หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1039-1042
บทที่ 1039 การเก็บเกี่ยวที่ยิ่งใหญ่
“เมื่อครู่คืออะไร?”
ในมิติที่มืดมิดใบหน้าของมู่เฉินเต็มไปด้วยความตะลึงและตกใจ หลุมดำไม่รู้เชื่อมโยงกับที่ไหน แต่ทำไมแก่นโลหิตอสูรโบราณโภคะถึงได้ไหลเวียนเข้าไปในนั้น?
มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ด้วยพลังในปัจจุบันของตนเองเป็นไปไม่ได้ที่จะมองเห็นสถานการณ์ในหลุมดำ ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาในการพยายามทำเช่นนั้น
สุสานหมื่นอสูรแปลกประหลาดยยิ่ง ยังไงก็ต้องมีเขตหวงห้ามบางแห่งที่ยากต่อการสำรวจอยู่แล้ว
“ในเมื่อได้รับสมบัติแล้ว ก็ออกจากที่นี่ก่อนดีกว่า”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ไม่คิดป้วนเปี้ยนต่อ ด้วยความคิดความมืดโดยรอบก็จางหาย คลื่นจิตเดินทางกลับไปยังเส้นทางที่มาอย่างรวดเร็ว
บนผิวน้ำทะเลสาบ ร่างมู่เฉินที่นั่งอยู่บนกระดูกสีขาวก็ลืมตาขึ้น แววตาเปลี่ยนเป็นลึกซึ้งยิ่งขึ้น เขาเหยียดมือออกมาแตะที่หน้าผากเบาๆ ก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนทรงพลังที่สถิตอยู่ภายในอย่างเลือนราง
นี่คือเนตรดับชีวิต!
รอยยิ้มเพิ่มขึ้นที่มุมปากอย่างไม่สามารถควบคุมได้ การเดินทางยากลำบากครั้งนี้ไม่ได้สูญเปล่า ในที่สุดเขาก็ได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์
ด้วยวัตถุนี้อยู่ในมือก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือถ้าเขาพบจิงฉิงเทียนอีกครั้ง
“แต่เมื่อเทียบกับพีระมิดแสงดาวก็ยังอ่อนด้อยกว่าหลายส่วน”
มู่เฉินสัมผัสถึงพลังแต่ก็ไม่รู้สึกเสียใจ พีระมิดแสงดาวปราบปีศาจเป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้ ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าเนตรดับชีวิต นอกจากนี้วัตถุประสงค์หลักของการเดินทางครั้งนี้ก็ไม่ใช่ตามหาอาวุธมหสวรรค์ของแท้
นั่นเป็นเพราะอาวุธในระดับนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถควบคุมได้ตอนนี้ ต่อให้เขาได้รับมาก็ได้แต่มองแล้วถอนหายใจ
นอกจากนี้ถึงเนตรดับชีวิตจะเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ แต่ก็เป็นสมบัติติดกายอสูรโบราณโภคะที่มีศักยภาพสูง หากเขามีโอกาสในอนาคตอาจจะสามารถพัฒนาเป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้ ในเวลานั้นพลังของมันไม่ด้อยกว่าพีระมิดแสงดาวปราบปรามปีศาจแน่นอน
มู่เฉินยืนขึ้นก่อนจะเคลื่อนกายไปบนท้องฟ้าแล้วกวาดสายตาลงมา เขาเห็นจิ่วโยว หานซันและคนอื่นๆ ก็ลืมตาขึ้นเช่นกัน เห็นชัดว่าทุกคนเสร็จสิ้นการค้นหาแล้ว
“เป็นยังไงบ้าง?” มู่เฉินเข้ามาหาพลางยิ้ม
จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรทั้งสามยิ้มขื่นขมขณะส่ายหัวพูดด้วยความอับอายว่า “เราค้นพบอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมหลายชิ้น แต่ไม่คิดว่าหลังจากคว้ามาได้แล้วจะถูกเตะออกมาทันที”
พวกเขาพบประสบการณ์คล้ายคลึงกับมู่เฉิน เพียงแต่จิตใจของพวกเขาไม่มั่นคงเหมือนมู่เฉิน ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามคว้าอาวุธเหล่านั้นไป แต่ไม่คิดว่าการได้รับมาจะเท่ากับหยุดการค้นหาทันที
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดของพวกเขาก็แอบรู้สึกดีใจ โชคดีที่เขาข่มกลั้นความโลภไว้ได้ มิฉะนั้นตอนนี้เขาก็ต้องเสียใจกับอาวุธระดับนั่นแล้ว
“ทุกคนมีโอกาสเพียงครั้งเดียวที่จะได้สมบัติ ดังนั้นตราบใดที่เจ้ารับมา ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว” หานซันถอนหายใจจากด้านข้าง ชัดว่ารู้กฎนี้แล้วเช่นกัน
จอมยุทธ์ทั้งสามใบหน้าเหยเก พวกเขารู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง
“ดูท่าการเก็บเกี่ยวของพี่หานจะดีไม่น้อยสินะ?” มองไปที่หานซันที่ไม่มีความเสียใจสักนิด มู่เฉินก็ยิ้ม
หานซันหัวเราะพลางกำหมัด แสงสีดำวูบไหวก่อร่างเป็นพลองโลหะสีดำในมือ พลองนี้ค่อนข้างหยาบมีลวดลายนับไม่ถ้วนสลักอยู่บนพื้นผิว นอกจากนี้มู่เฉินยังรู้สึกได้ถึงความหนักหน่วงกำจายออกมา ดูเหมือนจะมีน้ำหนักเท่าภูเขาเลยทีเดียว
เมื่อมองไปที่พลองโลหะสีดำ ดวงตาของมู่เฉินก็วับวาว วัตถุนี้ไม่มีคลื่นของอาวุธเสมือมหสวรรค์ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขารู้สึกว่ามันไม่ได้ด้อยกว่าของอาวุธเสมือนมหสวรรค์เลย
“นี่คือพลองสะท้านฟ้า… มันไม่สามารถนับว่าเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ เพราะไม่มีพลังที่ทรงประสิทธิภาพอะไร แต่มีคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือความหนักหน่วง ด้วยการฟาดครั้งเดียว แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดก็ยังบาดเจ็บสาหัสได้ทันที” หานซันยิ้มด้วยความพึงพอใจ วัตถุนี้มีความครอบงำมากซึ่งเหมาะสำหรับเขา เผ่าแรดอสูรมีพละกำลังดีเยี่ยมตั้งแต่เกิด ด้วยพลองนี้ก็เหมือนกับการติดปีกพยัคฆ์ เมื่ออยู่ในมือของเขาพลังของอาวุธนี้อาจยิ่งกว่าอาวุธเสมือนมหสวรรค์เสียอีก
“เยี่ยมเลย”
มู่เฉินเอ่ยชื่นชม ความหนักหน่วงบวกกับคลื่นหลิง เพียงแค่คิดก็น่ากลัวแล้ว แม้ว่าอาวุธนี้ไม่ได้มีพลังของอาวุธเสมือนมหสวรรค์ แต่น้ำหนักอย่างเดียวก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอาวุธเสมือนมหสวรรค์แล้ว
มู่เฉินหันไปมองจิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิงด้วยแววตาคาดหวัง ชัดว่าเขาหวังให้ทั้งสามคนได้รับสมบัติที่น่าพอใจเช่นกัน
จิ่วโยวยิ้มบางขณะที่กำมือ วัตถุที่มู่เฉินคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้น
นี่เป็นไม้บรรทัดสีดำสนิท ซึ่งราวกับจะกลืนแสงบนท้องฟ้าทันทีถ้ากวาดมันลงมา
“มันนี่เอง…”
มู่เฉินอึ้งในใจ ไม้บรรทัดชิ้นนี้เป็นสิ่งที่เขาพบก่อนหน้า ไม่เคยเลยว่าหลังจากตนเองไม่รับ วัตถุชิ้นนี้จะตกอยู่ในมือของจิ่วโยว
“ลองซัดหมัดใส่ข้าดู” จิ่วโยวกุมไม้บรรทัดสีดำพลางหัวเราะเบาๆ
