หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1043-1050
บทที่ 1043 ไป๋หมิง
“แกคือคนที่สอดแนมข้าก่อนหน้านี้ใช่ไหม?”
ชายชุดสีฟ้าโบกพัดสีฟ้าน้ำแข็งในมือเบาๆ น้ำเสียงไม่แยแสกระจายออกไปทั่ว ทำให้ทุกสายตาที่นี่จับจ้องไปที่มู่เฉินอย่างประหลาดใจ
“ดูเหมือนจะเป็น…มนุษย์ เขามากับเผ่าวิหคโลกันตร์และเผ่าแรดอสูร แต่เขาช่างกล้าซะจริงที่ไปท้าท้ายเผ่าหงส์ฟ้า”
“ไป๋หมิงไม่ใช่คนใจดีอะไรด้วย ลือกันว่าเขาสัมผัสระดับจื้อจุนขั้นแปดแล้ว ซ้ำยังครอบครองอาวุธเสมือนมหสวรรค์ที่เผ่าหงส์ฟ้ามอบให้ชื่อว่าพัดหงส์ฟ้าหิมะ… พลังในการต่อสู้ของเขาไม่ธรรมดา เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดแท้จริงได้”
“มนุษย์คนนั้นไม่รู้เหนือรู้ใต้เลย…”
“…”
เสียงกระซิบดังก้องไปทั่ว สายตามากมายมองไปที่มู่เฉินด้วยความสนุกสนาน คงคิดกันว่ามนุษย์ที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกกล้าที่จะยั่วยุคนดุร้ายอย่างไป๋หมิง เขารนหาที่ตายชัดๆ
บนก้อนหินเบื้องหน้า เทพธิดาเลอโฉมจากเผ่านกยูงเก้าสีก็กวาดมองมู่เฉินอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าเฉยเมย จากนั้นก็ขยับสายตาออกไปโดยไม่สนใจ ชัดว่ามนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกไม่มีคุณสมบัติพอที่จะทำให้นางสนใจได้
ฝั่งเผ่าคุนเผิงพวกจอมยุทธ์ชนชั้นสูงก็กอดอกมองมู่เฉินด้วยความสนใจ ราวกับว่ากำลังดูงิ้วออกโรง
สำหรับเผ่าเทพอสูรระดับต้นที่เหลือก็เฝ้าดูฉากนี้ด้วยความเฉยเมย พวกเขาที่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับกลุ่มมู่เฉิน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะล้ำเส้นเผ่าทรงพลังอย่างเผ่าหงส์ฟ้าเพื่ออีกฝ่าย
ภายใต้แววตาเยาะเย้ย ใบหน้าของจิ่วโยวกับพรรคพวกก็ดูไม่ดี เนื่องจากพวกเขาไม่คิดว่าไป๋หมิงจะมีประสาทสัมผัสการรับรู้และรู้สึกถึงการแอบมองเมื่อเขาเห็นมู่เฉินแวบแรก
ทุกคนจ้องมองมาที่มู่เฉิน แม้ว่าชายหนุ่มร่างสูงโปร่งจะย่นหัวคิ้ว แต่ก็ไม่มีคลื่นใดๆ ในม่านตาสีดำ เขาไม่แสดงอาการตื่นตระหนกจากการจ้องมองอย่างเย็นชาของไป๋หมิง
“สุสานหมื่นอสูรไม่ใช่สถานที่ส่วนตัวของใคร เจ้าห้ามให้คนอื่นมองได้ด้วยเรอะ?” ภายใต้สายตาเย็นชา เปลือกตาของมู่เฉินก็ยกขึ้นพร้อมกับพูดช้าๆ
เมื่อเขาพูดออกมา หลายกลุ่มก็ถึงกับคิ้วกระตุก ตอนแรกพวกเขาคิดว่ามนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกจะขอขมาด้วยความหวาดกลัว แต่ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายจะตอกกลับคำพูดของไป๋หมิงนิ่มๆ เช่นนี้
เขาไปเอาความกล้าหาญนี้มาจากไหน?
เมื่อไป๋หมิงได้ยินคำพูดของมู่เฉิน รอยยิ้มก็ผุดบนใบหน้าเฉยเมย ทว่ารอยยิ้มนั้นไม่มีความอบอุ่นสักนิด ตรงกันข้ามกลับกำจายความเยือกเย็นที่ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าหนังศีรษะชาหนึบไปหมด
“พี่ใหญ่ไป๋หมิง เจ้านั่นแหละ คนที่พวกเราเจอมาก่อนหน้า!” ที่ด้านหลังไป๋หมิง คนคนหนึ่งก็ยืนขึ้น รูปร่างที่คุ้นเคย นั่นก็คือไป๋ปิงที่ปะทะกันกับกลุ่มมู่เฉินในตลาดเสรี
“โอ้?”
ไป๋หมิงค่อนข้างประหลาดใจพลางส่ายหัว “งั้นข้านี่โชคดีจริงๆ ไม่ต้องเสียแรงตามหาไปทั่ว ไม่คิดว่าเจ้าจะมาแสดงตัวให้เห็นง่ายๆ แบบนี้”
ไป๋ปิงมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาเย้ยหยันและสงสาร เจ้านั่นโชคร้ายแท้จริง
เมื่อฉื่อหงหวู่แห่งเผ่าหงส์ฟ้าแดงที่อยู่เบื้องหลังไป๋หมิงเห็นภาพนี้ นางก็มุ่นคิ้วจ้องมองไปที่มู่เฉินพูดเสียงเย็นว่า “เจ้าช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ถ้าไปซะตอนนี้บางทีอาจยังรักษาชีวิตไว้ได้”
แม้ว่าน้ำเสียงของนางจะเย็นชา แต่ความหมายที่ปรากฏในคำพูดชัดเจน เห็นได้ว่านางพยายามพูดเตือนอ้อมๆ เพื่อให้มู่เฉินไปจากที่นี่ จะได้ไม่ต้องเอาชีวิตมาทิ้ง
ไป๋หมิงเหลือบมองฉื่อหงหวู่ด้วยแววตายากหยั่ง ชัดว่าเขาเห็นเกี่ยวกับความตั้งใจของนาง ทว่านางก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มาก แม้ว่าไป๋หมิงจะเป็นหัวหน้ากลุ่มนี้ แต่นางมาจากเผ่าหงส์ฟ้าแดงซึ่งไป๋หมิงไม่สามารถห้ามปราบอะไรนางได้
มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจเช่นกันขณะที่มองฉื่อหงหวู่ แม้ว่าหญิงสาวจะดูเจ้าพยศไปหน่อยเมื่อตอนที่พบกันครั้งแรก แต่นิสัยของนางก็ไม่ร้าย ยังได้เอ่ยเตือนเขาด้วย
แต่น่าเสียดายที่ไม่ง่ายที่จะให้เขาจากไป แม้ว่าคนตรงหน้าจะมาจากเผ่าหงส์ฟ้า แต่คนอย่างมู่เฉินก็ไม่กลัวหรอก
ท้ายที่สุดนี่คือการต่อสู้ระหว่างจอมยุทธ์รุ่นใหม่ ยากที่จะไปเกี่ยวข้องกับทั้งเผ่าพันธุ์ นอกจากนี้หากไป๋หมิงพ่ายแพ้ที่นี่ เขาก็ไม่มีหน้าไปขอความช่วยเหลืออะไร เพราะถ้าเรื่องนี้กระจายออกไป ก็เป็นเขาที่จะได้รับแต่เสียงหัวเราะเยาะเย้ยแทน
“ข้าตั้งใจมาสุสานสักการะเทพ ทำไมข้าต้องกลับไปมือเปล่าด้วยล่ะ?” มู่เฉินยิ้มพลางส่ายหน้า
ฉื่อหงหวู่เบิกตากว้างมองไปที่มู่เฉิน นางไม่คิดว่าแม้จะเอ่ยเตือนแล้ว ชายคนนี้ก็ยังโน้มมารับความเกรี้ยวโกรธของไป๋หมิงอย่างดื้อรั้น เขาโง่หรือเปล่า?
นางยิงฟันรู้สึกโกรธจนถึงควันพุ่งออกจากหัว ทันใดนั้นนางก็ถลึงตาใส่มู่เฉินจากนั้นก็สะบัดหน้าไปไม่คิดใส่ใจกับความเป็นตายของเขาอีกต่อไป
หลายกลุ่มโดยรอบก็ฉายสีหน้าแปลกๆ บางคนแอบหัวเราะในใจ มนุษย์คนนี้บ้าระห่ำและน่าสนใจอย่างแท้จริง ในเมื่อเขาปฏิเสธความตั้งใจดีของฉื่อหงหวู่ ต่อไปไป๋หมิงก็คงไม่ปล่อยให้เขาไปอย่างง่ายดายแล้ว
ก็เป็นตามที่พวกเขาคาดไว้ ไป๋หมิงโบกพัดเบาๆ มองมู่เฉินด้วยสีหน้าไม่เชิงยิ้ม “เจ้าไม่แข็งแกร่งพอ แต่ความกล้าหาญคับฟ้า… ข้าอนุญาตให้เจ้าเข้าไปในสุสานสักการะเทพก็ได้ ซ้ำยังจะช่วยให้เจ้าผ่านอุปสรรคชั้นนอกอีกด้วย แต่ข้าต้องการบางสิ่งแลกเปลี่ยน เจ้าคิดยังไง?”
ดวงตามู่เฉินวูบไหว เขามองไปที่ไป๋หมิง ประกายความโลภพลุ่งพล่านในดวงตาส่วนลึกของอีกฝ่าย ไป๋หมิงดูเหมือนจะถูกดึงดูดจากสิ่งที่เขามี
ความคิดของมู่เฉินหมุนเร็วจี๋จากนั้นก็คิดออกว่าคืออะไร สิ่งที่ไป๋หมิงพูดน่าจะเป็นจิตวิญญาณหงส์ฟ้าแท้จริงที่เขาได้รับการชำระจากแก่นโลหิตหงส์ฟ้าสายเลือดบริสุทธิ์ ซึ่งถ้าจอมยุทธ์จากเผ่าหงส์ฟ้าได้ดูดซับก็จะทำให้สายเลือดของพวกเขายกระดับขึ้น
ทว่านี่เป็นส่วนสำคัญในการฝึกกายามังกรหงส์ของเขา เพ้อฝันชัดๆ ที่ไป๋หมิงคิดจะเอาไป
ดังนั้นมู่เฉินจึงยิ้มพลางส่ายหัวให้กับไป๋หมิงที่มองมา “ข้าปฏิเสธ”
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ไป๋หมิงก็ไม่แปลกใจรอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏบนใบหน้า “เป็นเรื่องปกติที่เจ้าจะปฏิเสธ แต่ว่า… เจ้ามีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธเรอะ?”
เมื่อพูดจบรัศมีเย็นเยือกน่ากลัวก็ระเบิดขึ้นควบแน่นที่เบื้องหน้าไป๋หมิง หมอกเย็นสีขาวครอบงำกวาดล้างไปยังกลุ่มของมู่เฉิน
หมอกสีขาวนี้คุกคามอย่างมาก ซึ่งสามารถแช่แข็งคลื่นหลิงไว้ได้ทุกทางที่เคลื่อนไป จอมยุทธ์โดยรอบต่างพากันถอยหนีพัลวันด้วยความกลัวบนใบหน้า ไป๋หมิงทรงพลังอย่างแท้จริง รัศมีเย็นสุดขั้วนี้เป็นสิ่งที่กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดยังไม่กล้าแตะต้องเลย
เมื่อจิ่วโยว หานซันและคนอื่นๆ เห็นภาพนี้ ร่างกายก็เกร็งเครียดขึ้น คลื่นหลิงพวยพุ่งเพิ่มขึ้นรอบตัว กัดฟันเตรียมพร้อมโรมรัน แม้ว่าการปะทะกับเผ่าหงส์ฟ้าเป็นเรื่องเสียเปรียบอย่างยิ่งสำหรับพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่สามารถนิ่งเฉยโดยไม่ทำอะไรเลย
แต่ขณะที่ร่างพวกเขาตึงเกร็ง มู่เฉินก็ก้าวออกไป ไม่มีคลื่นหลิงรอบเลย ราวกับว่าเขาละการป้องกันทั้งหมดลงแล้ว
“รนหาที่ตาย!”
เมื่อผู้คนรอบข้างเห็นว่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกกล้าที่จะเผชิญกับการโจมตีของไป๋หมิงโดยไม่คิดใช้การป้องกันใดๆ พวกเขาก็ส่ายหัว ชายคนนี้เรียกหาความตายจริงๆ
ไป๋หมิงก็อึ้งไปกับปฏิกิริยาของมู่เฉินก่อนที่จะขมวดคิ้ว แสงเย็นเยือกวาบผ่านดวงตา จากนั้นเขาก็ไม่ลังเลสะบัดนิ้วออก คลื่นเย็นเยือกยิงไปที่หน้าอกของมู่เฉิน
หากการโจมตีนี้ปะทะเข้าอย่างจังก็จะทำให้มู่เฉินบากเจ็บสาหัสได้อย่างแน่นอน
ขณะที่คลื่นเย็นเยือกกวาดมา มู่เฉินก็ยกมือขึ้นโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน ฝ่ามือเปิดออก ในฝ่ามือมีหัวใจสีเงินขนาดเท่าฝ่ามือกำลังเต้นตุบตับ ทุกจังหวะการเต้นเปล่งเสียงฟ้าร้องดังสะท้อนน่าตกใจ ระลอกคลื่นทำลายล้างทำให้ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป
นี่คือหัวใจพาฬกินสายฟ้า
“นั่นคืออะไร?”
“ช่างเป็นพลังงานที่น่ากลัวจริงๆ!”
“ชายคนนั้นบ้าเหรอ? เขาต้องการลากทุกคนเข้าไปด้วยรึไง”
หลายกลุ่มมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงรุนแรง ทั้งหมดถอยห่างออกไปเป็นโยชน์ในเวลาเดียวกัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าวัตถุในมือของมู่เฉินคืออะไร แต่พวกเขาก็บอกได้ว่าหากคลื่นทำลายล้างนี้ระเบิดออก ทุกคนที่นี่คงต้องถูกผลกระทบไปด้วย
รอบด้านโกลาหล ทว่ามู่เฉินไม่มีริ้วอารมณ์ใดบนใบหน้า เขายื่นหัวใจสีเงินออกไปรับคลื่นเย็นเยือก ท่าทางไม่กลัวความตายของเขาทำเอาทุกคนเหงื่อแตกพลั่ก
ดวงตาของไป๋หมิงจับจ้องไปที่มู่เฉิน เขารู้สึกได้ว่าหัวใจสีเงินนั้นน่ากลัวเพียงใด พลังงานที่บรรจุอยู่ภายในนั้นเป็นสิ่งที่แม้เขายังรู้สึกหวาดกลัว เขาบอกได้ว่ามู่เฉินไม่กลัวเขาเพราะครอบครองสิ่งนี้ แต่ถ้าเขาหยุดการโจมตีตอนนี้นั่นไม่ได้แปลว่าเขากลัวมู่เฉินหรอกหรือ?
“ข้าไม่เชื่อว่าแกจะบ้าบิ่นขนาดนี้!” ใบหน้าของไป๋หมิงมืดครึ้ม คลื่นเย็นเยือกยังคงพุ่งตรงเข้าหามู่เฉิน
วาบ!
คลื่นเย็นเยือกกับหัวใจสีเงินเข้าใกล้กัน แต่ก่อนที่จะปะทะกันแสงพร่างพราวห้าสีก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้าด้วยเสียงดังสนั่น ลบคลื่นเย็นเยือกส่วนหนึ่งออกไปอย่างสมบูรณ์
ตู้ม!
