หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1023-1026

 บทที่ 1023 เขาทรพีกับหัวใจสายฟ้า

หลังจากซื้อลูกผลึกแสงสามลูกมาแล้ว


มู่เฉินก็ไม่คิดที่จะเปิดทันที เพราะกลัวว่าเมื่อสมบัติเปิดออกมาจะไปดึงดูดความสนใจผู้คนอีก แม้ว่าเขาจะไม่กลัว แต่การมีปัญหาก็น่าปวดหัวไม่น้อย


นอกจากนี้เขาก็ไม่อยากให้คนขายรู้ว่าตัวเขามีวิธีพิเศษในการเปิดผนึก กลัวว่าอีกฝ่ายจะเกิดความคิดไม่ดีจนทำให้เกิดเหตุเปลี่ยนแปลง


ดังนั้นเขาจึงเก็บลูกผลึกแสงไปก่อน เขากวักมือให้หานซันและจิ่วโยวจากนั้นทั้งกลุ่มก็จากไปอย่างว่องไว ภายใต้สายตาเศร้าสลดของคนขายร่างผอม


“เราซื้อของที่ต้องการครบแล้ว… ต้องใช้เวลาอีกสองวันกว่าจะเดินทางไปถึงสุสานหมื่นอสูร นี่ก็เย็นมากแล้วข้าแนะนำให้พักที่นี่สักวันแล้วพรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อ” เมื่อทั้งสองกลุ่มมารวมตัวกัน หานซันก็เอ่ยแนะนำ


มู่เฉินไม่ได้คัดค้านเพราะเขาต้องการสถานที่ที่ปลอดภัยเพื่อเปิดผนึกลูกผลึกแสงทั้งสามอยู่พอดี แม้ว่าตลาดเสรีจะเต็มไปด้วยผู้คน แต่ก็ยังปลอดภัยกว่าในป่า


เมื่อหานซันเห็นว่าไม่มีใครคัดค้านก็มุ่งหน้าไปทางตะวันตกของตลาดเสรี มีเจดีย์หินซึ่งบางส่วนถูกคนจองไว้แล้ว เห็นได้ชัดว่าที่นี่เป็นที่พักผ่อนของจอมยุทธ์เผ่าต่างๆ


พวกมู่เฉินมองหาเจดีย์ว่างแล้วเข้าไปพักที่ภายใน ทุกคนหลับตาเพื่อเข้าสู่สมาธิ ขณะที่มู่เฉินนั่งลงตรงมุมก็สะบัดแขนเสื้อ ลูกผลึกแสงสามลูกลอยคว้างอยู่ที่เบื้องหน้า


ลูกผลึกแสงทั้งสามถูกปกคลุมด้วยอักขระจางๆ ซึ่งน่าจะเป็นอักขระผนึก


ที่มุมหนึ่งจิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิงก็มองลูกผลึกแสงทั้งสามด้วยความสนใจ พวกเขาอยากรู้เหมือนกันว่ามู่เฉินจะได้อะไรจากลูกผลึกแสงทั้งสามนี้?


ในเจดีย์หิน เมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของมู่เฉิน แม้แต่หานซันก็มองมาด้วยความอยากรู้เช่นกัน เขารู้ว่าก่อนหน้ามู่เฉินเปิดผนึกชิ้นหนึ่งได้ทำให้ได้รับแก่นเพลิงหงส์ฟ้าจนไปดึงความสนใจจากฉื้อหงหวู่เข้า เขารู้สึกอิจฉาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เนื่องจากราคาของแก่นเพลิงหงส์ฟ้าเกินกว่าของเหลวจื้อจุนห้าแสนหยดที่จ่ายไปมากเลยทีเดียว


มู่เฉินไม่สนใจสายตาคนอื่น เขาหยิบลูกผลึกแสงมาลูกหนึ่ง จากนั้นก็บีบจนแตก ลูกแสงเย็นเยือกตกลงมาในมือ เขาเห็นว่าบนพื้นผิวมีอักขระสีแดงเข้มชัดเจน ความผันผวนที่ปล่อยออกมายังเหมือนกับลูกก่อนหน้า เห็นได้ชัดว่าถูกประทับไว้ด้วยอักขระของมหาเทพอสูรเช่นกัน


มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ จากนั้นก็เริ่มทำงานจากด้านในอีกครั้ง เขาสร้างค่ายกลขนาดเล็กอันประณีตก่อนที่จะเทคลื่นพลังของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงลงไปภายใน ค่อยๆ กัดกร่อนผนึกที่สมบูรณ์แบบเพื่อจะแหวกช่องโหว่ออก


มู่เฉินหลับตาครู่หนึ่งก่อนที่จะเปิดขึ้น นั่นเพราะเขารู้สึกได้ถึงผนึกบนพื้นผิวของลูกผลึกแสงเริ่มมีช่องโหว่ให้เห็นแล้ว


เขาไม่ลังเลกำหมัดขึ้นทันใดนั้นก็ควบคุมคลื่นหลิงอัดเข้าไป ขณะเดียวกันพลังงานก็ระเบิดตัวผลึกจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ประกายแสงระยิบระยับกระจายออกไป


เมื่อแสงสลายลง ทุกคนหันไปมองก็เห็นแสงสีม่วงเข้มรวมตัวกันในฝ่ามือของมู่เฉิน แสงสีม่วงเข้มขยายตัวอย่างรวดเร็ว พริบตาก็เปลี่ยนเป็นชุดเกราะสีม่วงเข้มเพรียวบาง


ชุดเกราะะถูกแกะสลักด้วยลวดลายโบราณที่มีเงาภาพนูนสูงต่ำมากมาย กระจายด้วยความผันผวนที่ลึกซึ้ง มิหนำซ้ำยังปลดปล่อยคลื่นพลังน่าอัศจรรย์ออกมาเลือนรางด้วย


ชุดเกราะเพรียวบางพร้อมกับรูปร่างโค้งเว้าเห็นได้ชัดว่าเป็นของสตรี


มู่เฉินประหลาดใจไปเมื่อมองชุดเกราะสีม่วงเข้ม หลังจากเทคลื่นหลิงลงไป ระลอกคลื่นทรงพลังก็ระเบิดออก ก่อตัวเป็นชั้นป้องกันรอบตัวเกราะ


ตู้ม!


มู่เฉินกำหมัดชกลงบนเกราะอย่างหนักหน่วง ชั้นการป้องกันพังทลายลงทีละชั้น แต่ขณะเดียวกันพลังงานบนกำปั้นของมู่เฉินก็หมดลงเร็วเช่นกัน เมื่อกำปั้นแตะลงบนเกราะก็เพียงสร้างรอยตื้นเอาไว้แล้วก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว


“ช่างเป็นการป้องกันที่ทรงพลัง!”


เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็หดดวงตาลง กำปั้นของเขาอาจดูบอบบาง แต่พลังที่ใส่ลงไปแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ตอนนี้ชุดเกราะกลับป้องกันการโจมตีของเขาได้อย่างสมบูรณ์


“ของดี นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพคลื่นหลิงด้วย…”


มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะชื่นชม ไม่เพียงแต่ชุดเกราะนี้มีความสามารถในการป้องกันที่ทรงพลัง แต่ยังสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพคลื่นหลิงจนทำให้ความแข็งแกร่งในการต่อสู้เพิ่มขึ้นด้วย


แค่สองอย่างนี้ก็ทำให้ชุดเกราะนี้เปรียบได้กับอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังเป็นวัตถุโดดเด่น ราคาสูงเกินกว่าของเหลวจื้อจุนห้าแสนหยดเช่นกัน


“ของดี!”


