หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1055-1056
บทที่ 1055 แก่นมรดกโลหิตทั้งสาม
บนแท่นหินขนาดใหญ่
เมื่อสายตาเยาะเย้ยและไม่แยแสของไป๋หมิงสาดใส่ มู่เฉินก็ยังคงสีหน้าสงบ เขากวาดมองกลับไปก็เห็นว่าพวกไป๋หมิงยืนอยู่บนลานหินหนึ่ง ซึ่งตามคาดเผ่าคุนเผิงและเผ่านกยูงเก้าสีก็มาถึงแล้วด้วย
นอกจากกลุ่มชั้นยอดแล้ว มู่เฉินก็ต้องประหลาดใจเนื่องจากมีกลุ่มอื่นๆ มาที่นี่เช่นกัน กลุ่มเหล่านั้นมาจากเผ่าเทพอสูรที่มีรากฐานแข็งแกร่ง แต่สถานการณ์สำหรับพวกเขาดูไม่ดีนัก มีกระทั่งการบาดเจ็บล้มตาย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาจ่ายราคาแพงลิ่วตอนเผชิญหน้ากับอสูรวิญญาณขั้นแปด
ขณะที่มู่เฉินกวาดสายตาไป กลุ่มคนที่อยู่บนแท่นหินก็มองมาที่มู่เฉินอย่างประหลาดใจ นั่นเป็นเพราะพวกเขาตระหนักได้ว่าไม่มีการบาดเจ็บล้มตายในกลุ่มมู่เฉินเลย
นั่นหมายความว่ากลุ่มมู่เฉินไม่ได้จ่ายราคาใดๆ ที่ต้องจัดการกับอสูรวิญญาณขั้นแปด
ทว่าไม่เพียงแต่กลุ่มเหล่านี้ไม่ได้ชื่นชม กลับยังมีร่องรอยแห่งความสงสารในสายตา นั่นเป็นเพราะตอนที่มู่เฉินใช้หัวใจพาฬกินสายฟ้าก่อนหน้า พวกเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่น่ากลัว ดังนั้นจึงคิดว่ามู่เฉินใช้วัตถุนั้นไปกับอสูรวิญญาณขั้นแปดเรียบร้อย
วัตถุนั้นเป็นสิ่งที่มู่เฉินพึ่งพาได้มากที่สุด ก่อนหน้าที่กลุ่มไป๋หมิงไม่กล้าลงมือ ก็เพราะการมีอยู่ของหัวใจพาฬกินสายฟ้า แต่หลังจากสูญเสียวัตถุน่ากลัวนี้ไป เขาจะเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ดุร้ายอย่างไป๋หมิงได้อย่างไร?
ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นว่ากลุ่มมู่เฉินไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ พวกเขาก็รู้สึกสงสารขึ้นจับใจ บางกลุ่มถึงกับส่ายหัว มู่เฉินประเมินตัวเองสูงเกินไป เขาคิดว่าไป๋หมิงเป็นคู่ต่อสู้ที่ง่ายจัดการเรอะ?
หากไป๋หมิงมีความตั้งใจที่จะสังหาร ทั้งกลุ่มมู่เฉินคงจะถูกฝังกลบอยู่ที่นี่ นอกจากนี้ต่อให้เผ่าวิหคโลกันตร์จะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ในภายหลัง ก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถทำกับไป๋หมิงได้ คงได้แต่กล้ำกลืนลงไปเท่านั้น
ชายหนุ่มผมขาวที่เป็นผู้นำเผ่าคุนเผิงมองไปที่มู่เฉินด้วยความสนใจ ราวกับอยากรู้ว่ามู่เฉินโง่จริงๆ หรือไม่กลัวไป๋หมิง
ข่งหลิงเผ่านกยูงเก้าสีไม่ได้หันมามองมู่เฉินเลยสักนิด ตอนที่อยู่นอกสุสานสักการะเทพ เหตุผลที่นางเคลื่อนไหวเข้าไปขัดขวางไป๋หมิงก็แค่ไม่ต้องการให้มู่เฉินและไป๋หมิงปะทะกัน เพราะจะรบกวนการเข้าสู่ส่วนใน แต่ในเมื่อตอนนี้พวกเขาเข้ามาส่วนในได้แล้ว มิหนำซ้ำมู่เฉินดูเหมือนยังรนหาความตายเอง งั้นนางก็ไม่ต้องสนใจเรื่องชีวิตหรือความตายของอีกฝ่ายแล้ว
ท่ามกลางสายตาที่มีอารมณ์แตกต่างมากมาย การแสดงออกของมู่เฉินก็ไม่เปลี่ยนแปลง เขานำพรรคพวกพลิ้วลงบนแท่นหิน
“มู่เฉินดูสิ!”