ไม้เท้าฟาดลงมาทำลายอีกส่วนหนึ่งของคลื่นเย็นเยือก
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
การโจมตีที่ทรงพลังจำนวนมากพุ่งลงมาลบคลื่นเย็นเยือกทั้งหมดในทันที
เมื่อคลื่นเย็นเยือกถูกลบออก ใบหน้าของไป๋หมิงก็ยิ่งมืดครึ้มลง ก่อนที่จะหันหน้าไปมองกลุ่มเทพอสูรเผ่าต่างๆ พวกเขาเป็นคนที่เคลื่อนไหว
“หากอยากกัดกันก็ให้ไปที่อื่น นี่คือประตูทางเข้าสุสานสักการะเทพ ถ้าถูกทำลาย เจ้าไป๋หลิงคิดว่าจะชดเชยการสูญเสียของทุกคนที่นี่ได้หรือ?” สาวสวยจากเผ่านกยูงเก้าสีมองที่ไป๋หมิงด้วยดวงตาที่มีสีสันพร่างพราวพลางพูดเสียงเยือกเย็น
“ฮี่ๆ คงไม่ไหว” ชายร่างผอมจากเผ่าวานรทะลุฟ้าถือไม้เท้าหิน พูดด้วยรอยยิ้มขณะที่หรี่ตาลง
“พี่ไป๋ใจเย็นหน่อย นี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะต่อสู้” จอมยุทธ์เผ่ากระเรียนเทพสวรรค์ก็เอ่ยปากออกมาเช่นกัน
เมื่อเหล่าจอมยุทธ์จากเผ่าเทพอสูรระดับต้นพากันพูด ทำให้ความเย็นชาในดวงตาของไป๋หมิงกวนจนหนาแน่น แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้นที่กระทั่งเขายังหวาดเกรง เขารู้ดีว่าไม่ฉลาดที่จะล้ำเส้นพวกเขา ดังนั้นเขาจึงหายใจลึกๆ กวาดสายตามมืดครึ้มไปที่มู่เฉิน ก่อนที่จะนั่งลงโดยไม่พูดอะไร แต่ทุกคนรู้ว่าในใจไป๋หมิงกำลังโกรธจนแทบคลั่งแล้ว
ทันใดนั้นสายตากังขาก็พุ่งไปที่มู่เฉิน ใครจะคิดว่าการเผชิญหน้ากับกระบวนท่าทรงพลังของไป๋หมิง ไม่เพียงแต่มู่เฉินจะไม่ใช่กระบวนท่าอะไร แต่เขายังบังคับให้ไป๋หมิงเข้าสู่สภาพน่าสมเพช โดยใช้วัตถุบางอย่างเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังทำให้จอมยุทธ์ชั้นสูงของสุดยอดเผ่าเทพอสูรต้องออกโรงหยุดการกระทำของไป๋หมิงโดยไม่มีทางเลือก ทำให้เกิดความไม่พอใจในระหว่างพวกเขา หากในอนาคตมีความขัดแย้งเกิดขึ้นก็อาจถูกใช้เป็นเหตุผลในการเติมเชื้อไฟ
การเคลื่อนไหวเรียบง่ายของมู่เฉิน ทำให้หลายคนตกตะลึงในใจ พวกเขาไม่กล้าดูถูกมู่เฉินอีกต่อไปเมื่อมองไปอีกครั้ง
แม้แต่หญิงสาวจากเผ่านกยูงเก้าสีที่ยืนบนท้องฟ้ายังจ้องมองเขาด้วยดวงตาฉายแสงสีพร่างพราว จากการปะทะกันเมื่อครู่พวกเขาบอกได้ว่ามนุษย์คนนี้ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างที่พวกเขาคิด
จอมยุทธ์ชั้นแนวหน้าแอบแลกเปลี่ยนสายตาและเห็นด้วยกันในใจว่ามนุษย์ที่ชื่อว่ามู่เฉินดูท่าจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว…
บทที่ 1044 คุณสมบัติ
ด้านนอกสุสานสักการะเทพ
ใบหน้าของไป๋หมิงมืดมนและนิ่งเฉยมาก บรรยากาศแปลกพิกลขึ้นมา สายตาสงสัยจำนวนมากกวาดไปทางทิศของมู่เฉินอย่างต่อเนื่อง
ก่อนหน้าตอนที่ไป๋หมิงหาเรื่องมู่เฉิน พวกเขาคิดว่ามนุษย์ผู้นี้จะถูกบังคับให้อยู่ในสภาพที่น่าสมเพช เพราะด้วยการรวมตัวของเผ่าหงส์ฟ้าและพลังของไป๋หมิง กลุ่มธรรมดาไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับพวกเขาเลย
แต่… ใครจะคิดว่าสถานการณ์ที่มู่เฉินควรติดอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกลับได้รับการแก้ไขอย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้นมู่เฉินไม่เพียงแก้ปัญหาของเขากับไป๋หมิง เขายังบีบให้อีกฝ่ายตกอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างน่าสมเพชด้วยซ้ำ
เผชิญหน้ากับการแทรกแซงของกลุ่มชั้นแนวหน้าอื่นๆ แม้แต่ไป๋หมิงก็ไม่กล้าที่จะท้าทายพวกเขา
นั่นเป็นเพราะถ้าปลุกปั่นมู่เฉินแล้วเขาจุดชนวนหัวใจสีเงินในมือซึ่งบรรจุคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวขึ้นมาจริงๆ บางทีทุกคนที่นี่อาจโดนกันไปหมด ในเวลานั้นแม้แต่ทางเข้าสุสานสักการะเทพก็อาจถูกทำลายลงได้
แม้ว่าหลายคนจะสงสัยว่ามู่เฉินกล้าที่จะจุดชนวนระเบิดหัวใจสีเงินจริงหรือเปล่า แต่เรื่องแบบนี้… พวกเขาไม่ต้องการวางเดิมพันกับคำว่า ‘ถ้า’…
ดังนั้นในกรณีนี้พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหยุดไป๋หมิง ถ้ามู่เฉินบ้าเลือดขึ้นมาจริงๆ ละก็ ไม่มีใครมีช่วงเวลาที่ดีแน่
ด้วยเหตุนี้…ไม่ว่าในใจกลุ่มเทพอสูรระดับต้นจะไม่อยากทำแค่ไหน พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเคลื่อนไหวและหยุดไป๋หมิง แม้นี่อาจจะทำให้เขาแค้นฝั่งใจก็ตาม…
ภายใต้ความเงียบผิดปกติ หญิงสาวเผ่านกยูงเก้าสีก็ช้อนดวงตาหลากสีสันจ้องมองมู่เฉินก่อนที่นางจะพูดด้วยเสียงกระจ่างใสว่า “สหาย พวกเราทุกคนที่นี่ต้องการเข้าสู่สุสานสักการะเทพ ดังนั้นช่วยเก็บของในมือด้วย อย่าข่มขู่ผู้อื่นมากไป มิฉะนั้นหากทางเข้าถูกทำลายจริงๆ ข้าเชื่อว่าไม่มีใครชอบใจกับเรื่องแบบนี้แน่”
ตอนแรกพวกเขาก็อยากนั่งชมความขัดแย้งระหว่างกลุ่มมู่เฉินกับเผ่าหงส์ฟ้า แต่สุดท้ายกลับถูกบีบให้ต้องเคลื่อนไหว ซึ่งนี่ทำให้พวกเขาค่อนข้างไม่พอใจ จึงต้องเอ่ยพูดเพื่อหยุดมู่เฉิน อย่าทำเรื่องให้ลุกลามใหญ่โตไปมากกว่านี้
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดของนาง เขาก็ยิ้มพลางโยนหัวใจพาฬกินสายฟ้าในมือเล่น “พวกข้าไม่มีความตั้งใจที่จะก่อกวน แต่ถ้าใครคิดว่าพวกข้าเป็นคนรังแกง่าย ข้าก็จะไม่ปล่อยให้พวกเขาคิดเองเออเอง บางครั้งคนที่ดูอ่อนก็ใช่ว่าจะเคี้ยวได้ง่าย”
“โอหัง!” ที่ด้านหลังไป๋หมิง เปลือกตาของไป๋ปิงกระตุกขณะแผดเสียงด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ คำพูดของมู่เฉินบ่งบอกชัดเจนว่าเหน็บพวกเขา
ใบหน้าของไป๋หมิงกลับคืนสู่ความเรียบเฉย แต่ครั้งนี้ไม่ได้โกรธอะไร เขากวาดสายตาเย็นเยือกไปที่มู่เฉินเท่านั้น ไอสังหารพุ่งสูงขึ้นอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ
“ข้าจะจดคำพูดนี้ไว้” ไป๋หมิงโบกมือหยุดไป๋ปิงจากนั้นก็พูดอย่างเฉยเมย “หวังว่าเจ้าจะสามารถเก็บของชิ้นนั้นไว้กับตัวได้ตลอดเวลา”
พอได้ยินคำพูดของไป๋หมิง ผู้คนรอบด้านก็เปลือกตากระตุก แม้ว่าไป๋หมิงจะไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่ใครๆ ก็สามารถบอกได้ว่าจิตสังหารก่อขึ้นในใจของเขาแล้ว
ครั้นคิดถึงเรื่องนี้พวกเขาส่ายหัว แม้มู่เฉินจะมีวิธีบางอย่าง แต่เขายังอ่อนเกินไป เหตุผลที่เขากล้าเผชิญหน้ากับไป๋หมิงในตอนนี้ก็เพราะเขาพึ่งพาหัวใจสีเงินในมือ
แม้ว่าพวกเขาจะไม่คุ้นเคยกับวัตถุนั่น แต่พวกเขาคาดเดาได้ว่าสิ่งนั้นทรงพลังยิ่ง แต่การใช้งานก็มีจำกัด ซึ่งอาจเป็นวัตถุที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียว
มิฉะนั้นหากเป็นวัตถุที่ไม่มีข้อจำกัด มู่เฉินจะปล่อยไป๋หมิงไปง่ายๆ ได้อย่างไร แค่เขาโยนใส่ ไม่ว่าจอมยุทธ์เผ่าหงส์ฟ้าจะมีจำนวนเท่าไร พวกเขาก็จะได้รับบาดเจ็บกันถ้วนทั่ว
แต่ตอนนี้เขาเพียงนำออกมาและไม่ได้ใช้ เห็นได้ชัดว่าเขาแค่ใช้ในการคุกคามเท่านั้นและการใช้อาจมีข้อจำกัดอย่างมาก
ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่มู่เฉินใช้ ก็จะเป็นเวลาที่ไป๋หมิงเปิดเผยเขี้ยวเล็บ
“เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก” มู่เฉินยิ้มก่อนเก็บหัวใจพาฬไป วัตถุชิ้นนี้ทรงพลังมากไปและค่อนข้างสิ้นเปลืองที่จะใช้กับคนแบบไป๋หมิง
เขาไม่ได้พะวงกับการคุกคามของไป๋หมิง แม้ว่าไป๋หมิงจะแข็งแกร่งกว่าจิงฉิงเทียน แต่เขาจะต้องผิดหวังแน่นอน หากคิดว่ามู่เฉินกล้าเผชิญหน้าเพียงเพราะหัวใจพาฬกินสายฟ้าเท่านั้น
เหตุผลที่เขานำหัวใจพาฬออกมาก็เพื่อข่มขู่ผู้อื่นที่มีเจตนาไม่ดี การไม่แสดงความแข็งแกร่งให้เพียงพอ อาจมีปัญหาหลั่งไหลเข้ามาไม่รู้จบ ดังนั้นเป็นการดีกว่าที่จะข่มขู่ตั้งแต่เนิ่นๆ ลดความกังวลในอนาคตลง
ตามคาดผลของการนำหัวใจพาฬออกมาดีมาก ไม่เพียงแต่ไป๋หมิงจะล่าถอยด้วยความหวั่นเกรง แม้แต่กลุ่มเทพอสอูรระดับต้นอื่นๆ ก็แสดงท่าทางหวาดหวั่นเช่นกัน มิหนำซ้ำยังต้องเคลื่อนไหวเพื่อหยุดไป๋หมิงกับความขัดแย้งที่กำลังโหมกระพือ
บนท้องฟ้าหญิงสาวเผ่านกยูงเก้าสีมองมู่เฉินที่แย้มยิ้ม จากสายตาของมนุษย์ผู้นี้นางไม่เห็นความกลัวใดๆ เลยนี่ทำให้นางถึงกับขมวดคิ้ว หรือว่านอกเหนือจากหัวใจสีเงินแล้ว มนุษย์ที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกยังมีวิธีการอื่นที่จะเผชิญหน้ากับไป๋หมิงอีก?
นางคิดแล้วพบว่าไม่สามารถหาคำตอบได้ จึงได้แต่ส่ายหัวเลิกคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไป ไม่ว่ามู่เฉินจะยังมีวิธีการอื่นซ่อนอยู่ในแขนเสื้อหรือไม่ ตราบใดที่เข้าไปในสุสานสักการะเทพได้ ความเป็นตายของมู่เฉินกับไป๋หมิงก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนาง แค่ในเวลานี้พวกเขาสามารถรักษาความสงบไว้เพื่อไม่ทำให้พื้นที่นี้เสียหายก็พอ
“ทุกคนสถานที่นี้เป็นทางเข้าสุสานสักการะเทพ แต่ว่าพื้นที่ในสุสานแบ่งออกเป็นสองส่วน ไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ ที่ส่วนนอกแต่มีฝูงอสูรวิญญาณไม่จบไม่สิ้น ดังนั้นหากมีความมั่นใจก็ไปลองดูได้”
หญิงสาวมองไปรอบๆ พูดขึ้นเสียงเบา “แต่ถ้าต้องการเข้าสู่ส่วนในก็จะต้องมีคุณสมบัติบางอย่าง”
“เทพธิดาข่งหลิง คุณสมบัติอะไรหรือ?” บางกลุ่มอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“นางชื่อข่งหลิงรึ…” มู่เฉินกวาดมองไปที่หญิงสาวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า เขาสามารถรู้สึกถึงภัยคุกคามที่เปล่งออกมาจากอีกฝ่าย พลังของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าไป๋หมิง
ข่งหลิงมองไปรอบๆ ด้วยดวงตาหลากสีสันพลางพูดด้วยน้ำเสียงสงบเรียบ “คุณสมบัตินั่นก็คือหัวใจของอสูรวิญญาณขั้นแปด”
ฮือฮา!
เมื่อคำพูดของนางดังก้อง ก็ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้น ผู้คนอดไม่ได้ที่จะสีหน้าเปลี่ยนไป หัวใจอสูรวิญญาณขั้นแปด นั่นหมายความว่าหากพวกเขาต้องการเข้าสู่ส่วนในก็ต้องฆ่าอสูรวิญญาณขั้นแปดเรอะ?
นั่นเป็นสิ่งมีชีวิตที่เทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดเลยนะ!
นอกเหนือจากกลุ่มเทพอสูรระดับต้น ใครจะไปกล้าท้าทายอสูรวิญญาณขั้นแปด ต่อให้สุดท้ายจะชนะ พวกเขาก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับแน่นอน
“หัวใจอสูรวิญญาณขั้นแปดเรอะ…” เมื่อได้ยินมู่เฉินก็ขมวดคิ้ว จากนั้นแลกสายตากับจิ่วโยวและพรรคพวก คุณสมบัตินี้ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ… แม้ว่าสติปัญญาของอสูรวิญญาณขั้นแปดอาจไม่สูงเกินไป แต่ยังไงก็มีขุมพลังขั้นแปดอยู่ กลุ่มสามัญธรรมดาอาจประสบกับหายนะใหญ่เพียงแค่พลาดไปเล็กน้อย
ในบรรดากลุ่มที่มาที่นี่ จำนวนจอมยุทธ์ที่สามารถท้าทายอสูรวิญญาณขั้นแปดได้คงมีไม่เกินสิบกลุ่ม
“ไม่ทราบว่ามีอะไรอยู่ส่วนในรึ?” สายตาของมู่เฉินกะพริบวูบไหวขณะที่ถามขึ้นมา
เมื่อกลุ่มอื่นได้ยินคำถามนี้ก็มองไปที่ข่งหลิงเช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าสุสานสักการะเทพไม่ใช่สถานที่ธรรมดา แต่ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้น
ข่งหลิงมองไปที่มู่เฉิน ก่อนที่จะยิ้มไม่เชิงยิ้มบนใบหน้าตอบว่า “รอให้เจ้ามีคุณสมบัติเข้าไปได้จริง เดี๋ยวก็จะรู้เอง”
น้ำเสียงของนางแฝงร่องรอยของการยั่วเย้า ชัดว่านางไม่คิดว่ามู่เฉินจะเข้าไปในส่วนในได้ แน่นอนว่าถ้าเขาใช้หัวใจสีเงินก็อาจเป็นไปได้ แต่เมื่อเป็นเช่นนั้นไป๋หลิงก็คงจะลงมือแล้ว
ชายคนนั้นจัดการยากกว่าอสูรวิญญาณขั้นแปดมากเลยทีเดียว
เผชิญหน้ากับคำพูดสะกิดเกาของข่งหลิง มู่เฉินก็ไม่ได้โกรธกลับยิ้มบางให้ “ขอบคุณ งั้นก็เจอกันที่ส่วนในนะ”
ข่งหลิงอึ้งกับคำตอบของมู่เฉิน ชายคนนี้มั่นใจในตนเองมากนะเนี่ย ไม่รู้ว่ากำลังฝืนตัวหรือมีวิธีการซ่อนอยู่อีกจริงๆ
“ตอนนี้ความหนาแน่นของรัศมีความตายในสุสานสักการะเทพอยู่ในจุดสูงสุด แต่ตราบใดที่ถึงรุ่งเช้า รัศมีความตายก็จะอยู่ในจุดอ่อนสุดซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับเราในการเข้าไป”
“ขอบคุณที่บอกเทพธิดาข่งหลิง”
หลายกลุ่มประสานมือขอบคุณอย่างจริงใจ ข่งหลิงไม่จำเป็นต้องบอกข้อมูลพวกเขา ด้วยสถานะและความแข็งแกร่งของเผ่าเทพอสูรระดับต้น สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือปกป้องตัวเองและค้นหาสมบัติในสุสานสักการะเทพก็พอ
เมื่อได้ยินคำขอบคุณ ข่งหลิงก็ยิ้มบาง เหตุผลที่นางพูดไม่ใช่ต้องการบุญคุณจากทุกคน แต่ในฐานะที่เป็นสมาชิกจากเผ่านกยูงเก้าสี ความภาคภูมิใจในกระดูกไม่เต็มใจที่จะเห็นพวกคนเขลาจบชีวิตจากการตามนางเข้าไปข้างในโดยที่ไม่รู้อะไรเลย
หลังจากได้ยินคำพูดของข่งหลิง มู่เฉินและจิ่วโยวก็มองหาแผ่นหิน จากนั้นก็นั่งลงก่อนที่จะสงบใจ ในเมื่อตอนนี้ไม่สามารถเข้าไปในสุสานสักการะเทพได้ ก็ได้แต่รอไปก่อน
ขณะที่มู่เฉินนั่งลงดำดิ่งลงไปในหัวใจ สายตาก็วูบไหวอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปที่แขน นั่นเป็นเพราะเขาสามารถรู้สึกได้ว่าจิตวิญญาณหงส์ฟ้าแท้จริงที่สถิตอยู่ในแขนกำลังสั่นเทิ้มในขณะนี้
อาการตัวสั่นเหมือนจะเกรงกลัวกับการเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่เทียบเท่ากับตัวเอง แต่ก็มีร่องรอยของความคุ้นเคยแฝงอยู่ด้วย
สิ่งที่ทำให้จิตวิญญาณหงส์ฟ้าแท้จริงรู้สึกถึงความเกรงกลัวและความคุ้นเคยในเวลาเดียวกัน?