เมื่อหานซันเห็นสิ่งนี้ ดวงตาก็อดโชนแสงไม่ได้


มู่เฉินยิ้มแล้วสะบัดนิ้ว ชุดเกราะก็บินไปหาจิ่วโยว ในเมื่อชุดเกราะเป็นของสตรี ถ้าจิ่วโยวครอบครองละก็พลังในการต่อสู้ของนางก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัย


มองไปที่ชุดเกราะที่พุ่งมายังทิศที่นางอยู่ จิ่วโยวก็ตกตะลึงก่อนที่จะยิ้ม นางไม่ได้ปฏิเสธกลับเรียกเข้ามาด้วยการสะบัดมือก่อนที่ชุดเกราะจะลอยคว้างอยู่เบื้องหน้า นางเปิดริมฝีปากสีแดงชาดเล็กน้อย คลื่นหลิงก็พรั่งพรูออกมาชำระชุดเกราะอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถูกดึงเข้าสู่ร่างกายของนาง


มอบชุดเกราะให้แก่จิ่วโยวแล้ว มู่เฉินก็หันความสนใจไปที่ลูกผลึกแสงอีกสองลูก สุดท้ายผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาด มู่เฉินจัดการกับผนึกโบราณได้สำเร็จ


เมื่อเปิดผนึกเสร็จเรียบร้อย สมบัติที่ปรากฏขึ้นก็ดึงดูดความสนใจของทุกคน


มีสมบัติสองอย่าง หนึ่งในนั้นเป็นเขาสีดำ รูปร่างโค้งเหมือนธนูที่เต็มไปด้วยรอยกะดำกะด่าง มิหนำซ้ำยังมีรัศมีเหี้ยมหาญน่าอัศจรรย์เปล่งออกมาอย่างคลุมเครือ


เมื่อมู่เฉินมองไปก็ต้องอึ้ง เพราะเขาพบว่าวัตถุนี้คล้ายคลึงกับเขาที่ปรากฏบนร่างเทพอสูรของหานซัน


ดังนั้นเขาจึงมองไปหานซันก็เห็นว่าจอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรจ้องมองมาด้วยดวงตาแดงก่ำ… สายตาตกอยู่ที่เขาดำในมือ


“นี่คือเขาของเผ่าแรดอสูรเหรอ?” มู่เฉินค่อนข้างประหลาดใจขณะเอ่ยปากถาม


สายตาของหานซันยังยึดติดอยู่ที่เขาสีดำขณะหายใจหนักหน่วง “น่าจะเป็นของบรรพบุรุษของเผ่าแรดอสูร เขาทรพีของเผ่าพันธุ์ข้าเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดพร้อมด้วยรัศมีร้ายกาจที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเพาะบ่มของเผ่า แม้ว่าเขาชิ้นนี้จะสึกกร่อนจากกาลเวลา แต่ถ้านำติดตัวไปกับพวกข้าก็จะเร่งวิทยายุทธที่ฝึกฝนได้”


มู่เฉินเข้าใจแล้วว่าทำไมดวงตาของจอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรถึงเปลี่ยนเป็นสีแดง ทว่าแม้วัตถุนี้จะช่วยในการเพาะบ่มพลังสำหรับเผ่าแรดอสูร แต่มันกลับไม่เป็นประโยชน์กับพวกมู่เฉินมากนัก เพราะไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการรัศมีที่น่ากลัวแบบนี้


“พี่มู่…”


ลมหายใจของหานซันสงบลงพลางมองมาที่มู่เฉินอย่างกระอักกระอ่วน “ไม่รู้ว่าเจ้าขายของนี่ให้พวกข้าได้ไหม?”


มู่เฉินเหลือบมองจิ่วโยวและมั่วเฟิง ทั้งคู่ต่างยักไหล่ วัตถุนี้เป็นสมบัติของเผ่าแรดอสูร แต่กลับไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงสำหรับพวกเขา ดังนั้นหากหานซันเสนอราคาที่เหมาะสม ขายให้พวกเขาก็ดี


เมื่อเห็นการตอบสนองของพวกเขา มู่เฉินก็ยิ้มโยนเขาสีดำไปทางหานซัน “ในเมื่อเป็นแบบนี้ พี่หานก็ให้ตามความเหมาะสมเถอะ”


เขาไม่ได้ยกให้เปล่าๆ เพราะหานซันเทียบกับความสัมพันธ์ของเขากับจิ่วโยวและมั่วเฟิงไม่ได้ ถ้าเขาให้ไปโดยไม่คิดราคาก็คงไม่เหมาะเท่าไร เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาในการแบ่งผลเก็บเกี่ยวที่ร่วมมือในอนาคต


หานซันรับเขาไปอย่างระมัดระวังและลูบราวกับว่าเป็นสมบัติล้ำค่า ก่อนที่จะเผยสีหน้าลึกซึ้ง เขาหันหลังกลับกระซิบกระซาบกับสหายข้างหลัง สุดท้ายก็โยนขวดหยกไปให้มู่เฉิน


“พี่มู่ เขาทรพีนี้ไร้ประโยชน์ต่อผู้อื่น แต่กลับเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับพวกข้า หากวางไว้ในโรงประมูลในมหาพันภพราคาอาจจะเกินสองล้านหยดของเหลวจื้อจุน”


หานซันทำท่าอายเล็กน้อยขณะที่พูดต่อ “แต่ตอนนี้พวกข้ามีของเหลวจื้อจุนที่ใช้ได้เพียงสองล้านหยด ซึ่งบรรจุอยู่ในขวดนี้ แบบนี้ที่จริงพวกข้าจะได้เปรียบไป…”


“สองล้านหยด?”


มู่เฉินอดตะลึงงันไม่ได้ จากนั้นเขาก็แอบเดาะลิ้น ตอนแรกเขาคิดว่าหากวัตถุนี้สามารถขายได้สักล้านหยดก็ดีเกินพออยู่แล้ว ไม่คิดว่าเขายังประเมินความสำคัญของสิ่งนี้ต่อเผ่าแรดอสูรต่ำไป


ของเหลวจื้อจุนสองล้านหยด ชดเชยค่าซื้อลูกผลึกแสงทั้งหมดของเขาเลยทีเดียว


“งั้นก็สองล้านหยดตามนี้”


มู่เฉินรับขวดหยกพลางยิ้มเรียบง่าย ราคาดังกล่าวเกินคาดเขาไปมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องต่อรองราคาที่เหลือให้มาก เพราะทั้งสองฝ่ายยังต้องร่วมมือกันอีก


หานซันพยักหน้าอย่างซาบซึ้ง จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรก็จ้องมองด้วยความปรารถนาดี เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความรู้สึกที่ดีต่อมู่เฉินเพิ่มขึ้นมาก


หลังจากมู่เฉินเห็นพวกหานซันลูบเขาทรพีราวกับสมบัติล้ำค่า เขาก็ไม่ใส่ใจหันไปมองวัตถุชิ้นสุดท้าย…


วัตถุนี้มีสีเงินขนาดประมาณเท่ากำปั้นผิวหยาบ มองดูราวกับหัวใจ สามารถได้ยินเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องอย่างเลือนราง


มู่เฉินจ้องมองวัตถุนี้ สายตาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ว่าวัตถุนี้ดูเหมือนจะบรรจุพลังงานที่น่ากลัวและรุนแรง หากพลังงานระเบิดออกมาแม้แต่เขาก็อาจทนไม่ได้


“นี่คืออะไร?”


มู่เฉินมองไปที่พวกจิ่วโยวด้วยท่าทางสงสัย เห็นชัดว่าเขาไม่สามารถระบุได้ว่าวัตถุนี้คืออะไร


จิ่วโยวกับมั่วเฟิงขมวดคิ้วขณะที่ไตร่ตรองเกี่ยวกับสิ่งนี้ ไม่นานก็เป็นหานซันที่เงยหน้าขึ้นจากเขาทรพีอย่างอ้อยอิ่ง เขามองที่หัวใจสีเงินด้วยความประหลาดใจครุ่นคิดอยู่สั้นๆ ก่อนที่จะพูดว่า “ถ้าข้าเดาได้ถูกต้องวัตถุนี้น่าจะเป็นหัวใจพาฬกินสายฟ้า เป็นของหายากมากแม้แต่ในสมัยโบราณ…”


เมื่อได้ยินคำพูดนี่ ดวงตาของมู่เฉินก็หดลงประกายแสงวูบไหวในดวงตา


“หัวใจพาฬกินสายฟ้ารึ?”