เมื่อมู่เฉินพลิ้วตัวลง ทันใดนั้นจิ่วโยวก็ตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นจากด้านหลัง
ทันใดนั้นมู่เฉินก็กวาดตาตามจิ่วโยวไป ดวงตาเขาหดเกร็งลงทันที นั่นเป็นเพราะเขาเห็นรูปปั้นหินบนเจดีย์หินซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของแท่นบูชา
รูปปั้นนั้นกางปีกออกปกคลุมดวงอาทิตย์ ดูราวกับหงส์ฟ้าแต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว เปลวไฟพวยพุ่งบนร่างประหนึ่งเป็นนิรันดร์ แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่รูปปั้นหิน แต่แรงกดดันโบราณที่เปล่งออกมา ก็ทำให้กระแสเลือดในร่างกายของเขาเฉื่อยช้าลง
มู่เฉินรู้สึกถึงจิตวิญญาณหงส์ฟ้าในร่างที่สั่นไหว เสียงร้องดังกึกก้องเต็มไปด้วยความอยากใกล้ชิดและเคารพที่ไม่อาจมองผ่านได้
ฮา
มู่เฉินปล่อยลมหายใจยาว ขณะที่ความเบิกบานใจฉายในดวงตา แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นวิหคอมตะโบราณมาก่อน แต่จากปฏิกิริยาของจิตวิญญาณหงส์ฟ้าแท้จริงเขาก็มั่นใจว่ารูปปั้นที่อยู่เบื้องหน้าเป็นวิหคอมตะโบราณแน่แท้!
ดูเหมือนว่าเขาจะเดาไม่ผิด มีวิหคอมตะโบราณอยู่ในสุสานสักการะเทพจริงด้วย!
นั่นก็หมายความว่าจะต้องมีแก่นมรดกโลหิตของวิหคอมตะโบราณอยู่ที่นี่ด้วย!
ความตื่นเต้นในใจปะทุขึ้นแต่ก็ถูกระงับไว้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่ามีรูปปั้นหินทั้งหมดสามรูป ไม่ใช่เพียงรูปเดียว
หนึ่งในสองเป็นนกขนาดใหญ่ที่ดูงดงามมาก ราวกับว่ามีจิตวิญญาณที่น่าอัศจรรย์ที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาขณะที่กระพือปีก
“นั่นมัน?” มู่เฉินมองดูรูปปั้นนกที่ไม่คุ้นเคยก็รู้สึกสงสัย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้จักสิ่งมีชีวิตนี้
“นั่นคือปักษาวิญญาณโบราณเป็นหนึ่งในมหาเทพอสูรที่สูญพันธุ์ไปนานแล้ว” คำพูดของจิ่วโยวเต็มไปด้วยการเคารพขณะทอดถอนหายใจ “ในสมัยโบราณมหาพันภพได้รับเดือดร้อนอย่างมากจากการรุกรานของเผ่าปีศาจต่างมิติ เทพอสูรที่ทรงพลังและหายากส่วนใหญ่สูญพันธุ์เนื่องจากมรดกสูญหาย สุดท้ายค่อยๆกลายเป็นเผ่าสัตว์อสูรธรรมดาสามัญไป”
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ หากเป็นเช่นนั้นเผ่าปีศาจต่างมิติก็เป็นศัตรูตัวฉกาจของมหาพันโลก แค่การบุกโจมตีครั้งเดียวก็สร้างความสูญเสียครั้งใหญ่ต่อมวลมนุษยชาติ มากจนแม้แต่เผ่าพันธุ์ยังสูญพันธุ์
