หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1051-1054
บทที่ 1051 บุกเข้าหุบเขา
“เป็นยังไงบ้าง?”
บนยอดเขาจิ่วโยวมองมู่เฉินที่ลืมตาขึ้นมาก็รีบถาม พื้นที่ตรงหน้านั้นอันตรายยิ่ง คิดว่าคงไม่ธรรมดาแน่นอน
เมื่อมู่เฉินเห็นทุกคนจ้องมองมาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ในหุบเขามีอสูรวิญญาณขั้นแปดสิบแปดตัว… และอสูรวิญญาณขั้นเก้าหนึ่งตัว”
“ซี้ด!”
พอได้ยินคำพูดของมู่เฉินแม้ว่าทุกคนจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเย็นเข้าลึกสุดปอด พวกเขาคาดว่าคงจะมีอสูรวิญญาณขั้นแปดอยู่ แต่ไม่นึกว่าจะมีอสูรวิญญาณขั้นเก้าด้วย
นั่นเป็นสิ่งที่สามารถเทียบเคียงได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าเลยนะ! ต่อให้อยู่ในเผ่าต่างๆ ก็สามารถได้รับตำแหน่งสูงส่ง กลายเป็นสมาชิกชั้นสูงในเผ่าได้
สายตาจิ่วโยวฉายแววเคร่งเครียด จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า ในอาณาเขตกงเวทสววรค์มีเพียงสามจอมพลเท่านั้นที่ไปถึงระดับนั้นได้…
“ข้าตั้งใจจะเข้าไป”
ทว่าขณะที่พรรคพวกกำลังตกตะลึง ประโยคต่อไปของมู่เฉินก็ทำให้พวกเขาสติหลุดไปเลย มากจนกระทั่งจิ่วโยวยังเบิกตากว้างมองมู่เฉินด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่านางไม่เข้าใจว่าทำไมมู่เฉินต้องการที่เข้าไปเสี่ยงตายเช่นนี้ อย่าว่าแต่กลุ่มของพวกเขาเลย ต่อให้กลุ่มระดับต้นอื่นๆ ทั้งหมดมารวมตัวกัน ก็เละไม่เป็นท่าแน่
มู่เฉินมองทุกคนที่อยู่ในอาการตกตะลึงก็กล่าวต่อ “พวกเจ้าไม่ต้องไปกับข้า ข้าจะเข้าไปคนเดียว”
เผชิญหน้ากับการรวมตัวที่ดุร้ายนี้ พวกเขาเข้าไปก็เป็นภาระ
คนอื่นๆ มองหน้ากัน สุดท้ายจิ่วโยวก็ขมวดคิ้วพูดว่า “เจ้าคิดจะใช้หัวใจพาฬกินสายฟ้าเหรอ?”
นางเข้าใจมู่เฉินดี แม้ว่าพลังของเขาจะไม่สามารถใช้เกณฑ์ปกติตัดสินได้ แต่ตอนนี้นอกจากว่าเขามีกองทัพทรงพลังและสามารถใช้พลังของจั้นเจินซือ ถึงมีความเป็นไปได้ที่เขาจะประจัญบานกับการรวมตัวน่าหวาดกลัวในหุบเขา แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้มีวิธีการอย่างว่าในเวลานี้ หากเป็นเช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว มู่เฉินตั้งใจจะใช้หัวใจพาฬกินสายฟ้า
“แต่เมื่อไรที่เจ้าไม่มีหัวใจพาฬกินสายฟ้า ไป๋หมิงเผ่าหงส์ฟ้าก็จะไม่กลัวเจ้าอีกต่อไป” หานซันอดไม่ได้ที่จะชี้ให้เห็นเรื่องนี้ ไป๋หมิงไม่ได้เป็นคนใจดี ก่อนหน้ามู่เฉินสามารถข่มขู่อีกฝ่ายด้วยหัวใจนี้ แต่ทันทีที่ใช้ไป ด้วยนิสัยของไป๋หมิงไม่มีทางปล่อยมู่เฉินไปได้แน่
มู่เฉินยิ้มจ้องมองไปที่หุบเขาที่เต็มไปด้วยรัศมีความตายตอบว่า “ข้านำหัวใจพาฬกินสายฟ้าออกมาเพื่อข่มขู่คนอื่นเท่านั้น ไป๋หมิงยังไม่คู่ควรที่ต้องใช้สิ่งนี้เพื่อปราบปราม”
คำพูดสงบเงียบแต่ความมั่นใจในตัวเองล้นปรี่ ไป๋หมิงเป็นจอมยุทธ์ที่น่าเกรงขามแท้จริงและจากการคาดการณ์ก็น่าจะมีขุมพลังจื้อจุนขั้นแปด นอกจากนี้ยังเป็นจอมยุทธ์ที่มีเล่ห์เหลี่ยมและครอบครองอาวุธเสมือนมหสวรรค์ พลังการต่อสู้มีมากกว่าอสูรวิญญาณขั้นแปดที่พวกเขาปะทะมาก่อนหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่าแม้ไป๋หมิงจะทรงพลัง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามู่เฉินทำอะไรไม่ได้ ถ้าพวกเขาต่อสู้กันจริง มู่เฉินก็มั่นใจว่าไป๋หมิงไม่ได้ตามที่หวังแน่
นอกจากนี้ตัวเขาอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุด อีกก้าวเดียวก็จะก้าวเข้าสู่ขั้นเจ็ด หากเป็นเวลาปกติเขาคงต้องการเวลาฝึกฝนหนึ่งเดือนถึงจะลองบรรลุได้
แต่ตอนนี้เขากลับมีโอกาส นั่นก็คือดอกบัวมรกตเก้าโคจร แม้ว่าผลประโยชน์หลักจะแสดงให้เห็นตอนบรรลุขั้นตี้จื้อจุน แต่ยังไงมันก็บรรจุด้วยพลังงานที่บริสุทธิ์และมหาศาล หลังจากกลืนกินเข้าไปมู่เฉินก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้เพื่อบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด
ทันทีที่เขาก้าวเข้าสู่ขั้นเจ็ด พลังอำนาจในการต่อสู้ก็จะยกสูงขึ้น ถึงเวลานั้นแม้จะไม่มีหัวใจพาฬกินสายฟ้า เขาก็ไม่กลัวไป๋หมิง
เมื่อคนอื่นๆ เห็นว่ามู่เฉินตัดสินใจแล้ว พวกเขาก็ไม่พยายามโน้มน้าวอีก นอกจากนี้พวกเขาก็รู้ถึงพลังของหัวใจพาฬกินสายฟ้า แม้ว่าการรวมตัวของอสูรวิญญาณในหุบเขาจะทรงพลัง แต่ก็ไม่อาจทนต่อการโจมตีของหัวใจพาฬได้
“งั้นก็ระวังตัว พวกเราจะถอยออกไปก่อน” จิ่วโยวพยักหน้าเชิงรับรู้ เนื่องจากพวกนางไม่สามารถให้ความช่วยเหลือใดๆ แก่มู่เฉินหากรออยู่ที่นี่ ถ้ามีสิ่งใดเกิดขึ้นพวกเขาอาจทำให้มู่เฉินพะว้าพะวงด้วยซ้ำ
“ฝากดูรอบๆ ให้ข้าด้วย” มู่เฉินกล่าว เขาไม่ต้องการให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์หลังจากที่เขาจัดการอสูรวิญญาณทั้งหมดที่นี่ด้วยความยากลำบาก
จิ่วโยวพยักหน้า จากนั้นก็ไม่รอช้าหันหลังกลับทะยานออกไป แม้ว่าพวกหานซันจะอยากรู้เป้าหมายของมู่เฉิน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ถามอะไร ตามจิ่วโยวไปอย่างรวดเร็ว
มู่เฉินมองส่งร่างเงาพรรคพวกที่แยกย้ายไปจนลับสายตา จากนั้นก็เลื่อนสายตามองไปที่หุบเขาเบื้องหน้าพลางสูดหายใจลึก หัวใจสีเงินที่แล่นแปลบปลาบด้วยสายฟ้าก็ปรากฏขึ้นในมือ
“ต้องพึ่งเจ้าแล้วนะ คู่หู…” มู่เฉินพึมพำขณะกลายเป็นร่างแสงพุ่งเข้าไปยังหุบเขาที่ล้อมรอบด้วยรัศมีความตาย
ยิ่งเข้าใกล้รัศมีความตายก็ยิ่งหนาทึบมากขึ้น ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆรัศมีความตายสีดำ สายฝนสีดำตกลงมา ทำให้บริเวณนี้ถูกปกคลุมด้วยไอเย็นเยือก
ภายใต้ความเย็นเยือกนี้ คลื่นหลิงในร่างกายของมู่เฉินก็เริ่มเฉื่อยชาลง ผิวหนังถูกปกคลุมด้วยไอเย็น ราวกับว่ากำลังกัดกร่อนร่างกายของเขา
เมื่อสัมผัสได้ถึงสถานการณ์นี้ มู่เฉินก็ไม่กล้าชักช้าเร้ากายามังกรหงส์อย่างรวดเร็ว แสงสีทองกำจายอยู่บนร่าง เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้องออกมาขับไล่รัศมีความตายที่บุกเข้ามาในร่างกายของเขาทั้งหมด
ฟิ้ว!
