หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1027-1034
บทที่ 1027 กลลวง
ในป่าที่ถูกปกคลุมด้วยรัศมีความตาย
แสงมืดลงอย่างผิดปกติ รัศมีความตายสีเทาปิดบังวิสัยทัศน์และการสำรวจของคลื่นหลิง
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ในป่าที่มีเสียงคำรามของสัตว์อสูรดังก้องเป็นครั้งคราว ทันใดนั้นเสียงลมแหวกอกากาศก็ดังขึ้น มองเห็นร่างหลายร่างพุ่งตัวผ่านไปอย่างเงียบเชียบ แต่ละคนว่องไว ปลายเท้าแตะเบาๆ บนกิ่งไม้ กระทั่งใบไม้ยังไม่ขยับพวกเขาก็ทะยานออกไปแล้ว
เงาเหล่านี้ก็คือกลุ่มมู่เฉินที่เข้ามาในป่า
พวกเขาเคลื่อนตัวผ่านแนวป่า สายตากลับเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ขณะมองพื้นที่ที่เต็มไปด้วยรัศมีความตาย แม้ว่ารัศมีนี้จะสกัดกั้นประสาทการรับรู้ของคลื่นหลิง แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกได้ถึงอสูรวิญญาณจำนวนมากที่อยู่ในป่า
“เราเข้าจากทางตะวันตกเฉียงใต้ ตามที่แบ่งกันน่าจะมีอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดหกร่างอยู่ที่นี่ สำหรับพวกต่ำกว่านี้น่าจะมีร้อยกว่าร่างได้” ขณะที่พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หานซันก็ส่งเสียงลับอธิบายรายละเอียดให้กลุ่มมู่เฉินฟัง
เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ดวงตาก็หดเกร็ง อสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดหกร่างบวกกับระดับต่ำนับร้อยร่าง การรวมตัวแบบนี้ กระทั่งพวกเขาก็ต้องหวาดหวั่น แต่โชคดีที่วิญญาณเหล่านี้ไม่มีจิตสำนึก มิฉะนั้นแม้แต่พวกเขาก็ยังต้องหลีกเลี่ยง
“เดี๋ยวพวกเราสี่คนจะจัดการอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดหกร่างนั้น มั่วหลิงกับคนอื่นไปสกัดอสูรวิญญาณขั้นต่ำเอาไว้ เราต้องจัดการอย่างรวดเร็วที่สุด ไม่งั้นข้ากลัวว่าพวกเขาจะทนได้ไม่นาน”
มู่เฉิน จิ่วโยวและมั่วเฟิงพยักหน้า แม้ว่าจะมีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดสามคนจากเผ่าแรดอสูร แต่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับอสูรวิญญาณจำนวนมาก ดังนั้นความยากลำบากก็สูงมากเช่นกัน
“เตรียมพร้อม เรากำลังใกล้เข้ารังของพวกมันแล้ว” หลังจากอธิบายแผน หานซันก็คำรามเสียงต่ำออกมา
คนอื่นร่างกายเกร็งเครียดขึ้นทันที จากนั้นก็รู้สึกถึงรัศมีความตายโดยรอบเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ในป่ามืดมิดที่ไกลออกไป มีร่างเงาสีเทาซีดจำนวนมากวูบวาบราวกับภูตผี
เมื่อพวกเขาปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่นี้ ร่างเงาสีเทาซีดเหล่านี้ก็เอี้ยวมามองทันที อึดใจต่อมาเสียงคำรามที่เต็มไปด้วยรัศมีความตายก็ดังก้องในป่าแห่งนี้
ปัง! ปัง!
ร่างจำนวนมากพุ่งออกมาอย่างไม่สิ้นสุดจากความมืดพร้อมกับปลดปล่อยรัศมีความตายอันหนาวเหน็บขณะที่พุ่งเข้าหาพวกมู่เฉิน
หานซัน จิ่วโยว มู่เฉินและมั่วเฟิงทะยานตัวออกไปปรากฏตัวเบื้องหน้า ทันใดนั้นคลื่นหลิงไร้ขีดจำกัดก็กวาดออก ความน่าสะพรึงกลัวของริ้วคลื่นพุ่งพรวดออกมา
ตึง! ตึง!
เกลียวคลื่นพลังแหลมคมทะลุผ่านหัวของอสูรวิญญาณสิบกว่าร่างจนระเบิดเปรี้ยง จากนั้นทั้งกลุ่มก็ทะยานผ่านดงอสูรวิญญาณ พุ่งเข้าสู่ส่วนลึกอย่างรวดเร็ว
ครืน!
คลื่นหลิงรุนแรงพลุ่งพล่านออกมาจากแนวป่าความตายไม่สิ้นสุด อสูรวิญญาณดุร้ายที่ขัดขวางเบื้องหน้าถูกพวกมู่เฉินซัดกระเด็นกลับไปไม่หยุด ทว่าก็ยังมีอสูรวิญญาณล้อมเข้ามาจากรอบข้างอยู่เรื่อย
ทว่าพวกเขากลับไม่ได้ให้ความสนใจขณะที่มุ่งหน้าเข้าไปในส่วนลึก ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคืออสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดหกร่าง ตราบใดที่พวกเขาจัดการพวกมันได้ พวกเขาก็จะมีพลังมาจัดการกับอสูรวิญญาณจำนวนมหาศาลได้
“หานทง พวกเจ้ารั้งท้ายไว้!”
หานซันมองรัศมีความตายข้างหน้าที่พวยพุ่งเข้มข้นขึ้นก็หรี่ตาลง เขารู้สึกได้ว่าพวกเขาเริ่มเข้าสู่ป่าลึกแล้ว นอกจากนี้ยังเริ่มรู้สึกถึงความผันผวนอันตรายที่มาจากระยะไกล
นั่นน่าจะเป็นพื้นที่ที่อสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอยู่
“ตกลง!”
จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรพยักหน้า จากนั้นก็ฉีกตัวออกจากกลุ่ม คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกมา ภาพร่างขนาดใหญ่ของแรดอสูรปรากฏขึ้นดึงดูดความสนใจอสูรวิญญาณกลุ่มใหญ่ไว้
“มั่วหลิงไปช่วยพวกเขา ระวังตัวด้วยนะ” มั่วเฟิงบอกเสียงต่ำ
“เจ้าค่ะ!”
มั่วหลิงตอบรับน้ำเสียงสดใสจากนั้นก็ทะยานไปด้านหลัง เพลิงสีแดงเชี่ยวกรากกระหน่ำออกจากร่างเล็กกระทัดรัด ทำให้อุณหภูมิโดยรอบร้อนแรงขึ้น แม้แต่อากาศก็เริ่มลุกไหม้
เมื่อมีมั่วหลิงและจอมยุทธ์สี่คนรั้งท้าย ทั้งสี่คนก็รู้สึกสงบลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นพวกเขาก็เพิ่มความเร็ว พุ่งเข้าไปในรัศมีความตายที่หนาแน่น
เบื้องหลังรัศมีความตายคือบริเวณที่เต็มไปด้วยก้อนหิน ซึ่งมีต้นไม้สีเทาซีดกระจายออกไปทำให้เงาปกคลุมบนพื้นดิน ภายในเงามืดมีสายตาเย็นชาเล็งไปยังทั้งสี่ที่เป็นเป้าหมาย ร่างเหล่านั้นสั่นไหวจากนั้นก็ปรากฏตัวต่อหน้ากลุ่มมู่เฉิน
นี่เป็นร่างสีดำทั้งหกมีร่างกายที่ดูเหมือนทำจากโลหะสีดำดูแข็งแกร่งมาก สิ่งนี้เกิดจากร่างกายที่แห้งกรังและสูญเสียพลังชีวิตถูกกัดกร่อนโดยรัศมีความตาย
รัศมีความตายที่ล้อมรอบร่างเหล่านั้น ทรงพลังกว่าอสูรวิญญาณธรรมดาเสียอีก
“อสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดหกร่างจริงด้วย…”
มู่เฉินมองไปที่อสูรวิญญาณดำทะมึนก็พึมพำกับตัวเอง แต่เมื่อพูดจบม่านตาก็หดเกร็ง “ไม่ใช่!”
ปัง!
ทันทีที่มู่เฉินสัมผัสได้ พื้นดินที่ด้านหลังก็ระเบิดออก ร่างดำทะมึนสองร่างค่อยๆ คลานขึ้นมาจากบนพื้นอย่างช้าๆ พวกมันถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายดุร้าย นี่คืออสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอีกสองร่าง
ตอนนี้พวกมันมีทั้งหมดแปดร่างแล้ว
เมื่อหานซันมองเห็นภาพนี้ ใบหน้าก็ไม่น่าดู ดูท่าจำนวนอสูรวิญญาณที่นี่จะไปเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้
“เป็นปัญหาซะจริง”
หานซันยิ้มขมขื่น แปดอสูรวิญญาณระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด แม้แต่พวกเขาก็ต้องใช้เวลาพอสมควรในการจัดการ เพราะในแง่พลังการต่อสู้ อสูรวิญญาณเหล่านี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าจอมยุทธ์อย่างลู่สุยเลย
“จัดการคนละสองตัว ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” มู่เฉินขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
“ตกลง!”
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะบ่นน้อยใจโชคชะตา ทุกคนพยักหน้าทะยานออกไปทันที ต่างส่งคลื่นหลิงไร้ขอบเขตห่อหุ้มคู่ต่อสู้สองร่างของตนเอาไว้
มู่เฉินทะยานออกไปเช่นกัน เป้าหมายก็คืออสูรวิญญาณสองร่างที่มาจากด้านหลัง
โฮก!
อสูรวิญญาณสองร่างคำรามลั่น รัศมีความตายผันผวน ห่อหุ้มกระดูกกรงเล็บที่แหลมคม พวกมันตวัดมือไปที่หน้าอกของมู่เฉินปานสายฟ้าแลบ กรงเล็บที่แหลมคมฉีกขาดมิติเลยทีเดียว
เคร้ง!
แขนของมู่เฉินยกขึ้นสกัดการโจมตีของพวกมันเอาไว้เต็มกำลัง ประกายไฟบินว่อนอยู่บนลำแขน ทว่ากรงเล็บกระดูกที่มีรัศมีความตายทิ้งเพียงรอยแผลขาวไว้บนแขนเขาเท่านั้น
ตู้มมมม!
โดยไม่มีปฏิกิริยาใด กำปั้นมู่เฉินก็เหวี่ยงออกไปตามด้วยแสงสีทอง กระแทกไปที่หน้าอกของอสูรวิญญาณ เสียงกระหึ่มดังขึ้น ทันใดนั้นอสูรวิญญาณก็กระเด็นกลับไป หน้าอกทรุดลง
ทว่าความทนทานในการรับมือของอสูรวิญญาณเกินความคาดหมายของมู่เฉิน ทันทีที่ร่างมันสัมผัสกับพื้นก็ดันตัวขึ้นมา ไม่สนใจหน้าอกที่ยุบลงพุ่งเข้ามาหามู่เฉินอีกครั้ง
“ทนถึกอะไรเช่นนี้”
สายตามู่เฉินวูบไหวกับภาพเบื้องหน้า ถ้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดธรรมดาเผชิญหน้ากับหมัดของเขา คงเลือดตกยางออกไปนานแล้ว แต่อสูรวิญญาณตัวนี้กลับยังกระโดดโลดเต้นได้
ปัง! ปัง!
อสูรวิญญาณทั้งสองพุ่งออกมาโจมตีอย่างไม่เกรงกลัว ภายใต้รัศมีความตาย แม้แต่มู่เฉินก็ต้องถอยกลับไปหลายก้าว ทว่าเขาก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว วิชากายามังกรหงส์ถูกเร้าออกมา แสงสีทองพร่างพราวระเบิดออก ชุดหมัดหนักเหวี่ยงออกไปทำให้อสูรวิญญาณทั้งสองต้องถอยกลับไม่หยุด ร่างกายพวกมันยุบลงอยู่เรื่อย หากไม่ใช่ร่างไร้ชีวิต พวกมันได้รับบาดเจ็บหนักไปนานแล้ว
แต่ถึงกระนั้นก็เป็นเพียงเรื่องของเวลา ก่อนที่จะถูกมู่เฉินทำลายสิ้นซาก
ขณะที่สถานการณ์ของมู่เฉินดีขึ้น หานซัน จิ่วโยวและมั่วเฟิงก็จับจุดคู่ต่อสู้ได้ พวกเขาเริ่มได้เปรียบขึ้นมา
ที่ด้านหลังกลุ่มมั่วหลิงก็งัดทุกกลยุทธ์เท่าที่จะทำได้เพื่อขัดขวางอสูรวิญญาณจำนวนมหาศาล แม้ว่าจะยากไปสักหน่อย แต่เนื่องจากวิญญาณเหล่านั้นไม่มีสติปัญญา พวกเขาจึงยังสามารถลากเวลาต่อไป
ดังนั้นเมื่อตัดสินจากพื้นผิว โดยรวมก็อยู่ในการคาดการณ์ของหานซัน ตราบใดที่พวกเขาลากเวลาได้อีกนิดก็จะสามารถจัดการกับปัญหาทั้งหมดได้
ปัง!
ในซากกองหิน หินก้อนใหญ่ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้ามู่เฉินแตกเป็นเสี่ยงๆ แสงสีทองส่องประกายในดวงตา เขามองเห็นจุดอ่อนในร่างอสูรวิญญาณตัวหนึ่งอย่างรวดเร็ว มือกำแน่น กระบี่ขนนกสีทองก็ปรากฏขึ้น แสงสีทองแล่นแปลบปลาบ ก่อนที่หัวของอสูรวิญญาณนั้นจะถูกหั่นออกจากกัน
ตู้มมมม!
เมื่อจัดการอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดร่างหนึ่งได้ แรงกดดันของมู่เฉินก็ลดลง การโจมตีก็รุนแรงขึ้น เขาบีบอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอีกร่างจนไม่อาจต่อต้านได้
จิ่วโยว หานซันและมั่วเฟิงก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวในทิศทางของมู่เฉิน จิตวิญญาณต่อสู้ลุกโชนตราบใดที่มู่เฉินเป็นอิสระ พวกเขาก็จะสามารถหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ได้อย่างรวดเร็ว
และเส้นทางของพวกเขาก็ไม่เป็นอันตรายใดอีกต่อไป
ทว่าขณะที่พวกเขารู้สึกโล่งใจก็รับรู้ถึงพื้นดินที่เริ่มสั่นสะเทือนราวกับว่าอสูรนับหมื่นกำลังวิ่ง
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันทำให้มู่เฉินอึ้งไป ก่อนที่จะหันไปมองทางซ้ายและขวาของป่า ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที
นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ว่ามีรัศมีความตายมหาศาลกำลังไหลบ่ามาจากทั้งสองด้าน ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามาจากอสูรวิญญาณจำนวนมากมาย มิหนำซ้ำยังมองเห็นร่างดำทะมึนบางส่วนในหมู่พวกมัน นั่นคืออสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด!
“มีอสูรวิญญาณมาจากทิศทางนั้น!”
ที่ด้านหลังสีหน้าจอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรเปลี่ยนแปลงรุนแรง รีบคำรามเตือน
ตู้ม!
แสงสีทองพุ่งขึ้น มู่เฉินเหวี่ยงกำปั้นระเบิดหัวอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดตรงหน้า ก่อนที่จะมองไปที่ทิศทางทั้งสองด้วยสีหน้ามืดมน
ใบหน้าของหานซันก็เขียวคล้ำขณะกัดฟัน “นั่นมันทิศทางของเผ่าราชสีห์ทองคำและเผ่าหมาป่าเวหะ! ไอ้พวกโง่นั่นทำอะไรกัน?”
จิ่วโยวเค้นเสียงเย็น “จะทำอะไรได้อีก? ก็ไล่เสือไปกินหมาป่าไง”
สายตาของหานซันเย็นชาลง นั่นก็หมายความว่าเผ่าหมาป่าเวหะได้ผิดสัญญากับพวกเขา หันไปจับมือร่วมมือกับเผ่าราชสีห์ทองคำแล้ว
จากสถานการณ์ปัจจุบันทั้งสองเผ่าตั้งใจที่จะผลักดันอสูรวิญญาณมายังทิศทางของพวกเขา เพื่อฝังกลบพวกเขาอย่างสมบูรณ์
คราวนี้เขาถูกกลลวงกลุ่มหมาป่าเวหะแล้ว!
บทที่ 1028 ล้มเหลว
ครืน!