“แล้วอีกรูปปั้นล่ะ?” มู่เฉินมองที่รูปปั้นหินสุดท้าย นี่เป็นสัตว์อสูรขนาดมหึมาที่เงยหน้าคำรามก้องฟ้าราวกับว่าร่างสามารถรองรับสวรรค์ทั้งผืนได้ มันมีสีดำสนิท ฝ่ามือขนาดใหญ่เท่ากับภูเขาสามารถทำลายผืนดินได้หมื่นลี้ด้วยตบครั้งเดียว
“นั่นคืออสูรไร้พิรุณโบราณ ซึ่งเป็นเทพอสูรอันดับต้นในสมัยโบราณที่มีพละกำลังมหาศาลและความสามารถที่บ้าบิ่น ช่วงเวลาที่บ้าดีเดือดพลังการต่อสู้จะทะยานขึ้น เผ่าวานรทะลุฟ้าที่ว่าบ้าดีเดือดว่ากันว่าความสามารถนั้นมาจากเทพอสูรพันธุ์นี้” จิ่วโยวอธิบาย
“ดูเหมือนว่าข้อความโบราณไม่ผิด ในสมัยโบราณดินแดนเสินโซ่มีราชันเทพอสูรทั้งสาม ว่ากันว่าขณะที่ดินแดนเสินโซ่กำลังถูกทำลาย พวกเขาก็ได้เปิดการโจมตีขุดรากถอนโคนระดับจอมพลของเผ่าปีศาจต่างมิติมากมายให้ตายตกกันไปแล้วผนึกไว้” จิ่วโยวจ้องมองแท่นบูชาขนาดใหญ่ขณะที่พูดด้วยความเคารพสูงสุด
“สามราชันเทพอสูรเรอะ”
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์ของรูปปั้นทั้งสามก็สมควรกับขนานนามนี้ แต่หลังจากที่เขากวาดมองไปยังพื้นที่รอบแท่นบูชาซึ่งถูกย้อมด้วยเลือดก็ต้องขมวดคิ้ว ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงสถานที่ที่อสูรโบราณโภคะละสังขาร หลุมดำที่ไม่รู้เชื่อมกับที่ใดดูดแก่นโลหิตเข้าไปทั้งหมด
ไม่รู้ว่าจะมีความเชื่อมโยงกันหรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องระวังไว้ก่อน
“ดูเหมือนว่ากลุ่มที่ควรมาที่นี่ก็มาถึงกันหมดแล้ว” ขณะที่มู่เฉินกับจิ่วโยวพูดคุยกัน ข่งหลิงเผ่านกยูงเก้าสีก็เงยหน้าขึ้นพูดเบาๆ “ในเมื่อทุกคนมาถึงที่นี่ได้ก็ถือว่ามีความแข็งแกร่งเช่นกัน ส่วนในของสุสานเป็นสถานที่ที่ราชันทั้งสามละสังขารไว้ ก็เป็นตามที่พวกเจ้าจินตนาการนั่นแหละ เจ้าสามารถเลือกรับแก่นมรดกโลหิตได้ที่นี่”
เมื่อนางพูดออกมา นอกเหนือจากกลุ่มอันดับต้นที่รู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว กลุ่มอื่นๆ รวมทั้งกลุ่มจิ่วโยวก็มีดวงตาเปล่งประกาย
“แต่…”
ข่งหลิงหยุดไปอึดใจจากนั้นก็เอ่ยต่อ “มีแก่นมรดกโลหิตสามชิ้นเท่านั้น ซึ่งก็หมายความว่ามีเพียงสามคนที่จะได้รับไป คนที่เหลือต้องกลับไปมือเปล่า”
ผู้คนที่กำลังตื่นเต้นก็รู้สึกราวกับว่ามีน้ำเย็นราดลงบนหัวทันที แก่นมรดกโลหิตมีเพียงสามชิ้นเท่านั้น นั่นหมายความว่าขนาดสองในห้าของกลุ่มอันดับต้นยังต้องกลับไปมือเปล่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกลุ่มของพวกเขาเลย
มู่เฉินยังคงความสงบไว้ แม้ว่าจะยังไม่ทราบข้อมูลแน่นอน แต่ก็สามารถเดาได้ว่าไม่ง่ายเลยที่จะได้รับแก่นมรดกโลหิตไป ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มองโลกในแง่ดีตั้งแต่ต้น ไม่ได้ผิดหวังอะไรมากมาย