ด้วยการปกป้องร่างของกายามังกรหงส์ มู่เฉินก็พุ่งเข้าไปในหุบเขาที่ปกคลุมด้วยรัศมีความตายอย่างรวดเร็ว จังหวะที่เขาก้าวเข้าไปในหุบเขา เงาสีดำที่อยู่ในหุบเขาก็เบิกตาโพลง เสียงคำรามโกรธเกรี้ยวดังออกมาจากปากของพวกมัน
วาบ!
เงาดำจำนวนมากพุ่งออกมาเปลี่ยนเป็นแสงสีดำซัดใส่มู่เฉิน พยายามล้อมฆ่าเขา
มู่เฉินมองเงาดำเหล่านั้นที่พุ่งเข้ามาก็ไม่กล้าเข้าโรมรันพันตู เพราะเขารู้ว่าถ้าถูกสกัดเอาไว้ วันนี้เขาคงไม่สามารถหนีจากหุบเขาไปได้แล้ว
ฮา!
มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึก ตราประทับเปลี่ยนไป วิญญาณหงส์ฟ้าแท้จริงที่สถิตอยู่บนแขนของเขาก็ขยับไปที่ด้านหลัง แสงหลิงพวยพุ่ง ปีกหงส์ฟ้าขนาดใหญ่คู่หนึ่งก็กางออก
ตู้ม!
ปีกหงส์ฟ้ากระพือวูบวาบ ความเร็วของมู่เฉินก็เพิ่มสูงขึ้น เขาทะยานผ่านแนวกีดขวางของอสูรวิญญาณขั้นแปดไปอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าไปในส่วนลึก
โฮก!
เมื่ออสูรวิญญาณเหล่านั้นเห็นว่าการสกัดกั้นล้มเหลวก็ส่งเสียงคำรามอย่างโกรธแค้น พวกมันกระโจนขึ้นก่อนที่จะทะยานล้อมรอบร่างมู่เฉิน
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ด้วยความช่วยเหลือของปีกหงส์ฟ้า ความเร็วของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นจนน่าตกใจ เขาผ่านการสกัดกั้นของอสูรวิญญาณอย่างคล่องแคล่ว โดยใช้ข้อบกพร่องจากการขาดสติปัญญาของพวกมัน ค้นหาช่องโหว่ พุ่งลึกเข้าไปในหุบเขาลึก
หลังจากเสียเวลาไปไม่กี่นาทีจากการตามล่าและการล้อมกรอบ ในที่สุดมู่เฉินก็เข้าสู่บึงน้ำ
ขณะที่เขาก้าวเข้ามายังบึงรัศมีความตาย อสูรวิญญาณขั้นเก้าที่นั่งอยู่บนต้นไม้ความตายในส่วนลึกก็เปิดตาขึ้น ดวงตาคู่นั้นไม่ได้ว่างเปล่า เหมือนมีแสงไฟกะพริบเลือนราง เมื่อเปรียบเทียบกับอสูรวิญญาณขั้นแปด เห็นได้ชัดว่ามันมีร่องรอยของจิตวิญญาณ
โฮก!
อสูรวิญญาณขั้นเก้ามองไปในทิศทางของมู่เฉินก็ปล่อยเสียงคำรามลึกพลางชกหมัดออกมาจากระยะไกล
ตู้ม!
กำปั้นเหวี่ยงออก ฉีกรอยร้าวบนมิติราวกับเป็นกระจกร้าว รัศมีความตายไร้ขอบเขตเจาะทะลุมิติอย่างรวดเร็วแล้วมาปรากฏต่อหน้ามู่เฉิน ก่อนที่จะกระโจนเข้ามาอย่างดุร้าย
รัศมีความตายอันน่าสะพรึงกลัวครอบงำแผ่ซ่าน ตราประทับในมือมู่เฉินก็เปลี่ยนไป ร่างที่กำลังพุ่งก็แข็งทื่อ จากนั้นก็ทิ้งตัวลงมาจากท้องฟ้าราวกับก้อนหินหนักพันชั่งถ่วงไว้ เมื่อเหยียบย่ำลงไปบนพื้นดิน รัศมีความตายก็ลอยหวือเหนือร่างไป ทำลายผาหินขนาดใหญ่
แต่ถึงแม้ว่าจะสามารถหลบหลีกรัศมีความตายได้ มู่เฉินก็ยังรู้สึกถึงเลือดและรัศมีที่พลุ่งพล่านอยู่ในร่างกาย เขาแอบตกตะลึงและหวาดผวาในใจ อสูรวิญญาณขั้นเก้าน่ากลัวเสียจริง…
หากเขาเผชิญหน้ากับมันตรงๆ ด้วยพลังในปัจจุบัน ต่อให้เขาใช้ทุกวิถีทางก็ไม่สามารถหลบอสูรวิญญาณขั้นเก้าไปได้…
เมื่ออสูรวิญญาณเห็นว่ามู่เฉินหลีกเลี่ยงการโจมตีไปได้ มันก็ไม่ได้ไล่ตามเพราะไม่ต้องการออกห่างจากดอกบัวมรกตเก้าโคจร เนื่องจากกลัวมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
แต่มู่เฉินต้องการดึงมันออกมาให้ได้ถ้าเขาต้องการใช้หัวใจพาฬกินสายฟ้า ความคิดสายหนึ่งวูบไหว จากนั้นเขาก็หันไปอีกทางหนึ่ง ชัดว่าคิดจะเข้าไปส่วนลึกบ่อจากขอบบ่อ
ด้านหลังแม้ว่าอสูรวิญญาณขั้นแปดเหล่านั้นจะไล่ตามมาไม่หยุด แต่พวกมันก็ไม่สามารถตามทันได้
โฮก!