ผืนดินสั่นสะเทือน ผืนป่าโยกคลอน รัศมีความตายรุนแรงกวาดเข้ามาในทุกทิศทางราวกับว่าต้องการที่จะกลืนกินดินแดนแห่งนี้
ขณะที่รัศมีความตายกวาดออก ร่างเงาสีเทาซีดจำนวนมากก็พุ่งออกมา นั่นคืออสูรวิญญาณที่เปรียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด
เมื่อมู่เฉิน หานซันและจิ่วโยวเห็นฉากนี้ ใบหน้าก็บิดเบี้ยวจนไม่น่าดู ยามนี้พวกเขาจะไม่รู้ได้ยังไงว่าตกหลุมพรางแล้ว
ทั้งสองทิศทางควรเป็นส่วนที่เผ่าราชสีห์ทองคำและเผ่าหมาป่าเวหะจัดการ แต่ตอนนี้อสูรวิญญาณทั้งหมดกลับพุ่งมาในส่วนของพวกเขา ซึ่งชัดว่าเป็นฝีมือของทั้งสองเผ่า
ใบหน้าของหานซันเขียวคล้ำ ไอเยือกเย็นในดวงตาเพิ่มขึ้น ตอนนี้เขาเกลียดเผ่าหมาป่าเวหะเข้ากระดูกดำแล้ว
จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรก็มีใบหน้าซีดขาวและแตกตื่นไปบ้าง หากอสูรวิญญาณจำนวนมหาศาลพุ่งมาทางนี้ทั้งหมดละก็ วันนี้คงไม่มีใครที่นี่หนีรอดไปได้แน่
“กำจัดอสูรวิญญาณตรงหน้า!” ขณะที่ใบหน้าของพวกหานซันเขียวคล้ำ มู่เฉินก็ตะเบ็งเสียงขึ้นกะทันหัน
ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้พวกเขาต้องกำจัดอสูรวิญญาณตรงหน้าเสียก่อน มิฉะนั้นพวกเขาจะโดนรุมสกรัม ถึงแม้อยากจะล่าถอยก็ตาม
เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดของเขาก็ฟื้นคืนสติทันที คลื่นหลิงรุนแรงระเบิดออกจากร่าง พวกเขาไม่รั้งรออีกต่อไป กระบวนท่าการโจมตีรุนแรงที่สุดฟาดฟันอสูรวิญญาณที่อยู่เบื้องหน้า
ปัง!
แววตาของมู่เฉินเย็นชาลง ปล่อยให้อสูรวิญญาณที่เบื้องหน้าโจมตีเข้ามาที่หน้าอก ร่างกายเขาสั่นเทิ้มไปเล็กน้อย แต่ฝ่ามือก็เหวี่ยงออกไปปานสายฟ้าฟาด กดลงบนกระหม่อมพลังงานรุนแรงก็พวยพุ่งสูงขึ้น
ตู้ม!
หัวของอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระเบิดออก ก่อนที่ร่างมันจะแข็งทื่อล้มตึงลง
หลังจากจัดการกับอสูรวิญญาณในส่วนรับผิดชอบของตนเรียบร้อย เขาก็ไม่ได้หยุดพุ่งเข้าไปช่วยจิ่วโยวและคนอื่นๆ รีบจัดการวิญญาณทั้งหกร่างทันที
เมื่อจัดการกับอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดรอบตัวทั้งหมดแล้ว มวลรัศมีความตายก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มากถึงจุดที่พวกเขาสามารถเห็นใบหน้าดุร้ายของวิญญาณเหล่านั้นได้แล้ว
เสื้อผ้าของหานซันขาดรุ่งริ่งจากการรับมือกับอสูรวิญญาณ ทว่าเขาก็ไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้ สายตาจดจ่ออยู่ที่อสูรวิญญาณที่บุกตะลุยเข้ามาด้วยสีหน้ามืดมน
“ตอนนี้ทำยังไงดี?” จิ่วโยวถามเสียงขรึม มีอสูรวิญญาณมากเกินไป เป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการทั้งหมดด้วยพลังของกลุ่ม ดังนั้นหากทำไม่ได้จริงๆ ก็ต้องรีบล่าถอยในขณะที่ยังมีเวลา
หานซันกัดฟันกรอด หากถอยกลับก็เท่ากับทิ้งสมบัติของอสูรโบราณโภคะ ซึ่งเขาไม่เต็มใจอย่างมาก เพราะพวกเขาเตรียมตัวกับเรื่องนี้มานานมาก
“ฮ่าๆ หานซัน เวลาแบบนี้เจ้ายังไม่คิดยอมแพ้อีกเหรอ?” ขณะที่ดวงตาของหานซันวูบไหวด้วยความลังเลในใจ เสียงหัวเราะเยาะเย้ยก็ดังก้องมาจากระยะไกล
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะนั่น ใบหน้าของกลุ่มมู่เฉินก็เปลี่ยนไป พวกเขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปไกลด้วยสายตาแหลมคม ก็เห็นเงาร่างหลายร่างยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ นั่นก็คือกลุ่มของจิงเลี่ยจากเผ่าราชสีห์ทองคำกับกลุ่มฮั่วหยังจากเผ่าหมาป่าเวหะ
“ฮั่วหยัง!”
เมื่อหานซันเห็นฮั่วหยัง ดวงตาก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดง จิตสังหารเพิ่มขึ้นบนใบหน้า ทำให้เขาดูดุร้ายยิ่งกว่าเดิม
พอฮั่วหยังเห็นท่าทางของหานซันก็ยิ้มอ่อน “พี่หานทำไมต้องหงุดหงิด? ความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่ายเป็นความเต็มใจ หากเจ้าเชื่อใจคนอื่นง่ายๆ ขณะเดินทางท่องยุทธภพ ข้าคิดว่าเจ้าจะเป็นคนที่ต้องรับทุกข์ไม่รู้จบ ดังนั้นให้ถือว่านี่เป็นบทเรียน หวังว่าเจ้าจะจำไว้ขึ้นใจนะ”
หานซันสูดหายใจเข้าลึกสายตาสงบลง แต่สายตาที่มองฮั่วหยังกลับโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเดิม ก่อนที่เขาจะพูดเสียงขรึมว่า “ข้อเสนอที่ข้าให้เจ้านับว่าดีเลยทีเดียว ทำไมถึงปลิ้นปลอนแบบนี้?”
ฮั่วหยังยิ้ม “ก็จริงที่ข้อตกลงของเจ้าดีไม่น้อย แต่น่าเสียดายที่ข้าชอบร่วมมือกับคนที่มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงกว่า เช่นนั้นก็จะปลอดภัยกว่านะ”
จากคำพูดนั่นบอกว่าเขาไม่คิดว่าพวกหานซันจะสู้เผ่าราชสีห์ทองคำได้ ดังนั้นภายใต้เงื่อนไขที่คล้ายคลึงกัน เขาจึงเลือกเข้าข้างเผ่าราชสีห์ทองคำเพื่อหลอกล่อกลุ่มหานซัน
แววดุร้ายวูบไหวในดวงตาของหานซัน รอยยิ้มน่าขนลุกคลี่ออก “ดี ข้าจะจดจำสิ่งนี้ไว้ หวังว่าในอนาคตเจ้าจะไม่ตกอยู่ในกำมือข้าบ้างนะ”
เมื่อมองท่าทางของหานซัน ฮั่วหยังก็รู้สึกเย็นเยือกในใจ แต่จากนั้นเขาก็เค้นเสียงหยัน “รอให้เจ้ารอดชีวิตออกจากที่นี่ให้ได้ก่อนเถอะ”
ขณะที่พวกเขากำลังตอบโต้กัน จิงเลี่ยก็หรี่ตามองภาพนี้ด้วยรอยยิ้ม ท่าทางเหมือนกำชัยชนะในมือแล้ว ขณะมองไปที่หานซันก็เหมือนกำลังมองผู้ล้มเหลวในอดีต
“ทำไมอสูรวิญญาณถึงไม่โจมตีพวกมัน?” ข้างหานซัน จิ่วโยวขมวดคิ้วพูดขึ้นกะทันหัน
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดนี่ พวกเขาก็ตระหนักว่าคนเหล่านั้นอยู่เหนืออสูรวิญญาณ แต่ทำไมพวกมันถึงไม่สนใจเลย กลับพุ่งมาทางพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง?
สายตามู่เฉินจ้องมองไปที่พวกจิงเลี่ยก่อนที่จะหดเกร็งดวงตา นั่นเป็นเพราะมู่เฉินรู้สึกว่ากลุ่มจิงเลี่ยเหมือนได้รับการห่อหุ้มด้วยม่านแสงสีเทาเบาบางที่เปล่งความผันผวนแปลกประหลาด คล้ายกับมีกลิ่นอายความตายอยู่ด้วย…
“พวกมันน่าจะเตรียมของพิเศษบางอย่างที่สามารถให้รัศมีความตายห่อหุ้มร่างตัวเอง… อสูรวิญญาณเหล่านี้ไม่มีดวงตา แต่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตและรัศมีความตาย ดังนั้นเมื่อพวกจิงเลี่ยปิดบังตัวเองด้วยรัศมีความตาย พวกมันจึงสามารถเดินทางไปมาท่ามกลางฝูงอสูรวิญญาณได้อย่างอิสระ” มู่เฉินกล่าวอย่างช้าๆ
มิน่าล่ะฮั่วหยังถึงคิดว่าหานซันไม่มีโอกาสที่จะชนะ ที่แท้กลุ่มจิงเลี่ยได้เตรียมพร้อมมากกว่า มิหนำซ้ำยังวางกับดักสำหรับกลุ่มหานซันอีกด้วย
“ไอ้เวรพวกนี้”
หานซันก็คิดเรื่องนี้ได้ทันที ใบหน้าของเขาดูน่าเกลียดขึ้นอีกหลายส่วน
“พี่ใหญ่หานซัน” จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรมองไปที่หานซัน ยามนี้อสูรวิญญาณกำลังคืบคลานเข้าใกล้ หากพวกเขาไม่ล่าถอยออกไปตอนนี้ละก็ จะไม่สามารถถอยได้อีกแล้วแม้ว่าจะต้องการก็ตาม
ใบหน้าของหานซันเขียวคล้ำ จากนั้นก็กัดฟันเตรียมโบกมือส่งสัญญาณให้ถอย
แม้ว่าสมบัติของอสูรโบราณโภคะจะสุดยอด แต่ก็ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อเพลิดเพลิน จากสถานการณ์ปัจจุบันเขารู้สึกผิดต่อพวกมู่เฉินมาก เพราะพวกเขาอุตส่าห์เดินทางมาที่นี่อย่างลำบาก แต่สุดท้ายยังไม่ถึงสุสานหมื่นอสูรก็ต้องล่าถอยกลับไปเหมือนหมาจรจัด
“เดี๋ยวก่อน”
ทว่าขณะที่หานซันตั้งใจจะล่าถอย มู่เฉินก็พูดออกมาทันที
คนทั้งหมดพุ่งสายตามาที่เขา ถ้าพวกเขาไม่ไปตอนนี้ก็จะตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังแล้ว หรือว่ามู่เฉินไม่อยากตัดใจจากขุมทรัพย์อสูรโบราณโภคะ?
เผชิญหน้ากับสายตาตะลึงงันเหล่านี้ มู่เฉินก็ยิ้มบาง “ข้าน่าจะสามารถลองทำบางอย่างเพื่อให้อสูรวิญญาณเหล่านี้มองไม่เห็นเราได้บ้างนะ”
“หืม?”
ทุกคนอึ้งไป แม้แต่จิ่วโยวก็ยังสงสัย
มู่เฉินมองทุกคนที่งงงวยก็ยิ้ม “วิธีการที่คนเหล่านั้นใช้เพื่อซ่อนตัวจากการรับรู้ของอสูรวิญญาณ จุดประกายความคิดอะไรบางอย่างของข้าได้ ในเมื่อวิญญาณเหล่านี้สามารถสัมผัสจากพลังชีวิตและรัศมีความตายเท่านั้น ก็แปลว่าการรับรู้ของพวกมันน่าจะอ่อนแอมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ตราบใดที่เราปกปิดพลังชีวิตได้ พวกมันก็จะไม่สามารถตรวจจับเราได้”
หานซันอึ้งไปก่อนที่จะตอบว่า “แม้ว่าการรับรู้ของอสูรวิญญาณเหล่านี้อ่อนแอมาก แต่ประสาทสัมผัสเกี่ยวกับพลังชีวิตแหลมคมอย่างยิ่ง… สะเก็ดพลังงานเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้พวกมันรุมขย้ำเราเหมือนหมาป่าที่หิวโหย”
ชัดว่าเขาไม่ค่อยเชื่อว่ามู่เฉินจะมีวิธีการปกปิดพลังชีวิตบนตัวพวกเขา
มู่เฉินไม่ได้พูดอะไร กลับสะบัดนิ้วทั้งสิบ สัญลักษณ์หลิงยิ่งที่ควบแน่นนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นพวยพุ่งอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะรวมเข้ากับชั้นบรรยากาศ ทำให้พื้นที่เกิดความผันผวน
“ค่ายกล?”
เมื่อจิ่วโยวเห็นภาพนี้ ดวงตาก็วูบไหว
ครืน!
ขณะที่มู่เฉินกำลังเร้าสัญลักษณ์หลิงยิ่งหนาแน่นเร็วรี่และรวมเข้ากับฟ้าดิน พื้นดินโดยรอบก็โยกคลอนรุนแรงมากขึ้น เหล่าอสูรวิญญาณคำรามลั่นพร้อมกับรัศมีความตายความเชี่ยวกรากกวนตัวเข้ามา
ศีรษะของจอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรถูกปกคลุมด้วยเหงื่อเย็น ใบหน้าซีดลงจากการเคลื่อนไหวรุนแรงนี้ พวกเขาอดมองหานซันไม่ได้ ตราบใดที่เขาส่งสัญญาณการถอย พวกเขาก็จะถอนตัวทันที
ทว่าหานซันกลับจ้องเขม็งไปที่มู่เฉินก่อนที่จะกัดฟันพูด “งั้นต้องพึ่งพี่มู่แล้ว!”
เขาไม่อยากที่จะออกไปแบบนี้เช่นกัน นอกจากนี้เขาเกลียดกลุ่มหมาป่าเวหะเข้ากระดูกดำ ถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่ต้องการเผ่นออกไปเหมือนหมาจรจัด
จากความเข้าใจในนิสัยมู่เฉินในช่วงนี้ หานซันรู้ว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่คนประมาท ในเมื่อเขายังสงบสติอารมณ์ได้ ก็หมายความว่าเขามีความมั่นใจอยู่พอสมควร ในเมื่อเป็นแบบนี้หานซันก็ขอเสี่ยงดวงดูสักตั้ง!
มู่เฉินหลับตาลงเล็กน้อยไม่พูดอะไร สัญลักษณ์หลิงยิ่งหานแน่นปรากฏขึ้นเร็วรี่บนนิ้วมือ
“ดูเหมือนว่าหานซันกำลังดิ้นรนหนีตายแล้วจริงๆ”
บนต้นไม้ที่ไกลออกไป จิงเลี่ยมองหานซันที่ไม่ยอมถอยก็อดเยาะเย้ยไม่ได้ คิดแค่ว่าหานซันไม่เต็มใจที่จะละทิ้งขุมทรัพย์ของอสูรโบราณโภคะเท่านั้น
“ในเมื่ออยากได้สมบัติขนาดนี้ก็ฝังกลบซะเลย…”
จิงเลี่ยแสยะยิ้ม ใบหน้าดุร้ายยิ่งขึ้น
ครืน!
ฝูงอสูรวิญญาณและรัศมีความตายพุ่งเข้ามา จิ่วโยวและคนอื่นๆ ได้แต่จ้องมองไปที่สายธารแห่งความตายนั่น…
หนึ่งพันจั้ง…ห้าร้อยจั้ง…สองร้อยจั้ง…
เมื่อพวกมันอยู่ห่างออกไปสองร้อยจั้ง ก็เหมือนจะมีกลิ่นแห่งความตายพรวดพราดเข้ามา แต่ขณะที่จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรกำลังฉายความสิ้นหวังในดวงตา ดวงตาที่ปิดลงของมู่เฉินก็เบิกกว้าง
แสงวูบไหวในรูม่านตาสีดำ
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
ทันใดนั้นมิติโดยรอบก็สั่นสะเทือนรุนแรง จากนั้นพวกหานซันก็เห็นลวดลายจำนวนมากมายกระจายออกไปอย่างรวดเร็วในบรรยากาศ ก่อนที่จะห่อหุ้มพวกเขาเอาไว้
นอกจากนี้รูปแบบของลวดลายยังเหมือนเป็นโลงศพสีเทาห่อหุ้มร่างกายพวกเขาไว้
ค่ายกลนี้ดูเหมือนจะไม่มีความสามารถเชิงรุกที่ทรงพลัง แต่เมื่อถูกสร้างขึ้นพวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีความตายที่แผ่ขยายออกไปอย่างชัดเจน ซึ่งทำให้ร่างกายของพวกเขาหนาวสั่น
ครืน!
เมื่อค่ายกลโลงศพถูกสร้างขึ้นฝูงอสูรวิญญาณก็มาถึง แต่ขณะที่ผ่านบริเวณกลุ่มมู่เฉินก็แยกออกไป
รัศมีความตายเชี่ยวกรากเคลื่อนผ่านข้างตัวไป ทุกคนรู้สึกว่าขาอ่อนยุ่ยไปหมด ทว่าพวกเขาไม่มีเวลาที่จะใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องแขนขา ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างมองดูฝูงอสูรวิญญาณที่แยกตัวออก
อสูรวิญญาณที่เปล่งรัศมีดุเดือดรุนแรงเคลื่อนผ่านไป โดยไม่สนใจการดำรงอยู่ของพวกเขา!
