หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1035-1038
บทที่ 1035 ค่าชดใช้หลังพ่ายแพ้
บนพื้นดินวินาศสันตะโร
แผ่นโลกพังทลายลงเป็นชั้นพร้อมกับรอยแตกขนาดใหญ่แผ่ออกราวกับอสรพิษทำลายทั่วบริเวณนี้
และเวลานี้ที่นี่ก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ทุกคนตะลึงเมื่อมองดูร่างที่ได้รับบาดเจ็บที่ไกลออกไป
ไม่มีใครคิดว่าจิงฉิงเทียนจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้จะพ่ายแพ้ให้กับมู่เฉิน…
นั่นคือจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุด แม้จะอยู่ท่ามกลางอัจฉริยะของเผ่าเทพอสูรชั้นนำ เขาก็ได้รับการพิจารณาว่าเป็นตัวฉกาจ แต่ในตอนนี้เขาพ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเนี่ยนะ?
ไม่เพียงแต่พวกจิงเลี่ยรู้สึกว่ายากที่จะเชื่อ กระทั่งกลุ่มหานซันใบหน้ายังตกตะลึงสุดขีด
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ประเมินมู่เฉินต่ำ แต่ความคาดหวังมากที่สุดก็แค่มู่เฉินยันสถานการณ์เอาไว้ได้ แม้ว่าจะไม่สามารถเอาชนะจิงฉิงเทียน แต่ตราบใดที่เขาสามารถสำแดงพลังน่าสะพรึงกลัวกับคู่ต่อสู้ได้ เผ่าหมาป่าเวหะและเผ่าราชสีห์ทองคำก็ไม่กล้าคิดจะยึดสมบัติเอาไว้เองง่ายๆ
สำหรับการเอาชนะจิงฉิงเทียนและไล่อีกฝ่ายไป พวกเขาไม่เคยคิดเลยตั้งแต่แรก
ภายใต้แววตาสั่นคลอนเหล่านั้น มู่เฉินก็ค่อยๆ พลิ้วตัวลงมาจากท้องฟ้า ก่อนที่จะมองร่างน่าสมเพช กล่าวเสียงเบาว่า “ยังมีลมหายใจ แกล้งตายรึไง?”
ที่ไกลออกไปร่างของจิงฉิงเทียนที่นอนแข็งค้างก็ขยับ จากนั้นก็ค่อยๆ พยุงตัวอย่างช้าๆ ด้วยท่าทางน่าสมเพช ใบหน้าซีดเผือดและคลื่นหลิงรอบตัวก็ลดน้อยลง เมื่อเขามองมู่เฉินดวงตาก็มีแววขนพองสยองเกล้าพล่านอยู่
สุดท้ายเขาก็ไม่ถูกมู่เฉินสังหารเนื่องจากมีพลังกายทรงประสิทธิภาพ ทว่าเขาก็ได้รับบาดเจ็บหนัก แม้เขาจะรู้สึกว่าสภาพปัจจุบันของมู่เฉินก็ไม่ได้ดีกว่ากันเท่าไร แต่ก็ยังดีกว่าของเขามากนัก
“หึ ไม่คิดว่าครั้งนี้ข้าจิงฉิงเทียนจะตกอยู่ในสภาพนี้” จิงฉิงเทียนเช็ดรอยเลือดที่มุมปากพูดด้วยเสียงต่ำ
มู่เฉินยิ้มบางแต่ไม่มีความอบอุ่นในดวงตาเลย ตรงกันข้ามไอสังหารกลับพวยพุ่งในนัยน์ตา จิงฉิงเทียนไม่ได้ยั้งมือในกระบวนท่าก่อนหน้าเลย มิหนำซ้ำยังเต็มไปด้วยเจตนาเข่นฆ่า ดังนั้นถ้าเป็นไปได้มู่เฉินก็ไม่ต้องการปล่อยอีกฝ่ายไป
อีกมุมหนึ่งจิงเลี่ยและฮั่วหยังก็ถอยไปอย่างน่าสมเพชไปกองกันด้านข้างจิงฉิงเทียน ยามนี้ใบหน้าของพวกเขาถูกปกคลุมด้วยความกลัว ไม่มีแววคุกคามเหมือนที่เคยมีมา
พร้อมกับความพ่ายแพ้ของจิงฉิงเทียน สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
จิ่วโยว หานซัน มั่วเฟิงและคนอื่นๆ เข้ามายืนอยู่ข้างมู่เฉิน พวกจิ่วโยวยังดี แต่จอมยุทธ์จากเผ่าแรดอสูรแววตาเต็มไปด้วยความยำเกรงเมื่อมองมู่เฉิน แม้แต่หานซันที่มีทรงพลังยังรู้สึกนับถือขึ้นมา
“ต้องขอบคุณพี่มู่ในครั้งนี้” หานซันถอนหายใจ ถ้าไม่ได้มู่เฉินจัดการ ตอนนี้พวกเขาคงต้องหนีตายเหมือนหมาจรจัดจนตรอกไม่ต้องพูดถึงการได้แตะต้องอสูรโภคะเลย
“เราจะทำยังไงกับพวกมัน?” จิ่วโยวมองไปที่มู่เฉิน จากนั้นปลายหางตาก็กวาดมองไปที่กลุ่มจิงฉิงเทียน ริ้วไอสังหารกะพริบวาววับ หากเป็นไปได้นางก็สามารถลงมือฆ่าพวกมันทั้งหมดเพื่อกำจัดปัญหาในอนาคต
เมื่อรับรู้เจตนาฆ่าในดวงตาของจิ่วโยว ใบหน้าของจิงเลี่ยและคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้ คลื่นหลิงเพิ่มขึ้นรอบตัวขณะตั้งแนวป้องกันเต็มที่
“มู่เฉิน อย่าคิดว่าข้าจะยอมนอนให้แกฆ่าพวกข้า ต่อให้แกเอาชนะข้าได้!” จิงฉิงเทียนพูดเสียงต่ำลึก ความโกรธแค้นพล่านเพิ่มขึ้นในดวงตา
“ไม่งั้นล่ะ?” มู่เฉินยิ้มพรายพร้อมกับดวงตาหรี่ลงขณะถาม
เปลือกตาของจิงฉิงเทียนหลุบลงขณะเค้นเสียง “ถ้าข้าต้องเดิมพันชีวิตในการต่อสู้ แกอาจจะรอดไปได้ แต่เชื่อข้าเถอะต้องมีใครบางคนในกลุ่มแกถูกลากลงนรกไปด้วยกัน!”
ขณะที่พูดรัศมีลางร้ายก็ปรากฏขึ้น แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ให้มู่เฉิน แต่ความเหี้ยมโหดของจิงฉิงเทียนก็ยังทำให้คนอื่นรู้สึกหวาดกลัวอยู่ดี
มู่เฉินหรี่ตาลงไม่ได้สงสัยในคำพูดของจิงฉิงเทียน หากเขาต้องการจัดการคนพวกนี้ทั้งหมด แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องจ่ายราคาไม่น้อย
ด้านข้างใบหน้าของพวกหานซันก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เนื่องจากพวกเขารู้ว่าจิงฉิงเทียนมีสิทธิ์ที่จะพูดแบบนั้น บางทีเขาอาจไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้ แต่การเสี่ยงชีวิตเพื่อแลกกับหนึ่งในพวกเขาก็ไม่น่าจะลำบาก
บรรยากาศแข็งค้าง ครู่ต่อมามู่เฉินก็คลี่ยิ้ม “แกพูดถูก แต่ยากสำหรับข้าที่จะเชื่อว่าคนที่ถูกกดด้านรัศมีในตอนท้ายจะกล้าที่จะเดิมพันชีวิต”
จากการแลกกระบวนท่าเมื่อครู่ รัศมีจิงฉิงเทียนถูกปราบปรามอย่างสมบูรณ์โดยมู่เฉิน เพราะมู่เฉินเหี้ยมหาญกว่ามาก จนถึงจุดที่กล้าละทิ้งชีวิตเพื่อแลกกับเขาได้ แต่จิงฉิงเทียนไม่กล้าทุ่มเทขนาดนั้น ดังนั้นรัศมีจึงถูกกดเอาไว้ ช่องโหว่นี้ถูกตรวจจับได้โดยมู่เฉินทำให้สามารถเอาชนะได้อย่างสมบูรณ์
ดังนั้นคนอย่างจิงฉิงเทียนรักตัวกลัวตายแน่นเหนียวจนถึงแกนกระดูก เขาไม่มีความกล้าที่ใช้ชีวิตมาต่อสู้ดิ้นรน นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้มู่เฉินจึงสงสัยในการคุกคามของเขา
ใบหน้าของจิงฉิงเทียนสลับไปมาระหว่างสีเขียวและสีขาว สุดท้ายก็กัดฟันกรอด “ถ้าไม่มีทางอื่น ข้าก็ต้องเสี่ยงชีวิตของตัวเองแหละ!”