เมื่อข่งหลิงพูดจบทั่วบริเวณก็เงียบลง กลุ่มที่สามารถเข้ามาส่วนในได้ล้วนมีความแข็งแกร่งไม่ธรรมดา แต่ทุกคนก็รู้ว่ามีเพียงห้ากลุ่มอันดับต้นเท่านั้นที่สามารถแข่งขันเพื่อรับแก่นมรดกโลหิตนี้ไปได้
แม้ว่าพวกเขาจะไม่เต็มใจก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงการรวมตัวของกลุ่มอันดับต้นทั้งห้า เพียงแค่หัวหน้ากลุ่มคนเดียวก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดแล้ว เมื่อเปรียบเทียบคนอื่นๆ ก็อยู่ในระดับที่สูงกว่า พูดตามจริงเพียงแค่หนึ่งในนั้นก็สามารถทำลายกลุ่มของพวกเขาได้
ขณะที่กลุ่มอื่นๆ จมลงในความเงียบ ไป๋หมิงเป็นคนแรกที่คลี่ยิ้ม “ในเมื่อกฎก็ชัดเจนอยู่แล้ว งั้นข้าขอเลือกแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณก่อนนะ”
เมื่อเขาพูดจบก็ไปปรากฏตัวที่ด้านบนสุดของบันไดหิน ก้าวเข้าสู่ลานกว้างซึ่งนำไปยังรูปปั้น นี่เป็นเส้นทางเดียวเท่านั้นที่จะไปหาวิหคอมตะโบราณได้
เมื่อจิ่วโยวเห็นว่าไป๋หมิงเลือกแก่นมรดกวิหคอมตะโบราณ หัวใจนางก็ดิ่งลง ถ้าต้องการรับแก่นมรดกก็ต้องสู้กับไป๋หมิงด้วยจริงเรอะ?
“วิหคอมตะโบราณเป็นสายพันธุ์เดียวกับเผ่าของข้า หวังว่าทุกคนจะให้หน้ากับข้านะ…” ไป๋หมิงมองทุกคนบนแท่นหินยิ้มพลางประสานมือ
ชายผมสีขาวเผ่าคุนเผิงยิ้มบาง เขาไม่ได้เลือกที่จะแข่งกับไป๋หมิงเพราะแรงจูงใจของเขาไม่ได้อยู่ที่แก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ
เผ่านกยูงเก้าสีก็ไม่ได้สนใจ เพราะนางจะปะทะกับจงชิงเฟิง สำหรับแก่นมรดกปักษาวิญญาณโบราณ
สำหรับเผ่าวานรทะลุฟ้าและเผ่ากระเรียนเทพสวรรค์ก็ไม่ได้เคลื่อนไหวเช่นกัน เนื่องจากเป้าหมายของพวกเขาคือแก่นมรดกโลหิตอสูรไร้พิรุณโบราณ เผ่าวานรทะลุฟ้าต้องการเพราะสายเลือดเดียวกันกับเทพอสูรนี้ ส่วนเผ่ากระเรียนฟ้าต้องการความสามารถบ้าดีเดือดที่อยู่ในนั้น…
แม้แต่กลุ่มอันดับต้นทั้งสี่ก็ไม่ได้เลือกที่จะแข่งกับไป๋หมิง ดังนั้นกลุ่มที่เหลือก็ไม่คิดกระโจนออกไป เพราะยังไงไป๋หมิงก็เป็นสมาชิกเผ่าหงส์ฟ้า แน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขากลัวที่สุดคือความแข็งแกร่งของตัวเขา
ดังนั้นเมื่อไป๋หมิงพูดออกมา ทั่วบริเวณก็สงบนิ่งไม่มีใครกล้าขึ้นไปท้าทายเขา
เมื่อไป๋ปิงเห็นภาพนี้ก็แอบรู้สึกยินดี ก่อนที่สายตามืดครึ้มจะเหลือบมองมู่เฉิน รอให้พี่ใหญ่ไป๋หมิงได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวก็จะได้จัดการกับพวกแกเป็นลำดับแรก
ทว่าขณะที่ความคิดนี้กำลังฟุ้งกระจาย ม่านตาก็ต้องหดเกร็งลง เมื่อเห็นเหตุการณ์ไม่น่าเชื่อเกิดขึ้น
