หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1015-1022

 บทที่ 1015 ลองหมัด

“ถึงตาแกแล้ว…”


เมื่อม่านตาสีดำของมู่เฉินจ้องมา จงเถิงที่มีสีหน้าน่าเกลียดมากก็อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปครึ่งก้าว ฉากเหลือเชื่อที่ลู่สุยพ่ายแพ้มู่เฉินในหมัดเดียวนั้น ส่งผลกับเขาค่อนข้างมาก


ทว่าจงเถิงก็ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดาจึงสงบใจลงทันที ดวงตาที่จ้องมองมู่เฉินก็ฉายแววเคร่งเครียดและขยาดกลัว หากเมื่อก่อนมู่เฉินเป็นคนที่พอจะเผชิญหน้ากับเขาได้เท่านั้น แต่คนเบื้องหน้าตอนนี้ทำให้เขารู้สึกว่าเป็นภัยคุกคามร้ายแรงแท้จริง


“ข้าประเมินแกต่ำไป”


เสียงต่ำของจงเถิงดังก้องด้วยความเสียใจในใจ หากเขารู้ว่ามู่เฉินจะมีพัฒนาการเช่นนี้ในเจดีย์ฝึกพลังกาย เขาจัดการอีกฝ่ายไปตั้งแต่แรกแล้ว


ตอนนี้มู่เฉินเป็นภัยคุกคามยิ่งกว่ามั่วเฟิงและจิ่วโยวเสียอีก


“เรื่องวันนี้ถือว่าข้ายอมแพ้ ข้าจะชดใช้ของเหลวจื้อจุนล้านหยดให้แล้วกัน เราลบเรื่องนี้ซะ เป็นไง?” จงเถิงจ้องตามู่เฉินจากนั้นเขาก็กัดฟันและพูดอย่างเด็ดขาด


ผู้คนรอบทิศทางฉายสีหน้าพิลึกพิลั่น ใครจะคิดว่าจงเถิงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจจะยอมรับความพ่ายแพ้และคิดจะลบเรื่องไปแบบนี้


แต่ทุกคนก็ไม่ได้แปลกใจมากกับเรื่องนี้ หลังจากได้เห็นความแข็งแกร่งของมู่เฉิน แม้แต่จงเถิงก็คงไม่มีความคิดที่จะสู้ในเวลานี้


ลู่สุยถูกชกหมัดเดียวจนถึงจุดที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง ก็ไม่ต้องคิดจะได้รับความช่วยเหลือจากจอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้า หากเผ่ากระเรียนฟ้าเผชิญหน้ากับเผ่าวิหคโลกันตร์ตามลำพังละก็ พวกเขาเสียเปรียบทุกประตูอย่างเห็นได้ชัด


ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ควรยอมรับความพ่ายแพ้เพื่อรักษาพลังเอาไว้


แต่มู่เฉินไม่มีสีหน้าท่าทางเปลี่ยนไปกับการยอมแพ้ของจงเถิง สายตาไร้อารมณ์ยังคงจ้องมองไปที่จงเถิง ท่าทางชัดว่าไม่คิดจะจบเรื่องนี้ไปง่ายๆ เนื่องจากเขารู้ดีว่า หากเขาไม่ทำให้คนอย่างจงเถิงรู้สึกเจ็บปวดซะบ้าง จงเถิงก็คงไม่รู้จักจดจำ


เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน จงเถิงก็เข้าใจ ครั้งนี้มู่เฉินคงโกรธมาก ของเหลวจื้อจุนล้านหยดไม่พอจะแก้ไขปัญหาได้


เมื่อนึกถึงเรื่องนี้คิ้วของจงเถิงก็ขมวดเข้าหากัน สายตาเย็นชามองมู่เฉินเช่นกัน เขาไม่คิดจะก้มหัวอีกพูดเสียงเบาว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ข้าจงเถิงก็ขอดูหน่อยว่าวันนี้แกจะสามารถเอาชนะข้าด้วยหมัดเดียวแบบลู่สุยได้ไหม หากทำได้ก็เอาชีวิตข้าไปเลย!”


จงเถิงเป็นคนเหี้ยมหาญและเด็ดขาดแท้จริง ในเมื่อเห็นว่าไร้ประโยชน์ที่จะยอมแพ้ เขาก็โยนความคิดนั้นออกไป หากมู่เฉินต้องการสำแดงพลัง ตัวเขาก็ต้องแสดงพลังออกมาเหมือนกันเท่านั้น ทำให้มู่เฉินรู้ถึงความหมายของความกลัวซึ่งกันและกัน


“เจ้ากล้าใช้ได้”


เมื่อเห็นการตัดสินใจของจงเถิง มู่เฉินก็พยักหน้า เมื่อเทียบกับลู่สุยแล้ว จงเถิงเป็นระดับที่สูงขึ้นไปอีก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นจอมยุทธ์ที่โดดเด่นที่สุดในหมู่คนรุ่นใหม่ของเผ่ากระเรียนฟ้า นอกจากนี้ชื่อเสียงของเขาก็กระจายออกไปนอกเผ่าอีกด้วย


ตู้ม!


เมื่อตัดสินใจแล้ว จงเถิงก็ไม่ลังเลอีกต่อไป แววตาเย็นเยือกลงหลายส่วน คลื่นหลิงไร้ขอบเขตกวาดออกจากร่าง มีเสียงท่วงทำนองอันไพเราะของกระเรียนยักษ์ดังก้อง


แรงกดดันที่แผ่ซ่านจากจงเถิง ทำให้เหล่าจอมยุทธ์ฉายสีหน้าหนักใจ แม้จะอยู่ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ความแข็งแกร่งของจงเถิงก็ดีเยี่ยม เมื่อเทียบกับลู่สุยเขาแข็งแกร่งกว่าอย่างชัดเจน มิน่าล่ะเขาถึงมีชื่อเสียงเช่นนี้


ทว่าท่าทางของมู่เฉินก็สงบเป็นการตอบสนอง หากเขาไม่ได้บรรลุกายามังกรหงส์ขั้นสอง เขาคงจะต้องกางไพ่ตายทั้งหมดเพื่อจัดการกับจงเถิง อาจจะมากจนจะต้องใช้ค่ายกล แต่ตอนนี้…ชัดว่าไม่ต้องทำให้ยุ่งยากแล้ว


วาบ!


คลื่นหลิงกวาดออก ร่างจงเถิงก็ระเบิดออกด้วยแสงสีทองเหวี่ยงหมัดออกมา ขณะที่แสงสีทองพวยพุ่ง กระเรียนทองคำก็ก่อตัวขึ้นบนกำปั้น ปีกกระพือขึ้นลงรัศมีทะลุทะลวงที่ไม่สามารถอธิบายได้เฉือนไปบนพื้นโลก


หมัดเงาเทพกระเรียน!


ผู้คนโดยรอบถอยกันจ้าละหวั่น ในเมื่อจงเถิงรู้เต็มอกว่ามู่เฉินน่าเกรงขามเพียงใด ดังนั้นเขาจึงใช้พลังหมัดเต็มกำลัง ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่แม้แต่คนอย่างลู่สุยยังต้องหลบซ่อน


กำปั้นทองคำแฝงด้วยกระเรียนทองคำระเบิดอากาศก่อนจะกลายเป็นแสงสีทองพุ่งเข้าหามู่เฉิน แสงสีทองขยายตัวอย่างรวดเร็วในดวงตาฝ่ายหลัง อึดใจเขาก็ชกหมัดสวนออกไป


แสงสีทองพวยพุ่งบนกำปั้นเช่นเคย ไม่มีความผันผวนของคลื่นหลิงสักริ้ว มีเพียงพลังกายเน้นๆ


ตู้ม!


หมัดทองคำทั้งสองปะทะกันหนักหน่วง ผลกระทบที่น่ากลัวระเบิดออกมาทันที แผ่นดินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าทั้งสองแตกเป็นเสี่ยง ซากปรักหักพังบริเวณโดยรอบกลายเป็นฝุ่นผงจากคลื่นกระแทก


เมื่อคลื่นกระแทกอาละวาดออกไป ร่างกายของมู่เฉินก็กระตุก แต่เขาก็ทนรับพลังนั้นไว้ได้


ส่วนจงเถิงถูกบังคับให้ถอยกลับหนึ่งก้าวโดยทิ้งรอยลึกไว้บนพื้น แต่ถึงกระนั้นก็สามารถบอกได้ว่าจงเถิงไม่ได้อ่อนแอ ก่อนหน้าหมัดของมู่เฉินสร้างความสาหัสสากรรจ์ให้กับลู่สุย แต่สำหรับจงเถิงทำได้เพียงถอยห่างออกไปก้าวเดียวเท่านั้น ทั้งคู่ต่างเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ไม่คิดว่จะมีช่องว่างพลังกว้างใหญ่เพียงนี้


ทว่าแม้จงเถิงจะถอยกลับไปเพียงก้าวเดียวแต่ใบหน้าก็มืดครึ้มลงหลายส่วน นั่นเป็นเพราะมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าพลังกายของมู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน


หมัดเมื่อครู่เขาใช้ทั้งคลื่นหลิงและความแข็งแกร่งของพลังกาย แต่มู่เฉินใช้เพียงพลังกายล้วนๆ มาปะทะ


พลังกายของชายคนนี้เติบโตอย่างทรงพลังในระยะเวลาอันสั้นได้อย่างไร?


“เยี่ยม!”


ขณะที่จงเถิงกำลังงุนงงในสมอง มู่เฉินกลับยิ้มกริ่ม จากนั้นก็ไม่ให้เวลาอีกฝ่ายได้ถอยหนี เขาก้าวออกไปก้าวหนึ่งแสงสีทองก็พุ่งออกมา ซัดใส่ร่างจงเถิงอีกครั้ง


ตอนนี้พลังกายเขาแข็งแกร่งขึ้นมาก ดังนั้นจึงยากที่จะควบคุมกำลังได้อย่างสมบูรณ์ ในเมื่อมีคนให้ลองมือที่ดีอยู่ตรงหน้า ยังไงเขาก็ไม่ปล่อยไปแน่


ขณะที่ความคิดวาบผ่านในใจ ร่างมู่เฉินก็กลายเป็นลำแสงสีทองทะยานออกไป กำปั้นสีทองสร้างชุดหมัดซับซ้อนห่อหุ้มร่างจงเถิงจากทุกทิศทุกทาง


เผชิญหน้ากับการโจมตีดุเดือดของมู่เฉิน แม้แต่จงเถิงก็ต้องใช้คลื่นหลิงเข้าช่วยในการปะทะตัวต่อตัวนี้


ปัง! ปัง! ปัง!


หมัดต่อหมัดซัดกันนัว ทำให้อากาศหมุนเกลียวเขย่าเส้นขอบฟ้า ทุกเสียงต่ำพร่าของระเบิดราวกับฟ้าคำรนพร้อมกับพลังงานรุนแรงกวาดออก


หลายคนมีสีหน้าว่างเปล่าเมื่อมองการปะทะกันบนท้องฟ้า ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขารอยแตกลึกกระจายไปทั่วพื้นแบบไม่สิ้นสุด


ทว่าในร่างแสงทั้งสอง เรื่องที่ทำให้พวกเขามึนงงก็คือจงเถิงที่พลุ่งพล่านด้วยพลังงานหลิงรอบตัวกลับกำลังพ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินที่ไม่มีความผันผวนของคลื่นหลิงสักริ้ว


แทบทุกครั้งที่หมัดของมู่เฉินซัดลงมา จงเถิงก็ต้องถอยกลับ มากจนแม้แต่พลังคลื่นหลิงที่กวาดอยู่รอบตัวก็กระเจิดกระเจิงไปเลยทีเดียว


เวลานี้ทุกคนก็รู้แล้วว่าพลังกายของมู่เฉินน่าสะพรึงเพียงใด… ร่างกายของชายคนนี้น่ากลัวมากกว่าพวกเขาที่เป็นเทพอสูรเสียอีก


ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าตัวประหลาดนี้เพาะบ่มร่างกายของเขาอย่างไร เนื่องจากพวกเขารู้ดีว่าการฝึกฝนพลังกายยากเย็นแค่ไหน…


จอมยุทธ์เผ่ากระเรียนฟ้าอ้าปากตาค้างขณะมองดูจงเถิงที่ถอยหนีอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะหลิ่วชิง นางมีใบหน้าสลับกันระหว่างสีเขียวกับสีขาว


ก่อนหน้านี้นางยังดูถูกตัวตนของมู่เฉินในฐานะมนุษย์และพลังที่อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหก แต่ตอนนี้จงเถิงที่นางเคารพนับถือกลับอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชโดยมนุษย์ที่นางดูถูก… ความแตกต่างนี้ทำให้นางแทบจะเป็นลม


“พี่ใหญ่มู่เฉินน่าเกรงขามจริงๆ!” มั่วหลิงเบิกตากว้างพร้อมกับแสงระยิบระยับอยู่ภายใน สีหน้าเคารพนับถือฉายบนใบหน้าเมื่อมองไปที่มู่เฉินที่กำจายรัศมีเชี่ยวกราก


มั่วเฟิงยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียด ความแข็งแกร่งของเขาคล้ายคลึงกับของจงเถิง ตอนนี้จงเถิงตกอยู่ในสภาพที่น่าสังเวช นั่นก็หมายความว่าพลังในการต่อสู้ของมู่เฉินเหนือกว่าเขาแล้ว


“ดูเหมือนมู่เฉินจะมีพัฒนาการร่างกายในเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณมากนะเนี่ย” จิ่วโยวก็เกิดริ้วตื่นตะลึงในดวงตา เนื่องจากนางเข้าใจในตัวมู่เฉินเป็นอย่างดี แม้ว่าเมื่อก่อนพลังกายของเขาจะทรงประสิทธิภาพ แต่ก็ไม่ถึงระดับนี้


สีหน้าของมั่วเฟิงเปลี่ยนไปจากนั้นก็ถอนหายใจ “วิธีของเขาคงเป็นวิธีที่ถูกสินะ”


เขาคิดย้อนกลับไปถึงภาพที่มู่เฉินเดินทีละก้าวตั้งแต่ชั้นแรกของเจดีย์ ขณะที่พวกเขาใช้ทุกวิถีทางเร่งความเร็วเพื่อโอกาส มู่เฉินกลับเลือกใช้วิธีฝึกฝนแบบดั้งเดิมที่สุด…


ซึ่งการฝึกฝนแบบนั้นที่ทำให้ร่างกายของมู่เฉินได้รับการพัฒนามากเช่นนี้


จิ่วโยวพยักหน้าเบาๆ ขณะที่คนอื่นตามืดบอดจากวิทยายุทธระดับเสินทงและอาวุธมหสวรรค์ที่เป็นรางวัล มีเพียงมู่เฉินเท่านั้นที่ยังคงใช้วิธีที่มั่นคงที่สุดก้าวเดินในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายของเจดีย์ฝึกพลังกายเพื่อฝึกฝนทีละขั้น


ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่ามู่เฉินเป็นผู้ที่ได้รับโอกาสล้ำค่าที่สุดในเจดีย์ฝึกพลังกาย


“มู่เฉินกำลังใช้จงเถิงเป็นคู่มือในการลับเขี้ยวเล็บตอนนี้” เมื่อมองกลับไปที่การต่อสู้ สายตาของจิ่วโยวก็ปรากฏรอยยิ้มจางๆ


นางรู้สึกได้ว่าในเวลาสิบกว่านาที หมัดนับร้อยที่มู่เฉินซัดออกไปได้รับการขัดเกลามากขึ้น กระบวนท่าไม่ได้รุนแรงอย่างที่เคยเป็น ง่ายที่จะปล่อยและยากที่จะดึงกลับ


เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินใช้จงเถิงเพื่อขัดเกลาความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้น


“จงเถิงหมดพลังใจในการต่อสู้แล้ว”


มั่วเฟิงพยักหน้า จากนั้นก็พูดต่อ “การต่อสู้ครั้งนี้กำลังจะจบลงในไม่ช้า”


จงเถิงก็รู้สึกอย่างชัดเจนว่ามู่เฉินควบคุมพลังได้เชี่ยวชาญยิ่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงเข้าใจว่าถ้าตนเองไม่ใช้ชีวิตเดิมพันในการต่อสู้โอกาสในการชนะก็ต่ำเตี้ยนัก


ทันทีที่มั่วเฟิงพูดจบ ร่างกายของจงเถิงก็ปะทุด้วยแสงสีทอง ภาพซ้อนทะยานออกมา เปลี่ยนร่างเป็นกระเรียนทองคำขนาดหนึ่งพันจั้ง


กรงเล็บของกระเรียนคว้าไปที่พรรคพวก ลวดลายทองคำนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นที่ปีกทั้งสองข้าง ด้วยการกระพือครั้งเดียว ลมคลั่งก็พัดออกมาแล้วเปลี่ยนเป็นแสงสีทอง ทะยานหนีไปในระยะไกล


การหลบหนีทันควันของจงเถิง ทำเอาทุกคนอ้าปากเหวอ


แสงสีทองวูบวาบ ร่างเงาของมู่เฉินก็ปรากฏขึ้น เขามองจงเถิงที่หลบหนีด้วยรอยยิ้มจางๆ จากนั้นเขากำมือแน่นกระบี่ขนนกสีทองก็เผยขึ้น


กระบี่โบกลง เขาเทคลื่นหลิงและพลังกายทั้งหมดลงไป


ฮึ่ม!