อสูรวิญญาณขั้นเก้าก็รับรู้ถึงความตั้งใจของมู่เฉิน มันสัมผัสมู่เฉินที่เคลื่อนไหวลึกเข้าไปในบึงเรื่อยๆ ในที่สุดก็ไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไป ทันใดนั้นมันก็ปลดปล่อยเสียงคำราม รัศมีความตายครอบงำราวกับพายุทอร์นาโด
มันกระทืบเท้า ร่างหายไปทันที เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็อยู่ที่ขอบฟ้าแล้ว
ขณะที่อสูรวิญญาณขั้นเก้าเข้ามาอยู่ในสายตาของมู่เฉิน เขาก็รู้สึกถึงแรงกดดันของบริเวณนี้พุ่งขึ้นฉับพลัน ความเจ็บปวดบนผิวหนังพล่านไป เนื่องจากสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามใหญ่หลวง
ดังนั้นมู่เฉินจึงหยุดชะงักทันที ปีกของหงส์ฟ้ากระพือ เขาหันไปทางอื่นแล้วหลบหนี
ที่เบื้องหลังอสูรวิญญาณขั้นเก้าไล่ตามมาพร้อมกับอสูรวิญญาณขั้นแปดตามติดมาอย่างกระชั้นชิด แม้ว่าพวกมันจะทรงพลังแต่สติปัญญาก็ขาดหาย
แต่สิ่งที่ทำให้มู่เฉินตกใจก็คือความเร็วของอสูรวิญญาณขั้นเก้า กระทั่งหลังจากการใช้จิตวิญญาณหงส์ฟ้าแท้จริง มันก็ยังสามารถปิดช่องว่างระหว่างพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว
ไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็รู้สึกถึงแรงกดดันทรงพลังห่อหุ้มจากด้านหลัง เขาสามารถรับรู้ถึงกลิ่นความตายที่มาจากอสูรวิญญาณขั้นเก้าได้แล้ว
ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป อสูรวิญญาณขั้นเก้าจะไล่ตามเขาทันในอีกไม่นาน
ดวงตาของมู่เฉินวูบไหว จากนั้นก็หายใจเข้าลึก ร่างเคลื่อนไหวไปปรากฏบนเนินเขาก่อนจะหันกลับมามองรัศมีความตายที่พล่านออกรุนแรง
มือของเขาเหยียดออกจากแขนเสื้อ หัวใจสีเงินเต้นตุบตับเปล่งเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง
“ได้โอกาสแล้ว…”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง จากนั้นสายตาก็ดุร้ายลงหลายส่วน ฝ่ามือสั่นไหว หัวใจสีเงินก็กลายเป็นแสงสีเงินพุ่งเข้าหารัศมีความตายเชี่ยวกราก
บทที่ 1052 ทำลายล้าง
แสงสีเงินพุ่งผ่านขอบฟ้า
ยิงไปยังเหล่าอสูรวิญญาณที่ไล่กวดตามมา รัศมีแห่งการทำลายล้างอัดแน่นอยู่ในแสงสีเงินนั้น
แสงสีเงินพุ่งผ่าน ถึงแม้จะดูไม่โดดเด่น แต่ก็ทำให้ร่างอสูรวิญญาณขั้นเก้าหยุดชะงักลงตามสัญชาตญาณ ดวงตากลวงโบ๋จ้องมองไปที่แสงสีเงิน แม้ว่ามันจะไม่มีสติปัญญา แต่สัญชาตญาณของมันก็รับรู้ถึงรัศมีแห่งการทำลายล้างจากแสงที่ไม่โดดเด่น
แม้ว่ามันจะตายไปแล้ว แต่ถ้าถูกแสงสีเงินนี้เข้าละก็ได้กลายเป็นเถ้าธุลีหายไปตลอดกาลแน่…
ดังนั้นอสูรวิญญาณขั้นเก้าจึงถอยกลับทันท่วงทีตามสัญชาตญาณที่บอกว่าให้หนี มิฉะนั้นวันนี้คงจะถูกทำลายสิ้นซากอย่างแท้จริง
ปัง!
ทว่าถึงสัญชาตญาณของอสูรวิญญาณขั้นเก้าเฉียบคม แต่อสูรวิญญาณขั้นแปดที่อยู่ด้านหลังกลับด้อยกว่าหลายส่วน ดังนั้นพวกมันยังคงมุ่งมั่นพุ่งเข้ามาแบบไม่คิดชีวิต เมื่ออสูรวิญญาณขั้นเก้าถอยหลังกลับก็ชนเข้ากับกลุ่มอสูรวิญญาณขั้นแปด ทุกอย่างสับสนอลหม่านไปหมด
ในขณะนั้นเองที่ร่างอสูรวิญญาณขั้นเก้าที่ถอยกลับก็หยุดลง
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
ในช่วงเวลาสั้นๆ แสงสีเงินก็ปรากฏตรงหน้า มันสั่นเบาๆ อึดใจเสียงระเบิดน่าสะพรึงก็ปะทุจากแสงสีเงิน
ครืน!
ราวกับว่าเทพสายฟ้าแห่งการทำลายล้างยาตราลงมาเองพร้อมกับเสียงกึกก้องน่ากลัวดันพื้นดินเบื้องล่างขึ้น คลื่นเสียงพุ่งผ่านไปหมื่นจั้ง ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจเสียงดังก้องก็สามารถได้ยินอย่างชัดเจนในทุกที่รัศมีหมื่นลี้
ประกายสายฟ้าบนท้องฟ้าเหมือนของเหลวสายฟ้าที่ควบแน่นตกลงมาจากท้องฟ้า ทันใดนั้นทั่วบริเวณเปลี่ยนเป็นเงิน มากจนกระทั่งเมฆรัศมีความตายหนาทึบก็ถูกสายฟ้าเจาะทะลวงแล้วเหือดหายไป
ความผันผวนที่น่ากลัวพวยพุ่งและระเบิดออกมา
สายฟ้าสะท้อนให้เห็นในม่านตาของมู่เฉิน เขามองการสั่นสะเทือนโลก แววหวาดผวาก็ปรากฏในดวงตา เห็นได้ชัดว่าพลังหัวใจพาฬกินสายฟ้าเกินความคาดหมายของเขาไปมาก
พลังช่างทำลายล้างแบบสุดยอด
ไม่มีจอมยุทธ์ที่อยู่ใต้ระดับตี้จื้อจุนสามารถต้านทานการโจมตีที่น่ากลัวนี้ได้
ดังนั้นมู่เฉินจึงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ปีกหงส์ฟ้ากระพือส่งเขาไปในทางตรงกันข้ามกับหัวใจพาฬกินสายฟ้า หากเขาอยู่ใกล้กับผลกระทบมากเกินไป ก็จะถูกลากเข้าไปในวังวนหายนะแน่
เมื่อถอยออกมา ตราประทับก็เปลี่ยนไป ร่างกายของเขาถูกห่อหุ้มด้วยริ้วแสงแวววาวสีทอง เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้อง เทพอสูรทั้งสองพุ่งออกจากร่างเขากลายเป็นภาพมายาขดอยู่รอบตัวเขา ก่อร่างเป็นปราการป้องกันทรงประสิทธิภาพ
แต่หลังจากเร้ากายามังกรหงส์ออกมาแล้ว มู่เฉินก็ยังไม่ไว้ใจ เขาเร้าร่างเทพสุริยะห่อหุ้มตัวเองไว้อีกชั้น
ตู้ม!
เมื่อมู่เฉินใช้การป้องกันเต็มรูปแบบแล้ว หัวใจพาฬกินสายฟ้าที่อยู่ไกลก็ระเบิด ภายใต้การกระตุ้นของเขา
นี่เป็นพลังงานสายฟ้าจากพาฬกินสายฟ้าโบราณที่สะสมมาเป็นเวลายาวนาน
เสียงฟ้าคำรนกวาดออกราวกับลอนคลื่นนับไม่ถ้วนพัดกระจายไปในระยะไกล ในเส้นทางที่พาดผ่าน มิติแตกสลาย รอยแตกแผ่ซ่านบนพื้นดิน ล้อมรอบหุบเขาขนาดใหญ่ทั้งหมด
ในเส้นทางที่สายฟ้ากวาดผ่านทุกสรรพสิ่งกลายเป็นเถ้าถ่าน
กลุ่มอสูรวิญญาณขั้นแปดโดนเป็นกลุ่มแรก ร่างตายซากของพวกเขาช่างไร้ประโยชน์ที่เบื้องหน้าคลื่นกระแทก เมื่อสายฟ้าแลบแปลบปลาบร่างพวกมันก็สั่นเทิ้มก่อนที่จะสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน
ร่างสุดท้ายที่ยังคงอยู่คืออสูรวิญญาณขั้นเก้า รัศมีความตายมหึมาพวยพุ่งออกมาจากร่างมัน แต่ก็สามารถขัดขวางคลื่นสายฟ้าได้แค่พริบตา จากนั้นสายฟ้าก็โหมกระหน่ำทำลายรัศมีความตายปกคลุมร่างมันเอาไว้
ยามนี้ทั่วบริเวณราวกับโลกสายฟ้า
ขณะที่กลุ่มอสูรวิญญาณถูกกลืนกิน มู่เฉินก็ไม่ได้มีช่วงเวลาที่ดีเช่นกัน แม้ว่าเขาจะถอยกลับออกไป แต่เขาก็ยังประเมินพลังของพาฬกินสายฟ้าน้อยไป
ดังนั้นถึงเขาจะใช้ความเร็วเต็มที่ในการถอยก็ยังสามารถเห็นคลื่นกระแทกสายฟ้าไร้ขอบเขตพุ่งใกล้เข้ามาหาจากระยะไกล สุดท้ายก็กระแทกกับร่างเทพสุริยะจังใหญ่
ปัง!
วินาทีนั้นฟ้าดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น รอยร้าวเริ่มแผ่กระจายไปทั่วร่างเทพสุริยะก่อนที่จะระเบิดและจางหายไป
อ็อก!