หัวใจมู่เฉินเต้นไม่เป็นส่ำ ถ้าเป็นความคุ้นเคยก็ต้องเป็นสายเลือดที่คล้ายกัน และในเผ่าหงส์ฟ้าก็มีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่สามารถทำให้หงส์ฟ้าแท้จริงรู้สึกคุ้นเคยและเกรงกลัวในเวลาเดียวกัน
หงส์ฟ้าแท้จริงกับวิหคอมตะโบราณ
ซึ่งไม่มีข่าวลือใดเกี่ยวกับหงส์ฟ้าแท้จริงในสุสานสักการะเทพ ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลข้อสอง…
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองสุสานสักการะเทพยิ่งใหญ่ด้วยดวงตาลุกโชน ดูเหมือนว่าจะมีวิหคอมตะโบราณละสังขารอยู่ในสุสานสักการะเทพจริงๆ!
บทที่ 1045 ล่า
ราตรีโอบล้อมสุสานสักการะเทพ
พื้นที่ทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิดพร้อมกับรัศมีความตายเชี่ยวกรากกวาดไปทั่ว เสียงคำรามไร้ชีวิตนับไม่ถ้วนสะท้อนจากทุกทิศทาง ทำให้มิติเกิดการผันผวน
ทุกกลุ่มนั่งอยู่หน้าสุสานสักการะเทพอย่างเงียบๆ สายตามองความมืดที่โรยตัวรอบข้างอย่างระมัดระวัง แม้ว่าสถานที่นี้จะเป็นจุดเชื่อมระหว่างโลกภายนอกกับสุสานสักการะเทพ ดังนั้นอสูรวิญญาณที่อยู่ข้างนอกจึงไม่สามารถเข้ามาใกล้ได้ แต่เสียงคำรามที่ทำให้พวกเขารู้สึกหนังศีรษะเย็นวาบก็สร้างความไม่สบายใจยิ่งนัก กลัวว่าอาจมีคลื่นอสูรวิญญาณไหลบ่าเข้ามาปกคลุม
เวลาไหลเอื่อยภายใต้สถานการณ์ตึงเครียดในความมืด เมื่อรุ่งอรุณมาถึงแสงแดดสาดส่องลงมาก็ทำให้รัศมีความตายน่าหวาดกลัวในสุสานสักการะเทพเกิดความผันผวนรุนแรง ก่อนที่รัศมีความตายจะไปค่อยๆ สลายไป แม้ว่าจะไม่ได้หายไปหมดสิ้น แต่ความหนาแน่นก็ต่ำลงมาก
เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ก็รู้สึกโล่งใจมาก ดูเหมือนคำพูดของข่งหลิงจะไม่ผิด เมื่อรุ่งอรุณมาถึงรัศมีร้ายกาจในสุสานสักการะเทพจะอ่อนลง
ขณะที่รัศมีความตายในสุสานสักการะเทพอ่อนกำลัง กลุ่มเทพอสูรระดับต้นบนแผ่นหินเบื้องหน้าก็ลืมตามองไปพร้อมกับประกายไฟวูบไหวในดวงตา
ไป๋หมิงมองไปที่สุสานสักการะเทพก่อนลุกขึ้นยืน เขาไม่พูดอะไรโบกมือแล้วนำทะยานออกไป พุ่งเข้าไปในสุสาน
ที่ด้านหลังจอมยุทธ์ของเผ่าหงส์ฟ้าก็ติดตามอย่างใกล้ชิด
“ไป!”
ข่งหลิงจากเผ่านกยูงเก้าสีก็นำพรรคพวกพุ่งเข้าไปในสุสาน
หลังจากพวกเขากลุ่มเทพอสูรระดับต้นอื่นๆ ก็ไม่ลังเลรีบเคลื่อนตัวเข้าไปเช่นกัน
เมื่อกลุ่มอื่นๆ เห็นภาพนี้ พวกเขาก็เกิดอาการลังเล พวกเขารู้ดีถึงอันตรายในสุสานสักการะเทพ นอกจากนี้หากพวกเขาต้องการเข้าไปส่วนในก็ต้องฆ่าอสูรวิญญาณขั้นแปดและควักหัวใจมา ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ความผิดพลาดเล็กน้อยก็อาจทำให้พวกเขาทิ้งชีวิตไว้ในนั้น
“เฮ้ จำนวนจอมยุทธ์โบราณมากมายละร่างในสุสาน แม้ว่าเราจะไม่สามารถเข้าไปส่วนในได้ แต่ก็ยังมีโอกาสอื่นๆ ที่ส่วนนอก ถ้าสามารถหาพบก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยงนะ”
ทว่าคนเหล่านี้ก็ไม่ลังเลนาน เมื่อมีคนพูดออกมาก็ทำให้ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน ต่อให้พวกเขาจะไม่สามารถเข้าไปส่วนในได้ โอกาสที่มีอยู่ในสุสานสักการะเทพก็มีมากล้นกว่าพื้นที่อื่นๆ ในสุสานหมื่นอสูร หากพวกเขาโชคดีพอได้รับโอกาสบางอย่าง การเดินทางของพวกเขาก็ไม่สูญเปล่าแล้ว
ด้วยความคิดนี้ หลายกลุ่มก็ตัดสินใจทันท่วงทีไม่ลังเลอีกต่อไป ต่างส่งสัญญาณให้พรรคพวกแล้วเสียงลมฉีกออกจากกันก็ดังสนั่น ขณะที่ร่างแสงจำนวนมากทะยานเข้าไปในสุสานสักการะเทพที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีสีแดงเลือด
เมื่อมองดูกลุ่มเหล่านั้นที่พากันเข้าไปในสุสาน ในที่สุดมู่เฉินก็ยืนขึ้นมองไปที่หานซัน เขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเต็มใจที่จะรับความเสี่ยงและติดตามกันไปไหม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ของพวกเขาสร้างความขุ่นเคืองกับไป๋หมิงไปแล้ว
“ไป๋หมิงน่าเกรงขามก็จริง แต่ข้าไม่คิดว่าเจ้า…มู่เฉินจะอ่อนแอกว่าเขา” หานซันยิ้มกว้าง ระหว่างทางที่มาที่นี่ วิธีการต่างๆ ที่มู่เฉินแสดงออกมาทำให้เขาไม่อาจหยั่งรู้ได้ ดังนั้นแม้พวกเขาจะรู้ว่าไป๋หมิงทรงพลัง แต่หานซันก็ไม่คิดว่าไป๋หมิงจะล้มสัตว์ประหลาดอย่างมู่เฉินได้
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนั่นก็ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เราก็ลุยกันเลย”
ไม่ว่าไป๋หมิงจะหมายหัวพวกเขาไว้หรือไม่ พวกเขาก็ต้องเข้าไปในสุสาน นั่นเป็นเพราะการรับรู้ของจิตวิญญาณหงส์ฟ้าแท้จริงทำให้เขารู้ว่ามีวิหคอมตะโบราณละร่างอยู่ในสุสานสักการะเทพจริงๆ
เขาไม่มีทางยอมแพ้กับเบาะแสที่ค้นหามาตลอดเพียงเพราะไป๋หมิงหรอก
วาบ!
เมื่อมู่เฉินพูดจบก็พุ่งตัวออกไปกลายเป็นร่างแสงทะยานเข้าไปในสุสานที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายสีแดงเลือด
ทันทีที่เข้าไป มู่เฉินก็รู้สึกได้ว่าอุณหภูมิโดยรอบลดลง รัศมีสีแดงเข้มที่แพร่กระจายอยู่รอบๆ เหมือนฝูงหนอนไต่กันยุบยับขณะที่คลานเข้ามาหาก็ทำให้คลื่นหลิงในร่างกายเอื่อยเฉื่อยขึ้น
พรึ่บ!
กลุ่มมู่เฉินจุดเพลิงต้านอาสัญอีกครั้ง เปลวไฟสีขาวพวยพุ่งขึ้นบนไหล่ลามเลียเป็นเกลียวไฟห่อหุ้มร่างเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ปิดกั้นส่วนหนึ่งของรัศมีสีแดงเข้ม
“รัศมีความตายที่นี่น่ากลัวนัก แม้แต่พลังเพลิงต้านอาสัญยังอ่อนกำลัง” หานซันพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมขณะมองเปลวไฟที่ไหล่ แม้ว่าเปลวไฟจะร้อนแรงแต่ก็ยังไม่สามารถต้านทานความรู้สึกหนาวเหน็บในร่างกายได้ทั้งหมด
มู่เฉินพยักหน้า ภายใต้การกัดกร่อนของรัศมีความตายทำให้พลังในการต่อสู้ของพวกเขาลดลง ดูเหมือนว่าหากพวกเขาต้องประมือก็ต้องทำให้จบโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“แต่มีอสูรวิญญาณนับไม่ถ้วนในส่วนนอกสุสาน นอกจากนี้ยังมีวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าขั้นแปด หากเผลอเข้าไปในดงอสูรวิญญาณก็คงหนีไม่พ้น เนตรดับชีวิตของเจ้ายังใช้ได้ที่นี่หรือไม่?” ใบหน้าของจิ่วโยวเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดลงหลายส่วนพลางถามขึ้น ระดับความอันตรายของที่นี่ชัดเจนว่าเหนือกว่าสถานที่อื่นๆ ที่พวกเขาเคยผ่านมาก่อนหน้า
มู่เฉินยิ้ม แสงสีดำกะพริบที่กึ่งกลางหน้าผาก ก่อนที่เนตรดับชีวิตจะปรากฏขึ้น เมื่อแสงสีดำพุ่งขึ้นก็ดูเหมือนว่าจะทะลุผ่านมิติเข้าไปสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ
“พลังเนตรดับชีวิตถูกระงับไปบ้าง แต่ก็เพียงพอในการใช้นะ”
แสงสีดำกะพริบในดวงตาของมู่เฉิน ก่อนที่จะมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ “ไปกันเถอะ เราต้องหาโอกาสดูว่าจะสามารถพบอสูรวิญญาณขั้นแปดที่อยู่โดดเดี่ยวได้ไหม”
จบคำพูดมู่เฉินก็เหาะเหินออกไปพร้อมกับพรรคพวกติดตามไปใกล้ชิด ในเมื่อเนตรดับชีวิตยังสามารถใช้ได้ พวกเขาก็โล่งใจที่จะตามไปโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการหลงเข้าไปในฝูงอสูรวิญญาณ
ขณะที่กลุ่มมู่เฉินเริ่มเข้าไปในพื้นที่รอบนอกของสุสาน อีกทิศทางหนึ่งก็มีกลุ่มหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วผ่านรัศมีสีแดงเลือดไป พวกเขาไม่ได้ซ่อนคลื่นหลิงขณะเดินทาง ทำให้มีอสูรวิญญาณพุ่งมายังทิศทางของพวกเขาไม่สิ้นสุด ทว่ากลุ่มดังกล่าวก็ไม่สนใจ รอให้อสูรวิญญาณเข้ามาใกล้ พวกเขาก็กระเบิดคลื่นหลิงน่าสะพรึงทำลายอสูรวิญญาณจนไม่เหลือซาก
ที่หน้ากลุ่มคนเหล่านี้ก็คือไป๋หมิง เขาโบกพัดน้ำแข็งสีฟ้าในมืออย่างอ่อนโยนด้วยสีหน้าไม่แยแส สายตาไม่ได้หยุดอยู่ที่อสูรวิญญาณที่พุ่งเข้ามาตามทางแต่มองไปที่ระยะไกล
“พี่ใหญ่ไป๋หมิง” ที่ข้างหลังไป๋ปิงทะยานขึ้นมาพูดด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม “มู่เฉินน่าจะเข้ามาที่นี่เช่นกัน ไอ้เวรนั่นมีกลยุทธ์บางอย่างในแขนเสื้อ เราต้องระวังตัวหน่อย”
ไป๋หมิงโบกพัดเบาๆ พูดเสียงนุ่มนวล “ความสัมพันธ์ของเขากับจิ่วโยวค่อนข้างลึกซึ้ง ข้าว่าเหตุผลที่เผ่าวิหคโลกันตร์มาที่นี่คงเหมือนกับเรา”
ไป๋ปิงขมวดคิ้ว “พวกมันกล้าเล็งแก่นโลหิตวิหคอมตะด้วยรึ?”
“เผ่าวิหคโลกันตร์มีสายเลือดของวิหคอมตะโบราณไหลเวียนอยู่ในตัว หากได้รับสายเลือดมรดกก็จะสามารถสร้างสายเลือดให้สมบูรณ์แบบ จนมีโอกาสที่จะพัฒนาเป็นวิหคอมตะ” ร่องรอยความเยาะเย้ยปรากฏขึ้นที่มุมปากของไป๋หมิงขณะพูดต่อ “เผ่าวิหคโลกันตร์คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานหลายปี พยายามที่จะไล่ตามเผ่าเรา ตอนนี้อุตส่าห์ได้ข้อมูลของวิหคอมตะโบราณ พวกเขาจะไม่กระตือรือร้นได้อย่างไร?”
แววตาของไป๋ปิงเย็นเยือกลงตอบว่า “งั้นเราต้องกำจัดพวกมันทิ้งไหม?”
ไป๋หมิงส่ายหัว “ไม่รีบ ในเมื่อพวกมันต้องการเข้าสู่ส่วนในก็ต้องตามล่าฆ่าอสูรวิญญาณขั้นแปด ด้วยพลังของกลุ่มพวกมัน คงต้องจ่ายราคามหาโหดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายแน่”
“ข้าเดาว่าวัตถุที่อยู่ในมือไอ้บ้านั่นน่าจะเป็นหัวใจพาฬกินสายฟ้าซึ่งอัดแน่นไปด้วยพลังสายฟ้าที่น่ากลัว ถ้าเกิดระเบิดขึ้นมาละก็ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดก็บาดเจ็บสาหัส แม้ว่าข้าจะมีสิ่งป้องกันตัว แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ดี”
“แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ด้วยพลังที่พวกมันมี หากต้องการฆ่าอสูรวิญญาณขั้นแปดโดยไม่ต้องจ่ายราคาใดๆ ก็ต้องใช้วัตถุนั่นอย่างแน่นอน เวลานั้นพวกมันก็จะสูญเสียไพ่ตายและมู่เฉินที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็จะทุกข์ทรมานด้วยการพลิกฝ่ามือของข้าเท่านั้น”
เมื่อไป๋ปิงได้ยินคำพูดของไป๋หมิง ดวงตาก็อดไม่ได้ที่จะเปล่งประกายพลางยิ้ม “ดูท่าไอ้เวรนั่นจะไม่สามารถหนีจากเงื้อมือของพี่ใหญ่ไป๋หมิงได้ซะแล้ว”
ไป๋หมิงยิ้มบางจากนั้นก็โบกพัดเบาๆ ราวกับว่ามู่เฉินอยู่ในมือจะบีบก็ตายจะคลายก็รอดทุกเวลาที่เขาต้องการแล้ว
วาบ!