แสงกระบี่ทองคำขนาดหลายร้อยกว่าจั้งเจาะทะลุมิติหายวับไปทันที


จังหวะที่แสงกระบี่หายไป เสียงร้องโหยหวนก็ดังก้องจากระยะไกล เหมือนจะเลือดสาดกระเซ็นบนท้องฟ้าด้วย


เห็นได้ชัดว่าจงเถิงที่กำลังหนีหลบวิถีกระบี่ไปไม่ได้และได้รับบาดเจ็บสาหัส


มู่เฉินยืนอยู่บนซากปรักหักพังพร้อมกระบี่ขนนกในมือ เลือดสดเปล่งประกายบนท้องฟ้าไกลโพ้น ริ้วแสงสีแดงเข้มสาดส่องลงบนร่าง ทำให้เขาดูคงกระพันในขณะนี้


ฉากนี้สร้างความตกตะลึงให้กับจอมยุทธ์นับไม่ถ้วน ความกลัวหนาแน่นเกาะกุมหัวใจ


พวกเขารู้ว่าหลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ชื่อเสียงของมู่เฉินจะขจรขจายในดินแดนเสินโซ่อย่างรวดเร็ว


ช่างเป็นม้ามืดที่น่าตื่นตาจริงๆ


บทที่ 1016 อสูรโบราณโภคะ

เมื่อจงเถิงเผ่นหนีไปแล้ว


บรรยากาศเดือดพล่านด้านนอกเจดีย์ก็สิ้นสุดลง จอมยุทธ์เผ่าอื่นๆ พากันเหลือบมองมู่เฉินด้วยความหวาดกลัวและความเคร่งเครียดในสายตาก่อนที่จะทยอยจากไป


หลังจากที่เจดีย์ฝึกพลังกายเปิดขึ้นในครั้งนี้ก็จะปิดไปอีกนานและไม่มีวิธีใดที่จะเปิดได้ ดังนั้นที่นี่จึงหมดความน่าดึงดูดใจ ไม่มีใครยอมที่จะหยุดอยู่ต่อ


ดินแดนเสินโซ่กว้างใหญ่ไพศาล มีโอกาสอีกมากมายรอพวกเขาให้ไปค้นหา ดังนั้นไม่มีใครจมจ่อมอยู่ในที่ที่เดียวหรอก


ทว่าถึงแม้พวกเขาจะจากไป แต่ทุกคนต่างก็จดจำมนุษย์ที่มีนามว่ามู่เฉินที่มีพลังกายทรงประสิทฺภาพเหนือกว่าแม้แต่เทพอสูรซึ่งสลักความประทับใจให้กับพวกเขา พวกเขารู้ว่านี่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะเห็นมู่เฉิน ในเวลานั้นบางทีอัจฉริยะทั้งหมดที่อยู่ในดินแดนเสินโซ่จะรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของเขา


ทุกคนต่างก็อยากรู้อยากเห็น ไม่รู้ว่ามู่เฉินจะเป็นยังไงหากเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อัจฉริยะเผ่าเทพอสูรอื่นๆ


หากเกิดการต่อสู้กันจะต้องเป็นการปะทะกันของดาวหางยักษ์อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งน่าตื่นตาอย่างยิ่ง


การฝึกยุทธ์ในดินแดนเสินโซ่เพิ่งจะเริ่ม รอให้ถึงเวลาที่เหล่ายอดอัจฉริยะมารวมตัวกัน เวลานั้นถึงได้เป็นจุดสูงสุดของการฝึกยุทธ์ในดินแดนเสินโซ่


“ฮ่าๆ พี่มู่ทรงพลังอย่างแท้จริง ข้าเองยังเทียบพลังกายของเจ้าไม่ได้เลย”


เมื่อฝูงชนที่อยู่นอกเจดีย์ค่อยๆ จากไป หานซันก็ประสานมือด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงของเขาสุภาพอ่อนโยนอบอุ่นกว่าตอนที่อยู่ในเจดีย์ เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่ได้เห็นการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินกับจงเถิง หานซันก็วางมู่เฉินไว้ในจุดที่สำคัญอย่างยิ่ง


มากจนตัวเขาก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะมู่เฉินได้


มู่เฉินยิ้มพลางประสานมือให้พร้อมฉายความเป็นมิตร ไม่มีความแข็งกร้าวและเฉียบคมเหมือนตอนเผชิญกับจงเถิงและลู่สุย หานซันไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา หากพวกเขาสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีก็ย่อมมีผลประโยชน์มากกว่าผลเสีย


“แต่วันนี้พี่มู่กลายเป็นศัตรูเต็มตัวกับจงเถิงซะแล้ว”


หานซันเหลือบมองไปยังทิศที่จงเถิงหายไปก็ยิ้ม “แม้ว่าจงเถิงจะเป็นอัจฉริยะของเผ่ากระเรียนฟ้าแต่เขาก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร ตามที่ข้ารู้เผ่ากระเรียนฟ้ามีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเผ่าคุนเผิง ตัวจงเถิงก็มีความสัมพันธ์บางอย่างในเผ่าคุนเผิง…”


“เผ่าคุนเผิง?” ดวงตาของมู่เฉินหดลงเมื่อได้ยิน แม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้อะไรมากมายเกี่ยวกับเผ่าเทพสูร แต่เขารู้ว่าเผ่าคุนเผิงถือเป็นหนึ่งในเผ่าเทพอสูรชั้นยอดที่มีรากฐานไม่ด้อยไปกว่าเผ่ามังกรและหงส์ฟ้าเลยทีเดียว


สีหน้าของจิ่วโยวและมั่วเฟิงที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ดูเคร่งเครียดมากขึ้น เผ่ากระเรียนฟ้าสืบเชื้อสายมาจากมหาเทพอสูรเผ่ากระเรียนปีกทองคำ ซึ่งเผ่าคุนเผิงเป็นต้นกำเนิดของกระเรียนทั้งหมด ดังนั้นกระเรียนปีกทองคำจึงถือว่าเป็นหนึ่งในเผ่าคุนเผิงนั่นเอง


ก็เหมือนกับสายเลือดของวิหคอมตะโบราณที่ไหลอยู่ในร่างสมาชิกเผ่าวิหคโลกันตร์ ซึ่งวิหคอมตะโบราณถือเป็นหนึ่งในเผ่าหงส์ฟ้าด้วยเช่นกัน


ถ้าจงเถิงมีความสัมพันธ์กับคนในเผ่าคุนเผิงจริง ถ้าเขาเชิญจอมยุทธ์อัจฉริยะของเผ่าคุนเผิงเข้าร่วมก็จะเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับพวกเขา สามารถจินตนาการได้ว่าจอมยุทธ์อัจฉริยะของเผ่าเทพอสูรชั้นยอดจะเป็นอย่างไร


แม้ว่าจะระวังขึ้นในใจ แต่มู่เฉินก็ไม่ได้กลัวอะไรมาก เส้นทางการฝึกฝนในหลายปีที่ผ่านมา เขาไม่ได้พึ่งพาความกลัว


“เราจะระวังเรื่องนี้ ขอบคุณสำหรับข้อมูล” มู่เฉินประสานมือแสดงความขอบคุณต่อการเตือนของหานซัน


หานซันยิ้มครุ่นคิดสั้นๆ ถามว่า “ไม่รู้ว่าพวกเจ้าวางแผนจะไปที่ไหนต่อหรือ?”


เมื่อมู่เฉินได้ยินคำถามดังกล่าวก็แลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยว จากนั้นนางก็พูดขึ้นว่า “พวกข้ากำลังหาร่องรอยของวิหคอมตะโบราณน่ะ”


นางไม่ได้ซ่อนเป้าหมายของตนเอง เพราะถึงยังไงหากข่าววิหคอมตะโบราณกระจายออกไปก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปกปิดไว้ นอกจากนี้พวกนางก็ต้องการหาให้พบก่อน


หลายปีมานี้เผ่าวิหคโลกันตร์ก็สืบหาข้อมูลอยู่เสมอ แต่การเก็บเกี่ยวไม่น่าประทับใจอะไรเลย


“วิหคอมตะโบราณเหรอ…”


หานซันไม่ได้ประหลาดใจอะไรกับความจริงข้อนี้ เนื่องจากเขารู้อยู่แล้วว่าเผ่าวิหคโลกันตร์มีสายเลือดวิหคอมตะโบราณ จึงยิ้มเอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าได้ข้อมูลอะไรมาหรือยัง?”


จิ่วโยวส่ายหน้า


“ถ้างั้นข้าอาจจะให้ความช่วยเหลือได้บ้าง” หานซันกล่าว


มู่เฉินและจิ่วโยวตกใจก่อนที่จะมองหานซันด้วยสายตาตั้งคำถามพูดอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้ามีเบาะแสบางอย่างเหรอ?”


หากเป็นเช่นนั้นจริงหานซันจะยอมบอกเบาะแสมาอย่างง่ายดายได้ยังไง?


“ไม่ใช่เบาะแสที่แน่นอน” หานซันยิ้ม “แต่ข้าเชื่อว่าดีกว่าคลำไปรอบๆ น่ะ”


“ยินดีรับฟัง”


จิ่วโยวพยักหน้าอย่างจริงจัง ดินแดนเสินโซ่กว้างใหญ่ไพศาล แม้จะมีรัศมีหงส์ฟ้าแท้จริงบนร่างมู่เฉิน แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะพบร่องรอยของวิหคอมตะโบราณ ดังนั้นหากมีเบาะแสน้อยนิดก็ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับพวกเขา


“ไม่รู้ว่าพวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องสุสานหมื่นอสูรไหม?” หานซันกล่าว


“สุสานหมื่นอสูร?!”


มู่เฉินไม่ได้ตอบสนองกับคำพูดนี่ แต่ใบหน้าของจิ่วโยวและมั่วเฟิงเปลี่ยนไปพร้อมกับความเคร่งเครียดและหวาดหวั่น


“ที่นั่นคือที่ไหนเหรอ?” มู่เฉินถามอย่างประหลาดใจ


“ก็ตามความหมายของชื่อ นั่นเป็นสุสานของสัตว์อสูรน่ะ… ว่ากันว่าเทพอสูรที่ละสังขารที่นั่นมีจำนวนมากที่สุดในดินแดนเสินโซ่ ทำให้กลายเป็นสุสานขนาดใหญ่ที่โอบล้อมด้วยรัศมีความตายตลอดทั้งปี เนื่องจากผสมผสานเข้ากับรัศมีปีศาจต่างมิติ จึงอันตรายอย่างยิ่งและเป็นหนึ่งในดินแดนมรณะ” จิ่วโยวพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“แต่ก็มีข่าวลือว่าไม่ได้มีมหาเทพอสูรเพียงหนึ่งเดียวที่ละสังขารที่สุสานหมื่นอสูร…” มั่วเฟิงกล่าวเสริม


“วิหคอมตะโบราณก็เป็นหนึ่งในนั้นเรอะ?” มู่เฉินมองไปที่หานซัน


“ครั้งก่อนตอนที่ดินแดนนี้เปิดออก เผ่าของข้าได้เข้าไปในสุสานหมื่นอสูร พวกเขาเล่าว่าเคยได้ยินเสียงร้องของหงส์ฟ้าและ… เพลิงอมตะ” หานซันพูดช้าๆ


ลมหายใจของจิ่วโยวกระชั้นขึ้น เพลิงอมตะ… เป็นเพลิงเอกลักษณ์ของวิหคอมตะโบราณ หากสิ่งที่หานซันพูดเป็นความจริงละก็ อาจจะมีร่างวิหคอมตะร่วงหล่นอยู่ในสุสานหมื่นอสูรจริงๆ


เพียงแต่ว่าดินแดนมรณะนั่นอันตรายเกินไป ในอดีตมีคนไม่มากนักจากเผ่าวิหคโลกันตร์ที่ไปที่นั่น


“ทำไมพี่หานถึงบอกเรื่องนี้กับเรา… ” แววตามู่เฉินวูบไหว จากนั้นก็ยิ้มให้หานซัน ความหมายในคำพูดของเขาชัดเจน ในเมื่ออีกฝ่ายบอกข้อมูลเชิงลึกขนาดนี้ก็ต้องมีเป้าหมายอะไรบ้าง


“ข้าต้องการหาพันธมิตรน่ะ” หานซันพูดตรงๆ


“พี่หานพบบางอย่างในสุสานใช่ไหม?” มู่เฉินหยั่งเชิง หากไม่ทราบข้อมูลที่แน่นอน หานซันคงไม่เสี่ยงชีวิตเพื่อเข้าสู่ดินแดนมรณะนั่นหรอก


หานซันเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉินก่อนที่จะพยักหน้าช้าๆ “กลุ่มของข้าเคยเห็นอสูรโบราณโภคะอยู่ในสุสานนั่น”


“อสูรโบราณโภคะ?!”


เมื่อคำพูดเหล่านั้นพูดออกมา ไม่เพียงแต่จิ่วโยวและมั่วเฟิงที่อึ้งไป แม้แต่มู่เฉินก็เบิกตากว้างพร้อมกับความตกตะลึงบนใบหน้า


อสูรโบราณโภคะไม่เพียงแต่โด่งดังในโลกสัตว์อสูรเท่านั้น แต่ยังเป็นที่เลื่องลือในโลกมนุษย์อีกด้วย


เล่าลือกันว่าอสูรโบราณโภคะชอบกินโลหะที่เป็นเอกลักษณ์ทุกชนิดและสมบัติต่างๆ สิ่งเหล่านั้นจะได้รับการชำระในร่างมันด้วยรูปแบบพิเศษ ก่อนที่จะกลายเป็นอาวุธพบสวรรค์ทรงพลัง มากจนแม้แต่อสูรโบราณโภคะบางตัวสามารถกลั่นอาวุธเสมือนมหสวรรค์และอาวุธมหสวรรค์ได้ กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังใจหวั่น


ดังนั้นอสูรโบราณโภคะจึงถูกขนานนามว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการกลั่นอาวุธเทพแต่กำเนิด ตราบใดที่มันตายไปก็ดึงดูดสายตาจำนวนนับไม่ถ้วนไป


นั่นเป็นเพราะศพของมันคือสมบัติ!


แต่น่าเสียดายที่มันหายากแสนยาก ไม่ค่อยปรากฏตัวแม้แต่ในสมัยโบราณ ยิ่งตอนนี้ในมหาพันภพก็มีจำนวนน้อยนิด


แต่ไม่ว่ามันจะหายากเพียงใด ชื่อเสียงก็โด่งดังจนน่ากลัว ดังนั้นแม้แต่คนอย่างมู่เฉินที่รู้เรื่องเผ่าสัตว์อสูรน้อยนิดก็ยังรู้เรื่องนี้


เมื่อหานซันมองเห็นความตกตะลึงที่เขียนบนใบหน้าของพวกเขาก็พยักหน้าเบาๆ “จากข่าวอสูรโบราณโภคะตัวนี้ทรงพลังอย่างยิ่งตอนที่ยังมีชีวิตอยู่เข้าใกล้การเป็นมหาเทพอสูร ถ้ามันไม่ได้พบภัยพิบัตินั่นก็อาจจะพัฒนาเป็นมหาเทพอสูรไปแล้วก็ได้”


เมื่อไรที่กลายเป็นมหาเทพอสูรก็จะสามารถกลั่นอาวุธทรงพลังเท่าอาวุธมหสวรรค์…


ทว่ามู่เฉินและคนอื่นๆ ไม่รู้สึกเสียใจ ตรงกันข้ามดวงตากลับส่องประกายมากขึ้น นั่นหมายความว่าสัตว์อสูรตัวนี้ได้สัมผัสเข้าไปในขอบเขตของมหาเทพอสูรแล้ว


นั่นก็หมายความว่าในร่างมันอาจมี… อาวุธเสมือนมหสวรรค์อยู่ก็ได้


“ในร่างกายมัน ไม่น่าจะมีอาวุธเสมือนมหสวรรค์แค่หนึ่งชิ้น…” หานซันพยักหน้าพร้อมกับความโลภพล่านเต็มในดวงตา หากเขาได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์สักชิ้น การเดินทางมายังดินแดนเสินโซ่ก็คุ้มค่าอย่างที่สุดแล้ว


ซี้ด!