แน่นอนว่าไม่เพียงแต่เขา กระทั่งกลุ่มอื่นๆ ก็ฉายความตกตะลึงบนใบหน้าในเวลานี้
นั่นเป็นเพราะเวลาเดียวกับที่ไป๋หมิงพูดจบ มู่เฉินซึ่งยืนหน้ากลุ่มตัวเองก็ย่างเท้าขึ้นไปบนบันไดอย่างช้าๆ
เสียงอืออึงดังก้องจากฝูงคน ชัดว่าไม่มีใครคิดว่ามนุษย์คนนี้ที่เคยท้าทายไป๋หมิงจะวิ่งเข้าชนโดยไม่คิดหันหนี
บนลานประลองรอยยิ้มบางบนใบหน้าของไป๋หมิงก็หายไปทีละน้อย เขามองมู่เฉินที่กำลังเดินขึ้นบันไดอย่างไม่แยแส มุมปากยกโค้งขึ้นทีละนิด
“แกรนหาที่ตายจริงๆ”
บทที่ 1056 สู้กับไป๋หมิง
บนบันได
มู่เฉินก้าวขึ้นไปบนลานประลองภายใต้สายตาไม่แยแสของไป๋หมิง เขาไม่ได้ให้ความใส่ใจกับสายตาตกตะลึงที่พุ่งมา ทำเพียงคลี่ยิ้มให้ไป๋หมิง “พวกข้าก็สนใจแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะน่ะ”
ไป๋หมิงโบกพัดขนนกสีฟ้าน้ำแข็งในมือ ไอเย็นเยือกพัดออกมาก่อนที่จะมองไปที่มู่เฉินแล้วก็พยักหน้า “ละครอย่างเดียวไม่มีอะไรน่าดูก็จริง ในเมื่อมีตัวตลกอยากเพิ่มความสนุก ข้าก็ยินดีที่จะเล่นด้วยสักหน่อย”
มุมปากของเขายกขึ้นด้วยความดูถูก คำพูดรุนแรงใส่ลงไปไม่ไว้หน้าให้กับมู่เฉิน
เห็นได้ชัดว่าตั้งแต่เริ่มเขาก็ไม่เห็นมู่เฉินเป็นคนที่อยู่ในระดับเดียวกับเขา
เมื่อได้ยินคำพูดดูถูกเหยียดหยาม แววเกรี้ยวกราดก็วูบไหวในดวงตาของจิ่วโยว ขณะที่มั่วหลิงเดือดดาล ทว่าแม้พวกนางจะโกรธ แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เพราะพวกนางกังวลเต็มหัวใจ ถึงมู่เฉินจะประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด แต่ถ้าเขาต่อสู้กับไป๋หมิง ใครจะชนะก็ยังไม่แน่นอน
ตรงกันข้ามกับความโกรธของพวกนาง มู่เฉินไม่ได้มีริ้วอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า “ข้าว่ายังเร็วไปที่จะตัดสินว่าใครเป็นตัวตลก”
รอยเยาะเย้ยที่มุมปากของไป๋หมิงลึกขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาก็ไม่ใส่ใจที่จะลับฝีปากกับมู่เฉิน เขาเพียงคิดว่ามู่เฉินกำลังดิ้นรนก่อนตาย เขาจึงโบกพัดขนนกเบาๆ ขณะที่หลับตาลง
ทว่าเมื่อเขาหลับตา ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงจิตสังหารเย็นเยือกรวมตัวบนร่างไป๋หมิง
จินตนาการได้ว่าเมื่อเขาเริ่มโจมตี กระบวนท่าจะสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นขนาดไหน เขาจะต้องใช้ความเร็วเกินพิกัด เพื่อเหยียบอีกฝ่ายไว้ใต้ฝ่าเท้าราวกับสุนัขตายซากให้เร็วที่สุด ในเวลานั้นเขาจะดูว่ามู่เฉินจะยังคงหน้านิ่งได้อยู่หรือไม่
“แกรนหาที่ตาย!”