มู่เฉินเหวี่ยงหมัดใส่เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ทันใดนั้นคลื่นหลิงไร้ขีดจำกัดก็ล้อมรอบร่างจิ่วโยว นางโบกไม้บรรทัดสีดำในมืออย่างอ่อนโยน แสงสีดำปกคลุมลงมา พลังมากกว่าครึ่งหนึ่งหายไป มิหนำซ้ำแสงยังลดลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายเมื่อโดนตัวจิ่วโยว พลังส่วนใหญ่ของกำปั้นก็คลี่กระจายออก ไม่สามารถฝ่าแนวป้องกันของจิ่วโยวได้ด้วยซ้ำ
มู่เฉินอึ้ง แม้ว่าเขาจะเหวี่ยงหมัดธรรมดาออกไป แต่ก็เพียงพอที่จะทำร้ายจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดทั่วไปจนบาดเจ็บได้ แต่ด้วยระลอกคลื่นลูกเดียวของไม้บรรทัดสีดำ พลังก็ลดไปเกือบครึ่ง
“อาวุธนี้เรียกว่าไม้เทพโทษา ซึ่งบรรจุไปด้วยแสงเทพโทษาที่มีคุณสมบัติกลืนกิน ทุกการโจมตีด้วยคลื่นหลิงจะถูกกินจนหมดสิ้น แข็งแกร่งจนถ้าถูกใช้ไปจนถึงขีดสุดก็ไม่มีอะไรสามารถเข้ามาใกล้ข้าได้” จิ่วโยวกล่าว
มู่เฉินแอบเดาะลิ้น ไม้บรรทัดสีดำนี้ไม่ธรรมดาแท้จริง ด้วยอาวุธนี้การโจมตีทั้งหลายจะถูกลดพลังลง เมื่อลากเวลาการต่อสู้ออกไปโอกาสที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ของนางก็จะเพิ่มขึ้น
ด้วยอาวุธนี้แม้แต่จิงฉิงเทียนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจิ่วโยว
อาวุธเสมือนมหสวรรค์ทรงพลังอย่างแท้จริง
ทว่าเขาจะตกตะลึงกับพลังอำนาจของไม้เทพโทษา แต่มู่เฉินก็ไม่เสียใจกับการเลือก นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าเนตรดับชีวิตแข็งแกร่งกว่า นอกจากนี้ศักยภาพก็ยิ่งใหญ่กว่า เพราะไม่ว่าอย่างไรสิ่งนี้ก็เป็นอาวุธประจำกายของอสูรโบราณโภคะ
หลังจากจิ่วโยวนำไม้บรรทัดสีดำออกมา แสงก็วูบไหวบนมือของมั่วเฟิงและมั่วหลิง จากนั้นหอกยาวและกระดิ่งก็ปรากฏขึ้น
หอกยาวเล่มนี้มีสีทองเข้มและดูโบราณมาก ไม่มีขอบใบดูราวกับไม่คม ทว่าส่วนหัวที่หยาบกลับกะพริบด้วยแสงเย็น ซึ่งทำให้หัวใจคนมองเต้นเร็วขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
สำหรับมั่วหลิงได้รับกระดิ่งสีแดงเพลิงมา สามารถมองเห็นมหาสมุทรเพลิงได้อย่างคลุมเครือ เมื่อเสียงกระดิ่งดังขึ้นก็ราวกับมหาสมุทรเพลิงแผ่ออกมา ทำลายชั้นฟ้าและชั้นดิน
แม้ว่าอาวุธของมั่วเฟิงและมั่วหลิงที่ได้รับมาเทียบกับไม้เทพโทษาของจิ่วโยวไม่ได้ แต่ก็เป็นของอาวุธเสมือนมหสวรรค์ของแท้
ทั้งสองพอใจอย่างมากกับการเก็บเกี่ยวนี้ แม้แต่มั่วเฟิงยังระบายยิ้มบางบนใบหน้าซึ่งปกติมักจะฉายท่าทางไม่แยแสอยู่เสมอ
ทุกคนเก็บเกี่ยวได้มากในการเดินทางมาที่สุสานอสูรโบราณโภคะครั้งนี้
“ของเจ้าล่ะ?” จิ่วโยวมองมู่เฉินด้วยสายตาสนใจ แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าการทดสอบเหล่านี้ทิ้งไว้โดยอสูรโบราณโภคะ แต่ด้วยความเข้าใจต่อนิสัย นางไม่เชื่อว่าคนอย่างมู่เฉินจะกลับมามือเปล่า
ดังนั้นทุกคนจึงเลื่อนสายตาไปมองมู่เฉินด้วยความอยากรู้
มู่เฉินยิ้ม แสงสีดำควบแน่นบนหน้าผาก เนตรดับชีวิตปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อแสงสีดำวาบขึ้นทุกคนก็รู้สึกเย็นเยือกในหัวใจ ราวกับว่าถูกมองทะลุปรุโปร่งโดยแสงสีดำอย่างสมบูรณ์
แสงสีดำหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ความลึกลับที่เกิดขึ้นก็ยังทำให้ทุกคนรู้สึกใจสั่น
หานซันเบ้ปากขณะถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าพี่มู่จะได้รับสมบัติที่ดีที่สุดของอสูรโภคะ…”
แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักเนตรดับชีวิต แต่หานซันก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังที่มีอยู่ในดวงตาลึกลับนั่น เขามีความรู้สึกว่าถ้ามันถูกใช้โจมตี เขาคงบาดเจ็บสาหัสหากไม่ชิงตายก่อน
มู่เฉินไม่ได้พูดอะไรทำเพียงยิ้ม เขาไม่คิดอธิบายการใช้งานของเนตรดับชีวิต เพราะนี่ควรจะเก็บเป็นไพ่ตายลับสำหรับเขา
“เราได้รับสมบัติของอสูรโภคะกันแล้ว… ต่อไปพวกเจ้าจะเริ่มหาเบาะแสของวิหคอมตะแล้วหรือ?” หานซันมองไปที่จิ่วโยวและมู่เฉินพลางถาม
หานซันรู้ว่าเหตุผลหลักที่ทำให้กลุ่มมู่เฉินมาที่สุสานหมื่นอสูรก็คือการค้นหาวิหคอมตะโบราณ ส่วนสมบัติของอสูรโบราณโภคะเป็นเหตุผลรองเท่านั้น
มู่เฉินครุ่นคิดชั่วครู่เมื่อได้ยินคำพูดของหานซันก่อนที่จะตอบว่า “ข้าตั้งใจจะฝึกฝนที่นี่เพื่อผลักดันพัฒนาการของคลื่นหลิงไปสู่ระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุด”
ทะเลสาบตัวเป่าเป็นพื้นที่ฝึกฝนที่หาได้ยากในสุสานหมื่นอสูร นอกจากนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบจากรัศมีความตายและอสูรวิญญาณ บวกกับความหนาแน่นของคลื่นหลิง ที่นี่จึงเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับการเพาะบ่มคลื่นหลิง
สุสานหมื่นอสูรเต็มไปด้วยอันตราย มู่เฉินมีความรู้สึกว่าการเดินทางเพื่อค้นหาวิหคอมตะโบราณครั้งนี้จะอันตรายยิ่ง ดังนั้นเขาต้องผลักดันตัวเองไปสู่สภาพพร้อมรบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
นอกจากนี้เนื่องจากเขาได้รับเนตรดับชีวิตมาแล้ว เขาก็ต้องการเวลาในการสำรวจสุสานหมื่นอสูรเพื่อค้นหาเบาะแสของวิหคอมตะโบราณด้วย
จิ่วโยวและมั่วเฟิงแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนที่จะพยักหน้าสนับสนุนการตัดสินใจของมู่เฉิน
เมื่อหานซันเห็นก็ยิ้ม “งั้นพวกข้าก็จะอยู่ต่อด้วย ถึงเวลานั้นพวกข้าอาจให้ความช่วยเหลือบางอย่างได้…”
ก่อนหน้ามู่เฉินได้ให้ความช่วยเหลือสุดตัวกับพวกเขา หากพวกเขาไปตอนนี้ก็ดูไร้หัวใจเกินไปหน่อย
มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มจากนั้นก็หายใจออกเบาๆ ก่อนที่จะมองไปในส่วนลึกของสุสานหมื่นอสูร เขารู้สึกได้เลือนรางว่ามีเบาะแสของวิหคอมตะโบราณอยู่ในสุสานจริง แต่อันตรายนั้นคงมีมากกว่าทะเลสาบตัวเป่าหลายเท่า…
ดังนั้นเขาจึงต้องยกระดับขุมพลังหลิงโดยเร็วที่สุดเพื่อเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุด ถ้าโชคดีพออาจลองดูว่าสามารถบรรลุขั้นเจ็ดได้หรือไม่
ถ้าทั้งพลังกายและพลังหลิงของเขาเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดทั้งคู่ เวลานั้นเขาก็จะสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดได้เลยทีเดียว!