รัศมีสีแดงเลือดแพร่กระจายออกไป คนกลุ่มหนึ่งทะยานผ่านไปอย่างเงียบๆ คลื่นหลิงรอบตัวพวกเขาถูกซ่อนไว้จนถึงจุดที่แม้แต่การหายใจก็แผ่วเบาลง เพื่อหลบหนีการรับรู้ของอสูรวิญญาณ
ที่ด้านหน้าของกลุ่ม มู่เฉินหลับตาลงมีแสงสีดำกะพริบอยู่บนหน้าผากทะลุผ่านมิติสอดส่องบริเวณโดยรอบซึ่งถูกปกคลุมด้วยรัศมีสีแดงเข้ม
ที่ด้านข้างคนอื่นๆ ก็เงียบลง ไม่กล้าที่จะรบกวนมู่เฉิน ระหว่างทางที่มาที่นี่พวกเขาพบอสูรวิญญาณขั้นแปด แต่พวกมันเหล่านั้นทั้งหมดซ่อนตัวอยู่ในฝูงอสูรวิญญาณ ถ้าไปกระตุ้นก็จะดึงดูดการโจมตีของอสูรวิญญาณนับหมื่น ก่อนหน้าพวกเขาได้เห็นคนหลายกลุ่มกลายเป็นกระดูกสีขาวภายใต้การรุมโจมตีของฝูงอสูรวิญญาณแล้ว
ความโหดเหี้ยมนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่พวกเขายังรู้สึกหนังหัวเย็นสะท้านไปหมดเมื่อมองไป
ดังนั้นเมื่อเห็นกลุ่มผู้โชคร้ายเหล่านั้น คนอื่นๆ ก็ตัดสินใจได้ หากมู่เฉินไม่สามารถหาโอกาสและพบเป้าหมายที่ดีที่สุด พวกเขาก็ยอมรอต่อไปเรื่อยๆ
ทว่าขณะที่คนอื่นๆ ยึดความคิดนี้อยู่ในใจ จู่ๆ มู่เฉินก็ลืมตาขึ้น ประกายแสงวูบไหวในม่านตาของเขา
“พบเป้าหมายแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดนี่ สายตาของพรรคพวกก็หดเกร็ง อึดใจคลื่นหลิงในร่างกายก็พวยพุ่งออกมาราวกับคลื่นยักษ์
เป้าหมายที่พวกเขาจะตามล่าต่อไปนี้แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่พวกเขาพบมานับตั้งแต่เข้าสู่ดินแดนเสินโซ่
บทที่ 1046 อสูรวิญญาณขั้นแปด
บนต้นไม้สีเทาดำขนาดใหญ่
แต่ละคนพลิ้วกายลงไปพลางมองที่เบื้องหน้า ที่นั่นเป็นป่าขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเทาและสีขาว ต้นไม้เหล่านั้นใบโกร๋นมีเพียงก้านไม้ มองจากระยะไกลดูเหมือนกับป่าหอกซึ่งดูแหลมคมน่ากลัวมาก
ทว่าสายตาพวกเขาไม่ได้หยุดอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน พวกเขาพุ่งความสนใจไปที่ใจกลางป่าซึ่งรัศมีความตายแผ่ซ่านไปทั่ว มีเงาร่างสีขาวจำนวนมากลอยเร่ร่อนไปมา ตัดสินจากจำนวนคร่าวๆ ก็มีเกือบพันเห็นจะได้…
แสงสีดำกะพริบวาบที่กลางหว่างคิ้วของมู่เฉิน จากนั้นก็เจาะทะลุรัศมีความตายหนาแน่น ทันใดนั้นฉากในป่าลึกก็กระจ่างอยู่ในดวงตาของเขาอย่างรวดเร็ว ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ลึกเข้าไปมีเงาดำนั่งอยู่บนพื้น ร่างมันถูกหุ้มด้วยเกราะสีดำ บนพื้นผิวของเกราะถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีความตาย ความผันผวนนั้นทำให้แม้แต่ใบหน้ามู่เฉินยังเคร่งเครียดลง
รัศมีความตายที่ร่างสีดำเมื่อมครอบครองแข็งแกร่งกว่าอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดที่พวกเขาพบมาก่อนหน้ามาก เห็นได้ชัดว่านี่ต้องเป็นอสูรวิญญาณขั้นแปดแน่นอน
“หืม?”
ขณะที่มู่เฉินกำลังตรวจสอบอสูรวิญญาณขั้นแปดด้วยเนตรดับชีวิตอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็ส่งเสียงอุทานแผ่วเบาออกมา เมื่อตระหนักได้ว่าชุดเกราะของอสูรวิญญาณร่างนี้เสียหายหนักมาก มีบาดแผลฉกรรจ์ปาดลึกลงไปเผยให้เห็นกระดูกสีขาวโพลนด้วย
นอกจากนี้รัศมีความตายรอบร่างอสูรวิญญาณขั้นแปดร่างนี้ก็ค่อนข้างจะวุ่นวายเช่นเดียวกัน
“ทำไมเหรอ?” จิ่วโยวถามด้วยเสียงต่ำ
“อสูรวิญญาณขั้นแปดตัวนี้เหมือนจะได้รับบาดเจ็บ” มู่เฉินพูดขึ้นด้วยความกังขา ก่อนหน้าเขาได้ตรวจสอบโดยเนตรดับชีวิตว่าไม่มีคนกลุ่มอื่นในบริเวณใกล้เคียง ดังนั้นบาดแผลของอสูรวิญญาณขั้นแปดร่างนี้มาจากไหน?
เมื่อจิ่วโยว มั่วเฟิงและหานซันได้ยินคำพูดของเขาก็ค่อนข้างประหลาดใจก่อนจะคลี่ยิ้ม “ดูท่าแม้แต่สวรรค์ก็ช่วยเรา อสูรวิญญาณขั้นแปดที่บาดเจ็บง่ายในการจัดการกว่า”
มู่เฉินยิ้มแต่ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก เขาเลื่อนสายตามองไปที่ป่ารัศมีความตายด้วยดวงตาเป็นประกาย
จิ่วโยวมองมู่เฉิน “แม้ว่าที่นี่จะมีอสูรวิญญาณไม่น้อย มิหนำซ้ำยังมีอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดอยู่ในหมู่พวกมัน คงจะลำบากพอตัวถ้าเราดึงดูดความสนใจมา ยิ่งถ้าอสูรวิญญาณขั้นแปดพุ่งออกมาด้วย ก็ยิ่งลำบากสำหรับเรามาก”
การรวมตัวของพวกเขาค่อนข้างลำบากที่จะจัดการกับอสูรวิญญาณขั้นแปดสักร่าง ยิ่งถ้ามีการเพิ่มขึ้นของอสูรวิญญาณขั้นต่างๆ จำนวนมากก็จะลำบากมากอีกหลายส่วน
หานซันและคนอื่นๆ ก็หันไปมองมู่เฉิน เมื่อมาถึงจุดนี้พวกเขาได้แต่พึ่งพามู่เฉินเท่านั้น
มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนที่จะกวาดสายตาตอบว่า “ประสาทสัมผัสของอสูรวิญญาณขั้นธรรมดาอ่อนแอมาก ข้าสามารถใช้ค่ายกลขังพวกมันไว้ สำหรับพวกขั้นเจ็ดการรับรู้ของพวกมันค่อนข้างหลักแหลม วิธีปลอดภัยที่สุดก็คือกำจัดพวกมันทั้งหมด ไม่งั้นกลัวว่าจะลำบากสำหรับเรา ถ้าพวกมันพุ่งมาหาในขณะที่เราโจมตีอสูรวิญญาณขั้นแปด”
“แต่ที่นี่มีพวกขั้นเจ็ดไม่น้อยกว่าสามสิบร่าง…” มั่วหลิงเบิกตากว้าง นั่นเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดกว่าสามสิบคนเชียวนะ พวกนางสามารถจัดการพวกมันด้วยกำลังที่มีหรือ?
“อาจจะไม่เมื่อก่อน… แต่ตอนนี้เจ้าคิดว่าอาวุธเสมือนมหสวรรค์มีไว้เพื่อถืออวดเหรอ?” มู่เฉินยิ้ม จิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิง แต่ละคนได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์มาคนละชิ้น ด้วยความช่วยเหลือของอาวุธเทพก็ยากที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดทั่วไปจะต่อกรกับพวกเขา แม้ว่าพวกวิญญาณขั้นเจ็ดจะมีไม่น้อย แต่ก็แค่จะลำบากขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น
“ปล่อยพวกวิญญาณพวกนั้นเป็นหน้าที่พวกข้าเอง เจ้าเข้าสมาธิสร้างค่ายกลก็พอ” จิ่วโยวพยักหน้า พวกนางพึ่งพามู่เฉินมาตลอดทาง หากตอนนี้พวกนางไม่สามารถรับมือกับแค่ปัญหาเหล่านี้ได้ก็เกินไปแล้ว
มู่เฉินพยักหน้าไม่พูดอะไรอีก กระโจนลงจากต้นไม้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะมองหาพื้นที่ว่างเปล่านั่งลง จากนั้นก็ประสานมือเข้าด้วยกัน สัญลักษณ์หลิงยิ่งพรั่งพรูออกมาไม่หยุด เมื่อมู่เฉินสะบัดนิ้วก็รวมตัวเข้ากับมิติ
สัญลักษณ์หลิงยิ่งรวมเข้ากันในมิติอยู่เรื่อยๆ ทำให้คลื่นหลิงในบริเวณนี้มีความผันผวนขึ้นเล็กน้อย สามารถมองเห็นเส้นแสงกระจายออกไปอย่างช้าๆ
ตราประทับในมือของมู่เฉินเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบสิบนาที ก่อนที่สัญลักษณ์หลิงยิ่งที่ปลายนิ้วจะหายไปอย่างสมบูรณ์
เขาเงยหน้าขึ้นเผยความพึงพอใจเมื่อมองไปที่มิตินี้ ค่ายกลที่เขาสร้างขึ้นในครั้งนี้เรียกว่าค่ายกลภาพมายาปีศาจ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นค่ายกลระดับสูงและมีผลต่อการสร้างภาพลวงตาเพียงอย่างเดียว แต่ขนาดจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็ไม่สามารถหลบหนีได้ด้วยความเร็วที่มีหากติดอยู่ภายใน
ทว่าอสูรวิญญาณมีเพียงความแข็งแกร่ง ไม่มีประสาทสัมผัสและสติปัญญา ดังนั้นประสิทธิภาพของค่ายกลจึงมีพลังอย่างยิ่ง
นอกจากนี้มู่เฉินยังเสริมความแข็งแกร่งให้กับรอบด้านและพลังของค่ายกลอีกด้วย ตราบใดที่ไม่มีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้น คิดว่าคงสามารถดักอสูรวิญญาณพวกนี้ได้ทั้งหมด
หลังจากสร้างค่ายกลเรียบร้อย มู่เฉินก็ส่งสัญญาณมือ จิ่วโยวพยักหน้ารับรู้ก่อนทะยานออกไปพุ่งเข้าไปในป่าที่เต็มไปด้วยรัศมีความตาย
โฮก!
เมื่อจิ่วโยวเข้ามาถึงเป้าหมายนางก็ไม่ได้ซ่อนพลังชีวิตเอาไว้ ดังนั้นอสูรวิญญาณที่ลอยเร่ร่อนไปมาก็เปล่งเสียงคำรามทันทีที่นางปรากฏตัว เงาร่างนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาโรมรันนางทันที
จิ่วโยวก็ไม่ได้หยุดนิ่ง นางพุ่งออกไปด้วยความเร็วเต็มพิกัดทะยานรอบนอกแนวป่า แต่เนื่องจากส่วนในมีอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดจำนวนมาก นางจึงไม่ได้ก้าวเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว
โฮก!
เพียงสองสามนาทีเมื่อจิ่วโยวเหาะเหินออกจากป่าอีกครั้งก็มีฝูงวิญญญาณอสูรติดตามเป็นพรวน จำนวนที่มากขนาดนั้นทำให้หานซันและคนอื่นๆ ที่รออยู่บนต้นไม้รู้สึกว่าหนังศีรษะชาวาบไปหมด
จิ่วโยวพุ่งไปยังทิศทางของค่ายกลที่มู่เฉินสร้างไว้ล่วงหน้า นำอสูรวิญญาณจำนวนมากเข้าไป
ทันทีที่ฝูงอสูรวิญญาณเข้าไปในค่ายกล ตราประทับในมือของมู่เฉินก็เปลี่ยนไป เปิดใช้งานค่ายกลทันที
ฮึ่ม!
ทันใดนั้นแสงหลิงก็แวววาวขึ้นในมิติ เส้นสายซับซ้อนนับไม่ถ้วนเกี่ยวพันเข้าด้วยกันกลายเป็นลวดลายจำนวนมาก สุดท้ายก็กลายเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ล้อมรอบพื้นที่เอาไว้
มู่เฉินและจิ่วโยวพุ่งออกมาในช่วงเวลาที่ค่ายกลตีกรอบขึ้น ทั้งสองยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่จ้องมองลงมาที่บริเวณนั้นก็เห็นอสูรวิญญาณจำนวนมากวิ่งวุ่นวายในความยุ่งเหยิงราวกับแมลงวันหัวขาด ทุกครั้งที่มีอสูรวิญญาณบางตัวกำลังจะพุ่งออกมา พวกมันก็จะวกกลับเข้าไปข้างในเองอีกครั้ง…
“เยี่ยม” เมื่อจิ่วโยวเห็นภาพนี้ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานชื่นชม วิธีการของหลิงเจิ้นซือลึกซึ้งอย่างแท้จริง โดยทั่วไปแม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังหลิงจะทรงพลัง แต่ก็ไม่สามารถดักอสูรวิญญาณจำนวนมากแบบนี้ได้อย่างง่ายดาย
“ข้าเพิ่มบางอย่างลงไปในค่ายกล สามารถขัดขวางการรับรู้ของวิญญาณเหล่านี้ที่มีต่อคลื่นพลังงานชีวิต ก่อนที่คลื่นหลิงของค่ายกลจะหมดสิ้น พวกมันน่าจะบินวนอยู่ในนี้เท่านั้น” มู่เฉินยิ้ม
จิ่วโยวพยักหน้าก่อนที่จะมองไปในส่วนลึกของป่า หลังจากจัดการกับฝูงอสูรวิญญาณแล้ว พวกเขาก็ต้องพึ่งพาตัวเองเพื่อจัดการกับพวกอสูรวิญญาณขั้นเจ็ด
“ข้าจะปล่อยพวกมันให้พวกเจ้า”
มู่เฉินยิ้มมองไปที่จิ่วโยวก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังอีกทิศทางหนึ่งของป่า เขาต้องเตรียมการบางอย่างเพื่อจัดการกับอสูรวิญญาณขั้นแปด
เมื่อจิ่วโยวเห็นมู่เฉินทะยานออกไป นางก็หันกลับไปมองมั่วเฟิง หานซันและคนอื่นๆ ก่อนที่จะพยักหน้า ทั้งกลุ่มค่อยๆ เข้าใกล้พื้นที่ที่อสูรวิญญาณขั้นเจ็ดอยู่
ในส่วนลึกร่างสีเทาดำจำนวนมากกำลังลอยเร่ร่อนพร้อมกับกำจายรัศมีความตายที่ทรงพลัง เมื่อเปรียบเทียบกับอสูรวิญญาณก่อนหน้า พวกมันแข็งแกร่งกว่ามาก
โฮก!
ขณะที่พวกเขาเข้าไปในส่วนลึก พลังชีวิตก็ถูกสังเกตเห็นโดยอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดเหล่านั้น ทันใดนั้นเสียงคำรามลึกก็ดังก้องพร้อมกับเสียงลมถูกแยกออกจากกัน รัศมีความตายน่าสยดสยองกวนตัว ร่างเกือบสิบร่างปรากฏตัวล้อมรอบกลุ่มของจิ่วโยว
เมื่อมองจำนวนอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดที่เข้ามา ใบหน้าของทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลง หากเป็นเมื่อก่อนพวกเขาคงเลือกถอยหนีทันทีเมื่อพบกับอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดจำนวนมากเช่นนี้
วาบ!
อสูรวิญญาณเหล่านี้ไม่มีความอดทน ดังนั้นพวกมันจึงเปิดโจมตีทันที ขณะที่รัศมีความตายพวยพุ่ง ร่างพวกมันก็กลายเป็นกระแสเชี่ยวกรากสีเทาโอบล้อมกลุ่มจิ่วโยว
อสูรวิญญาณขั้นเจ็ดสิบตัวโจมตีในเวลาเดียวกัน กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดก็ยังต้องถอยห่างจากกระแสเชี่ยวกรากของรัศมีความตาย
ทว่าจิ่วโยวกลับก้าวเท้าออกไปพร้อมกับมือแน่น ไม้เทพโทษาปรากฏขึ้น จากนั้นนางก็โบกลง ทันใดนั้นแสงสีดำก็กระจายออกราวกับความมืดเขมือบแสงในบริเวณนี้
แสงสีดำพุ่งลงมาทำให้กระแสรัศมีความตายไร้ขอบเขตอ่อนลงมาก ในเวลาเดียวกันเสียงกระดิ่งก็ดังขึ้น ทั้งพื้นที่เริ่มลุกไหม้ เกลียวเพลิงสีแดงม้วนตัวพลิ้วลงมาจากท้องฟ้า เผาไหม้รัศมีความตายทั้งหมด
ด้านหลังมั่วหลิงยิ้มขณะสั่นกระดิ่งในมือ เพลิงสีแดงที่แม้แต่จอมยุทธ์จื้อจุนขั้นเจ็ดยังทนรับไม่ได้กวาดออกมาจากมัน
การโจมตีร่วมกันของอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดถูกจัดการอย่างง่ายดายโดยจิ่วโยวและมั่วหลิง
เมื่อเห็นผลลัพธ์นี้ แม้แต่ตัวจิ่วโยวและมั่วหลิงเองยังอดฉายความตื่นตะลึงบนใบหน้าไม่ได้ ถ้าเป็นในอดีตแม้ว่าทั้งคู่จะทำดีที่สุด ก็ไม่สามารถปิดกั้นการโจมตีที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ แต่ตอนนี้พวกนางทำสำเร็จได้อย่างง่ายดาย
“สมแล้วที่เป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์” จิ่วโยวอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ มิน่าล่ะแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังถูกดึงดูดโดยอาวุธมหสวรรค์ พลังของอาวุธเหล่านี้ไม่อาจหยั่งรู้ได้อย่างแท้จริง
ตู้ม!
เมื่อกระแสรัศมีความตายถูกเผาไหม้ หอกทองคำก็กวาดออกมาพร้อมกับแสงโบราณบริสุทธิ์ ขณะที่หอกวาบผ่านก็ทะลุผ่านหัวร่างอสูรวิญญาณที่แข็งแกร่งจนระเบิดเละเทะ
ปัง!