เมื่อไป๋หมิงหลับตาลง ไป๋ปิงก็แสยะยิ้มขณะมองไปที่มู่เฉินอย่างอาฆาตมาดร้าย เขาไม่คิดเลยว่าไอ้โง่นี้ยังกล้าไปท้าทายไป๋หมิงในขณะนี้
ถ้าไอ้บ้านี่คุกเข่าลงขอร้องและส่งมอบสมบัติที่เกี่ยวข้องกับรัศมีหงส์ฟ้าแท้จริงให้ บางทีไป๋หมิงอาจจะให้หน้ากับเผ่าวิหคโลกันตร์และปล่อยพวกเขาไป แต่ตอนนี้ทุกอย่างสายเกินแก้ ไอ้โง่นั่นทำให้ไป๋หมิงโกรธอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นไป๋ปิงทำนายได้ว่า ณ แท่นบูชาแห่งนี้จะเป็นสถานที่ฝังศพของมนุษย์ที่ชื่อมู่เฉิน
ที่ด้านหลังฉื่อหงหวู่ก็มุ่นคิ้วก่อนที่จะส่ายหัว การกระทำของมู่เฉินในการยั่วยุไป๋หมิงช่างเป็นเรื่องโง่เขลานักในมุมมองของนาง แต่ในเมื่อเกิดขึ้นแล้วคำพูดใดก็ไร้ประโยชน์ ตอนนี้นางทำได้เพียงคิดว่าไป๋หมิงจะปล่อยมู่เฉินไปหลังจากได้รับสิ่งที่ต้องการ
กลุ่มอื่นก็ไม่ได้มองในแง่ดี พวกเขาจ้องมองมู่เฉินราวกับว่ามองคนตาย
“เฮ้ เจ้ามนุษย์กล้าหาญจริงๆ ถ้าเจ้าสามารถเอาชีวิตรอดจากน้ำมือของไป๋หมิงได้ ข้ายินดีที่จะปกป้องชีวิตเจ้าให้” ผู้นำร่างผอมบางของเผ่าวานรทะลุฟ้าหัวเราะด้วยดวงตายิบหยี
เขาเองก็ไม่ชอบใจนิสัยหยิ่งผยองของไป๋หมิง ดังนั้นเมื่อเขาเห็นว่าไม่มีใครกล้าท้าทายไป๋หมิงก่อนหน้า เขาก็รู้สึกไม่พอใจ แต่ไม่คิดว่ามู่เฉินจะหักหน้าของไป๋หมิง ซึ่งทำให้เขาค่อนข้างประหลาดใจ ดังนั้นจึงพูดประโยคดังกล่าวขึ้นมา แม้ว่าไป๋หมิงจะทรงพลัง แต่เขาก็ไม่กลัว
แต่จากคำพูด เขาก็ไม่ได้มองในแง่ดีเกี่ยวกับการท้าทายของมู่เฉินที่มีต่อไป๋หมิง
หลังจากที่หัวเราะออกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ร่างขยับวูบไหวก่อนที่จะปรากฏขึ้นอีกมุมหนึ่งบนลานที่จะนำไปสู่รูปปั้นอสูรไร้พิรุณโบราณ ไม้พลองกระแทกไปบนพื้นทำเอาสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด
“ไอ้ไรนกเผ่ากระเรียนเทพสวรรค์ อยากได้แก่นมรดกโลหิตนี้ก็มาผ่านข้าไปให้ได้ก่อนสิ!” เขายิ้มพร้อมกับคำพูดจองหองที่ไม่เข้ากับเงาร่างผอมบางสักนิด
“ข้าอยากชิมพลังของเผ่าวานรทะลุฟ้ามานานแล้ว!”
ผู้นำกลุ่มกระเรียนเทพสวรรค์หัวเราะเบาๆ ปลายเท้าแตะลงบนพื้นก่อนที่ร่างจะทะยานไปเบื้องหน้าลู่โหว กำปั้นกำเข้าหากันแน่นกระบี่ยาวสีแดงก็ปรากฏในพริบตา กระบี่ยาวมีรูปร่างคล้ายจงอยปากกระเรียน กลิ่นไหลเอื่อยออกมาซึ่งบรรจุไว้ด้วยพิษร้ายแรง
เมื่อเผ่าวานรทะลุฟ้าเผชิญหน้ากับเผ่ากระเรียนเทพสวรรค์ จงชิงเฟิงก็ยิ้มจ้องมองไปที่ข่งหลิง “เทพธิดาข่งหลิง ผู้ชนะระหว่างเราจะได้รับแก่นมรดกโลหิตปักษาวิญญาณโบราณ เจ้าว่ายังไง?”
“นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการ” ข่งหลิงพูดเบาๆ
เมื่อทั้งสองเผชิญหน้ากัน ประกายไฟก็แล่นแปลบปลาบออกมาจากดวงตาพวกเขา ทั้งคู่เป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในหมู่คนรุ่นใหม่ของเผ่าพันธุ์ ในเมื่อมาพบกันที่นี่ พวกเขาก็ต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อดูว่าใครจะแน่กว่ากัน
วาบ!