คำพูดของเขามีร่องรอยของความหดถอยบางเบา นอกจากนี้ยังเป็นการบอกกับมู่เฉินเป็นนัยว่ายอมที่จะถอยออกไป แต่ห้ามบีบเขาจนตรอก
มู่เฉินมองไปทางหานซันและจิ่วโยวเพื่อขอความคิดเห็น ทว่าทั้งสองกลับพยักหน้าบ่งบอกว่าเต็มใจที่จะทำตามการตัดสินใจของเขา
เมื่อเห็นการตอบสนองนั่น มู่เฉินก็ยิ้มบาง “ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ไขปัญหานี้ แต่สำหรับเงื่อนไข…”
“ข้อแรกพวกแกจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสมบัติของอสูรโภคะอีกต่อไป…”
ใบหน้าของพวกจิงฉิงเทียนกระตุกก่อนที่จะกลายเป็นไม่น่าดู เหตุผลหลักที่พวกเขาเข้าสู่ดินแดนเสินโซ่ก็เพื่อคว้าสมบัติอสูรโภคะ แต่ตอนนี้มู่เฉินกลับต้องการให้พวกเขาถอยออกไป การสูญเสียเช่นนี้ไม่อาจบรรยายได้
ทว่าเมื่อพวกเขาเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของมู่เฉินที่ไม่มีความอบอุ่นสักริ้ว พวกเขาก็เข้าใจว่าหากไม่เห็นด้วยกับสิ่งนี้ มู่เฉินที่ดูอ่อนโยนจะกลายเป็นยมทูตบ้าคลั่งและไร้ความปราณี จัดการพวกเขาจนเหี้ยนแน่
ดังนั้นหลังจากถกกันเป็นเวลานานจิงฉิงเทียนก็ได้แต่พยักหน้ารับด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ
ฮั่วหยังที่ยืนอยู่ด้านข้างก็รู้สึกขมฝาดในใจ เหตุผลที่เขาเลือกทำงานกับเผ่าราชสีห์ทองก็คือพวกเขามีความพร้อมมากกว่า ดังนั้นเขาคิดว่าโอกาสในการชนะจะมีมากกว่า แต่ใครจะคิดว่าหานซันจะเชิญคนอื่นมาด้วย นอกจากนี้ยังมีสัตว์ประหลาดแฝงตัวอยู่สามารถเอาชนะจอมยุทธ์แบบจิงฉิงเทียนด้วยขุมพลังที่ต่ำกว่าพวกเขาทั้งหมด นี่ทำให้เขารู้สึกขมขื่นในหัวใจ การเดิมพันของเขากลายเป็นอากาศธาตุอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้เขาจะต้องสูญเสียกระทั่งสิทธิ์ในการแข่งขันเพื่อสมบัติของอสูรโภคะ
แต่ในขณะนี้แม้แต่จิงฉิงเทียนก็ไม่กล้าที่จะท้าทายมู่เฉิน ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าแสดงความไม่พอใจออกมา ได้แต่พยักหน้าด้วยสีหน้ามืดมน
“ข้อสอง… พวกเจ้าทำให้พวกข้าสูญเสียมาก ดังนั้นพวกเจ้าต้องชดใช้ สำหรับราคานั้นก็นับตามจำนวนคนของพวกเจ้าหนึ่งล้านหยดของเหลวจื้อจุนต่อหนึ่งชีวิต” มู่เฉินยิ้มตาหยี
แม้ว่ามู่เฉินจะไม่อยากเดิมพันชีวิตกับพวกจิงฉิงเทียน แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้แบบง่ายดาย ดังนั้นอย่างน้อยคนเหล่านี้จะต้องชดใช้อะไรมั่ง ถ้าพวกเขาต้องการออกไป
ใบหน้าของพวกจิงฉิงเทียนเปลี่ยนไปทันที หนึ่งคนต่อหนึ่งล้านหยดของเหลวจื้อจุน ตอนนี้พวกเขามีแปดคนนั่นหมายถึงว่าจะต้องจ่ายของเหลวจื้อจุนแปดล้านหยดเลยรึ?
นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลย!
“มู่เฉินอย่าให้มากเกินไป!” สายตาของจิงฉิงเทียนกลายเป็นมืดครึ้มขณะคำราม
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนั่น รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายวับ แววเยือกเย็นปรากฏในดวงตา มิติด้านหลังก็บิดเบี้ยว จุดจื้อจุนไห่ปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆ พร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังเปล่งรัศมีออกมา
“ถ้าแกคิดว่าชีวิตที่มีไม่คุ้มค่ากับแปดล้านหยดของเหลวจื้อจุนก็เปิดศึกมรณะกันเลย” เสียงเย็นเยือกของมู่เฉินดังก้อง ความผันผวนของพลังงานหลิงรุนแรงขึ้น
จิงฉิงเทียนมองสายตาเย็นเยือกของมู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะหนาวสะท้านในใจ จากนั้นใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยว เขากำหมัดแน่น คลื่นหลิงในร่างกายก็พวยพุ่ง
แต่เผชิญหน้ากับจิงฉิงเทียนแบบนี้ สีหน้าของมู่เฉินก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย ไอสังหารในดวงตาเข้มข้นขึ้น ปะทะกับสายตาดุดันของจิงฉิงเทียน เขาไม่คิดถอยสักก้าว ราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจว่าอีกฝ่ายจะถูกผลักจนเข้ามุมอับหรือไม่
ทั้งสองจ้องกันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ทำให้มิติถึงกับบิดเบือน
แต่การเผชิญหน้าครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นนานนัก ภายใต้สายตาคมกริบของมู่เฉิน สายตาดุดันของจิงฉิงเทียนก็อ่อนลง สุดท้ายเขาก็ต้องสูดหายใจลึกด้วยสีหน้าสลับไปมาระหว่างสีเขียวและสีขาว ก่อนที่จะกัดฟันตอบ “ได้ พวกข้าจะจ่าย!”
พอได้ยินคำพูดนี่ สายตาเย็นเยือกของมู่เฉินก็วับหายไป รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาอีกครั้ง “พี่จิงมองภาพใหญ่ อนาคตของเจ้าไม่ธรรมดา จะมาละทิ้งชีวิตเพื่อของเหลวจื้อจุนแปดล้านหยดได้อย่างไร?”
ทว่ารับฟังคำชื่นชมของมู่เฉินหัวใจของจิงฉิงเทียนกลับเดือดปุด แต่เขาก็ไม่กล้าเสี่ยงชีวิต จึงได้แต่เค้นเสียงเย็นเยือกก่อนที่จะจ้องมองไปยังฮั่วหยัง “ถ้าเจ้าต้องการมีชีวิตก็ส่งของเหลวจื้อจุนมาให้ห้าล้านหยด”
ใบหน้าของฮั่วหยังเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยิน เผ่าหมาป่าเวหะเหลือเพียงสามคน คำนวณตัวเลขเขาต้องการส่งของเหลวจื้อจุนแค่สามล้านหยด แต่ตอนนี้จิงฉิงเทียนกลับให้เขาจ่ายของเหลวจื้อจุนถึงห้าล้านหยด นี่ขูดเลือดพวกเขาชัดๆ
“ทำไม? ไม่ยอมเหรอ?”