ต่อให้มีร่างเทพสุริยะคุ้มครอง มู่เฉินก็ยังกระอักเลือดเต็มปาก ร่างกายราวกับจะแตกสลาย สุดท้ายก็ดิ่งพสุธาตกลงสู่พื้น กระดูกเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยง
สายฟ้ายังคงครอบงำชำระล้างหุบเขาใหญ่ทั้งหมดจนสะอาด…
พื้นที่ไกลจากหุบเขา เมื่อจิ่วโยวและคนอื่นๆ ที่กำลังถอยห่างเห็นคลื่นกระแทกที่น่าสะพรึงกลัวร่างกายก็หยุดชะงักลงพลางจ้องมองไปด้วยสายตาเคร่งเครียด
“น่ากลัวอะไรแบบนี้” หานซันอึ้งไป แม้จากตรงนี้เขายังรู้สึกว่าคลื่นกระแทกน่ากลัวเพียงใด ถ้าเขาอยู่ใกล้คงตายคาที่แน่นอน
จิ่วโยวกัดริมฝีปากเบาๆ แววกังวลพลุ่งพล่านในดวงตา แต่จากนั้นนางก็หายใจลึก “ระวังรอบๆ อย่าปล่อยให้ใครมาใกล้”
มั่วเฟิงและคนอื่นๆ พยักหน้ารับรู้ ตอนนี้พวกเขาได้แต่หวังว่ามู่เฉินจะไม่เป็นไร
ขณะที่จิ่วโยวหยุดอยู่บริเวณนี้เพื่อเฝ้าระวัง ชายชุดสีฟ้าบนยอดเขาทางเหนือก็มองไปที่ทิศทางนั้นแล้วขมวดคิ้ว นั่นเป็นเพราะเมื่อสักครู่เขารู้สึกถึงคลื่นกระแทกของพลังงานหลิงรุนแรง
ชายคนนี้ก็คือไป๋หมิงแห่งเผ่าหงส์ฟ้า
“พี่ใหญ่ไป๋หมิง นั่นมันพลังงาน?” ที่ด้านข้าง ไป๋ปิงก็ปรากฏขึ้นด้วยอาการหวาดกลัว เขาสามารถรู้สึกได้ถึงความรุนแรงของพลังงานในฟ้าดิน
“พลังงานรุนแรงนี้น่าจะเป็นของสายฟ้า กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าก็คงไม่สามารถต้านทานพลังนั้นได้” ไป๋หมิงหรี่ตาลง ก่อนที่แววตาจะวูบไหวด้วยความเข้าใจ เขายิ้มอ่อน “ดูเหมือนว่าข้าประเมินค่าไอ้บ้านั่นมากเกินไป ถูกอสูรวิญญาณขั้นแปดบีบจนถึงขั้นนี้เชียว”
ในมุมมองของเขา การรวมกลุ่มของพวกมู่เฉินไม่ง่ายนักที่จะฆ่าอสูรวิญญาณขั้นแปด หากพวกเขาต้องการที่จะฆ่ามันโดยไม่บาดเจ็บล้มตายก็จะต้องใช้หัวใจพาฬกินสายฟ้าอย่างเดียว
ไป๋ปิงอึ้งไปจากนั้นก็เอ่ยอย่างดีใจ “มันใช้หัวใจพาฬกินสายฟ้าแล้วรึ?”
“พลังงานดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่มีกลุ่มใดที่เข้ามาในดินแดนเสินโซ่มี นอกเหนือจากหัวใจพาฬกินสายฟ้าในมือมันแล้ว ก็น่าจะไม่มีคนอื่นอีก”
ไป๋หมิงผงกหัวขณะที่ความเคร่งเครียดวูบไหวในดวงตาก่อนที่จะพูดต่อ “แต่พลังของมันช่างน่ากลัวจริงๆ หากไอ้เหลือขอนั่นใช้กับข้า ข้าก็คงไม่รอด”
“หึ แต่จากนี้ไปไอ้บ้านั่นจะทำอะไรได้ในมือของพี่ใหญ่ไป๋หมิงอีก?” ไป๋ปิงแสยะยิ้ม
ไป๋หมิงยิ้มบาง เมื่อไม่มีหัวใจพาฬกินสายฟ้า มู่เฉินก็เปรียบเสมือนมดตัวหนึ่งในสายตาของเขา หากพบกันอีกครั้ง เขาจะบอกอีกฝ่ายว่าโง่เง่าแค่ไหนที่ทำให้เขาขุ่นเคือง
“จัดการกับอสูรวิญญาณขั้นแปดตรงหน้าเราก่อน” ไป๋หมิงส่ายหัว เลิกสนใจเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของมด เขาเงยหน้ามองออกไป ฝูงอสูรวิญญาณถูกกำจัดโดยจอมยุทธ์เผ่าหงส์ฟ้าหมดแล้ว มีเพียงอสูรวิญญาณขั้นแปดที่ยังคงอยู่พยายามหลบหนีอยู่
เขากำมือ พัดน้ำแข็งสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นในพริบตา จากนั้นร่างของเขาหายไป เมื่อเผยตัวขึ้นอีกครั้งก็ยืนค้ำอยู่เหนือร่างอสูรวิญญาณขั้นแปดแล้ว
ฟิ้ว!
รัศมีสีฟ้าน้ำแข็งเย็นเยือกกวาดออกมาราวกับหงส์ฟ้าสยายปีก เปลี่ยนเป็นกระแสคลื่นกลืนกินอสูรวิญญาณขั้นแปด รัศมีเย็นเยือกกวาดผ่าน ก็เหลือเพียงรูปปั้นน้ำแข็งถูกทิ้งไว้
ไป๋หมิงพลิ้วลงมาบนหัวของรูปปั้นเบาๆ ด้วยสีหน้าไม่แยแส จากนั้นก็ใช้ปลายเท้าเตะเบาๆ รูปปั้นน้ำแข็งแตกเป็นเสี่ยง ก่อนจะสลายกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง
หัวใจที่เต็มไปด้วยรัศมีความตายลอยขึ้นมาแล้วถูกไป๋หมิงคว้าไป เขาเคล้าคลึงหัวใจไปมา สายตากลับจ้องมองไปยังระยะไกล รอยยิ้มเย้ยหยันผุดขึ้นที่มุมปาก
หวังว่ามู่เฉินจะยังกล้ามุ่งหน้าเข้าสู่ส่วนใน เขาอยากบอกให้มันรู้ว่ามดที่กล้าแหย่สัตว์ใหญ่โตน่าเศร้าแค่ไหน
ในหุบเขาที่วินาศสันตะโรผาหินและยอดเขาโดยรอบถูกปรับให้ราบเตียนเหมือนพื้นเรียบ มีรอยแตกยาวนับไม่ถ้วนแผ่กระจายไปทั่วพื้นดินราวกับเหว
หุบเขาขนาดใหญ่แห่งนี้ถูกทำลายล้างไปอย่างสิ้นเชิง
ปัง!
บนดินแดนวิปโยค ก้อนหินก้อนใหญ่กระเด็นออกไป ร่างเงาหนึ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า จากนั้นก็พลิ้วตัวลงมาบนพื้นดิน เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่นร่างเต็มไปด้วยบาดแผล มีรอยเลือดที่มุมปาก รูปร่างหน้าตาดูสะบักสะบอมอย่างยิ่ง
นี่ก็คือมู่เฉินนั่นเอง
เขาเช็ดรอยเลือดพลางก้มศีรษะลงมองหุบเขาที่พังทลายด้วยความหวาดผวาฉายในดวงตา พลังสายฟ้าของพาฬกินสายฟ้าทรงพลังเกินไป
มู่เฉินกวาดสายตาออกไป ไม่มีร่องรอยอสูรวิญญาณอีก ชัดว่าพวกมันถูกทำลายล้างอย่างสมบูรณ์
“ไม่รู้ว่าดอกบัวมรกตเก้าโคจรเป็นยังไงบ้างแล้ว?”
เมื่อนึกถึงสิ่งล้ำค่านี้ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไป เขาทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว เขามาที่นี่เพื่อดอกบัวมรกตเก้าโคจรและยังใช้หัวใจพาฬกินสายฟ้า หากผลกระทบจากคลื่นกระแทกของหัวใจพาฬทำลายมันไป ตับไตไส้พุงของเขาคงกลายเป็นสีเขียวคล้ำจากการตรอมตรม
ฟิ้ว!