พวกมู่เฉินสูดลมหายใจเย็น หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไปอาจจะดึงดูดคนนับไม่ถ้วนมุ่งหน้าไปยังสุสานหมื่นอสูรก็เป็นได้


“ข้อมูลแบบนี้… เจ้าก็ยินดีแบ่งปันด้วยเหรอ?” มั่วเฟิงจ้องมองหานซันแบบไม่อยากเชื่อ มีใครไม่ต้องการครอบครองตัวสมบัติดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียวด้วยเรอะ?


“โอกาสทุกประเภทต้องอาศัยความแข็งแกร่ง”


หานซันยิ้มบาง “ไม่ต้องพูดถึงอันตรายในสุสาน แค่พื้นที่ที่อสูรโบราณโภคะละสังขารก็มีสิ่งที่จัดการได้ยากแล้ว… นอกจากนี้ที่สำคัญที่สุดก็คือไม่ใช่ข้าคนเดียวที่รู้เรื่องนี้”


“ในตอนนั้นนอกเหนือจากจอมยุทธ์เผ่าข้าแล้ว ยังมีเผ่าอื่นอยู่ด้วยเช่นกัน ข้าเชื่อว่าพวกเขาตั้งเป้าหมายไปที่นั่นแล้ว”


“ดังนั้นข้าต้องการเพื่อนร่วมทางที่สามารถไว้ใจได้”


หานซันมองกลุ่มมู่เฉินแล้วยิ้ม “ข้าขอพูดบางคำที่อาจสร้างความไม่พอใจ ก่อนหน้าถ้ามู่เฉินไม่แสดงความแข็งแกร่งให้เห็น ข้าคงมองข้ามพวกเจ้าไปแล้ว… แล้วคำตอบของพวกเจ้าคืออะไร?”


มู่เฉินแลกเปลี่ยนสายตากับพรรคพวก ดวงตาทั้งสี่กะพริบแสงวูบไหว โต้ตอบผ่านการส่งเสียงสั้นๆ ไม่นานจากนั้นพวกเขาก็ตกลงกันได้


มู่เฉินมองไปที่หานซันด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าพลางยื่นมือออกมา


“หวังว่าความร่วมมือของเราจะเป็นเรื่องน่ายินดี”


บทที่ 1017 เร่งรุดเดินทาง

ข้อเสนอของหานซัน มู่เฉินไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ


ไม่ต้องพูดถึงว่าอสูรโบราณโภคะล่อลวงแค่ไหน เพียงแค่เบาะแสเกี่ยวกับวิหคอมตะโบราณในสุสานหมื่นอสูรอย่างเดียวก็มีค่าพอที่จะเสี่ยงแล้ว


นั่นเป็นเพราะเป้าหมายหลักของเขาในการมาในดินแดนเสินโซ่ก็คือการช่วยจิ่วโยวให้ได้รับเลือดศักดิ์สิทธิ์ของวิหคอมตะโบราณ เพื่อทำให้สายเลือดของนางสมบูรณ์และกำจัดข้อเสียที่ได้จากพันธะโลหิตให้หมดสิ้น


ดินแดนเสินโซ่มีพื้นที่ใหญ่โตมโหฬารแฝงด้วยอันตรายทุกรูปแบบ ความต้องการที่จะพบร่องรอยของวิหคอมตะโบราณก็เหมือนการค้นหาเข็มในมหาสมุทร ดังนั้นในเมื่อมีเบาะแสขึ้นมาในตอนนี้ พวกเขาก็ไม่คิดจะปล่อยมันไป


ดังนั้นมู่เฉินและจิ่วโยวจึงไม่ได้ลังเลอะไรมากกับคำชวนของหานซันตอบตกลงทันที


มั่วเฟิงและมั่วหลิงก็เห็นพ้องต้องกัน พวกเขามาที่ดินแดนเสินโซ่เพื่อแสวงหาโอกาสตั้งแต่ต้น แม้สุสานหมื่นอสูรจะอันตราย แต่ก็มีโอกาสยิ่งใหญ่ในนั้น


“ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็รีบเดินทางกันดีกว่า ที่นี่ห่างไกลจากสุสานหมื่นอสอูร จากการกะระยะของข้า เราต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าวันแม้ว่าจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเต็มพิกัดก็ตาม” เมื่อหานซันเห็นว่าพวกมู่เฉินตกลงร่วมมือ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็กว้างขึ้นจากนั้นก็โบกมือ ร่างเงาสามร่างพลิ้วตัวลงข้างเขา


ร่างพวกเขาปกคลุมด้วยเกราะหนักสีดำ รัศมีเหี้ยมหาญกระจายโดยรอบ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นจอมยุทธ์จากเผ่าแรดอสูร มีสองคนอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ด แม้แต่คนที่อ่อนแอที่สุดก็อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกระยะปลายสุด ซึ่งนี่เป็นรูปแบบการรวมตัวที่ทรงพลังนัก


แม้ว่าจอมยุทธ์สามคนของเผ่าแรดอสูรจะห่อหุ้มไปด้วยรัศมีเหี้ยมหาญ แต่พวกเขาก็มีความสุภาพต่อพวกมู่เฉิน เห็นได้ชัดว่าการแสดงความแข็งแกร่งก่อนหน้าของมู่เฉินเอาชนะใจพวกเขาไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คัดค้านหานซันที่ขอความร่วมมือกับกลุ่มมู่เฉิน


ทั้งสี่พยักหน้าให้กับผู้มาใหม่ทั้งสามคน ตอนนี้มีเพียงคนไม่กี่คนอยู่ในซากปรักหักพังแห่งนี้ คนส่วนใหญ่จากไปแล้ว ส่วนเผ่าอีกาสายฟ้าก็พาลู่สุยที่ไม่รู้เป็นหรือตายออกไปตั้งแต่ตอนที่จงเถิงเผ่นหนีแล้ว


มู่เฉินไม่ได้หยุดพวกเขา แม้ว่าเผ่าอีกาสายฟ้าจะน่ารังเกียจ แต่ก็ยังไม่ถึงจุดที่เขาจะฆ่าพวกเขาทั้งหมด นั่นเป็นเพราะถ้าเขาทำก็อาจทำให้เผ่าอีกาสายฟ้าไม่พอใจ ยังไงพวกเขาก็เป็นสัตว์อสูรที่มีชื่อเสียง ถ้าพวกเขาโกรธขึ้นมาละก็เป็นปัญหาใหญ่แน่


แน่นอนว่าถ้ามีใครบางคนแกว่งเท้าหาเสี้ยนแบบจงเถิง มู่เฉินอาจหาโอกาสฆ่าพวกเขาหากหลบหนีช้า


ดังนั้นตัวตลกอย่างลู่สุย ในเมื่อไม่สามารถคุกคามอะไรได้ เขาก็ขี้เกียจไปสนใจอะไรมาก


เมื่อทั้งสองกลุ่มรวมตัวกัน กลุ่มของพวกเขาก็มีประสิทธิภาพขึ้น มู่เฉินและหานซันไม่ได้ชักช้าอีกต่อไป ออกเดินทางทันทีหลังจากกำหนดทิศทางได้ พวกเขากลายเป็นร่างแสงแปดร่างทะยานออกจากเมืองร้างนี้ไป


เมื่อพวกเขาจากไป เมืองก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง มีเพียงเจดีย์หินโบราณที่ยังตั้งตระหง่าน เมื่อกาลเวลาผ่านไป ร่องรอยที่เหลือไว้บนพื้นผิวก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าครั้งหนึ่งที่นี่เคยรุ่งโรจน์


ขณะที่พวกมู่เฉินออกจากเมืองร้าง


มุ่งหน้าไปยังสุสานหมื่นอสูร ในอีกทิศทางหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป…


ฟิ้ว!


แสงสีทองส่งเสียงหวีดหวิวตกลงบนเนินเขาอย่างน่าสมเพช ในแสงสีทองมีร่างกระเรียนทองคำขนาดใหญ่เมื่อแสงทองแล่นพล่านออกไปก็กลายร่างกลับเป็นมนุษย์


นี่คือจงเถิงและพรรคพวกเผยตัวออกมาด้วยสีหน้าซีดเซียว


“พี่ใหญ่จงเถิง เจ้า…” ใบหน้าของหลิ่วชิงซีดเผือดเมื่อมองไปที่จงเถิง ขณะนี้ใบหน้าชายหนุ่มน่ากลัวอย่างยิ่ง แขนขวาถูกตัดออก เขาเอามืออีกข้างถือแขนขวาไว้ เลือดสดไหลนอง


แม้ว่าเขาจะตัดสินใจหนีอย่างเด็ดขาด แต่แขนเขาก็ยังถูกฟันด้วยกระบี่ของมู่เฉิน


“มู่เฉิน ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”


จงเถิงจับแขนที่ขาดไว้ คำรามอย่างอาฆาตมาดร้าย จอมยุทธ์อัจฉริยะเผ่ากระเรียนฟ้าเช่นเขาตกอยู่ในสภาพน่าสมเพชเนื่องจากฝีมือของมนุษย์คนหนึ่ง มากจนถูกตัดแขนไปข้างหนึ่ง หากเรื่องนี้ถูกส่งกลับไปที่เผ่ายากที่จะจินตนาการว่าจะเกิดคลื่นสะท้อนยิ่งใหญ่เพียงใด


“พี่ใหญ่จงเถิง ตอนนี้เราจะทำยังไง?” จงฮั่วถามด้วยสีหน้าซีดขาว ด้วยการบาดเจ็บตอนนี้ของจงเถิง ทำให้ความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาลดลงมาก หากไปแข่งขันเพื่อโอกาสกับกลุ่มอื่นๆ อีก พวกเขาอาจได้ทิ้งชีวิตไว้ในดินแดนเสินโซ่แห่งนี้เลยก็ได้


สายตาของจงเถิงดุร้าย พักใหญ่ก็หายใจเข้าลึกค่อยๆ สงบอารมณ์ลง พูดอย่างเย็นชาว่า “ไปหาเผ่าคุนเผิงก่อน ครั้งนี้จงชิงเฟิงก็เข้ามาในดินแดนเสินโซ่ในฐานะสมาชิกกลุ่มเผ่าคุนเผิง ถ้าได้รับความช่วยเหลือของเขา เราก็สามารถฆ่ามู่เฉินได้อย่างง่ายดาย!”


เมื่อชื่อจงชิงเฟิงดังขึ้น ดวงตาของหลิ่วชิงและจงฮั่วก็ลุกเป็นไฟ นั่นเพราะชื่อนี้เป็นตำนานมีชีวิตในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของเผ่ากระเรียนฟ้า ตอนแรกคนผู้นี้ก็เป็นสมาชิกเผ่ากระเรียนฟ้า แต่เนื่องจากความสามารถที่ยอดเยี่ยมจึงไปถูกตาผู้อาวุโสเผ่าคุนเผิงรับเขาเป็นศิษย์และคัดเลือกเข้าสู่เผ่าคุนเผิง ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่ในเผ่าคุนเผิงที่มีอัจฉริยะมากมาย เขาก็ยังถือว่าโดดเด่น พรสวรรค์และพลังของเขาเหนือกว่าจงเถิงเสียอีก!


ถ้าจงชิงเฟิงยอมช่วยพวกเขา มู่เฉินจะต้องถูกกระทืบจมดินแน่นอน


แค่คิดถึงภาพน่าเศร้าของมู่เฉินที่โดนกระทืบครั้งแล้วครั้งเล่า พวกหลิ่วชิงก็อดเป็นสุขจากการล้างแค้นไม่ได้ราวกับว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงแล้ว


ความมืดเยือนเข้ามาโอบล้อมพื้นดิน


ค่ำคืนในดินแดนเสินโซ่หนาวจัด กระทั่งฟ้าดินยังเต็มไปด้วยไอเย็นยะเยือก ซึ่งเกิดจากรัศมีความตาย มีจอมยุทธ์เผ่าเทพอสูรมากมายได้ทิ้งร่างไว้ที่นี่ ดังนั้นแม้เวลาจะผ่านไปนับหมื่นปี แต่ในค่ำคืนก็ยังถูกปนเปื้อนด้วยรัศมีความตาย ทำให้เย็นเยือกไปถึงแก่น


ดังนั้นโดยทั่วไปจึงไม่มีจอมยุทธ์คนไหนเลือกเดินทางในเวลากลางคืน พวกเขาจะมองหาสถานที่พักผ่อนเพื่อต่อต้านการรุกรานของรัศมีความตาย


บนภูเขาที่เคยสูงตระหง่าน แต่ตอนนี้พังทลายลงปรากฏถ้ำที่พร่างพราวด้วยแสงสว่างของเพลิงสีขาวนวล นี่เป็นเพลิงพิเศษชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถขับไล่รัศมีความตาย ทำให้ทั้งถ้ำเป็นอิสระจากสิ่งชั่วร้าย


ในถ้ำพวกมู่เฉินนั่งรอบกองไฟมองดูเพลิงสีขาวเต้นระริก พวกเขาอดไม่ได้ที่จะพยักหน้า กลุ่มหานซันเตรียมพร้อมมาก แม้แต่หินไฟชนิดพิเศษก็เตรียมมา ชัดว่าพวกเขาตั้งใจจะไปสุสานหมื่นอสูรมานานแล้ว


“จากความเร็วของเรา น่าจะใช้เวลาอีกสี่วันไปถึงสุสานหมื่นอสูร…”


ที่เบื้องหน้ากองไฟ หานซันพลิกนิ้วประกายไฟลุกโชนก่อตัวเป็นแผนที่ จากนั้นก็ชี้นิ้วไปยังตำแหน่งหนึ่ง “อีกสองวันเราจะผ่านสถานที่นี่ซึ่งเป็นตลาดเสรี จะมีจอมยุทธ์จากเผ่าอื่นมารวมตัวกัน เราต้องไปเตรียมของบางอย่าง”


“นอกจากนี้…” หานซันมองมู่เฉินและจิ่วโยวแล้วยิ้ม “ที่นี่ก็มีของดีไม่น้อย หากมีโชค เราอาจจะได้รับบางอย่าง ข้าเคยได้ยินว่าในอดีตมีคนโง่ที่ไม่รู้มูลค่าของขายชิ้นส่วนวิทยายุทธระดับเสินทงไปให้คนอื่นในราคาต่ำ”


“ชิ้นส่วนของวิทยายุทธระดับเสินทง?”


มู่เฉินและจิ่วโยวอึ้งไปจากนั้นก็แอบเบ้ปาก เขาคนนั้นโง่จริงๆ แต่คำพูดของหานซันก็ทำให้พวกเขาสนใจมากขึ้น ดินแดนเสินโซ่กว้างใหญ่ไพศาลมีโอกาสมากมายซ่อนอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ได้รับโอกาส บางคนอาจมองไม่เห็นมูลค่าและนำสมบัติหายากนั้นมาขาย


“สำหรับสกุลเงินที่ใช้ก็คือของเหลวจื้อจุน แน่นอนว่าเจ้าสามารถใช้ของในการแลกเปลี่ยนได้” หานซันยิ้ม


มู่เฉินพยักหน้า เขาเพิ่งได้รับของเหลวจื้อจุนมาจากจงเถิงล้านหยด บวกกับที่มีอยู่แล้วเขาก็มีของเหลวจื้อจุนอยู่กับตัวเกือบสองล้านหยด หากพบของดีจริง เขาก็สามารถซื้อได้


“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ ทุกคนรีบพักกันเถอะ พรุ่งนี้เราจะเดินทางตั้งแต่เช้า”


เมื่อหานซันบอกเล่าเกี่ยวกับตลาดเสรีเรียบร้อย เขาก็หยุดคุยแล้วหลับตาเข้าสู่สมาธิ


ที่ด้านข้างจิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิงก็หาที่ทางเข้าสู่สมาธิด้วยเช่นกัน


มู่เฉินเปิดโพรงหินสร้างห้องเพื่อเพาะบ่มแยกออกไป เขานั่งลงแต่ไม่ได้เข้าสมาธิทันที เขาหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ หลับตา


เมื่อหลับตาภาพทิวทัศน์ก็ปรากฏอยู่ในใจ ที่นี่เป็นสนามรบโบราณที่ไม่สามารถมองเห็นปลายเส้นขอบฟ้าได้ มีเพียงไอสังหารเชี่ยวกรากและกลิ่นอายความสิ้นหวังกระจายออกมา


ที่ใจกลางของสนามรบมีร่างเงาสีแดงเข้มยืนตระหง่านราวกับก้อนหิน เหมือนกับว่าต่อให้มีกองทัพและม้านับหมื่นแสนพุ่งเข้ามา ก็ไม่มีทางที่จะขยับเขยื้อนร่างกายของเขาได้


ดวงตาของมู่เฉินจับจ้องอยู่ที่ร่างสีแดงเข้ม ก็เห็นไอสังหารเชี่ยวกรากจากฟ้าดินค่อยๆ มารวมกันที่รอบตัวคนนั้น ทำให้เขาประหนึ่งเทพปีศาจเลยทีเดียว


เงาสีแดงเข้มเงยขึ้นอย่างช้าๆ เหมือนจะเหลือบมองมาที่มู่เฉิน ก่อนที่ไอสังหารจะก่อเป็นถ้อยคำสีแดงเข้มนับไม่ถ้วนปรากฏบนท้องฟ้า


เมื่อมองไป หัวใจของมู่เฉินก็กระตุกแรง


กระบวนท่าแรกของหมัดปีศาจพลีชีพ—สังเวยปีศาจ!