จิงฉิงเทียนกำลังแค้นมู่เฉินเต็มหัวใจ เมื่อเห็นการตอบสนองของฮั่วหยัง ใบหน้าก็เย็นชาลง จิตสังหารหนาแน่นแพร่กระจายในเสียงของเขา
เมื่อฮั่วหยังเห็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวของจิงฉิงเทียน หัวใจก็สั่นเทาพร้อมกับใบหน้าเปลี่ยนแปรตลอดเวลา ท้ายที่สุดเขาทำได้เพียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก่อนรวบรวมของเหลวล้ำค่าจากพรรคพวกส่งให้จิงฉิงเทียน
แต่ขณะที่เขาส่งของเหลวจื้อจุนให้ไป ส่วนลึกในดวงตาของฮั่วหยังก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้น เขาไม่พอใจอย่างมากในหัวใจ
จิงฉิงเทียนขี้เกียจใส่ใจความคิดของฮั่วหยัง หลังจากได้รับของเหลวจื้อจุนห้าล้านหยด เขาก็เทกระเป๋าตัวเองก่อนที่จะรวบรวมให้ครบแปดล้านหยด
มือของจิงฉิงเทียนสั่นเทิ้มขณะที่ถือขวดหยกที่บรรจุของเหลวจื้อจุนถึงแปดล้านหยด ตอนนี้ขนาดคนนิสัยอย่างเขายังอดแสดงสีหน้าเจ็บใจไม่ได้ สุดท้ายเขาก็โยนขวดหยกนั้นไปให้มู่เฉิน
“เอาไป!”
บทที่ 1036 ทะเลสาบตัวเป่า
ขวดหยกล้ำค่าถูกส่งมาก่อนที่จะลอยอยู่เบื้องหน้า
มู่เฉินเพียงกวาดสายตามองคร่าวๆ ก็เก็บไว้ รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้นที่มุมปาก
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถทำให้กลุ่มจิงฉิงเทียนตายอยู่ที่นี่ได้ทั้งหมด แต่ของเหลวจื้อจุนแปดล้านหยดก็ถือเป็นการเก็บเกี่ยวที่ดี ถ้าเขาใช้ของเหลวเหล่านี้ในการฝึกฝนน่าจะสามารถทำให้การเพาะบ่มด้านขุมพลังหลิงของเขาเพิ่มขึ้นไปจนถึงระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุดได้
“พี่จิงเป็นคนใจกว้างจริงๆ… ในเมื่อเป็นอย่างนี้ก็เชิญทุกคนจากไปเถอะ” หลังจากเก็บขวดหยกแล้ว มู่เฉินก็มองไปที่กลุ่มจิงฉิงเทียนด้วยดวงตาที่หรี่ลงพร้อมกับรอยยิ้ม
ใบหน้าของกลุ่มจิงฉิงเทียนมืดครึ้ม พวกเขากวาดมองไปในระยะไกลก็ต้องปวดร้าว ที่นั่นเป็นเขตที่อสูรโบราณโภคะตาย ดังนั้นจะต้องมีสมบัติที่น่าสนใจรออยู่แน่ แต่ตอนนี้พวกเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้สัมผัสกับสมบัติเหล่านั้นอีกต่อไป
ภายใต้สถานการณ์ที่จิงฉิงเทียนได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นโชคดีเท่าไรแล้วที่พวกเขาสามารถเอาชีวิตออกไปจากที่นี่ได้ ถ้าพวกเขาคิดอยากจะแย่งชิงสมบัติอีก ก็ไม่มีพลังพอที่จะกระทำแล้ว
“ไป!”
จิงฉิงเทียนเป็นคนเด็ดขาด เมื่อรู้แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ เขาก็ไม่ดิ้นรนอีก เพียงแค่สาดสายตาเกลียดชังไปที่มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังจากไปพร้อมกับขบฟันกรอด
ที่ข้างหลังจิงเลี่ยและคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าเขียวคล้ำความไม่เต็มใจอัดแน่นบนใบหน้าขณะที่ตามออกไป เรื่องวันนี้เป็นความอัปยศของพวกเขา ตอนแรกคิดว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้ แต่สุดท้ายโดนมนุษย์ที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกกลับล้มโต๊ะเสียได้
ทว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นไปแล้ว ไม่มีประโยชน์ต่อให้คิดให้มาก ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ตามหลังจิงฉิงเทียนที่ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น ก่อนที่จะออกจากพื้นที่ส่วนนี้ไป
เมื่อคนอีกกลุ่มจากไป มู่เฉินก็ค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย ก่อนหน้านี้เขากังวลอย่างแท้จริงว่าอีกฝ่ายอาจจะสู้หลังชนฝา หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับแน่
“จิงฉิงเทียนเป็นตัวปัญหาอย่างแท้จริง…” จิ่วโยวถอนสายตาขณะถอนหายใจ ในการต่อสู้เมื่อครู่แม้แต่มู่เฉินก็ได้แต่พึงรัศมีในการปราบปรามจนหาช่องโหว่เจอและใช้โอกาสโจมตีเอาชนะอีกฝ่าย
มู่เฉินพยักหน้ารับรู้ความรู้สึกเช่นนี้ในเวลาเดียวกัน จิงฉิงเทียนเป็นคู่ต่อสู้ที่ยากต่อกรแท้จริง แต่เขาไม่ได้กังวลเป็นพิเศษ เพราะเขาไม่เคยให้ความสำคัญกับคนที่พ่ายแพ้ในมือเขา
ในเมื่อเขาเอาชนะจิงฉิงเทียนครั้งแรกได้ เขาก็สามารถทำเช่นนั้นได้อีกเป็นครั้งที่สอง
ไม่ใช่เพราะเขายโส แต่เป็นความมั่นใจในตนเองที่เกิดจากหัวใจ ยอดยุทธ์ที่แท้จริงไม่เกรงกลัวทุกอย่างในอดีต
แม้ว่าจิงฉิงเทียนจะเป็นอัจฉริยะ แต่คนอย่างมู่เฉินก็ไม่กลัว นั่นเป็นเพราะเขาเชื่อว่าในอนาคตตัวเขาจะแข็งแกร่งกว่าอีกฝ่ายมาก
พลังกายของเขาเพิ่งจะบุกทะลวงไปถึงคัมภีร์หลงเฟิ่งขั้นสอง สำหรับพลังในขั้นสองตอนนี้เขาสัมผัสถึงเล็กน้อยเท่านั้น ต่อไปในอนาคตทักษะนี้จะต้องเติบโตอย่างน่าอัศจรรย์แน่นอน
นอกจากนี้พัฒนาการทางด้านขุมพลังหลิงของมู่เฉินก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทุกๆ ครั้งที่เกิดการต่อสู้ เมื่อไรที่เขาบุกเข้าไปในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด การเอาชนะจิงฉิงเทียนก็ง่ายเพียงพลิกมือเท่านั้น
ยิ่งกว่านั้นเขายังมีค่ายกล… และหมัดปีศาจพลีชีพซึ่งเข้าใจลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ…แน่นอนว่าไพ่ตายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาก็คือการเป็นจั้นเจิ้นซือ แต่สิ่งนี้ต้องการการสนับสนุนจากกองทัพ เมื่อเงื่อนไขทั้งหมดครบถ้วน เขาจะสามารถต่อสู้กับศัตรูที่มีขุมพลังต่ำกว่าระดับตี้จื้อจุนได้ทั้งหมด
ด้วยรากฐานที่ทรงพลัง เขาไม่คิดว่าจิงฉิงเทียนเป็นภัยคุกคามใด
“การตัดสินใจที่ชาญฉลาดที่สุดที่ข้าได้ทำในดินแดนเสินโซ่ก็คือร่วมมือกับพี่มู่” ที่ด้านข้างหานซันก็รำพึงแฝงด้วยความรู้สึกผิดบางอย่าง “ตลอดทางพี่มู่ออกแรงมากสุด พวกเรานี่รอเก็บเกี่ยวอย่างเดียวเลยจริงๆ”
ก็เป็นเรื่องจริงที่อันตรายส่วนใหญ่ตลอดทางถูกจัดการโดยฝีมือของมู่เฉินซึ่งพึ่งพาพลังแห่งตน หากไม่ใช่มู่เฉิน พวกเขาคงต้องหนีไปนานแล้ว
มู่เฉินยิ้มพลางไตร่ตรองก่อนที่จะดึงของเหลวจื้อจุนแปดล้านหยดออกมาด้วยความตั้งใจที่จะแบ่งให้ทุกคน ทว่าไม่เพียงแต่หานซันจะปฏิเสธ แม้แต่จิ่วโยวก็ส่ายหัว
ของเหลวจื้อจุนที่มู่เฉินได้มาจากในเจดีย์ฝึกพลังกายพวกนางยังรับไว้ได้ เพราะทั้งสองถือว่าได้เสียสละตำแหน่งให้ แต่ครั้งนี้มู่เฉินได้รับของมาด้วยการลุยเดี่ยว พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ได้ช่วยเท่านั้น แต่ยังรอดตายจากฝีมือของมู่เฉิน ดังนั้นพวกเขาไม่อาจยอมรับได้
เมื่อเห็นพรรคพวกปฏิเสธอย่างจริงจัง มู่เฉินก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเก็บของเหลวจื้อจุนกลับไป นั่นเป็นเพราะเขาตัดสินใจที่จะมุ่งเน้นพัฒนาขุมพลังหลิงของตนเองในช่วงเวลาต่อไป สำหรับของเหลวเหล่านี้จะเป็นประโยชน์มหาศาลต่อการเพราะบ่มของเขา
“ไปหาอสูรโภคะกันเถอะ ถ้ากลุ่มจิงฉิงเทียนไม่ยอมเลิกราแล้วย้อนกลับมาครั้งนี้มีปัญหาแน่” หานซันแนะนำ
พอได้ยินคำพูดนี่ หัวใจของทุกคนก็สั่นไหว พวกเขามาไกลขนาดนี้อย่างยากลำบากก็เพื่อสมบัติของอสูรโบราณโภคะไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้พวกเขาผ่านด่านทุกประเภทมาแล้ว ก็ควรถึงเวลาที่พวกเขาจะเพลินเพลินกับสมบัติมั่งแล้วใช่ไหม?