บทที่ 1040 ดินแดนลึกลับ
เหนือทะเลสาบส่องแสงระยิบระยับอย่างเงียบเชียบ
ร่างเงาหนึ่งลอยตัวขึ้นเหนือผิวน้ำราวกับขอนไม้ ระลอกคลื่นบนพื้นผิวทะเลสาบก็ไม่สามารถสั่นคลอนร่างกายของเขาได้
ซึ่งร่างนี้ก็คือมู่เฉินที่เลือกเข้าฝึกฝนเหนือทะเลสาบตัวเป่า สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยคลื่นหลิง ยิ่งไปกว่านั้นยังเงียบสงบไม่มีการรบกวนจากรัศมีความตาย ดังนั้นจึงเป็นจุดที่ดีอย่างยิ่งสำหรับการเข้าสมาธิ
รอบทะเลสาบจิ่วโยว มั่วเฟิงและคนอื่นๆ ก็เข้าสู่การฝึกฝนด้วยเช่นกัน พวกเขาเพิ่งได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์มา ดังนั้นจึงต้องหล่ออาวุธเหล่านี้ด้วยคลื่นหลิงของพวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะสามารถใช้ได้อย่างคล่องแคล่วมากขึ้นและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้
ดังนั้นพวกเขาทุกคนจึงสนับสนุนต่อข้อเสนอแนะของมู่เฉินในการทำสมาธิ
ระหว่างการทำสมาธิ มู่เฉินก็ลืมตาม่านสีดำราวกับบ่อน้ำลึกที่ไม่มีความผันผวนใด เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนหยิบขวดหยกแล้วพลิกนิ้ว สายธารพุ่งออกมาจากปากขวด คลื่นหลิงในฟ้าดินต้มเดือดทันที มีหมอกหลิงห่อหุ้มร่างของมู่เฉินอยู่เลือนราง
สายธารนี้เกิดจากของเหลวจื้อจุนหลายแสนหยด
โดยทั่วไปการฝึกฝนของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนจะขาดของเหลวจื้อจุนไม่ได้ เพราะนี่คือทรัพยากรพื้นฐานที่จอมยุทธ์ทุกคนระดับนี้ต้องการ ตราบใดที่พวกเขามีปริมาณของเหลวจื้อจุนอย่างเพียงพอ การฝึกฝนของพวกเขาจะมีผลลัพธ์เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
สายธารของเหลวจื้อจุนม้วนตัวอยู่รอบร่างมู่เฉิน เมื่อกวาดมองคร่าวๆ ก็มีไม่ต่ำกว่าล้านหยดเลยทีเดียว มู่เฉินหลับตาเปิดปากขึ้นเล็กน้อยแล้วหายใจเข้าเบาๆ ทันใดนั้นสายธารที่สร้างจากของเหลวจื้อจุนก็ก่อตัวเป็นมังกรตัวยาวเปล่งเสียงหวีดหวิวพุ่งเข้าไปในปากเขา
พื้นผิวร่างกายของมู่เฉินวาววับด้วยแสงหลิงขณะที่หมุนเวียนทักษะการเพาะบ่มเพื่อชำระของเหลวจื้อจุน ก่อนที่จะเทลงในจุดจื้อจุนไห่พัฒนาคลื่นหลิงที่อยู่ในร่างกาย
เวลาผ่านไปอย่างเงียบเชียบ ขณะที่มู่เฉินกลืนกินของเหลวจื้อจุนซึ่งคล้ายกับวาฬระหว่างฝึกฝน
เวลาร่วงหล่นราวกับนาฬิกาทราย
การเข้าสู่สมาธิ ผ่านไปเกือบสิบวันในพริบตา
ในช่วงสิบวัน มู่เฉินแทบไม่ได้ทำอะไรนอกจากกลืนกินของเหลวจื้อจุนและเขาก็ใช้ไปแล้วห้าล้านหยดซึ่งเป็นปริมาณครึ่งหนึ่งที่ได้มา
ทว่าการฝึกฝนของมู่เฉินก็พัฒนาขึ้นพร้อมกับจำนวนของเหลวที่ลดลง คลื่นหลิงของเขาไต่เข้าสู่ระยะปลายสุดอย่างสมบูรณ์ อีกเพียงก้าวเดียวก็จะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดได้แล้ว
สิ่งที่มู่เฉินรู้สึกเซ็งก็คือความรู้สึกที่จะบุกทะลวงไปสู่ขั้นเจ็ดยังมองไม่เห็นเลย ดูท่าเขาจะต้องหาวิธีอื่นเพื่อบุกเข้าไปแทนแล้ว
นอกจากนี้มู่เฉินยังได้ใช้ความสามารถของเนตรดับชีวิตตลอดการฝึกฝน เขาสำรวจรอบๆ สุสานหมื่นอสูรกว้างใหญ่เพื่อค้นหาร่องรอยของวิหคอมตะโบราณ
ทว่าเขาก็ต้องผิดหวังที่ไม่มีผลลัพธ์ใดๆ ในการค้นหา
สุสานหมื่นอสูรกว้างใหญ่ไพศาล มิหนำซ้ำยังเต็มไปด้วยรัศมีความตายที่ปิดกั้นประสาทสัมผัส แม้จะมีเนตรดับชีวิตก็ยากที่จะค้นหาได้อย่างชัดเจน
แต่เห็นได้ชัดว่าคนอย่างมู่เฉินไม่ยอมแพ้แม้จะล้มเหลว เนื่องจากเขาตัดสินใจตั้งแต่เข้ามาในดินแดนเสินโซ่ว่าจะช่วยเหลือจิ่วโยวให้มีสายเลือดสมบูรณ์ให้จงได้
ดังนั้นความล้มเหลวแค่นี้ไม่สามารถล้มเลิกความตั้งใจของเขาได้หรอก
มู่เฉินเปิดเปลือกตาออกจากสมาธิ สายธารของเหลวจื้อจุนยิ่งใหญ่ก็ลดขนาดลงจนกลายเป็นสายหมอกสุดท้ายสูดเข้าไปในนาสิกประสาท
ริ้วแสงวูบไหวในม่านตาสีดำ ก่อนที่ร่างเขาจะเคลื่อนไหวไปปรากฏบนท้องฟ้า แสงสีดำปริออกจากตรงหว่างคิ้ว ดวงตาที่สามเปิดออกพร้อมกับความลึกลับเปล่งประกายออกมา
แสงสีดำราวกับสามารถทะลุผ่านมิติไม่มีที่สิ้นสุด ภาพในรัศมีหมื่นลี้สะท้อนเข้าในดวงตาทั้งหมด
มู่เฉินใช้พลังของเนตรดับชีวิตอีกครั้ง พยายามที่จะค้นหาเบาะแสของวิหคอมตะโบราณในสุสานหมื่นอสูร
แสงสีดำทะลุทะลวงผ่าน ทุกตารางนิ้วที่เต็มไปด้วยรัศมีความตายก็ถูกค้นโดยเขา แต่ชัดว่ามีข้อจำกัดสำหรับเนตรดับชีวิต ในการสำรวจพื้นที่ยิ่งไกลจะยิ่งเบลอมากขึ้น
ในช่วงสิบวันที่ผ่านมา มู่เฉินได้ทำการค้นหาบริเวณใกล้เคียงเรียบร้อย ดังนั้นตอนนี้คลื่นจิตจึงค่อยๆ แผ่ลึกเข้าไปในสุสาน
รัศมีความตายในพื้นที่เหล่านั้นรุนแรงมาก แม้ว่าจะมีเนตรดับชีวิต เขาก็ยังมีปัญหาในการสำรวจ
ครึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็วภายใต้การสำรวจ แต่มู่เฉินก็ยังรู้สึกผิดหวังเนื่องจากยังไม่พบเบาะแสของวิหคอมตะโบราณเลยสักนิด
ดังนั้นคิ้วจึงขมวดแน่น เขาไม่คิดว่าการได้เบาะแสจะยากเย็นขนาดนี้ หานซันเคยพูดถึงเพลิงอมตะ แต่จนตอนนี้เขาก็ยังไม่เห็นประกายไฟอะไรเลย
ถ้าไม่ใช่ความเชื่อใจในตัวหานซัน เขาคงจะสงสัยว่าหานซันโกหกกันรึเปล่าแล้ว…
เมื่อการสำรวจดำเนินต่อไป มู่เฉินก็รู้สึกเจ็บเล็กน้อยตรงหว่างคิ้ว ซึ่งเป็นเพราะเขาใช้เนตรดับชีวิตนานเกินไป จึงแสดงอาการถึงขีดจำกัดแล้ว
มู่เฉินสัมผัสถึงความเจ็บปวดก็สั่นศีรษะอย่างอดไม่ได้ กำลังคิดจะเลิกค้นหา
“หืม?”