บทที่ 1024 สุสานหมื่นอสูร

ในสมัยโบราณ


มีสัตว์อสูรที่ไม่กินพืชไม่กินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร แต่กลับกินสายฟ้าแทน เมื่อสายฟ้าแล่นพล่านเข้าไปรวมในหัวใจและถูกบีบอัดไว้ก็ทำให้มีพลังที่สามารถทำลายล้างโลกได้เลยทีเดียว


ทว่าสัตว์อสูรชนิดนี้มีนิสัยอ่อนโยนตามธรรมชาติ ปกติไม่ทำร้ายใคร แต่ถ้าพวกมันโกรธขึ้นมาก็จะระเบิดหัวใจตัวเอง ว่ากันว่าหากพาฬกินสายฟ้าที่มีชีวิตหมื่นปี พลังของมันที่ระเบิดหัวใจก็ไม่สามารถอธิบายได้


ในตำนานเล่าว่ามีครั้งหนึ่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนพยายามที่จะจับพาฬกินสายฟ้าเป็นสัตว์เลี้ยง แต่สุดท้ายก็ทำให้มันโกรธคลั่งจนระเบิดหัวใจ สุดท้ายแม้แต่ตัวเขาก็เสียชีวิตจากแรงระเบิด


ทว่าเนื่องจากความหายากของพาฬกินสายฟ้า ในมหาพันภพปัจจุบันก็ยิ่งน้อยเข้าอีก ดังนั้นสัตว์อสูรตัวนี้จึงค่อยๆ ถูกลืมเลือนไปจากผู้คน


ในเจดีย์หินเมื่อมู่เฉินได้ยินคำอธิบายของหานซัน เขาก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบ มือที่กุมหัวใจยังสั่นเทิ้ม ด้วยความกลัวว่าจะระเบิด หากเป็นเช่นนั้นจะไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่รอดชีวิตไปได้


“หัวใจของพาฬกินสายฟ้าจำแนกตามสี อายุเกินกว่าหมื่นปีจะเป็นทองคำบริสุทธิ์ ชิ้นนี้เป็นเงินก็น่าจะมีอายุช่วงพันปี แม้ว่าจะไม่สามารถฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนได้ แต่ก็เป็นอันตรายถึงชีวิตสำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังต่ำกว่าระดับตี้จื้อจุนทุกคน” หานซันมองหัวใจสีเงินขณะที่พูดด้วยดวงตาที่ลุกโชติช่วง


ด้วยหัวใจของพาฬกินสายฟ้าก็เหมือนมีไพ่ตายที่เอาไว้ข่มขู่คนอื่นได้เพิ่มอีกหนึ่ง หากหยิบมันออกมาเมื่อถูกบีบจนเข้าสู่ทางตัน ทุกคนก็คงต้องกลัวหัวหดไม่น้อย


มู่เฉินรู้ดีถึงเรื่องนี้จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม ก่อนที่จะเก็บหัวใจสีเงินไว้อย่างระมัดระวัง ด้วยวัตถุนี้เท่ากับเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตได้หนึ่งครั้ง


ทว่าของสิ่งนี้สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว ดังนั้นหากไม่มีความจำเป็นก็ห้ามหยิบออกมาใช้ง่ายๆ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ


“พี่มู่โชคดีจริงๆ”


เมื่อหานซันเห็นแต่ละสมบัติที่มู่เฉินได้ก็อดเผยความอิจฉาบนใบหน้าไม่ได้ หากมู่เฉินแปลงของสามอย่างที่ได้รับมาเป็นของเหลวจื้อจุนอาจมีมูลค่านับสิบล้านหยดเลยก็ได้ ซึ่งเป็นกำไรที่ยอดเยี่ยมมากเมื่อเทียบกับการลงทุนล้านห้าแสนหยด


มู่เฉินก็ปกปิดความปีติยินดีในใจไม่ได้ เขาเชื่อว่าการเก็บเกี่ยวในครั้งนี้เกินความคาดหมายไปไกล


แต่ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากมั่วหลิง เขาก็ไม่สามารถเก็บเกี่ยวสิ่งที่น่าอัศจรรย์เหล่านี้ได้ แน่นอนว่า…ที่โชคดีที่สุดก็คือเขาสามารถใช้ค่ายกลในการเปิดผนึก ขณะที่คนอื่นได้แต่ทำลายผนึกด้วยกำลังเท่านั้น


ทั้งสองอย่างล้วนจำเป็นต่อการเก็บเกี่ยวในครั้งนี้


“พี่หานอีกไม่นานเราจะไปถึงสุสานหมื่นอสูรแล้ว เจ้าสามารถบอกข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอสูรโบราณโภคะได้หรือไม่?” มู่เฉินกดความสุขในใจให้สงบลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หันไปมองที่หานซันพลางถาม


จิ่วโยวและมั่วเฟิงที่อยู่ด้านข้างก็เบนสายตามา วัตถุประสงค์หลักของพวกเขาในการเดินทางไปยังสุสานหมื่นอสูรครั้งนี้คือการค้นหาเบาะแสของวิหคอมตะ แม้ว่าอสูรโภคะจะน่าดึงดูดความสนใจ แต่ก็เป็นเรื่องรอง เมื่อเทียบกับวัตถุประสงค์หลักของพวกเขา


ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรู้ชัดถึงความเสี่ยงเพื่อที่จะตัดสินใจในการเคลื่อนไหว


หานซันพยักหน้า “ข้าต้องบอกรายละเอียดอยู่แล้ว…จอมยุทธ์เผ่าข้าที่ได้เข้ามายังดินแดนเสินโซ่ในอดีตบอกไว้ว่า ไม่ใช่แค่เผ่าแรดอสูรเท่านั้นที่ค้นพบอสูรโบราณโภคะ”


“มีเผ่าอะไรอีกบ้าง?” มั่วเฟิงถาม


“มีอีกสองเผ่าก็คือเผ่าหมาป่าเวหะและเผ่าราชสีห์ทองคำ” หานซันเอ่ย


เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนั่นก็หรี่ตาลง ทั้งสองสองเผ่าต่างมีรากฐานมั่นคง หากพวกเขาได้รับการวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายก็จะกลายเป็นหมาป่าเวหะกลืนจันทร์และราชสีห์ทองคำเก้าหัว ซึ่งสามารถเทียบเคียงกับมหาเทพอสูรได้เลยทีเดียว


แต่ในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมายังไม่เคยได้ยินว่ามีใครในเผ่าสามารถพัฒนาสู่ระดับนั้นได้ ดังนั้นจึงบอกได้ว่ายากเพียงใดสำหรับพวกเขาที่จะพัฒนาจนถึงจุดนั้น


แต่ถึงอย่างนั้นเผ่าหมาป่าเวหะและเผ่าราชสีห์ทองคำก็มีชื่อเสียงมากในมหาพันภพ ไม่สามารถมองข้ามได้


“พวกข้าเคยทำสัญญาลับกับจอมยุทธ์เผ่าหมาป่าเวหะ บางทีเมื่อถึงเวลานั้นอาจจะร่วมมือกันกำจัดเผ่าราชสีห์ทองคำก่อน เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็จะได้ส่วนแบ่งสมบัติเพิ่มขึ้น” หานซันยิ้ม


มู่เฉินมองไปที่หานซันอย่างประหลาดใจ ไม่คิดว่าเขาจะแอบดึงเผ่าหมาป่าเวหะมาเป็นพวกแล้ว แบบนี้เผ่าราชสีห์ทองคำก็อาจต้องโดนเล่นง่าย


“เผ่าหมาป่าเวหะฉลาดแกมโกงและโหดร้าย ต้องระมัดระวังให้มากถ้าร่วมมือกับพวกเขา” จิ่วโยวเตือน


หานซันพยักหน้ากับคำพูดของนางเนื่องจากเขาก็ทันคนพอตัว เขารู้ว่าสัญญาแบบนี้เปราะบางแค่ไหน หากมีการเปลี่ยนแปลงฉับพลันของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานั้น เผ่าหมาป่าเวหะอาจจะหันมาแว้งกัดพวกเขาแทน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงชวนพวกมู่เฉินมาด้วย ไม่งั้นถ้าเขามั่นใจ เขาก็ไม่ต้องการให้คนอื่นมีส่วนร่วมในสมบัติหรอก