แม้สุดท้ายมู่เฉินจะออกมาจากเจดีย์โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็แปลกที่ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินผ่านการทดสอบของชั้นห้า นั่นเป็นเพราะในมุมมองของพวกเขานี่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย


ทว่าพวกเขาไม่เคยคิดว่าชั้นห้าไม่ใช่การทดสอบความแข็งแกร่ง แต่เป็นความกล้าหาญในการเสียสละตนเอง


มู่เฉินอดทนจนวินาทีสุดท้ายไปกับหมัดทำลายล้าง ดังนั้นเมื่อเขาเห็นว่าร่างกายถูกทำลายโดยหมัด เขาก็รู้ว่าการเดิมพันของตนเองประสบความสำเร็จแล้ว


เดิมพันนี้ก็คือวิทยายุทธระดับเสินทงที่ราชันสงครามโลหิตสร้างขึ้น!


หมัดปีศาจพลีชีพ!


บทที่ 1018 ตลาดเสรี

ในถ้ำ


รัศมีสังหารรุนแรงแฝงด้วยความโหดเหี้ยมไม่สิ้นสุดเกิดขึ้นในใจของมู่เฉินแล้วพุ่งใส่ร่างดวงจิตของมู่เฉินไม่หยุดยั้ง ทำให้ดวงตาเริ่มกลายเป็นสีแดง


ราวกับว่ามีไอกระหายเลือดพุ่งขึ้นจากหัวใจ


เมื่อรู้สึกถึงสิ่งนี้ มู่เฉินก็ตัดสินใจรีบหยุดการสัมผัสทันที ดวงตาของเขาเปิดโพลงพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด


หมัดปีศาจพลีชีพน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง เพียงแค่ฝึกก็จะได้รับผลกระทบจากความกระหายเลือดแล้ว


ทว่ามู่เฉินไม่ได้กังวลอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากวิทยายุทธระดับเสินทงสามารถฝึกสำเร็จได้ง่าย ก็ไม่ควรถูกเรียกว่าคัมภีร์มหาเทพแล้ว


“ตอนนี้ข้าต้องสัมผัสความกระหายเลือดทุกวันจนกว่าจะคุ้นชินและสามารถควบคุมได้ ถึงจะเริ่มฝึกฝนได้” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง


หากเขาต้องการใช้หมัดปีศาจพลีชีพ ก็ต้องทำให้จิตวิญาณจมจ่มอยู่ในความกระหายเลือด มีเพียงรัศมีที่ลืมความตายเท่านั้นถึงจะทำให้เขาสามารถปลดปล่อยพลังหมัดนี้ได้อย่างแท้จริง


แต่ถึงแม้ว่าวิธีการฝึกฝนหมัดนี้จะยากมาก แต่มู่เฉินก็ยังแอบดีใจอยู่ในใจ แม้ว่าเขาจะได้รับเพียงกระบวนท่าแรก แต่หมัดนี้ก็จะกลายเป็นไพ่ตายใบสำคัญหากเขาสามารถฝึกฝนได้สำเร็จ


ฮา


มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกสุดปอดระงับความปีติยินดีในใจ จากนั้นก็สงบจิตใจก่อนที่จะเข้าสู่สมรภูมิสังหาร อีกครั้ง ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปเขาจะต้องทำความเข้าใจรัศมีสังหารที่โหดร้ายและพยายามคุ้นชินกับมันโดยเร็วที่สุด


นั่นเป็นเพราะเขาตั้งตารอวันที่สามารถปลดปล่อยหมัดปีศาจพลีชีพและดูว่ามันจะน่าตกใจแค่ไหน


เช้าวันรุ่งขึ้น


ทันทีที่ความมืดเพิ่งจะบอกลา ทุกคนก็ออกจากสมาธิ หลังจากเก็บข้าวของพวกเขาก็เดินทางกันอีกครั้ง


ภายใต้การเดินทางอย่างรวดเร็ว มู่เฉินก็เริ่มตระหนักถึงความกว้างใหญ่ของดินแดนเสินโซ่ นอกจากนี้ในบางพื้นที่ยังเต็มไปด้วยหุบเหวลึก เมื่อมองจากมุมสูงก็จะพบว่าเหวลึกเกิดจากการฉีกขาดโดยฝ่ามือขนาดใหญ่ทั้งนั้น ฉากนี้ราวกับว่าผืนดินทั้งผืนแตกออกจากกัน


ภาพเหล่านี้ล้วนพิสูจน์ว่าเป็นหายนะแค่ไหนในยามที่เผ่าปีศาจต่างมิติเปิดการโจมตีแบบไม่ยั้งใส่ดินแดนเสินโซ่ในยุคโบราณ…


สำหรับเหวลึกเหล่านี้แม้บางพื้นที่จะมีรัศมีสมบัติ แต่พวกมู่เฉินก็ไม่กล้าเสี่ยงเข้าไป เพราะแม้ว่าจะผ่านไปนับหมื่นปี รัศมีปีศาจก็ยังคงอยู่ในนั้น ซึ่งเป็นรัศมีที่ไม่เข้ากับคลื่นหลิงในฟ้าดิน หากพวกเขาเข้าไปข้างในมีความเป็นไปได้ที่คลื่นหลิงในร่างกายจะหมดลงอย่างรวดเร็วและถูกรัศมีปีศาจเข้าบุกรุกทำร้ายล้างวิญญาณ


ระหว่าทางพวกเขาก็พบคนเผ่าอื่นๆ อยู่บ้าง แต่เมื่อคนเหล่านั้นเห็นการรวมตัวของกลุ่มมู่เฉินก็รีบถอยอย่างมีชั้นเชิง


เพราะตัดสินจากรูปลักษณ์กลุ่มพวกเขามีจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดห้าคน ส่วนอีกสามคนนอกจากมั่วหลิงที่ดูบอบบางแล้ว อีกสองคนก็ดูจัดการยาก ดังนั้นนี่จึงทำให้หัวใจของกลุ่มเหล่านั้นสลายเจตนาไม่ดีลง ทำให้การเดินทางของพวกเขาราบรื่นขึ้น


ดังนั้นภายใต้การเดินทางในกลางวันและทำความเข้าใจกับรัศมีกระหายเลือดของหมัดปีศาจพลีชีพในกลางคืน เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว


ในวันที่สามกลุ่มมู่เฉินก็พบว่ามีความผันผวนของคลื่นหลิงปรากฏมากขึ้น นอกจากนี้ยังมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน


ภาพนี้ทำให้มู่เฉินรู้ว่าพวกเขาน่าจะใกล้ถึงตลาดเสรีที่หานซันบอกแล้ว


ขณะที่ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจมู่เฉิน ทิวทัศน์เบื้องหน้าเขาก็เปิดกว้างขึ้นทันที จากนั้นเขาก็เห็นว่ามีเนินเขาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในระยะไกล ซึ่งมีสิ่งก่อสร้างโบราณอยู่บนนั้นบ้าง คลื่นหลิงทรงพลังนับไม่ถ้วนกระจายออกจากที่นั่น


ในฟ้าดินโดยรอบก็มีร่างแสงพลิ้วลงในสิ่งก่อสร้างโบราณอยู่เรื่อยๆ


ชัดว่าพื้นที่บริเวณน่าจะเป็นตลาดเสรีที่หานซันบอกแล้ว


“เรามาถึงแล้ว”


หานซันพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วพูดกับกลุ่มมู่เฉินว่า “เมื่อเราเข้าตลาดเสรีก็แยกกันหาซื้อสิ่งของที่สามารถช่วยต่อต้านรัศมีความตายเพื่อง่ายสำหรับพวกเราที่จะเข้าไปในสุสานหมื่นอสูร ในมือพวกเจ้าก็มีรายการวัตถุอยู่ ถ้าเจอก็ซื้อเอาไว้ ของเหล่านั้นยิ่งเยอะยิ่งดี”


“ตกลง” มู่เฉินพยักหน้าหลังจากได้ยิน


ฟิ้ว!


จากนั้นร่างแสงหลายร่างก็พุ่งทะลุขอบฟ้าพลิ้วลงในเขตนอกของตลาดเสรีอย่างรวดเร็ว


เมื่อพวกเขาเข้าสู่เขตนอกตลาดเสรี ความตื่นตะลึงก็วูบไหวในดวงตามู่เฉิน ขนาดความเฟื่องฟูที่นี่เกินความคาดหมายของเขา ตามการคาดการณ์น่าจะมีคนไม่น้อยกว่าพันคนที่อยู่ในตลาดเสรี


พวกเขาเข้าสู่ตลาดตามคลื่นฝูงชน ก่อนที่พวกหานซันจะเดินแยกไปอีกทาง


มั่วหลิงเต็มไปด้วยชีวิตชีวาเผยท่าทางของหญิงสาวที่ชื่นชอบสถานที่จับจ่ายใช้สอย เมื่อพรรคพวกมองเห็นก็ได้แต่ยิ้ม ยังไงพวกเขาก็ตั้งใจมาหาสมบัติอยู่แล้ว ดังนั้นการเดินตามหลังนางไปเดินดูข้าวของไปรอบๆ ก็ไม่เสียหายอะไร


ตลาดเสรีกว้างใหญ่ มีหินก้อนโตโดยรอบก่อตัวเป็นรูปแบบต่างๆ บางคนนั่งอยู่บนหินตามสองข้างทาง ที่มีต้นไม้หินหนาแน่นอยู่ข้างหน้า บนกิ่งไม้มีลูกผลึกแสงกะพริบแวววาว สิ่งของสะดุดตาหลากหลายอยู่ในลูกผลึกแสงเหล่านั้น


ทั้งคัมภีร์ กระบี่โบราณ กระดูกสีขาวและสมบัติแปลกประหลาดหลากหลายประเภท ซึ่งดูน่าตื่นตาดึงดูดสายตาอย่างยิ่ง


มู่เฉินเดินช้าๆ บางทีเมื่อพบวัตถุที่สามารถต้านทานรัศมีความตายได้ก็จ่ายเงินซื้อเอาไว้ แม้ว่าวัตถุเหล่านี้หายาก แต่ราคาส่วนมากก็อยู่ที่หลักหมื่นของเหลวจื้อจุน ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับมู่เฉิน


ขณะที่พวกเขากวาดตาผ่านสินค้า มู่เฉินก็ค้นพบของบางอย่างที่ถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ผู้ขายก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นราคาจึงแพงหูฉี่ เขาได้แต่เหลือบมองก่อนที่จะยอมแพ้


ไม่จำเป็นต้องเสียของเหลวจื้อจุนมากมายเพื่อซื้อของที่ไม่เป็นประโยชน์อะไรมาก


ดังนั้นระหว่างทางมู่เฉินจึงอดถอนหายใจไม่ได้ สินค้าในตลาดเสรีแห่งนี้มีคุณภาพสูง หากวางไว้ในโรงประมูลภายนอก จะเรียกราคาสูงกว่านี้อย่างแน่นอน


พวกเขาเดินเข้าไปส่วนในของตลาด สุดท้ายทั้งสี่ก็หยุดเดินเบื้องหน้าต้นไม้หินใหญ่ต้นหนึ่ง


ต้นไม้หินนี้ไม่เล็ก ซ้ำยังหนากว่าต้นอื่น นอกจากนี้ยังมีวัตถุมากมายแขวนอยู่ ช่างดูเจิดจ้าแยงตาและเหมือนจะพิเศษไม่น้อย


ดังนั้นจึงมีผู้คนแวะเวียนเข้ามาดูวัตถุบนต้นไม้หินนี้ตลอดเวลา


มู่เฉินเพ่งสายตาไป แววตกตะลึงก็วูบไหวในดวงตา นั่นเพราะเขาพบว่าทุกชิ้นถูกปิดผนึกไว้ ผนึกเหล่านั้นเก่าแก่มาก ทำให้ผู้ซื้อไม่สามารถมองทะลุทะลวงเข้าไปได้


“สหายนี่หมายความว่าอะไร?” มู่เฉินมองใต้ต้นไม้หินที่มีชายร่างผอมบางนั่งเงียบๆ แม้ว่าชายคนนี้จะหลุบตาต่ำราวกับง่วงงุน แต่มู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่ทรงพลังจากเขา


พลังของชายคนนี้ไม่อาจประมาทได้


“วัตถุเหล่านี้ข้าได้มาจากซากอารยธรรม แต่ก็มีผนึกติดอยู่ทุกชิ้น ผนึกเหล่านี้แปลกมาก มีโอกาสประสบความสำเร็จในการทำลายเพียงสามส่วน เมื่อล้มเหลวสมบัติก็จะระเบิดตัวเอง ดังนั้นหากใครต้องการที่จะลองก็ต้องจ่ายของเหลวจื้อจุนห้าแสนหยดแล้วก็เลือกทำลายได้ตามใจชอบ แน่นอนว่า…ข้าจะไม่รับผิดชอบต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลว ต่อให้เจ้าเปิดได้อาวุธมหสวรรค์ก็จะเป็นของของเจ้า” ชายร่างผอมบางเงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉินก่อนจะพูดช้าๆ


กติกาของผู้ขายคนนี้แตกต่างจากคนอื่น ใช้วิธีจับสลากเพื่อเสี่ยงโชค หากใครโชคร้ายแม้ว่าพวกเขาจะสามารถเปิดผนึกได้ พวกเขาก็จะได้รับเพียงขยะไปเท่านั้น


“ของเหลวจื้อจุนห้าแสนหยดสำหรับโอกาสทำลายผนึก นอกจากนี้โอกาสสำเร็จยังไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ เจ้าบ้ารึเปล่า?” ที่ด้านข้างมีคนส่งเสียงล้อเลียน เพราะเขาคิดว่าผู้ขายคนนี้เรียกร้องราคาที่สูงเกินไป


เมื่อเขาพูดออกไปก็มีคนจำนวนมากเอ่ยเห็นด้วย สิ่งนี้น่าดึงดูด แต่ราคาของเหลวจื้อจุนห้าแสนหยดและโอกาสสำเร็จเพียงสามส่วนก็หยุดความคิดผู้คนที่จะลองดู


ทว่าชายร่างผอมขี้เกียจเกินกว่าจะให้ความสนใจพวกเขา วัตถุของเขาผ่านการคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน ดังนั้นผู้มีสายตาเฉียบแหลมจะรู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่ของธรรมดา หากไม่ใช่วัตถุเหล่านี้มีโอกาสประสบความสำเร็จต่ำ เขาก็คิดทำลายเองทั้งหมด ทว่า…เขาเคยลองมาแล้วหลายครั้ง แต่ที่ทำให้เขาโมโหคือโชคของเขาต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เขาไม่เคยทำลายผนึกได้สำเร็จเลยสักครั้ง


มู่เฉินกับจิ่วโยวแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็ว ความสนใจก็เพิ่มขึ้น นั่นเป็นเพราะพวกเขาพบว่าวัตถุที่ปิดผนึกอยู่ภายในมีความไม่ธรรมดาอยู่จริง


บางทีพวกเขาอาจลองเสี่ยงได้สักหน่อย


ทั้งสี่มีความคิดดังกล่าวแล่นพล่านในใจ จากนั้นสายตาก็กวาดมองไปที่ลูกผลึกแสงทั้งหลาย


ในขณะที่ทั้งสี่กวาดมองไปรอบๆ สายตามู่เฉินและมั่วหลิงก็หยุดชะงักมองลูกผลึกแสงที่ห้อยอยู่มุมขวาล่างพร้อมกัน


ภายในลูกผลึกแสงเป็นหินสีดำขนาดเท่ากำปั้น หินราวกับไข่ พื้นผิวเหมือนจะมีร่องรอยไหม้อยู่


บทที่ 1019 แก่นเพลิงหงส์ฟ้า

มู่เฉินและมั่วหลิงพุ่งสายตาไปรวมกันที่ก้อนหินสีดำที่ดูเหมือนไข่


เขาเหลือบมองหญิงสาวที่อยู่ด้านข้างอย่างประหลาดใจ เห็นชัดเขาไม่คิดว่าพวกเขาจะเล็งวัตถุชิ้นนี้พร้อมกัน


หินสีดำที่มีรอยเผาไหม้ดูเป็นสิ่งที่ธรรมดามาก แต่ด้วยประสาทสัมผัสพิเศษ มู่เฉินรู้สึกถึงความผันผวนของความร้อนที่รุนแรงผิดปกติในหินสีดำ


มั่วหลิงเบิกตากว้างด้วยประกายแวววาว จากนั้นก็คว้าแขนเสื้อมู่เฉิน ใช้เสียงที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน “พี่ใหญ่มู่เฉิน มีแก่นเพลิงหงส์ฟ้าในหินสีดำ!”