พลองสีดำฟาดลงมา เงาพุ่งดิ่งลง รอยแตกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนพื้น ร่างอสูรวิญญาณที่แข็งทนทานอีกตัวก็ถูกทำลายราบคาบด้วยพลอง
การลงมือฉับพลันของมั่วเฟิงและหานซันสร้างผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์ทันที
ทั้งสี่คนแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ หลังจากรู้ว่าอาวุธเสมือนมหสวรรค์ในมือทรงพลังเพียงใด พวกเขาก็ไม่เกรงกลัวพุ่งออกไปราวกับพยัคฆ์ร้าย ปะทะกับอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดที่เหลือทันที
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดขึ้น จอมยุทธ์ทั้งสามของเผ่าแรดอสูรก็อ้าปากตาค้าง เมื่อเห็นทั้งสี่คนสำแดงพลังแบบไม่มีใครยอมใคร กลุ่มอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดที่ตอนแรกได้เปรียบก็แพ้ยับเยิน
ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีร่างอสูรวิญญาณสิบตัวก็ถูกกำจัดหมดสิ้น
ด้วยการเริ่มต้นที่ดี พวกเขาก็ไม่ลังเลเคลื่อนไหวออกไปเพื่อล้างบางร่างอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดที่เหลืออยู่ในป่า พยายามจัดการให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ขณะที่พวกเขากำลังกำจัดอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดในป่าไปเรื่อยๆ ที่ส่วนลึกการเตรียมของมู่เฉินก็ค่อยๆ เสร็จสมบูรณ์
ปุ! ปุ!
มู่เฉินยืนอยู่บนกิ่งไม้ เขาปัดมืออย่างแผ่วเบาพร้อมกับจ้องมองไปที่ระยะไกล รัศมีความตายรุนแรงกวาดอยู่ในบริเวณนั้น มีเงาร่างที่ดูเลือนราง ปล่อยแรงกดดันทรงพลัง
เมื่อมองไปที่เงาร่างนั้น มู่เฉินก็หรี่ตาลงขณะที่คลี่ยิ้ม
ต่อไปถึงตาแกแล้ว
บทที่ 1047 ล้อมล่า
เมื่อมู่เฉินเตรียมการพร้อมทุกอย่าง
เสียงลมฉีกอากาศก็ดังก้องที่ด้านหลังก่อนที่คนอื่นๆ จะทะยานเข้ามา
ทั้งสี่คนกระจายความสุขบนใบหน้า เมื่อครู่ที่พวกเขาจัดการกับอสูรวิญญาณขั้นเจ็ดสิบกว่าร่าง พวกเขาได้สัมผัสประสบการณ์แล้วว่าอาวุธเสมือนมหหสวรรค์ทรงพลังแค่ไหน
ด้วยวัตถุเหล่านี้ ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุด พวกเขาก็ไม่ต้องกลัวแล้ว
เมื่อมู่เฉินเห็นความมั่นใจของพรรคพวกก็ยิ้มให้ก่อนที่จะมองเข้าไปในป่าส่วนลึก รัศมีความตายเริ่มหนาแน่นขึ้น ดูเหมือนว่าอสูรวิญญาณขั้นแปดก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนแปร
“ต่อไปเรามากำจัดเจ้าตัวใหญ่นี่กันดีกว่า”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ใบหน้าของคนที่เหลือก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด พวกเขารู้ชัดว่าอสูรวิญญาณขั้นแปดไม่เหมือนกับขั้นเจ็ดเลย เช่นเดียวกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดที่แข็งแกร่งกว่าขั้นเจ็ดหลายขุม
ด้วยอาวุธเสมือนมหสวรรค์ พวกเขาสามารถอยู่ยงคงกระพันในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดได้อย่างสบาย แต่ถ้าพวกเขาประมือกับระดับจื้อจุนขั้นแปดของแท้ ก็คงไม่ไหวเหมือนกัน
แต่เวลานี้ไม่ใช่เรื่องที่จะทำตัวหงออีกแล้ว พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันก็พยักหน้าหนักแน่น ส่วนจอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรทั้งสามคนก็หลบฉากไปด้านหลัง การต่อสู้ที่กำลังจะระเบิดขึ้นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดธรรมดาอย่างพวกเขาไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้
เมื่อเห็นทุกคนเตรียมพร้อม มู่เฉินก็ไม่ชักช้าสะบัดมือออกไป ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าไป ไม่กี่วินาทีก็ทะยานเข้าไปในป่าส่วนลึก
พรรคพวกสี่คนก็ติดตามมาอย่างใกล้ชิด
ซ่า! ซ่า!
มู่เฉินพลิ้วตัวลงตรงเบื้องหน้าต้นไม้ใหญ่ รัศมีความตายที่นี่หนาแน่นมากจนดูเหมือนข้นเหนียวไปจนถึงจุดที่ทำให้รู้สึกเหมือนกับอยู่ในบึงโคลน
สายตาเขาจับจ้องอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีร่างเงาสีดำนั่งอยู่เงียบๆ รัศมีความตายน่าสะพรึงกลัวหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายเมื่อมันสูดดม
นอกจากนี้ยังมีแรงกดดันทรงพลังกำจายออกจากร่างมันด้วย
ภายใต้สายตาของพวกเขาที่จ้องมองไป ร่างเงาสีดำก็เปิดดวงตาขึ้น ดวงตาคู่นั้นกลวงโบ๋ มีเพียงรัศมีความตายหมุนคว้างราวกับหลุมดำ หากคนทั่วไปถูกจ้องมองนานเกิน กระทั่งพลังชีวิตที่มีก็จะถูกดึงออกจากร่างและถูกกลืนกินจากวิญญาณร้าย
ไม่มีสติปัญญาใดในสายตามีแต่ความรู้สึกชั่วร้าย ภัยคุกคามที่ปล่อยออกมายิ่งกว่าอสูรวิญญาณที่พวกเขาเคยพบมามาก
สีหน้าของพวกจิ่วโยวเคร่งขรึมลงมาก ชัดว่าสัมผัสได้ถึงความยากในการจัดการของอสูรวิญญาณขั้นแปดที่ยืนอยู่ตรงหน้า
ร่างนั้นยืนขึ้นช้าๆ ร่างกายของมันดูเหมือนจะแข็งทื่อ แต่ไม่มีความรู้สึกเฉื่อยชาใดๆ กลับเหมือนสามารถพุ่งทะยานประหนึ่งสายฟ้าฟาดทันทีที่เคลื่อนไหว
“โฮก!”
เสียงคำรามลึกต่ำสะท้อนจากลำคอ ขณะที่อสูรวิญญาณมองกลุ่มมู่เฉินด้วยม่านตาหลุมดำ เสียงคำรามช่างเต็มไปด้วยการข่มขู่คุกคาม
“แม้ว่าจะไม่มีสติปัญญา แต่สัญชาตญาณไม่ต่ำเลย” มู่เฉินอึ้งไป มีบาดแผลฉกรรจ์ทั่วร่างมันและมันรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุดในการต่อสู้ ดังนั้นจึงส่งเสียงคำรามข่มขู่พวกเขา
“แต่วันนี้ข้าต้องได้หัวใจแก”
แม้ว่าอสูรวิญญาณตัวนี้จะไม่เข้าใจคำพูดของมู่เฉิน แต่มันสามารถสัมผัสได้จากสัญชาตญาณ ทันใดนั้นรูม่านตาสีเทาดำก็ถูกห่อหุ้มด้วยรัศมีความตาย เสียงคำรามดังกึกก้องยิ่งขึ้น
ตู้ม!
รัศมีความตายเชี่ยวกรากกวาดออก ต้นไม้รอบด้านล้มระเนระนาด ก่อนที่อสูรวิญญาณจะกลายเป็นลำแสงสีเทาพุ่งออกมา
ความเร็วของมันราวกับเสียงฟ้าร้อง พริบตาก็ปรากฏขึ้นไม่ไกลจากพวกเขา จากนั้นซัดหมัดออกมา รัศมีความตายรุนแรงกวาดออก มองจากที่ไกลราวกับมังกรขนาดพันจั้งที่สร้างขึ้นจากรัศมีความตาย
มังกรคลื่นความตายพุ่งใส่ ฉีกเหวลึกขึ้นบนพื้น ทุกสิ่งที่ขัดขวางจะสลายกลายเป็นเถ้าถ่านโดยรัศมีความตาย
เมื่ออสูรวิญญาณขั้นแปดโจมตีก็แสดงถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัว
ใบหน้าของจิ่วโยวเคร่งเครียด นางก้าวออกไปเป็นคนแรก คลื่นหลิงในร่างกายไหลเวียนโดยไร้การหน่วงเหนี่ยวใดๆ ไม้เทพโทษาในมือยิงลำแสงสีดำออกมา ความมืดมิดกลืนแสงรอบข้างอย่างสมบูรณ์
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
ไม้เทพโทษาสั่นไหว ขณะที่แสงสีดำไหลเวียนก็ขยายขนาดอย่างรวดเร็ว เมื่อมีความยาวประมาณสิบจั้งก็ฟาดลงมา ทันใดนั้นดวงจันทร์สีดำก็ลอยขึ้นในสวรรค์และโลก แสงทั้งหมดหายไปภายใต้ดวงจันทร์สีดำนี้
เมื่อดวงจันทร์สีดำเคลื่อนลงมาพร้อมกับไม้สีดำก็ทะลุผ่านมังกรคลื่นความตาย จากนั้นร่างใหญ่โตก็หดตัวลงเกือบครึ่งด้วยความเร็วที่เห็นได้ชัด
ทว่าแม้มันจะหดลงเหลือครึ่งหนึ่ง รัศมีความตายที่เหลือก็ยังคงมีขนาดใหญ่ พลังที่ครอบครองน่าอัศจรรย์ใจนัก
“กระดิ่งทิพย์เพลิงแดง!”
แต่ในเวลาเดียวกัน เสียงร้องแผ่วเบาก็ดังกึกก้อง กระดิ่งสีแดงลอยอยู่บนท้องฟ้า ตัวกระดิ่งสั่นไหวส่งเสียงก้องกังวาน เปลวไฟเอนกอนันต์กวาดออกมา ทันใดนั้นมหาสมุทรเพลิงก็แผดเผาฟ้าดิน อุณหภูมิในมิติเพิ่มสูงขึ้นทันที แม้กระทั่งอากาศก็เผาไหม้
ปัง!
มหาสมุทรเพลิงโหมกระหน่ำใส่ร่างมังกรยักษ์ ทันใดนั้นการระเบิดที่น่ากลัวและรุนแรงก็ดังสนั่นหวั่นไหว อุณหภูมิสูงขึ้นมาก แม้แต่ป่าไม้สีเทาซีดก็ลุกไหม้อยู่ด้านล่าง
โฮก!
รัศมีความตายพุ่งออกมาจากปากของมังกรขณะพยายามดับมหาสมุทรเพลิง
ตู้ม!
พลองสีดำและหอกทองคำโบราณพุ่งเข้ามาในจังหวะนี้ตามด้วยแรงเคลื่อนไหวเชี่ยวกราก ประสานพลังฉีกทึ้งมังกรคลื่นความตายออกจากกันจนสลายกลายเป็นแสงสีเทา
ที่เบื้องหลังมู่เฉินมองทั้งสี่ประสานพลังแล้วสามารถสลายการโจมตีของอสูรวิญญาณขั้นแปดได้ ริ้วความตื่นตะลึงก็วูบไหวในดวงตา ด้วยพลังอาวุธเสมือนมหสวรรค์สี่ชิ้น ชัดว่าพวกจิ่วโยวพอมีคุณสมบัติที่จะเผชิญหน้ากับระดับจื้อจุนขั้นแปดได้แล้ว
ทว่านี่น่าจะเป็นแค่ชั่วคราวเนื่องจากอสูรวิญญาณยังไม่ได้แสดงพลังอย่างเต็มที่
โฮก!
ขณะที่ความคิดนี้พล่านไปในหัวใจของมู่เฉิน ทันใดนั้นเสียงคำรามความตายก็ดังกึกก้อง ลำแสงสีดำพุ่งออกมาจากรัศมีความตายบนท้องฟ้า ปรากฏตรงหน้ากลุ่มของจิ่วโยวแล้วซัดฝ่ามือออกไปฉับพลัน
ครืน!
นี่เป็นฝ่ามือที่ดำราวกับน้ำหมึก กระทั่งท้องฟ้ายังมืดมิดลงทันใด ลวดลายแห่งความตายแผ่กระจายไปทั่วท้องฟ้า หากสิ่งเหล่านี้บุกรุกเข้าไปในร่างกายของใครละก็ คนคนนั้นจะต้องตายอย่างแน่นอน
ทั้งสี่คนสีหน้าเปลี่ยนแปรทันที โดยไม่ลังเลพวกเขาก็เร้าอาวุธเสมือนมหสวรรค์ในมือ แสงที่กำจายออกช่วยต้านทานลวดลายแห่งความตายไว้ได้
แต่การต่อต้านก็กินเวลาไม่กี่อึดใจก่อนที่รัศมีหลิงรอบตัวพวกเขาจะมืดลง ฝ่ามือที่ปกคลุมด้วยคลื่นความตายซัดลง ทั้งสี่คนได้รับบาดเจ็บกระเด็นออกไปในสภาพสะบักสะบอม
อ็อก! อ็อก!
เลือดกบปาก พวกเขาดูน่าอนาถอย่างมาก ทว่าโชคดีที่แต่ละคนมีอาวุธเสมือนมหสวรรค์ปกป้องร่างจากรัศมีความตาย
ตอนนี้พวกเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าอสูรวิญญาณขั้นแปดร่างนี้ทรงพลังเพียงใด แม้จะมีอาวุธเสมือนมหสวรรค์ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเอาชนะได้
โฮก!
อสูรวิญญาณคำราม รัศมีความตายหนาแน่นกลายเป็นลูกคลื่นขนาดมโหฬารกวาดมาทางด้านหลังพวกเขา เงาร่างสีเทาดำก็ทะยานออกมาอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่ามันตั้งใจจะฆ่าผู้บุกรุกให้ได้โดยเร็วที่สุด
ตู้ม!
แต่ขณะที่มันซัดพลังเข้าหาทั้งสี่ แสงสีทองก็เบ่งบานขึ้นบนท้องฟ้าฉับพลัน ร่างเทพสุริยะปรากฏขึ้นพร้อมกับฝ่ามือสีทองกดลงมา เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
ตึง!
เผชิญหน้ากับการโจมตีฉับพลันของมู่เฉิน อสูรวิญญาณก็เหวี่ยงหมัดออก รัศมีความตายดุเดือดปะทะกับฝ่ามือทองคำที่กดทับลงมา
คลื่นกระแทกรุนแรงระเบิดขึ้น ฝ่ามือทองคำขนาดใหญ่ไม่สามารถทำอะไรอสูรวิญญาณได้แม้แต่น้อย
โฮก!
ม่านตาสีเทาดำจับจ้องอยู่ที่มู่เฉินก่อนที่มันจะแผดเสียงคำรามลึก มันสามารถรู้สึกได้ว่าภัยคุกคามที่มู่เฉินปล่อยออกมาแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มคนพวกนี้
ดังนั้นมันจึงไม่ได้ไล่ตามทั้งสี่คน พริบตาก็กลายเป็นร่างแสงยิงเข้าใส่ร่างเทพสุริยะ อสูรวิญญาณอ้าปากกว้าง รัศมีความตายรวมตัวกันรุนแรง ก่อนที่จะบีบอัดราวกับเป็นลูกระเบิดความตาย
แม้แต่มิติรอบปากก็บิดเบี้ยว
เมื่อมู่เฉินเห็นฉากนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหดตาลง อสูรวิญญาณขั้นแปดจัดการลำบากจริงๆ แม้ว่าจิงฉิงเทียนจะมาอยู่ที่นี่ ก็คงจะถูกฆ่าตายในไม่กี่กระบวนท่า
ครืน!
รัศมีความตายควบแน่นจนถึงขีดสุดในปากอสูรวิญญาณ สุดท้ายก็กลายเป็นลำแสงมรณะยิงทะลุมิติพุ่งเข้าหามู่เฉิน
ตู้ม! ตู้ม!
ประจันหน้ากับการโจมตีที่น่ากลัวของอสูรวิญญาณ มู่เฉินก็ไม่กล้าที่จะประมาท ดวงอาทิตย์สีทองลุกโชนขึ้นในร่างเทพสุริยะ ก่อนที่จะระเบิดเป็นของเหลวสีทองพุ่งออกมา
ของเหลวสีทองก่อตัวเป็นคทาทองคำในมือมู่เฉิน จากนั้นก็โบกมันลงปะทะกับลำแสงมรณะ
เสียงกัมปนาทดังขึ้นบนท้องฟ้าพร้อมกับคลื่นกระแทกที่น่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมา ป่าเบื้องล่างถูกถอนรากถอนโคน ต้นไม้น้อยใหญ่แตกกระจายจากแรงกระแทก
ทั้งสี่คนมองไปที่ท้องฟ้าด้วยสายตากังวล มู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ที่มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มพวกเขา ถ้ากระทั่งเขายังไม่สามารถจัดการกับอสูรวิญญาณขั้นแปดได้ ภารกิจของพวกเขาจะต้องลำบากยิ่งแน่นอน
ตู้ม!