แต่ขณะที่เขาคิดอย่างนั้น ทันใดนั้นดวงตาก็หดเกร็ง แสงสีดำวูบไหวที่กลางหว่างคิ้ว ส่องเข้าไปในส่วนลึกของสุสาน
ตำแหน่งที่แสงสีดำส่องเข้าไปมืดสนิท หากก่อนหน้ามู่เฉินยังสามารถเห็นส่วนอื่นๆ ได้แม้จะเบลอไปบ้าง แต่บริเวณนี้ก็มืดสนิทราวกับถูกอะไรปิดบังไว้
“สถานที่นี้แปลกมาก…”
มู่เฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเปิดเนตรดับชีวิต แสงสีดำรวมกันในดวงตาเขาพยายามมองผ่านความมืด
แต่ขณะที่แสงสีดำแทรกผ่านในความมืดมิด มิติก็เริ่มผันผวน เสียงคำรามป่าเถื่อนและน่ากลัวดังก้องออกมา ในเวลาเดียวกันเพลิงก็แผดเผาพื้นที่พร้อมกับความผันผวนน่าสะพรึงกลัวกระจายออกไป ตัดภาพเนตรดับชีวิตทันที
ปัง!
ร่างกายมู่เฉินกระตุก ริ้วเลือดไหลออกมาจากเนตรดับชีวิตที่กึ่งกลางหว่างคิ้ว ชัดว่าเขาถูกโจมตี
ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด พื้นที่มืดมิดนั้นน่ากลัวมากจนเขาถูกจู่โจมจากการใช้เนตรดับชีวิตแอบมองเข้าไปสั้นๆ โชคดีที่เขาไม่ได้ใช้พลังเต็มที่และพุ่งเข้าไปแบบทะเล่อทะล่า มิฉะนั้นกระทั่งเนตรดับชีวิตก็อาจจะเสียหายหนัก
“พื้นที่นั้นมีอะไรบางอย่าง?”
มู่เฉินนวดหว่างคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียด โดยทั่วไปพื้นที่แบบนั้นไม่ใช่สถานที่ธรรมดาแน่ อาจเป็นพื้นที่ที่สิ่งมีชีวิตทรงพลังละร่างไว้ ดังนั้นพื้นที่จึงได้รับการปกป้องโดยรัศมีของพวกมัน
ทว่ามู่เฉินได้สืบเสาะไปในหลายพื้นที่ของสุสานหมื่นอสูรในช่วงสิบวันที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกจู่โจมอย่างน่ากลัว ชัดว่าจะต้องมีสิ่งที่น่าสะพรึงอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน
“เปลวไฟเมื่อครู่… ดูคุ้นๆ แฮะ นั่นใช่เพลิงอมตะไหม?” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่เนตรดับชีวิตจะถูกตัดภาพ เหมือนจะเห็นแปลวไฟอยู่ ไม่รู้ว่านั่นใช่เพลิงอมตะหรือไม่?
แต่เสียงคำรามที่น่ากลัวนั้นก็เหมือนไม่ใช่ของวิหคอมตะ
ดินแดนนั้นแปลกประหลาดและลึกลับอย่างแท้จริง
สายตาของมู่เฉินกะพริบวูบ หลังจากที่เนตรดับชีวิตฟื้นตัวมาเล็กน้อย เขาก็เปิดใช้งานอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้พยายามมองผ่านความมืดกลับตรวจสอบพื้นที่โดยรอบแทน
พื้นที่ตรงนั้นเต็มไปด้วยรัศมีความตายที่น่าสะพรึงกลัว เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนเลือนรางของรัศมีความตาย คิดว่าคงมาจากอสูรวิญญาณที่ทรงพลัง
“นั่นน่าจะเป็นส่วนลึกของสุสาน มิน่าล่ะถึงมีอสูรวิญญาณที่ทรงพลังจำนวนมากคอยปกป้อง… ” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง หลังจากตรวจสอบคร่าวๆ พื้นที่โดยรอบถูกล้อมกรอบด้วยปราการอสูรวิญญาณที่ทรงพลัง ทำให้ยากที่จะเข้าไป
“หืม?”
ขณะที่มู่เฉินตรวจสอบบริเวณนั้น จู่ๆ เขาก็อุทานสงสัยขึ้นมา เมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินทางผ่านความมืดอย่างรวดเร็ว
ทิศทางที่พวกเขาไปก็คือพื้นที่มืดมิดนั้น
นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้มู่เฉินตกใจที่สุดก็คือมีร่างเงาบางส่วนที่เขาจำได้ ภายในกลุ่มนั้นมีผู้ชายและผู้หญิงคุ้นหน้า ซึ่งก็คือฉื้อหงหวู่และไป๋ปิงที่เคยพบกันในตลาดเสรี
“สมาชิกเผ่าหงส์ฟ้าเรอะ?” สายตามู่เฉินวูบไหว เงาร่างเหล่านั้นถูกล้อมไปด้วยความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลัง พวกเขาทั้งหมดมาจากเผ่าหงส์ฟ้า
สายตามู่เฉินเลื่อนไปทางด้านหน้า ซึ่งมีคนคนหนึ่งนำหน้า ดูท่าเขาจะเป็นผู้นำของคนกลุ่มนี้แล้ว
คนผู้นั้นสวมชุดสีฟ้า สีหน้าไม่แยแส รัศมีเย็นเยือกอย่างยิ่งล้อมรอบร่างเขา ในเส้นทางที่พุ่งผ่านแม้แต่มิติก็ถูกแช่แข็ง
มู่เฉินจ้องมองไปที่คนคนนั้นก็รู้สึกเจ็บบริเวณผิวหนัง นี่เป็นสัญญาณบอกว่าอีกฝ่ายเป็นภัยคุกคามต่อพลังกายของเขาอย่างมาก
ขณะที่มู่เฉินกำลังจ้องมอง ชายชุดสีฟ้าก็หยุดชะงักก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในมิติเบื้องหน้าอย่างเย็นชา ราวกับว่าเขาสัมผัสได้ถึงสายตาของมู่เฉิน
“หึ”
เขาเค้นเสียงเย็นเยือก จากนั้นก็กำมือ พัดเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น นี่เป็นพัดสีฟ้าน้ำแข็ง ดูเหมือนทำมาจากขนหงส์ฟ้าโดยมีไฟสีขาวลุกโชนอยู่ เปลวไฟนั้นไม่ได้ร้อน แต่กลับปล่อยไอเย็นที่น่ากลัวอย่างมาก
เขาถือพัดโบกใส่มิติเบื้องหน้า เปลวไฟสีขาวม้วนตัวออกไป ชั้นบรรยากาศบริเวณนั้นกลายเป็นน้ำแข็งแล้วกระจายออกไปเป็นชั้นๆ ทำให้พื้นที่เย็นยะเยือกลงอย่างสิ้นเชิง
ขณะที่มิติแข็งตัว แสงสีดำจากเนตรดับชีวิตของมู่เฉินก็ถูกความหนาวเหน็บกัดกร่อนจนสลายไป
บนท้องฟ้าเหนือทะเลสาบตัวเป่า มู่เฉินลืมตาขึ้น เนตรดับชีวิตบนหน้าผากก็จางลงไปช้าๆ ในม่านตาสีดำแสงแปลกประหลาดกะพริบวาบเมื่อมองไปทางนั้น
ชายชุดสีฟ้าคนนั้นน่าจะมาจากเผ่าหงส์ฟ้า… แต่ทำไมพวกเขาถึงไปยังดินแดนมืดมิดนั่น?