“แก่นเพลิงหงส์ฟ้า?” หัวใจของมู่เฉินสั่นระรัว ที่เรียกว่าเพลิงหงส์ฟ้าก็คือเปลวไฟเอกลักษณ์ของเผ่าหงส์ฟ้าซึ่งเป็นสิ่งครอบงำมาก แก่นเพลิงหงส์ฟ้าชำระมาจากหงส์ฟ้าเพลิง ถือได้ว่าเป็นสมบัติดี เป็นประโยชน์อย่างมากต่อจอมยุทธ์ที่ฝึกคลื่นหลิงคุณสมบัติเปลวไฟ


แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือความจริงที่ตัวเขาทำได้เพียงรู้สึกถึงความผันผวนแปลกประหลาดในหินสีดำเบาบางทว่ามั่วหลิงกลับสามารถระบุวัตถุที่ผนึกไว้ภายในได้แน่นอน


“เจ้ารู้ได้ยังไง?” มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงถามออกไป


มั่วหลิงกะพริบตากลมโตหัวเราะเสียงพลิ้ว “นั่นเป็นเพราะข้ามีความสามรถพิเศษในการรับรู้โดยกำเนิดที่น่าตกใจ ไม่ว่าจะเป็นผนึกแบบใด ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการตรวจพบของข้าไปได้”


หัวใจของมู่เฉินสั่นไหว ไม่คิดว่าหญิงสาวคนนี้จะมีพรสวรรค์โดยกำเนิดแบบนี้ ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมนางถึงระบุสมบัติที่ผนึกไว้ในหินสีดำได้


ในแง่ของราคา แก่นเพลิงหงส์ฟ้าชิ้นหนึ่งสูงกว่าของเหลวจื้อจุนห้าแสนหยดเสียอีก ซึ่งถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับผู้ฝึกคลื่นหลิงเพลิง


มู่เฉินมองมั่วหลิงที่ดวงตาเปล่งประกายวิบวับ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจพลางพูดว่า “เจ้าอยากได้เหรอ?”


มั่วหลิงเหมือนจะมาจากเผ่าหงส์ฟ้า ดังนั้นจึงครอบครองเพลิงหงส์ฟ้าด้วย หากนางได้ดูดซับแก่นเพลิงหงส์ฟ้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นประโยชน์ต่อนางมากขนาดไหน


มั่วหลิงพยักหน้าหงึกหงัก แต่ก็พูดด้วยความเขินอาย “แต่ข้าไม่มีของเหลวจื้อจุนจำนวนมากอยู่กับตัว… นอกจากนี้แม้ว่าเราจะรู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้น ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถทำลายผนึกได้หรือไม่”


ผลสำเร็จสามส่วนต่ำเกินไป หากพวกเขาล้มเหลวก็จะทำให้เงินกลายเป็นอากาศธาตุ


“ไม่ว่ายังไงก็ต้องลองเสี่ยงนะ”


มู่เฉินยิ้ม ตั้งแต่เขาเข้ามาในดินแดนเสินโซ่ก็ได้รับผลประโยชน์มากมาย มั่วเฟิงโชคดีกว่าเนื่องจากได้เข้าสู่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณ ขณะที่จิ่วโยวและมั่วหลิงรออยู่ข้างนอกเป็นวัน


เขากับจิ่วโยวไม่จำเป็นต้องเกรงใจในเรื่องผลประโยชน์แบบนี้มากนัก แต่สำหรับมั่วหลิงแล้วก็รู้สึกว่าตนเองเป็นหนี้บุญคุณนาง ในเมื่อนางพบบางอย่างที่ต้องการ มู่เฉินก็เต็มใจที่จะใช้จ่ายของเหลวจื้อจุนห้าแสนหยดให้


พูดจบมู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาเอื้อมมือดูดลูกผลึกแสงที่มีหินสีดำก็หล่นลงในมือ เวลาเดียวกันเขาก็สะบัดแขนเสื้อส่งขวดหยกบินไปหาชายร่างผอมบางใต้ต้นไม้หิน


อีกฝ่ายรับไว้ หลังจากตรวจสอบจำนวนของเหลวจื้อจุนเสร็จเขาก็สะบัดนิ้วตัดเส้นใยคลื่นหลิงที่เชื่อมติดอยู่กับลูกผลึกแสงออก


บนพื้นผิวของหินสีดำหยาบกระด้างมีรอยไหม้อยู่ด้วย นอกจากนี้ยังมีอักขระโบราณปกคลุม ซึ่งเกิดจากผนึก ทำให้ดูลึกซึ้งอย่างยิ่ง


มู่เฉินจับหินสีดำหลับตาลงอย่างช้าๆ คลื่นหลิงสอดแทรกเข้าไปในหินสีดำเพื่อตรวจสอบผนึกโบราณ ผ่านไปพักใหญ่กว่าเขาจะลืมตาขึ้นมาพร้อมกับขมวดคิ้ว


ผนึกนี้ประหลาดมาก หากใช้กำลังทำลายก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก่อนที่ผนึกจะถูกทำลายมีความเป็นไปได้สูงที่จะจุดชนวนทำลายตัวเองเพื่อล้างผลาญวัตถุที่อยู่ภายใน


ดังนั้นเขาจะต้องใช้วิธีพิเศษถ้าต้องการที่จะทำลายผนึกโดยไม่ไปสะกิดของภายใน


“วัสดุที่ใช้ผนึกดูเหมือนจะค่อนข้างพิเศษ”


หลังจากตรวจสอบอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็รู้ถึงจุดสำคัญของอักขระบนพื้นผิวของหินสีดำ อักขระเหล่านี้มีสีแดงเข้มและบรรจุด้วยแรงกดดันเป็นพิเศษ


“ผนึกนี้เกิดขึ้นจากเลือดของมหาเทพอสูร… มิน่าล่ะถึงยังคงอยู่แม้จะผ่านไปนับหมื่นปี”


มู่เฉินสังเกตจนถี่ถ้วน สุดท้ายก็ตระหนักได้ว่าแรงกดดันนี้เป็นสิ่งที่มีเพียงมหาเทพอสูรเท่านั้นที่มีได้ แม้ว่าจะอ่อนกำลังลงไปหลายเท่าแล้ว แต่เนื่องจากในร่างเขามีจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง เขาจึงยังคุ้นเคยกับกลิ่นอายของมหาเทพอสูรนี้อยู่


“พี่ใหญ่มู่เฉินเป็นยังไงบ้าง? ทำลายผนึกได้ไหม?”


มั่วหลิงอดไม่ได้ต้องถามเขาอย่างสงสัย ที่ด้านข้างผู้คนจำนวนมากก็มองมาที่มู่เฉิน ชัดว่าต่างต้องการเห็นจะๆ ว่าคนที่ทุ่มทุนซื้อสิ่งนี้ด้วยของเหลวจื้อจุนห้าแสนหยดจะได้อะไรออกมา


มากจนแม้แต่ชายร่างผอมบางก็หันมามองด้วย ที่จริงเขาพอจะสามารถสัมผัสได้คลุมเครือว่าวัตถุที่ขายไปไม่ใช่ของธรรมดา ครั้งหนึ่งเขาเคยทำใจแข็งที่จะเปิดพวกมันทั้งหมดโดยลองเสี่ยงกับโชคชะตาของตนเองดู หากเขาได้พบกับสมบัติที่แท้จริงก็จะคุ้มค่า ทว่าเขาไม่คิดว่าตนเองจะไม่มีดวงขนาดนั้น ผนึกที่เขาเปิดเองทั้งหมดล้วนล้มเหลว


ดังนั้นรอยแผลจึงถูกทิ้งไว้ในหัวใจหลังจากความล้มเหลว ตัวเขาไม่กล้าที่จะเปิดเองอีกต่อไป เขากลัวว่าจะโชคร้ายจนล้มเหลวทุกครั้ง หากเป็นเช่นนั้นความพยายามทั้งหมดก็จะไร้ผล เขาจึงเลือกวิธีขายพวกมันผ่านการเสี่ยงโชค นั่นเพราะเขายังสามารถหารายได้เป็นของเหลวจื้อจุนกลับเข้ามาในกระเป๋าได้บ้าง


ภายใต้สายตาของทุกคน มู่เฉินยังคงนิ่งเงียบอยู่นานก่อนที่จะพูดช้าๆ “ลองดูได้”


หลังจากค่อยๆ ทำความเข้าใจโครงสร้างวัสดุที่ใช้ในการผนึก เขาก็มีวิธีการบางอย่างที่สามารถลองดูได้ แม้ว่าเขาจะไม่มั่นใจเต็มร้อยเกี่ยวกับโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ แต่ก็ยังดีกว่าการทำลายด้วยความป่าเถื่อน


เมื่อคิดได้เช่นนี้ มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป นิ้วจับหินสีดำสั่นไหวเบาๆ ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็รวมกันก่อร่างเป็นสัญลักษณ์หลิงยิ่งรวมตัวเข้าในอากาศ


เมื่อสัญลักษณ์หลิงยิ่งรวมเข้าในอากาศ ค่ายกลก็ถักทอขึ้นที่กลางฝ่ามือของมู่เฉิน โดยมีหินสีดำตั้งอยู่ในใจกลาง


ค่ายกลนี้ไม่ใช่ค่ายกลน่ากลัวอะไร มากจนถึงจุดที่ไม่มีความสามารถในการโจมตีเลย ทว่ากลับมีความสามารถในการเปลี่ยนแปรช่วยให้มู่เฉินเทคลื่นหลิงลงไปในผนึกโดยที่ไม่ต้องสัมผัส เขาคิดจะทำลายผนึกจากด้านใน


ทว่าถึงค่ายกลจะดูเรียบง่าย แต่ก็ต้องมีความเชี่ยวชาญในศาสตร์นี้ โชคดีที่มู่เฉินเป็นหลิงเจิ้นต้าซือแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถสร้างค่ายกลนี้ได้ตามที่ต้องการ


ลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบนแขนเต้นเบาๆ จากนั้นแสงสีม่วงทองก็พุ่งออกมา เข้าไปในหินสีดำผ่านทางค่ายกล


ผนึกโบราณนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยเลือดมหาเทพอสูร วิธีการทั่วไปไม่สามารถทำลายได้โดยไม่ไปสะกิดสิ่งที่อยู่ภายในให้เสียหาย สิ่งเดียวที่ทำลายมันได้ก็คือพลังมหาเทพอสูรตัวอื่น


เช่น พลังมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่สถิตในแขนของมู่เฉิน


มีเพียงพลังในระดับเดียวกันเท่านั้นที่สามารถทำลายผนึกได้อย่างสมบูรณ์


แสงสีม่วงทองค่อยๆ รวมเข้ากับหินสีดำสัมผัสอักขระ ก่อนที่แสงสีม่วงทองจะเริ่มกัดกร่อนผนึกอย่างเงียบๆ


การกัดกร่อนนี้ละเอียดมาก เนื่องจากมู่เฉินไม่กล้าประมาท เขากลัวว่าของเหลวจื้อจุนห้าแสนหยดจะสลายเป็นอากาศธาตุหากเขาประมาท


ผู้คนโดยรอบไม่สามารถเข้าใจการกระทำของเขาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดไปว่ามู่เฉินกำลังฉงนสนเท่ห์ขณะจับก้อนหินสีดำ ทันใดนั้นหลายคนก็เบ้ปากอย่างดูถูกเหยียดหยาม ดูท่าคงเป็นไอ้งั่งอีกคน…


มีเพียงจิ่วโยวและมั่วเฟิงเท่านั้นที่มองไปที่มู่เฉินด้วยความอยากรู้ ด้วยความเข้าใจพื้นนิสัยของมู่เฉิน อีกฝ่ายต้องมีความมั่นใจถึงจะทำ


ชี่! ชี่!


มู่เฉินไม่ใส่ใจต่อสายตาเหล่านั้น ในการรับรู้ของเขา ภายใต้การกัดกร่อนของแสงสีม่วงทอง ในที่สุดรอยแตกก็มีปรากฏขึ้นในผนึก


รอยแตกเพียงแค่นี้ ก็ทำให้เกิดช่องโหว่ในผนึกทันที


“ตอนนี้แหละ!”


เมื่อช่องโหว่ปรากฏขึ้น มู่เฉินก็หดดวงตาลงและไม่ลังเลอีกต่อไป คลื่นหลิงที่เทลงไปในก้อนหินสีดำก็ระเบิด ทำลายผนึกจากด้านในอย่างรวดเร็วและบดขยี้ลงอย่างแรง


ฮึ่ม!


แสงระเบิดออกจากหินสีดำในมือของมู่เฉิน หินแตกเป็นเสี่ยงๆ


เมื่อทุกคนเห็นฉากนี้ก็เบ้ปาก ดูเหมือนว่าคนโง่คนนี้ล้มเหลวแล้ว


ชายร่างผอมบางก็ส่ายหัวขณะเดียวกันก็ดีใจไปด้วย ดูเหมือนว่าเขาทำให้คนอื่นโชคร้ายอีกแล้ว…


ฮึ่ม! ฮึ่ม!


ทว่าขณะที่พวกเขาส่ายหัวและดึงสายตากลับ เปลวไฟสีแดงก็พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าจากฝ่ามือของมู่เฉิน อุณหภูมิสูงขึ้นจนน่ากลัว ทำเอามิติถึงกับบิดเบี้ยว


การเปลี่ยนแปลงฉับพลันทำให้ทุกคนอึ้งไป จากนั้นสายตาของพวกเขาก็หันมาจดจ่อที่ฝ่ามือของมู่เฉิน พลางหายใจเข้าลึก


นั่นเป็นเพราะพวกเขาเห็นในฝ่ามือมู่เฉินหินสีดำหายไปแล้วถูกแทนที่ด้วยผลึกอัญมณีสีแดงขนาดเท่าฝ่ามือที่ดูเหมือนมีลาวาไหลเอื่อยอยู่ภายใน


นอกจากนี้ลาวายังก่อตัวเป็นรูปหงส์ฟ้าเพลิงอีกด้วย!


เมื่อมองไปที่หงส์ฟ้าที่ก่อตัวจากลาวา คนที่รู้จักของชิ้นนี้ที่นี่ก็หดดวงตาลงทันที ความโลภหนาแน่นพล่านในแววตา เสียงอุทานด้วยความตะลึงใจดังก้อง


“นั่นมันแก่นเพลิงหงส์ฟ้า!”


ใต้ต้นไม้หินชายร่างผอมบางอ้าปากเหวอ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นตลกอย่างยิ่ง


เมื่อมองไปที่แก่นเพลิงหงส์ฟ้าแม้แต่มู่เฉินก็อดสูดหายใจไม่ได้ ก่อนหน้าตอนที่เขาทำลายผนึกแม้ว่าจะไม่เกิดความปั่นป่วนขนาดใหญ่ แต่เขาก็จำเป็นต้องควบคุมพลังงานให้ดี


“ไม่ได้ทำให้ผิดหวังนะ”


มู่เฉินยิ้มบาง ยื่นแก่นเพลิงหงส์ฟ้าในมือให้มั่วหลิงที่เบิกตากว้างด้วยแสงแวววาว


“ขอบคุณพี่ใหญ่มู่เฉิน!”


