หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1011-1014

 บทที่ 1011 ราชันสงครามโลหิต

ด้านหลังศิลาพลังยุทธ์


ประตูแสงซึ่งกำจายคลื่นความผันผวนโบราณปรากฏขึ้นเงียบๆ ราวกับมีความอ้างว้างที่ไม่รู้จบซ่านออกมาจากความสว่าง ทำให้หัวใจของผู้คนรู้สึกเคารพบูชา


ทั้งสี่คนจ้องมองไป


“นี่คือทางสู่ชั้นสุดท้ายใช่ไหม? ชั้นห้าคืออะไรกัน?” มู่เฉินมองไปที่มั่วเฟิงเอ่ยถามเสียงต่ำ


พอมั่วเฟิงได้ยินคำถามก็ส่ายหัว “มีจอมยุทธ์ไม่มากนักที่สามารถเข้าสู่ชั้นห้าได้ ว่ากันว่าการทดสอบในชั้นห้าไม่ตายตัว บททดสอบจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ดังนั้นไม่มีใครรู้ว่าการทดสอบใดรอเราอยู่”


มู่เฉินขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำอธิบายของมั่วเฟิง ไม่รู้ว่าทำไมชั้นสุดท้ายของเจดีย์ฝึกพลังกายถึงได้สร้างความรู้สึกกลัวเบางบางให้กับเขาแบบไม่เคยปรากฏมาก่อน


แต่ไม่ว่าอย่างไรในเมื่อมาได้ไกลขนาดนี้แล้ว เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะถอย


นอกจากนี้หลังจากดูดซับแก่นโลหิตบริสุทธิ์ของเทพอสูรกลืนฟ้า พลังกายของเขาก็ได้รับการปรับปรุงอย่างมาก เขารู้สึกได้ว่าแค่ก้าวไปอีกนิดเดียวเท่านั้น


กายามังกรหงส์ก็จะบรรลุขั้นสอง!


ในเวลานั้นพลังกายของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง! เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อัจฉริยะเผ่าต่างๆ มู่เฉินก็ไม่ต้องกลัวอีกแล้ว


ในหมู่จอมยุทพธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดคงไม่มีใครเป็นศัตรูกับเขาได้อีก


คิดถึงจุดนี้ แสงก็วาบในดวงตาของมู่เฉิน ก่อนที่เขาจะสูดหายใจลึกสุดปอด เขาไม่เสียเวลาไปกับการพูดคุยไร้ประโยชน์เอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “ไปกันเถอะ!”


เมื่อพูดจบเขาก็เป็นคนแรกที่ก้าวเข้าไปในประตูแสง


ที่เบื้องหลังมั่วเฟิงก็ติดมา หานซันหรี่ตาลงยิ้มพลางปรายตามองจงเถิงที่ใบหน้ามืดครึ้มแล้วรีบตามไป


จงเถิงเป็นคนสุดท้ายที่เข้าไป เขามองดูเงาร่างของทั้งสามที่หายเข้าไปในประตูแสง ไอเย็นยะเยือกก็พล่านในดวงตา ดูเหมือนว่าเขาจะต้องคว้าโอกาสยิ่งใหญ่ที่สุดในชั้นห้าให้จงได้


เมื่อความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มพูน มู่เฉินจะเป็นคนแรกที่ตายที่นี่!


“มาดูกันว่าใครจะหัวเราะคนสุดท้าย!” จงเถิงพูดอย่างเย็นชาก่อนจะเดินเข้าไปในอุโมงค์แสงที่เชื่อมโยงกับชั้นสุดท้าย


เมื่อทั้งสี่คนก้าวเข้าไปในประตู


สายตาลุกโชนของทุกคนที่ด้านนอกเจดีย์ก็เลื่อนไปยังชั้นห้า


พวกเขาก็อยากรู้ว่าการทดสอบใดรออยู่ในชั้นห้า… จากข้อมูลที่พวกเขารู้มาคนที่สามารถผ่านการทดสอบชั้นห้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีจำนวนเพียงหยิบมือเท่านั้น


แม้ว่าทั้งสี่คนถือว่ามีฝีมือ แต่พวกเขาก็อาจกลับมาพร้อมกับความเสียใจ


มั่วหลิงกำมือแน่นถามจิ่วโยวเสียงเบาๆ “พี่ใหญ่จิ่วโยว พวกเขาจะผ่านชั้นห้าได้หรือไม่เจ้าคะ?”