มู่เฉินทะยานข้ามพื้นที่วิปโยค จากนั้นก็ไปปรากฏตัวอยู่ในบึงรัศมีความตาย แต่ในเวลานี้บึงถูกทำลายลงอย่างมากพร้อมกับรัศมีความตาย
เมื่อเห็นภาพนี้หัวใจของมู่เฉินก็ดิ่งลง เขาเพิ่มความเร็วยิ่งขึ้นไปอีก พุ่งไปที่ใจกลางบึงพลางกวาดสายตาไปทั่ว จากนั้นเขาก็เห็นบ่อน้ำใสยังคงเงียบสงบอยู่ในบึง โดยรอบมีมวลน้ำสีดำซึ่งแบ่งแยกออกจากกันอย่างชัดเจน
ที่ส่วนลึกของบึงดอกบัวสีเขียวมรกตกระเพื่อมเบาๆ เปล่งประกายแสงสีเขียวที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตไร้ขอบเขต
บทที่ 1053 ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด
บ่อน้ำยังคงใสกระจ่างอยู่ใจกลางบึง
เมื่อมู่เฉินเห็นก็รู้สึกโล่งใจมาก โชคดีที่สมบัติยังอยู่ดี มิฉะนั้นเขาคงกระอักเลือดออกมาแน่
เมื่อเห็นว่าดอกบัวมรกตเก้าโคจรยังคงสภาพดี มู่เฉินก็ไม่กล้าหน่วงเวลา เนื่องจากความปั่นป่วนในพื้นที่นี้ยิ่งใหญ่มาก ซึ่งจะต้องถูกหลายกลุ่มรับรู้ได้แน่นอน ดังนั้นเขาต้องรีบเอาสมบัติแล้วจากไปให้เร็วที่สุด
คิดถึงตรงนี้ มู่เฉินก็ปรากฏตัวเหนือบ่อน้ำลงมือฉับพลัน คลื่นหลิงระเบิดออกมาจากฝ่ามือ สายตาจับจ้องไปที่ดอกบัวสีเขียวมรกตด้านล่าง ก่อนจะระเบิดแรงดูดลงไป
มวลน้ำกระจ่างใสยกตัวขึ้นพร้อมกับดอกบัวสีเขียวที่ห่อหุ่มด้วยดินโคลนลอยคว้างอยู่เบื้องหน้ามู่เฉิน
กลิ่นหอมแปลกประหลาดตลบอบอวลซึ่งเต็มไปด้วยพลังชีวิตไร้ขอบเขต บรรเทาความเจ็บปวดในร่างกายมู่เฉินทันที ราวกับว่ากระดูกที่แตกหักของเขาได้รับการฟื้นฟู นำมาซึ่งความรู้สึกที่ซาบซ่านและชาวาบไปหมด
มู่เฉินสะบัดนิ้ว โคลนหลุดร่อนออกไปเผยให้เห็นดอกบัวมรกตชัดเจนยิ่งขึ้น ดอกบัวนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ ดูชดช้อยราวกับว่าถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจง โดยเฉพาะเม็ดบัวที่เปล่งพลังงานชีวิตที่น่าตกใจ พื้นผิวของเม็ดสลักด้วยอักขระลึกซึ้งมากมาย อักขระเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นตามธรรมชาติซึ่งทำให้ยิ่งลึกซึ้งและลึกลับ
“นี่หรือดอกบัวมรกตเก้าโครจร…” มู่เฉินรู้สึกเคลิบเคลิ้มเล็กน้อยจากความงาม อดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจ หากสมุนไพรวิเศษชิ้นนี้ถูกวางไว้ในโรงประมูลของมหาพันภพจะต้องดึงดูดการแข่งขันที่ดุเดือดของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าแน่นอน นั่นเป็นเพราะตราบใดที่ผู้ฝึกมีสิ่งนี้ โอกาสในการปลดตรวนของระดับจื้อจุนก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้สามารถก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนได้อย่างแท้จริง
และเมื่อก้าวเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนทุกสิ่งก็จะเปลี่ยนไป เทียบได้กับการพุ่งทะยาน หากระดับจื้อจุนเป็นจอมยุทธ์ทรงพลัง ระดับตี้จื้อจุนก็เป็นเจ้าของขุมกำลังได้เลย
ในภูมิภาคทางเหนือระดับจื้อจุนขั้นเก้าอาจมีตำแหน่งสูงสุดในขั้วอำนาจ แต่พวกเขาไม่สามารถสร้างขุมกำลังของตนเองได้ นั่นเป็นเพราะมีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเท่านั้นที่สามารถปกป้องขั้วอำนาจได้
ตราบใดที่พวกเขามีสถานะแบบนั้นก็จะสามารถเข้าถึงทรัพยากรเพื่อการฝึกฝนในปริมาณที่มากขึ้น แล้วเดินหน้าต่อไปในการเส้นทางยอดยุทธ์
หลังจากมู่เฉินรำพึงอยู่ในใจ เขาก็เก็บดอกบัวสีเขียวไว้อย่างระมัดระวัง เมื่อเขาหันหลังจากไปก็โบกมือคลื่นหลิงพุ่งออกมาทำลายบ่อน้ำจนไม่เหลือซาก
เขาไม่ต้องการให้คนอื่นมาที่นี่และพบเบาะแสของดอกบัวมรกตเก้าโคจร ยิ่งเมื่อรวมกับความวินาศสันตะโรของสถานที่แห่งนี้ บางคนอาจจะคาดเดาอะไรได้ หากเป็นเช่นนั้นก็จะสร้างปัญหาให้กับตัวเขา
มู่เฉินวางใจลงเมื่อทำลายบ่อน้ำทิ้ง ร่างเขาขยับเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งออกไปจากที่นี่
ไม่นานหลังจากที่มู่เฉินจากไป เสียงลมแหวกอากาศดังขึ้น หลายกลุ่มปรากฏตัวในเวลาเดียวกัน ก่อนที่จะเข้าใกล้ดินแดนล่มสลายนี้อย่างระมัดระวัง
แต่ละกลุ่มสำรวจพื้นที่ด้วยความอยากรู้ สุดท้ายก็มองไปที่ซากบ่อน้ำที่ถูกทำลาย แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะถูกทำลายไปแล้ว แต่พลังชีวิตในดินแดนนี้ซึ่งถูกปกคลุมด้วยรัศมีความตายก็ยังคงสะดุดตา
แม้ว่าจะพบสถานที่แห่งนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเนื่องจากการทำลายล้างจนเฮี้ยนเตียน ดังนั้นจึงได้แต่ส่ายหัวด้วยความเสียใจ
พวกเขาเดาได้ว่ามีสมบัติอยู่ที่นี่ แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าคืออะไร ดังนั้นแต่ละกลุ่มจึงจากไปหลังจากตรวจสอบเพิ่มอีกไม่นาน
ตอนนี้มู่เฉินออกไปไกลจากที่เกิดเหตุแล้ว พริบตาเขาก็มาปรากฏตัวบนเนินเขาที่พรรคพวกกำลังรออยู่
เมื่อจิ่วโยวและคนอื่นๆ เห็นว่ามู่เฉินกลับมาโดยไม่เป็นอันตราย ใบหน้าก็ฉายความยินดีและรู้สึกโล่งใจมาก หากพวกเขาไม่มีมู่เฉินไปต่อด้วย การเดินทางของพวกเขาคงจะสิ้นหวังแน่
“สำเร็จใช่ไหม?” จิ่วโยวยิ้มเมื่อเห็นความสุขกำจายในดวงตาของมู่เฉิน ดูท่าครั้งนี้เขาเก็บเกี่ยวได้ดีทีเดียว
มู่เฉินยิ้มตาหยีพลางพยักหน้า การได้ดอกบัวมรกตเก้าโคจรมาครอบครอง ทำให้เขามีความสุขอย่างยิ่ง
เมื่อจิ่วโยวเห็นปฏิกิริยานี้ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก นางรู้ว่าสิ่งที่ทำให้มู่เฉินยอมเสี่ยงชีวิตและใช้หัวใจพาฬกินสายฟ้าไม่ใช่วัตถุธรรมดาแน่ แต่นี่เป็นสิ่งที่มู่เฉินหามาได้ด้วยตัวเอง โดยที่พวกนางไม่ได้ให้ความช่วยเหลือใดๆ ดังนั้นวัตถุนี้จึงเป็นของมู่เฉินผู้เดียวเท่านั้น