พัดขนนกขาวน่าจะเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ มิฉะนั้นเปลวไฟสีขาวคงไม่สามารถตัดการมองของเนตรดับชีวิตได้
“แปลกมาก…”
สายตาของมู่เฉินเปล่งประกาย ขณะที่พึมพำด้วยความอยากรู้เกี่ยวกับดินแดนลึกลับที่เพิ่มขึ้นในหัวใจ
เผ่าหงส์ฟ้าจะไม่เคลื่อนไหวหากไม่มีผลกำไร นอกจากนี้พวกเขาไว้ตัว สิ่งธรรมดาไม่สามารถดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้ แต่ตอนนี้พวกเขากลับเดินทางอย่างเร่งรีบ ก็หมายความว่าต้องมีบางสิ่งที่พิเศษในดินแดนนั้นแน่นอน
และสิ่งที่ไม่ธรรมดาอาจมีโอกาสเป็น… วิหคอมตะโบราณ
บทที่ 1041 สุสานสักการะเทพ
บนท้องฟ้าเหนือทะเลสาบตัวเป่า
มู่เฉินพลิ้วตัวลงมา จิ่วโยว มั่วเฟิงและคนอื่นๆ ก็ทะยานเข้ามาด้วยความสงสัยในดวงตา เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงฉับพลันของมู่เฉินเมื่อครู่ มิหนำซ้ำยังมีรอยเลือดไหลลงมาจากกึ่งกลางหน้าผากของเขาอีกด้วย
“พี่มู่พบอะไรเข้าเหรอ?” หานซันถามด้วยสีหน้าอึกอัก เนื่องจากมู่เฉินไม่พบอะไรหลังจากค้นหามาหลายครั้งในช่วงสิบวันที่ผ่านมา ทำให้เขารู้สึกค่อนข้างอึดอัดใจ ตอนแรกเป็นตัวเขาเองที่มั่นใจบอกว่ามีร่องรอยของวิหคอมตะโบราณในสุสานหมื่นอสูร
มู่เฉินยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายจากนั้นพยักหน้าเบาๆ ทำให้หัวใจของจิ่วโยวเต้นรัวเร็ว เพราะนี่เป็นครั้งแรกในรอบสิบวันที่มู่เฉินพยักหน้ารับ
มู่เฉินไม่ได้ปิดบังอะไร เล่าเกี่ยวกับดินแดนลึกลับที่ค้นพบพร้อมกับการปรากฏตัวของเผ่าหงส์ฟ้าให้ทุกคนทราบ
“เผ่าหงส์ฟ้าก็มาที่นี่เหมือนกันเหรอ” สีหน้าของจิ่วโยววูบไหวด้วยอาการตื่นตะลึง จากนั้นก็มุ่นคิ้วแน่น “สายตาของคนเหล่านั้นไม่ธรรมดา ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาเร่งรีบเช่นนี้ ต้องไม่ธรรมดาเหมือนกันแน่”
ขณะที่พูด ดวงตานางก็สั่นสะท้าน วิหคอมตะโบราณเป็นสายพันธุ์ของเผ่าหงส์ฟ้าด้วย ทว่าความหายากนั้นเหนือกว่าหงส์ฟ้าแท้จริงของเผ่าหงส์ฟ้าอีกด้วย ดังนั้นหากเผ่าหงส์ฟ้าได้เบาะแสของวิหคอมตะ ก็ไม่แปลกที่พวกเขาจะต้องรีบไปค้นหา
หากพวกเขาได้รับแก่นโลหิตมรดกของวิหคอมตะโบราณ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับสายเลือดของพวกเขา
แต่ว่าเมื่อเผ่าหงส์ฟ้าเข้ามามีส่วนร่วม เรื่องนี้ก็จะกลายเป็นปัญหามากขึ้น ด้วยนิสัยที่หยิ่งทะนงของพวกเขาคงไม่ยอมให้คนอื่นมีส่วนร่วมเรื่องนี้อย่างแน่นอน
ในแง่ของปัญหานี่ยิ่งเกินกว่าเผ่าหมาป่าเวหะและเผ่าราชสีห์ทองคำอีก
“ถ้าเผ่าหงส์ฟ้ากำลังมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งที่พี่มู่ค้นพบจริงละก็ ที่นั่นต้องไม่ธรรมดาแน่นอน” หานซันกล่าวขึ้นเช่นกัน
พูดถึงจุดนี้เขาก็หยุดระลึกถึงบางอย่าง “แต่ถ้าให้พูดจริง พวกข้าก็มีข้อมูลบางอย่างพอดี…”
“หืม?” มู่เฉินมองหานซันด้วยความประหลาดใจ ยังมีข้อมูลที่เขาไม่ได้บอกพวกเขาอีกเหรอ?
เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน หานซันก็ส่ายหัว “ข้าไม่ได้คิดปกปิดนะ นี่เป็นข้อมูลที่ได้ตอนพี่มู่เข้าสู่สมาธิข้าให้พรรคพวกไปตรวจสอบพื้นที่รอบๆ แม้ว่าเราจะไม่พบเบาะแสของวิหคอมตะ แต่ก็พบอย่างอื่นแทนน่ะ”
“เจออะไร?”
“ในช่วงสิบวันที่ผ่านมา เราพบว่ามีกลุ่มคนเข้ามาในสุสานหมื่นอสูรมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นมีไม่น้อยที่มาจากเผ่าเทพอสูรชั้นสูง” หานซันพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เช่นเผ่าคุนเผิง… เผ่านกยูงเก้าสี… เผ่ากระเรียนเทพสวรรค์… เผ่าวานรทะลุฟ้า…”
ชื่อทุกเผ่าที่หลุดมาจากปากของหานซัน ทำให้คิ้วของมู่เฉินกระตุก นั่นเป็นเพราะเผ่าเหล่านั้นล้วนเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีชื่อเสียงในมหาพันภพ นับเป็นเผ่าที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
เผ่าเทพอสูรเหล่านี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังและรากฐานแข็งแกร่งจนถึงจุดที่ไม่สามารถประเมินได้
แต่หลังจากความประหลาดใจ ใบหน้าของมู่เฉินก็เคร่งเครียดมากขึ้น ถ้าเป็นเพียงเผ่าเทพอสูรอันดับต้นหนึ่งหรือสองเผ่าที่เข้ามาในสุสานหมื่นอสูรก็อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่เมื่อมีหลายเผ่าก็น่าจะมีเหตุผลอยู่เบื้องหลัง
“ต้องมีบางอย่างในสุสานดึงดูดพวกมัน” มั่วเฟิงพูดตรงประเด็น ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นเผ่าเทพอสูรจอมหยิ่งทั้งหลายจะไม่เสี่ยงชีวิตในการเข้าสู่สุสานแน่นอน
จิ่วโยวพยักหน้าเบาๆ สายตาเลื่อนไปมองมู่เฉิน เขาก็รับรู้สึกสายตาของนาง ดวงตาหรี่ลงพูดช้าๆ ว่า “หรือว่าคนทั้งหมดกำลังมุ่งหน้าสู่ดินแดนลึกลับนั่น?”