จิ่วโยวไตร่ตรอง จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ยาก ลือกันว่าการทดสอบชั้นห้าไม่ตายตัว บางครั้งกระทั่งอาวุธมหสวรรค์ยังเข้าจู่โจม… แน่นอนว่าไม่ใช่ของจริง มันเป็นภาพลวงตา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่คนในระดับพวกเราจะสามารถรับได้”


มั่วหลิงจุปากมีกระทั่งการโจมตีจากอาวุธมหสวรรค์? การจู่โจมนั่นอาจจะฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดตายคาที่เลยมั้ง?


ชั้นห้าของเจดีย์ยากขนาดนี้เลยเหรอ?


เสียงกระซิบกระซาบดังไปรอบๆ เจดีย์ โดยที่สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่ชั้นห้า ไม่นานจากนั้นแสงก็รวมตัวกันค่อยๆ ก่อตัวเป็นหน้าจอ


ทุกคนสายตาจ้องเขม็ง


อุโมงค์แสง


หลังจากที่มู่เฉินก้าวเข้าไป แสงก็ปกคลุมดวงตาอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะจางหายไปราวกับคลื่นกระทบฝั่ง จากนั้นกลิ่นเลือดหนาแน่นก็ตลบอบอวล


กลิ่นคาวเฉียบพลันนี้ทำให้หัวใจของมู่เฉินสั่นเทา แสงสีทองกำจายออกมาจากร่างทันที กระบี่ขนนกสีทองซึ่งยึดมาจากจงเถิงก็ปรากฏขึ้นในมือ


หลังจากเตรียมการป้องกันเสร็จ มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้น จากนั้นสีหน้าของเขาก็อดเปลี่ยนแปลงไม่ได้


ที่นี่เหมือนจะเป็นที่ตั้งของสนามรบโบราณ สนามรบแห่งนี้มีซากศพถูกทิ้งเกลื่อนกลาด เลือดเจิ่งนองไปทั่ว รัศมีที่โหดร้ายโอบล้อมมิติ ทำให้แม้แต่คนอย่างมู่เฉินยังหนังหัวชาหนึบ


ด้านหลังไม่ไกลจากมู่เฉินอีกสามคนก็ปรากฏตัว เมื่อพวกเขาเห็นฉากตรงหน้า ดวงตาก็หดเกร็งทันที จากนั้นก็ต่างพากันเร้าคลื่นหลิงขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเอง


“นี่คือชั้นสุดท้ายของเจดีย์ฝึกพลังกายเหรอ?”


สายตามู่เฉินจ้องเขม็งไปที่สนามรบโบราณ รัศมีโหดเหี้ยมที่กวาดออกมาในภูมิภาคนี้ ทำให้ทุกคนรู้ว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้นที่นี่น่ากลัวเพียงใด


ฮึ่ม! ฮึ่ม!


ขณะที่ทุกคนกำลังสำรวจ สนามรบโบราณก็สั่นไหวอย่างเงียบๆ พวกเขาสัมผัสได้ว่ากลิ่นคาวเลือดและรัศมีโหดร้ายกำลังกวาดออก ราวกับว่ากำลังก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง สุดท้ายก็ก่อตัวเป็นเงาร่างสีแดงที่เบื้องหน้าครรลองสายตาของพวกเขา


ร่างนี้สวมชุดเกราะสีแดงโลหิต เขายืนอยู่ระหว่างฟ้าดินพร้อมกับรัศมีสังหารไม่มีที่สิ้นสุดกวาดออกมาราวกับคลื่นยักษ์ รัศมีนี้ทำให้ทั้งสี่คนร่างแข็งทื่อไม่กล้าเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย


พวกเขาเคยเผชิญศึกเป็นตายมานับไม่ถ้วน แต่พวกเขาไม่เคยเห็นใครที่มีรัศมีสังหารหนาแน่นเช่นนี้มาก่อน ตอนที่ร่างเงานี้มีชีวิตอยู่จะต้องสร้างแม่น้ำเลือดและภูเขาศพไว้เกินคณานับ