“นอกเหนือจากเผ่าทั้งสองเผ่าที่อาจต่อสู้แย่งชิงอสูรโภคะ ที่นั่นยังมีอสูรวิญญาณที่ถูกรัศมีปีศาจกัดกร่อนด้วย ซึ่งลำบากในการจัดการเช่นกัน”


“อสูรวิญญาณรึ? มีเท่าไร? พลังอยู่ในระดับไหน?” มู่เฉินครุ่นคิด สิ่งที่เรียกว่าอสูรวิญญาณก็คือวิญญาณเหล่าจอมยุทธ์เผ่าสัตว์อสูรต่างๆ ที่ถูกรัศมีปีศาจกัดกร่อนหลังตาย จนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตผีดิบ แต่ยังคงรักษาความแข็งแกร่งในการต่อสู้ส่วนหนึ่งเมื่อยังมีชีวิตไว้ พวกมันไม่กลัวความตาย หากพวกเขาถูกวิญญาณพวกนี้จู่โจมเข้าละก็จะลำบากมาก


“มีเยอะพอสมควร ส่วนใหญ่อยู่ในขุมพัลงจื้อจุนขั้นห้าหรือขั้นหก แต่ก็มีบางตัวที่ต่อกรยาก ดังนั้นเราจะต้องระมัดระวังให้มาก ไม่เช่นนั้นอาจต้องจ่ายราคาแพงระยับแน่” หานซันพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


มู่เฉินพยักหน้า ข้อมูลที่หานซันรู้ยังไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากสุสานหมื่นอสูรเป็นหนึ่งในเขตอันตรายของดินแดนเสินโซ่ ซึ่งไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวที่พวกเขาจะเดินทอดน่องไปมาตามใจต้องการชอบ ดังนั้นศึกการแย่งชิงอสูรโบราณโภคะครั้งนี้คงไม่ง่ายแน่


แต่ในเมื่อพวกเขามาไกลขนาดนี้แล้ว ไม่ว่าสุสานหมื่นอสูรจะอันตรายแค่ไหนพวกเขาก็ไม่มีทางยอมแพ้ เพราะเบาะแสของวิหคอมตะโบราณคงพบได้เฉพาะที่นั่นเท่านั้น


ทั้งหมดพูดคุยเกี่ยวกับแผนการเพิ่มเติม ก่อนที่แต่ละคนจะแยกเข้าสู่การเพาะบ่มพลังเมื่อถึงเวลากลางคืน


มู่เฉินก็สัมผัสเจตนาการสังหารของหมัดปีศาจพลีชีพตามปกติ


คืนที่เงียบงันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว


เมื่อถึงตอนเช้าที่นี่ก็คึกคักทันตา ร่างเงามากมายหลั่งไหลออกมา ขณะเดียวกันก็มีจอมยุทธ์ออกจากตลาดเสรี มุ่งไปตามเป้าหมายของตนเอง


ทั่วทั้งตลาดเต็มไปด้วยชีวิตชีวา


“พวกเราก็ไปกันเถอะ” หานซันมองพวกมู่เฉินแล้วยิ้ม


มู่เฉินและจิ่วโยวพยักหน้า พวกเขาไม่ชักช้าทะยานตัวออกจากเจดีย์หินไป ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงบินข้ามขอบฟ้าโดยมีพวกหานซันตามไปอย่างใกล้ชิด


ไม่นานหลังจากพวกมู่เฉินที่จากไป กลุ่มคนนับสิบก็ปรากฏอยู่ด้านนอกเจดีย์หิน มีคนหน้าคุ้นรวมอยู่ในกลุ่มด้วย นั่นก็คือไป๋ปิงซึ่งเสียท่าในการปะทะกับมู่เฉินเมื่อวานนี้


แต่ยามนี้ไป๋ปิงไม่เหลือเค้าความอหังการไว้บนใบหน้า นั่นเป็นเพราะเบื้องหน้าเขามีชายชุดสีฟ้ายืนเอามือไพล่หลังสายตาไม่แยแส เขามีดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งเมื่อกวาดสายตาไปรอบๆ แม้แต่บรรยากาศก็กลายเป็นน้ำแข็ง


“พี่ใหญ่ไป๋หมิง ไอ้พวกนั้นน่าจะไปกันแล้ว” ไป๋ปิงมองเจดีย์หินว่างเปล่าขณะที่พูดอย่างระมัดระวัง


ไป๋หมิงขมวดคิ้วเหลือบมองเขา ทำเอาร่างกายของไป๋ปิงเย็นเยือกลง


“ที่เจ้าบอกว่าบนร่างคนนั้นมีรัศมีหงส์ฟ้าแท้จริงเป็นเรื่องจริงหรือ?” ไป๋หมิงพูดเบาๆ


“เป็นเรื่องจริงแน่นอน ความกดดันนั่นไม่ผิดแน่ นอกจากนี้มันน่าจะเป็นมนุษย์ ดังนั้นมันจะต้องครอบครองสุดยอดสมบัติของเผ่าเรา ไม่งั้นเป็นไปไม่ได้ที่มันจะครอบครองแรงกดดันหงส์ฟ้า” ไป๋ปิงรีบอธิบาย


ไป๋หมิงพยักหน้าเล็กน้อย ริ้วความประหลาดใจวูบไหวในดวงตา รัศมีหงส์ฟ้าแท้จริง… เป็นสิ่งที่ครอบครองได้โดยกลุ่มคนชั้นสูงในเผ่าที่มีสายเลือดบริสุทธิ์เท่านั้น มนุษย์นั่นครอบครองสมบัติอะไรกัน?


ถ้าเขาไป๋หมิงได้รับ อาจช่วยพัฒนาสายเลือดจนเพิ่มความแข็งแกร่งได้อย่างมาก


“ตรวจสอบทิศทางที่พวกมันไปได้รึยัง?” ไป๋หมิงถามอีกครั้ง


“น่าจะเป็นทางตะวันตกเฉียงเหนือ” ไป๋ปิงกล่าว


“ทางนั้น…” ไป๋หมิงอึ้งงันจากนั้นก็คลี่ยิ้ม “นั่นเป็นทางไปสุสานหมื่นอสูร ดูท่าพวกมันจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่เดียวกันกับเรา แม้แต่สวรรค์ก็ไม่เข้าข้างพวกมันเลย”


“พี่ใหญ่ไป๋หมิง เราจะไล่ตามไปไหม?” ไป๋ปิงถาม


ไป๋หมิงส่ายหัวพูดว่า “ข้ายังต้องซื้อของบางอย่างในตลาดเสรี ในเมื่อพวกมันมุ่งหน้าไปยังสุสาน เดี๋ยวเราก็ได้พบกันในเร็วๆ นี้ ไม่ต้องรีบเร่งให้พวกมันกระโดดโหยงเหยงกันไปก่อนเถอะ”


เมื่อไป๋หมิงพูดจบก็หันออกไป ทิ้งไป๋ปิงที่มองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือด้วยความไม่เต็มใจพูดเสียงน่าขนลุกว่า “งั้นก็ให้พวกแกหายใจเพิ่มอีกสักสองสามวันละกัน!”