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้น แต่ในเมื่อดึงดูดความสนใจของเผ่าหงส์ฟ้าได้ ก็ต้องมีความพิเศษบางอย่างแน่นอน กรณีแบบนี้ก็เป็นไปได้ว่าที่กลุ่มอื่นๆ จะถูกดึงดูดเช่นกัน
หานซันพยักหน้า จะต้องมีความสัมพันธ์บางอย่างเกี่ยวกับทั้งสองเรื่องนี้แน่
“เจ้าวางแผนจะทำยังไง?” มั่วเฟิงถามขณะที่หันไปมองมู่เฉิน
จิ่วโยวก็ยังจดจ้องอยู่ที่มู่เฉิน ตลอดการเดินทางมู่เฉินได้แสดงพลังที่แข็งแกร่ง โดยไม่รู้ตัวเขาได้เปลี่ยนตำแหน่งกับนางในฐานะผู้นำ กลายเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจของกลุ่มไปแล้ว
มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ แม้ว่าเขาจะยังไม่ทราบว่ามีอะไรในดินแดนลึกลับ แต่ก็สัมผัสได้ถึงอันตรายคลุมเครือเกินกว่าที่นี่มาก
ยิ่งไปกว่านั้นถ้ากลุ่มเทพอสูรระดับต้นถูกดึงดูดไปที่นั่น ก็จะต้องโหดหินแน่หากเกิดการต่อสู้แตกหัก ผู้ที่อ่อนแออาจถูกกินจนไม่เหลือซาก
สถานที่เลวร้ายเช่นนี้ โดยทั่วไปแล้วควรหลีกเลี่ยงเป็นดีที่สุด
แต่…ถ้าที่นั่นมีร่องรอยของวิหคอมตะโบราณล่ะ? แม้ว่าการเก็บเกี่ยวของพวกเขาในการเดินทางมายังดินแดนเสินโซ่ครั้งนี้จะยอดเยี่ยมมากแล้ว แต่เป้าหมายสำคัญที่สุดยังไม่บรรลุ ซึ่งก็คือช่วยจิ่วโยวให้ได้รับแก่นโลหิตวิหคอมตะโบราณเพื่อที่จะทำให้สายเลือดของนางสมบูรณ์แบบที่สุด
ถ้าเรื่องนี้ไม่สำเร็จ มู่เฉินจะต้องรู้สึกหม่นหมองในหัวใจไม่ว่าจะได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์กี่ชิ้นก็ตาม
ดังนั้นแม้ว่าที่นั่นจะเต็มไปด้วยอันตราย คนอย่างเขาก็ขอลองเสี่ยงสักตั้ง
“ไม่ว่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น แต่ผิดดีกว่าพลาด ตราบใดที่มีเบาะแสเกี่ยวกับวิหคอมตะ ข้าก็ต้องลองดู” มู่เฉินกวาดมองทุกคน น้ำเสียงนุ่มนวลแต่มุ่งมั่นอย่างยิ่ง
ดวงตาของจิ่วโยวเต็มไปด้วยระลอกอารมณ์ แม้นางไม่ได้พูดอะไร แต่กลับรู้สึกอบอุ่นในใจ
มั่วเฟิงก็พยักหน้า ขณะที่มั่วหลิงคิดว่าไปไหนไปกัน
เมื่อเห็นเช่นนี้ มู่เฉินก็มองไปที่หานซัน “พี่หาน ถ้าพวกเจ้ามีธุระอย่างอื่น เราสามารถแยกกันได้ที่นี่นะ”
เขาไม่ได้ขอให้กลุ่มของหานซันไปด้วยกัน เพราะศัตรูที่ต้องปะทะก็คือเผ่าเทพอสูรระดับต้นซึ่งแข็งแกร่งกว่ากลุ่มจิงฉิงเทียนเสียอีก
เมื่อหานซันได้ยินคำพูดนั่น ใบหน้าก็จริงจังขึ้น “พี่มู่ เจ้าพูดเช่นนี้คือไม่เห็นข้าเป็นเพื่อนนะ ถ้าไม่ใช่พวกเจ้า พวกเราคงไม่มีโอกาสได้เข้ามาในทะเลสาบตัวเป่าด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงการได้รับสมบัติเลย ตอนนี้ในเมื่อพวกเจ้ามีภารกิจต้องทำ เราก็จะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”
มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะประสานมือคารวะ “งั้นขอบคุณมาก”
หานซันเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดบวกกับความช่วยเหลือจากพลองสะท้านฟ้า เขาก็ไม่ต้องกลัวแม้ว่าจะต้องเผชิญกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดแบบจิงฉิงเทียน ด้วยความช่วยเหลือนี้ การรวมตัวของพวกเขาในการเดินทางครั้งนี้ก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
แต่การไปด้วยกัน พวกเขาอาจสร้างความขัดแย้งกับเทพอสูรระดับต้นกลุ่มต่างๆ ซึ่งจะเป็นแรงกดดันอย่างมากให้กับพวกหานซัน ดังนั้นมู่เฉินจึงค่อนข้างคาดไม่ถึงสำหรับการตัดสินใจของหานซันครั้งนี้
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ เราก็มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของสุสานหมื่นอสูรกัน นอกจากนี้หากเราพบกลุ่มอื่นๆ ระหว่างทางก็จะได้ถามข้อมูล หากแน่ใจว่ามีเบาะแสของวิหคอมตะอยู่ที่นั่น เราก็จะมุ่งหน้าไปที่นั่นทันที แต่ถ้าไม่เกี่ยวข้อง เราก็จะยอมแพ้มองหาเบาะแสอื่นๆ” มู่เฉินยิ้ม
ไม่ว่าในพื้นที่นั้นจะมีสมบัติอะไร แต่สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับมู่เฉินตอนนี้ก็คือการช่วยจิ่วโยวให้ได้รับสายเลือดสมบูรณ์แบบที่สุด สำหรับเรื่องอื่นเขาเก็บไว้ก่อน
หานซันพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน หากพวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงการปะทะกับชนชั้นสูงของเผ่าเทพอสูรได้นั่นจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะคนเหล่านั้นไม่มีใครที่เป็นคู่ต่อสู้ง่ายดาย แม้แต่คนอย่างจิงฉิงเทียนก็ยังหวาดกลัว ถ้าได้พบกับจอมยุทธ์ชั้นสูงแห่งเผ่าเทพอสูร
เมื่อมู่เฉินเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็ไม่ชักช้าอีกต่อไป สายตามองลึกลงไปในสุสานก่อนที่จะโบกมือ จากนั้นเงาร่างก็กลายเป็นลำแสงพุ่งออกไป
คนอื่นๆ ก็ติดตามอย่างใกล้ชิด ทิ้งภาพทะเลสาบเงียบสงบไว้เบื้องหลัง
ออกจากทะเลสาบตัวเป่า
ทุกคนก็มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกภายใต้การนำของมู่เฉิน
มู่เฉินได้ทำการสำรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วนเกี่ยวกับดินแดนนี้ในช่วงสิบวันที่ผ่านมา ดังนั้นภายใต้การนำของเขาการเดินทางจึงราบรื่นมาก ระหว่างทางพวกเขาไม่ได้ปะทะกับฝูงอสูรวิญญาณเลย
ดังนั้นในเวลาไม่ถึงสองวัน พวกเขาก็เข้าใกล้ส่วนลึกของสุสานหมื่นอสูรแล้ว
นอกจากนี้ในวันที่สองพวกเขายังได้พบกับกลุ่มหนึ่งที่เป้าหมายเดียวกันด้วย
พวกเขาได้รับข้อมูลบางอย่างจากคนกลุ่มนี้ โดยใช้ความรุนแรงไปเล็กๆ น้อยๆ
ในดินแดนเสินโซ่ ทุกอย่างพูดด้วยกำปั้น ตราบใดที่สามารถแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งเพียงพอแม้แต่ชั้นสูงของเผ่าเทพอสูรก็ยังต้องมีมารยาทให้
จากข้อมูลที่ได้รับ ในที่สุดมู่เฉินก็รู้ถึงต้นกำเนิดของดินแดนลึกลับนั่น
เล่าขานกันว่าในสมัยโบราณเมื่อดินแดนเสินโซ่แตกเป็นเสี่ยงๆ จอมยุทธ์ในทวีปแห่งนี้ได้เข้าต่อสู้กับเผ่าปีศาจต่างมิติ พวกเขาส่วนใหญ่ละทิ้งร่างไว้ในส่วนลึกของสุสานหมื่นอสูร
เมื่อจอมยุทธ์เผ่าปีศาจตายลง รัศมีปีศาจชั่วร้ายจากพวกมันก็พยายามทำให้ซากศพเทพอสูรที่ทรงพลังปนเปื้อน ดังนั้นปณิธานของมหาเทพอสูรผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นจึงรวมเข้าด้วยกัน สถิตอยู่ในส่วนลึกของสุสานหมื่นอสูร คอยปกป้องซากร่างของพรรคพวกและปราบปรามเหล่านักรบเผ่าปีศาจในเวลาเดียวกัน
ดังนั้นดินแดนที่มีมหาเทพอสูรละทิ้งร่างไว้จึงถูกเรียกว่า… สุสานสักการะเทพ
บทที่ 1042 รวมตัว
ส่วนลึกสุดของสุสานหมื่นอสูร
พื้นที่แห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายที่เข้มข้น สีเทาดำมืดไม่มีสัญญาณของพลังชีวิตแผ่กระจายออกไปจนสุดปลายสายตาของผู้พบเห็น ราวกับว่ามันได้ปิดกั้นพลังงานชีวิตทั้งหมดไว้
ฟิ้ว!