“สำเร็จ”
ขณะนี้กระทั่งหานซันที่มีนิสัยสงบเยือกเย็นก็อดร้องอย่างมีความสุขไม่ได้
ขณะที่พวกเขาดีใจ อีกพวกที่อยู่ไกลออกไปกลับมีท่าทางมืดมนลง
ยิ่งไปกว่านั้นสายตาดุร้ายของพวกเขาก็กวาดผ่านพวกหานซันจับจ้องไปที่มู่เฉิน
ชัดว่าพวกเขาก็รู้แล้วว่ามนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกที่มองไม่เห็นค่า กลับเป็นเหตุทำให้แผนของพวกเขาล้มเหลว
บทที่ 1029 ค่ายกลเทพเผาผลาญ
กระแสความตายพุ่งผ่านป่า
เงาร่างนับไม่ถ้วนลอยหวือไกลออกไป สติปัญญาของพวกมันไม่สามารถคิดได้ว่าทำไมเป้าหมายที่เล็งไว้ถึงหายวับไปกะทันหันแบบนี้…
เบื้องหลังความวุ่นวาย หานซันและคนอื่นๆ ที่มองฝูงอสูรวิญญาณจำนวนมากพุ่งออกไป ร่างกายตึงเครียดก็ผ่อนคลายลง อึดใจจอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรก็นั่งแปะลงบนพื้นด้วยใบหน้าซีดปากสั่น
ตอนที่กระแสความตายพุ่งเข้ามา พวกเขาคิดว่าจะถึงที่ตายแน่แล้ว
“พี่มู่…ขอบ-คุณ-มาก” หานซันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ใบหน้าฉายความยินดีหลังจากหายนะครั้งนี้ผ่านพ้นไป เขามองไปที่มู่เฉินพลางพูดขอบคุณจากใจ
ครั้งนี้หากไม่ใช่มู่เฉิน พวกเขาอาจโดนไล่จนกลายเป็นหมาจนตรอกเลยก็ได้
มู่เฉินส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าแค่ลอง ไม่คิดว่าจะได้ผลจริงๆ”
หานซันไม่ได้คิดอะไรกับคำพูดมู่เฉิน เขาเข้าใจนิสัยอีกฝ่ายอยู่บ้าง ถ้าชายคนนี้ไม่มีความมั่นใจพอสมควรก็ไม่มีทางเสี่ยงชีวิตของตนลองทำอะไรแบบนี้แน่
แต่ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้พวกเขาก็ปีนออกมาจากปากเหวความตายได้แล้ว
“ด้วยค่ายกลนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถเดินไปมาได้อย่างอิสระในสุสานหมื่นอสูรหรือ?” มั่วเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ
มู่เฉินส่ายหัว “อสูรวิญญาณที่เราพบยังไม่แข็งแกร่ง ดังนั้นเราจึงหลีกเลี่ยงการรับรู้ได้ แต่ถ้าเราพบวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่านี้ วิธีนี้ก็คงไม่ได้ผลแล้ว”
เขาตระหนักถึงปัจจัยนี้แล้วก่อนหน้า ตอนที่ฝูงอสูรวิญญาณเคลื่อนผ่านไป เขารู้สึกชัดเจนว่าอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดละล้าละลังชั่วครู่ เห็นได้ชัดว่าพวกมันรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง แต่เนื่องจากความเร่งรีบที่ผลักมาจากด้านหลัง พวกมันจึงพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับฝูง ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก
ดังนั้นมู่เฉินจึงอนุมานได้ว่าอสูรวิญญาณที่มีพลังสูงขึ้นก็จะมีการรับรู้ที่ดีเยี่ยมขึ้นเช่นกัน ถึงตอนนั้นหากพวกเขาต้องการหลีกเลี่ยงด้วยการใช้ค่ายกลก็คงฝันหวานเกินไป
เมื่อฝูงอสูรวิญญาณจากไปไกล มู่เฉินก็สะบัดนิ้วมือ ค่ายกลที่ห่อหุ้มพวกเขาไว้ก็สลายลงอย่างรวดเร็ว สายตาของเขาก็เงยขึ้นมองไปที่ยอดไม้
ตรงนั้น จิงเลี่ย ฮั่วหยังและคนอื่นๆ ต่างมีสีหน้ามืดมน ดวงตาที่เต็มไปไอเข่นฆ่าจ้องมาที่เขา
“ดูท่าจะทำให้พวกเจ้าผิดหวังซะแล้ว…” มู่เฉินมองไปที่อีกฝ่ายที่มีใบหน้ามืดครึ้มลง รอยยิ้มสดใสก็ปรากฏบนใบหน้าเขา
“ฮา ไม่คิดว่าจะมีหลิงเจิ้นซืออยู่ในกลุ่มพวกเจ้าด้วย…คิดไม่ถึงจริงๆ” จิงเลี่ยมองมู่เฉินด้วยสายตามืดมน สาดยิ้มเย็นชา
สายตาของหานซันก็เย็นชาลงขณะจ้องไปที่อีกฝ่ายพลางแสยะรอยยิ้มร้ายกาจ “ข้ากลัวว่าจะไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้เจ้าคาดไม่ถึงนะ…จิงเลี่ย ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่สามารถครองสมบัติของอสูรโภคะได้คนเดียวแล้ว”
“งั้นหรือ?”
จิงเลี่ยยกเปลือกตาก่อนที่มุมปากจะโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน “หานซัน แกคิดว่าสามารถท้าทายข้าได้ หลังจากหลบจากความตายมาได้งั้นหรือ? ต่อให้ไม่มีความช่วยเหลือจากอสูรวิญญาณแล้วไง? ด้วยคนแค่นี้ของแกคิดว่าจะล้มพวกข้าได้เหรอ?”
การรวมตัวระหว่างสองกลุ่มทำให้พวกเขามีจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดสิบคน ขณะที่พวกมู่เฉินมีแค่ครึ่งเท่านั้น หากเปิดศึกกันชัดว่าพวกเขาได้เปรียบแน่นอน
“งั้นลองหน่อยไหมล่ะ?” หานซันท้าทาย พวกเขาอาจจะไม่ได้เปรียบในเรื่องจำนวน แต่ชัยชนะเกี่ยวกับเรื่องคุณภาพ จิ่วโยวและมั่วเฟิงต่างเป็นจอมยุทธ์ที่เทียบเคียงกับเขาได้ นับว่าโดดเด่นแม้แต่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด ซึ่งห่างไกลจากสิ่งที่พวกทั่วไปสามารถจัดการได้
นอกจากนี้พวกเขายังมีมู่เฉินซึ่งไม่สามารถประเมินกำลังการต่อสู้ได้ การเผชิญหน้ากับคนที่ครั้งหนึ่งเคยชนะลู่สุยด้วยกำปั้นเดียว แม้แต่หานซันยังรู้สึกกลัวในใจ
จากการคาดการณ์กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดสี่ถึงห้าคนก็ไม่สามารถได้เปรียบเขา
จิงเลี่ยมองหานซันพลางยิ้มอย่างเย็นชา “ข้าได้ยินชื่อหานซันแห่งเผ่าแรดอสูรมานาน ดูเหมือนว่าข้าจะได้ลิ้มรสในวันนี้แล้ว”
เขาเอ่ยชื่อว่าจะต่อกรกับหานซัน เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจที่จะจัดการกับอีกฝ่าย
“ปล่อยจิ่วโยวเผ่าวิหคโลกันตร์มาให้ข้า” ฮั่วหยังมองจิ่วโยวอย่างดุดัน ในมุมมองของพวกเขามีเพียงหานซัน จิ่วโยวและมั่วเฟิงเท่านั้นที่สมควรที่จะให้ความสำคัญ ส่วนคนที่เหลือไม่มีอะไรน่ากังวลเลย
สำหรับไอ้บ้าที่ตั้งค่ายกลก่อนหน้านี้ก็มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น สามารถฆ่าได้ง่ายยิ่งกว่าพลิกมือเสียอีก
“จิงกังพาอีกคนไปจัดการกับคนนั้น” จิงเลี่ยหันไปมองชายผมสีทองก็พูดเสียงเบา คนที่เขาพูดถึงเป็นมั่วเฟิงอย่างไม่ต้องสงสัย
ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังจิงเลี่ยมีร่างกำยำราวกับว่าทำมาจากโลหะ ผิวของเขาออกสีทองเหลือง แม้ว่าจะไม่สามารถเทียบเคียงได้กับวีรบุรุษคู่ทองคำได้ แต่เขาก็มีชื่อเสียงเช่นกัน เมื่อบวกกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอีกคน แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเอาชนะมั่วเฟิงได้ แต่การรั้งไว้ก็น่าจะไม่ยาก
“รับทราบ!”
จิงกังยิ้มเผยให้เห็นฟันขาว สายตาคมชัดราวกับใบมีดจับจ้องไปที่มั่วเฟิง
ทว่าเผชิญหน้ากับการจ้องมองราวกับหมาป่านั้น มั่วเฟิงก็ยังคงแสดงออกอย่างเฉยเมย ไม่มีระลอกคลื่นอารมณ์ใดๆ
“อีกห้าคนไปจัดการพวกมันที่เหลือซะ” จิงเลี่ยพูดอย่างไม่แยแส นอกเหนือจากหานซัน จิ่วโยวและมั่วเฟิงแล้ว อีกฝ่ายยังมีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดธรรมดาอีกหยิบมือ การส่งจอมยุทธ์ห้าคนไปน่าจะสามารถจัดการกับพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว
จิงเลี่ยแจกจ่ายงานให้พรรคพวกอย่างรวดเร็ว ดูจากการแบ่งงานก็น่าจะปราบปรามกลุ่มหานซันได้อย่างสมบูรณ์
เห็นได้ชัดว่าจิงเลี่ยมีความมั่นใจในชัยชนะ
จิงเลี่ยยืนเอามือไพล่หลัง สายตาเยาะเย้ยมองหาหานซัน จิ่วโยวและคนอื่นๆ “ถ้าข้าเป็นพวกเจ้าก็คงหนีไปตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ตอนนี้ถึงจะสามารถหลีกเลี่ยงอสูรวิญญาณได้แล้วไง? ก็ยังส่งตัวเองไปที่ปากหลุมความตายอยู่ดี”
ฮั่วหยังยืนอยู่ข้างจิงเลี่ยก็ยิ้มเย้ยหยันพลางมองไปที่กลุ่มหานซันด้วยความสงสาร ชายคนนั้นคิดว่าที่เขาบอกว่าชอบทำงานกับคนที่ประสบความสำเร็จมากกว่าเป็นการพูดเล่นรึ?
เผ่าราชสีห์ทองคำเตรียมตัวมาดี ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่หานซันจะสั่นคลอนได้
หลังจากแจกจ่ายงานเสร็จ จิงเลี่ยก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ร่างเขาวูบไหวกลายเป็นแสงสีทองมาปรากฏตัวไม่ไกลจากหานซัน คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งออกมา สายตาที่ดุร้ายราวกับสิงโตแฝงกลิ่นคาวเลือดหนาแน่นพุ่งไปที่หานซัน
“หวังว่าแกจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังมากนะ” จิงเลี่ยพูดเบาๆ
สีหน้าของหานซันเหี้ยมเกรียมลง เขายิ้มไม่ได้ตอบอะไร แต่คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกลับระเบิดออกมาจากร่างราวกับภูเขาไฟ ก่อรูปร่างเป็นแรดดึกดำบรรพ์ที่กำจายรัศมีดุร้ายเชี่ยวกราก
จังหวะที่จิงเลี่ยเผชิญหน้ากับหานซัน ฮั่วหยังก็ปรากฏตัวต่อหน้าจิ่วโยว
จิ่วโยวกวาดสายตาเย็นชามองอีกฝ่าย ไม่พูดโต่ตอบให้เมื่อยปาก เปลวไฟสีม่วงลุกลามบนเรียวแขน
วาบ!
จิงกังนำจอมยุทธ์อีกคนประกบข้างมั่วเฟิงพลางยิ้มกริ่ม แม้ท่าทางจะดูซื่อ แต่สายตาก็ดุร้ายมาก “อยู่นิ่งๆ ซะเถอะ”
เวลาเดียวกันจอมยุทธ์ห้าคนก็สร้างค่ายกลรูปพัด ก่อนที่จะทะยานออกไปที่เบื้องหน้ามู่เฉิน มั่วหลิงและจอมยุทธ์เผ่าแรดอสูร สายตามีแต่ความเย้ยหยัน
ในสายตาพวกเขา มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดสองคนของเผ่าแรดอสูรเท่านั้นที่ถือว่าพอใช้ได้ สำหรับมู่เฉินและมั่วหลิงไม่มีนัยสำคัญอะไรเลย
“พี่มู่ พวกข้าจะจัดการสามคนนั่น ที่เหลือปล่อยให้พวกเจ้าจัดการนะ” จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรมองมู่เฉินและพูดอย่างสุภาพ
หลังจากได้เห็นพลังการต่อสู้ของมู่เฉิน เขาก็รู้ว่าถ้าจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดธรรมดาสู้กับอีกฝ่ายก็เป็นเพียงการหาความอัปยศให้กับตนเอง
มู่เฉินไม่ตอบแต่สายตาไม่ได้หยุดอยู่ที่จอมยุทธ์เหล่านี้ สายตาพุ่งตรงไปในระยะไกล นอกจากจิงเลี่ย ฮั่วหยังและคนอื่นๆ เผ่าราชสีห์ทองคำและเผ่าหมาป่าเวหะยังเหลือจอมยุทธ์อีกสามคนนั่งอยู่ข้างสนาม
แต่ความผันผวนของพลังงานรอบตัวทั้งสามก็ไม่ได้ทรงพลังอะไรเพราะอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมจิงเลี่ยไม่ได้ให้พวกเขาเคลื่อนไหว
สายตาคมกริบของมู่เฉินกวาดผ่านทั้งสามก่อนที่จะถอนออกมาด้วยแววตาวูบไหว จากนั้นเขาก็โบกมือให้จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรทั้งสาม “พวกเจ้าถอยไปเถอะ ปล่อยพวกมันให้ข้า”
เอ่อ…
เมื่อเขาพูดไม่เพียงแต่จอมยุทธ์ทั้งห้าที่พุ่งเข้ามาจะอึ้งไป แม้แต่จอมยุทธ์สามคนของเผ่าแรดอสูรและมั่วหลิงก็ตกตะลึงไปเช่นกัน
เขาคิดจะจัดการจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดห้าคนด้วยตัวเองเหรอ?
นี่อาจเป็นเรื่องยากแม้กระทั่งสำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดเลยมั้ง?
“หึ… รนหาที่ตายจริงๆ”
อีกมุมหนึ่งจิงเลี่ยเปล่งเสียงหัวเราะเยาะออกมาก่อนที่จะโบกมือโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ “ฆ่ามันซะ”
ในสายตาของเขาการกระทำของมู่เฉินชัดว่าเป็นการโอ้อวด ซึ่งโง่มาก
ทั้งห้ามีสายตาแปลกประหลาดมองไปที่มู่เฉินด้วยความสงสารบนใบหน้า ชายคนนี้บ้าไปจากการถูกบังคับให้อยู่ในความสิ้นหวังเรอะ? หากเป็นเช่นนั้นเขาก็น่าสงสารจริงๆ
หานซัน จิ่วโยวและมั่วเฟิงแลกเปลี่ยนสายตากัน แม้พวกเขาจะรู้ถึงพลังในการต่อสู้ของมู่เฉินว่าไม่ธรรมดา แต่จะยากเกินไปไหมที่เขาจะจัดการกับจอมยุทธ์ห้าคน?
แม้ว่าพวกเขาจะสงสัยในใจ แต่หานซันก็ยังพยักหน้าให้พรรคพวก เนื่องจากความไว้ใจ
ดังนั้นทั้งสามจึงถอยกลับมาด้วยสีหน้าแปลกประหลาด ยังไงหากสถานการณ์ดูไม่ดี พวกเขาก็สามารถกระโจนเข้าไปช่วยได้ ด้วยพลังของมู่เฉิน เขาไม่น่าจะเป็นอะไร
จอมยุทธ์ทั้งห้าถลกแขนขึ้น มองไปที่มู่เฉินคล้ายกับมองลิงติดบ่วง ไม่มีท่าทางรีบร้อน สายตาเยาะเย้ยถากถาง
ทว่ามู่เฉินยังยืนนิ่งอยู่บนพื้น โดยที่ดวงตาหลับลง
อีกมุมหนึ่งเมื่อจิงเลี่ยเห็นท่าทางของมู่เฉิน เขาก็ขมวดคิ้วและรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ขณะที่ความรู้สึกทะลักเข้ามาในใจ ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงบางอย่างออก ใบหน้าเปลี่ยนไป “ฆ่ามัน มันกำลังตั้งค่ายกล!”
ทั้งห้าที่กำลังฉายรอยยิ้มบนใบหน้าก็สีหน้าเปลี่ยนทันที คลื่นหลิงทะลักออกมาจากร่าง
แต่จังหวะนั้นมู่เฉินก็ลืมตา มองไปที่ทั้งห้าที่พุ่งพรวดเข้ามา ก็เผยให้เห็นแววเยาะเย้ยที่ริมฝีปาก
“ไอ้พวกโง่ซ้ำซ้อน…”
หลังจากพูดจบ สัญลักษณ์หลิงยิ่งที่ควบแน่นนับร้อยนับพันก็บินฉวัดเฉวียนออกมาจากนิ้วมือ รวมเข้ากับฟ้าดินอย่างรวดเร็ว
ครืน!
ทั่วบริเวณสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น คลื่นหลิงระเบิดราวกับพายุทอร์นาโด
มู่เฉินสะบัดนิ้วทั้งสิบ เสียงแผ่วเบาเปล่งออกจากปาก
“ค่ายกลระดับเทียน ค่ายกลเทพเผาผลาญ!”
บทที่ 1030 ต้นหญ้า
ครืน!