พอคิดถึงเรื่องนี้ดวงตาของมู่เฉินก็เริ่มร้อนแรงขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขามีความคาดหวังอย่างมากต่อสมบัติของอสูรโบราณโภคะ ไม่รู้ว่าจะมีอาวุธเสมือนมหสวรรค์อยู่จริงหรือไม่ ถ้ามีพวกเขาก็ถือว่าได้กำไรมหาศาลกับการมาครั้งนี้เลยทีเดียว
นั่นไม่ใช่สิ่งที่ของเหลวจื้อจุนหลายล้านหยดจะเทียบได้
“ไป!”
เมื่อหานซันเห็นทุกคนตื่นเต้นก็ยกยิ้มแล้วทะยานนำไป เข้าไปในส่วนลึกของป่ามืดมิด
พอทุกคนเห็นก็ติดตามไปในทันที
ทั้งกลุ่มเหาะเหิน บางทีอาจเป็นเพราะคลื่นอสูรวิญญาณก่อนหน้า ทำให้ตลอดทางราบรื่นยิ่ง แม้จะมีอสูรวิญญาณปรากฏขึ้นบ้างก็มีจำนวนไม่มากนัก ซึ่งถูกจัดการโดยพวกมู่เฉินอย่างง่ายดาย
หลังจากที่พวกเขาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดหานซันซึ่งเป็นผู้นำทางก็ลดความเร็วลงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นั่นเป็นเพราะรัศมีความตายรอบตัวหนาแน่นจนเป็นสีดำแล้ว
รัศมีความตายน่าขนลุกอย่างยิ่ง แม้แต่เปลวไฟสีขาวนวลบนไหล่พวกเขาก็อ่อนกำลังลงอย่างมาก รัศมีความตายนี้ ทำให้การไหลเวียนคลื่นหลิงในร่างกายช้าลงอย่างมาก
รัศมีความตายที่นี่น่าสะพรึงยิ่งนัก
เมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีความตายที่หนาแน่น ทุกคนก็ตั้งระวังขึ้น รัศมีที่เข้มข้นเช่นนี้แปลว่าจะต้องมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังละสังขารอยู่ที่นี่ เมื่อร่างกายของมันเน่าเปื่อยสลายไปทีละน้อย ถึงจะสร้างรัศมีความตายหนาแน่นเช่นนี้ออกมาได้
นอกเหนือจากอสูรโบราณโภคะที่ตายแล้ว จะมีอะไรที่สามารถสร้างรัศมีความตายเช่นนี้ได้อีก?
นั่นก็หมายความว่าพวกเขากำลังเข้าใกล้สุสานของอสูรโบราณโภคะแล้ว
ทุกคนเดินทางอย่างระมัดระวังผ่านรัศมีความตาย ไม่กี่นาทีต่อมาความมืดเบื้องหน้าสายตาก็เปลี่ยนเป็นแสงสว่างจ้า รัศมีความตายที่หนาแน่นแสดงสัญญาณจางหาย
ทุกคนหยุดมองด้วยความอัศจรรย์ใจต่อภาพเบื้องหน้า
ในส่วนลึกของป่าซึ่งปกคลุมไปด้วยกลิ่นเน่าเสียและรัศมีความตาย มีทะเลสาบใสกระจ่างที่สามารถมองเห็นความลึกได้ ทะเลสาบนี้มีขนาดใหญ่มากจนมองไม่เห็นจุดจบ
ทะเลสาบโปร่งใส ไม่เพียงแต่จะไม่มีการปนเปื้อนจากรัศมีความตาย กลับยังมีประกายระยิบระยับโอบฉุดรั้งรัศมีที่อยู่รอบข้างเอาไว้
ราวกับมีเจตนาทรงพลังเลือนรางหลงเหลืออยู่เพื่อปกป้องพื้นที่บริเวณแห่งนี้
“นี่คือสถานที่ที่อสูรโภคะละสังขาร เราเรียกว่าทะเลสาบตัวเป่า” หานซันมองไปที่ทะเลสาบเปล่งประกายด้วยแววตาร้อนระอุขณะพูด
“ทะเลสาบตัวเป่ารึ?”
มู่เฉินก็ประหลาดใจขณะที่สำรวจทะเลสาบแห่งนี้ เขาพยายามมองผ่านน้ำในทะเลสาบ แต่ก็ต้องตกตะลึงไปเมื่อตระหนักได้ว่าไม่ว่าทะเลสาบจะใสกระจ่างขนาดไหน ก็ไม่สามารถมองเห็นก้นได้
ดูเหมือนจะมีพลังพิเศษขัดขวางการรับรู้ของโลกภายนอก
หานซันพยักหน้าก่อนที่จะโบกแขนเสื้อ คลื่นหลิงไหลเข้าสู่ทะเลสาบ ทันใดนั้นพายุก็พัดปกคลุมพื้นผิวของทะเลสาบทันที ยกตัวเป็นคลื่นขนาดใหญ่
เมื่อคลื่นยักษ์กลิ้งไปมา ดวงตาของคนอื่นๆ ก็ต้องหดเกร็ง
นั่นเป็นเพราะพวกเขาเห็นว่าเมื่อคลื่นยักษ์ถูกยกขึ้นก็มีชิ้นกระดูกสีขาวระยิบระยับราวกับเงาสีขาวถูกเปิดเผยออกมาในทะเลสาบ กระดูกสีขาวนั่นทำให้พวกเขารู้สึกตกใจ เพียงแค่การเปิดเผยเพียงเล็กน้อยก็มีขนาดประมาณพันจั้งแล้ว ยากที่จะจินตนาการได้ว่าขนาดของร่างกายจะใหญ่แค่ไหน
“นั่นคือกระดูกของอสูรโภคะ…”
หานซันมองไปที่กระดูกสีขาวที่ถูกเปิดเผยเล็กน้อยก็พูดออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เราควรทำอะไรต่อ?” จิ่วโยวเอ่ยถาม
“แม้ว่าน้ำในทะเลสาบจะดูกระจ่างใส แต่ก็อัดแน่นด้วยปณิธานของอสูรโภคะเมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ เมื่อไรที่มันสัมผัสร่างกายก็จะกลืนกินคลื่นหลิงของเจ้า ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเข้าไป” หานซันกล่าว
“งั้นเราจะเอาสมบัติออกมาได้ยังไง?” มั่วเฟิงถามด้วยความสงสัย
“พวกเราจะสร้างพายุเฮอริเคนด้วยคลื่นหลิง ซึ่งจะยกคลื่นเผยกระดูกนั่นออกมา ตราบใดที่เราสามารถสัมผัสกับกระดูกได้ เราก็จะสามารถใช้คลื่นจิตควบคุมกระดูกเป็นสื่อกลางในการรับรู้ถึงสมบัติที่อยู่ภายใน… แน่นอนว่าก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาแต่ละคนว่าจะสัมผัสวัตถุทรงพลังอย่างอาวุธเสมือนมหสวรรค์ได้หรือไม่” หานซันกล่าว
เมื่อทุกคนได้ยินก็เข้าใจ ที่แท้ต้องทำเช่นนี้ถึงจะคว้าสมบัติมาได้
มู่เฉินจ้องมองทะเลสาบ แม้ว่าผิวน้ำจะต้านทานประสาทสัมผัส แต่เขาก็ยังรับรู้ได้ถึงความผันผวนที่ทรงพลังและลึกล้ำภายในส่วนลึกของทะเลสาบนี้
นั่นไม่ใช่การดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต แต่เป็นความผันผวนของสิ่งที่คล้ายกับอาวุธมหสวรรค์!