พวกมู่เฉินที่ออกจากตลาดเสรีไปแล้ว


ก็ไม่รู้ว่าตัวเองถูกเล็งหัวเอาไว้ แต่ถึงแม้จะรู้ ด้วยนิสัยก็คงไม่สนใจ เพราะตั้งแต่ลงมือกับไป๋ปิง มู่เฉินก็รู้แล้วว่าต้องเกิดปัญหา นั่นก็อย่างที่เขาพูดไว้ เขาไม่ได้กลัวหรือซ่อนตัวจากสิ่งที่ทำ หากคนที่ไป๋ปิงเชิญมาคิดว่าสามารถเหยียบย่ำบนหัวเขาได้ง่ายๆ มู่เฉินก็ไม่เกรงใจที่จะให้อีกฝ่ายจ่ายราคาแพงระยับด้วยเช่นกัน


ดังนั้นตอนนี้เขาจึงมุ่งเน้นไปที่การเดินทางไปยังสุสาน


ในช่วงสองวันต่อมาพวกเขาก็ไม่ได้แวะเวียนที่ไหนอีก ภายใต้การเดินทางด้วยความเร็วสูงสุดเมื่อพระอาทิตย์ตกดินในวันที่สองพวกเขาก็ยืนอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งแล้ว


สายตาของพวกเขาพุ่งตรงไปยังระยะไกลก่อนที่จะกลายเป็นเคร่งเครียด


บนภูเขาและพื้นดินที่ห่างไกล หมอกหนาสีเทาหนาแน่นปกคลุมทั่วบริเวณราวกับม่าน หมอกสีเทาทั้งเย็นยะเยือกและน่าขนลุก ราวกับมีเสียงโหยหวนคลุมเครือเปล่งออกมา


บนท้องฟ้า ปรากฏหลุมฝังศพนับไม่ถ้วนพร้อมกับรัศมีความตายเชี่ยวกราก


ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงสุสานหมื่นอสูรแล้ว


บทที่ 1025 เผ่าหมาป่าเวหะ

รัศมีความตายสีเทาแผ่ซ่านออกไป


ความรู้สึกเย็นเยือกนั่น แม้แต่คลื่นหลิงก็ไม่สามารถปิดกั้นได้อย่างสมบูรณ์ เส้นใยรัศมีความตายที่บุกเข้ามาในร่างกายทีละนิด จะค่อยๆ ทำให้คลื่นหลิงในร่างถูกกัดกร่อน


ทั้งกลุ่มยืนอยู่บนยอดเขาด้านนอกสุสานหมื่นอสูร สายตาจดจ่อไปที่รัศมีความตายที่เต็มพื้นที่ ก่อนที่จะมองไปที่สุสานขนาดใหญ่บนท้องฟ้า แววตาก็ค่อยๆ เคร่งเครียดลง


สุสานหมื่นอสูรทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว


“สมกับเป็นเขตอันตรายของดินแดนเสินโซ่” มู่เฉินถอนหายใจ


“ที่นี่ไม่ได้มีเพียงมหาเทพอสูรหนึ่งเดียวที่ละสังขาร…” หานซันพยักหน้า มหาเทพอสูรคือสุดยอดของเหล่าเทพอสูรซึ่งเปรียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว แต่สุดท้ายก็ต้องยังมีดินกลบหน้าอยู่ในสุสานหมื่นอสูรนี้


ยิ่งสิ่งมีชีวิตทรงพลังมากเท่าไรก็จะยิ่งปล่อยรัศมีความตายรุนแรงออกไปมากเท่านั้น หากสถานที่ละสังขารไม่ได้รับการปกป้องอย่างดี ด้วยจำนวนรัศมีความตายที่น่าอัศจรรย์มากมายในสุสานนี้ เหตุผลส่วนใหญ่ก็คงเป็นเพราะมหาเทพอสูรที่ละทิ้งร่างไว้ที่นี่


“ใกล้เวลาแล้ว พวกเราเตรียมเข้ากันเถอะ…”


หานซันมองไปที่ท้องฟ้าก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นไฟสีขาวหลายดวงก็บินไปหากลุ่มมู่เฉิน พวกเขารับไว้ก็เห็นแสงสีขาวเปลี่ยนเป็นเปลวไฟสีขาวตกลงบนบ่าอย่างรวดเร็ว ขณะที่เปลวไฟสีขาวลุกลามก็ค่อยๆ ห่อหุ้มร่างพวกเขาเอาไว้


เมื่อร่างถูกปกป้องด้วยเปลวไฟสีขาว พวกมู่เฉินก็รู้สึกว่าร่างกายค่อยๆ อุ่นขึ้น รัศมีความตายที่รุกรานเข้ามาหายไปอย่างรวดเร็ว


เห็นได้ชัดว่าเปลวไฟนี้แข็งแกร่งกว่าของหานซันที่ใช้ตอนเดินทาง


“นี่คือเพลิงต้านอาสัญ… สามารถขับไล่รัศมีความตายและยังช่วยสัมผัสได้ถึงอสูรวิญญาณที่ถูกกัดกร่อนโดยรัศมีความตายได้ด้วย ทว่าเพลิงนี้ไม่สามารถอยู่ได้นาน ดังนั้นจำเป็นต้องเพิ่มเชื้อเพลิงอยู่เรื่อย ซึ่งข้าให้ไว้กับพวกเจ้าไปก่อนหน้านี้แล้ว”


หานซันยิ้มขณะเปลวไฟสีขาวก็ลอยขึ้นเหนือไหล่ จากนั้นเขาพลิกนิ้วโยนใบไม้สีขาวลงไปในเปลวไฟก็ถูกเผาไหม้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่เพลิงจะมีพลังมากขึ้น


พวกมู่เฉินพยักหน้ารับรู้


“งั้นก็ไปกันเถอะ”


พอเห็นว่าทุกคนเตรียมตัวพร้อมแล้ว หานซันก็ไม่ได้พูดต่อ ทะยานออกไปเป็นคนแรก เขาเปลี่ยนเป็นร่างแสงเหาะเหินเข้าไปในรัศมีความตายสีเทาที่ล้อมรอบบริเวณนี้


เมื่อเห็นดังนั้นคนอื่นๆ ก็ติดตามอย่างรวดเร็ว


เมื่อพวกเขาเข้าใกล้ มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงรัศมีความตายที่หนาวสะท้านยิ่งขึ้น พื้นดินด้านล่างเป็นสีดำราวกับโคลนเน่า


“กำลังจะเข้าไปแล้ว!”


หานซันที่อยู่ด้านหน้าคำรามเตือน ทันใดนั้นพวกมู่เฉินก็รู้สึกว่าอุณหภูมิทั่วบริเวณนี้เย็นเยือกลง แม้ว่าจะได้รับการปกป้องจากเพลิงต้านอาสัญ แต่การรุกรานของรัศมีความตายก็ยังทำให้คนสั่นเทาได้


รัศมีความตายโดยรอบหนาแน่นจนถึงจุดที่ปิดกั้นวิสัยทัศน์ นอกจากนี้ภายใต้รัศมีความตายที่กัดกร่อนรุนแรง มู่เฉินรู้สึกได้ว่าแม้แต่คลื่นหลิงในร่างกายก็ถูกระงับไม่สามารถขยายไปได้ไกลมากนัก


ยอดเขาโดยรอบค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเทาอ่อนไม่มีสีสันของพืชพันธุ์สักนิด ที่นี่ราวกับโลกแห่งความตาย


โฮก!


เหมือนจะมีเสียงคำรามโหดเหี้ยมเยือกเย็นดังมาจากที่ไกล ซึ่งไม่มีร่องรอยพลังชีวิตในเสียงแม้แต่น้อย ราวกับว่าเป็นผีดิบอย่างไรอย่างนั้น


วาบ! วาบ!


ขณะที่ทั้งกลุ่มเดินทางผ่านเทือกเขา พวกเขาก็เคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง ร่างเกร็งแน่นขณะมองไปรอบๆ


กึก


หานซันที่อยู่หน้าสุดหยุดลงกะทันหัน ร่างเขาไปปรากฏบนซากต้นไม้แห้งกรังขณะมองออกไปเบื้องหน้า บนท้องฟ้ามีเงาหลายเงาลอยอยู่ คลื่นรัศมีความตายเย็นเยือกถูกปล่อยออกมาจากร่างพวกนั้นอย่างต่อเนื่อง


“นั่นอสูรวิญญาณรึ?”