มั่วหลิงดีใจมาก จากนั้นก็รับแก่นเพลิงหงส์ฟ้ามาอย่างระมัดระวัง


แต่ขณะที่มือมั่วหลิงกำลังยื่นไปจะรับแก่นเพลิงหงส์ฟ้า ทันใดนั้นแส้ก็จู่โจมเข้ามาห่อหุ้มแก่นเพลิงเอาไว้ เวลาเดียวกันแสงสายหนึ่งก็พุ่งเข้าหามู่เฉิน เสียงหญิงสาวเย็นชาดังก้องขึ้น


“ของเหลวจื้อจุนหกแสนหยดสำหรับแก่นเพลิงหงส์ฟ้านี้”


บทที่ 1020 ฉื้อหงหวู่

“ของเหลวจื้อจุนหกแสนหยดสำหรับแก่นเพลิงหงส์ฟ้านี้”


เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นฉับพลัน ซึ่งมีน้ำเสียงเด็ดขาด นอกจากนี้เมื่อคลื่นเสียงสะท้อนก้องแส้ก็ฉกเข้ามาพันแก่นเพลิงหงส์ฟ้าในมือของมั่วหลิงเอาไว้


ลำแสงที่บินไปหามู่เฉินเป็นขวดหยกที่เต็มไปด้วยของเหลวจื้อจุน


การเปลี่ยนแปลงกะทันหันเกินไป นอกจากนี้อีกฝ่ายยังเคลื่อนไหวรวดเร็วโดยไม่ปล่อยให้ใครได้ตอบโต้ ดังนั้นมั่วหลิงจึงได้แต่เบิกตากว้างขณะมองแส้แฉลบเข้ามา


ทว่าขณะที่แส้กำลังจะดึงแก่นเพลิงหงส์ฟ้าไป มือข้างหนึ่งก็ยื่นออกไปคว้าแส้เอาไว้ พลังที่น่าสะพรึงกลัวพวยพุ่งออกมา แส้ถูกกำไว้เหนียวแน่นได้ยินเสียงลั่นเปรียะแต่ก็ไม่สามารถดึงออกไปได้


เจ้าของมือนี้ก็คือมู่เฉินที่ตอนนี้ไม่มีริ้วอารมณ์ใดบนใบหน้า หลังจากจับแส้ไว้เขาก็โบกมือแรงลมพัดขวดหยกกลับไปหาเจ้าของ


“ไม่ขาย”


เขาพูดเสียงเบาปัดแส้กลับไปอย่างหนักหน่วง ทันใดนั้นแส้ก็ราวกับงูที่โดนตีรุนแรงยิงกลับอย่างรวดเร็วตามด้วยเสียงร้องต่ำในลำคอ


ตอนนี้เองมั่วหลิงก็ได้สติกลับมา ความโกรธพลุ่งพล่านในนัยน์ตา นางมองไปในทิศทางที่แส้กลับไปด้วยความกรุ่นโกรธ ก็เห็นหญิงสาวสวมชุดสีแดงมองมาที่พวกนางด้วยความตกใจและโกรธเคือง


หญิงสาวชุดแดงมีเรือนผมสีแดงมองน่าหลงใหล ใบหน้าก็งดงามอย่างมาก ทว่าสีหน้ากลับเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงที่ไม่ปิดบัง


ความหยิ่งทะนงนี้แตกต่างจากของหลิ่วชิงอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากหลิ่วชิงหยิ่งเพราะมีจงเถิงหนุนหลัง แต่ความหยิ่งทะนงของผู้หญิงคนนี้เกิดจากแก่นแท้ของตัวเอง


แต่ไม่ว่าอย่างไรความหยิ่งทะนงแบบนี้ก็ไม่เป็นที่ชื่นชอบในสายตาของมู่เฉิน


ดังนั้นเขาจึงมองอีกฝ่ายอย่างเยือกเย็นพูดเสียงเบาว่า “ไม่ทักท้ายสักคำก่อนเลย เจ้าไม่รู้สึกเสียมารยาทไปหน่อยเรอะ?”


หญิงสาวชุดแดงดูเหมือนจะถูกสั่งสอนเป็นครั้งแรก คิ้วขมวดแน่น แต่พอคิดถึงความไร้มารยาทที่ตนเองทำ รัศมีก็ต่ำลงเล็กน้อย ทว่านางก็ไม่ยอมอ่อนให้ “พวกเจ้าจ่ายของเหลวจื้อจุนไปห้าแสนหยดเพื่อซื้อแก่นเพลิงหงส์ฟ้า ข้าให้หกแสนหยด เจ้าก็ไม่ได้ขาดทุนอะไรนี่”


“ไร้เหตุผล”


สายตาของมู่เฉินเย็นชาลงหลายส่วน ในคำพูดไม่ไว้หน้าหญิงสาวเลย “ไสหัวไป!”


“บังอาจ!”


หญิงสาวชุดสีแดงหัวร้อนฉ่าจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ แส้ไฟในมือพุ่งออกมาซัดใส่มู่เฉินราวกับมังกรไฟ


แม้ว่าหญิงสาวชุดแดงจะมีนิสัยเอาแต่ใจ แต่ก็ไม่อ่อนแอ จากคลื่นหลิงที่ระเบิดออก แสดงให้เห็นว่านางเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้ว แม้กระทั่งในหมู่จอมยุทธ์ระดับเดียวกัน นางก็มีฝีมือใช้ได้


สายตามู่เฉินเย็นเยือกจ้องมองไปที่มังกรไฟที่บินเข้ามาจากนั้นก็ชกหมัดออกไป ขณะที่แสงสีทองพลุ่งพล่านขึ้น หมัดก็ซัดเข้าที่มังกรไฟราวกับสายฟ้าฟาด


ปัง!


มังกรไฟระเบิดกลายเป็นประกายแสงกระจายในท้องฟ้า


แส้หม่นลงวกกลับไป หญิงสาวชุดแดงที่เห็นก็อดหดเกร็งดวงตาไม่ได้ แต่ก่อนที่นางจะทันพูดอะไร ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเนื่องจากมู่เฉินเปลี่ยนร่างเป็นลำแสงสีทองพุ่งเข้ามาหานางแล้ว


หญิงสาวชุดแดงแตะเท้าเบาๆ บนพื้นส่งแรงเหาะหนี ในเวลาเดียวกันคลื่นหลิงสีแดงก็พลุ่งพล่านรอบตัวนางกลายเป็นทะเลเพลิงพัดโหมเข้าหามู่เฉิน แม้แต่ก้อนหินบนพื้นดินก็กลายเป็นเถ้าถ่าน แสดงให้เห็นถึงพลังของเปลวไฟ


วาบ!


แต่ร่างของมู่เฉินที่กำจายแสงสีทองกลับเจาะทะลุเปลวไฟไปปรากฏตัวเบื้องหน้าหญิงสาวชุดแดงอย่างลึกลับแล้วชกหมัดออกไป


ขณะที่แสงสีทองพวยพุ่งขึ้น พลังหมัดก็แตกมิติออกจากกัน นี่ทำเอาใบหน้าของหญิงสาวชุดแดงเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอย่างสิ้นเชิง มือบางวาดตราประทับวูบไหวแล้วตบออก


เปลวไฟสีแดงรวมตัวกันอย่างป่าเถื่อนบนฝ่ามือ ทำให้มือกลายเป็นมือลาวา จากนั้นนางก็ตวัดฝ่ามือออก อุณหภูมิที่พุ่งสูงสามารถทำลายชั้นฟ้าได้เลยทีเดียว


ตึง!


ฝ่ามือและหมัดปะทะกันจังใหญ่ คลื่นความร้อนม้วนตัวออกมาทันที


ร่างของมู่เฉินกระตุก ส่วนหญิงสาวชุดแดงก็ก้าวถอยหลังไปหลายสิบก้าว รอยฟกช้ำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนมือของนาง ทำให้รู้สึกถึงความเจ็บปวดรุนแรง


ทั้งสองปะทะกันอย่างกะทันหัน แต่เมื่อหญิงสาวชุดแดงถอยร่น ทุกคนที่นี่ก็ฟื้นคืนสติ ขณะพวกเขาเห็นนางก็อุทานเสียงดังลั่น


“นั่นไม่ใช่ฉื้อหงหวู่จากเผ่าหงส์ฟ้าแดงรึ?”


เมื่อมู่เฉินได้ยินหัวใจก็สั่นไหว หญิงสาวคนนี้มาจากเผ่าหงส์ฟ้าแดงที่เป็นแขนงแยกของเผ่าหงส์ฟ้ารึ? แม้ว่าจะเป็นเพียงเผ่าย่อย แต่นางก็มีสายเลือดหงส์ฟ้าแท้จริง


มิน่าล่ะนางถึงทรงพลังมาก ตามการประเมินของเขาพลังของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าจิ่วโยวเลย


เมื่อครู่เหตุผลที่ทำให้เขาได้เปรียบเนื่องมาจากฉื้อหงหวู่ยังไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่ ยิ่งกว่านั้นนางเลือกที่จะปะทะกันแบบซึ่งหน้า นี่เป็นสิ่งที่มู่เฉินเชื่อมั่นในตัวเองมาก ท่ามกลางจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดบางทีอาจไม่มีใครสามารถได้เปรียบในการต่อสู้ซึ่งหน้ากับเขา แม้แต่ฉื้อหงหวู่ที่เป็นสมาชิกเผ่าหงส์ฟ้าแดงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


ขณะที่มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจ ความเจ็บปวดที่มาจากมือก็ทำให้ฉื้อหงหวู่รู้สึกไม่อยากจะเชื่อว่าตัวนางได้รับบาดเจ็บจากกระบวนท่าของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหก


“เจ้าซ่อนตัวแนบเนียนจริง”


ฉื้อหงหวู่จ้องมองที่มู่เฉิน ริ้วแปลกประหลาดผุดขึ้นในนัยน์ตา นี่ไม่ได้เป็นแววชื่นชอบแต่เป็นไฟการต่อสู้ที่ลุกโชน เห็นชัดว่าหญิงสาวคนนี้ชอบการต่อสู้ซึมลึกถึงแกนกระดูกเลยทีเดียว


ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจนางมากนัก แม้ว่านางจะมาจากเผ่าหงส์ฟ้าแดง เขาก็ไม่สนใจที่จะสร้างความสัมพันธ์กับอีกฝ่าย เขาปรายตามองฉื้อหงหวู่อย่างเย็นชาแล้วก็หันหลังเตรียมจากไป


“ฮ่าๆ หงหวู่อยู่นี่เอง ข้าตามหาเจ้าอยู่นะ…”


ขณะที่มู่เฉินกำลังจะไป เสียงหัวเราะเสียงหนึ่งก็ดังก้อง ฝูงชนเปิดทาง คนกลุ่มหนึ่งก็เคลื่อนเข้ามา


ผู้นำเป็นชายสวมชุดขาวหน้าตาหล่อเหลามือข้างหนึ่งถือพัดเอาไว้ จากรูปลักษณ์ที่ปรากฏเขาดูราวกับบัณฑิตอ่อนแอ แต่ประกายแสงที่วาววัวในดวงตากลับคมกริบประหนึ่งใบมีด


เมื่อชายสวมชุดขาวปรากฏ ใบหน้าของมั่วเฟิงที่ยืนอยู่ด้านหลังมู่เฉินก็กลายเป็นไม่น่าดู


มู่เฉินเหลือบมองไปที่คนมาใหม่ก็ขมวดคิ้ว เขารู้สึกถึงกลิ่นอายอันตรายที่มาจากอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา


ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้ต้องการเพิ่มปัญหาขึ้น เขาหันหลังกลับเดินออกไป


“ฮ่าๆ เจ้าเป็นคนซัดกระบวนท่าใส่ฉื้อหงหวู่ใช่ไหม? งั้นข้าขอเตือนว่าเจ้าอย่าเพิ่งขยับจะดีกว่า” ทว่าเมื่อมู่เฉินกำลังหันหลัง เสียงหัวเราะเย็นเยือกก็ดังขึ้น


มู่เฉินเอียงหัวมองไปที่ชายชุดขาวที่คลี่พัดโบกไปมา พัดนี้ทำให้เกิดความเย็นยะเยือกกวาดออก ทำเอาอากาศตกไปยังจุดเยือกแข็ง ขณะนี้สายตาไม่แยแสของอีกฝ่ายมองมาที่เขาอย่างเย็นชาราวกับเป็นอสรพิษ


“ไป๋ปิง เจ้าไม่ต้องมายุ่งเรื่องของข้า!” เมื่อฉื้อหงหวู่เห็นชายคนนี้ คิ้วก็ขมวดเป็นปมพลางตะเบ็งเสียงใส่


เมื่อชายสวมชุดสีขาวได้ยินคำพูดนั่นก็ยิ้มเรียบแล้วมองไปยังฝั่งของมู่เฉิน สายตาของเขาอึ้งไปวูบหนึ่งเมื่อเห็นมั่วเฟิงและมั่วหลิง จากนั้นรอยยิ้มเย้ยหยันก็ยกขึ้นที่มุมปาก “เฮ้ ไม่คิดว่าข้าจะได้มาเจอลูกนอกกฏหมายพวกไข่เน่าที่นี่…”


เมื่อมู่เฉินได้ยินก็ขมวดคิ้ว เขามองไปที่มั่วเฟิงก็เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้ามืดมน ดวงตาที่อัดแน่นไปด้วยจิตสังหารแรงกล้ามองไปยังชายชุดขาว


ฉื้อหงหวู่อึ้งไป จากนั้นก็มองมั่วเฟิงและมั่วหลิงด้วยความประหลาดใจ มิน่าล่ะนางรู้สึกถึงความผันผวนที่คุ้นเคยจากทั้งคู่ ที่แท้ทั้งสองคนมีสายเลือดหงส์ฟ้าอยู่ด้วยเช่นกัน ทว่าทำไมนางไม่เคยเห็นพี่น้องคู่นี้มาก่อน


“หงหวู่เจ้าไม่รู้เรื่องนี้ พ่อของไอ้ไข่เน่าสองใบนี้เป็นสายเลือดสูงส่งในเผ่าของเรา แต่เขาดันไปร่วมคู่กับหญิงสาวของเผ่าวิหคโลกันตร์ ทำให้สายเลือดแปดเปื้อน ผู้อาวุโสโกรธแค้นมาก พวกเขากักขังบิดาของพวกมันไว้ที่ใต้ภูเขาเฮย ตอนแรกพวกมันสองคนก็จะถูกกักขัง แต่มีบางคนพยายามไกล่เกลี่ยให้ พวกเขาถึงหนีไปได้หลายปี” ไป๋ปิงหัวเราะเบาๆ


ตอนนี้ฉื้อหงหวู่ก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ทว่านางไม่ได้สนใจมาก ในเมื่อมีใครบางคนช่วยไกล่เกลี่ย นั่นก็หมายความว่าอนุญาตให้ทั้งสองมีชีวิตอยู่ เรื่องแบบนี้นางไม่มีอารมณ์ไปใส่ใจอะไร แต่ไป๋ปิงกลับปากเลวยิ่งนักที่เรียกพวกเขาว่าไข่เน่าตลอดเวลา


ไป๋ปิงมองใบหน้ามืดมนของมั่วเฟิงพลางยิ้ม “ดูเหมือนพวกเจ้าพี่น้องจะซ่อนตัวอยู่ในเผ่าวิหคโลกันตร์ มิน่าล่ะถึงไม่มีข่าวคราวใด แต่ตอนนี้พวกแกกล้ามากที่ออกมา”


ขณะที่พูดก็เหลือบมองไปที่มู่เฉิน “แกเป็นพวกเดียวกันใช่ไหม?”


“สองคนนั้นเป็นสายเลือดสกปรกของเผ่าข้า การที่แกซ่อนพวกเขาไว้ก็หมายความว่าแกเป็นศัตรูของเผ่าข้า แต่ข้าไม่ใช่คนที่ไม่ให้อภัยกับเรื่องในอดีต นี่สามารถแก้ไขได้” ขณะที่พูดก็ชี้ไปที่แก่นเพลิงหงส์ฟ้าพูดเสียงเบาว่า “ยกให้ข้า แล้วข้าจะปล่อยไข่เน่าสองใบนี้ไป”


มู่เฉินหรี่ตาลงมองมั่วเฟิงที่มีสีหน้าไม่น่าดู ก่อนที่จะมองไปที่มั่วหลิงที่ถูกเรียกว่าไข่เน่าครั้งแล้วครั้งเล่า จนดวงตาขึ้นริ้วสีแดงดูน่าสงสาร ในใจก็เริ่มรู้สึกโกรธคลั่งขึ้นมา


ดังนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นมองที่ไป๋ปิง สายตาเปลี่ยนเป็นคมกริบ เสียงคำรามดังก้องราวกับฟ้าผ่า


“ไสหัวไป!”


บทที่ 1021 ปกป้อง

“ไสหัวไป!”