ร่างทั้งสี่คนแข็งทื่อไม่กล้าเคลื่อนไหว บนท้องฟ้าร่างสีแดงเข้มค่อยๆ ก้มศีรษะลงมาอย่างช้าๆ ดวงตาสีแดงเข้มที่ไม่มีคลื่นอารมณ์สักริ้วมองมาที่พวกเขา


เมื่อถูกมองด้วยดวงตาสีแดงเข้ม เส้นขนทั่วสรรพางค์กายทั้งสี่ก็ลุกซู่ ความปรารถนาที่จะพุ่งออกจากสถานที่แห่งนี้ผุดขึ้นในหัวใจทันที แต่โชคดีที่พวกเขาไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นพวกเขาจึงระงับความปรารถนานั้นและยืนหยัดอย่างมั่นคง


“ข้าคือราชันสงครามโลหิต”


ร่างสีแดงเข้มเอ่ยช้าๆ ทันทีที่เปล่งเสียงออกมา ลมคลั่งสีแดงก็กวาดตัวระหว่างฟ้าดินซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด


“ราชันสงครามโลหิต?” เมื่อได้ยินชื่อนี้ใบหน้าของมั่วเฟิง หานซันและจงเถิงก็เปลี่ยนไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ขณะที่ร้องอุทานเสียงลั่น


“ใครเหรอ?” มู่เฉินไม่คุ้นเคยกับชื่อเสียงของเหล่าจอมยุทธ์ในดินแดนเสินโซ่จึงถามมั่วเฟิงทันที


“มีตำนานกล่าวว่าราชันสงครามโลหิตเป็นจอมยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ในดินแดนเสินโซ่ยุคโบราณ แม้เขาจะมีพรสวรรค์ธรรมดา แต่ก็รอดชีวิตมาจากสงครามนับครั้งไม่ถ้วน ก้าวย่างผ่านแม่น้ำเลือดและภูเขาศพมากมาย ลือกันว่าจอมยุทธ์ผู้นี้มีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย แต่สามารถคุกคามได้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน!


“ยิ่งกว่านั้นตอนที่เผ่าปีศาจต่างมิติบุกเข้ามาในดินแดนเสิ่นโซ่ ราชันสงครามโลหิตก็ต่อสู้ถวายชีวิต เสียสละตนเองเพื่อกำจัดนักรบปีศาจที่เทียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนเลยทีเดียว” มั่วเฟิงพูดด้วยความเคารพนับถือ


“ลากจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนตายไปด้วย?”


เมื่อมู่เฉินได้ยินคำพูดเหล่านั้น หัวใจก็อดสั่นไหวไม่ได้ แม้นั่นจะยังเป็นระดับที่ไกลสำหรับเขา แต่ก็สามารถจินตนาการได้ถึงช่องว่างระหว่างระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายและระดับเทียนจื้อจุน ทว่าในเมื่อบุคคลผู้นี้สามารถลากนักรบปีศาจระดับเทียนจื้อจุนตายไปพร้อมกับตัวเองก็บอกได้ว่าคนผู้นี้ทรงพลังอำนาจเพียงใด


ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมบุคคลดังกล่าวยังคงมีความยิ่งใหญ่ที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้แม้จะดับสูญไปแล้วนับหมื่นปี


ขณะที่มู่เฉินตกตะลึงในใจ ร่างสีแดงเข้มก็พูดอย่างไม่แยแส “รับหนึ่งหมัดจากข้าได้ก็จะผ่านการทดสอบ”


เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นทั้งสี่คนก็รู้สึกหนังหัวชาหนึบไปหมด จอมยุทธ์ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขาคือการดำรงอยู่ที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งสามารถฆ่าจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนได้ แม้ว่านี่จะเป็นเพียงภาพที่หลงเหลือไว้หลังจากผ่านไปหมื่นปี แต่ก็ไม่สามารถมองข้ามไปได้แน่นอน


“บ้าเอ้ย นี่มันเกินไปแล้ว!” กระทั่งหานซันก็อดไม่ได้ที่จะขบฟัน เขาไม่มีความมั่นใจในการรับหมัดจากราชันสงครามโลหิตสักนิด