ทั้งสองคนก้าวออกไปปรากฏตัวที่ลานประลองอีกแห่งหนึ่ง เมื่อยืนเผชิญหน้ากันคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็พวยพุ่งออกมาจากร่างกาย
ตอนนี้จอมยุทธ์ทั้งหกยืนเผชิญหน้ากันบนลานประลองทั้งสามแห่ง รัศมีเหมือนสามารถกลืนกินฟ้าดินเลยทีเดียว ขณะที่คลื่นพลังไร้ขอบเขตกวาดไปทั่ว ทุกคนรู้ว่าการต่อสู้ดุเดือดกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว
แน่นอนว่าการต่อสู้ดุเดือดที่ว่าไม่รวมคู่มู่เฉินกับไป๋หมิง เพราะในมุมมองหลายคนไม่มีความสงสัยในผลลัพธ์เลย
บนลานประลองที่นำไปสู่รูปปั้นหินวิหคอมตะโบราณ ไป๋หมิงค่อยๆ ลืมตามองไปที่มู่เฉินอย่างไม่แยแส เขาไม่ได้พูดอะไรแต่ทุกคนก็สามารถสัมผัสถึงกระแสน้ำแข็งสีฟ้าขนาดใหญ่กลิ้งออกมา ก่อร่างเป็นพายุทอร์นาโดเย็นเยือกโอบล้อมร่างเขาไว้
มองไปที่ไป๋หมิงที่มีรัศมีน่าตกใจ สายตามู่เฉินก็เคร่งเครียดลง แม้ว่าไป๋หมิงจะน่ารังเกียจ แต่ก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายน่าเกรงขามมาก ในฐานะอัจฉริยะเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งเขามีคุณสมบัติที่จะหยิ่งจริงๆ
“ข้าจะแช่แข็งเจ้าเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง ให้เจ้ายืนอยู่ในสุสานสักการะเทพตลอดกาล”
เสียงไม่แยแสของไป๋หมิงดังก้อง อึดใจเขาก็กระทืบเท้าลงไป ลอนคลื่นเย็นเยือกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากวาดออก ทันใดนั้นอุณหภูมิระหว่างฟ้าดินก็ลดฮวบลง ชั้นน้ำแข็งหนากระจายออกไปทั่วลานประลอง ราวกับมวลไอเย็นเยือกพุ่งเข้ากลืนกินมู่เฉิน
ฮึ่ม!
แสงสีทองพร่างพราวระเบิดออกจากร่างมู่เฉิน จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบนพื้นผิวก็บินฉวัดเฉวียนไปทั่ว ทั้งสองเคลื่อนไปที่แขนขวาจากนั้นเขาก็เหวี่ยงหมัดออกไป
ตู้ม!
หมัดนี้ทำให้มิติเบื้องหน้ายุบตัวลง พลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ไม่สามารถอธิบายกวาดออกปะทะกับชั้นน้ำแข็ง
ตึง!
พลังงานสองสายปะทะกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ทำให้ทั้งลานประลองโยกคลอน มู่เฉินถอยห่างออกไปหลายก้าวทิ้งรอยลึกยาวไว้บนพื้น
เมื่อก้าวถอยไปแปดก้าว แสงเย็นเยือกก็วูบไหวในม่านตาสีดำของมู่เฉิน เขากำหมัดชกออกไปบนชั้นน้ำแข็งอีกครั้ง
แคร็ก!
รอยแตกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายออกไปจากกำปั้นของมู่เฉิน ในเวลาไม่กี่อึดใจชั้นน้ำแข็งขนาดใหญ่ก็ระเบิดออก มวลไอเย็นสุดขั้วที่สามารถกลืนร่างจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดได้ก็
แตกกระจายเป็นเกล็ดน้ำแข็งบนท้องฟ้า
เมื่อทุกคนเห็นฉากนี้ ดวงตาก็หดลงพลางแอบเดาะลิ้น พวกเขาบอกได้ว่ากระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดก็รับหมัดของมู่เฉินไม่ได้
เกล็ดน้ำแข็งกระจายไปทั่ว ร่างมู่เฉินพลุ่งพล่านด้วยแสงสีทอง ชัดว่าเร้ากายามังกรหงส์ถึงขีดสุดแล้ว ทุกการเคลื่อนไหวก็เหมือนมีพลังราวภูเขาไฟมารวมกัน
“เหอะ บ้าพลังจริงๆ”
ร่างของไป๋หมิงปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าขณะที่จ้องมองเกล็ดน้ำแข็งที่แตกสลายก็ยิ้มอย่างเย็นชา “น้ำแข็งของข้าทำลายไม่ได้ง่ายๆ หรอก”
พูดจบก็โบกมือ เกล็ดน้ำแข็งที่กระจายไปทั่วตกลงมาราวกับลูกธนูนับหมื่นยิงไปทางมู่เฉิน
มือของมู่เฉินประสานเข้าด้วยกัน จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงพุ่งออกมาจากร่างเขา ก่อตัวเป็นปราการมังกรหงส์ล้อมรอบร่างเขาไว้ ไม่ว่าน้ำแข็งจะกระหน่ำมาทางใด ก็ไม่สามารถผ่าแนวป้องกันได้
เมื่อไป๋หมิงเห็นภาพนี้บนท้องฟ้า แววตาก็เย็นเยือกลง ความแข็งแกร่งของพลังกายมู่เฉินค่อนข้างเกินความคาดหมายของเขา การโจมตีของเขาก่อนหน้าเป็นสิ่งที่สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดได้ แต่มู่เฉินกลับต้านรับไว้ได้
ชายคนนี้มีความสามารถพอที่จะท้าทายเขาแท้จริง แต่มู่เฉินคิดว่าแค่นี้เพียงพอหรือ?
ไป๋หมิงยิ้มเยาะเย้ยขณะที่วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว ไอเย็นค่อยๆ กลั่นตัวในดวงตาของเขา
ในเมื่อเป็นแบบนี้ เจ้าก็ทำให้ข้าได้สนุกซะหน่อยแล้ว
ตู้ม!
ราวกับการปะทุของภูเขาไฟ คลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้ท้องฟ้าเย็นยะเยือกลง เกล็ดน้ำแข็งนับไม่ถ้วนรวมตัวกันอยู่เบื้องบน
ไป๋หมิงยืนอยู่บนท้องฟ้ามองลงไปที่มู่เฉินพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยันแขวนที่มุมปาก แรงกดดันคลื่นหลิงทรงพลังที่เขาซัดออกมา ทำให้จอมยุทธ์หลายคนที่นี่มีสีหน้าเปลี่ยนไป
นั่นเป็นเพราะคลื่นหลิงนี้เกินขอบเขตของระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดไปไกลแล้ว
นี่เป็นระดับจื้อจุนขั้นแปดแท้จริง!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดหายนะไปทั่วขอบฟ้าราวกับพายุ ไป๋หมิงกำหมัดแน่น พลังงานเยือกเย็นไหลผ่าน ไม่กี่อึดใจก็ก่อร่างเป็นภูเขาน้ำแข็งหมื่นจั้ง ที่มีรูปร่างเหมือนหงส์ฟ้าน้ำแข็งสยายปีกซึ่งปกคลุมไปด้วยลวดลายลึกซึ้ง ลวดลายเหล่านี้เปล่งประกายแวววาว กลืนกินคลื่นหลิงระหว่างฟ้าดินอย่างตะกละตะกลาม
เมื่อทุกคนเห็นภูเขาหงส์ฟ้าน้ำแข็งก็รู้สึกว่าหนังหัวลุกชันไปหมด พวกเขารู้สึกชัดเจนว่าการโจมตีของไป๋หมิงทรงพลังเพียงใด เขาไม่คิดจะมอบเส้นทางรอดให้มู่เฉิน เขาดึงพลังระดับจื้อจุนขั้นแปดทันทีที่เริ่มออกกระบวนท่า
ทีนี้มู่เฉินคงจะถูกกระทืบจนถึงจุดที่ไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้แล้ว
ไป๋หมิงสาดสายตาไม่แยแสราวกับเทพเซียน จากนั้นก็พลิกฝ่ามือ ทำให้ภูเขาหงส์ฟ้าน้ำแข็งพุ่งลงมาราวกับอุกกาบาตซัดใส่มู่เฉินทันที
“คัมภีร์หานหวง ภูเขาหงส์ฟ้าสยบหมื่นอสูร!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น