ไม่เพียงแต่จิ่วโยวที่ใกล้ชิดกับมู่เฉินที่มีความคิดนี้ แม้แต่หานซัน มั่วเฟิงและคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ถามอะไรมากความ เพราะพวกเขาเข้าใจดีในเรื่องนี้
“เราหาสถานที่พักผ่อนเตรียมความพร้อมกันก่อนเถอะ แล้วค่อยมุ่งหน้าไปยังส่วนในของสุสานสักการะเทพกัน” มู่เฉินมองทุกคน ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในสภาพพร้อมรบ นอกจากนี้ในเมื่อได้รับดอกบัวมรกตมาแล้ว เขาก็ต้องใช้มันเพื่อช่วยบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างแท้จริง
ตราบใดที่ขุมพลังหลิงของเขาไปถึงระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด บวกกับความจริงที่พลังกายของเขาเปรียบได้กับจอมยุทธ์ระดับนี้ มู่เฉินก็มั่นใจเต็มร้อยว่าไม่มีจอมยุทธ์หน้าไหนที่อยู่ใต้ระดับจื้อจุนขั้นแปดต่อกรกับเขาได้
แม้แต่ไป๋หมิงที่มีอาวุธเสมือนมหสวรรค์ในมือเขาก็ไม่กลัว
กลุ่มที่สามารถเข้าสู่ส่วนในได้ล้วนเป็นพวกหัวกะทิ ผู้นำเหล่านั้นทรงพลัง พวกเขาแข็งแกร่งกว่าจิงชิงเทียนอย่างแน่นอน ดังนั้นมู่เฉินจะต้องพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเอง
คนอื่นก็รับรู้ถึงเจตนาของมู่เฉินจึงพยักหน้าให้กัน
ทั้งกลุ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง ด้วยเนตรดับชีวิตของมู่เฉิน พวกเขาก็หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีฝูงอสูรวิญญาณและรัศมีความตายเชี่ยวกราก สถานที่เหล่านี้ไม่ได้กระจอกกว่าหุบเขาที่เคยเจอก่อนหน้า จากประสบการณ์ของมู่เฉินจะต้องมีสมบัติในดินแดนอันตรายเหล่านั้นแน่
แต่เขาไม่มีความคิดเกี่ยวกับดินแดนสมบัติเหล่านี้อีกต่อไป เมื่อปราศจากหัวใจพาฬกินสายฟ้า หากเขายังเข้าสู่ดินแดนอันตรายอีกก็เป็นการรนหาความตายแล้วจริงๆ
ดังนั้นเฉินมู่จึงตัดสินใจเด็ดขาดระงับความปรารถนาในใจ ก่อนที่จะค้นหาสถานที่ที่มีรัศมีความตายเบาบาง จากนั้นก็ระเบิดถ้ำบนยอดเขาโดดเดี่ยวแห่งหนึ่ง
พรรคพวกที่เหลือกระจายตัวรอบยอดเขาเพื่อปกป้องเขา
ในถ้ำมู่เฉินนั่งลงพร้อมกับดอกบัวมรกตเก้าโคจรลอยคว้างตรงหน้า แสงส่องประกายระยิบระยับพร้อมกับพลังชีวิตไร้ขอบเขตอัดแน่นไปทั้งถ้ำ ทำให้ถ้ำแห่งนี้เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ขนาดพืชที่เหี่ยวแห้งยังแตกยอดออกมาอีกครั้ง
สายตาของมู่เฉินจับจ้องอยู่กับเม็ดสีขาวที่เกสรดอกบัว นี่คือแก่นของดอกบัวมรกตเก้าโคจร เขาต้องดูดซับมันถึงจะสามารถยืมพลังพิเศษของมันตัดตรวนระดับจื้อจุนและเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนในอนาคตได้…
ทว่าพลังชีวิตน่ากลัวที่บรรจุอยู่ภายในเม็ดสีขาวไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถทนได้ในขณะนี้ แต่โชคดีที่ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องชำระล้างอะไร เขาแค่ต้องการดูดซับมันเข้าไปในร่างกาย เพื่อใช้พลังงานตอนบุกทะลวงขั้นในอนาคต
ฮา!
มู่เฉินสูดหายใจลึกแล้วงอนิ้วทั้งสอง เม็ดสีขาวที่อยู่ในเกสรดอกบัวลอยขึ้นช้าๆ ก่อนที่เขาจะโยนคลื่นหลิงไปยังดอกบัวสีเขียว
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
เมื่อแสงหลิงเบ่งบานออกมาดอกบัวมรกตที่มีขนาดเท่าฝ่ามือก็เริ่มขยายอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็มีขนาดประมาณครึ่งจั้งคล้ายกับแท่นดอกบัว
ร่างมู่เฉินพลิ้วลงมาช้าๆ บนแท่นดอกบัว แท่นนี้ไม่สามารถใช้ในการชำระ แต่มีองค์ประกอบทำให้จิตใจสงบและคลื่นหลิงคงที่ ตัวดอกบัวเป็นสมบัติที่สนับสนุนการเพาะบ่มพลัง ดังนั้นในเมื่อมีประโยชน์มู่เฉินก็ไม่คิดละทิ้งไป
เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมมู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขามองไปที่เม็ดบัวสีขาวที่ลอยอยู่ตรงหน้า จากนั้นก็เปิดปากทันที แรงดูดระเบิดออกมาดึงเม็ดบัวเข้าสู่ร่างกาย
ทันทีที่เขากลืนเม็ดบัว พลังชีวิตที่น่ากลัวก็ระเบิดออกจากร่างของมู่เฉิน เส้นผมของเขางอกยาวอย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่กี่อึดใจเส้นผมก็คลุมทั้งถ้ำราวกับวัชพืช
พลังชีวิตที่ระเบิดออกมาอย่างฉับพลันจากร่างกายทำให้มู่เฉินตกตะลึงภายในใจ นี่เป็นเพียงแค่พลังงานที่รั่วไหลออกมาจากเม็ด ถ้าทั้งหมดถูกปลดปล่อยออกมา เขาคงตายคาที่ได้
แต่โชคดีที่เขาต้องการเพียงพลังงานที่รั่วไหลออกมาจากเม็ดเท่านั้น เมื่อชำระพลังส่วนนั้นก็น่าจะช่วยให้เขาบรรลุ ผลักดันการพัฒนาขุมพลังหลิงไปสู่ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดได้
และด้วยพลังในปัจจุบัน เขาน่าจะสามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ดังนั้นเวลาจึงผ่านไปเงียบๆ ในการฝึกฝนของเขา พลังชีวิตในถ้ำก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
ขณะที่มู่เฉินกำลังเพาะบ่มขุมพลัง จิ่วโยวและคนอื่นๆ ก็กระจายตัวนั่งรอบยอดเขาเพื่อปกป้องสถานที่ สายตาของพวกเขาจ้องมองไปที่ถ้ำที่มู่เฉินอยู่ด้วยความตกตะลึงเป็นครั้งคราว เนื่องจากพวกเขาสามารถสัมผัสถึงพลังชีวิตที่แรงกล้า ทันใดนั้นพวกเขาก็รู้สึกดีใจที่มู่เฉินหาสถานที่ที่มีรัศมีความตายเบาบางและมีอสูรวิญญาณเพียงไม่กี่ตัว มิฉะนั้นแค่พลังชีวิตอย่างเดียวก็ดึงดูดอสูรวิญญาณเข้ามานับไม่ถ้วนแล้ว
จิ่วโยวมองไปครู่หนึ่งก่อนที่จะถอนสายตา นางไม่กังวลเกี่ยวกับพัฒนาการของมู่เฉิน เนื่องจากความแข็งแกร่งของเขาเกินขอบเขตของระดับจื้อจุนขั้นหกไปนานแล้ว บวกกับการสั่งสมประสบการณ์การต่อสู้ที่มีทั้งหมดก็เป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับเขาที่จะพัฒนาความก้าวหน้าได้
และเมื่อเขาประสบความสำเร็จในการพัฒนา เขาก็จะมีพลังในการเผชิญหน้ากับไป๋หมิงอย่างแท้จริง
