “ไป รีบออกจากที่นี่!”
ทว่าทันทีที่เสียงของเขาสะท้อนก้อง กระทั่งตัวเขายังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ทันท่วงที ความสั่นสะเทือนที่มาจากพื้นดินก็รุนแรงยิ่งขึ้น แม้แต่แท่นบูชาก็สั่นไหว
ครั้งนี้ทุกคนสัมผัสได้ สายตางุนงงจ้องมองไปยังผืนดินมืดครึ้มเหนือแท่นบูชาก็เห็นว่าพื้นดินสั่นระรัวราวกับคลื่นในทะเลสาบ
รัศมีความชั่วร้ายพุ่งสูงจากพื้นดิน เปลี่ยนทั่วฟ้าดินให้มืดมิดลงทันที
“ไม่ดีล่ะ สถานที่นี้แปลกนัก รีบไป!”
เมื่อเห็นฉากนี้ ใบหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปรุนแรง ตอนนี้แม้แต่คนโง่ยังเข้าใจได้ว่าสุสานสักการะเทพไม่ใช่ธรรมดา
ฟิ้ว!
มีกลุ่มหนึ่งที่อยู่รอบนอกของแท่นบูชาและปฏิกิริยาของพวกเขาก็รวดเร็วมาก ทันใดนั้นพวกเขาก็กลายเป็นร่างแสงพยายามพุ่งออกจากบริเวณที่แปลกประหลาดนี้
ปัง!
แต่ทันทีที่พวกเขาพุ่งออกไป พื้นผิวสีดำมืดก็กระเพื่อมบนพื้นดิน ใบหน้าที่ดูใหญ่โตน่ากลัวปรากฏขึ้น มันเปิดปากหมอกสีดำเชี่ยวกรากโหมกระหน่ำออกมาห่อหุ้มร่างแสงเหล่านั้นเอาไว้ เสียงกรีดร้องดังขึ้น ร่างกายของพวกเขาระเบิดเป็นหมอกเลือดทันที ก่อนที่จะถูกกลืนโดยใบหน้าที่น่ากลัว
คึ! คึ!
หลังจากกลืนหมอกเลือด ใบหน้าบนพื้นก็ยิ่งแปลกประหลาด มันเปล่งเสียงหัวเราะเสียดแก้วหู ทำให้คลื่นหลิงในร่างกายของผู้คนสั่นสะท้าน
รัศมีชั่วร้ายเชี่ยวกรากทะลักออกมา ทำให้ทั่วบริเวณดูราวกับรังปีศาจ
“เลือด—ข้า-ต้องการ-เลือด-สด!”
ใบหน้าบนพื้นจ้องมองไปที่ทุกคนบนแท่นบูชา ส่งเสียงหัวเราะบาดหู อ้าปากปล่อยหมอกสีดำซัดสาดเข้าหาทุกคนบนแท่น
เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นซีดขาว ความกลัวพล่านในสายตา พวกเขาจะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าพลังของใบหน้าปีศาจนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถรับมือได้เลย
“ให้ตายเถอะ นี่จะต้องถูกทิ้งไว้โดยพวกปีศาจต่างมิติแน่!” มีคนอุทานด้วยความสยองขวัญ พวกเขาคิดได้จากฉากเบื้องหน้า เพราะมหันตภัยร้ายของมหาพันภพก็คือเผ่าปีศาจต่างมิติ นอกจากพวกมันไม่มีใครที่จะมีรัศมีชั่วร้ายแบบนี้ได้อีก
นอกจากนี้สถานที่แห่งนี้ก็เป็นสมรภูมิรบที่ดุเดือดที่สุดในดินแดนเสินโซ่ตอนที่จักรวรรดิปีศาจต่างมิติบุกเข้ามา มีนักรบนับไม่ถ้วนจากเผ่าปีศาจถูกสังหารที่นี่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีตัวที่หลุดรอดไป
ฮึ่ม!
หมอกสีดำเชี่ยวกรากกวาดเข้ามา แต่เมื่อไอหมอกกำลังจะไปถึงแท่นบูชา ริ้วแสงยาวเหยียดหมื่นจั้งก็เบ่งบานขึ้นมาบนแท่นบูชา ดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นจากลวดลายลึกซึ้งนับไม่ถ้วน ลวดลายเหล่านี้ฉีกทึ้งหมอกสีดำอย่างรวดเร็ว
บนแท่นทุกคนยินดีกับภาพดังกล่าว สายตายกขึ้นไปยังสามทิศทางทันที รูปปั้นหินทั้งสามดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมา ริ้วแสงควบแน่นบนรูปปั้นก่อตัวเป็นภาพเงาลวงตาสามร่าง
บนร่างวิหคอมตะโบราณ หญิงสาวสะคราญโฉมสวมชุดสูงศักดิ์ฉายอารมณ์สูงส่ง นางมีความงามที่น่าทึ่งพร้อมกับรูปร่างงดงาม กำจายรัศมีทรงเกียรติออกมาจากทั่วร่าง
บนร่างปักษาวิญญาณโบราณ ชายคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าห้าแถบสีดูหล่อเหลาด้วยท่วงท่าสง่างามราวกับเขาไม่แยแสแม้ว่าท้องฟ้าจะถล่มลงมา
บนร่างอสูรไร้พิรุณโบราณ ชายร่างกำยำไม่ได้สวมเสื้อท่อนบน ผิวของเขาคล้ายกับโลหะดำ รูปร่างที่แข็งแกร่งดูเหมือนภูเขาสูงตระหง่าน ทุกสิ่งรอบตัวเขามั่นคงแข็งแรง
เมื่อทั้งสามปรากฏขึ้นก็กวาดพายุโบราณไปทั่วระหว่างสวรรค์และโลก แรงกดดันเกินพรรณนาปกคลุมทั่วพื้นที่ ทำให้เกิดแสงในบริเวณนี้ซึ่งดูเหมือนรังของปีศาจ
“นั่นราชันเทพอสูรทั้งสามแห่งดินแดนเสิ่นโซ!” จิ่วโยวอุทานเมื่อเห็น แม้แต่คนโง่ก็รู้ได้ว่าสามร่างนี้เป็นร่างจิตที่หลงเหลืออยู่ของราชันทั้งสาม
“คึ คึ…” ใบหน้าปีศาจบนพื้นเปล่งเสียงแหลมแสบแก้วหูออกมาเมื่อเห็นทั้งสามปรากฏขึ้น น้ำเสียงราวกับว่ามีภูตผีนับไม่ถ้วนส่งเสียงร้องพร้อมกัน “พวกแกผนึกพวกข้ามานานนับหมื่นปี โดยคิดว่าสามารถฆ่าพวกข้าได้ แต่พวกแกคงไม่คิดว่าพวกข้าจะฉลาดกว่า คึ คึ!”