เมื่อเสียงคำรามแผดออกมาราวกับฟ้าผ่าดังกึกก้อง รอยยิ้มบนใบหน้าของไป๋ปิงก็แข็งค้างทีละนิดแล้วแทนที่ด้วยไอเย็นไม่รู้จบ


ความเย็นจัดที่น่ากลัวแผ่กระจายไปทั่วร่าง ทำให้ชั้นน้ำแข็งปรากฏขึ้นบนพื้นทันที


ไป๋ปิงมองมู่เฉินหัวจรดเท้าพูดช้าๆ ว่า “ตัดลิ้นแกออกมา แล้วข้าจะปล่อยแกจากไป”


มู่เฉินยิ้มเยาะเย้ยไม่ปิดบัง “คิดว่าตัวเองเป็นใคร?”


เขารับรู้ได้ถึงอันตรายที่มาจากไป๋ปิงและยังรู้ด้วยว่าอีกฝ่ายมาจากเผ่าหงส์ฟ้า ทว่าคนอย่างเขาก็ไม่กลัว เขามีคนจดบัญชีแค้นเอาไว้มากมาย ในเมื่อมีหนี้แค้นอยู่เยอะแล้วก็ไม่เห็นต้องกังวลอะไร


“แกคิดว่าสามารถปกป้องพวกมันได้รึ? รนหาที่ตาย!”


หางตาของไป๋ปิงกระตุกพร้อมกับริ้วเลือดไต่ขึ้นมาบนดวงตา ใบหน้าอ่อนโยนเริ่มบิดเบี้ยว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเมินใส่เขา


ยิ่งกว่านั้นพลังของอีกฝ่ายก็อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น!


ตู้ม!


เมื่อไป๋ปิงพูดจบ ไอเย็นยะเยือกก็ระเบิดขึ้นระหว่างฟ้าดิน อุณหภูมิลดฮวบลง ทันใดนั้นไป๋ปิงก็เปิดปาก ไอเย็นเยือกสีฟ้ากวาดออก ก่อร่างเป็นมังกรน้ำแข็งโหดเหี้ยมที่อัดแน่นด้วยความเย็น พุ่งเข้าหามู่เฉินอย่างรวดเร็ว


ภายใต้การโอบล้อมของความเย็นนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดทั่วไปก็ถูกแช่แข็งเอาได้ ถ้าเป็นขั้นหกละก็อาจจะถูกแข็งจนกลายเป็นรูปปั้นหิมะเลยก็ได้


นอกจากนี้เผชิญหน้ากับการโจมตีของไป๋ปิง มู่เฉินก็ไม่คิดถอย แสงสีทองพวยพุ่งบนชั้นผิวหนังพร้อมกับความรู้สึกที่ไม่อาจทำลายได้ เขาชกหมัดออกไป เส้นเลือดเต้นระริกบนแขนกำจายพลังงานอันน่าอัศจรรย์


ตึง!


พลังงานสองสายปะทะกัน ร่างของมู่เฉินก็ไม่ได้ขยับเขยื้อน แต่เขารู้สึกได้ว่าทันทีที่มีการชนกันพิษไอเย็นก็ไหลเข้ามาในร่างกายของเขา พยายามที่จะหยุดคลื่นหลิงของเขาเอาไว้


ทว่าเผชิญหน้ากับไอเย็นนี้ มู่เฉินก็ไม่สนใจเพราะทันใดนั้นลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่แขนทั้งสองข้างก็เคลื่อนไหว กลืนกินความเย็นนั้นจนหมด


ความเย็นในร่างกายสลายหายไปในทันที


มู่เฉินไม่ได้แสดงสีหน้าใด แสงสีทองระเบิดออก พลังกายพรั่งพรูออกมาอย่างสมบูรณ์ รอยแตกปรากฏบนมังกรน้ำแข็ง สุดท้ายก็ระเบิดออกกลายเป็นเกล็ดหิมะโปรยปรายบนท้องฟ้า


“เป็นไปได้ยังไง?!”


มังกรน้ำแข็งแตกสลาย ม่านตาของไป๋ปิงก็หดตัว ส่วนที่น่ากลัวของมังกรน้ำแข็งไม่ใช่พลังที่ครอบครองแต่เป็นความเย็นที่รุกรานร่างกาย ก่อนหน้าเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความเย็นที่พล่านเข้าสู่ร่างกายของมู่เฉิน แล้วเจ้านี่กระจายพลังออกมาอย่างสมบูรณ์ได้อีกอย่างไร?


หรือว่ามู่เฉินมีภูมิคุ้มกันต่อไอเย็น?


แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไป๋ปิงก็รู้สึกไร้สาระ เขามาจากเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งที่มีไอเย็นฝังอยู่ในร่างกายตั้งแต่กำเนิด จอมยุทธ์ระดับเดียวกันทุกคนจะหวาดกลัวต่อไอเย็นของเขา เป็นไปได้อย่างไรที่อีกฝ่ายจะมีภูมิคุ้มกัน


“ตึง!”


ทว่ามู่เฉินไม่ได้ให้เวลาไป๋ปิงคิดมาก เขากระทืบเท้ารอยแตกก็กระจายใต้พื้นดิน ร่างเขากลายเป็นแสงสีทองทะยานออกมาปรากฏตัวต่อหน้าไป๋ปิงอย่างลึกลับ ความเร็วนี้แม้แต่ไป๋ปิงยังผงะในใจ


เขายากที่จะจินตนาการว่ามู่เฉินที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกจะมีความเร็วที่น่ากลัวขนาดนี้ได้อย่างไร


แสงสีทองปรากฏที่เบื้องหน้า เหมือนจะมีแสงสีทองพุ่งออกมาจากดวงตาของมู่เฉิน จากนั้นเขาก็ตบฝ่ามือออกไป ฝ่ามือนี้ไม่เพียงแต่บรรจุพลังงานในร่างกายเอาไว้เท่านั้น แต่แม้แต่คลื่นหลิงก็ระเบิดเช่นกัน


ฝ่ามือเรียบง่ายซัดออก แต่กลับสร้างรอยร้าวสีดำที่ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวในมิติ นั่นเป็นปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพลังรุนแรงจนถึงระดับที่น่าตะลึงใจ


จอมยุทธ์ไม่น้อยที่อยู่โดยรอบล้วนรับรู้เรื่องนี้ เมื่อพวกเขาเห็นฝ่ามือของมู่เฉิน ใบหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีขณะที่รู้สึกไม่อยากเชื่อ ฝ่ามือนั้นเป็นอะไรที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดธรรมดาก็ไม่สามารถทนได้


ขณะที่ฝ่ามือเคลื่อนเข้ามา ใบหน้าของไป๋ปิงก็เปลี่ยนไปรุนแรง สายตาเขาเคร่งเครียดลงหลายส่วน ไม่กล้าที่จะดูถูกอีกต่อไป เนื่องจากเขาเข้าใจดีแล้วว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกน่าสะพรึงเพียงใด


แต่ยามนี้ไม่มีเส้นทางให้ถอยหนีแล้ว ดังนั้นไป๋ปิงจึงไม่ได้เสียใจอะไรในใจเช่นกัน


แสงเย็นวูบวาบในดวงตาของไป๋ปิง ฝ่ามือวาดตราประทับเร็วรี่ ขณะเดียวกันหงส์ฟ้าน้ำแข็งขนาดใหญ่ก็ก่อตัวขึ้นข้างหลัง ปีกสยายออกกลายเป็นโล่น้ำแข็งปกป้องที่เบื้องหน้าไป๋ปิง


ตู้ม!


ฝ่ามือแสงสีทองไม่ได้ลดลง กระทบกับปีกของหงส์ฟ้าน้ำแข็งอย่างจัง ทันใดนั้นคลื่นกระแทกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็กระจายออก พื้นดินที่ทนทานยังแตกร้าว


ปีกน้ำแข็งสั่นไหว แม้แต่ไป๋ปิงที่อยู่เบื้องหลังการป้องกันยังสามารถรับรู้ได้ถึงพลังน่าสะพรึงกลัว ถ้าเขารับการโจมตีนี้ เขาคงบาดเจ็บหนักแน่นอน


ทว่าถูกบีบบังคับให้เป็นแบบนี้โดยจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหก ทำให้ใบหน้าไป๋ปิงมืดครึ้มผิดปกติ จิตสังหารพวยพุ่งขึ้นมาจากในส่วนลึกของดวงตา


วันนี้เขาจะต้องทำให้มันอับอาย!


เมื่อคิดได้ไป๋ปิงก็กัดฟัน จุดชนวนเลือดในกาย ทุกคนสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่กวาดออกจากร่างของไป๋ปิงราวกับพายุ


นี่เป็นแรงกดดันที่มาจากสายเลือด


ไป๋ปิงมาจากเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็ง ซึ่งมีสายเลือดสูงส่ง สามารถปราบปรามเทพอสูรสามัญได้ มิหนำซ้ำตอนนี้เขายังจุดชนวนสายเลือด ทำให้แรงกดดันนี้เร้าขึ้นมาถึงขีดสุด


ภายใต้แรงกดดันในระยะใกล้ เทพอสูรสามัญคงต้องกราบกรานที่เบื้องหน้าไป๋ปิงเลยทีเดียว


ทุกคนโดยรอบถอยกันออกไปจ้าละหวั่น พวกเขารู้แล้วว่าไป๋ปิงตั้งใจที่จะบีบให้มู่เฉินคุกเข่าลงด้วยแรงกดดันเพื่อสร้างความอับอายให้ ดังนั้นพวกเขาจึงรีบหลบออกจากรัศมีด้วยกลัวว่าจะโดนลูกหลงจนอับอายขายขี้ไปด้วย


ไม่ไกลนักฉื้อหงหวู่ไม่ได้ขยับเขยื้อน แต่เมื่อนางเห็นกระบวนท่าของไป๋ปิง คิ้วก็มุ่นกันแน่น ถึงตัวนางจะหยิ่งทะนงและชื่นชอบในการต่อสู้ แต่นางชอบการชนะแบบตรงไปตรงมา นางดูถูกคนอย่างไป๋ปิงที่พึ่งพาสายเลือดของตนเพื่อสร้างความได้เปรียบ


“ดูเหมือนว่าชายคนนั้นจะซวยเอาแล้ว”


ฉื้อหงหวู่พูดขึ้นในใจ แม้ว่าพลังกายของมู่เฉินจะทรงศักยภาพ แต่ไป๋ปิงก็ฉลาดไม่ธรรมดา เขาเลือกที่จะปราบปรามคู่ต่อสู้ผ่านสายเลือด ด้วยวิธีนี้แม้แต่จอมยุทธ์ที่มีพลังกายที่แข็งแกร่งก็ไม่สามารถต้านทานความอ่อนแอในสายเลือดได้


ภายใต้สายตาจ้องเขม็งของผู้คน มู่เฉินก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่ปกคลุมเข้ามา แต่สิ่งที่แปลกก็คือทุกคนไม่เห็นความกลัวบนใบหน้าของมู่เฉินสักริ้ว ตรงกันข้ามพวกเขากลับเห็นแววครึ่งบึ้งครึ่งยิ้มเย้ยหยัน


“ปราบปรามสายเลือดเรอะ…”


มู่เฉินพึมพำ จากนั้นเขาก็กำหมัดลวดลายหงส์ฟ้าแท้จริงบนแขน ไม่สิ…หลังจากมู่เฉินบรรลุขั้นสองของคัมภีร์หลงเฟิ่ง เทพอสูรทั้งสองในร่างกายเขาก็มีจิตวิญญาณ ดังนั้นพวกมันจึงควรถูกเรียกว่าจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง


ในเมื่อเจ้าคิดจะใช้การปราบปรามสายเลือด งั้นข้าก็จะแสดงให้เห็นว่าการปราบปรามแท้จริงคืออะไร!


จิตวิญญาณหงส์ฟ้าระเบิดแสงสีม่วงทองเข้มข้น ดวงตาที่ปิดสนิทก็เปิดโพลง ทันใดนั้นดูเหมือนจะเกิดแรงกดดันเกินบรรยายปะทุออก


ความกดดันหงส์ฟ้าแท้จริงปรากฏขึ้นเพียงชั่วครู่ แต่ไม่ได้กระจายออก กลับเล็งเป้าไปที่ไป๋ปิงคนเดียว ดังนั้นคนอื่นจึงไม่สามารถรู้สึกได้


ทันใดนั้นหงส์ฟ้าน้ำแข็งที่อยู่ด้านหลังไป๋ปิงก็งุ้มตัวลงราวกับได้เห็นจักรพรรดิ หงส์ฟ้าน้ำแข็งเปล่งเสียงร้องออกมาอย่างหวาดกลัว รัศมีเย็นยะเยือกหดกลับโดยที่ร่างกายสั่นสะท้าน


ในเวลาเดียวกันใบหน้าของไป๋ปิงก็ซีดเผือด สายตาอัดแน่นด้วยความไม่อยากเชื่อ นั่นเป็นเพราะแรงกดดันที่ระเบิดกะทันหันจากร่างมู่เฉิน ทำให้แม้แต่สายเลือดของเขายังเขย่าอย่างบ้าคลั่ง


ปัง!


ความกลัวเพิ่มขึ้นในหัวใจของไป๋ปิง ขาของเขาเริ่มงอลงอย่างควบคุมไม่ได้ แต่ขณะที่กำลังจะคุกเข่าลง ไป๋ปิงก็ตื่นจากภวังค์ เขารีบดึงตัวเองขึ้นมา ทว่าเข่าข้างหนึ่งก็ยังแตะลงกับพื้น


ผู้คนโดยรอบที่รอฉากมู่เฉินอยู่ในสภาพน่าสมเพชโดยแรงกดดันของสายเลือดหงส์ฟ้าน้ำแข็งก็อ้าปากตาค้างไปหมดกับภาพไป๋ปิงคุกเข่าเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น


ฉื้อหงหวู่ก็เบิกตากว้างในเวลานี้ ความไม่เชื่อฉาบบนใบหน้างดงาม


“ปัง!”


มู่เฉินไม่มีริ้วอารมณ์ใดบนใบหน้า ฝ่ามือที่แตะบนปีกของหงส์ฟ้าน้ำแข็งก็กระตุกด้วยกลิ่นอายของหงส์ฟ้าแท้จริง ทำลายปีกที่ดูแข็งแกร่งของหงส์ฟ้าน้ำแข็งทันที


ไป๋ปิงกระเด็นออกไปอย่างน่าสมเพช สร้างรอยลึกบนพื้นหลายร้อยจั้งก่อนที่จะทรงตัวได้


อ็อก!


เมื่อรักษาร่างกายมั่นคงแล้ว ไป๋ปิงก็กระอักเลือดออกจากปาก คลื่นหลิงทรงพลังรอบตัวหม่นหมองลง เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บพอตัว


ทว่าเขาก็ยังไม่ฟื้นตัวจากความพ่ายแพ้ เขาบื้อใบ้จ้องมองร่างเงาที่เบื้องหน้าด้วยสีหน้าซีดเซียว


บรรยากาศโดยรอบเงียบกริบ ผู้คนจ้องมองมู่เฉินอย่างตะลึงงัน ตอนนี้ชายหนุ่มได้ดึงแสงสีทองรอบตัวกลับแล้ว ซึ่งทำให้ดูธรรมดามาก


แต่หลังจากได้เห็นการแลกกระบวนท่าแล้ว พวกเขาก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่าในร่างชายหนุ่มมีพลังอันน่าสะพรึงกลัวเพียงใด


ชายคนนี้มาจากไหนกัน…


ไป๋ปิงเป็นจอมยุทธ์ของเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งนะ!


แต่ตอนนี้ไป๋ปิงกลับอยู่ในสถานะที่น่าสมเพช เขาเป็นยอดอัจฉริยะจากเผ่าไหนกัน?!


ภายใต้สายตาที่จ้องมองนับไม่ถ้วน สายตาที่สงบลงของมู่เฉินก็มองไปที่ไป๋ปิงอีกครั้ง เสียงสงบที่ดังก้องอัดแน่นด้วยความเผด็จการ แต่ก็ไม่มีใครกล้าหักลง


“สองคนนี้ ข้ามู่เฉินปกป้องแน่!”


บทที่ 1022 เอาอีกสาม

น้ำเสียงสงบเรียบของมู่เฉินดังกึกก้อง


ใบหน้าของไป๋ปิงก็บิดเบี้ยวจนกลายเป็นดุร้าย ราวกับว่าเขาต้องการที่จะแล่เนื้อเถือหนังมู่เฉิน


แม้ว่าไป๋ปิงจะไม่ถือว่าเป็นสุดยอดจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็ง แต่เขาก็มีสายเลือดหงส์ฟ้าไหลเวียนอยู่ โดยปกติเขาจะมีความสูงส่งและเผ่าอื่นๆ ก็จะสุภาพเมื่อพบเจอ ตั้งแต่เมื่อไรที่คนอย่างมู่เฉินกล้าปฏิบัติต่อเขาในลักษณะนี้?