คลื่นหลิงไร้ขอบเขตรุนแรงกวาดออกราวกับพายุในบริเวณนี้ ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ลวดลายแสงนับไม่ถ้วนกระจายออกราวกับใยแมงมุมที่มีจุดกำเนิดจากมู่เฉิน ไม่กี่อึดใจก็ครอบคลุมรัศมีพันจั้ง
ลวดลายแสงถักทอกันแล้วก่อตัวเป็นลวดลายลึกซึ้งในค่ายกลนี้พร้อมกับเกลียวแสงที่ทำให้คนอื่นรู้สึกหวาดกลัว
มู่เฉินยืนอยู่ในค่ายกล ลวดลายแสงสะท้อนในม่านตาสีดำทำให้เขาดูลึกลับอย่างยิ่ง ค่ายกลระดับเทียนที่เขาสร้างขึ้นนี้มีพลังทรงประสิทธิภาพสูงสุดในบรรดาค่ายกลที่มั่นถัวหลัวมอบให้ ขณะเดียวกันก็เป็นค่ายกลที่สร้างยากที่สุด
ดังนั้นเมื่อเขาเห็นจิงเลี่ย ฮั่วหยังและคนอื่นๆ ปรากฏตัว เขาก็แอบเตรียมการเรียบร้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจอมยุทธ์ห้าคนที่โง่เง่าที่ยืดเวลาให้กับเขา ดังนั้นค่ายกลที่แข็งแกร่งที่สุดที่มีจึงถูกวางลงอย่างสมบูรณ์
การมีค่ายกลล้อมรอบพื้นที่แห่งนี้ เขาก็อยู่ยงคงกระพันอย่างแท้จริง
ฟิ้ว!
แต่ชัดว่าจอมยุทธ์ทั้งห้าไม่รับรู้ถึงเรื่องนี้ พวกเขาพุ่งเข้ามาด้วยใบหน้าดุร้าย แสงดุร้ายในดวงตาราวกับต้องการฉีกมู่เฉินเป็นชิ้นๆ
ทั้งห้าเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน แรงที่ส่งออกมาทำเอาสั่นสะเทือนฟ้าดินไปหมด พลังงานหลิงที่ไร้ขอบเขตพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนที่ฝ่ามือทั้งห้าจะกระแทกลงไปที่มู่เฉิน
มู่เฉินยกเปลือกตาขึ้นแล้วสะบัดนิ้ว
ฮึ่ม!
ภายในค่ายกลเทพเผาผลาญ เสียงครางกระหึ่มสะท้อนก่อนที่แสงสีแดงเข้มสายหนึ่งจะพุ่งลงมาจากท้องฟ้า ยิงเข้าใส่จอมยุทธ์คนหนึ่ง
เมื่อลำแสงควงสว่านลงมา จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดคนนั้นก็สัมผัสได้ ทันใดนั้นเขาก็ไม่กล้าที่จะชักช้า คลื่นหลิงภายในร่างกายเร้าออกมาอย่างรุนแรง คลื่นพลังงานไร้ขอบเขตก่อร่างเป็นสิงโตทองคำขนาดใหญ่ เห็นได้ชัดว่าเขากลับสู่ร่างเทพอสูรแล้ว
โฮก!
สิงโตทองคำคำรามลั่นท้องฟ้า สั่นสะเทือนชั้นฟ้าไปหมด ลำแสงที่ดูเหมือนทำจากทองคำพุ่งออกมาทะยานไปยังลำแสงสีแดงเข้มสายนั้น
ฟิ้ว!
แสงสีแดงเข้มพาดผ่านไปอย่างเงียบๆ ลำแสงสีทองที่ดูทรงพลังกลับถูกแยกออกทันที ไม่สามารถขัดขวางลำแสงสีแดงเข้มได้แม้แต่เล็กน้อย
ลำแสงสีทองขาดกระจุย ใบหน้าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดคนนั้นก็เปลี่ยนไปรุนแรง ความกลัวเพิ่มขึ้นรีบถอยหนีจ้าละหวั่น
ฮึ่ม!
แต่ในทันทีที่ร่างเงานั้นถอยออกไป แสงสีแดงเข้มก็ทะลุผ่านมิติซัดลงไปที่หัว…
ชี่!
เสียงแสบแก้วหูดังก้อง ร่างจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดคนนั้นก็แข็งทื่อ สีหน้าแข็งค้าง อึดใจรอยเลือดก็ผุดขึ้นหว่างคิ้ว ก่อนที่จะกระจายออก…
ร่างจอมยุทธ์คนนั้นถูกแยกออกเป็นสองส่วน ดิ่งพสุธาลงมาจากท้องฟ้า คลื่นหลิงไร้ขอบเขตรอบตัวหายวับไปกับตา
ในเวลาไม่กี่อึดใจจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดคนหนึ่งก็ถูกฆ่าตาย
ฉากที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่เพียงแต่สร้างอาการขวัญหนีดีฝ่อให้จอมยุทธ์อีกสี่ที่กำลังพุ่งเข้ามา แม้แต่จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรและมั่วหลิงก็ตกตะลึงไป ใบหน้าฉายความไม่อยากเชื่อ
ไม่มีใครคิดว่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดจะถูกสังหารในพริบตา…
ไกลออกไปม่านตาจิงเลี่ยและฮั่วหยังก็หดลง ในเวลานี้แม้จะเป็นคนใจเย็นก็ยังไม่สามารถระงับหัวใจที่เต้นรัวได้
แม้ว่าคนที่ถูกสังหารจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดทั่วไป ถ้าในแง่การลงมือโจมตีจิงเลี่ยและฮั่วหยังก็มั่นใจว่าจะสามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ ทว่าหากพวกเขาต้องการทำให้สำเร็จง่ายดายเหมือนกับมู่เฉินก็เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้
“ค่ายกลระดับเทียน?!”
ใบหน้าของจิงเลี่ยเคร่งเครียดอย่างที่สุด ก่อนจะเขม่นมองใบหน้าของมู่เฉิน ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมจอมยุทธ์อย่างหานซันจึงสุภาพต่อมู่เฉินนัก ที่แท้ชายคนนี้เป็นหลิงเจิ้นต้าซือที่สามารถสร้างค่ายกลระดับเทียนได้
“ดูเหมือนครั้งนี้เจ้าจะมองผิดไปเยอะนะ” เมื่อหานซันที่กำลังเผชิญหน้ากับจิงเลี่ยได้เห็นฉากนี้ก็ยิ้มเยาะเย้ยออกมา
จิงเลี่ยเค้นเสียงเย็นแต่ไม่ได้พูดอะไรมาก มีเพียงสายตาที่สั่นไหว เขาต้องยอมรับว่าครั้งนี้ตัดสินใจผิดพลาดไป มู่เฉินคงจะเป็นตัวแปรสำคัญ
แต่ไม่ว่าอย่างไร สมบัติของอสูรโบราณโภคะจะต้องเป็นของเผ่าราชสีห์ทองคำ เขาไม่มีทางยอมให้คนอย่างมู่เฉินทำลายแผนแน่
ขณะที่ความคิดนี้ไหลเวียนอยู่ในใจของจิงเลี่ย มู่เฉินก็ปรายตามองคนตายอย่างไม่แยแส ก่อนที่จะเลื่อนสายตาไปหาอีกสี่คนที่เหลือ
เมื่อจอมยุทธ์ทั้งสี่เห็นการจ้องมองของมู่เฉินก็รู้สึกว่าหนังหัวชาดิก อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปหลายก้าว มองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความหวาดกลัว จุดที่ลวดลายเกี่ยวพันกัน เหมือนจะมีแสงสีแดงเข้มรวมตัวกันอีกครั้ง
ประจักษ์สายตากับพลังของแสงนี้ไปแล้ว เห็นชัดว่าพวกเขาก็ไม่กล้าประมาทอีกต่อไป
ฮึ่ม
ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับอาการตกตะลึงของใคร เขาพลิกนิ้ว เส้นใยแสงสีแดงเข้มอีกสายก็รวมตัวกันหมุนคว้าง แม้จะดูคลุมเครือ แต่ก็มีความผันผวนที่น่ากลัวอย่างมากแผ่ออกไป
แสงนี่รู้จักกันในชื่อแสงเทพเผาผลาญ ซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงที่สุดของค่ายกลเทพเผาผลาญ ค่ายกลชนิดนี้ใช้วิธีการที่ลึกซึ้งในการแปลงและบีบอัดคลื่นหลิงกลายเป็นแสงเทพเผาผลาญ แสงนี่ไม่มีอะไรปิดกั้นได้ สามารถแยกมิติออกจากกันได้เลยทีเดียว
ข้อเสียอย่างเดียวก็คือความยากลำบากในการกลั่นแสงเทพเผาผลาญสูงเกินไป กระทั่งมู่เฉินที่เตรียมสัญลักษณ์หลิงยิ่งมากมายเพื่อยกระดับพลังของคลื่นหลิงให้สูงสุด แต่ค่ายกลก็เพียงกลั่นเส้นใยแสงเทพเผาผลาญได้น้อยนิดเท่านั้น
แต่ก็มากพอแล้วที่จะจัดการกับคนเหล่านี้
ไม่มีริ้วคลื่นในดวงตาของมู่เฉิน อึดใจนิ้วมือเขาก็แตะลง แสงเทพเผาผลาญบีบกดลงมาอีกครั้ง
สีหน้าจอมยุทธ์ที่เหลือเปลี่ยนไปรุนแรง ครั้งนี้พวกเขาไม่มีความคิดสกัดอีกแล้ว เลือกถอยกลับออกไปทันทีโดยไม่ลังเล
ฟิ้ว!
แต่การล่าถอยของพวกเขาไร้ความหมายสิ้นเชิง แสงเทพเผาผลาญเจาะทะลุมิติอีกครั้ง ทะลวงเข้าไปที่หว่างคิ้วของจอมยุทธ์คนหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ทำลายจุดจื้อจุนไห่และพลังชีวิตทั้งหมดในตัว
รอยเลือดปรากฏตรงหว่างคิ้ว ท่าทางแข็งทื่อจากนั้นก็หน้าทิ่มลง
ฆ่าด้วยกระบวนท่าเดียวอีกแล้ว!
ใบหน้าของจอมยุทธ์สามคนซีดเผือด ทั่วสรรพางค์กายเย็นเยือก เมื่อมองไปที่มู่เฉิน แววตาของพวกเขาก็ราวกับเห็นยมทูตซึ่งอัดแน่นไปด้วยความหวาดกลัว
มู่เฉินยังคงฉายความเฉยเมยบนใบหน้า ขณะที่เคาะนิ้วอีกครั้ง เส้นใยสีแดงเข้มอีกสายก็พุ่งออกมาจากค่ายกลขณะที่หมุนคว้างก็เปล่งประกายเข้มลึกขึ้น ราวกับอสรพิษที่พร้อมฉกตลอดเวลา
“ออกจากเขตค่ายกล!” ขณะที่จอมยุทธ์ที่เหลือรู้สึกว่าร่างกายเย็นเฉียบลง เสียงคำรามของจิงเลี่ยก็แผดลั่น
เมื่อได้ยินเสียงคำราม พวกเขาก็ฟื้นคืนสติ หมุนตัวรีบหนีออกจากขอบเขตของค่ายกล
มู่เฉินหรี่ตาลง ริ้วแสงไหลมาที่ปลายนิ้ว
ขณะที่มู่เฉินเตรียมจัดการอีกครั้ง เสียงเกรี้ยวกราดของจิงเลี่ยก็ดังขึ้น “ไอ้เวร แกกล้าฆ่าคนจากเผ่าราชสีห์ทองคำของข้ารึ?!”
มู่เฉินยิ้มแต่ไม่ตอบและใช้การกระทำตอบแทน นิ้วสะบัดออกริ้วแสงสีแดงเข้มก็พุ่งไป หัวของจอมยุทธ์เผ่าราชสีห์ทองคำอีกคนก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว การป้องกันรอบตัวไม่สามารถช่วยได้แม้แต่น้อย
ในเมื่อเผ่าราชสีห์ทองคำคิดโหดใส่ เขาก็ไม่มีอะไรต้องกังวล ถ้าไม่แก้แค้นก็ไม่ใช่นิสัยมู่เฉินแล้ว
เมื่อจิงเลี่ยเห็นฉากนี้ ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ สายตาราวกับต้องการฉีกร่างมู่เฉินออกจากกัน
ที่ด้านหลังมู่เฉินจอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรสามคนก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณ พวกเขาก็รู้แล้วว่าพลังของมู่เฉินไม่ธรรมดา คนที่สามารถซัดลู่สุยจนหน้าคว่ำด้วยหมัดเดียวจะเป็นจอมยุทธ์ธรรมดาได้อย่างไร?
แต่เวลานั้นมู่เฉินก็ไม่น่ากลัวเท่าตอนนี้ ในมือเขาจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเป็นเหมือนต้นหญ้าที่เขาสามารถถอนทิ้งได้ทุกเมื่อที่ต้องการ
ตอนแรกพวกเขาไม่ค่อยพอใจที่หานซันเชิญกลุ่มมู่เฉินมาร่วมแบ่งสมบัติอสูรโบราณโภคะ แต่ตอนนี้พวกเขาดีใจมาก หากครั้งนี้ไม่มีมู่เฉินอยู่ด้วย บางทีพวกเขาคงไม่สามารถเดินออกจากสุสานหมื่นอสูรแบบมีชีวิตได้ด้วยซ้ำ
หลังจากจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดสามคนแล้ว สายตามู่เฉินก็มองคนที่เหลืออย่างไม่แยแส ใบหน้าของจอมยุทธ์ที่เหลือขาวซีด ร่างกายสั่นเทาด้วยความกลัว
แสงพล่านมารวมบนปลายนิ้วของมู่เฉินอีกครั้ง
โฮก!
ที่ระยะไกล จิงเลี่ยก็หมดความอดทน เขาปลดปล่อยเสียงคำรามเดือดดาล
“ฆ่ามัน!”
ขณะที่จิงเลี่ยคำราม มู่เฉินก็สะบัดนิ้ว ริ้วแสงสีแดงเข้มพุ่งออกมาเตรียมพร้อมสังหารจอมยุทธ์ที่เหลือ
ฟิ้ว!
ลำแสงนี้รวดเร็วมากปรากฏต่อหน้าจอมยุทธ์คนนั้นในพริบตา ทว่าขณะที่ลำแสงกำลังจะกวาดผ่าน พื้นดินก็สั่นสะเทือน แสงสีทองครอบงำหลายสายพุ่งมาจากขอบฟ้า ก่อนที่จะกระแทกอย่างแม่นยำบนจุดหลายจุด
ดวงตาของมู่เฉินหดลงอย่างรวดเร็ว
นั่นเป็นเพราะจุดเหล่านั้นเป็นจุดสำคัญของโครงสร้างค่ายกล
ปัง!
มิติผันแปร สัญลักษณ์หลิงยิ่งที่ซ่อนอยู่ก็แตกสลาย ทำให้ค่ายกลขนาดใหญ่ค่อยๆ จางหายลง เมื่อค่ายกลสั่นสะเทือน พลังของแสงสีแดงเข้มก็ลดลงอย่างมาก สุดท้ายแค่พุ่งเฉียดอกจอมยุทธ์คนนั้นไป ไม่สามารถฆ่าได้
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันส่งผลให้ใบหน้าของพวกหานซันเปลี่ยนไป นั่นเป็นเพราะพลังการโจมตีเมื่อครู่รุนแรงกว่าจิงเลี่ยเสียอีก
ใครกัน?
มู่เฉินมองค่ายกลที่ค่อยๆ สลาย ก็เบ้ปากเบาๆ จากนั้นเขาก็มองไปตรงทิศที่พวกธรรมดาสามคนนั่งอยู่
ม่านตาของมู่เฉินจับจ้องไปที่ชายคนสุดท้ายพร้อมกับแสงวูบไหวในดวงตา
ในที่สุดก็ระงับใจไม่ไหวแล้วรึ?
บทที่ 1031 จิงฉิงเทียน
แสงสีทองครอบงำกวาดออก
ทำให้พื้นที่ทั้งหมดตกอยู่ในสภาพวินาศสันตะโร แต่หานซัน จิ่วโยวและคนที่เหลือกลับมีสีหน้าเปลี่ยนไปฉับพลัน จากนั้นก็หันกลับมองไปในระยะไกลด้วยสายตาเคร่งเครียด
ที่ตรงนั้นจอมยุทธ์สามคนที่ไม่มีใครให้ความสนใจตั้งแต่แรก ร่างธรรมดาร่างหนึ่งก็ค่อยๆ ก้าวย่างออกมา เขามีรูปร่างผอมเพรียว แต่เมื่อเขาเดินออกมาก็มีแรงกดดันที่อธิบายไม่ได้กระจายออกไป
“ไม่คิดว่าตัวเองจะถูกบังคับให้แสดงตัวที่นี่… ตอนแรกข้าคิดแค่ต้องการปะทะกับอัจฉริยะเผ่าเทพอสูรระดับสูงเท่านั้น”
เมื่อร่างนั้นเงยหน้าขึ้นก็เผยให้เห็นใบหน้าที่ดูธรรมดามาก แต่เมื่อเขายิ้มความคมชัดที่น่าสะพรึงก็รวมกันอยู่ในดวงตา
“เจ้าคือ…จิงฉิงเทียน?!”
เมื่อหานซันเห็นชายผู้นี้ม่านตาก็หดลงอดร้องอุทานออกมาไม่ได้ “ได้ข่าวว่าเจ้ากำลังปิดตัวฝึกยุทธ์เพื่อเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นแปดไม่ใช่เหรอ?”