ทันใดนั้นเสียงอากาศฉีกออกจากกันก็ดังขึ้น เงาร่างหลายร่างเหาะเหินข้ามท้องฟ้า พริบตาพวกเขาก็พุ่งผ่านรัศมีความตายมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของสุสานหมื่นอสูร
คนกลุ่มนี้ก็คือพวกมู่เฉินที่ออกจากทะเลสาบตัวเป่ากำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เรียกว่าสุสานสักการะเทพ
“เราน่าจะใกล้ถึงส่วนลึกของสุสานหมื่นอสูรแล้ว สุสานสักการะเทพคงอยู่ไม่ไกล”
มู่เฉินอยู่ที่ด้านหน้าสุด ริ้วแสงสีดำกะพริบที่กลางหว่างคิ้ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้เนตรดับชีวิต แต่ก็ยังสามารถมองผ่านรัศมีความตาย รับรู้ถึงสถานการณ์ในรัศมีหมื่นจั้ง เพื่อหลบเส้นทางของอสูรวิญญาณฝูงใหญ่
ที่ด้านหลังคนอื่นๆ พยักหน้ารับพร้อมเพรียง พวกเขาไม่สงสัยคำพูดของมู่เฉิน ตั้งแต่ออกเดินทางครั้งนี้พวกเขาไม่เจอสิ่งกีดขวางใดๆ ซึ่งทำให้พวกเขาตงิดในใจว่าตอนนี้ยังอยู่ในดินแดนเสินโซ่หรือไม่
แน่นอนว่าพวกเขาต้องขอบคุณต่อการรับรู้ของมู่เฉิน ที่ทำให้การเดินทางราบรื่นมาก หากเขาไม่ได้ตรวจสอบล่วงหน้าและเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดในการเดินทาง พวกเขาอาจได้รับความเดือดร้อนจากการโจมตีของฝูงอสูรวิญญาณไปแล้วไม่รู้กี่ครั้ง
“คงมีบางกลุ่มที่ไปถึงสุสานสักการะเทพแล้ว” จิ่วโยวมองไปที่ฟ้าดินที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายสีเทาอมดำ ไม่รู้ว่ามีสิ่งที่น่ากลัวแค่ไหนซ่อนอยู่ในความมืดและตอนนี้น่าจะมีบางกลุ่มไปถึงแล้ว
มู่เฉินพยักหน้า ตลอดทางแม้ว่าพวกเขาจะแซงกลุ่มคนไปไม่น้อย แต่ก็ไล่ทันแค่พวกที่นำหน้าไป เนื่องจากต้องยอมรับว่ากลุ่มเหล่านั้นมีการจัดเรียงที่ทรงพลังมากเมื่อเทียบกับพวกเขา
นอกจากนี้ผู้นำของกลุ่มเหล่านั้นก็เป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงแท้จริง
พวกเขาถือเป็นตัวแทนของจอมยุทธ์สูงสุดในกลุ่มอัจฉริยะที่เข้าสู่ดินแดนเสินโซ่ในครั้งนี้
แม้แต่จิงฉิงเทียนก็กลัวจนหงอ ถ้าต้องเจอพวกจอมยุทธ์ชนชั้นสูงเข้า
ในการเดินทางไปที่สุสานสักการะเทพครั้งนี้ ศัตรูที่พวกเขาต้องเผชิญอาจเป็นจอมยุทธ์สุดยอดในดินแดนนี้ ซึ่งไม่ง่ายสำหรับพวกเขาที่จะโดดเด่นได้
ทว่าถึงแม้จะยาก แต่คนอย่างมู่เฉินก็ไม่ได้มีความกลัวแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเลือดในกายเขากลับเดือดพล่านพร้อมกับไฟแห่งการต่อสู่พวยพุ่งออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ ในเส้นทางของยอดยุทธ์ ผู้ฝึกจะต้องพิชิตยอดเขาที่ยากสำหรับคนธรรมดาจะประสบความสำเร็จได้ ความยากลำบากนี้จะเป็นหินลับมีดสำหรับพวกเขาที่จะส่องประกายและยืนหยัดเพื่อความเป็นหนึ่ง
วาบ!
เลือดในกายเดือดปุด แต่เขาก็ไม่ได้ลดความเร็วขณะบินผ่านยอดเขาสีเทาดำในสายแสง เมื่ออสูรวิญญาณบนยอดเขาสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของพวกเขา พวกเขาก็หายวับไปในขอบฟ้าแล้ว
สี่ชั่วโมงต่อมาพวกมู่เฉินก็เริ่มชะลอความเร็วลง พวกเขาพลิ้วตัวลงมาบนยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยป่าไม้สีเทาดำ สายตาจ้องมองไปเบื้องหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
แผ่นดินบริเวณนั้นไม่ได้เป็นสีเทาดำอีกต่อไป แต่กลับเป็นสีแดงเข้มข้น
สีแดงเลือดหมูนั้นราวกับเลือดย้อมสีแผ่นดินเป็นเวลานับหมื่นปี นอกจากนี้นี่ไม่ใช่เลือดธรรมดาแต่เป็นเลือดที่มาจากสิ่งมีชีวิตทรงพลัง นั่นเป็นเพราะทั้งผืนดินถูกห่อหุ้มด้วยแรงกดดันอันทรงพลัง กระทั่งมู่เฉินที่มีจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงสถิตในร่างก็ยังรู้สึกหายใจลำบาก
มีหุบเหวลึกมากมายบนพื้นซึ่งลึกจนมองไม่เห็นก้น มากจนมิติบริเวณนี้ก็เต็มไปด้วยรอยแตก นั่นเป็นเพราะการต่อสู้ที่เกิดขึ้นที่นี่เป็นความหายนะใหญ่หลวง แม้ว่าผ่านไปหลายหมื่นปีก็ยังไม่สามารถกู้คืนสภาพได้
รัศมีความตายที่โอบล้อมแผ่นดินนี้ ก็ไม่ใช่สีเทาดำกลับเป็นสีแดงอ่อนผสมกับปณิธานที่หลงเหลือของสิ่งมีชีวิตทรงพลังมากมาย แม้จะตายไปเจตนาเหล่านี้ก็ไม่สามารถถูกลบล้างไปได้
ท่ามกลางรัศมีความตายสีแดง มีหอคอยสูงนับไม่ถ้วนยืนตระหง่านราวกับต้นไม้ยืนต้น พวกมันเหมือนจะก่อเป็นปราการกั้นแยกแผ่นดินบริเวณนี้ออกจากโลกภายนอก รัศมีความตายสีแดงไม่อาจซึมออกมาได้ ในเวลาเดียวกันรัศมีสีเทาดำก็ถูกปิดกั้นไว้ที่ข้างนอกเช่นกัน
มู่เฉินหรี่ตาลง แสงสีดำกะพริบที่หน้าผาก เขามองไปที่หอคอยสูงนับไม่ถ้วน สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ด้วยความสามารถของเนตรดับชีวิต เขารับรู้ได้ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่หอคอย แต่เป็นโครงกระดูก
เขาไม่สามารถระบุแหล่งกำเนิดของกระดูกเหล่านั้นได้ แต่สิ่งเดียวที่เขามั่นใจก็คือสิ่งเหล่านั้นไม่ได้มาจากเทพอสูรเพียงร่างเดียว พวกมันถูกสร้างขึ้นจากโครงกระดูกของเทพอสูรจำนวนมากที่โอบล้อมพื้นที่นี้ราวกับสุสานที่ปกปักผู้ที่ละร่างอยู่ภายใน
“นี่คือสุสานสักการะเทพรึ?” จิ่วโยวมองไปที่สุสานตระการตาก็รู้สึกตกตะลึง เมื่อเปรียบเทียบกับสุสานนี้พวกเขามีขนาดเล็กเท่ามด ความตกตะลึงนั้นไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
“น่าจะไม่ผิด”
มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้าก่อนที่จะเอียงศีรษะมองทิศทางอื่นของพื้นที่นี้ เขาสัมผัสได้คลุมเครือถึงความผันผวนของคลื่นหลิงในทิศทางเหล่านั้น ชัดว่ามีกลุ่มอื่นมาที่นี่อยู่เรื่อย
“ดูท่าข้อมูลของสุสานสักการะเทพกระจายไปทั่วแล้ว ตอนนี้เหมือนจะมีกลุ่มทรงพลังจำนวนมากเข้ามา” หานซันอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ บางทีเกือบครึ่งหนึ่งของกลุ่มที่เข้ามาในดินแดนเสินโซ่อาจมาที่นี่