บนรูปปั้นหินราชินีวิหคอมตะจ้องมองใบหน้าปีศาจบนพื้นดินก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ปีศาจพวกนี้ ตายยากตายเย็นนัก”
ราชันปักษาวิญญาณมองทุกคนบนแท่นแล้วพูดว่า “น่าเสียดาย ตอนแรกคิดว่าจะทนได้อีกสักร้อยปี ไม่คิดว่าแก่นมรดกโลหิตจะถูกรับไปเร็วเช่นนี้ ทำให้ผนึกต้องคลายลงก่อน”
“ฮึ่ม ผืนดินปีศาจถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยโลหิตทรงประสิทธิภาพ ใครเป็นคนทำ?!” ราชันอสูรไร้พิรุณเค้นเสียงดังกึกก้องราวกับฟ้าร้อง สะท้อนอยู่ในโสตประสาทของทุกคน ทำให้เลือดลมปราณในร่างกลิ้งตัวไปมา
ทุกคนบนแท่นแลกเปลี่ยนสายตากัน ก่อนที่จะเบนสายตามายังมู่เฉินและไป๋หมิง เห็นได้ชัดว่าเลือดของไป๋หมิงซึ่งเต็มไปด้วยพลังยิ่งใหญ่ของเผ่าหงส์ฟ้าเป็นสาเหตุของเรื่องนี้
ดังนั้นสายตาคมกล้าของราชันอสูรไร้พิรุณจึงจ้องไปที่มู่เฉินและไป๋หมิง
มู่เฉินรู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด ส่วนไป๋หมิงที่เพิ่งรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาจากอาการหมดสติก็ร่างกายสั่นเทา แม้ว่าราชันอสูรไร้พิรุณจะเป็นเพียงร่างดวงจิต แต่ก็เป็นเรื่องง่ายดายนักที่จะฆ่าพวกเขา
แต่ขณะที่พวกเขากำลังหวาดกลัวในหัวใจ ราชินีวิหคอมตะก็ส่ายหัว “เรื่องนี้โทษพวกเขาไม่ได้ ปีศาจพวกนี้เตรียมการตั้งแต่ต้น เรื่องนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไรก็เป็นเพียงเรื่องของเวลา วันนี้เราต้องหาวิธีกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก”
“เราสามคนเป็นเพียงร่างดวงจิตที่เหลืออยู่ แค่รักษาค่ายกลไว้ก็สุดพลังแล้ว กลัวว่าจะไม่สามารถกำจัดปีศาจนี้ได้” ราชันอสูรไร้พิรุณพูดเสียงเหี้ยม เขากวาดมองทุกคนก็เค้นเสียงเย็นขึ้นจมูก “นอกจากนี้พวกเด็กรุ่นใหม่ก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีแม้แต่ระดับจื้อจุนขั้นเก้า น่าละอายนัก พลังแค่นี้ยังกล้ามารับมรดกของเรารึ?”
ทุกคนรู้สึกว่าใบหน้าเห่อแดงจากคำพูดนั่น แต่ก็ไม่กล้าจะเถียงอะไร เผชิญกับจอมยุทธ์เช่นนี้ จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดขั้นแปดก็ราวกับมดปลวก
ราชินีวิหคอมตะยิ้มบางก่อนที่จะมองทุกคน “ไม่รู้ว่ามีใครที่นี่มีความสามารถทางด้านค่ายกลสงครามหรือไม่ ข้าจะมอบโอกาสที่ยิ่งใหญ่ให้กับเขา”
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของนางก็ได้แต่ส่ายหัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่มีความเชี่ยวชาญในค่ายกลสงคราม
ในหมู่คนมู่เฉินหดดวงตาแต่ไม่คิดจะก้าวออกไป ต่อให้จะโง่แค่ไหนก็รู้ว่าสถานการณ์ตรงหน้าไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถรับมือได้ หากก้าวออกไปโดยไม่ยั้งคิด คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตายด้วยท่าไหน
สำหรับโอกาสส้มหล่นแบบนั้น…ลืมไปเถอะ
ดังนั้นเขาจึงส่ายหัวให้จิ่วโยวลับๆ ไม่เพียงแต่ไม่ก้าวออกไป เขายังเตรียมก้าวถอยไปหาฝูงชนอีกด้วย
ทว่าทันทีที่เขายกเท้า ท่าทางก็แข็งทื่อไป เนื่องจากเขาตกใจเมื่อพบว่าตนเองสูญเสียการควบคุมร่างกาย ราวกับว่าถูกตรึงอยู่กับที่
สายตาของเขาเลื่อนขึ้นไปข้างบน ก็เห็นร่างสะคราญโฉมมองเขาด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น