“จิงฉิงเทียน?” มู่เฉินหดดวงตาลงเช่นกัน ชายคนนี้ก็คือหัวหน้ากลุ่มที่ได้รับฉายาว่าวีรบุรุษคู่ทองคำ—จิงฉิงเทียน แต่ฉายานั่นไม่เหมาะกับรูปร่างธรรมดาของเขาเลย
“ง่ายที่จะบรรลุได้ยังไง ดังนั้นข้าจึงออกมาเพื่อหาโอกาสน่ะ…” จิงฉิงเทียนยิ้มขณะยกมือขึ้น ลวดลายหลิงที่แผ่นหลังก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อลวดลายหายไป ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่ทรงพลังผิดปกติลุกโชนขึ้นในร่างกายของเขา
“เจ้าน่าจะสัมผัสถึงข้าได้แล้วสินะ?” จิงฉิงเทียนมองไปที่มู่เฉิน
สายตาของมู่เฉินวูบไหว ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ ดังนั้นจึงตั้งระวังไว้ในใจ ตอนที่เขาสังหารจอมยุทธ์เหล่านั้นทีละคน ก็มีเป้าหมายที่จะบังคับให้อีกฝ่ายแสดงตัวตนออกมาเช่นกัน
ทว่าความอดกลั้นของชายคนนี้เกินความคาดหมาย ตอนแรกมู่เฉินต้องการใช้พลังของค่ายกลเทพเผาผลาญฆ่าอีกฝ่ายทันทีที่เขาเผยตัวตนออกมา แต่ใครจะคิดว่าเขาจะทนได้นานขนาดนั้น? ไม่เพียงแต่จะรอจนกระทั่งพลังของค่ายกลลดลงไปครึ่งหนึ่ง ซ้ำยังสามารถหาได้ว่าแถวแสงที่สำคัญอยู่ที่ไหน เมื่อเคลื่อนไหวก็ทำลายสัญลักษณ์หลิงยิ่งและทำลายล้างค่ายกลอย่างรุนแรง
ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งหรือความคิดก็ลึกและยากหยั่ง
“เจ้าช่างโหดเหี้ยม” มู่เฉินพูดเสียงเบา หากชายคนนี้แสดงตัวให้ไวก็สามารถช่วยพรรคพวกไว้ได้
จิงฉิงเทียนยิ้ม “ข้าจะฝังเจ้าไว้กับพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจะไม่ตายอย่างไร้ค่า”
“งั้นเหรอ?” มู่เฉินหรี่ตาลง
“มู่เฉินระวังตัว ชายคนนี้เป็นยอดอัจฉริยะที่หาได้ยากในเผ่าราชสีห์ทองคำ ซึ่งเทียบได้กับอัจฉริยะเผ่าเทพอสูรชั้นนำเลยทีเดียว ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเขาก็ยังได้รับการพิจารณาให้อยู่ในอันดับต้นๆ ด้วย” เสียงเคร่งเครียดของหานซันถูกส่งมาซึ่งเต็มไปด้วยความพรั่นพรึง
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ เขาสัมผัสได้ถึงรัศมีอันตรายที่ถูกปล่อยออกมาจากร่างจิงฉิงเทียนซึ่งแข็งแกร่งกว่าหานซันมาก ชายคนนี้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมา
นั่นคือระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดแท้จริง แม้แต่หานซัน จิ่วโยวและคนอื่นก็อ่อนแอกว่าเขา
“ฮี่ๆ ในเมื่อเขาถูกบีบให้ต้องแสดงตัว วันนี้พวกแกทุกคนก็หนีไม่รอด” ฮั่วหยังสาดยิ้มเยาะเย้ย เขาไม่แปลกใจกับการปรากฏตัวของจิงฉิงเทียน ชัดว่ารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาไม่ลังเลที่จะหักหลังหานซัน นอกจากนี้ยังเชี่อว่าเผ่าราชสีห์ทองคำจะเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย
“แม้ว่าค่ายกลของมันจะมีความสามารถบ้าง แต่ตอนนี้สลายหมดแล้ว หากไม่มีเวลาเพียงพอ มันก็ไม่สามารถสร้างได้อีก!”
เมื่อสักครู่มู่เฉินได้เปิดเผยการใช้ค่ายกลไปแล้ว ดังนั้นด้วยความคิดของจิงฉิงเทียน เขาไม่มีทางให้มู่เฉินตั้งค่ายกลได้อีกแน่นอน มู่เฉินก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นตั้งแต่การปรากฏตัวของจิงฉิงเทียน เขาก็ไม่คิดจะสร้างค่ายกลเพื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
“เร็วไปหน่อยมั้งที่จะเฉลิมฉลอง” จิ่วโยวเย้ยหยันเสียงเยือกเย็น จิงฉิงเทียนเป็นจอมยุทธ์ไม่ธรรมดาก็จริง แต่ถ้าเขาคิดว่าไพ่ตายของมู่เฉินเป็นค่ายกลละก็ ผิดถนัดแล้ว
เมื่อฮั่วหยังได้ยินคำพูดของนาง เขาก็เค้นเสียงเยาะ คนเหล่านี้ยังคิดพึ่งเจ้าบ้าอย่างมู่เฉินอีกรึ? การเผชิญหน้ากับอัจฉริยะตัวจริงของเผ่าราชสีห์ทองคำ ไม่ต้องพูดถึงมู่เฉินที่ไร้ชื่อเสียง กระทั่งอัจฉริยะอันดับต้นๆ ของเผ่าเทพอสูรก็ต้องให้ความสำคัญกับจิงฉิงเทียน
“พี่มู่ ต้องการให้พวกข้าช่วยไหม?” จอมยุทธ์สามคนเผ่าแรดอสูรก็ทะยานเข้ามาด้วยความระมัดระวัง พวกเขาเหลือบมองจิงฉิงเทียนอย่างหวดาผวา ก่อนที่จะถามเสียงเบา
มู่เฉินส่ายหัวเบาๆ จิงฉิงเทียนทรงพลัง จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดธรรมดาไม่สามารถเผชิญหน้าได้ หากพวกเขาเข้ามาช่วยในการต่อสู้ เขายังต้องแยกความสนใจในการปกป้อง ทำให้สูญเสียประสิทธิภาพในการต่อสู้ของตนเองไป
เมื่อทั้งสามรับรู้ก็ไม่พูดอะไรถอยฉากออกไปทันที แม้ว่าจะค่อนข้างน่าอับอาย แต่พวกเขาก็รู้ว่าจะต้องทนทุกข์ทรมานแน่หากเข้าไปยุ่งในการต่อสู้ระดับนี้
“ดูเหมือนว่าเจ้ามั่นใจในตัวเองมากเลยนะ?” จิงฉิงเทียนก้าวสามขุมเข้ามาช้าๆ หยุดอยู่ห่างจากมู่เฉินประมาณร้อยก้าว เขามองมู่เฉินด้วยสายตาประหลาดใจ
“ไม่งั้นล่ะ?” มู่เฉินยิ้มอย่างไม่เกรงกลัว
จิงฉิงเทียนพยักหน้าเบาๆ “จิงเลี่ยตาไม่ดี มองไม่ออกเลยว่าเจ้านี่แหละที่เป็นตัวปัญหาใหญ่ที่สุดในกลุ่มนี้ แต่…นี่อาจยังไม่เพียงพอ”
ชายคนนี้ดูธรรมดามากไม่มีอะไรโดดเด่น แต่เมื่อเขาพูดก็มีความรู้สึกกดขี่กวาดออก ตอนนี้เขาถึงได้สมกับชื่อเสียงในฐานะอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าราชสีห์ทองคำ
“งั้นก็ชี้แนะด้วย”
แสงสีทองรวมตัวกันในดวงตาของมู่เฉิน นับตั้งแต่เข้าสู่ดินแดนเสินโซ่ เขาก็ได้พบกับอัจฉริยะจำนวนมากและส่วนใหญ่ไม่อ่อนแอ คุณภาพของพวกเขาสูงกว่าอัจฉริยะภูมิภาคทางเหนือมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะจิงฉิงเทียนที่ยืนอยู่ต่อหน้า ชายผู้นี้เป็นตัวอันตรายที่สุดในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นใหม่ที่เขาเจอมา
แต่เผชิญหน้ากับศัตรูที่อันตรายเช่นนี้ไม่เพียงแต่มู่เฉินจะไม่กลัว เขายังรู้สึกถึงเลือดในกายเดือดพล่าน นับตั้งแต่เขาบรรลุขั้นสองของวิชากายามังกรหงส์ เขายังไม่เคยมีประสบการณ์การต่อสู้ที่บีบรัดหัวใจเลย
ครั้งก่อนที่ต่อสู้กับจงเถิง แม้แต่ชายคนนั้นก็ไม่สามารถบังคับให้เขาใช้กำลังทั้งหมดที่มีได้
ดังนั้นมู่เฉินก็อยากรู้ว่าตัวเขาจะเป็นอย่างไรเมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดหลังจากเร้ากายามังกรหงส์ไปถึงขีดสุด
จิงฉิงเทียนมองมู่เฉินที่กำจายรัศมีออกมาอย่างช้าๆ ก็หดดวงตาลง “ช่างเป็นพลังกายที่ทรงประสิทธิภาพนัก…”
แม้จะยังไม่ได้สู้ แต่เขาก็สามารถรู้สึกถึงภัยคุกคามที่ทรงพลังที่มาจากพลังกายของมู่เฉิน จากการประเมินของเขาเพียงแค่พลังกายของมู่เฉินก็ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดธรรมดาจะเผชิญได้แล้ว
“ข้าต้องการท้าทายจอมยุทธ์หลายคนในการพัฒนาครั้งนี้ ตอนนี้เจ้ามีคุณสมบัติที่จะเป็นหินรองเท้าให้ แต่น่าเสียดายที่หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ที่นี่จะกลายเป็นสุสานของเจ้า”
จิงฉิงเทียนสูดหายใจลึก ความกระหายเลือดพลุ่งพล่านในดวงตา เขามองไปที่มู่เฉินก็ยิ้มกริ่ม สายตาถูกปกคลุมไปด้วยจิตสังหาร ทำให้ดูดุร้ายยิ่งขึ้น
เขาเห็นมู่เฉินเป็นหินรองเท้าสำหรับการพัฒนาไปแล้ว!
“กลัวว่าดาบของเจ้าจะคมไม่พอ ระวังทู่ซะก่อนละ”
มู่เฉินยิ้มบางพร้อมกับย้อนเสียงเรียบ แต่ความหมายที่แฝงอยู่กลับไม่ยอมใคร แม้จะต้องเผชิญกับสีหน้าของจิงฉิงเทียนซึ่งค่อยๆ เปลี่ยนเป็นป่าเถื่อน มู่เฉินก็ไม่คิดจะถอยหนีสักนิด
“ฮ่าฮ่า ดี! แกกล้าดี!”
เมื่อจิงฉิงเทียนได้ยินคำพูดของมู่เฉิน เขาก็ไม่โกรธกลับหัวเราะสมใจลั่นฟ้า สุดท้ายเสียงหัวเราะก็กลายเป็นเสียงคำรามของราชสีห์ดังกึกก้องไปทั่วขอบฟ้า ทำให้พื้นดินโยกคลอนไปหมด
แสงสีทองครอบงำไร้ขอบเขตระเบิดออกมาจากร่างกายพร้อมกับเส้นผมและดวงตาของจิงฉิงเทียนเปลี่ยนเป็นสีทอง เมื่อมองจากระยะไกลดูเหมือนสิงโตทองคำดึกดำบรรพ์ที่มีพลังอันน่าอัศจรรย์
คลื่นหลิงรุนแรงกวาดออกราวกับคลื่นยักษ์กวนตัวในมิติ พลังนี้ทำให้แม้แต่ใบหน้าของหานซันและจิ่วโยวยังเปลี่ยนไป
“ฮ่าๆ นานแค่ไหนแล้ว ไม่มีคนกล้าพูดกับข้าในลักษณะนี้”
ดวงตาสีทองของจิงฉิงเทียนจ้องเขม็งไปที่มู่เฉิน จากนั้นเขาก็ยิ้มกริ่มพลางหัวเราะร่า “แต่ถ้าเจ้าทำให้ข้ารู้สึกว่าไม่มีคุณสมบัติที่จะพูดคำเหล่านี้ ข้าจะหักกระดูกแกทีละท่อนเลย!”
“ตู้ม!”
เมื่อพูดจบจิงฉิงเทียนก็กระทืบเท้า พื้นดินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้ายุบตัวลง ร่างทะยานออกไปกลายเป็นแสงสีทองแล้วหายวับไป
เมื่อจิงฉิงเทียนหายตัวไป แสงสีทองก็พวยพุ่งในดวงตามู่เฉิน นั่นเป็นผลจากการเร้าวิชากายามังกรหงส์ ฝ่าเท้าเคาะลง ร่างกลายเป็นลำแสงถอยออกมา
ตู้ม!
กำปั้นทองคำทะลุผ่านมิติปรากฏในตำแหน่งที่มู่เฉินยืนอยู่ก่อนหน้า ทันใดนั้นชั้นมิติแปรปรวน รอยแตกปรากฏขึ้น ชั้นดินพังทลาย
พลาดเป้าไป สีหน้าของจิงฉิงเทียนก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง เขาเหวี่ยงกำปั้นทั้งสองออกไปอีกครั้ง ดูราวกับเทพสายฟ้าควงค้อน ทำให้เกิดเสียงดังก้องและพลังรุนแรง
ร่างของมู่เฉินถอยกลับอีกครั้งราวกับต้องการหลบหนี
“ทำไม? เมื่อครู่เจ้าแค่พูดจาวางกล้ามใหญ่โตเหรอ? ทำไมถึงได้น่าอนาถเช่นนี้?” จิงฉิงเทียนเปิดตัวโจมตีไม่ยั้ง เสียงหัวเราะดังขึ้นตามมา
มู่เฉินที่ถอยออกไปก็หยุดชะงักกึก แสงสีทองพวยพุ่งขึ้นถึงขีดสุดในส่วนลึกของรูม่านตา ก่อนที่เขาจะกำหมัดอย่างช้าๆ
บนแขนจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงปรากฏขึ้น ขณะที่พัวพันไปบนท่อนแขนของเขา เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าก็ดังสะท้อนรุนแรงภายในร่างกายของมู่เฉิน ทำให้กระแสโลหิตและรัศมีปั่นป่วน คลื่นหลิงอาละวาดมากขึ้น
ตู้ม!
แสงสีทองระเบิดที่มิติเบื้องหน้า ร่างจิงฉิงเทียนก็วาบขึ้นมาอีกครั้ง หมัดทองคำของเขาปกคลุมเข้ามาราวกับสิงโตกลืนกินท้องฟ้า เหมือนสามารถทำลายแผ่นดินได้เลยทีเดียว
แต่เผชิญหน้ากับการโจมตีที่น่าตกใจของจิงฉิงเทียน มู่เฉินก็ไม่ถอย เพราะเขารู้สึกได้ว่ากายามังกรหงส์เดือดพล่านถึงขีดสุดแล้ว
เขาไม่สามารถหยุดยั้งพลังระเบิดที่ต้องการระเบิดได้แล้ว
ในเมื่อไม่สามารถระงับได้อีกต่อไปก็ระเบิดกันเลย!
ให้ข้าดูสิว่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดจะทรงพลังมากแค่ไหน!
แสงสีทองวาบขึ้นในม่านตาดำของมู่เฉิน แต่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง หมัดที่แผ่ซ่านแสงสีทองก็พุ่งออกไปในเวลานี้
จังหวะนั้นหมัดทรงพลังทั้งสองก็ปะทะกันภายใต้สายตาแข็งค้างมากมาย
บทที่ 1032 ปะทะอย่างดุเดือด
ตู้ม!
แสงสีทองป่าเถื่อนกวาดออกมาทั่วบริเวณ ราวกับดวงอาทิตย์ลุกโชติช่วงในจุดที่ปะทะกัน คลื่นกระแทกทองคำน่าสะพรึงทำลายล้างเป็นวงกว้าง พื้นดินพังทลายทีละชั้น..ละชั้นจากแรงปะทะ
จอมยุทธ์สามคนเผ่าแรดอสูรกับมั่วหลิงได้ถอยห่างออกไปนานแล้ว แต่ถึงกระนั้นคลื่นกระแทกก็ยังส่งผลทำให้พวกเขารู้สึกเจ็บปวดบนผิวหนัง
แต่ละคนจ้องมองที่จุดกำเนิดของแสงสีทอง ตรงจุดนั้นเมื่อดวงอาทิตย์สีทองปรากฏขึ้นที่แสงสีทองอันน่าสะพรึงก็ระเบิดออกมาอีกครั้ง
ปัง!