แสงสีทองกวาดออกบนท้องฟ้า ร่างเทพสุริยะถลาออกไปพร้อมกับรอยแตกปรากฏบนพื้นผิวก่อนที่จะระเบิดเป็นประกายแสงสีทองปกคลุมท้องฟ้า
ส่วนอสูรวิญญาณก็แค่ถอยออกไปไม่กี่ร้อยจั้งเท่านั้น แม้ว่ารัศมีความตายรอบตัวจะไม่เสถียรครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รับความเสียหายมากนัก
เมื่อเห็นฉากนี้หัวใจของพวจิ่วโยวก็ดิ่งลง ความแข็งแกร่งของอสูรวิญญาณขั้นแปดเกินความคาดหมายของพวกเขา นั่นเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นร่างเทห์สวรรค์ของมู่เฉินถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว
ภายใต้สายตาเป็นกังวล เงาร่างของมู่เฉินก็ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้าสีทองพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด ขณะมองไปที่อสูรวิญญาณซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยรัศมีความตายเชี่ยวกราก จากนั้นเขาก็ถอยออกมาโดยไม่ลังเล
โฮก!
ขณะที่มู่เฉินถอยกลับ อสูรวิญญาณก็คำรามเสียงบาดหู มันกระทืบเท้าลงบนพื้น ร่างกลายเป็นลำแสงสีดำพุ่งเข้าไล่ล่ามู่เฉิน
ความเร็วของอสูรวิญญาณขั้นแปดรวดเร็วมาก เพียงไม่กี่อึดใจก็ไล่ตามมู่เฉินทันแล้ว แต่ขณะที่มันกำลังจะหมุนเวียนรัศมีความตายเพื่อโจมตี มู่เฉินก็หยุดชะงักลงทันที แสงสีดำวูบไหวในดวงตาเขาขณะมองศัตรู จากนั้นเขาก็คลี่ยิ้ม มือสร้างตราประทับทันที
ฮึ่ม! ฮึ่ม
เมื่อตราประทับสร้างขึ้น สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนก็พวยพุ่งบนท้องฟ้าเปล่งแสงพราว ลวดลายเส้นสายปรากฏขึ้นในบริเวณนี้ เส้นสายเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ก่อตัวเป็นค่ายกลขนาดใหญ่หลายค่ายกล…
กะจำนวนค่ายกลคงมีไม่ต่ำกว่าสิบค่ายกลเลยทีเดียว
เพื่อล่าอสูรวิญญาณขั้นแปด ชัดว่ามู่เฉินเทหมดหน้าตัก สร้างทุกค่ายกลที่ศึกษามาแล้วใช้ประโยชน์ได้!
บทที่ 1048 ล้อมฆ่าด้วยค่ายกล
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดบนท้องฟ้าของป่า
ลวดลายเส้นหลิงนับไม่ถ้วนสลับซับซ้อนสร้างเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ขึ้นมา ทำให้จิ่วโยวและคนอื่นๆ ที่มองจากระยะไกลยังรู้สึกว่าหนังหัวชาวาบไปหมดจากภาพเบื้องหน้า พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะสามารถจัดตั้งค่ายกลได้มากมายขนาดนี้ในคราวเดียว
ภายใต้ความหนักหน่วงของชั้นค่ายกล แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดก็จะตั้งตัวไม่ทัน แม้ว่าพลังในการต่อสู้ของหลิงเจิ้นซือจะไม่แข็งแรง แต่ตราบใดที่มีเวลาพอเพียง พลังที่ปลดปล่อยออกได้จะน่าตกใจอย่างยิ่ง
โดยทั่วไปในการปะทะระหว่างจอมยุทธ์ทรงพลัง ตราบใดที่ไม่โง่ก็ไม่มีทางก้าวเข้าบริเวณที่เต็มไปด้วยขบวนแถวแสงเช่นนี้ ทว่าอสูรวิญญาณขั้นแปดไม่มีสติปัญญา ดังนั้นมันจึงพุ่งเข้าไปในดงค่ายกลหนาทึบนี้
เมื่อมันพุ่งเข้าไป มันถึงได้รู้สึกถึงอันตราย ทันใดนั้นก็คิดถอยกลับออกจากพื้นที่อันตราย
แต่เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินซึ่งจับอสูรวิญญาณขั้นแปดลงไปในหม้อต้มเดือดได้แล้ว ก็ไม่คิดจะปล่อยออกไปอย่างง่ายดาย
“ในเมื่อเข้ามาแล้วก็อยู่ต่อไปเถอะ”
“ค่ายกลตาข่ายฟ้า!”
มู่เฉินยิ้มบาง จากนั้นตราประทับในมือเปลี่ยนไป ท่ามกลางชั้นหนาของค่ายกล ค่ายกลที่เหมือนกันสองค่ายกลก็ปรากฏขึ้น สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนเต้นระริกบินฉวัดเฉวียนออกไป ก่อนที่จะเกาะเกี่ยวพันกันกลายเป็นตาข่ายปกคลุมท้องฟ้า เส้นแสงเหล่านั้นประหนึ่งอสรพิษพันเข้าที่แขนขาของอสูรวิญญาณเอาไว้เหนียวแน่น
ค่ายกลตาข่ายฟ้าเป็นเพียงค่ายกลระดับตี้ขั้นสูง ถ้ามีเพียงค่ายกลเดียวก็ยากที่ขังอสูรวิญญาณขั้นแปด ดังนั้นมู่เฉินจึงสร้างสองค่ายกลขึ้นมาเพื่อความมั่นใจ
โฮก!
อสูรวิญญาณที่ถูกล้อมรอบด้วยเส้นแสงหนักหน่วงก็แผดเสียงคำรามออกมา รัศมีความตายเชี่ยวกรากกวาดออกจากร่าง กัดเซาะเส้นแสงที่เกาะติดมันเอาไว้
การยับยั้งจากค่ายกลต่าข่ายฟ้าได้ผลเพียงชั่วครู่ ก่อนที่จะถูกทำลาย
ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้แปลกใจกับความจริงนี้ เพราะค่ายกลนี้อยู่ในระดับต่ำไป แม้ว่าจะมีสองพลังช่วยประสาน แต่พลังก็ยังมีข้อจำกัด ดังนั้นจึงไม่สามารถยึดร่างอสูรวิญญาณไว้ได้นาน แต่แค่นี้ก็ซื้อเวลาให้กับเขาอย่างเพียงพอแล้ว…
มู่เฉินหายใจเข้าลึก แสงหลิงพลุ่งพล่านออกมาจากในนัยน์ตา กระบวนท่าบนฝ่ามือวูบไหว ค่ายกลทั่วบริเวณปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ค่ายกลบัวยมทูต!”
“ค่ายกลดาบบงกชไพลิน!”
“ค่ายกลระฆังทองไร้พ่าย!”
“…”
พร้อมกับเสียงคำรามของมู่เฉิน ค่ายกลก็ปรากฏขึ้นไม่หยุด มีค่ายกลจำนวนมากรวมเข้าด้วยกัน แสดงให้เห็นถึงพลังที่น่าอัศจรรย์
ตู้ม! ตู้ม!
เมื่อค่ายกลปรากฏแก่สายตาก็ปลดปล่อยไอสังหารทันที พายุพลังงานหลิงกวาดล้างไปทั่วพื้นที่ ค่ายกลทั้งหมดก่อร่างด้วยการโจมตีที่น่ากลัวรูปแบบต่างๆ ซัดใส่อสูรวิญญาณขั้นแปดอย่างจัง
ปัง! ปัง! ปัง!
ชุดการโจมตีระดมยิงใส่ร่างอสูรวิญญาณภายในอย่างต่อเนื่อง ทำให้มันกระแทกกลับไปกลับมา รัศมีความตายที่ปกคลุมก็แสดงให้เห็นถึงสัญญาณของความไม่มั่นคงจากโจมตีรุนแรง
อสูรวิญญาณถูกซัดกลับไปกลับมาทำให้เกิดความโกรธในเวลาเดียวกัน มันส่งเสียงคำรามโยนกำปั้นออกไป รัศมีความตายน่าสยดสยองพุ่งพรวดออกมา ซัดการโจมตีที่พุ่งเข้ามาแตกระเบิดไปหมด
เมื่อเห็นสิ่งนี้มู่เฉินก็ถอยหลังออกไป
อสูรวิญญาณแผดเสียงคำรามพลางไล่ตามพร้อมกับรัศมีความตายเชี่ยวกราก แต่เมื่อมันก้าวเข้าสู่ในพื้นที่แห่งนี้ รัศมีความตายรอบตัวก็หดลงอย่างรุนแรง เนื่องจากรับรู้ถึงภัยคุกคามที่เพิ่มสูงขึ้นบริเวณโดยรอบ
ตู้ม!
มิติโดยรอบบิดเบี้ยว สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนรวมตัวกันบนท้องฟ้า ลวดลายแสงเกี่ยวพันกันและกัน ค่ายกลขนาดใหญ่โตก็ปรากฏขึ้น ขณะที่แสงหลิงควบแน่น ก็ก่อร่างเป็นตราประทับภูเขาศักดิ์สิทธิ์บดขยี้ลงมา
ตึง!
ตราประทับของภูเขาศักดิ์สิทธิ์พุ่งใส่อสูรวิญญาณ พลังอันน่าสะพรึงกลัวตอกร่างมันลึกลงไปในพื้นดิน รอยแตกปริออกบนหน้าผาก เห็นได้ชัดว่ามันได้รับบาดเจ็บหนัก
โฮก!
ดวงตาของอสูรวิญญาณเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ รังสีความตายควบแน่นในปาก ก่อนที่จะยิงออกมาระดมใส่ตราประทับภูเขาศักดิ์สิทธิ์จนระเบิดเป็นประกายบนท้องฟ้า
ตู้มมมม!
ทว่าขณะที่ตราประทับภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกนี้ร่วงลง ตราประทับอีกสองส่วนก็กระแทกลงมาจากท้องฟ้าใส่หัวของอสูรวิญญาณไม่ยั้ง ทั้งร่างมันตอกลงไปกับพื้น รอยแตกขนาดใหญ่ก็พังทลายลง
เมื่อคนอื่นได้เห็นฉากนี้ก็อดเดาะลิ้นไม่ได้ หากพวกเขาเป็นคนที่ตกอยู่ในค่ายกล คงถูกฆ่าโดยการโจมตีไม่ยั้งของค่ายกลไปนานแล้ว
“หลิงเจิ้นซือที่เตรียมการไว้อย่างดีน่ากลัวเหลือเกิน…” หานซันปาดเหงื่อเย็นออก ในบรรดาจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกัน ต่อให้จะหนีออกมาได้ก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับ
ทว่าหานซันรู้ว่าไม่ใช่หลิงเจิ้นซือทุกคนสามารถสร้างค่ายกลจำนวนมากขนาดนี้ได้ในคราวเดียว ชัดว่ามู่เฉินมีความสามารถสูงในศาสตร์ค่ายกลเช่นกัน
นี่ทำให้เขาอดถอนหายใจไม่ได้ แม้แต่คนที่ภูมิใจในตัวเองแบบเขายังต้องนับถือในความแข็งแกร่งของมู่เฉิน สหายคนนี้เป็นสัตว์ประหลาดจริงๆ… อัจฉริยะอย่างพวกเขาดูอับแสงไร้สีสันไปเลยเมื่อเทียบกับอีกฝ่าย
“แต่กลัวว่าการโจมตีเช่นนี้ก็ยังไม่สามารถทำให้อสูรวิญญาณขั้นแปดได้รับบาดเจ็บถึงชีวิต…” มั่วเฟิงนิ่งเงียบชั่วครู่ก่อนที่จะพูดขึ้น
คนอื่นก็พยักหน้าเบาๆ แม้ตอนนี้ดูเหมือนว่าค่ายกลของมู่เฉินยับยั้งจิตอสูรวิญญาณขั้นแปดได้ แต่ยังไงความแข็งแกร่งของมันก็เปรียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปด จนถึงตอนนี้ยังไม่เกิดการบาดเจ็บใดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อพลังในการต่อสู้
ตู้ม!
ขณะที่พวกเขากำลังคุยกันก็เห็นพื้นดินระเบิดขึ้นกะทันหันเศษหินปลิวว่อน ร่างเงาที่ห่อหุ้มด้วยรัศมีความตายพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ส่งเสียงคำรามเลื่อนลั่น ระลอกคลื่นความตายกระจายออกไป ทำลายหนึ่งในตราประทับของภูเขาศักดิ์สิทธิ์
ขณะนี้อสูรวิญญาณดูน่าสมเพชพอสมควร แม้แต่รัศมีที่อยู่รอบตัวก็อ่อนแอลง แต่โดยรวมก็ยังเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งยิ่งนัก
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นแววตาวูบไหว ไม่คิดเลยว่าหลังจากใช้ค่ายกลนับสิบ อสูรวิญญาณก็ยังสามารถทนได้
วาบ!
ดวงตาเกรี้ยวกราดของอสูรวิญญาณจ้องเขม็งไปที่มู่เฉิน ทันใดนั้นก็พุ่งชนด้วยรัศมีความตายรุนแรง ดูราวกับสัญญาณควันลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
มู่เฉินมองอสูรวิญญาณที่กระโจนเข้าใส่ก็ไม่ขยับ รอให้ใกล้เข้ามา ถึงได้กระแทกฝ่าเท้าลงไป
ฮี่ม! ฮึ่ม!
ที่เบื้องหลังห้วงมิติผันแปรกะทันหัน สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ครั้งนี้ปรากฏค่ายกลที่ทรงพลังและไร้ขอบเขตสองค่ายกล
ภายในค่ายกลเหมือนจะมีแสงควบแน่นแปลกประหลาด
“ค่ายกลเทพเผาผลาญ!”
ดวงตามู่เฉินวาววับขณะตะเบ็งเสียงลั่น ทันใดนั้นค่ายกลทั้งสองก็ปะทุขึ้น เกลียวแสงควบแน่นก่อนที่จะเจาะทะลุผ่านมิติ ห่อหุ้มร่างอสูรวิญญาณที่พุ่งเข้ามาเอาไว้
ค่ายกลเทพเผาผลาญเป็นค่ายกลที่แข็งแกร่งที่สุดในคลังแสงของมู่เฉินขณะนี้ ยิ่งไปกว่านั้นค่ายกลทั้งสองก็บ่มพลังเดือดพล่านมาเป็นเวลานาน ดังนั้นพลังจึงแข็งแกร่งกว่าครั้งก่อนที่เขาใช้มาก
ค่ายกลทั้งหลายก่อนหน้านี้เป็นค่าซื้อเวลา มีเพียงค่ายกลเทพเผาผลาญสองค่ายกลนี้ที่เป็นไพ่ตายของเขา หากค่ายกลนี้โจมตีร่างอสูรวิญญาณละก็ มันจะต้องจ่ายราคาแพงระยับแน่
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ริ้วแสงทำลายล้างปกคลุมเข้ามา ทำให้รัศมีความตายโดยรอบร่างอสูรวิญญาณผันผวนรุนแรงเมื่อสัมผัสได้ถึงอันตราย แต่ไม่รอให้มันได้หลบหนี ร่างก็ถูกห่อหุ้มด้วยแสงทำลายล้างแล้วแทงทะลวงผ่านร่างไป
ปัง! ปัง!
อากาศระเบิดขึ้น ร่างอสูรวิญญาณร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า มีรูขนาดเท่ากำปั้นบนร่างกายของมัน รัศมีความตายก็กระจัดกระจายออกไป
ตึง!
อสูรวิญญาณดิ่งพสุธาลงมาบนพื้น ทำให้เกิดหลุมรัศมีหมื่นจั้ง รอยแตกขนาดใหญ่แผ่กระจายไปทั่วผืนป่า
เมื่อคนอื่นเห็นภาพนี้จากระยะไกล ความสุขก็วูบไหวในนัยน์ตา กระบวนท่าที่มู่เฉินบ่มไว้เป็นเวลานาน น่าเกรงขามจริงๆ!
คราวนี้ไม่ว่าอสูรวิญญาณขั้นแปดจะแข็งแกร่งปานใด ก็ต้องได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน!
ฝุ่นฟุ้งขึ้นมาจากพื้นดิน พื้นที่ทั้งหมดนี้วินาศสันตะโร ส่วนมู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้าก้มหัวลงต่ำมองไปที่ปากหลุมก็หายใจออกลึก
การควบคุมค่ายกลจำนวนมากมายในเวลาเดียว ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดที่กลางหว่างคิ้วยิ่งนัก ทว่าเขาก็ยังไม่ผ่อนคลาย เนื่องจากเขารู้ว่าแม้จะถูกปราบปรามอย่างสมบูรณ์และโจมตีโดยค่ายกลระดับเทียนทั้งสอง แต่อสูรวิญญาณขั้นแปดก็ไม่ใช่สิ่งที่จะฆ่าได้ง่ายๆ…
ตึง!
ขณะที่ความคิดนี้แล่นพล่านในใจของมู่เฉิน เสียงคำรามก็ดังก้องมาจากพื้นดิน ดวงตาเขาหดเกร็งลง รัศมีความตายเชี่ยวกรากแผ่กระจายราวกับลอนคลื่น เงาที่ดูน่าอนาถค่อยๆ ลุกขึ้นจากมหาสมุทรรัศมีความตาย
ทั่วร่างถูกปกคลุมไปด้วยหลุมลึก รัศมีความตายกระจัดกระจายไม่หยุด มากจนกระทั่งไหล่เกือบครึ่งหนึ่งหลุดออกมาจากเบ้า ราวกับว่ามันกำลังจะขาดออก เห็นได้ชัดว่าแม้การโจมตีเมื่อครู่ของมู่เฉินจะไม่สามารถฆ่าอสูรวิญญาณตัวนี้ได้ แต่ก็ทำให้มันบาดเจ็บสาหัสเลยทีเดียว
โฮก!