มั่วเฟิงก็ส่ายหัวอย่างจนใจ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีความหวังใดๆ เลย


มู่เฉินขมวดคิ้ว ความยากลำบากในชั้นห้าเกินกว่าจินตนาการไปมาก…


แต่ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอะไรอยู่ในใจ ราชันสงครามโลหิตก็ยังแสดงออกอย่างเฉยเมย นอกจากนี้หลังจากที่พูดจบจิตสังหารที่หลั่งไหลออกมาจากร่างกายก็ยิ่งน่ากลัวกว่าเดิม


นิ้วทั้งห้ากำแน่นเป็นหมัด เสียงยิ่งใหญ่ไม่แยแสสะท้อนก้องไปทั่วสนามรบโบราณ “ข้าผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วน คิดค้นวิทยายุทธระดับเสินทงด้วยตนเอง นี่คือหมัดปีศาจพลีชีพ ใครที่สามารถรับได้จะได้รับการสืบทอดกระบวนท่าแรก”


นรกเอ้ย!


เมื่อได้ยินว่าไม่เพียงแต่เป็นราชันสงครามโลหิตจะออกกระบวนท่า เขายังจะใช้วิทยายุทธระดับเสินทงอีกด้วย ทั้งสี่คนก็ได้แต่สาปแช่ง ชายคนนี้คิดว่ายังรังแกพวกเขาไม่พออีกเรอะ? ราชันสงครามโลหิตอะไรกัน เรียกว่าราชันหน้าด้านแทนซะเถอะ!


ทว่าเมื่อคำพูดสุดท้ายสะท้อนในโสตประสาทก็ทำเอาทั้งสี่อึ้งไป ก่อนที่ดวงตาจะเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที


วิทยายุทธระดับเสินทง?!


พวกเขาสามารถได้รับคัมภีร์เทพที่คิดค้นขึ้นโดยราชันสงครามโลหิตจริงเหรอ?!


แม้สติจะบอกพวกเขาว่าไม่มีทางรับหมัดนั้นได้ แต่พวกเขาก็ไม่อาจปฏิเสธความโลภในหัวใจได้ ไม่ใช่เพราะพวกเขาขาดความสำรวม แต่เพราะรางวัล…เหลือเฟือนัก!


วิทยายุทธระดับเสินทงเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ตี้จื้อจุนยังหวั่นไหวได้ ไม่ต้องพูดถึงพวกเขาเลย!


ราคาสำหรับหนึ่งกระบวนท่าก็เกินกว่าสิ่งที่พวกเขาได้รับก่อนหน้ามาหมดแล้ว!


ทั้งสี่คนแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็ว ต่างเห็นความโลภหนาแน่นในดวงตาของกันและกัน ขณะนี้ไม่มีใครคิดจะถอยออกเลย…


“มนุษย์ตายเพื่อความร่ำรวย นกตายเพื่ออาหาร…”


มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกดวงตากะพริบวูบไหวมองไปที่ราชันสงครามโลหิต เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรพวกเขาก็ต้องลองดู อย่างมากก็แค่ยอมแพ้ถอยออกจากเจดีย์


หลังจากที่ราชันสงครามโลหิตพูดจบก็ไม่พูดอะไรอีกต่อไป เขากำหมัดแน่นจิตสังหารพลุ่งพล่านล้นเหลือ จากนั้นก็ก้าวออกไปข้างหน้า ฝีเท้านั้นดูเหมือนจะทำให้เกิดเสียงคำรามนับไม่ถ้วนระหว่างฟ้าดินเลยทีเดียว รัศมีโหดร้ายไม่รู้จบหลั่งไหลมาจากมิติและกาลเวลา ทำเอาพื้นที่โยกคลอน


ในดวงตาของเขาไม่มีอารมณ์ใดๆ เขามองไปที่ทั้งสี่คนก่อนที่จะชกช้าๆ ในเวลาเดียวกันเสียงโบราณก็สั่นสะเทือนเส้นขอบฟ้า


สังเวยพลังกายปีศาจของข้า ทำลายอดีตและปัจจุบัน


บทที่ 1012 บรรลุ

ตู้ม!