แสงสีทองกวาดออก ร่างสองร่างก็พุ่งถอยออกมาทันที
ทุกย่างก้าวของมู่เฉินทำให้เกิดปากหลุมแผ่ออกไประยะร้อยจั้งบนพื้นดิน เกิดระลอกคลื่นในมิติขณะสร้างความผันผวน
มู่เฉินถอยหลังไปได้หลายสิบก้าวก่อนจะทรงตัวได้มั่นคง แสงสีทองพวยพุ่งขึ้นบนพื้นผิวทำให้เขาดูทนทานอย่างยิ่ง แต่ยามนี้เขามีสีหน้าเคร่งเครียดขณะมองไปที่เบื้องหน้า
หมัดเมื่อครู่เขาได้เร้าวิชากายามังกรหงส์ขั้นสองจนถึงขีดสุด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่สามารถได้เปรียบในกระบวนท่านี้
พลังของจิงฉิงเทียนเกินกว่าระดับของจงเถิงไปไกลอย่างแท้จริง
ขณะที่ใบหน้าของมู่เฉินมืดครึ้ม จิงฉิงเทียนก็ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้าพร้อมกับก้มมองที่กำปั้นของตัวเองโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ทว่าในดวงตากลับมีแรงสั่นสะเทือนวูบวาบ
“พลังกายแข็งแกร่งอะไรอย่างนี้!” จิงฉิงเทียนมองมู่เฉินขณะพูดช้าๆ
แม้ว่าหมัดของมู่เฉินจะไม่ทำให้เขาบาดเจ็บ แต่เขารู้ว่าในการปะทะกระบวนท่าก่อนหน้าเขามีข้อเสียเปรียบเล็กน้อย ซึ่งหมายความว่าในแง่ของความแข็งแกร่งทางพลังกายเพียงอย่างเดียว มู่เฉินแข็งแกร่งกว่าเขาด้วย
ดังนั้นแม้แต่เขายังอดตกใจไม่ได้เลย เพียงแค่พลังกายของมู่เฉินอย่างเดียว ก็เปรียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้ว มิน่าล่ะภัยคุกคามที่เขารู้สึกจากมู่เฉินที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเท่านั้นกลับเกินกว่าจอมยุทธ์ส่วนใหญ่ในขั้นเจ็ด
จากที่ไกลใบหน้าของจิงเลี่ย ฮั่วหยังและคนอื่นๆ ที่มองการต่อสู้ก็เปลี่ยนไป ในเวลานี้พวกเขาถึงได้เข้าใจว่าในกลุ่มของคู่ต่อสู้ หานซันและจิ่วโยวไม่ได้เป็นภัยคุกคามมากที่สุด ตรงกันข้ามกลับเป็นมู่เฉินที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น
ชายคนนี้ไม่เพียงแต่สามารถสร้างค่ายกลระดับเทียน กระทั่งพลังกายของเขาก็สุดยอดไม่แพ้กัน
โชคดีที่เขามีขุมพลังระดับจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น ไม่เช่นนั้นหากอยู่ในขั้นเจ็ดละก็ วันนี้ต่อให้มีจิงฉิงเทียนอยู่ที่นี่ก็คงยากที่จะปราบปรามอีกฝ่ายได้
จิงเลี่ยและฮั่วหยังแลกเปลี่ยนสายตากันต่างก็รู้สึกโล่งใจ แม้ว่าเมื่อสักครู่มู่เฉินจะสกัดการโจมตีของจิงฉิงเทียนได้ แต่ก็เป็นเพราะจิงฉิงเทียนไม่ได้ใช้พลังหลิง ถ้าเขาใช้คลื่นระดับสูงสุดของขั้นเจ็ด กระทั่งมู่เฉินก็ต้องแพ้ยับแน่
บนท้องฟ้าจิงฉิงเทียนพยักหน้าเบาๆ “ไม่รู้ว่าเจ้าเพาะบ่มพลังกายให้ทรงพลังขนาดนี้ได้อย่างไร ในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นใหม่ที่ข้าได้พบน้อยมากที่มีคนสามารถฝึกฝนพลังกายได้ในระดับเดียวกับเจ้า”
พูดถึงตรงนี้จิงฉิงเทียนก็หยุดชะงัก จากนั้นรอยยิ้มอำมหิตและกระหายเลือดก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ดังนั้นเพื่อแสดงความจริงใจ ข้าจะให้เจ้าได้สัมผัสถึงพลังยิ่งใหญ่ของระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดมั่ง!”
ตู้ม!
ทันทีที่พูดจบ พายุทอร์นาโดพลังงานสีทองก็ระเบิดขึ้น ซึ่งเหมือนเชื่อมต่อระหว่างสวรรค์และโลก ช่างเป็นฉากที่น่าตื่นตายิ่งนัก
แรงกดดันคลื่นหลิงทรงพลังถูกปลดปล่อยออกมา
“แกกล้ารับหมัดจากข้าอีกไหม?!”
จิงฉิงเทียนยืนอยู่ท่ามกลางพายุทอร์นาโดราวกับเทพราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เผด็จการ เขาเงยหน้าหัวเราะเสียงดังพลางชกหมัดออกไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เมื่อหมัดพุ่งออกมา ไม่เพียงแต่มีพลังกายที่น่ากลัวระเบิดขึ้น ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือมีคลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งอยู่ด้วย
นี่เป็นสายธารทองคำที่ราวกับเชื่อมโยงระหว่างฟ้าดิน สิ่งใดที่ขัดขวางก็จะถูกทำลายอย่างสมบูรณ์
หมัดของจิงฉิงเทียนทำให้สีหน้าของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเปลี่ยนแปลง หากถูกซัดเข้าตัวต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่
ตอนนี้แม้แต่หานซัน จิ่วโยวและคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป พวกเขารู้สึกถึงภัยคุกคามทรงพลังถูกปล่อยออกมาจากหมัดของจิงฉิงเทียน
สายธารสีทองเชื่อมโยงฟ้าดินสะท้อนในม่านตาของมู่เฉิน สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเช่นกัน แต่กลับไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย
จิงฉิงเทียนทรงพลังอย่างแท้จริง แต่ก็เป็นเรื่องเพ้อฝันที่คิดจะทำให้เขากลัว
บางทีอาจมีความยากลำบากไปบ้างถ้ามู่เฉินต้องการเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดด้วยพลังกายเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าใครคิดว่าเขาอาศัยร่างกายล้วนๆ พวกเขาก็ถึงวาระแน่…
กร๊อบ
ทันใดนั้นมือของมู่เฉินก็กำแน่น อึดใจถัดมามิติก็ผันผวนอยู่ข้างหลัง มหาสมุทรคลื่นหลิงแผ่ซ่านออกมา นี่คือจุดจื้อจุนไห่ของเขา
ในจุดจื้อจุนไห่ ทะเลพลังดันคลื่นหมื่นจั้งขึ้นมา คลื่นหลิงไร้ขอบเขตสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
ฮา
มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกแล้วเหยียดมือออกพร้อมกับหันฝ่ามือไปข้างหน้า
แสงสีทองทรงพลังทะลุผ่านขอบฟ้า ขยายอย่างรวดเร็วในม่านตาของมู่เฉิน สุดท้ายก็กวาดเข้ามา
ทันทีที่คลื่นกระแทกน่าสะพรึงมาถึง จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็ปรากฏขึ้นบนแขนทั้งสองของเขา คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพุ่งออกมาจากฝ่ามือ ก่อร่างเป็นโล่มังกรหงส์ที่เบื้องหน้า
“โล่ทองคำมังกรหงส์!”
ตู้ม!
พริบตาที่สร้างโล่ทองคำขึ้น แสงสีทองทรงพลังก็พุ่งเข้าใส่ ทำให้มิติถึงกับบิดเบือน แต่ที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงก็คือไม่ว่าลำแสงสีทองจะอาละวาดแค่ไหน โล่ที่ดูบางเฉียบสีทองตรงเบื้องหน้ามู่เฉินก็ตั้งตระหง่าน ไม่มีร่องรอยการแตกสลาย
ลำแสงสีทองจางลง ก่อนที่จะหดตัวอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายคลื่นหลิงภายในก็สลายอย่างสมบูรณ์
เมื่อลำแสงสีทองหายไปโล่ทองคำก็แตกกลายเป็นประกายแสงสีทองปกคลุมท้องฟ้า
“แกเสียเปรียบแน่ถ้าดูถูกขุมพลังขั้นหกของข้า” เมื่อโล่ทองคำหายไปมู่เฉินก็มองจิงฉิงเทียนพร้อมรอยแย้มยิ้ม
จิงฉิงเทียนขมวดคิ้ว เขารู้สึกได้คลุมเครือว่าถึงแม้การฝึกฝนขุมพลังหลิงของมู่เฉินจะอยู่ที่ระดับจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น แต่ความแข็งแกร่งของคลื่นหลิงก็อยู่เหนือกว่าจอมยุทธ์คนอื่นๆ ในระดับเดียวกัน
ไม่ว่าจะเป็นพลังกายหรือพลังหลิง มู่เฉินก็มีความสามารถสูง
ตัวปัญหาจริงๆ
แต่ก็มีเพียงศัตรูตัวฉกาจแบบนี้เท่านั้นที่สามารถปลุกวิญญาณการต่อสู้ของเขาได้ การเหยียบย่ำศัตรูเช่นนี้ให้อยู่ใต้ฝ่าเท้า ถึงจะทำให้เขาก้าวไปสู่ความสำเร็จได้อย่างต่อเนื่อง!
เส้นทางของการฝึกฝนจำเป็นต้องเอาชนะศัตรูที่ทรงพลังครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่แล้ว!
“ฮ่าๆ เสียเปรียบเหรอ? น้อยคนที่จะทำให้ข้าเสียเปรียบได้ แต่ข้าไม่คิดว่าคนอย่างแกจะมีคุณสมบัติเป็นหนึ่งในนั้นนะ” จิงฉิงเทียนหัวเราะเสียงเย็น อึดใจต่อมาก็กระทืบเท้าลงไป อากาศที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าระเบิดออก ร่างเงาของเขากลายเป็นลำแสงสีทองยิงออกมาพร้อมกับเสียงคำรามของสิงโตในกำปั้นพุ่งเข้าซัดมู่เฉิน
แสงสีทองพร่างพราวปกคลุมร่างมู่เฉิน เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าก้องกังวานไปทั่วสรรพางค์กายไม่มีที่สิ้นสุด ทะเลพลังที่อยู่ข้างหลังก็ผันผวน พลังกายภาพและพลังงานหลิงหลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์ เขาเลือกเข้าประจัญบานกับพายุการโจมตีของจิงฉิงเทียนโดยตรง
ตู้ม! ตู้ม!
ร่างเงาสีทองสองร่างโรมรันพันตูกันอย่างดุเดือดบนท้องฟ้า กำปั้นและฝ่ามือซัดกันนัว การปะทะกันทุกครั้งทำให้เกิดเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง ขณะที่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นฟ้าดินไปหมด
ที่เบื้องล่างทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียดขณะมองการปะทะกันบนท้องฟ้า คลื่นกระแทกที่กวาดออก ทำให้เมฆภายในรัศมีหลายหมื่นจั้งแตกสลายอย่างสมบูรณ์
ในเวลาเพียงไม่กี่นาที จอมยุทธ์ทั้งสองบนท้องฟ้าก็แลกเปลี่ยนกระบวนท่าไปร้อยกว่าท่าแล้ว
ทั้งสองฝ่ายเลือกวิธีที่ตรงแรงที่สุดในการปะทะโดยไม่มีการหลบหลีกใดๆ ทุกหมัดซัดลงบนร่างกาย การเผชิญหน้าที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ทำให้หานซันและคนอื่นๆ รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด
ฝั่งจิงเลี่ยและฮั่วหยังก็มีสีหน้าน่าเกลียดยิ่งขึ้น เมื่อมู่เฉินปะทะกับจิงฉิงเทียนแล้วยังไม่ตกอยู่ในฝ่ายเสียเปรียบ พวกเขาไม่คิดว่าต่อให้จิงฉิงเทียนจะงัดคลื่นหลิงในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดออกมา เขาก็ยังไม่สามารถบดขยี้มู่เฉินได้
“ทำไมเจ้านั่นถึงทรงพลังขนาดนี้?” จิงเลี่ยกัดฟันพลางรู้สึกอึ้งในใจ ที่แท้หานซันก็ได้เชิญผู้ช่วยที่ทรงพลังเช่นนี้มา โชคดีที่ครั้งนี้พวกเขาเตรียมตัวมาอย่างดีไม่งั้นคงต้องแพ้ให้หานซันจริงๆ
“แม้ว่าไอ้นั่นจะทรงพลังแต่พื้นพลังยังคงอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น ความหนาแน่นของคลื่นหลิงด้อยกว่าพี่ใหญ่อย่างแน่นอน ดังนั้นเขาไม่น่าจะยืนหยัดได้นานในสถานการณ์นี้ได้”
ดวงตาของจิงเลี่ยวาบวับ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นอัจฉริยะ จึงมีสายตาค่อนข้างแหลมคม ดังนั้นเขาจึงพบจุดสำคัญในทันที แม้ว่าการต่อสู้ตอนนี้อาจจะดูสูสี แต่มู่เฉินจะแพ้แน่นอนหากการต่อสู้ถูกลากยาวออกไป
ตู้ม!
ภายใต้สายตาที่จับจ้องมามากมาย การปะทะกันน่าอัศจรรย์อีกครั้งก็เกิดขึ้นบนท้องฟ้า ร่างเงาทั้งสองถลาออกไป ขณะที่เสื้อผ้าขาดวิ่นกันไปหมด ท่าทางสะบักสะบอมกันน่าดู
บนร่างกายของพวกเขามีรอยฟกช้ำมากมาย พวกเขาประสบกับพลังทรงประสิทธิภาพของคู่ต่อสู้ ดีที่พวกเขามีพลังกายอันแข็งแกร่ง ไม่งั้นถ้าเป็นคนอื่นร่างกายคงแตกยับเยินไปนานแล้ว
การหายใจของจิงฉิงเทียนหนักหน่วง เขามองไปที่มู่เฉินด้วยสายตากระหายเลือด อึดใจก็ฉีกยิ้มให้มู่เฉิน ยื่นมือออกเช็ดเลือดที่มุมปาก เขาไม่ได้พูดอะไร สร้างตราประทับในมือทันที
โฮก!
เสียงคำรามของสิงโตที่น่าอัศจรรย์ดังกึกก้อง แสงสีทองพุ่งออกมาจากด้านหลัง สุดท้ายก็กลายเป็นร่างแสงสีทองขนาดพันจั้ง
นอกจากนี้ยังมีภาพซ้อนของหัวสิงโตทองคำแปดหัวบนหัวสิงโตขนาดใหญ่นั้นด้วย ทว่าหัวเหล่านั้นค่อนข้างเบลอและไม่ค่อยชัดเจน
แต่นั่นก็เพียงพอพิสูจน์ว่าจิงฉิงเทียนได้ปลุกสายเลือดราชสีห์ทองคำเก้าหัวแล้ว
“จิงฉิงเทียนถึงกับเรียกร่างเทพอสูรออกมาเลย…” เมื่อหานซันและคนอื่นๆ เห็นภาพนี้ดวงตาก็หดลง ในฐานะที่เป็นเทพอสูร พวกเขาเข้าใจดีว่าเมื่อเรียกร่างเทพอสูรขึ้นมาความแข็งแกร่งในการต่อสู้ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ฮา
มู่เฉินมองราชสีห์ทองคำเก้าหัวที่ยืนตระหง่านก็สูดหายใจเข้าลึกสุดปอด จากนั้นมือทั้งคู่ก็ประสานกันก่อร่างตราประทับ
แสงหลิงที่ไร้ขอบเขตกวาดเป็นวงรัศมี จากนั้นทุกคนก็สามารถเห็นร่างเทห์สวรรค์ใหญ่โตก่อตัวขึ้นที่ด้านหลังมู่เฉินอย่างช้าๆ
ร่างนี้มีสีทองเช่นเดียวกับพระพุทธรูปทองคำ มีดวงตะวันลุกโชติช่วงอยู่ด้านหลังศีรษะปกคลุมไปด้วยความลึกลับ สั่นสะเทือนทั่วฟ้าดิน
แกมีร่างเทพอสูร
ข้าก็มีร่างเทห์สวรรค์เช่นกัน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มาดูกันว่าใครจะหัวเราะเป็นคนสุดท้าย?!
บทที่ 1033 เทพราชสีห์สามกลืนกิน
บนท้องฟ้า
ร่างเทห์สวรรค์ขนาดใหญ่ที่มีดวงตะวันลอยอยู่ด้านหลังศีรษะพรั่งพรูด้วยความผันผวนของคลื่นหลิงไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้พายุดันตัวขึ้นในพื้นที่แห่งนี้
เบื้องหน้าร่างเทห์สวรรค์นี้ ร่างเทพอสูรราชสีห์ทองคำเก้าหัวก็ยืนหยัดอย่างภาคภูมิใจ เสียงคำรามที่ดังก้องทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน
ร่างเทพสุริยะปะทะกับราชสีห์ทองคำเก้าหัว!