อสูรวิญญาณจ้องเขม็งมู่เฉิน ม่านตามืดมนเต็มไปด้วยรัศมีความตาย ปลดปล่อยเสียงคำรามเดือดดาลพร้อมกับแสงสีแดงระยิบระยับในดวงตา จากสัญชาตญาณของมันบอกว่าวันนี้จะต้องเขมือบชายที่อยู่ต่อหน้าให้ได้
มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้ามองร่างอสูรวิญญาณที่คิดจะเสี่ยงหมดหน้าตักอย่างไม่แยแส จากนั้นเขาก็หลับตา แสงสีดำรวมตัวที่หน้าผาก ก่อนที่ดวงตาที่สามจะเปิดขึ้นอย่างช้าๆ
เนตรดับชีวิตไพ่ตายสุดท้ายที่มู่เฉินเตรียมไว้สำหรับอสูรวิญญาณ
บทที่ 1049 อำนาจแห่งเนตรดับชีวิต
ดวงตาสีดำแนวตั้งเปิดขึ้นช้าๆ บนหน้าผากของมู่เฉิน
พร้อมกับแสงสีดำไหลเวียนอยู่ภายใน ประหนึ่งแสงแห่งการทำลายล้างกลั่นตัว เมื่อแสงสีดำกะพริบกระทั่งมิติไร้ขอบเขตก็สามารถทะลุทะลวงไปได้อย่างง่ายดาย
ไกลออกไป เมื่อพวกจิ่วโยวเห็นดวงตาที่หว่างคิ้วของมู่เฉินเปิดขึ้น ดวงตาก็หดเกร็ง แม้ว่าหลังจากที่มู่เฉินได้สิ่งนี้มาจะใช้สำรวจเส้นทางเท่านั้น แต่พวกเขาก็รู้ชัดว่าการสำรวจโดยทะลุมิติเป็นเพียงความสามารถเสริมเท่านั้น
ด้วยความสัมพันธ์ของจิ่วโยวกับมู่เฉิน นางได้ยินเขาพูดถึงเนตรดับชีวิตว่าอาวุธชิ้นนี้ได้รับการชำระโดยอสูรโบราณโภคะที่ใช้ดวงตาของมันเป็นวัสดุพื้นฐาน ซึ่งมีศักยภาพพอที่จะกลายเป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้ ในแง่ของราคากระทั่งอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งหมดในมือของพวกนางรวมกันก็ด้อยกว่าเนตรชิ้นนี้
ช่องว่างระหว่างของเสมือนกับของแท้กว้างใหญ่อย่างกับปากอ่าว
ขณะที่เนตรดับชีวิตปรากฏขึ้นบนหน้าผากของมู่เฉิน รัศมีความตายรอบร่างอสูรวิญญาณก็กวนตัวรุนแรง ร่างที่กำลังจะพุ่งไปข้างหน้าก็หยุดลง ร่างกายที่ตึงแน่นขึ้นแสดงความตั้งระวังขีดสุด
เห็นได้ชัดว่ามันรู้สึกถึงอันตรายใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นจากเนตรดับชีวิตบนหน้าผากของมู่เฉิน
ตอนนี้มันไม่ได้อยู่ในสภาพพร้อมรบ หลังจากการโจมตีของชั้นค่ายกลอันหนักหน่วง มันก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เกิดช่องโหว่ใหญ่ในรัศมีป้องกันของมัน
ถ้ามันถูกโจมตีโดยเนตรดับชีวิตอีกครั้ง มันตายคาที่จริงๆ แน่ แม้ว่ามันจะไม่ได้มีชีวิตแล้ว แต่สัญชาตญาณก็ยังทำให้มันพยายามแสวงหาชีวิตและหลีกเลี่ยงความตาย
ดังนั้นแววหวาดกลัวจึงวาบวับในดวงตาของมันซึ่งเต็มไปด้วยรัศมีความตาย
แต่ในตอนนี้เห็นชัดว่ามู่เฉินไม่คิดปล่อยให้มันหนีไปอย่างง่ายดายจากอาการบาดเจ็บหนักแบบนี้ ทันใดนั้นเขาก็พยักหน้าไปหาพรรคพวกที่เข้าใจความหมายที่อยู่เบื้องหลังท่าทางนี้ คลื่นไร้ขอบเขตถูกกวาดออกไปทันที อาวุธเสมือนมหสวรรค์ปิดกั้นเส้นทางด้านหลังของร่างอสูรวิญญาณ ไม่เหลือทางให้มันหลบหนีไปได้
ขณะที่คนอื่นๆ สร้างปราการกีดขวาง มู่เฉินก็สะบัดนิ้ว ขวดหยกพุ่งออกมาก่อนที่จะระเบิด กระแสธารหลั่งไหลออกมาทันที
กระแสธารม้วนตัวอยู่บนท้องฟ้า ทำเอาพลังงานหลิงในพื้นที่นี้หนาแน่นขึ้นพร้อมกับหมอกหลิงหลั่งไหลออกมา
จิ่วโยวจ้องมองไปที่สายธารก็พบว่ามันถูกสร้างขึ้นจากของเหลวจื้อจุน มองดูคร่าวๆ อาจมีเกือบล้านหยดเลยทีเดียว…
“หรือว่ามู่เฉินต้องการของเหลวจื้อจุนจำนวนมากนี้เพื่อใช้กับเนตรดับวิญญาณ?” จิ่วโยวผงะไป จากนั้นก็แอบรู้สึกผวา อาวุธเสมือนมหสวรรค์ในมือพวกนางใช้พลังงานหลิงของผู้ครอบครองก็สามารถแสดงพลังได้ ไม่คิดว่าเนตรดับชีวิตของมู่เฉินจะต้องการความช่วยเหลือจากพลังงานภายนอกด้วย
มู่เฉินสัมผัสได้ถึงความตกใจของพรรคพวก เขามองสายธารพลังงานหลิงรอบตัว ก่อนถอนหายใจอย่างจนใจในหัวใจ เนื่องจากพูดไม่ออกเกี่ยวกับความจริงที่ของเหลวจื้อจุนจำนวนนี้จำเป็นสำหรับเขาที่จะใช้งานเนตรดับชีวิต อาวุธนี้เป็นหลุมไร้ก้น ใช้หนึ่งครั้งก็ต้องใช้ของเหลวจื้อจุนถึงล้านหยด ด้วยทรัพย์สินที่เขามีตอนนี้ ต่อให้คั้นออกมาหมดก็ใช้เนตรดับชีวิตได้สี่ห้าครั้งเท่านั้น
แต่ตอนนี้ถ้าเขาต้องการจัดการกับอสูรวิญญาณขั้นแปดอย่างรวดเร็ว หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน เขาก็ต้องใช้เนตรดับชีวิตนี้
พอคิดได้มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ตราประทับในมือเปลี่ยนแปลง แสงสีดำรวมตัวกันในเนตรดับชีวิตพร้อมกับแรงดูดที่ระเบิดออก เนตรดับชีวิตก็ราวกับวาฬกลืนของเหลวล้ำค่าเข้าไป …
เมื่อกลืนกินของเหลวปริมาณมากเข้าไป ดวงตาก็กลายเป็นสีดำสนิทและลึกซึ้งยิ่งขึ้น มองจากที่ไกลประหนึ่งหลุมดำขนาดเล็ก พลังงานหลิงในร่างของคนคนหนึ่งถึงกับแตกสลาย หากพวกเขามองเป็นเวลานาน
มู่เฉินฉายสีหน้าเคร่งเครียด รู้สึกได้ถึงพลังทรงประสิทธิภาพเดือดพล่านที่เนตรดับชีวิตกลางหน้าผาก ถ้าพลังงานนี้ระเบิดออกมา แม้แต่สมองของเขาก็จะกลายเป็นธุลี
ดังนั้นเขาจึงสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด เปลี่ยนกระบวนท่าในมือ ชั้นแสงสีดำรวมตัวกันในเนตรดับชีวิต ทำให้มิติรอบดวงตายุบลงเป็นชั้นๆ
ร่างอสูรวิญญาณซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายเชี่ยวกรากถอยกลับไป มันไม่กล้าที่จะอยู่ต่อไป เนื่องจากสัมผัสถึงภัยคุกคามของการทำลายล้าง
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
มู่เฉินไม่สนใจกับปฏิกิริยาของอสูรวิญญาณ แสงสีดำที่หว่างคิ้วควบแน่น ในช่วงสิบลมหายใจก็ข้นคลั่กจนถึงขีดสุด ชั้นแสงสีดำระเบิดออกมาจากเนตรดับชีวิต
“เนตรดับชีวิต แสงเทพดับชีวิต!”
มือของมู่เฉินประสานกัน ทันใดนั้นเสียงคำรามลึกก็ดังกึกก้องจากหัวใจ
ฟิ้ว!
ม่านตาแนวดิ่งสีดำหมุนคว้างก่อนที่จะเล็งเป้าเข้ากับอสูรวิญญาณขั้นแปดที่กำลังถอยกลับ วินาทีต่อมาแสงสีดำขนาดร้อยจั้งก็พุ่งออกมาจากรูม่านตา
แสงสีดำนี้แปลกประหลาดมาก กระทั่งเวลาภายในยังเหมือนจะช้าลง ในเส้นทางที่พุ่งผ่านไม่มีการทำลายล้างรุนแรง แต่เมื่อแสงพุ่งไปอย่างเงียบเชียบ พลังชีวิตในเส้นทางก็ถูกกำจัดจนสิ้นซาก มากจนแม้แต่พลังงานหลิงระหว่างฟ้าดินยังถูกลบออกไปอย่างผิดปกติ
เมื่อคนอื่นเห็นแสงสีดำนี้ก็รู้สึกหนังหัวชาหนึบ อันตรายคุกคามห่อหุ้มหัวใจของพวกเขา
ร่างอสูรวิญญาณก็รู้สึกไม่ต่างกัน ทันใดนั้นมันก็ปล่อยเสียงคำราม รัศมีความตายระเบิดออกมาจากร่างโดยไม่กักเก็บ ก่อร่างเป็นโล่มรณะป้องกันที่ด้านหลังขณะที่มันหนีไปแบบไม่คิดชีวิต
ปัง!
แสงสีดำที่ลบล้างพลังชีวิตกระแทกโล่จังใหญ่ ทว่ารัศมีความตายเชี่ยวกรากกลับไม่สามารถสกัดได้แม้แต่น้อย พริบตาก็ละลายอย่างรวดเร็ว
ฟิ้ว!
แสงสีดำทะลวงผ่านโล่พุ่งผ่านขอบฟ้าไล่ตามร่างอสูรวิญญาณที่เผ่นหนีไม่คิดชีวิต ก่อนที่จะกระแทกหัวมันเต็มแรง
แม้ว่าอสูรวิญญาณจะหมุนวนรัศมีความตายอย่างบ้าคลั่งเพื่อสร้างการป้องกัน แต่เมื่อแสงสีดำพุ่งผ่านหัวก็หายไปจากคอทันที
ร่างอสูรวิญญาณค้างอยู่ในท่าโกยอ้าวไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะตกลงมาจากท้องฟ้า แรงส่งแยกต้นไม้ขนาดใหญ่ฉีกออกจากกัน
รัศมีความตายทรงพลังที่ห่อหุ้มร่างก็หายไปอย่างสมบูรณ์ในเวลานี้ ทิ้งไว้แต่ร่างตายซาก
เมื่อคนอื่นๆ เห็นว่ามู่เฉินฆ่าอสูรวิญญาณขั้นแปดได้โดยไร้การต่อต้าน พวกเขาก็อึ้งไปในช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อหลุดจากอาการทุกคนก็สูดอากาศเย็นยะเยือกเข้าไปสุดปอด
ชัดว่าพวกเขาตกใจกับพลังอำนาจเนตรดับชีวิตของมู่เฉิน
“สมกับเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นอาวุธมหสวรรค์…” จิ่วโยวพึมพำ แม้ว่าก่อนหน้าอสูรวิญญาณขั้นแปดจะเสียพลังไปมาก แต่อำนาจเนตรดับชีวิตก็น่ากลัวมากอยู่ดี เมื่อเปรียบเทียบกับอาวุธเสมือนในมือของพวกนาง ชัดว่าไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย
ดูเหมือนว่าต่อให้เป็นอาวุธเสมือนก็ถูกจำแนกตามระดับขั้นเช่นกัน
เมื่อมู่เฉินเห็นอสูรวิญญาณขั้นแปดถูกสังหารก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก เนตรดับชีวิตบนหน้าผากปิดลงอย่างช้าๆ ด้วยความอ่อนเพลีย
มู่เฉินขยับตัวไปปรากฏที่ด้านข้างร่างอสูรวิญญาณ จากนั้นด้วยการสะบัดแขนเสื้อ ร่างตายซากของอสูรวิญญาณขั้นแปดก็กลายเป็นเถ้าธุลีกระจัดกระจายออกไป เหลือเพียงหัวใจสีดำที่เต้นตุบๆ ลอยขึ้นมา
หัวใจสีดำนี้เต็มไปด้วยรัศมีความตายอันน่าสะพรึง ชัดว่าได้รับการหล่อเลี้ยงจากรัศมีความตายมานานนับหมื่นปี
นี่คือหัวใจอสูรวิญญาณ หากพวกเขาต้องการเข้าสู่สุสานสักการะเทพก็ต้องใช้สิ่งนี้พิสูจน์ถึงคุณสมบัติที่มี
มู่เฉินสะบัดมือเก็บหัวใจอสูรวิญญาณ จากนั้นก็คลายอารมณ์ตึงเครียด เตรียมการมานานในที่สุดก็ไม่ได้เกิดเหตุการ์ณไม่คาดฝัน ประสบผลสำเร็จในการล่าอสูรวิญญาณขั้นแปด
นอกจากนี้สิ่งที่น่าเฉลิมฉลองที่สุดก็คือไม่มีการบาดเจ็บล้มตายในหมู่พวกเขา ในบรรดากลุ่มที่เข้าสู่สุสานสักการะเทพ อาจมีเพียงกลุ่มชั้นนำเท่านั้นที่สามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้
“อำนาจเนตรดับชีวิตน่ากลัวอย่างแท้จริง…” ความกลัววาบผ่านดวงตาของหานซัน เมื่อจ้องไปที่หน้าผากของมู่เฉิน
“แต่ก็จ่ายราคามหาศาลเช่นกัน” มู่เฉินยิ้มอย่างจนใจ “การเปิดใช้งานทุกครั้งต้องใช้ของเหลวจื้อจุนหนึ่งล้านหยด ถ้าใช้อีกสองสามครั้งกระทั่งของเหลวจื้อจุนที่กักไว้ใช้สำหรับการเพาะบ่มพลังก็คงจะหมดลงแล้ว”
ทุกคนหัวเราะร่วนเมื่อได้ยิน เนื่องจากพวกเขารู้ว่ามู่เฉินล้อเล่นเท่านั้น เพราะการครอบครองสมบัตินี้จะเป็นวิธีการข่มขู่ที่ทรงพลังและการรับประกันของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้น ในโลกนี้ชีวิตมีค่าเกินกว่ามูลค่าของของเหลวจื้อจุนนัก
“ในเมื่อเราได้หัวใจอสูรวิญญาณมาแล้วก็มุ่งหน้าไปยังส่วนในกันเถอะ” มู่เฉินเหลือบมองความพินาศรอบตัวก็พูดขึ้น เขาคันไม้คันมือที่จะเข้าไปในส่วนในเพื่อตรวจสอบว่ามีวิหคอมตะโบราณหรือไม่
ไม่มีใครคัดค้านจากคำพูดของเขา แต่ละคนพยักหน้ารับ
เมื่อมู่เฉินเห็นคำตอบก็ไม่อ้อยอิ่งอีกต่อไป เขาสะบัดแขนเสื้อร่างกลายเป็นลำแสงทะยานออกไปพร้อมกับพรรคพวกติดตามเขาอย่างใกล้ชิด
เมื่อไม่มีสิ่งกีดขวางใด พวกเขาก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการเหาะเหินผ่านป่าไม้แห่งนี้ แต่ขณะที่กำลังจะผ่านพ้นแนวป่า ทันใดนั้นพวกเขาก็สังเกตเห็นพื้นที่ที่แปลกตา
“นั่นคืออะไร?” จิ่วโยวประหลาดใจขณะชี้ลงไปเบื้องล่าง เห็นป่าไม้วินาศสันตะโร ซึ่งรอยแตกเหล่านั้นเป็นหลักฐานว่ามีการต่อสู้รุนแรงเกิดขึ้นที่นี่
ยิ่งไปกว่านั้นรอยแตกก็ราวกับหุบเหวลึกกระจายไปสู่อีกด้านหนึ่งของป่า ซึ่งทิศทางนั้น… ก็คือสถานที่ที่มู่เฉินและพรรคพวกต่อสู้กับอสูรวิญญาณขั้นแปด
มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ กล่าวว่า “ดูท่าอสูรวิญญาณขั้นแปดตัวนั้นจะได้รับบาดเจ็บจากที่นี่”
“ดูจากร่องรอยที่เหลืออยู่ไม่น่ามาจากกลุ่มอื่น รัศมีความตายที่นี่หนาแน่นเกินไป ดังนั้นน่าจะเป็นการต่อสู้ระหว่างพวกมันกันเอง” มั่วเฟิงมองอย่างละเอียดก่อนที่จะพูด
“พวกมันสู้กันเองด้วยเหรอ?” มั่วหลิงร้องอุทานด้วยความตกใจ
“ถ้ามีบางสิ่งดึงดูดพวกมันได้มาก ต่อให้เป็นพวกเดียวกันก็สามารถสู้กันเองได้” มู่เฉินกล่าวช้าๆ
สายตาของเขามองตามร่องรอยบนพื้น จากนั้นก็ขยับร่างทะยานขึ้นบนยอดเขาแห่งหนึ่ง สายตามองออกไประยะไกล ทันใดนั้นม่านสีดำก็หดลง
“ที่นั่นคือ…?”