“ฆ่ามัน!”


ริ้วเลือดพล่านขึ้นมาในดวงตาไป๋ปิงขณะที่คำราม


ที่ด้านหลังร่างเงาหลายร่างย่างสามขุมออกมามองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาไร้ความปรานี คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกจากร่างกายของพวกเขา ทำให้เกิดแรงกดดันทรงพลังกระจายออกไป


คนเหล่านั้นเห็นได้ชัดว่ามาจากเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็ง แม้ว่าพลังของพวกเขาจะอ่อนแอกว่าไป๋ปิง แต่ก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดทุกคน ดังนั้นจึงเป็นการรวมตัวที่ค่อนข้างทรงพลังเลยทีเดียว


ขณะที่จอมยุทธ์เผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งจ้องมองด้วยสายตาดุร้าย ที่ด้านหลังมู่เฉิน จิ่วโยว มั่วเฟิงและมั่วหลิงก็เค้นเสียงเย็นชาเดินเข้ามายืนอยู่ข้างมู่เฉินจ้องกลับไปที่คนเหล่านั้น


“เผ่าวิหคโลกันตร์กล้าอวดดีต่อเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งของข้างั้นเรอะ!” ไป๋ปิงกล่าวด้วยสีหน้ามืดมน


เมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดนั่นนางก็หัวเราะเยาะ “วาจาคับฟ้าซะจริง เจ้าเป็นแค่สมาชิกธรรมดาของเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็ง คิดว่าตัวเองสามารถเป็นตัวแทนของเผ่าได้เรอะ?”


“นอกจากนี้จอมยุทธ์ที่เข้ามาในดินแดนเสินโซ่ล้วนต้องอาศัยพลังของตนเอง วันนี้เจ้าหาความอัปยศอดสูให้ตัวเอง หากเรื่องนี้ถูกส่งกลับไปที่เผ่า ไม่เพียงแต่จะไม่มีใครยืนหยัดเพื่อเจ้าเท่านั้น เจ้ายังจะถูกเยาะเย้ยถากถางเหมือนขยะเปียก”


จิ่วโยวไม่สนใจการคุกคามของไป๋หลิง เผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งเป็นเพียงตระกูลยิบย่อยของเผ่าหงส์ฟ้า พลังของเผ่านั้นเพียงอย่างเดียว ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เผ่าวิหคโลกันตร์หวาดกลัว


เมื่อไป๋ปิงได้ยินคำพูดนั่น ใบหน้าก็เปลี่ยนแปลงรุนแรง ถ้าข่าวที่เขาถูกปราบโดยจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกกระจายกลับไปยังเผ่า เขารู้ว่าจะโดนแดกดันแค่ไหน ในเวลานั้นผู้อาวุโสก็อาจมองว่าเขาอ่อนแอ ไม่คิดที่จะจ่ายทรัพยากรเพื่อเลี้ยงดูเขาอีกต่อไป ซึ่งนั่นเป็นการทำลายตัวเขาเองอย่างไม่ต้องสงสัย


“ฮ่าๆ พวกเจ้าเป็นตัวก่อปัญหาจริงๆ เพิ่งจะแยกกันไปประเดี๋ยวเดียวก็มีปัญหาซะแล้ว…”


ระหว่างที่สองฝ่ายยืนประจันหน้ากัน เสียงหัวเราะเสียงหนึ่งก็ดังกึกก้อง กลุ่มคนรีบแหวกทางออก เงาร่างหลายร่างก็เดินออกมาพร้อมกับเผยรัศมีเหี้ยมหาญ นี่ก็คือพวกหานซันจากเผ่าแรดอสูรนั่นเอง


หานซันกวาดสายตาไปก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นเขาก็นำพรรคพวกเดินเข้าไปหามู่เฉิน พูดอย่างจนใจว่า “พวกเจ้าก่อปัญหาเก่งจริงๆ…”


แม้ว่าเขาจะพูดแบบนี้ก็ไม่มีท่าทางว่าจะถอย ตรงกันข้ามกลับยืนอยู่ข้างมู่เฉินแสดงจุดยืนชัดเจน


“สมาชิกเผ่าแรดอสูร… นั่นหานซันใช่ไหม? ข้าเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเขา อัจฉริยะของเผ่าแรดอสูรถือได้ว่าเป็นคนที่โดดเด่นแม้ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด”


“ไม่คิดว่าเผ่าแรดอสูรกับเผ่าวิหคโลกันตร์จะเป็นพันธมิตรกัน”


“…”


เมื่อได้ยินบทสนทนา มู่เฉินก็ยิ้มเมื่อย เขาไม่ใช่คนหาเรื่องซะหน่อย แต่เป็นอีกฝ่ายที่เข้ามาหาเรื่องพวกเขาต่างหาก…


ทว่าความรู้สึกดีก็เกิดขึ้นในใจเมื่อเห็นหานซันเลือกยืนอยู่ข้างเขา เพียงแค่หานซันไม่ได้เลือกที่จะหลบฉากออกไปหลังจากเห็นเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งก็ทำให้ชายคนนี้มีค่ามากขึ้นที่มู่เฉินจะคบไว้เป็นสหาย


เมื่อไป๋ปิงเห็นการแสดงออกของหานซัน ใบหน้าก็ยิ่งดำทะมึนขึ้นมากกว่าเดิม จอมยุทธ์จากเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งก็หน้านิ่วคิ้วขมวด หากพวกแรดอสูรเข้าร่วมด้วย การรวมตัวของฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้อ่อนแอกว่าพวกเขา


ใบหน้าของไป๋ปิงมืดครึ้ม จากนั้นก็หายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับความโกรธที่ระเบิดอยู่ในใจ ก่อนที่เขาจะพูดเสียงน่าขนลุก “เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ แน่ หวังว่าพอถึงเวลาแล้วแกจะยังกล้าที่จะรับภาระนี้ไว้”


พูดจบเขาก็ไม่อยู่อีกต่อไป ไอเย็นสาดซัดไปทั่วขณะหันหลังเดินไป แต่ทุกคนรู้ว่าความโกรธในหัวใจของไป๋ปิงระเบิดไปนานแล้ว


จอมยุทธ์เผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งก็รู้สึกไม่เต็มใจเดินออกไปเช่นกัน ยังไงพวกเขาก็มาจากเผ่าหงส์ฟ้า ปกติเคยทนเจ็บช้ำน้ำใจแบบวันนี้ซะที่ไหน ทว่าในเผ่าหงส์ฟ้าพวกเขาก็ถือว่าเป็นพวกธรรมดาสามัญ นอกจากนี้พวกเขายังถูกแยกเมื่อเข้าสู่ดินแดนเสินโซ่ ซึ่งมีคนไม่กี่คนอยู่ที่นี่ ไม่งั้นถ้าอัจฉริยะจากเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งอยู่ด้วยละก็ ไม่ว่าจะมู่เฉินหรือหานซันก็ไม่สามารถเดินออกไปได้แน่


เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาก็ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความไม่เต็มใจ สายตาจ้องเขม็งไปที่พวกมู่เฉิน จากนั้นก็หันหลังเดินตามไป๋ปิงไป


เมื่อผู้คนโดยรอบเห็นว่าเรื่องนี้จบลง ก็ส่ายหัวด้วยความเสียดาย ตอนแรกพวกเขาคิดว่าทั้งสองฝ่ายจะปะทะกันจนเลือดตกยางออกซะอีก แบบนี้ทั้งสองฝ่ายก็ต้องเจ็บกันหนักแน่นอน


ฉื้อหงหวู่ที่ไม่ได้เข้าร่วมในการต่อสู้ก็มองไปที่มู่เฉิน ดวงตาของนางกะพริบเหมือนจะแสดงเจตนาต่อสู้ แต่สุดท้ายก็ระงับไว้พูดว่า “อย่าทะนงตัวนัก ไป๋ปิงไม่ได้เป็นหนึ่งในห้าอันดับต้นของเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งด้วยซ้ำ หากเจ้าคิดว่าพวกเขาอ่อนแอ เจ้าต้องทนทุกข์ในไม่ช้าแน่”


น้ำเสียงของนางมีจุดประสงค์ในการเตือนมู่เฉินชัดเจน ด้วยวิธีนี้ก็ถือว่าเป็นการชดใช้การกระทำหยาบคายก่อนหน้าของนางได้บ้าง


ทว่ามู่เฉินก็ยังไม่ค่อยชอบใจนางจึงทำเพียงพยักหน้าเบาๆ รับฟังคำเตือนไว้


เมื่อฉื้อหงหวู่เห็นว่ามู่เฉินตอบกลับแบบไม่แยแส นางก็ขบฟันกระทืบเท้า ไม่อยากจะพูดอะไรอีกต่อไป นางหันกลับเดินจากไป ขณะเดียวกันก็กัดฟันพึมพำกับตัวเองว่า “หยิ่งต่อไปเถอะ! เมื่อไรที่เจ้าพบพวกเขา ข้าจะดูสิว่าเจ้ายังสามารถเอาชีวิตรอดไปได้หรือไม่!”


มู่เฉินมองร่างที่จากไปของฉื้อหงหวู่ ดวงตาก็หดเกร็งลง ไป๋ปิงไม่ได้เป็นหนึ่งในห้าอันดับแรกของเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็ง ถ้าสิ่งที่นางพูดเป็นความจริงนั่นก็หมายความว่าพลังของเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็งไม่อาจประมาทได้ สมควรกับเป็นเผ่าหงส์ฟ้าจริงๆ


“นางพูดความจริง พวกตัวน่าสยองไม่ได้อยู่ที่นี่วันนี้ ไม่งั้นสถานการณ์จะลำบากในการแก้ไขแล้ว” หานซันพยักหน้าพลางพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดลงหลายส่วน


มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ และยิ้ม “เส้นทางของการฝึกฝนเต็มไปด้วยศัตรูที่ทรงพลังทุกย่างก้าว หากเราคิดแต่จะหลีกเลี่ยง เส้นทางของเราก็ดูจะน่าเบื่อไปหน่อย”


หานซันอึ้งไปกับคำพูดของมู่เฉิน จากนั้นก็มองอีกฝ่ายด้วยสายตาแปลกประหลาด ก่อนที่เขาจะตอบว่า “พี่มู่มีความคิดเช่นนี้ ข้าหานซันนับถือจริงๆ”


ไม่เหลีกเลี่ยงในเส้นทาง ไม่รู้สึกหวาดกลัว สภาวะของจิตใจเช่นนี้เป็นวิถีแท้จริงในการฝึกฝนของยอดยุทธ์


มิน่าล่ะมู่เฉินถึงไม่กลัวอัจฉริยะของเผ่าอื่นๆ ทั้งที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหก เวลานี้ในที่สุดหานซันก็เข้าใจ นี่ทำให้เขาต้องถอนหายใจ เขารู้สึกว่าอนาคตของชายคนนี้ไม่อาจหยั่งรู้ได้ ในเวลานั้นไม่ต้องพูดถึงเผ่าหงส์ฟ้าน้ำแข็ง แม้แต่เผ่าหงส์ฟ้าทั้งหมดก็ไม่คณนามือมู่เฉิน


เมื่อมั่วเฟิงเห็นว่าไป๋ปิงไปแล้ว สีหน้าก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ปกติ เขามองมู่เฉินนิ่ง ลังเลก่อนพูดว่า “ขอบใจ แต่เรื่องนี้เจ้าต้องลำบากใจอะไร ข้าสามารถจัดการได้”


มู่เฉินยิ้มบาง “ข้าไม่ชอบให้คนอื่นลบหลู่เพื่อนข้า…”


ท่าทางของมั่วเฟิงแข็งทื่อไป จากนั้นก็หลุบตาลงด้วยแววตาซับซ้อน ก่อนที่จะพยักหน้าช้าๆ ไม่พูดอะไรอีก แต่มั่วหลิงที่คุ้นเคยกับนิสัยของพี่ชายดี นางรู้ว่าตอนนี้หัวใจของพี่ชายไม่สงบแน่นอน


ด้วยตัวตนของพวกเขา แม้แต่ในเผ่าวิหคโลกันตร์ก็แทบไม่มีใครเรียกพวกเขาว่าเพื่อน นี่ก็เป็นเหตุที่ทำให้มั่วเฟิงมีนิสัยเย็นชาเช่นนี้


มู่เฉินไม่คิดว่าคำพูดของเขาจะทำให้เกิดคลื่นในหัวใจของมั่วเฟิง เมื่อเขาพูดจบก็หันหลังกลับมองไปที่ต้นไม้หินเบื้องหน้าชายร่างผอมบาง


เมื่อครู่ของเหลวจื้อจุนห้าแสนหยดทำให้เขาได้รับแก่นเพลิงหงส์ฟ้า ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามาก ทำให้มู่เฉินรู้สึกสนใจเพิ่มขึ้น เนื่องจากเขารู้สึกได้คลุมเครือว่าสิ่งที่ชายร่างผอมได้มา ไม่ธรรมดาจริงๆ


แต่แค่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายดึงโชคไปทั้งหมดตอนพบสมบัติเหล่านั้นรึเปล่า ถึงทำให้ตัวเองได้แต่เฝ้าสมบัติไม่สามารถเปิดได้


เมื่อชายร่างผอมเห็นสายตาของมู่เฉินหัวใจก็สั่นสะท้าน หัวใจเขาแทบจะร่ำไห้เป็นสายเลือดเมื่อเห็นมู่เฉินได้รับแก่นเพลิงหงส์ฟ้าไป หากวัตถุนั่นอยู่ในมือเขาอาจสามารถขายได้ในราคาสูงเกือบล้านหยดของเหลวจื้อจุนเลยทีเดียว


“ทำไม? สหายยังคิดจะเสี่ยงโชคอีกเหรอ? ก่อนหน้านี้ข้าเห็นว่าวิธีการเปิดผนึกของเจ้าดูเหมือนค่อนข้างลึกซึ้งนะ” ชายร่างผอมหัวเราะฝืดๆ ขณะที่หยั่งเชิงถาม เมื่อสักครู่เขาเห็นวิธีการในการเปิดผนึกของมู่เฉิน ซึ่งชัดว่าโอกาสที่จะประสบความสำเร็จสูงกว่าการทำลายไม่น้อย


เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดนั่นก็หลีกเลี่ยงการตอบคำถาม “ก็แค่โชคดี”


จากนั้นเขาก็มองดูลูกผลึกแสงบนต้นไม้ ก่อนจะเหลือบตาไปหามั่วหลิง นางรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร สายตานางกวาดออกแล้วเหยียดมือออกชี้ไปที่ลูกผลึกแสงสามลูก


เมื่อมู่เฉินเห็น แรงดูดก็พุ่งออกมาจากฝ่ามือ ลูกผลึกแสงทั้งสามที่มั่วหลิงระบุตกอยู่ในมือเขา จากนั้นเขาก็โยนขวดหยกออกไปโดยไม่ลังเลและยิ้ม “ของเหลวจื้อจุนรวมหนึ่งล้านห้าแสนหยด ขอบคุณมาก”


ชายร่างผอมเห็นว่ามู่เฉินเด็ดขาดเพียงใด เปลือกตาก็กระตุก ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ลูกผลึกแสงทั้งสามที่มู่เฉินเลือกเอาไป เขามีความรู้สึกว่าสมบัติที่มีราคาสูงสุดถูกมู่เฉินหยิบเอาไปหมดแล้ว


ทว่าแม้ในหัวใจจะไม่เต็มใจเพียงใด เขาก็ได้แต่ยิ้มภายใต้การจ้องมองของมู่เฉิน รับขวดหยกด้วยรอยยิ้มที่ไม่น่าดู


หลังจากเป็นประจักษ์พยานกับวิธีการของมู่เฉิน เขาก็รู้แล้วว่ามู่เฉินไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา อย่าไปหาเรื่องคนเช่นนี้ซะจะดีกว่า


ขณะที่คิด ชายร่างผอมก็ทนต่อความร้าวรานในหัวใจ ตัดสายพลังงานที่ติดอยู่กับลูกผลึกแสง


ลูกผลึกแสงสามลูกพลิ้วลงในมือ มู่เฉินก็โยนขึ้นเบาๆ เขาเป็นกังวลในหัวใจ เนื่องจากเขาได้ใช้จ่ายของเหลวจื้อจุนที่มีแทบทั้งหมดไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาได้แต่เลือกที่จะเชื่อในความสามารถพิเศษของมั่วหลิง หวังว่าวัตถุในลูกผลึกแสงทั้งสามจะมีค่าสูงกว่าราคาล้านห้าแสนหยดได้จริงเถอะ…


ไม่งั้นครั้งนี้เขาขาดทุนย่อยยับแน่

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)