ในส่วนลึกของทะเลสาบจะต้องมีอาวุธเสมือนมหสวรรค์อยู่แน่นอน
ดวงตาของมู่เฉินลุกโชน แต่จะสามารถสัมผัสถึงอาวุธเสมือนมหสวรรค์และทำให้มันออกมาได้หรือไม่ก็คงต้องดูที่โชคชะตาแต่ละคนแล้ว
หวังว่าครั้งนี้จะไม่ได้มาที่นี่อย่างเปล่าประโยชน์
มิฉะนั้นคงน่าผิดหวังมาก ถ้าไม่สามารถคว้าอาวุธเสมือนมหสวรรค์ หลังจากผ่านการเดินทางยากลำบากเช่นนี้
บทที่ 1037 คว้าสมบัติ
ทะเลสาบเป็นประกายแวววาว
ดวงตาของมู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ลุกโชนขณะยืนอยู่ริมทะเลสาบ สายตาจดจ้องไปราวกับว่าต้องการมองให้ทะลุเพื่อค้นหาสมบัติที่อยู่ภายใน
“เตรียมลงมือกันเถอะ” หานซันเลียริมฝีปาก ตลอดการเดินทางที่ยากลำบาก ในที่สุดพวกเขาก็บรรลุเป้าหมาย ตอนนี้ถึงเวลาเก็บเกี่ยวบ้างแล้ว
เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินก็พยักหน้า เห็นได้ชัดว่าแต่ละคนร้อนรุ่มไปหมดแล้ว
“พยายามอย่าให้โดนน้ำในทะเลสาบ ให้โชคชะตานำพาสมบัติที่จะได้ครอบครอง” หานซันยิ้ม จากนั้นก็พุ่งออกไปเป็นคนแรก เมื่อเขาสะบัดแขนเสื้อ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็สร้างกระแสคลื่นเชี่ยวกราก ครั้นคลื่นพวยพุ่งก็เผยให้เห็นกระดูกสีขาวขนาดมหึมาในทะเลสาบ
หานซันมองหาจุดลง ภาพเงาวูบไหวจากนั้นก็ปรากฏบนกระดูกสีขาวและนั่งลง คลื่นหลิงสร้างพายุเฮอริเคนล้อมรอบตัวปกป้อง ไม่ว่าน้ำในทะเลสาบจะเกรี้ยวกราดอย่างไร ก็ไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้
เมื่อจอมยุทธ์ทั้งสามของเผ่าแรดอสูรเห็นภาพนี้ พวกเขาก็ทะยานออกไป แต่ละคนค้นหากระดูกสีขาวที่โผล่ขึ้นมาจากน้ำในทะเลสาบและนั่งลง
“เราก็เริ่มกันมั่งเถอะ”
มู่เฉินพยักหน้าไปทางจิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิง เขาไม่ลังเลอีกต่อไป ร่างขยับก่อนที่จะไปปรากฏเหนือทะเลสาบ เมื่อก้มมองลงไปก็เห็นกระดูกขนาดใหญ่เลือนรางยากจะบรรยายอยู่ภายใน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนับหมื่นปี แต่ก็ยังคงเปล่งความลึกลับที่จะทำให้คนอื่นรู้สึกกลัว
มู่เฉินพึมพำในใจจากนั้นร่างก็พลิ้วลงมาบนกระดูกสีขาวก่อนจะนั่งลง ทันใดนั้นความเย็นเยือกผิดปกติก็พล่านออกมา ทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน
“ให้ข้าลองหน่อยว่าจะได้รับสมบัติชิ้นไหนบ้าง” มู่เฉินพึมพำกับตัวเองขณะหลับตาลง คลื่นจิตของเขาเคลื่อนไปยังกระดูกขาวอย่างเงียบๆ โดยใช้สิ่งนี้เป็นสื่อกลางทอดยาวลงไปในทะเลสาบ
เมื่อคลื่นจิตเข้าสู่ทะเลสาบ มู่เฉินก็รู้สึกถึงแรงกดดันทรงพลังโอบล้อมมาจากทุกทิศทาง ภายใต้แรงกดดันนี้ ประสาทสัมผัสของเขาที่ยอดเยี่ยมก็ช้าลงมาก นอกจากนี้ระยะการรับรู้ของเขาก็ลดลงเกือบเก้าส่วน
“ไม่ง่ายอย่างที่ข้าคิดไว้เลย” มู่เฉินถอนหายใจในใจ เขารู้อยู่แล้วว่าคงไม่ราบรื่นนักที่จะได้รับสมบัติซึ่งพิสูจน์ได้ในขณะนี้แล้ว ด้วยการยับยั้งของน้ำในทะเลสาบก็ยากมากสำหรับพวกเขาที่จะได้สัมผัสกับสมบัติที่นี่
แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างมู่เฉินจะยอมแพ้ ดังนั้นเขาจึงสงบใจลงค้นหาสมบัติต่อไป นั่นเป็นเพราะถ้าเขาหมดความอดทน เขาต้องกลับมามือเปล่าแน่
ในทะเลสาบเย็นเยือก คลื่นจิตของมู่เฉินก็เคลื่อนผ่านกระดูก เวลานี้เองที่มู่เฉินรู้ว่ากระดูกมีขนาดใหญ่โตเพียงใด จากการประเมินของเขาอสูรโบราณโภคะคงมีขนาดใหญ่เป็นแสนจั้ง
ยิ่งกว่านั้นกระทั่งมันตายไปนับหมื่นปี กระดูกก็ยังแข็งแรงราวกับเหล็กกล้า แม้ว่าพลังกายของมู่เฉินจะทรงพลังแต่ก็ยังด้อยกว่ามากเมื่อเทียบกัน
ถ้าไม่ใช่ความจริงที่ไม่สามารถขนย้ายกระดูก เพียงแค่โครงกระดูกนี้ก็สามารถปรับแต่งอาวุธเทพได้จำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว
คลื่นจิตจมลงไป มู่เฉินก็อุทานตามหลายครั้ง ตอนที่อสูรดบราณโภคะยังมีชีวิตอยู่ คงไม่ด้อยกว่าราชันสงครามโลหิตเลย แต่การดำรงอยู่เช่นนี้ก็ยังตายตกไปเมื่อดินแดนเสินโซ่ถูกทำลายล้าง ยากที่จะจินตนาการว่าเผ่าปีศาจต่างมิติน่ากลัวแค่ไหน
เวลาผ่านไปมู่เฉินก็ยังคงค้นหาต่อ ก่อนที่จะรู้ตัวคลื่นจิตของมู่เฉินก็แพร่กระจายไปทั่วโครงกระดูกเป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกช่วยไม่ได้ก็คือในครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาคลื่นจิตของเขาเดินทางไปได้เพียงระยะหนึ่งพันจั้งเท่านั้น ช่างขี้ปะติ๋วเมื่อเทียบกับโครงกระดูกที่มีขนาดแสนจั้ง
นอกจากนี้ตลอดทางมู่เฉินก็ไม่รู้สึกถึงความผันผวนของสมบัติเลย หากไม่ใช่เพราะไว้ใจหานซันและรู้ว่าโครงกระดูกเบื้องหน้าไม่ธรรมดาละก็ เขาอาจสงสัยว่าค้นพบเป้าหมายผิดไปหรือเปล่า
ทว่าความสงสัยของมู่เฉินก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่อคลื่นจิตสัมผัสลึกเข้าไป ทันใดนั้นเขาก็พบความผันผวนแปลกประหลาดมาจากส่วนหนึ่งของโครงกระดูกเบื้องหน้า
เมื่อสัมผัสได้ถึงความผันผวน มู่เฉินก็รู้สึกยินดีในหัวใจและรีบส่งคลื่นจิตเข้าไป จากนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงมีดสั้นสีเทาลอยอยู่เบื้องหน้าอย่างเงียบๆ อาวุธนี้ถูกสลักด้วยลวดลายโบราณบนพื้นผิว แสงสีม่วงที่แล่นแปลบปลาบบนใบมีดกำจายความรู้สึกคมชัด ซึ่งทำเอารู้สึกเย็นเยือก
มีดสั้นนี้เป็นอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยม
มู่เฉินเดาะลิ้น อาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมเจอได้ง่ายเชียว นี่เป็นสิ่งที่แม้จะอยู่ในมือจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดก็เป็นศาตราวุธที่น่าเกรงขาม
คลื่นจิตของมู่เฉินหยุดลงชั่วคราวขณะที่ลอยอยู่เบื้องหน้ามีดสั้น เขาลังเลเล็กน้อยพลางพิจารณาว่าควรนำออกไปหรือไม่ หากอาวุธพบสวรรค์ชิ้นนี้ถูกนำขึ้นในการประมูล ก็อาจจะขายได้ในราคาของเหลวจื้อจุนหลายแสนหยด
เขาลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะดึงคลื่นจิตออกไป แล้วขยับลึกลงไปเรื่อยๆ ละความสนใจจากอาวุธชิ้นนี้
แม้ว่าราคาของอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมจะไม่ต่ำ แต่ก็ไม่ใช่เป้าหมายของเขา อาวุธระดับดังกล่าวยังไม่เพียงพอที่จะสั่นคลอนหัวใจของเขา
ในเมื่อยังไม่ใช่วัตถุที่สามารถสั่นคลอนหัวใจได้ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลา เขาต้องการไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เท่านั้น
ถ้าเขาเจออะไรก็เอาหมด สุดท้ายอาจกลับไปมือเปล่า ต่อให้ได้เก็บเกี่ยวก็ไม่ถึงระดับที่คาดไว้แน่นอน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะไปทำให้เสียเวลาทำไม
เมื่อคิดถึงจุดนี้ คลื่นจิตของมู่เฉินก็เริ่มหยั่งลึกลงไปในโครงกระดูก เมื่อคลื่นจิตดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ เขาก็ต้องตกใจเมื่อค้นพบสมบัติทรงพลังตลอดทาง
วัตถุเหล่านี้ไม่ได้ด้อยกว่าอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยม บางชิ้นเป็นหนึ่งในอันดับต้นเลยก็ว่าได้ ซึ่งทรงพลังมากจนแม้แต่มู่เฉินก็ตกใจ
อาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมวาบผ่านคลื่นจิตของมู่เฉินไปชิ้นแล้วชิ้นเล่า ในสถานการณ์ที่สามารถคว้าอาวุธพบสวรรค์ทรงคุณค่าได้เพียงเอื้อมมือ ความละโมบก็เกิดขึ้นได้ง่าย
กระทั่งคนอย่างมู่เฉินก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่เมื่อความโลภในใจเพิ่มพูนขึ้น เขาก็รู้สึกตื่นตัวและรับรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเป็นครั้งแรก
มู่เฉินอธิบายไม่ได้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไร แต่สัญชาตญาณบอกว่าถ้าเขาคว้าอาวุธเหล่านั้นมา เขาจะต้องเสียใจมาก
ความคิดไหลเวียนอยู่ในใจ สุดท้ายมู่เฉินก็ยึดมั่นหัวใจเอาไว้ หากเขาไม่สามารถได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์ใดๆ เขายอมกลับไปมือเปล่า!
ทันทีที่มู่เฉินยึดมั่นในหัวใจ เขาก็ต้องตกใจ เนื่องจากรับรู้ว่าอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมเหล่านั้นได้หายวับไปกับตา ราวกับว่าไม่เคยมีตัวตนมาก่อน
“แปลกประหลาดจริงๆ” หัวใจของมู่เฉินตื่นตัวมากขึ้น สมบัติของอสูรโบราณโภคะไม่ง่ายที่จะได้รับอย่างที่คิดไว้ เหตุการณ์แปลกประหลาดเหล่านี้จะต้องเป็นแผนของเจ้าอสูรตัวนี้แน่
หากเขาคว้าอาวุธเหล่านั้นไว้ ต่อให้มู่เฉินไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เขามั่นใจว่าจะไม่ได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์ที่ต้องการอย่างแน่นอน
ด้วยความตื่นตัวคลื่นจิตของมู่เฉินก็ดำดิ่งลึกลงไปในกระดูก แต่ขณะที่คลื่นจิตเพิ่งจะเคลื่อนไหว โครงกระดูกเบื้องหน้าก็หายไป น้ำทะเลสาบโดยรอบกลายเป็นความมืดมิด ราวกับว่าตัวเขาถูกดึงเข้าไปในมิติอื่น
คลื่นจิตของมู่เฉินอยู่ในความมืด แต่เขาไม่ได้ตื่นตระหนก นั่นเป็นเพราะไม่รู้สึกถึงอันตรายใดๆ ดังนั้นจึงรออยู่เงียบๆ เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าตอนที่อสูรโบราณโภคะทิ้งร่างไว้ที่นี่ จะต้องทิ้งวิธีบางอย่างไว้เบื้องหลังเพื่อป้องกันไม่ให้สมบัติถูกยึดครองโดยคนโลภมาก ดังนั้นสิ่งที่เขาเห็นมาก่อนหน้านี้อาจจะเป็นการทดสอบ
ฮึ่ม!
ทันใดนั้นแสงสว่างก็กำจายในความมืด กระแสน้ำใหญ่โตมโหฬารส่งเสียงดังก้อง ยามนี้อาวุธเทพล้ำค่ามากมายกำลังเริงระบำอยู่ในกระแสน้ำ ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงประสิทธิภาพถูกปลดปล่อยออกมาจากพวกมัน
มู่เฉินขานรับความรู้สึกก็สูดอากาศเย็นเข้าไปในหัวใจ นั่นเป็นเพราะเขาพบว่าในกระแสน้ำมีอาวุธพบสวรรค์นับพันนับหมื่นชิ้น
“สมกับเป็นอสูรโภคะ…”
มู่เฉินอุทาน คุณภาพของอาวุธพบสวรรค์เหล่านี้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว หากนำทั้งหมดไปประมูลในมหาพันภพ ราคารวมคงยากที่จะจินตนาการ ปริมาณของเหลวจื้อจุนอาจเพียงพอสนับสนุนจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหนึ่งทะยานไปถึงขั้นเก้าเลยทีเดียว
มู่เฉินจ้องมองสายธารอาวุธเทพ จากนั้นดวงตาก็หดเกร็ง เขาจดจ่ออยู่ที่ตรงกลางของสายธาร ก็เห็นลูกแสงสามลูกลอยอยู่ ทุกลูกทรงพลังจนถึงขั้นที่มู่เฉินรู้สึกกดดันจากความผันผวนที่เปล่งออกมา
โดยรอบมีอาวุธพบสวรรค์นับหมื่นเกี่ยวพันล้อมรอบลูกแสงทั้งสาม ราวกับว่าเป็นคนรับใช้ที่ปกปักเจ้านาย
มู่เฉินอึ้งไปขณะมองลูกแสงทั้งสาม จากนั้นหัวใจของเขาก็ร้อนวูบวาบกระทั่งการเต้นของหัวใจก็เพิ่มขึ้น เขาจ้องไปที่ลูกแสงทั้งสามด้วยสายตาร้อนแรง ความผันผวนทรงพลังนั้นเกินขอบเขตของอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมไปมาก!
เทียบกับอาวุธที่เขาพบมาก่อนหน้าก็ประหนึ่งหิ่งห้อยกับดวงจันทร์!
อาวุธเหล่านั้นจะต้องเป็นอาวุธเสมือนมหสววรค์ของแท้แน่นอน!
ก้าวข้ามขอบเขตพบสววรค์เข้าสู่มหสวรรค์!