“เรื่องแบบนี้ปิดไม่มิดหรอก” มู่เฉินไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ แม้ว่าเผ่าเทพอสูรระดับต้นจะมีเครือข่ายข้อมูลที่ทรงประสิทธิภาพ แต่ต้นไม้ขนาดใหญ่ก็ไม่สามารถบังพายุได้ ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาถูกจับตามองอยู่ตลอด ยิ่งก่อนหน้านี้เผ่าต่างๆ ได้เข้ามาในสุสานหมื่นอสูร คนอื่นๆ จะไม่เกิดการคาดดาได้อย่างไร
ทว่ามู่เฉินก็รู้ดีว่ากลุ่มเทพอสูรระดับต้นไม่คิดปกปิดข้อมูล เพราะหากคิดจะเก็บเกี่ยวในดินแดนน่ากลัวนี้ คนที่ไม่มีกำลังก็จะส่งตัวเองไปสู่ปากเหวความตายเท่านั้น
ในเมื่อคนอื่นโลภมากต้องการลงสู่ประตูนรก เผ่าเทพอสอูรระดับต้นก็พร้อมที่จะรับชมจากด้านข้างอย่างเลือดเย็น
“ไปที่นั่น”
ทันใดนั้นสายตาของมู่เฉินก็มองไปที่ส่วนนอกสุสานสักการะเทพ ที่มีกองหินใหญ่วางนิ่งพร้อมกับความผันผวนของคลื่นพลังเปล่งออกมาจากมัน เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นที่รวมตัวของคนทั้งหมด
แม้ว่าพวกเขาจะมีข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับสุสานสักการะเทพ แต่ก็ยังไม่เข้าใจมากนัก ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดสำหรับพวกเขาจะระมัดระวังและติดตามหลังกลุ่มคนส่วนใหญ่ไป
คนอื่นๆ พยักหน้าเห็นด้วยเกี่ยวกับเรื่องนี้
มู่เฉินทะยานเป็นผู้นำออกไป มุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งนั้น ไม่กี่นาทีต่อมาร่างของเขาก็พลิ้วลงบนก้อนหินใหญ่โดยมีพรรคพวกตามมาติดๆ
เมื่อมาถึงพวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นจำนวนกลุ่มคนมากมายที่นี่
หินทุกก้อนมีกลุ่มคนแยกออกเป็นมากบ้างน้อยบ้าง นอกจากนี้จำนวนกลุ่มคนก็มีมากอย่างน่าตกใจ ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่ทำให้มู่เฉินประหลาดใจที่สุดก็คือการรวมตัวของกลุ่มเหล่านั้นทรงพลังมากจนไม่อาจประมาทได้
พวกเขาสามารถมาถึงสุสานสักการะเทพเป็นชุดแรก ชัดว่าต่างต้องมีฝีมือไม่ธรรมดา
สายตาของมู่เฉินกวาดไปทั่วจากนั้นจิตก็เคลื่อนไหว เขามองไปที่จุดลึกที่สุดก็เห็นว่าบนก้อนหินใหญ่ราวลานหินหลายก้อน ต่างมีร่างหลายร่างนั่งอยู่อย่างเงียบๆ
เขาอดหดดวงตาไม่ได้เมื่อกวาดมองร่างคนเหล่านี้ ร่างกายก็เกร็งเครียดขึ้น ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่เขารู้สึกถึงการคุกคาม
“ทั้งหมดนั่นเป็นเผ่าเทพอสูรระดับต้นของโลกสัตว์อสูร” จิ่วโยวเอ่ยเสียงต่ำ ใบหน้านางอัดแน่นไปด้วยความเคร่งเครียด เห็นได้ชัดว่านางค่อนข้างครั่นครามกับเผ่าเทพอสูรระดับต้นเหล่านี้ หากแก่นโลหิตมรดกของวิหคอมตะโบราณมีอยู่จริง คนเหล่านี้ก็จะเป็นคู่แข่งคนสำคัญของนาง
มู่เฉินพยักหน้าโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน สายตาของเขาถูกดึงดูดไปยังกลุ่มกลุ่มหนึ่งเนื่องจากคนเหล่านั้นค่อนข้างแปลก ดวงตาของพวกเขามีหลายสี แสงระยิบระยับโอบล้อมพวกเขาขณะเปล่งพลังงานลึกลับออกมา
ผู้นำของกลุ่มนั้นเป็นหญิงสาวที่งดงามราวกับเทพธิดา นางแต่งกายด้วยชุดยาวสีฟ้าอมเขียว เรียวคิ้วเข้ารูป เปล่งประกายรัศมีสง่างามและสูงส่งทำให้นางดูเหมือนกับเซียนผู้หลุดพ้น
“นั่นคือเผ่านกยูงเก้าสีที่มีสายเลือดสูงส่งในบรรดาเทพอสูรกลางหาวซึ่งไม่ด้อยไปกว่าเผ่าหงส์ฟ้าเลย” จิ่วโยวอธิบายเพิ่มเติม
มู่เฉินพยักหน้า สายเลือดนกยูงเก้าสีทรงพลังและไม่ด้อยไปกว่าเผ่าหงส์ฟ้าเลย เพียงแต่ว่าชื่อเสียงของพวกเขาน้อยกว่าเผ่าหงส์ฟ้าอยู่เล็กน้อย
“กลุ่มฝั่งนู้นน่าจะเป็นเผ่าวานรทะลุฟ้า” มู่เฉินมองไปอีกทางหนึ่ง ก็เห็นร่างเงาสามร่างบนก้อนหิน ทั้งสามคนมีรูปร่างผอมบาง แต่ละคนถือไม้พลอง ดูธรรมดาอย่างยิ่ง แต่มู่เฉินกลับรู้สึกถึงรัศมีคุกคามที่มาจากพวกเขา
เผ่าวานรทะลุฟ้าก็เป็นเผ่าเทพอสูรที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของโลกสัตว์อสูร
“ยังมี…เผ่าคุนเผิง”
สายตาของมู่เฉินเลื่อนไปทางขวาก็เห็นร่างหลายร่าง พวกเขามีท่าทางขี้เกียจ แต่เมื่อสายตากวาดผ่านคนอื่นๆ ก็สามารถรู้สึกถึงความคมชัดที่น่ากลัวภายใต้ท่าทางขี้เกียจนั้น
เผ่าคุนเผิงก็เป็นเผ่าเทพอสูรระดับตันที่มีสายเลือดทรงพลัง ความเร็วของพวกเขาคือสิ่งที่ไม่มีใครเทียบได้
ท่ามกลางสมาชิกเผ่าคุนเผิง สายตามู่เฉินหยุดอยู่ที่ด้านหน้าสุด ซึ่งมีผู้ชายหลับตานั่งอยู่ เขามีผมสีเงินยวง เมื่อเทียบกับพรรคพวกเหมือนขาดความเฉียบคมไปเล็กน้อย แต่จากประสาทสัมผัสยอดเยี่ยมที่มี มู่เฉินรู้สึกได้ว่าคนคนนี้ยากหยั่งถึงมากที่สุดในกลุ่มของเผ่าคุนเผิง
“ส่วนตรงนั้นเป็นเผ่ากระเรียนฟ้า…”
“…”
มู่เฉินกวาดสายตาไป สีหน้าก็ยิ่งเคร่งเครียดมากขึ้น สุดท้ายก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้ พวกเขาเป็นอัจฉริยะฟ้าประทานอย่างแท้จริง มีความได้เปรียบทรงพลังตั้งแต่เกิด
ในบรรดากลุ่มทรงพลัง พวกเขาครอบครองตำแหน่งที่ดีที่สุด ดูเหมือนจะไม่อยากแข่งขัน แต่รัศมีครอบงำนั้นก็คุกคามคนอื่นนัก
หลังจากที่มู่เฉินถอนหายใจ ก็เลื่อนสายตาไปที่ลานหินด้านหน้าสุด แต่คราวนี้ก่อนที่สายตาจะกวาดมองไป เขาก็สังเกตได้ถึงสายตาเย็นเยือกที่ทะลุมิติยิงเข้าใส่ ทำให้บรรยากาศรอบตัวเขาเย็นลงทันที
มู่เฉินขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นมองที่ไกลก็เห็นกลุ่มของเผ่าหงส์ฟ้า ชายชุดสีฟ้ากำลังจ้องมองมาด้วยสายตาที่ราวกับใบมีด ความคมชัดในสายตาดูเหมือนต้องการมองทะลุให้ถึงแก่น
ชายสวมชุดสีฟ้าโบกพัดขนนกสีฟ้าน้ำแข็งในมือเบาๆ อากาศเย็นล้อมรอบตัวเขา ขณะที่พูดอย่างไม่แยแส ก็ทำให้อากาศเย็นเยือกกระจายออกไปทั่วบริเวณ
“แกคือคนที่สอดแนมข้าก่อนหน้านี้ใช่ไหม?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น