มู่เฉินมองไปเบื้องหน้า ก็เห็นว่าเงาเหล่านั้นเป็นสีเทาซีด ดวงตาว่างเปล่าไม่มีสติปัญญา ทั้งหมดมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน บางตัวมีรูปร่างครึ่งสัตว์ครึ่งมนุษย์ แต่ทุกร่างต่างเปล่งรัศมีความตายทรงพลัง ใครก็ตามที่มีขุมพลังต่ำกว่าระดับจื้อจุนขั้นห้าคงต้องตายเมื่อสัมผัส


“จัดการให้เร็วที่สุด ต้องระเบิดหัวพวกมัน ไม่งั้นมันจะกวนเราไม่รู้จบ นอกจากนี้ก็ต้องทำให้เร็ว ไม่เช่นนั้นพวกมันอาจเรียกตัวอื่นๆ มาอีกก็ได้ ถึงเวลานั้นหนาวแน่ถ้าโดนล้อมกรอบเอาไว้”


หานซันพูดเสียงเบา จากนั้นก็โบกมือกระจายกำลังกำจัดเป้าหมายอย่างรวดเร็ว


คนอื่นๆ พยักหน้า อึดใจก็ทะยานออกไปในเวลาเดียวกัน พุ่งไปยังเงาหมองหม่นบนท้องฟ้า


มู่เฉินปรากฏเบื้องหน้าร่างเงาสีขี้เถ้าซีดร่างหนึ่ง มันถูกปกคลุมไปด้วยขนสีขาว ตัวสีซีดจางดูอ่อนแอ ทว่าที่จริงกลับแข็งแรงกว่าโลหะ


เมื่อมู่เฉินปรากฏที่เบื้องหน้า แสงสีเทาก็กะพริบในดวงตาอสูรวิญญาณ ทันใดนั้นมันก็เงยหน้าขึ้นพุ่งเป้ามาที่มู่เฉิน กรงเล็บแหลมคมตวัดใส่หน้าอกของมู่เฉิน


การโจมตีเฉียบคมและโหดเหี้ยมมาก ทำให้มู่เฉินประหลาดใจไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่าอสูรวิญญาณเหล่านี้ยังคงมีสัญชาตญาณการต่อสู้ของตอนมีชีวิตอยู่ ไม่อย่างนั้นไปไม่ได้ที่การโจมตีจะมีฝีมือแบบนี้


เผชิญหน้ากับอสูรวิญญาณระดับนี้ หากเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกสามัญ พวกเขาอาจต้องเสียแรงไม่น้อยถึงจะจัดการพวกมันได้


แต่น่าเสียดายที่มู่เฉินไม่ได้อยู่ในระดับธรรมดา


ดังนั้นเมื่อกรงเล็บแหวกอากาศเข้ามา มู่เฉินก็ไม่ได้หลบแต่ยื่นมือคว้ากรงเล็บเอาไว้ กรงเล็บซึ่งเปรียบได้กับอาวุธพบสวรรค์ กลับไม่สามารถแม้แต่จะบาดผิวหนังของเขาได้


แคร็ก


มู่เฉินใส่พลังในมือมากขึ้นก่อนจะบดขยี้กรงเล็บ ทว่าอสูรวิญญาณไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ กลับกวาดกรงเล็บอีกข้างที่ห่อหุ้มด้วยรัศมีความตายพุ่งไปที่ลำคอของมู่เฉิน


ปัง!


มู่เฉินชกหมัดออกไปด้วยสีหน้าเฉยเมย ฉีกผ่านมิติซัดลงบนหัวของอสูรวิญญาณจังใหญ่ ทันใดนั้นเสียงระเบิดก็ดังกึกก้อง หัวของอสูรวิญญาณแตกออกดังโพละเหมือนลูกแตงโม


แต่เมื่อหัวระเบิดกลับไม่มีเลือดสักหยด มีเพียงขี้เถ้าฟุ้งกระจาย ส่วนร่างมันก็แข็งทื่อก่อนที่จะร่วงหล่นมาจากท้องฟ้า หน้าทิ่มลงดิน


มู่เฉินไม่ได้มองอสูรวิญญาณที่ร่วงลงไป แต่มองที่กำปั้นแทน หลังจากทุบหัวของอสูรวิญญาณ มือของเขาก็ถูกห่อด้วยไอสีเทาบางจาง ซึ่งก็คือรัศมีความตายที่กัดกร่อนเข้ามา


“รัศมีความตายเป็นปัญหาจริงๆ”


มู่เฉินขมวดคิ้วจากนั้นก็หมุนเวียนคลื่นหลิงขับไล่รัศมีความตาย ในสุสานหมื่นอสูรรัศมีความตายหนาแน่นเกินไป ถ้าประมาทให้มันบุกเข้ามาในร่างกายละก็ คงต้องจ่ายราคามหาศาลเลยทีเดียว


หลังจากที่มู่เฉินจัดการอสูรวิญญาณได้ไม่นาน คนอื่นๆ ก็จัดการเรียบร้อยเช่นกัน ทุกคนมารวมตัวไม่ได้พูดอะไร ตามหลังหานซันออกไปอย่างรวดเร็ว


“อสูรโภคะที่พบอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสุสานหมื่นอสูร เราระมัดระวังกันหน่อยน่าจะใช้เวลาประมาณครึ่งวันไปถึง” ระหว่างทางหานซันก็เอ่ยขึ้น


“เผ่าหมาป่าเวหะและเผ่าราชสีห์ทองคำจะถึงก่อนไหม?” มู่เฉินถาม


“ในแง่ของความเร็วพวกเขาไม่น่าเร็วขนาดนั้น เพราะพื้นที่ที่อสูรโภคะสิ้นชีพเต็มไปด้วยอันตราย ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะผ่านไปได้” หานซันตอบ


มู่เฉินพยักหน้าไม่พูดอะไรอีก


ทั้งกลุ่มเดินทางอย่างรวดเร็วผ่านสุสานหมื่นอสูรเทาหม่น ทว่าขนาดของสุสานเกินกว่าจินตนาการของพวกเขาอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะผ่านภูเขากี่ลูกก็ยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดสักที


ระหว่างทางพวกเขาปะทะกับอสูรวิญญาณมากมาย แม้จะมีหานซันนำทาง แต่เส้นทางที่หานซันรู้ก็มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้พวกเขาตกอยู่ในดงวิญญาณเหล่านี้หลายครั้ง แม้สุดท้ายจะหลุดพ้นมาได้ แต่ก็ดูน่าสมเพชยิ่งนัก


ทว่าโชคดีที่ไม่ได้พบอสูรวิญญาณทรงพลัง ไม่เช่นนั้นความเร็วของพวกเขาจะต้องลดฮวบลงมาก


นอกจากนี้มู่เฉินยังหมุนเวียนจิตวิญญาณหงส์ฟ้าแท้จริงอย่างเงียบๆ ตลอดเส้นทางที่พุ่งสู่สถานที่ตั้งของอสูรโบราณโภคะเพื่อสัมผัสกับร่องรอยวิหคอมตะ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ผลลัพธ์อะไร ซึ่งทำให้พวกเขาค่อนข้างผิดหวัง


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วขณะเดินทาง


ไม่รู้ผ่านภูเขาไปแล้วกี่ลูก ในที่สุดมู่เฉินก็รู้สึกว่าหานซันเริ่มชะลอตัวลงและส่งสัญญาณมือบอกให้พวกเขาระวังตัว


มู่เฉินและจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เพิ่มการป้องกัน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเข้าใกล้ร่างอสูรโบราณโภคะแล้ว


ผ่านภูเขาตรงหน้าไป เบื้องหน้าครรลองสายตามู่เฉินก็ปรากฏวิวทิวทัศน์ป่าขาวโพลนซึ่งปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายเสมือนร่างภูตผีที่ทำให้รู้สึกหนาวสั่นไปตามสันหลัง


มู่เฉินมองไปที่ป่าขาวโพลนเบื้องหน้า ดวงตาก็หรี่ลง ในสถานที่แห่งนี้เขารู้สึกได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงคลุมเครือ


เขาเหลือบมองไปที่จิ่วโยวและมั่วเฟิงอย่างรวดเร็ว ทั้งสองก็สัมผัสได้เช่นกัน พวกเขายกระดับการป้องกันขึ้น


หานซันจ้องไปที่ป่าเบื้องหน้า จากนั้นก็หยิบนกหวีดเป่าเป็นจังหวะ เมื่อคลื่นเสียงแผ่ออกไป ใบไม้ในป่าสีขาวก็พลิ้วไหวก่อนที่พวกมู่เฉินจะเห็นร่างหลายร่างที่ปกคลุมด้วยรัศมีโหดเหี้ยมพุ่งออกมาจากแนวป่ายืนจังก้าอยู่ตรงหน้าพวกเขา


ผู้ที่มาใหม่มีรูปร่างกำยำ ร่างกายปกคลุมไปด้วยรอยแผลเป็นทำให้ดูดุร้าย ขณะนี้ดวงตาสีแดงก่ำจับจ้องอยู่ที่กลุ่มหานซัน


บนหว่างคิ้วมีรูปพระจันทร์เสี้ยวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเผ่าหมาป่าเวหะ


คนเหล่านั้นเป็นจอมยุทธ์ของเผ่าหมาป่าเวหะนั่นเอง


เมื่อมู่เฉินเห็นพวกเขาก็ไม่ได้ผ่อนการป้องกันลง ตรงกันข้ามกลับยกระดับมากขึ้น


จอมยุทธ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มเป็นชายที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้า ดวงตาสีแดงเข้มมองไปที่พวกหานซัน ก่อนที่จะจ้องมาที่พวกมู่เฉินเขม็ง ทันใดนั้นรัศมีร้ายกาจก็กำจายบนใบหน้า


“หานซัน พวกเขาไม่ใช่สมาชิกเผ่าแรดอสูรนี่!”