เผชิญหน้ากับอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสามที่ปรากฏขึ้น แม้แต่มู่เฉินที่มีจิตใจตั้งมั่น ยังอดไม่ได้ที่จะหัวใจเต้นรัว สายตาร้อนแรงจนแทบปะทุเป็นไฟ
เขาเพ่งมองไปที่ลูกแสงทั้งสาม เมื่อแสงจางลง ในที่สุดก็เห็นวัตถุภายในได้อย่างชัดเจน
ขวาน ไม้บรรทัดและกระจก
บทที่ 1038 เนตรดับชีวิต
ใจกลางสายธารที่สร้างจากอาวุธโบราณนับหมื่นชิ้น
ลูกแสงสามลูกลอยตัวอย่างเงียบเชียบ แสงที่กำจายออกมานั้นไม่ได้ทรงพลังอะไร แต่รอบข้างกลับมัวหมองเมื่อเทียบกัน
ภายในลูกแสงทั้งสามมีของได้แก่ขวาน ไม้บรรทัดและกระจก
ขวานเป็นสีทองแดงปกคลุมไปด้วยรอยกระดำกระด่างราวกับว่าครั้งหนึ่งเคยแยกท้องฟ้าออกด้วยพลังอันไร้ขอบเขต
ไม้บรรทัดเป็นสีดำสนิท ดูเหมือนว่าสามารถกลืนกินแสงจากฟ้าดินได้เพียงโบกลงมา
กระจกเป็นกระจกโบราณที่มีพื้นผิวขรุขระดูค่อนข้างธรรมดา ซ้ำยังเปล่งรัศมีเก่าแก่ของยุคแรกเริ่มและสัมผัสได้ถึงความลึกลับที่เปล่งออกมา
วัตถุทั้งสามล้วนทรงพลังอย่างเห็นได้ชัด ความผันผวนที่ปล่อยออกมาเกินขอบเขตของอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมและก้าวเข้าสู่อาวุธเสมือนมหสวรรค์
นี่คือสมบัติที่มู่เฉินเฝ้าฝันอยากได้ หากเขาสามารถได้รับหนึ่งในนั้น พลังในการต่อสู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นมาก ต่อให้จิงฉิงเทียนเขาก็สามารถฆ่าได้อย่างสบายๆ
มู่เฉินจ้องมองอาวุธทั้งสามด้วยแววตาลุกโชนพลางเลียริมฝีปาก ความโลภเพิ่มขึ้นในใจอีกครั้ง เมื่อเผชิญหน้ากับอาวุธเสมือนมหสวรรค์ที่เขาสามารถไขว่คว้ามาไว้ในมือ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ไม่อาจทำให้จิตใจสงบลงได้
สายตาของมู่เฉินร้อนแรงขึ้น จากนั้นก็ก้าวออกไป คลื่นหลิงพวยพุ่งกลายเป็นมือใหญ่ฉีกขาดมิติคว้าอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสามไว้ในทันที ในเมื่อมาแล้วก็ไม่ปล่อยให้หนีไปได้แม้แต่ชิ้นเดียว
ฟิ้ว!
มือคลื่นหลิงขนาดใหญ่พุ่งผ่านขอบฟ้าเข้าสู่สายธารอาวุธได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็ไปปรากฏตัวตรงหน้าอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสามเตรียมที่จะคว้าเอาไว้
มือแหวกตรงเข้าไป แต่ขณะที่มู่เฉินจะสัมผัสกับวัตถุทรงพลังทั้งสามชิ้น ดวงตาเขาก็เปล่งประกายวูบไหว เขาได้สติรีบกัดลิ้นแรงๆ พ่นเลือดออกมากบปาก
ริ้วเลือดไหลอยู่ที่มุมปาก มือคลื่นหลิงก็ชะงักค้างโดยไม่ได้สัมผัสกับอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสามที่ลอยอยู่เงียบๆ
มู่เฉินเช็ดเลือดออกช้าๆ สีหน้าไม่น่าดูลงหลายส่วน เมื่อครู่ขณะที่เขากำลังจะคว้าอาวุธเทพทั้งสามชิ้น ด้วยนิสัยหวาดระแวงและดื้อรั้นของเขาที่ผ่านการฝึกฝนมาตลอดหลายปีก็แสดงให้เห็นผล ทำให้เขาควบคุมความโลภหนาแน่นในหัวใจได้
เมื่อความโลภจางลง มู่เฉินก็สติกระจ่างแจ้งและเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
นั่นเป็นเพราะทุกอย่างราบรื่นเกินไป
แม้ว่าเขากำลังจะคว้าอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสาม แต่ก็ไม่มีสิ่งกีดขวางใดแม้แต่น้อย แม้ว่าอสูรโบราณโภคะตายไปแล้ว มู่เฉินก็ไม่เชื่อว่าสัตว์เทพเช่นนี้ไม่ได้ทิ้งวิธีการปกป้องสมบัติไว้
เล่าลือกันว่าอสูรโบราณโภคะขี้เหนียวมากกับสมบัติที่มี ดังนั้นถ้าเขาคิดว่าสามารถรับสมบัติโดยไม่ต้องกังวลอะไร ก็คงต้องได้รับผลจากการกระทำของตนเอง
นอกจากนี้เมื่อเข้ามาในพื้นที่นี้ มู่เฉินก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องง่ายมากที่ความโลภจะพุ่งมาหล่อเลี้ยงหัวใจ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาตั้งใจ แต่ได้รับผลกระทบจากวิธีการบางอย่างที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
วิธีการเหล่านั้นอาจถูกทิ้งไว้โดยอสูรโบราณโภคะ ถ้าเขาทำตามที่ใจปรารถนาโดยการคว้าสมบัติมา ความพยายามทั้งหมดของเขาก็อาจจะสูญเปล่า
มู่เฉินยืนเงียบขณะไตร่ตรอง ครู่หนึ่งเขาก็สูดลมหายใจลึก ก่อนที่จะนั่งลงและค่อยๆ หลับตา
เขาไม่ได้พยายามที่จะคว้าสมบัติอีกครั้ง เขาตั้งใจที่จะสงบจิตใจละทิ้งการล่อลวงของความโลภ
เมื่อมู่เฉินหลับตาจิตใจก็ค่อยๆ สงบลง ความโลภที่พล่านอยู่ในหว่างคิ้วก็จางหายไป หัวใจของเขาเริ่มสงบนิ่งเหมือนผิวน้ำ
เวลาไหลผ่านไปเงียบๆ
ไม่รู้เมื่อไร มู่เฉินก็ลืมตาขึ้น ม่านตาสะท้อนความสงบนิ่ง ราวกับสระน้ำลึกที่ไม่มีความผันผวน ความโลภก่อนหน้านี้หายไปอย่างสมบูรณ์
มู่เฉินจ้องมองสายธารอาวุธพบสวรรค์อีกครั้งด้วยใจสงบ แต่คราวนี้สิ่งที่เห็นแตกต่างจากเมื่อครู่สิ้นเชิง
สายธารพร่างพราวกำลังหายไปอย่างช้าๆ ราวกับว่าสิ่งที่เห็นก่อนหน้าเป็นภาพลวงตา
มู่เฉินเฝ้าดูสายธารอาวุธล้ำค่าหายไปอย่างเงียบๆ โดยไม่รู้สึกเสียใจอะไร
สุดท้ายสายธารก็อันตรธานหายไปจนหมด
เมื่อสายธารหายไปก็เหลือเพียงอาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสามเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในพื้นที่นี้
แต่มู่เฉินก็มองไปโดยไม่ทำอะไร ไม่มีระลอกคลื่นในดวงตาสักนิด
ความเงียบดำเนินไปเป็นเวลานานก่อนที่อาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสามจะเคลื่อนไหวในที่สุด แสงเบ่งบานจากพวกมัน จากนั้นอาวุธทั้งสามก็ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้กันก่อนจะรวมตัวเข้าด้วยกัน
เมื่อมู่เฉินเห็นฉากนี้ ระลอกคลื่นก็เริ่มปรากฏขึ้นในดวงตา อาวุธเสมือนมหสวรรค์ทั้งสามที่เบื้องหน้าไม่ใช่ภาพลวงตา พวกมันมีอยู่จริง แต่เพราะการเลือกของเขา ทำให้กลอุบายที่ถูกทิ้งไว้โดยอสูรโบราณโภคะเปลี่ยนไป
มู่เฉินอยากรู้อย่างมากในใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน
เมื่ออาวุธรวมเข้าด้วยกัน แสงก็บิดเบี้ยวก่อนที่จะค่อยๆ จางหายไป วัตถุชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้น
นี่ไม่ใช่ขวาน ไม้บรรทัดหรือกระจก แต่เป็นลูกปัดสีดำขนาดฝ่ามือ แต่เมื่อมองเข้าไปใกล้ๆ ก็จะเห็นว่าลูกปัดนี้คล้ายกับดวงตาสีดำ…
ดวงตาสีดำลอยอยู่ในอากาศเปล่งความลึกลับที่ทำให้หัวใจของผู้คนเย็นเยือกลง
ฟิ้ว!