ในเวลานั้นมู่เฉินจะไม่กลัวแม้ว่าจะเผชิญกับจอมยุทธุ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดก็ตาม
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ในใจ จิ่วโยวก็รู้สึกพอใจ โดยไม่รู้ตัวเด็กหนุ่มที่ต้องการการปกป้องจากนางก็แซงนางไปแล้ว
หลังจากเรื่องดินแดนเสินโซ่จบลง เหล่าผู้อาวุโสในเผ่าคงไม่กล้าที่จะดูถูกเขาอีกต่อไป
นอกจากนี้นางยังรู้ว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ในอนาคตมู่เฉินจะต้องแข็งแกร่งขึ้น บางทีคงไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะกลายเป็นยอดยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต แต่ตัวนางไม่เคยสงสัยเลยแม้แต่น้อย
นางรำพึงในใจก่อนที่จะหลับตาลงเพื่อฝึกฝน หนึ่งวันผ่านไป ทันใดนั้นนางก็ลืมตาขึ้นมองพลังงานหลิงไร้ขอบเขตที่ระเบิดออกมาจากถ้ำ ร่างเงาสูงโปร่งค่อยๆ ก้าวย่างออกจากคลื่นพลังนั้น
บทที่ 1054 ส่วนในสุสาน
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกจากถ้ำราวกับคลื่นยักษ์
ขณะที่ร่างสูงโปร่งค่อยๆ ก้าวย่างออกมาภายใต้สายตาจดจ่อของจิ่วโยว หานซันและคนอื่น
เมื่อพวกเขาเห็นเงาร่างนั่นก็อดไม่ได้ที่จะหดเกร็งดวงตา เพราะยามนี้พวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ทรงพลังจากอีกฝ่าย
แรงกดดันทำให้พวกเขาต้องทอดถอนหายใจ ในความจริงพวกเขาก็เป็นจอม์ยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดมานานมาก ทว่าแรงกดดันที่มู่เฉินผู้ซึ่งเพิ่งบุกเข้าสู่ขั้นเดียวกันกลับก้าวข้ามพวกเขาไปไกล
แต่พวกเขาก็เศร้าเสียใจเพียงชั่วครู่ เพราะสำหรับสัตว์ประหลาดที่สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดได้ตั้งแต่เขาอยู่ในขั้นหก พวกเขาก็ไม่แปลกใจที่เขามีพลังการต่อสู้ไม่ธรรมดา
ขณะที่ทุกคนกำลังรำพึงรำพัน มู่เฉินก็ยืนอยู่นอกถ้ำ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตรอบตัวค่อยๆ ย้อนกลับเข้าไปก่อนจะถูกเก็บไว้ในร่างกาย เขาค่อยๆ กำหมัดรู้สึกถึงพลังงานที่ไร้ขอบเขตที่ไหลเวียนทั่วเส้นสายพร้อมกับรอยยิ้มพึงพอใจปรากฏที่มุมปาก
เขาค้นพบว่าคลื่นหลิงในร่างกายมีพลังมากกว่าก่อนหน้าหลายเท่า ความหนาแน่นก็เกินกว่าที่เคยเป็นมามาก
ตามการประเมินหากเขาต้องต่อสู้กับอสูรวิญญาณขั้นแปดอีกครั้ง เขาก็ไม่ต้องลำบากในการสร้างค่ายกลมากมาย ด้วยพลังในปัจจุบันการฆ่าอสูรวิญญาณขั้นนั้นไม่ยากเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
ด้วยขุมพลังหลิงระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดบวกกับความแข็งแกร่งของพลังกาย พลังโดยรวมของเขาเกินกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดทั่วไป
มากจนกระทั่งเขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดได้เลยทีเดียว
นอกจากนี้การเก็บเกี่ยวความก้าวหน้าของเขาไม่ได้มีเพียงแค่นี้…
มู่เฉินหรี่ตาลง มิติผันแปรที่เบื้องหลัง จุดจื้อจุนไห่ของเขาปรากฏขึ้นอย่างคลุมเครือพร้อมกับคลื่นซัดสาดและพลังงานหลิงพลุ่งพล่านเชี่ยวกราก มีแท่นสีขาวลอยเงียบสงบอยู่ที่เบื้องล่างทะเลพลังปลดปล่อยพลังชีวิตไร้ขอบเขตออกมา ทำให้คลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่ควบแน่นและมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น
ตอนนี้มู่เฉินยังไม่สามารถชำระเม็ดบัวมรกตเก้าโคจรได้ ดังนั้นเขาจึงวางเม็ดบัวลงไปในจุดจื้อจุนไห่และปราบปรามเอาไว้
ด้วยวิธีนี้พลังชีวิตของเม็ดบัวขาวจะสามารถหล่อเลี้ยงคลื่นหลิงในจุดจื้อจุนไห่ของเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเขาบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้าและพยายามที่ปลดห่วงตรวนเพื่อเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุน เม็ดบัวขาวนี้ก็จะช่วยเขาให้บรรลุเป้าหมาย
ยิ่งไปกว่านั้นมู่เฉินก็สัมผัสได้ว่าวันเวลาที่ว่าไม่ได้ไกลจากนี้แล้ว เนื่องจากตอนนี้เขาอยู่ในขั้นเจ็ดแล้ว อีกเพียงสองขั้นก็จะไปถึงระดับจื้อจุนขั้นเก้า
ความคิดของมู่เฉินวูบไหวก่อนที่จะถูกระงับ ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือเข้าไปส่วนในของสุสานสักการะเทพ ช่วยจิ่วโยวให้ได้รับแก่นมรดกโลหิตวิหคอมตะโบราณ
จุดจื้อจุนไห่ที่ด้านหลังจางหายไปอย่างรวดเร็ว ด้วยการเคลื่อนไหวเขาก็มาปรากฏตัวต่อหน้าพรรคพวกด้วยรอยยิ้มสดใส “ไปกันเถอะ เราควรไปยังส่วนในแล้ว”
จิ่วโยวและคนอื่นๆ จ้องมองมู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงความมั่นใจในตนเองของเขา แม้ว่าเขาจะสูญเสียหัวใจพาฬกินสายฟ้าที่เป็นไพ่ตายไป แต่การเชื่อมั่นที่ยิ่งใหญ่ในตอนนี้เกิดจากพลังของตัวเขาเอง
เมื่อบรรลุขุมพลังได้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวที่จะปะทะกับไป๋หมิงอีกต่อไป
เมื่อเห็นมู่เฉินมีความมั่นใจเช่นนี้ แม้แต่จิ่วโยวและคนอื่นๆ ก็รู้สึกมั่นใจตามขึ้นมา แต่ละคนพยักหน้า หลังจากนั้นก็ไม่เสียเวลาอีกต่อไป กลายเป็นร่างแสงทะยานออกไป
ในการเดินทางต่อไป มู่เฉินไม่ได้หยุดพักอีก ด้วยความสามารถในการรับรู้ของเนตรดับชีวิต ทำให้พวกเขาหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีฝูงอสูรวิญญาณขนาดใหญ่ไปได้อย่างง่ายดาย มุ่งหน้าไปยังส่วนในโดยไม่มีการขัดขวางใดๆ
พวกเขาเดินทางด้วยความเร็วสูงสุด ครึ่งวันก็รู้สึกว่าทิวทัศน์โดยรอบเริ่มเปลี่ยนไป มิติเบื้องล่างเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีแดงเข้ม สีเข้มข้นนี้ทำให้หัวใจผู้คนเต้นรัว มีรัศมีลางร้ายถูกปล่อยออกมาเลือนราง ทำให้คลื่นหลิงในร่างกายพลุ่งพล่านไม่หยุด