บทที่ 1026 จิงเลี่ย

เบื้องหน้าป่าขาวโพลน


ผู้นำกลุ่มหมาป่าเวหะจ้องมองพวกมู่เฉินด้วยตาสีแดงก่ำ ความคมปลาบในดวงตาประหนึ่งใบมีดที่ต้องการกรีดแทงร่างคนไป


“ฮ่าๆ พี่ฮั่วไม่ต้องกังวล พวกเขาเป็นสหายจากเผ่าวิหคโลกันตร์ เป็นพันธมิตรของข้า” หานซันยิ้มพลางอธิบาย


“พันธมิตร?”


ฮั่วหยังจากเผ่าหมาป่าเวหะขมวดคิ้วขณะหัวเราะเสียงเย็น “หานซัน เจ้าคิดว่ามีสมบัติล้ำค่ามากมายจากอสูรโบราณโภคะเรอะไง? คนมากขึ้นก็หมายความว่าส่วนแบ่งจะมากขึ้นตาม ข้าไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้”


หานซันพูดด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “พี่ฮั่วไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในเมื่อข้าเป็นคนชวนพวกเขามา ก็แบ่งในส่วนของข้า ไม่ไปแตะต้องของพวกเจ้าหรอก”


เมื่อฮั่วหยังได้ยินคำพูดของหานซันสีหน้าก็ดูดีขึ้น ทว่าเขายังคงมองไปที่กลุ่มมู่เฉินด้วยสายตาดุร้าย อึดใจมุมปากดึงขึ้นพร้อมกับแววตาเหยียดหยาม


ชัดว่าเขารู้สึกได้แล้วว่าในกลุ่มนี้ มีเพียงจิ่วโยวและมั่วเฟิงที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ส่วนอีกสองคนยังอยู่ขั้นหกเท่านั้น


พลังแค่นี้ยังกล้ามาที่สุสานหมื่นอสูร ดวงตามืดบอดด้วยความโง่เขลาอย่างแท้จริง


การดูถูกในสายตาของฮั่วหยังไม่ได้ปิดบัง ดังนั้นพวกมู่เฉินก็สัมผัสได้ ทว่าพวกเขาไม่ได้โกรธ สีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่มีท่าทางจะสร้างความสัมพันธ์กับเผ่าหมาป่าเวหะแม้แต่น้อย


มู่เฉินกวาดตามองอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว พวกเขามีทั้งหมดห้าคน สี่คนมีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด การรวมตัวของพวกเขาเทียบได้กับเผ่าแรดอสูรเลยทีเดียว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็ทุ่มความพยายามอย่างมากสำหรับการเดินทางมาเพื่ออสูรโบราณโภคะ


เนื่องจากความยากลำบากในการส่งจอมยุทธ์เพิ่มเติมเข้ามาจะยากขึ้น แม้แต่เผ่าวิหคโลกันตร์ยังส่งมาได้เพียงสี่คนเท่านั้น แน่นอนว่ามีเหตุผลที่ไม่อยากส่งสมาชิกเผ่าที่มีกำลังอ่อนแอเข้ามาด้วย เพราะมีอัจฉริยะในดินแดนเสินโซ่มีจำนวนมากเกิน ดังนั้นพวกเขาจึงแสวงหาคุณภาพป้อนเข้ามาไม่ใช่ปริมาณ


แต่ในบรรดาจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดทั้งสี่คนของเผ่าหมาป่าเวหะ นอกเหนือจากฮั่วหยังที่ทำให้มู่เฉินค่อนข้างคาดหวัง คนที่เหลือเขาก็กวาดตามองผ่านไปอย่างรวดเร็ว ประสาทสัมผัสของเขาบอกว่าทั้งสามคนมีพลังคล้ายคลึงกับลู่สุยเผ่าอีกาสายฟ้า หากเขาเผชิญหน้ากับพวกเขาก่อนที่จะบรรลุขั้นสองของคัมภีร์หลงเฟิ่งได้ก็อาจจะลำบากไปบ้าง แต่ตอนนี้…เป็นเรื่องง่ายดายมาก


“พี่ฮั่วหยังสถานการณ์ตอนนี้เป็นไงบ้าง?” หานซันยิ้ม


ฮั่วหยังเบ้ปาก “เผ่าราชสีห์ทองคำมาถึงก่อนครึ่งวันแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่กล้าเข้าลึกเกินไป ข้างในจำนวนของอสูรวิญญาณเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”


“เผ่าราชสีห์ทองคำเคยส่งข้อความมาถึงพวกเรา บอกว่าจากการตรวจสอบของพวกเขาจำนวนอสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดในสุสานเพิ่มมาเป็นสิบห้าร่างแล้ว”


เมื่อหานซันได้ยินคำพูดนั่น ใบหน้าก็อดจะเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดไม่ได้ อสูรวิญญาณขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดสิบห้าร่าง ยากสำหรับเผ่าเดียวที่จะทำลายทั้งหมดด้วยตัวเอง


“จุดประสงค์ของเผ่าราชสีห์ทองคำคือร่วมมือกันจัดการกับอสูรวิญญาณก่อน แล้วค่อยมาตัดสินเรื่องสมบัติหลังจากไปถึงขุมทรัพย์แล้ว” ดวงตาสีแดงของฮั่วหยังเหลือบมองไปที่หานซันขณะที่พูด


“ร่วมมือรึ?”


หานซันยังไม่ตอบคำถามนั้นแต่กล่าวว่า “เราไปดูกันก่อน”


หลังจากที่พูดจบ ก็พาทุกคนเข้าป่าอย่างรวดเร็ว


ที่ด้านหลังฮั่วหยังมองร่างเงาของพวกเขาด้วยแวววูบไหว จากนั้นก็โบกมือติดตามไปอย่างรวดเร็ว


พืชพันธุ์ในป่าเป็นสีขาวซีดปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายหนาแน่น ยิ่งเข้าไปลึกขึ้น มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงความหนาแน่นของรัศมีที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่สามารถหยุดกระแสเลือดในร่างกายได้เลยทีเดียว


ป่าแห่งนี้กว้างใหญ่มาก พวกเขาเหาะเหินมาอย่างรวดเร็วก็ใช้เวลาสิบกว่านาทีก่อนจะเริ่มชะลอตัวลง ป่าที่เบื้องหน้าเริ่มบางตาถูกแทนที่ด้วยเนินเขาสูงชัน กลุ่มมู่เฉินยืนอยู่บนก้อนหินสีเทาอ่อนมองลงไปที่หุบเหวขนาดใหญ่ใต้เนินเขา


ต้นไม้ที่นี่มีสีดำสนิทเนื่องจากถูกกัดกร่อนรุนแรงจากรัศมีความตาย ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยเสียงคำรามของสัตว์อสูร มองเห็นเงาวูบไหวเลือนราง


“นี่คือที่ที่อสูรโภคะละสังขาร” หานซันชี้ไปทางหุบเหว พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


มู่เฉินเพ่งมองไป รัศมีความตายน่าสะพรึงกลัวแปรสภาพเป็นชั้นเมฆสีเทาเหนือปากเหว พื้นที่ทั้งหมดไม่มีสัญญาณพลังชีวิตเลย