เมื่อดวงตาสีดำปรากฏขึ้นก็ลอยมาอย่างช้าๆ แล้วหยุดที่เบื้องหน้ามู่เฉิน เขาลังเลสั้นๆ ก่อนที่จะยื่นมือออกไปรับเอาไว้
ความรู้สึกเย็นเยือกกระจายออกจากฝ่ามือก่อนที่มู่เฉินจะสะบัดนิ้วหยดเลือดลงไป เลือดกลั่นแทรกซึมเข้าไปอย่างรวดเร็วในลูกตาสีดำ อึดใจเขาก็รู้สึกถึงการเชื่อมต่อกับอาวุธชิ้นนี้
อาวุธนี้ไม่มีผู้ครอบครองหลังจากที่อสูรโบราณโภคะเสียชีวิต ตราบใดที่เขารับได้ก็จะสามารถผูกไว้กับตัวโดยผ่านร่องรอยเลือด
เมื่อสร้างการเชื่อมโยงกัน มู่เฉินก็รู้สึกถึงข้อมูลโบราณที่ไหลเข้ามาในสมอง ซึ่งอธิบายที่มาที่ไปของวัตถุนี้
มู่เฉินหลับตาลงรับรู้ข้อมูลก่อนที่จะเปิดขึ้นในไม่ช้า ความฉงนสนเท่ห์อัดแน่นในดวงตาเมื่อมองไปที่ดวงตาสีดำ อาวุธชิ้นนี้ถูกเรียกว่า ‘เนตรดับชีวิต’ ซึ่งว่ากันว่าใช้ดวงตาของอสูรโภคะเป็นวัสดุพื้นฐานและได้เพิ่มสมบัติธรรมชาติอีกมากมาย ในมุมมองหนึ่งถือได้ว่าเป็นสมบัติชีวิตของอสูรโบราณโภคะเลยทีเดียว
ถ้าไม่ใช่เพราะอสูรโบราณโภคะตายก่อนเวลาอันควร มันคงจะปรับแต่งอาวุธนี้ให้เป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้ได้
แต่ถึงกระนั้นเนตรดับชีวิตก็ยังถือเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดที่อสูรโบราณโภคะได้สร้างขึ้น
“เป็นเช่นนี้เอง…”
มู่เฉินรับรู้ข้อมูลในหัวสมองก็เข้าใจทันที หากก่อนหน้าเขาพยายามจะคว้าอาวุธทั้งสามชิ้นไป ตอนนี้เขาก็จะไม่ได้อะไรเลย
ทุกคนที่มาที่นี่มีโอกาสในการเลือก หากพวกเขาเลือกที่จะรับอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมตั้งแต่เริ่มต้น เส้นทางในการค้นหาสมบัติของเขาก็จะจบลง
มู่เฉินชื่นชมยินดีในหัวใจ โชคดีที่เขาไม่ได้โลภมากเลือกรับอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมแล้วถูกเตะโด่งออกไป ไม่งั้นเขาคงเสียใจจนบ้าไปแล้ว
“ถ้าเมื่อครู่ข้าเลือกหนึ่งในสามนั้น…แม้ว่าข้าจะได้รับสิ่งนั้น แต่ก็ไม่สามารถได้รับเนตรดับชีวิตนี้…”
มู่เฉินถอนหายใจ หากใครต้องการได้รับเนตรดับชีวิต พวกเขาก็ต้องละทิ้งความโลภจนหมดสิ้น ถ้าเขาไม่สะกิดใจว่าทุกอย่างดูง่ายไป เลือกที่จะทำให้จิตใจสงบลง ตอนนี้เขาก็คงไม่สามารถได้รับเนตรดับชีวิตมา
“อสูรโภคะเจ้าเล่ห์จริงๆ…” มู่เฉินส่ายหัว หากไม่ใช่โชคดี ครั้งนี้เขาคงถูกเจ้าอสูรตัวนี้หลอกเข้าแล้ว
แต่โชคดีที่เขาอดทนได้จนถึงวินาทีสุดท้าย
ยกเนตรดับชีวิตในมือขึ้น รอยยิ้มพอใจก็ปรากฏบนใบหน้า แม้ว่าเนตรดับชีวิตจะเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ แต่พลังอำนาจไปไกลเกินกว่าระดับธรรมดา ถ้าเขามีโชคมากพอก็อาจจะสามารถพัฒนาเป็นอาวุธมหสวรรค์ของแท้ได้
“ว่ากันว่าเนตรดับชีวิตนี้สามารถมองผ่านภาพลวงตาและปราการกั้นต่างๆ ได้… นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่งแสงเทพดับชีวิตซึ่งเป็นพลังครอบงำและทำลายทุกสิ่งที่ขวางทาง”
มู่เฉินหรี่ตาลงพร้อมกับเร้าคลื่นจิต เขาอ้าปาก เนตรดับชีวิตก็กลายเป็นจุดสีดำเคลื่อนเข้าไปสถิตในร่างกายเขา จากนั้นแสงสีดำมืดก็รวมตัวกันที่หน้าผากขณะที่ตาสีดำสนิทเปิดขึ้นอย่างช้าๆ ในแนวตั้ง
แสงสีดำกำจายอยู่ในดวงตาสีดำส่องประกายวูบไหว ทันใดนั้นมู่เฉินก็พบว่าภาพเบื้องหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก เขามองทะลุผ่านมิติเห็นทะเลสาบตัวเป่าขนาดใหญ่
แต่ครั้งนี้ปราการของทะเลสาบไม่มีอีกต่อไป สายตาของเขาทะลุผ่านทะเลสาบ เห็นทุกสิ่งในทะเลสาบอยู่ในสายตา
โครงกระดูกขนาดมหึมาก็สามารถมองได้ทั่วในครั้งเดียว
นั่นคือโครงกระดูกของอสูรโบราณโภคะ
บนกระดูกที่เผยออกมาจากน้ำในทะเลสาบ เขาเห็นจิ่วโยว หานซันและคนอื่นๆ ก่อนที่สายตาจะเลื่อนออก เพียงแวบเดียวเขาก็ได้เห็นส่วนที่ลึกที่สุดของทะเลสาบ
มีปากปล่องภูเขาขนาดใหญ่ฝังตัวอยู่ที่ความลึกของทะเลสาบคล้ายกับหุบเหว เห็นได้ชัดว่าถูกทิ้งไว้โดยผลจากการละสังขารของอสูรโบราณโภคะ เมื่อกวาดสายตาไปหัวใจของเขาก็วิ่งพล่านไปทั่ว
เนตรดับชีวิตมองผ่านทุกสิ่งก่อนรวมตัวกันในสถานที่หนึ่งของโครงกระดูกที่ร่วงหล่น เมื่อพิจารณาจากรูปร่างน่าจะเป็นส่วนหัว ยามนี้มองเห็นปากปล่องสีดำกว้างร้อยจั้งอยู่ใต้หัวนั่น
ภาพปากปล่องดำมืดที่เผยออกมา ทำให้จิตใจของคนมองเย็นเยือกลง ไม่มีแสงสว่างใดๆ ในนั้น มีเพียงริ้วแสงสีเลือดสลัวรางที่ห่อหุ้มอยู่เท่านั้น กลิ่นอายช่างคล้ายคลึงกับอสูรโบราณโภคะยิ่งนัก
“แก่นโลหิตอสูรโบราณโภคะอยู่ในนั้นเหรอ?”
หัวใจมู่เฉินสั่นสะท้าน แสงกำจายออกมาจากเนตรดับชีวิตพยายามตรวจสอบหลุมดำ แต่ทันทีที่สายตาของเขาสัมผัสกับมัน ริ้วแสงเลือดก็เปล่งประกายออกมา วิสัยทัศน์การมองของเขาแตกกระจาย
ในมิติมู่เฉินลืมตาโพลง ก่อนที่ดวงตาบนหน้าผากจะหายไป ความเคร่งเครียดและหวาดผวาปกคลุมทั่วใบหน้า
หลุมดำที่อยู่ก้นทะเลสาบคืออะไรกัน?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น