ที่เบื้องล่างทุกคนกลั้นหายใจ ขณะมองไปที่การเผชิญหน้าบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ใบหน้าของจิงเลี่ยและฮั่วหยังเขียวคล้ำ เนื่องจากไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะบีบให้จิงฉิงเทียนต้องใช้ร่างเทพอสูร
ตอนนี้ดูเหมือนสถานการณ์ปัจจุบันเกินการควบคุมไปทีละนิด…ละนิดแล้ว
จิงฉิงเทียนยืนบนท้องฟ้าพร้อมกับสิงโตทองคำเก้าหัวอยู่ข้างหลัง รัศมีเผด็จการน่าหวาดกลัวค่อยๆ ถูกปล่อยออกมาอย่างช้าๆ สร้างความหวาดหวั่นให้กับผู้อื่นนัก
“สามารถบีบให้ข้าใช้ร่างเทพอสูร เจ้านี่ไม่ธรรมดาจริงๆ!” จิงฉิงเทียนมองมู่เฉินด้วยความกระหายเลือดขณะพูดช้าๆ
ตอนนี้ไม่มีอาการดูถูกเหยียดหยามในสายตาของเขาแล้ว จากการปะทะกันก่อนหน้าเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าในแง่ของพลังการต่อสู้มู่เฉินไม่ได้ด้อยไปกว่าตัวเขาเลย
ชายคนนี้เป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่เขาไม่สามารถดูถูกได้
มู่เฉินฉายสีหน้าเคร่งขรึมขณะมองเทพอสูรที่อยู่ด้านหลังจิงฉิงเทียนเช่นกัน ร่างเทพอสูรที่จิงฉิงเทียนเรียกออกมาทรงพลังมากเลยทีเดียว แม้ว่าอีกแปดหัวจะพร่ามัวไปหน่อย แต่ก็แข็งแกร่งกว่าสิงโตทองคำทั่วไปมาก
ถ้าวันหนึ่งชายคนนี้สามารถเปลี่ยนจากภาพหัวลวงตาทั้งแปดให้กลายเป็นภาพจริง คงไม่นานที่จิงฉิงเทียนจะกลายเป็นเทพอสูรราชสีห์ทองคำเก้าหัวแล้ว
แต่น่าเสียดายที่ความยากลำบากในการพัฒนาสู่การเป็นเทพอสูรราชสีห์ทองคำเก้าหัวเกินกว่าจินตนาการ ในหมื่นปีที่ผ่านมายังไม่มีผู้ใดในเผ่าประสบความสำเร็จได้
แต่ถึงอย่างนั้นร่างเทพอสูรของจิงฉิงเทียนก็ไม่ง่ายที่จะจัดการ
‘แต่ก็ถึงเวลาที่ศึกนี้จะจบลงเสียที’
ขณะที่หัวใจของมู่เฉินเปล่งประกายความคิดนี้ ดวงตาของจิงฉิงเทียนก็เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างช้าๆ ในเมื่อศัตรูตรงหน้าบีบให้เขาใช้ร่างเทพอสูรออกมา เขาก็ไม่จำเป็นต้องยั้งมืออีกต่อไป
โฮก!
คิดถึงจุดนี้ มือของจิงฉิงเทียนก็ประสานกันอย่างช้าๆ ราชสีห์ทองคำเก้าหัวที่อยู่ข้างหลังก็ส่งเสียงคำรามกึกก้องราวกับฟ้าคำรน
จิงฉิงเทียนมีสีหน้าเคร่งเครียดขณะที่กำมือแน่นหนาแล้วชกออกไปอย่างเชื่องช้า
ที่ข้างหลังราชสีห์ทองคำเก้าหัวก็ยื่นกรงเล็บออกมา รัศมีครอบงำกลืนกินพุ่งลงมาราวกับทรราชในวินาทีนั้น
แม้ว่าหมัดนี้จะเชื่องช้า แต่เมื่อเหวี่ยงออกไป ฟ้าดินก็ถึงกับก็แข็งตัว มีเพียงรัศมีหมัดครอบงำเท่านั้นที่ยังเปี่ยมไปด้วยพลังราวกับว่าเป็นผู้ครองพิภพ
ดวงตาของมู่เฉินหดลงอย่างไม่สามารถควบคุมได้ แม้แต่เขายังรู้สึกว่าหมัดของจิงฉิงเทียนคุกคามอย่างมาก วิชาหมัดนี้จะต้องเป็นวิทยายุทธระดับเสินซู่ขั้นเต็มแน่นอน
“หมัดราชสีห์กลืนวิญญาณ!”
จิงฉิงเทียนเปล่งเสียงคำรามลึกที่เต็มไปด้วยพลังครอบงำ ทันใดนั้นแสงสีทองก็ระเบิดขึ้น หมัดของเขากลายเป็นหัวสิงโตคำรามเปิดปากกว้าง พลังงานหลิงระหว่างฟ้าดินก็เดือดพล่าน เทลงไปที่หัวสิงโตทองคำไม่รู้จบ ราวกับว่ากำลังถูกกลืนกิน
ขณะที่หมัดพุ่งเข้ามาก็ทำให้ชั้นบรรยากาศแตกเป็นเสี่ยงๆ ชั้นดินเบื้องล่างพังทลายเป็นชั้นๆ รอยแตกขนาดใหญ่แผ่ออกไปอย่างรวดเร็วในป่าแห่งนี้
“มู่เฉิน ระวัง!”
หานซันและคนอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาด้วยความตกใจ ชัดว่าต่างรู้สึกถึงความน่ากลัวในกระบวนท่าของจิงฉิงเทียน หมัดที่มีพลังเช่นนี้ทำให้กระทั่งพวกเขายังรู้สึกหวาดกลัวจับใจ
มู่เฉินยืนอยู่เบื้องหน้าร่างเทพสุริยะ สายตามองไปที่หมัดราชสีห์ที่ทะยานเข้ามา เขาสูดหายใจลึกแต่ก็ยังไม่มีความกลัวบนใบหน้า มือของเขาประสานกัน ตราประทับเปลี่ยนแปลงวูบไหว
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
เมื่อตราประทับในมือเปลี่ยนแปลงวูบไหว ดวงตะวันสีทองบนร่างเทพสุริยะก็ลุกโชน เมื่อมองเข้าไปใกล้ๆ จะเห็นดวงตะวันถึงห้าดวงเลยทีเดียว
ตู้ม!
ทันใดนั้นดวงตะวันสีทองห้าดวงก็ระเบิดออกพร้อมกับสายธารทองคำเชี่ยวกรากไหลออกมาจากหมัดร่างเทพสุริยะราวกับของเหลวสีทองก่อร่างเป็นหอกทองคำขนาดใหญ่ในมือของร่างเทพสุริยะ มีดวงตะวันโชติช่วงห้าดวงลอยขึ้นที่ปลายหอก ขณะที่เคลื่อนไหวก็เหมือนมีพลังในการทำลายสวรรค์
“คลื่นเก้าตะวัน เปิดห้าตะวัน—หอกสุริยะ!”
แสงสีทองแวววับในดวงตาของมู่เฉินขณะเปล่งเสียงคำรามในใจ หอกในมือร่างเทพสุริยะก็เบ่งบานด้วยประกายแสงพร่างพราวนับไม่ถ้วน อึดใจมิติก็ถูกทะลวง ปะทะกับหมัดราชสีห์ที่เข้ามาอย่างดุเดือด
เผชิญหน้ากับกระบวนท่าเช่นนี้ของจิงฉิงเทียน มู่เฉินก็ไม่กล้าประมาท เขาดึงทักษะเทห์สวรรค์ออกมาใช้ทันที
ตู้ม!
จังหวะที่ปะทะกันฟ้าดินก็โยกคลอน คลื่นกระแทกสีทองกระจายออกไป กระทั่งมิติยังถูกฉีกออกเป็นรอยน่าสะพรึงกลัวจำนวนมาก
ราวกับว่ามีดวงอาทิตย์สีทองลุกโชนเกิดในจุดปะทุกัน แม้แต่มิติก็ถูกบิดเบือน
หอกกั้นหมัดไว้ได้ ทว่าก็ทำเอาคิ้วของมู่เฉินขมวดเข้าหากันเล็กน้อย นั่นเป็นเพราะเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
สายตาพุ่งผ่านแสงสีทอง มองไปที่จิงฉิงเทียนในระยะไกล จากนั้นก็สังเกตเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปากอีกฝ่ายก่อนที่เสียงจะถูกส่งมาอย่างไม่ชัดเจน “แกคิดว่านี่หมดแล้วเหรอ?”
เมื่อจิงฉิงเทียนพูดจบหมัดก็เคลื่อนออกไปอย่างช้าๆ อีกครั้ง
เมื่อเขาเหวี่ยงหมัดออกมา ทั่วบริเวณก็หม่นแสงลง หมัดระเบิดออกมาอีกครั้งพร้อมกับเสียงสิงโตคำรามดังก้องไปทั่วขอบฟ้า
“หมัดราชสีห์กลืนฟ้า!”
การเหวี่ยงหมัดออกไป ทำให้ทั่วทั้งมิติพรั่งพรูด้วยการครอบงำ ราวกับว่าท้องฟ้าก็จะถูกหัวสิงโตกินไป
ภาพหัวสิงโตพุ่งเข้าหาแสงสีทองทันที แสงสีทองครอบงำพุ่งทะยานขึ้น หอกทองคำที่เผชิญหน้ากับหมัดก็บิดเบี้ยวเล็กน้อย ชัดว่าเริ่มต้านไม่ไหวแล้ว
ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งขรึมลงอีกหลายส่วน
แต่เมื่อจิงฉิงเทียนเห็นภาพนี้ เขากลับยิ้มไม่มีท่าทีจะหยุด คลื่นหลิงในร่างกายปะทุถึงขีดสุด จนหมอกหนาแน่นของคลื่นหลิงโหมกระหน่ำ
จากนั้นมู่เฉินก็เห็นจิงฉิงเทียนยกกำปั้นขึ้นและชกออกมาอีกครั้ง
“หมัดราชสีกลืนเทพ!”
เมื่อหมัดนี้ซัดออกมา กระทั่งหัวใจของมู่เฉินยังสั่นไหว เขารู้สึกเจ็บแปลบบนผิวหนัง ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าร่างกายกำลังถูกคุกคามอย่างหนัก
ฟิ้ว!
หมัดราชสีห์ทั้งสามพุ่งเข้ามารวมตัวกันบนท้องฟ้า เมื่อหลอมรวมเข้าด้วยกัน ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปรุนแรง
ปัง!
ทันใดนั้นหอกของเขาก็ถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์โดยหมัดทั้งสาม
“นั่นมัน…”
เมื่อหานซันมองฉากนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไปรุนแรง สายตาแตกตื่นตกใจ “สุดยอดวิทยายุทธเผ่าราชสีห์ทองคำ หมัดเทพราชสีห์สามกลืนกิน!”
“จิงฉิงเทียนประสบผลสำเร็จในการฝึกฝนทักษะนี้แล้วรึ?!”
ใบหน้าของจิ่วโยวบูดบึ้งเช่นกันขณะที่กำหมัดแน่น ทุกหมัดของจิงฉิงเทียนเล่าลือกันว่าเทียบได้กับวิทยายุทะระดับเสินซู่ขั้นเต็มเลยทีเดียว เมื่อทั้งสามหมัดหล่อรวมเข้าด้วยกัน พลังอำนาจก็จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่ากลัว แม้ว่าอาจจะไม่สามารถเทียบเคียงกับวิทยายุทธเสมือนระดับเสินทง แต่ก็น่าสะพรึงแท้จริง!
เมื่อจิงเลี่ยเห็นฉากนี้ก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก ในที่สุดจิงฉิงเทียนจินชิงก็ใช้กระบวนท่าสุดยอดแล้ว มู่เฉินเป็นพวกอวดดี หากเขาขัดขวางตั้งแต่แรก จิงฉิงเทียนก็อาจไม่สามารถใช้กระบวนท่านี้ได้อย่างราบรื่น
แต่ตอนนี้สายเกินไปแล้ว!
“ก่อนหน้านี้เจ้าสร้างค่ายกลขณะที่พวกข้าไม่ได้สนใจ ครั้งนี้ข้าจะให้เจ้าได้ชิมผลจากความประมาทบ้าง! แต่แค่เจ้าไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้อีกแล้ว!”
ขณะที่สายตาของผู้คนเบื้องล่างกะพริบวูบไหว สายตาไม่แยแสของจิงฉิงเทียนก็จ้องมู่เฉินเขม็ง ราวกับว่ากำลังมองเหยื่อที่จะถูกล่า
นี่คือไพ่ตายของเขา เมื่อเขาออกกระบวนท่านี้เสร็จสิ้น ไม่ต้องพูดถึงมู่เฉิน ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามจะอยู่ในระดับเดียวกับเขาก็จะต้องพ่ายแพ้!
ตู้ม!
ไม่มีริ้วอารมณ์ใดบนใบหน้าจิงฉิงเทียนเมื่อชกหมัดออกไป เสียงเย็นดังก้องระหว่างสวรรค์และโลก
“หมัดเทพราชสีห์สามกลืนกิน ทำลายล้างสรรพสิ่ง!”
โฮก!
ภายในแสงสีทองโหมกระหน่ำ เสียงสิงโตก็แผดดังกึกก้อง พายุรุนแรงกวาดตัวไปมาระหว่างชั้นฟ้าและชั้นฟ้าดินประหนึ่งภัยพิบัติแห่งสวรรค์ ในแสงสีทองหัวสิงโตทองคำขนาดประมาณหมื่นจั้งก็ค่อยๆ เปิดปากดุร้าย เล็งเป้าไปที่มู่เฉินจากระยะไกล
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
ปากใหญ่โตราวกับหลุมดำกลืนกินสิ่งมีชีวิต แต่ตอนนี้ในหลุมดำนั้นกลับมีของเหลวสีทองน่าเกรงขามรวมตัวกัน ทุกหยดของเหลวทองคำมีความผันผวนที่น่ากลัว
ครืน!
ของเหลวสีทองพุ่งออกมาอย่างรวดเร็วเหมือนกระแสน้ำเชี่ยว เผยให้เห็นพลังในการทำลายล้าง ในเส้นทางที่ผ่านเกิดรอยแตกร้าวในมิติ ราวกับว่าทุกสรรพสิ่งที่ขวางจะถูกหลอมละลายหายไป
ช่างครอบงำยิ่งนัก!
กระแสคลื่นทองคำเคลื่อนตัวผ่านมิติประชิดเข้ามา ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอย่างที่สุด เขารู้ว่าถ้าปล่อยให้กระแสคลื่นทองคำนั้นโดนตัว เขาจะได้รับบาดเจ็บหนักแม้จะมีร่างกายที่แข็งแกร่งก็ตาม
ไพ่ตายของจิงฉิงเทียนน่าเกรงขามจริงๆ!
ดูท่าข้าก็ไม่สามารถยั้งอะไรอีกแล้ว
เมื่อความคิดผุดขึ้นในใจ มู่เฉินก็วาดตราประทับขึ้นมาทันทีขณะที่เกิดภาพมายาพวยพุ่งออกไป เวลาเดียวกันจุดจื้อจุนไห่ก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง กระแสคลื่นหลิงมากมายไหลหลั่งไหลเข้าไปในร่างเทพสุริยะ
จากนั้นร่างเทพสุริยะก็เปล่งประกายด้วยรัศมีนับไม่ถ้วน
ดวงตะวันลุกโชนขึ้นทีละดวงจากร่างเทพสุริยะอีกครั้ง
“จะใช้วิชาเดิมอีกเรอะ? แกประเมินค่าตัวเองมากเกินไปแล้ว!” เมื่อจิงฉิงเทียนเห็นภาพดังกล่าวก็ยิ้มเยาะขึ้นทันที
ดวงตะวันสีทองห้าดวงลอยคว้างอยู่ที่กลางหว่างคิ้วของร่างเทพสุริยะ ทว่าเมื่อดวงตะวันดวงที่ห้าส่องสว่างขึ้น มู่เฉินก็สูดหายใจเข้าลึก ตราประทับในมือเปลี่ยนไป
ฮึ่ม!
ที่ท้องของร่างเทพสุริยะ แสงสีทองก็มารวมตัวกันก่อนที่จะกระจายออก ดวงตะวันสีทองปรากฏขึ้นอีกดวง
คลื่นเก้าตะวัน เปิดหกตะวัน!
อาการเยาะเย้ยบนใบหน้าของจิงฉิงเทียนแข็งทื่อ แววตาเริ่มเย็นชาลง มู่เฉินยังสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้อีกรึ?
ทว่าเมื่อดวงตะวันดวงที่หกถูกปลดปล่อยออกมา ดวงตาของมู่เฉินก็กะพริบวูบไหว เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าถ้ามีพลังงานเพียงพอการปลดปล่อยดวงอาทิตย์ดวงที่หกอาจยังไม่ใช่ขีดจำกัดของเขา
เพียงแต่ว่าเขาได้เทพลังงานทั้งหมดลงไปในร่างเทพสุริยะแล้ว ไม่มีพลังงานที่จะปลดปล่อยดวงอาทิตย์ดวงที่เจ็ดได้อีก
ไม่ เดี๋ยวก่อน…
สายตาของมู่เฉินหดลง ขณะที่ก้มหัวลงมองพลังกายที่มี พลังที่บรรจุอยู่ในพลังกายของเขายามนี้ไม่ได้ด้อยกว่าพลังหลิงเลย
เมื่อเกิดความคิดนี้ มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป มือสร้างตราประทับรวดเร็ว ทันใดนั้นเสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าก็ดังขึ้น ม่านตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีทองคำตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ พลังงานทรงพลังไหลเวียนผ่านร่าง จากนั้นก็เทพลังงานทั้งหมดนี้ลงไปในร่างเทพสุริยะ
พร้อมกับพลังงานมหาศาลที่เทลงไป มู่เฉินก็ดีใจมากเมื่อรู้สึกได้ว่ามีแสงสีทองปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วตรงหัวใจของร่างเทพสุริยะ หลังจากนั้นแสงพร่าวพราวก็กำจายออกมาอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ กลุ่มแสงสีทองก็ก่อตัวเป็นดวงตะวันดวงใหม่ที่ลุกโชนขึ้น!
ในที่สุดดวงอาทิตย์ดวงที่เจ็ดก็ถูกปลดปล่อยออกมาในเวลานี้อย่างแท้จริงแล้ว!
คลื่นเก้าตะวัน เปิดเจ็ดตะวัน!
บทที่ 1034 เจ็ดตะวัน-คทาขวางฟ้า
ตู้มมม!