ทิวทัศน์นี้แสดงถึงอันตรายอย่างยิ่งของสุสานหมื่นอสูร เมื่อจอมยุทธ์ธรรมดาเห็นฉากนี้ก็จะรีบเผ่นออกไปให้ไกล หากไม่ใช่เพราะความบังเอิญแม้แต่จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูร เผ่าหมาป่าเวหะและเผ่าราชสีห์ทองคำ ก็คงไม่สามารถค้นพบสุสานอสูรโบราณโภคะที่ซ่อนอยู่ที่นี่ได้


ขณะที่พวกเขาสำรวจพื้นที่ แสงสีทองก็กะพริบในระยะไกลเสียงลมแหวกอากาศดังก้อง ทันใดนั้นสีหน้าหานซันก็ตื่นตัว


แสงสีทองเหล่านั้นปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อพวกเขาแสดงตัวแรงกดดันทรงพลังก็พล่านออกมาจากร่างที่กำยำ


มู่เฉินกวาดสายตามองไปก็เห็นจอมยุทธ์หกคนที่มา ทั้งหมดมีรูปร่างกำยำล่ำสัน เรือนผมสีทอง มีอักขระสีทองจางๆ บนใบหน้าพวกเขา ในดวงตาสีทองความเย่อหยิ่งและความกดดันที่ไม่อาจปกปิดได้กวาดออก


เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นจอมยุทธ์จากเผ่าราชสีห์ทองคำ


เมื่อจอมยุทธ์เผ่าราชสีห์ทองคำปรากฏตัว จอมยุทธ์เผ่าแรดอสูรก็เพิ่มความระมัดระวัง ร่างกายตึงเครียดขึ้นมาทันที คลื่นหลิงพลุ่งพล่านรอบตัวขณะจ้องมองอีกฝ่าย


ใบหน้าหานซันยังคงสงบนิ่ง เขามองเบื้องหน้าเผ่าราชสีห์ทองคำ ผู้นำคนนี้เป็นชายรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ร่างกายราวกับเหล็กกล้าที่มีแสงสีทองวับวาวอยู่ใต้ผิวหนัง เขาส่งแรงกดดันที่น่าอัศจรรย์ใจพร้อมกับแรงกดดันคลื่นหลิงพวยพุ่งออกจากร่างกายไม่รู้จบ


“จิงเลี่ย…เจ้าเป็นหัวหน้ากลุ่มราชสีห์ทองคำครั้งนี้จริงด้วย” หานซันจ้องมองชายร่างกำยำก็พูดขึ้นช้าๆ


จิ่วโยวหันมากระซิบบอกมู่เฉิน “มีจอมยุทธ์โดดเด่นสองคนในหมู่คนรุ่นใหม่ของเผ่าราชสีห์ทองคำ ที่รู้จักกันในฉายาวีรบุรุษคู่ทองคำ จิงเลี่ยเป็นหนึ่งในนั้น แต่ดูเหมือนว่าอีกคนจะไม่ได้มาในครั้งนี้”


มู่เฉินพยักหน้า แรงกดดันที่จิงเลี่ยส่งออกมานั้นทรงพลังอย่างแท้จริง บางทีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดทั่วไปคงไม่สามารถเผชิญหน้าได้ นอกจากนี้เขายังรู้สึกได้ว่าพลังกายของจิงเลี่ยได้ผ่านการเพาะบ่มจนทำให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วย


เมื่อจิงเลี่ยได้ยินคำพูดของหานซันก็แสยะยิ้มพร้อมเผยให้เห็นฟันสีขาวไข่มุกที่สาดไอเย็นเยือก เขาจ้องมองหานซันด้วยสายตากดดัน ก่อนจะหยุดอยู่ที่จิ่วโยวและมั่วเฟิง


“หานซัน เจ้าไม่มั่นใจในกลุ่มของตัวเองขนาดนั้นเลยเหรอ ยอมปล่อยให้คนอื่นมีส่วนร่วมในโอกาสแบบนี้ด้วยเรอะ?” จิงเลี่ยฉายยิ้มเยาะเย้ย


เมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดนั่น นางก็พูดเบาๆ ว่า “พวกข้าแค่ได้รับเชิญมาเปิดหูเปิดตาเฉยๆ”


จิงเลี่ยยิ้ม “การรวมตัวแบบนี้ยังกล้ามา ไม่รู้ว่าพวกเจ้าหยิ่งหรือโง่กันแน่?”


“หยิ่งหรือโง่ ลองดูก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอ?” มู่เฉินยิ้มบาง


“ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกมีสิทธิ์พูดที่นี่เรอะ?” ยืนอยู่ข้างหลังจิงเลี่ย จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดของเผ่าราชสีห์ทองคำก็โพล่งออกมา


จิงเลี่ยโบกมือหยุดพรรคพวกไว้ ทว่าสายตาไม่ได้มองมู่เฉินสักแวบ ชัดว่าเขาไม่คิดว่าตนเองจำเป็นต้องให้ความสนใจกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหก


“หานซัน เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อทะเลาะกัน… จากการสำรวจของพวกข้ามีอสูรวิญญาณระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดอยู่ที่นี่ประมาณสิบกว่าร่าง บวกกับอสูรวิญญาณอีกจำนวนมาก ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจะประสบความสำเร็จในการผ่านไปได้ตามลำพัง”


จิงเลี่ยมองหานซันขณะที่พูดต่อ “เรื่องนี้เผ่าหมาป่าเวหะก็เข้ามาสำรวจแล้วเช่นกัน หากเจ้าไม่เชื่อก็ไปสำรวจดูเองได้”


พวกฮั่วหยังที่ตามมาด้านหลังก็พยักหน้า


หานซันมองไปยังบริเวณซึ่งเต็มไปด้วยรัศมีความตายหนาแน่นก็ขมวดคิ้ว ที่จริงแล้วเขาไม่จำเป็นต้องตรวจสอบเพราะเขารู้สึกได้คลุมเครือว่ามีอสูรวิญญาณที่น่ากลัวอยู่มากมาย


“พี่มู่ เจ้ามีความคิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้?” หานซันเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหันไปถามความคิดเห็นมู่เฉิน


พอจิงเลี่ยและฮั่วหยังเห็นว่าหานซันไม่ได้ถามจิ่วโยวกับมั่วเฟิง แต่กลับหันไปหามู่เฉินที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหก พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งไปพลางมองมู่เฉินด้วยความประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมหานซันถึงสุภาพกับมู่เฉินขนาดนั้น


มู่เฉินแลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยวแล้วพยักหน้า


เมื่อเห็นการตอบสนองนี่ หานซันก็พยักหน้าให้จิงเลี่ย “เราจะร่วมมือกันเพื่อกำจัดอสูรวิญญาณก่อน สำหรับเรื่องสมบัติค่อยแบ่งกันหลังจากที่ผ่านตรงนี้ไป”


เมื่อจิงเลี่ยได้ยินคำพูดนั่นก็พยักหน้า ทั้งสามกลุ่มวางแผนจัดสรรพื้นที่และจำนวนของอสูรวิญญาณ


“ในเมื่อทุกคนเตรียมตัวมาพร้อมแล้ว ก็ลุยกันเลยเถอะ”


จิงเลี่ยเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเด็ดขาดโดยไม่ชักช้า เมื่อแจกแจงรายละเอียดเสร็จสิ้น เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม นำพรรคพวกทะยานออกไปทันที


“เราก็ไปก่อน เดี๋ยวมารวมตัวกันหลังจากจัดการเรียบร้อย”


ฮั่วหยังพูดขึ้นพร้อมกับนำพรรคพวกออกไป


“งั้นเราก็ไปกันเถอะ”


เมื่อหานเห็นสองกลุ่มออกตัวไป เขาก็พูดกับมูเฉินก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นลำแสงทะยานไปที่เหวสีดำสนิทเบื้องล่าง


มู่เฉินตามไปที่ด้านหลังดวงตาหรี่ลงมองไปที่ทิศทางกลุ่มราชสีห์ทองคำและหมาป่าเวหะที่จากไป ก่อนจะเอามือไพล่หลัง แอบส่งสัญญาณมือให้พรรคพวก


ระวัง


ทั้งสามแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็ว ประกายแสงวาบผ่านดวงตาขณะที่ผงกหัวเบาๆ


ศึกการแย่งชิงอสูรโบราณโภคะในครั้งนี้คงไม่ราบรื่นอย่างที่คิดไว้แล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)