ความเร็วในการเดินทางของกลุ่มมู่เฉินเริ่มช้าลง พวกเขามองไประยะไกล ก็เห็นฟ้าดินบริเวณนั้นเหมือนมีม่านแสงสีทองเข้มปกคลุมลงมา แบ่งฟ้าดินออกเป็นส่วนนอกและส่วนใน
“เราจะเข้าสู่สุสานสักการะเทพหลังจากผ่านม่านแสงนี้” มู่เฉินจ้องมองม่านแสงมหึมาด้วยท่าทางเคร่งเครียด เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่ไม่อาจบรรยายได้มาจากม่านแสงขวางกั้น นี่จะต้องเป็นค่ายกล นอกจากนี้พลังของค่ายกลนี้ก็มีเพียงหลิงเจิ้นต้าซือตัวจริงที่สามารถจัดตั้งขึ้นได้
คนอื่นๆ พยักหน้าด้วยท่าทางเคร่งขรึมและระมัดระวัง
“ไป”
มู่เฉินทะยานนำออกไปเข้าใกล้ม่านแสง เห็นสัญลักษณ์ลึกล้ำนับไม่ถ้วนไหลเวียนอยู่บนม่านแสง ทุกสัญลักษณ์เปล่งพลังน่าสะพรึงกลัวออกมา
การกีดขวางที่เกิดขึ้นจากม่านแสงเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นยังไม่สามารถบุกทะลวงได้ ไม่ต้องพูดถึงกลุ่มมู่เฉินเลย
ดังนั้นมู่เฉินจึงครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะกำมือ หัวใจอสูรวิญญาณขั้นแปดปรากฏขึ้น จากนั้นเขาก็โยนออกไป ค่อยๆ เข้าใกล้ปราการม่านแสง
สัญลักษณ์โบราณไหลเวียน เส้นใยรัศมีก็พล่านลงมาปกคลุมหัวใจอสูรวิญญาณขั้นแปด ภายใต้แสงสว่าง หัวใจสีดำก็กำจายไอหมอกสีดำออกมาซึ่งเป็นรัศมีความตายอันทรงพลัง แต่เมื่อรัศมีความตายเข้าไปสัมผัสกับรัศมีกระจ่างก็ระเหยหายไปหมด
ดังนั้นหัวใจที่เต็มไปด้วยรัศมีความตายจึงกลายเป็นหัวใจธรรมดาในเวลาไม่กี่อึดใจ รัศมีความตายในนั้นถูกลบล้างอย่างสมบูรณ์
นอกจากนี้หัวใจอสูรวิญญาณยังคงมีร่องรอยของพลังชีวิตและชีพจรเบาบาง
มู่เฉินอึ้งไปเมื่อเห็นภาพนี้ ไม่คิดว่าค่ายกลจะทรงพลังปานนี้ ไม่เพียงแต่ชำระรัศมีความตายได้ แต่ยังสามารถมอบพลังให้หัวใจที่ตายไปแล้วนับหมื่นปีให้มีร่องรอยแห่งชีวิตชีวา
แต่…มู่เฉินรู้ว่าถึงกระนั้นหัวใจดวงนี้ก็ไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้อีก…
หัวใจที่ถูกชำระจนสะอาดค่อยๆ เคลื่อนไปทางปราการช้าๆ ก่อนที่จะหลอมรวมเข้าไป ราวกับว่ากลายเป็นแสงรวมอยู่ในค่ายกลขนาดใหญ่
เมื่อหัวใจรวมกับม่านแสง รอยแตกเล็กๆ ก็ค่อยๆ เปิดขึ้นมาตรงหน้าพวกเขา
มู่เฉินมองรอยแตกแล้วสูดหายใจเข้าลึก เขาหันไปแลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยวและคนอื่นๆ ก่อนที่จะพยักหน้าก้าวนำเข้าไป
ด้านหลังพรรคพวกก็ก้าวตามเข้ามา
หลังจากก้าวเข้าไปในรอยแตก ภาพแรกที่เข้ามากระแทกในดวงตาของทุกคนก็คือดินแดนสีแดงเข้ม แผ่กระจายไปไกลไม่มีที่สิ้นสุดราวกับมหาสมุทรโลหิตสีแดงก่ำ
มีรัศมีแปลกประหลาดในดินแดนสีแดงเข้ม สีเหล่านั้นไม่ได้มาจากธรรมชาติ แต่เป็นเลือดบริสุทธิ์ที่แท้จริง ซึ่งเลือดนี้ต้องทรงพลังมาก มิฉะนั้นไม่มีทางชัดเจนปานนี้แม้ว่าจะผ่านไปหมื่นปีก็ตาม จ้องมองชั่วครู่ก็ทำให้มู่เฉินและพรรคพวกรู้สึกถึงความเย็นเยือกในร่างกาย
ดินแดนนี้ประหนึ่งปีศาจ
กลุ่มมู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้า ไม่กล้าลงไปยังดินแดนแห่งนี้ พวกเขายืนอยู่กลางอากาศพลางมองไปบนท้องฟ้าก็พบว่าท้องฟ้าที่นี่แตกต่างจากโลกภายนอก
นั่นเป็นเพราะท้องฟ้าเต็มไปด้วยรัศมีทรงพลังที่ก่อกำเนิดจากสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลัง แม้ว่าพวกเขาจะตายไปแล้ว ปณิธานของพวกเขาก็ยังคงอยู่ราวกับว่ากำลังระงับบางสิ่ง
ผืนฟ้าและผืนดินมองดูแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
และกลุ่มของมู่เฉินก็ดูตัวเล็กมาก ยามนี้ราวกับว่าพวกเขาเป็นมดอยู่ในฝ่ามือของยักษ์สองตัว
“การต่อสู้ที่นี่คงรุนแรงที่สุดในดินแดนเสินโซ่” มู่เฉินถอนหายใจ แม้ผ่านมาหมื่นปี ภาพที่ปรากฏก็ยังโหดเหี้ยม ยากที่จะจินตนาการว่าสงครามแบบไหนที่เกิดขึ้นที่นี่
เผ่าปีศาจต่างมิติมาพร้อมกับคลื่นความโหดร้าย จอมยุทธ์ที่ปกป้องดินแดนเสินโซ่ใช้ทุกอย่างที่มี เพื่อปะทะกับเผ่าต่างมิติที่น่ากลัว
แค่คิดเกี่ยวกับการสงครามครั้งนั้นอย่างเดียวก็ทำให้พวกเขาหวั่นไหว
ใบหน้าของจิ่วโยวและคนที่เหลือเคร่งขรึมลงด้วยความตื่นระวัง ในดินแดนแห่งนี้อันตรายเล็กน้อยก็สามารถฝังกลบพวกเขาทั้งเป็นได้
“ไปกันเถอะ พยายามอย่าลงไปบนพื้นดิน” มู่เฉินมองไปที่ระยะไกลแล้วโบกมือ ในเมื่อพวกเขาเข้ามาส่วนในแล้วก็ไม่ควรยอมแพ้ง่ายๆ
จบคำพูดเขาก็ทะยานออกไป แต่คราวนี้ความระมัดระวังเพิ่มมากขึ้นขณะที่เดินทาง ไม่กล้าที่จะตะลุยไปข้างหน้าแบบเช่นเคย นอกจากนี้เขายังไม่กล้าที่จะใช้เนตรดับชีวิต เพราะถ้าเขาพบวัตถุโบราณจนถูกโต้กลับ จะเป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถทนได้
โชคดีที่ส่วนในไม่ใหญ่เท่าที่คิด หลังจากเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงมู่เฉินก็ชะลอความเร็วลง นั่นเป็นเพราะมีบางสิ่งปรากฏในดินแดนที่ย้อมด้วยสีเลือดนี้
นั่นคือแท่นบูชาโบราณมหึมาที่มีขนาดหนึ่งหมื่นจั้งยืนตระหง่านบนพื้นราวกับว่าเชื่อมโยงสวรรค์และโลก
โซ่หินนับไม่ถ้วนแผ่ออกมาจากแท่นบูชา โซ่เหล่านั้นเชื่อมต่อกับผืนดินราวกับว่ากำลังพันธนาการบางอย่าง
มู่เฉินมองดูแท่นบูชาก็เกิดความคาดเดาในใจ สิ่งที่พวกเขาต้องการในครั้งนี้น่าจะอยู่ที่นี่แหละ
ขณะที่ความคิดนี้วาบวับ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีสายตาผสมการเยาะเย้ยสาดมาจากอีกทิศทางหนึ่งของแท่นบูชา
มู่เฉินเบนสายตาไป ตามคาดก็เห็นไป๋หมิงที่ถือพัดขนนกสีฟ้าน้ำแข็งและสมาชิกเผ่าหงส์ฟ้าคนอื่นๆ
ไป๋หมิงโบกพัด ฉายรอยยิ้มเยาะเย้ยให้มู่เฉินจากระยะไกล
“ไม่คิดว่าเจ้าจะกล้าปรากฏตัวที่นี่จริงๆ ข้าควรจะพูดว่าเจ้ากล้าหาญหรือโง่สุดๆ ดี?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น