บทที่ 1050 ดอกบัวมรกตเก้าโคจร
บนยอดเขา
เมื่อมู่เฉินพลิ้วตัวลงมาก็เพ่งมองไปข้างหน้า เขาเห็นหุบเขาสีดำขนาดใหญ่ที่มีรัศมีความตายจำนวนมากชวนแตกตื่นอยู่ภายใน รัศมีความตายหนาแน่นมากจนก่อตัวเป็นก้อนเมฆเหนือหุบเขา ฝนสีดำโปรยปรายลงมา ซึ่งสายฝนก็เกิดจากรัศมีความตาย
รัศมีความตายที่นั่นเกินกว่าที่มู่เฉินเคยได้เห็น
นอกจากนี้มู่เฉินยังสามารถมองเห็นเงาร่างสีดำสิบกว่าร่างในหุบเขา ร่างเหล่านั้นนั่งนิ่งเงียบพร้อมกับรัศมีความตายรุนแรงรอบตัว ความหนาแน่นของรัศมีแข็งแกร่งกว่าอสูรวิญญาณขั้นแปดที่พวกเขาเจอมาก่อนหน้าเสียอีก
เห็นได้ชัดว่าร่างดำเหล่านั้นล้วนเป็นอสูรวิญญาณขั้นแปด มิหนำซ้ำยังเป็นชั้นสูงด้วย
“ที่นั่นคือที่ไหนกัน?” คนอื่นๆ ก็พลิ้วตัวลงมาหยุดที่ด้านข้างมู่เฉิน พวกเขามองไปที่หุบเขา สีหน้าก็เปลี่ยนแปลงรุนแรง ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจและหวาดกลัว
มู่เฉินส่ายหัว “อสูรวิญญาณที่เราฆ่าก่อนหน้าคงพยายามเข้าไปในหุบเขาแห่งนี้ แต่สุดท้ายก็ถูกไล่ออกไป…”
จากบาดแผลที่เห็น อสูรวิญญาณตัวนั้นจะต้องต่อสู้กับพวกที่อยู่ในหุบเขา แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวจึงต้องถอยออกมา
จิ่วโยวพยักหน้าเบาๆ เมื่อได้ยิน รัศมีความตายเทียบเท่ากับคลื่นหลิงในการฝึกฝนสำหรับอสูรวิญญาณ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงเป็นดินแดนขุมทรัพย์สำหรับอสูรวิญญาณ แม้ว่าพวกมันจะไม่มีสติปัญญา แต่ก็ยังคงมองหาสถานที่เพาะบ่มพลังตามสัญชาตญาณ
แต่เมื่อพิจารณาจากปัจจุบันหุบเขาแห่งนี้ถูกครอบครองโดยอสูรวิญญาณกลุ่มหนึ่งจึงไม่อนุญาตให้อสูรวิญญาณตัวอื่นๆ เข้ามาได้
“มีอสูรวิญญาณขั้นแปดอย่างน้อยสิบตัวในนั้น” หานซันพูดด้วยสีหน้าซีดเซียว นั่นเทียบเท่ากับการรวมตัวของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดถึงสิบคนเชียวนะ หากพวกมันพุ่งออกมาคงไม่มีใครสามารถหลบหนีไปได้
ม่านตาสีดำของมู่เฉินจับจ้องไปที่หุบเขา จากนั้นแสงสีดำก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผาก เนตรดับชีวิตเปิดปรือเล็กน้อย แสงสีดำทะลุผ่านมิติกวาดมองหุบเขาที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายหนาแน่น
ภูมิทัศน์ภายในของหุบเขากว้างใหญ่มาก นอกจากนี้ยังไม่มีร่องรอยของพลังชีวิต ไม่ได้มีอสูรวิญญาณมากมาย แต่ทุกตัวล้วนมีรัศมีความตายที่น่าอัศจรรย์ห่อหุ้มร่างไว้ เห็นได้ชัดว่าเป็นอสูรวิญญาณขั้นแปดทั้งหมด
นอกจากนี้มู่เฉินยังพบว่าแม้แต่อสูรวิญญาณขั้นแปดยังนั่งอยู่ชั้นนอกของหุบเขาเท่านั้น ในส่วนลึกของหุบเขาถูกปกคลุมด้วยแสงสีดำที่ดูลึกลับมาก ต่อให้รัศมีความตายในนั้นมีความหนาแน่นสูง อสูรวิญญาณขั้นแปดเหล่านั้นก็ไม่กล้าย่างเท้าเข้าไปในบริเวณนั้น
“ส่วนลึกของหุบเขามีอะไรกันแน่?”
สายตาของมู่เฉินวูบไหวด้วยความประหลาดใจ เขาครุ่นคิดคร่าวๆ ก่อนที่เนตรดับชีวิตบนหน้าผากจะเปิดออกอย่างสมบูรณ์ แสงสีดำกะพริบก็ทะลุผ่านมิติมองลึกเข้าไปในหุบเขา
รัศมีความตายถูกมองผ่านโดยเนตรดับชีวิต ทิวทัศน์ภายในถูกเปิดเผยในมุมมองของมู่เฉิน
ในความลึกนั้นดูเหมือนจะเป็นบึงสีดำขนาดใหญ่ ถ้ามองโคลนเหล่านั้นดีๆ ก็จะพบว่าก่อตัวมาจากรัศมีความตายที่หนาแน่น
ความหนาวเย็นที่น่ากลัวปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทำให้คลื่นหลิงถึงกับไม่บริสุทธิ์
มู่เฉินมองไปที่บึงครู่หนึ่ง จากนั้นจิตใจก็เคลื่อนไหว สายตาถูกดึงดูดจนเพ่งเข้าที่ส่วนลึกของบึงใหญ่ มีต้นไม้แห้งต้นหนึ่งอยู่ตรงนั้น มีเงาดำนั่งเงียบๆ อยู่บนต้นไม้นั่น
ไม่มีพลังงานชีวิตใดมาจากเงานั่น แต่ก็ไม่มีรัศมีความตายรอบตัวเช่นกัน มองดูราวกับคนที่เพิ่งตายเลยทีเดียว
แต่เมื่อมู่เฉินเห็น ม่านตาก็หดเกร็ง นั่นเป็นเพราะยามนี้เขารู้สึกถึงภัยคุกคามรุนแรงที่มาจากร่างนั้น
ภัยคุกคามเกินกว่าอสูรวิญญาณขั้นแปดทุกตัวที่เขาเคยเห็น!
ร่างนั้นปิดตาสนิทแต่ดูเหมือนว่าจะสัมผัสถึงสายตาของมู่เฉินได้ ดวงตาขยับขึ้นเล็กน้อยราวกับว่ากำลังจะเปิดออก
เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็รีบดึงสายตากลับและไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว แม้ว่าร่างนั้นจะไม่ดูแข็งทื่อหรือปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายเหมือนร่างอสูรวิญญาณอื่นๆ แต่มู่เฉินก็รู้ดีว่ามันต้องเป็นอสูรวิญญาณแน่นอน…
ทว่าร่างนั้นเหนือกว่าร่างอื่นทั้งหมด ซึ่งอาจจะเป็น…อสูรวิญญาณขั้นเก้า!
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้หัวใจของมู่เฉินก็สั่นสะท้าน การดำรงอยู่นี้เทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้า จุดสูงสุดของระดับจื้อจุน… เพียงอีกก้าวเดียวก็จะมีคุณสมบัติเข้าสู่ระดับตี้จื้อจุนแล้ว…
หากอสูรวิญญาณขั้นเก้าพุ่งออกมาก็สามารถทำให้พวกเขาทั้งกลุ่มเลือดเจิ่งนองไปทั่วได้
แต่ทำไมมันถึงมาอยู่ในบึงตามลำพัง? นอกจากนี้ดูจากตำแหน่งแล้วก็ไม่เหมือนเพาะบ่มพลังอะไร กลับเหมือนกำลังปกป้องบางอย่างอยู่…
ความคิดไหลเวียนอยู่ในใจ จากนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่ง แสงสีดำกะพริบที่หน้าผากสายตายิงเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขาค้นหารอบๆ ใจกลางบึง
เขารู้สึกถึงความผันผวนที่แปลกประหลาดในใจกลางของบึงซึ่งปกคลุมไปด้วยรัศมีความตาย
มู่เฉินไม่ได้ค้นหานานนักเนื่องจากความผันผวนแปลกประหลาดโดดเด่นเกินไป ในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจ สายตาของมู่เฉินก็รวบอยู่ที่ส่วนลึกของบึง อาการไม่เชื่อรุนแรงเผยในสายตา
สิ่งที่ปรากฏในสายตาของมู่เฉินคือบ่อน้ำขนาดหลายสิบจั้ง น้ำใสสะอาดเปล่งพลังงานหลิงที่หนาแน่น นอกจากนี้ยังมีดอกบัวสีฟ้าอมเขียวอยู่ในบ่อน้ำที่เต็มไปด้วยพลังชีวิต
มู่เฉินมองไปที่บ่อด้วยความตกตะลึง หากบ่อน้ำนี้อยู่ด้านนอกสุสาน เขาจะไม่ให้ความสนใจมากนัก แต่สถานที่นี้ไม่เหมือนกันเนื่องจากไม่มีพลังงานชีวิตที่นี่ แต่มีบ่อน้ำที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตทำให้แปลกตามาก…
นอกจากนี้พลังชีวิตในบ่อน้ำก็ทรงพลังเกินไป
พลังนั่นจำกัดวงอยู่ที่บ่อเท่านั้น ไม่ได้กระฉอกออกจากบ่อเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นรอบๆ บ่อจึงยังคงเต็มไปด้วยรัศมีความตาย ดอกบัวสีฟ้าอมเขียวในบ่อกลายเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตเพียงอย่างเดียว
โดยทั่วไปแล้วไม่ควรมีการดำรงอยู่ของพลังชีวิตในสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความตาย เว้นแต่จะมีอะไรที่เทียบเท่ากับอสูรโบราณโภคะละสังขารไว้ภายใน รัศมีที่เหลืออยู่จึงปกป้องสถานที่นี้ แต่เมื่อครู่มู่เฉินได้สำรวจอย่างละเอียดแล้ว เขาไม่ได้รู้สึกถึงรัศมีทรงพลังใดๆ ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ดังนั้นบ่อน้ำที่ล้นเอ่อด้วยพลังชีวิตต้องเกิดมาจากฟ้าดิน
ความคิดของมู่เฉินหมุนเร็วจี๋ แม้ว่ารัศมีความตายในดินแดนนี้จะหนาแน่นมาก แต่ด้วยวิถีของโลกนี้เกี่ยวกับความสมดุลระหว่างฟ้าดิน จึงทำให้เมื่อรัศมีความตายทรงพลังจนถึงระดับหนึ่ง ชีวิตก็จะปรากฏขึ้น
ดังนั้นสิ่งที่กำเนิดขึ้นที่นั่นจะต้องเป็นสมบัติวิเศษแน่นอน
“ต้องมีสมบัติอยู่ในบ่อน้ำ!”
สายตาของมู่เฉินวูบไหว แสงควบแน่นบนเนตรดับชีวิตบนหน้าผาก เขาไม่สนใจความอ่อนเพลียหมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างกายออกมา แสงสีดำพุ่งเข้าไปในบ่ออย่างรวดเร็ว ทันใดภาพบ่อน้ำก็กระจ่างใสในดวงตา ขณะที่เขาเบิกตากว้าง
มีดอกบัวสีฟ้าอมเขียวขนาดเท่ากำปั้นคล้ายกับหยก แม้ว่าจะอยู่ในบึงความตาย แต่ก็เปล่งประกายสุกสว่างโดยไม่มีการปนเปื้อนใดๆ ความผันผวนของพลังชีวิตที่น่าตกใจแผ่ซ่านออกมา ทำให้น้ำในบ่อบริสุทธิ์
ดอกบัวหยกค่อยๆ เปิดออก เม็ดบัวสีขาวอยู่ที่ใจกลางเกสรดอกปกคลุมไปด้วยลวดลายลึกซึ้ง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สร้างแต่เกิดจากฟ้าดิน ราวกับว่าได้รับการหล่อเลี้ยงจากพลังชีวิตที่ยิ่งใหญ่และพลังหลิงที่บริสุทธิ์ระหว่างสวรรค์และโลก
“นี่มัน…”
มู่เฉินตกตะลึงเมื่อมองไปที่ดอกบัวขนาดเท่ากำปั้น ครู่ต่อมาเขาก็อดไม่ได้ที่จะสูดอากาศเย็นพึมพำว่า “ดอกบัวมรกตเก้าโคจร?”
สิ่งที่เรียกว่าดอกบัวมรกตเก้าโคจรเป็นสมบัติหายากในธรรมชาติที่เกิดจากการดูดซับพลังชีวิตในฟ้าดินทำให้มีความลึกซึ้งอย่างมาก ว่ากันว่าสิ่งนี้สามารถย้อนคืนจากความตาย นอกจากนี้ยังบอกต่อกันอีกว่าการกินดอกบัวนี้เข้าไปจะสามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จของการพัฒนาระดับจื้อจุนได้
ทุกคนในมหาพันภพรู้ดีเกี่ยวกับความยากลำบากในการบุกทะลวงระดับตี้จื้อจุน จอมยุทธ์อัจฉริยะนับไม่ถ้วนหมดแรงขับเคลื่อนและความสามารถไปมากมายแต่ก็ยังย่ำอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเก้า ไม่สามารถก้าวออกไปซึ่งเป็นการเปลี่ยนชีวิตได้
นอกจากนี้ยังเป็นเพราะเรื่องสมบัติที่สามารถช่วยจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนในการทำลายห่วงขุมพลังมีค่ามหาศาลอย่างยิ่ง ราคาเป็นอะไรที่จินตนาการไม่ได้เลยและดอกบัวมรกตเก้าโคจรที่เบื้องหน้าก็เป็นหนึ่งในวัตถุนั้น
เผชิญหน้ากับสมบัติที่หายากเช่นนี้ แม้แต่หัวใจของมู่เฉินก็ยังโลดขึ้น ระดับตี้จื้อจุน…เป็นความใฝ่ฝันของเขาเช่นกัน ตราบใดที่เขาสามารถก้าวเข้าสู่ระดับดังกล่าวก็ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะสบประมาทเขาได้
ฮา
มู่เฉินสูดหายใจลึก ดึงสายตากลับมาด้วยความยากลำบาก เขาลืมตาขึ้นแต่ในส่วนลึกของนัยน์ตายังคงลุกโชน ในตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไมถึงมีอสูรวิญญาณมากมายมารวมตัวกันที่นี่ จนถึงจุดที่แม้แต่อสูรวิญญาณขั้นเก้ายังถูกดึงดูดเข้ามา
ทั้งหมดมาที่นี่เพื่อดอกบัวมรกตเก้าโคจร
ตราบใดที่สามารถกลืนกินสิ่งนี้ได้ แม้จะมีร่างกายที่ตายแล้วก็สามารถครอบครองพลังชีวิตได้เช่นกัน อยู่ระหว่างความเป็นและความตายกลายเป็นอมตะ ในเวลาเดียวกันก็จะเปิดเส้นทางใหม่ในการฝึกฝนกลายเป็นสิ่งพิเศษของโลก
นี่เป็นสิ่งล่อใจที่อสูรวิญญาณโง่งมเหล่านี้ไม่สามารถต้านทานได้ สัญชาตญาณจะควบคุมให้พวกมันทำทุกอย่างเพื่อสิ่งนั้น
ดังนั้นหากมู่เฉินต้องการแย่งชิงดอกบัวมรกตเก้าโคจร เขาก็จะดึงดูดการโจมตีบ้าคลั่งของอสูรวิญญาณ ทุกตัวที่นี่อย่างแน่นอน ในเวลานั้นเขาจะต้องเผชิญกับไล่ล่าของอสูรวิญญาณขั้นแปดและขั้นเก้า…
แม้ว่าจะเป็นกลุ่มเทพอสูรระดับต้น พวกเขาก็ต้องถูกล้างบางจากการไล่ล่านี้
ดังนั้นการยอมแพ้ในสิ่งนี้จึงเป็นการตัดสินใจที่เหมาะสมที่สุด
แต่…
มู่เฉินเลียริมฝีปาก ประกายไฟลุกโชนในนัยน์ตา เขาไม่ต้องการยอมแพ้… ในเมื่อเป็นเช่นนี้งั้นเขาขอลองวางเดิมพันสักตั้ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น