เมื่อดวงตะวันดวงที่เจ็ดลุกโชนขึ้นจากหัวใจของร่างเทพสุริยะ ริ้วแสงที่ปรากฏก็ราวกับอัญมณี รัศมีลึกลับแผ่กำจายออกไปปกคลุมสวรรค์และโลก
เกลียวแสงนับไม่ถ้วนที่กระจายออกจากร่างเทพสุริยะพุ่งเข้าไปเขย่าสวรรค์ ทำให้มิติเกิดการบิดเบือน
มู่เฉินก็เงยหน้ามองดวงอาทิตย์ดวงที่เจ็ดในร่างเทพสุริยะ ความสุขกระจายเต็มใบหน้า เขาไม่คิดว่าความพยายามนี้จะประสบความสำเร็จจริงๆ
ด้วยพลังกาย เขาสามารถสร้างดวงอาทิตย์ที่ดวงเจ็ดได้ นำทักษะเทห์สวรรค์ของร่างเทพสุริยะเปิดเจ็ดตะวันออกมาใช้ได้!
ตอนแรกจากการประเมินของมู่เฉิน อย่างน้อยตัวเขาก็ต้องบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดให้ได้ก่อนที่จะปลดปล่อยดวงอาทิตย์ดวงที่เจ็ด แต่ไม่คิดว่าเมื่อกายามังกรหงส์บรรลุขั้นสอง พลังกายของเขาจะทะยานเกินกว่าพลังหลิง จนมีความสามารถในการปลดปล่อยดวงอาทิตย์ดวงที่เจ็ดได้
ฮา
เมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่เจ็ดถูกปลดปล่อยออกมา มู่เฉินก็สูดหายลึกสุดปอดก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น กระแสคลื่นทองคำขยายอย่างรวดเร็วในม่านตา มองจากที่ไกลราวกับดาวหางสีทองที่พุ่งมาจากนอกโลก ซึ่งเต็มไปด้วยพลังงานการทำลายล้าง
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีเต็มกำลังของจิงฉิงเทียน มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีก ตราประทับในมือเปลี่ยนแปลงเร็วรี่ ก่อนที่เสียงลึกต่ำจะก้องกังวานในหัวใจ “คลื่นเก้าตะวัน เปิดเจ็ดตะวัน”
ครืน!
ทันใดนั้นดวงตะวันทั้งเจ็ดก็ระเบิดขึ้นในร่างเทพสุริยะ สายธารสีทองกวาดออก ในเวลานี้ร่างเทพสุริยะราวกับมีรูปร่างแท้จริงเมื่อมองจากระยะไกล
สายธารสีทองไหลผ่านร่างเทพสุริยะ สุดท้ายก็มารวมตัวกันในมือก่อร่างเป็นคทาทองคำขนาดมหึมาที่ยากจะพรรณนา คทามีเก้าส่วน ทุกส่วนมีความยาวเก้าพันเก้าร้อยจั้ง เมื่อรวมทุกส่วนเข้าด้วยกันก็มีขนาดเกือบหมื่นจั้ง ประหนึ่งเสาหลักที่สามารถรองรับผืนฟ้า ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างสวรรค์และโลก
บนคทามีลวดลายนับไม่ถ้วนสลักอยู่ กำจายความผันผวนแปลกประหลาด ราวกับว่าท้องฟ้ายังถูกแยกออกเป็นสองส่วน
ร่างเทพสุริยะถือคทาทองคำในมือ จากนั้นก็เหวี่ยงใส่กระแสคลื่นสีทอง
“เปิดเจ็ดตะวัน คทาขวางฟ้า!”
เสียงต่ำลึกดังก้องกังวานในใจมู่เฉิน ขณะที่คทาทองคำขนาดมหึมาเหวี่ยงลงมา ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีดำมืด มีเพียงแสงสีทองคลี่กระจาย ราวกับว่าคทาบรรจุด้วยพลังน่าสะพรึงกลัวที่สามารถแบ่งแยกสวรรค์และโลกออกจากกันได้
เมื่อมู่เฉินโบกคทาออก ใบหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปในเวลาเดียวกัน
แม้แต่จิงฉิงเทียนที่สงบสติไว้มั่น ดวงตาก็ยังหดเกร็ง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะยังมีกระบวนท่าที่ทรงพลังเช่นนี้เหลืออยู่อีก
“บ้าเอ๊ย นั่นมันคัมภีร์เทพประเภทไหนกัน? ทำไมถึงทรงพลังขนาดนี้?!”
คลื่นโหมกระหน่ำไปทั่วหัวใจของจิงฉิงเทียน พลังของคทามู่เฉินไม่ได้ด้อยไปกว่าสามหมัดเทพของเขาเลย แต่หมัดเทพราชสีห์สามกลืนกินถือเป็นวิทยายุทธระดับเสินซู่ขั้นเต็มที่ดีที่สุดของเผ่าราชสีห์ทองคำ ยากสำหรับคนทั่วไปที่จะฝึกฝน แล้วมู่เฉินมีวิชาระดับคล้ายคลึงกันแบบนี้ได้อย่างไร?
ทว่าแม้หัวใจจะสั่นไหว แต่จิตสังหารในแววตาของจิงฉิงเทียนก็ยังข้นคลั่ก เขามีความมั่นใจมากกับวิชาของตนเอง เขาเชื่อว่าเมื่อพลังการทำลายล้างพุ่งเข้าโจมตี มู่เฉินก็จะตายคาที่แน่
“แกเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามจริงๆ แต่วันนี้ข้าคือผู้ชนะ!”
จิงฉิงเทียนแผดร้องในใจ จากนั้นกระแสคลื่นทองคำที่พุ่งทะลุขอบฟ้าก็ปะทะกับคทาทองคำขนาดใหญ่ที่มู่เฉินโบกสะบัดหนักหน่วงออกมา
จังหวะที่ปะทะกันชั้นฟ้าและชั้นดินก็แข็งตัว ทุกสรรพเสียงเงียบงัน ความสว่างและความมืดสลับไปมา แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือไม่มีเสียงระเบิดดังก้องจากการปะทะ ราวกับว่าแม้แต่เสียงก็ถูกกลืนหายโดยการปะทะของคลื่นหลิงยิ่งใหญ่
คทาทองคำมหึมาและกระแสคลื่นทองคำชนกันพร้อมกับมิติยุบตัวเป็นหย่อมๆ พลังงานที่น่ากลัวสองสายกัดกร่อนซึ่งกันและกันอย่างรุนแรง
เมื่อพลังงานพล่านไปถึงขีดสุด คลื่นพลังทั้งสองสายก็ไม่สามารถรักษาความสมดุลได้อีกต่อไป ดังนั้นพายุสีทองที่น่าสะพรึงกลัวจึงกวาดออกอย่างรุนแรง
ปัง!
พายุกวาดอาละวาดรุนแรง ส่งผลกระทบต่อท้องฟ้าในรัศมีหนึ่งพันลี้
ร่างของมู่เฉินและจิงฉิงเทียนเป็นคนแรกที่ได้รับผลกระทบ พวกเขากระเด็นออกไปพ่นเลือดเป็นสาย ทว่าโชคดีที่ทั้งสองคนตอบสนองอย่างรวดเร็ว แต่ละคนรีบเรียกร่างเทห์สวรรค์และร่างเทพอสูรออกมาป้องกันทันท่วงที
แต่ถึงอย่างนั้นร่างเทพของพวกเขาก็จางลงอย่างรวดเร็ว ชัดว่าไม่สามารถทนต่อคลื่นกระแทกที่น่ากลัวได้…
แคร็ก!
รอยแตกกระจายออกบนร่างเทพสุริยะ ก่อนที่จะระเบิดภายใต้สีหน้าเคร่งเครียดของมู่เฉิน ในเวลาเดียวกันราชสีห์ทองคำเก้าหัวก็เปล่งเสียงคำรามเกรี้ยวกราดแล้วระเบิดเป็นแสงสีทอง
อ็อก!
ทั้งสองกระอักเลือดอีกคำ สภาพแต่ละคนดูน่าอนาถมาก
การปะทะกันทรงพลังสิ้นสุดลงที่จอมยุทธ์ทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บตามกัน!
“มู่เฉิน…ขวางการทำลายล้างหมัดเทพราชสีห์สามกลืนกินได้รึ?” ฮั่วหยังตกตะลึงเมื่อเห็นภาพเบื้องหน้านี้ ความหวาดผวาพลุ่งพล่านออกมาจากดวงตา กระบวนท่าของจิงฉิงเทียนเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดยังยากที่จะแบกรับ แล้วมู่เฉินทำได้อย่างไรด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกที่มี?
ใบหน้าของจิงเลี่ยเขียวคล้ำ ซึ่งแฝงด้วยความตกตะลึงคลุมเครือ นั่นเป็นเพราะผลลัพธ์ของการประลองครั้งนี้เหนือการควบคุมของพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ตั้งแต่เริ่มต้นพวกเขาไม่คิดเลยว่าจิงฉิงเทียนที่พวกเขามองว่าเป็นจอมยุทธ์แข็งแกร่งที่สุดก็ยังถูกขัดขวางโดยมู่เฉินได้
จิงฉิงเทียนเป็นจอมยุทธ์ที่สามารถแข่งขันกับอัจฉริยะเทพอสูรชั้นยอดได้พอฟัดพอเหวี่ยงเลยนะ!
สายตาของจิงเลี่ยเปลี่ยนไป สุดท้ายก็สงบใจลงก่อนจะกัดฟัน แม้ว่าเขาจะตัดสินมู่เฉินผิดพลาด ปล่อยให้มู่เฉินสามารถพลิกสถานการณ์ได้ แต่ความแข็งแกร่งของทั้งสองกลุ่มยังเท่าเทียม ที่สุดแล้วกลุ่มของมู่เฉินก็ไม่สามารถทำอะไรกับพวกเขาได้
บนท้องฟ้าจิงฉิงเทียนค่อยๆ เช็ดรอยเลือดที่มุมปากออก สายตาจ้องเขม็งไปที่มู่เฉินด้วยจิตสังหารพลุ่งพล่านทั่วนัยน์ตา สถานการณ์ตอนนี้เกินความคาดหมายของเขามากเช่นกัน
พลังของมู่เฉินนั้นเหนือกว่าที่เขาคาดไว้ไปไกล
“แม้แต่หมัดเทพราชสีห์กลืนกินก็ไม่สามารถฆ่ามันได้…” ดวงตาของจิงฉิงเทียนแสดงความโหดเหี้ยม แต่ใบหน้าเคร่งเครียดล้นเหลือ จากการปะทะกันกระบวนท่าก่อน แม้ว่ามู่เฉินจะขัดขวางการโจมตีไว้ได้ แต่ก็น่าจะได้รับบาดเจ็บหนักเช่นกัน ดังนั้นนี่เป็นเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการฆ่ามู่เฉิน!
เมื่อคิดได้อย่างนี้ ไอสังหารก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในสายตาของจิงฉิงเทียนทันที
ทว่าขณะที่ความตั้งใจฆ่าในดวงตาพุ่งสูงขึ้น มู่เฉินซึ่งอยู่ไกลออกไปก็สัมผัสได้จึงเงยหน้าขึ้น จากนั้นมุมโค้งเยือกเย็นก็ผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา
ฝ่าเท้ากระทืบลงไป เขาไม่สนใจแม้แต่จะเช็ดรอยเลือดที่มุมปาก ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าหาจิงฉิงเทียนทันที
“รนหาที่ตาย!”
เมื่อจิงฉิงเทียนเห็นว่ามู่เฉินยังกล้าที่จะทะยานเข้าหา แววเหี้ยมโหดในสายตาก็หนาแน่นยิ่งขึ้น ตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะพอใจกับผลลัพธ์นี้ นอกจากนี้มู่เฉินยังสามารถหารือเกี่ยวกับเงื่อนไขที่จะแบ่งปันกันเรื่องสมบัติของอสูรโบราณโภคะ แต่ใครจะไปคิดว่าความทะเยอทะยานของอีกฝ่ายจะมากกว่านั้น มู่เฉินต้องการเอาชนะเขารึ? เพ้อฝันชัดๆ!
ฟิ้ว!
ขณะที่จิงฉิงเทียนแผดเสียงลั่น ร่างเงาของมู่เฉินก็พุ่งออกมามองไปที่จิงฉิงเทียนอย่างไม่แยแส ดวงตาพวยพุ่งด้วยไอสังหาร เขาวาดตราประทับด้วยมือเดียว เสียงคำรามลึกระเบิดออกมาจากหัวใจ “คัมภีร์เทพเส่อเซิน หมัดปีศาจพลีชีพ!”
ทันใดนั้นไอสังหารไม่มีที่สิ้นสุดก็กวาดออกมาจากภายในหัวใจมู่เฉิน ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง ขณะเดียวกันรัศมีน่ากลัวก็ระเบิดจากร่างราวกับกับพายุทอร์นาโด
รัศมีนี้น่าทึ่งมาก มีความตั้งใจที่จะเสียสละตนเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม
นี่คือการเอาชีวิตเข้าแลกอย่างแท้จริง!
ดวงตามู่เฉินเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขณะวาดหมัดออกไป ภายใต้หมัดไม่เหลือทางถอยให้ บีบตัวเองให้เข้าสู่เส้นทางมรณะอย่างแท้จริง!
เมื่อจิงฉิงเทียนเห็นการโจมตีของมู่เฉินที่สละชีวิตเพื่อจะทำลายของศัตรู ใบหน้าก็เปลี่ยนแปลงรุนแรง หัวใจของเขาสั่นคลอนเพราะไม่คิดว่ามู่เฉินจะเป็นคนโหดเหี้ยมเช่นนี้
ต่อให้ตัวเองต้องตาย ก็ต้องฆ่าเขาให้ได้!
มู่เฉินถึงกับยอมสละชีวิตเพื่อสมบัติของอสูรโบราณโภคะเลยเรอะ?
“ไอ้บ้า! วิกลจริต!”
จิงฉิงเทียนคำรามลั่นจากหัวใจ จิตวิญญาณการต่อสู้หดหายไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้ต้องการที่จะตายที่นี่เพื่อสมบัติอสูรโบราณโภคะ เขาเป็นอัจฉริยะของเผ่าราชสีห์ทองคำที่มีอนาคตไกล จะมาตายที่นี่ได้ไง?
เมื่อจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เหือดหาย รัศมีของจิงฉิงเทียนก็ถูกกดทับลง เขารีบถอยหนีจ้าละหวั่นในสภาพน่าสมเพช
ดวงตาแดงก่ำของมู่เฉินมองไปที่จิงฉิงเทียนที่ถอยกรูดออกไป แสงก็พริบพราวในดวงตา รอยยิ้มเยาะเย้ยแขวนอยู่บนมุมปาก กระบวนท่าที่เขาใช้ไม่ใช่หมัดปีศาจของจริง นี่เป็นเพียงเจตจำนงเสียสละตนเองที่ได้มาจากการทำความเข้าใจในกระบวนการกระหายเลือด นั่นหมายความว่าขณะนี้กระบวนท่านี้เป็นเพียงหน้าฉากเท่านั้น!
แต่ในการต่อสู้บางครั้ง เมื่อรัศมีถูกกดทับ ผลลัพธ์ก็เป็นที่ประจักษ์แล้ว!
ยามนี้จิตวิญญาณการต่อสู้จิงฉิงเทียนมอดไหม้ไปหมดแล้ว เขาไม่มีความสามารถที่จะสู้ได้อีกต่อไป
จิงฉิงเทียนก็รู้เรื่องนี้อย่างชัดเจนในหัวใจ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะถอยทันที ไม่เหลือความเฉียบคมในการเผชิญหน้ากับมู่เฉินต่อไป
ตู้ม!
มู่เฉินกระทืบเท้า ร่างทะยานไปอย่างลึกลับปรากฏตัวเบื้องหน้าจิงฉิงเทียนก่อนที่ชุดหมัดจะรัวออกมา เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้อง หมัดที่น่าสะพรึงกลัวทำลายแนวปกป้องคลื่นหลิง ซัดลงบนอกของจิงฉิงเทียนที่สูญเสียความตั้งใจที่จะต่อสู้
ปัง! ปัง!
เสียงลึกต่ำดังขึ้น ใบหน้าของจิงฉิงเทียนก็ซีดเผือด เลือดกระอักออกมาไม่หยุด ร่างกระเด็นออกไปตกลงพื้นดินราวกับว่าวสายป่านขาด สร้างรอยลึกยาวพันจั้ง
ร่างจิงฉิงเทียนนอนพังพาบอยู่ในรอยลึก ทั่วตัวเต็มไปด้วยเลือดโดยที่คลื่นหลิงลดฮวบลง
มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้า สีแดงในดวงตาหายไปอย่างสมบูรณ์ ใบหน้าซีดลงเล็กน้อย แต่สายตายังคงความคมชัดขณะที่จ้องมองลงมาราวกับเหยี่ยว
เบื้องล่างตกอยู่ในความเงียบอย่างสมบูรณ์
ทุกคนมองจิงฉิงเทียนที่พ่ายแพ้สิ้นเชิงอย่างตะลึงงัน ใครจะคิดได้ว่าสถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บจะถูกพลิกกลับด้วยรัศมีการเสียสละชีวิตของมู่เฉิน
ตอนนี้จิงฉิงเทียนบาดเจ็บหนักอย่างแท้จริง ไม่สามารถต่อสู้กับมู่เฉินได้อีก!
จิ่วโยวและหานซันอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ความสุขจะพล่านในนัยน์ตา
ส่วนจิงเลี่ยและฮั่วหยังมีสีหน้าซีดขาว พวกเขารู้สึกว่าร่างกายเย็นยะเยือก
พวกเขารู้ว่าในศึกแย่งชิงสมบัติอสูรโบราณโภคะครั้งนี้พวกเขาแพ้อย่างสมบูรณ์แล้ว…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น