เมื่อราชันสงครามโลหิตก้าวออกมา ท้องฟ้าในสนามรบก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ คลื่นโลหิตพวยพุ่งกระจายออกไปครอบคลุมขอบฟ้า พลังอำนาจในการเปลี่ยนแปลงนี้ ทำให้ทั้งสี่รู้สึกว่าหนังหัวชาวาบไป


พวกเขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าทำไมการทดสอบชั้นห้าถึงโหดหินนัก นั่นเป็นเพราะนี่ดูเหมือนไม่มีทางผ่านไปได้เลย!


แต่ไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกไม่เชื่อมากแค่ไหน จิตสังหารรอบร่างราชันสงครามโลหิตบนท้องฟ้าก็ถูกกวนถึงขีดสุดก่อนที่จะเหวี่ยงหมัดลงมา


ครืน!


ทันทีที่หมัดถูกชกออก บนท้องฟ้าอากาศดูเหมือนจะถูกผลักออกจากบริเวณนี้ มากจนเกิดรอยแตกกระจายออกไปในมิติ


กำปั้นโลหิตที่มีขนาดใหญ่พันจั้งกดตัวลงมาจากฟากฟ้า!


ราวกับกำปั้นมารสวรรค์ก็มิปาน!


แม้ว่าหมัดนี้จะยังไม่ได้ลงมาถึง แต่พื้นที่ในรัศมีพันจั้งรอบตัวพวกเขาก็พังทลายลงแล้ว รอยเหวลึกมากมายแผ่ออกมาจากใต้ฝ่าเท้าของพวกเขา


หมัดเดียวเกือบทำลายแผ่นดินนี้เลยทีเดียว


ทั้งสี่คนฉายสีหน้าหวาดผวาสุดขีดขณะที่จ้องมองหมัดโลหิต แม้ว่าหมัดจะยังอยู่ห่างไกลออกไป แต่ไอสังหารก็แทบจะกดพวกเขาแนบลงบนพื้นแล้ว


คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งรุนแรงจากทั้งสี่ต้านทานแรงกดดันที่น่ากลัว แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็รู้สึกว่าหัวเข่าค่อยๆ ทรุดลงจากแรงกดดันที่น่ากลัวนี้


ภายใต้สถานการณ์นี้หัวใจของทั้งสี่ก็สั่นเทา หมัดยังไม่ถึงพื้นแค่เพียงพลังอำนาจก็บังคับให้พวกเขาอยู่ในสภาพที่น่าสมเพช ถ้าซัดลงมาจะไม่ตายคาตั้งแต่วินาทีแรกที่สัมผัสเลยเหรอ?!


ตอนนี้พวกเขาตระหนักได้ว่าคำสัญญาก่อนหน้าเป็นเรื่องบ้าบอเพียงใด


โอกาสในการได้รับทักษะเทพไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเพลิดเพลินได้!


แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเสียใจแค่ไหนในใจก็สายเกินไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาทำได้เพียงแค่กัดฟันแน่น สิ่งเดียวที่พวกเขารู้สึกโชคดีก็คือหมัดนี้ดูเหมือนจะไม่ได้เล็งมาที่พวกเขา แต่เป็นพื้นดินเบื้องล่าง


มิฉะนั้นแค่พลังจากหมัดเพียงอย่างเดียว ก็เพียงพอที่จะบดร่างพวกเขาให้แหลกละเอียดแล้ว


โฮก!


หานซันคำรามลั่นฟ้า แสงสีดำพุ่งพรวดรอบตัวก่อเป็นแรดยุคดึกดำบรรพ์ตัวมหึมาเลือนราง แรดอสูรยืนตระหง่านบนโลกต่อต้านปรงกดจากกำปั้นใหญ่


แสงสีทองกระจายรอบร่างจงเถิง กระเรียนปีกทองคำปรากฏขึ้น ลวดลายนับไม่ถ้วนปรากฏบนปีกสีทองปกคลุมไปรอบๆ เป็นการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ


มั่วเฟิงสูดหายใจลึก เพลิงหงส์ฟ้าพุ่งทะยานรอบตัวก่อนที่รัศมีสูงส่งจะระเบิดออก เมื่อเพลิงลุกไหม้ก็รวมตัวเป็นหงส์ฟ้าสีแดงขนาดใหญ่ที่มีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นบนร่าง ทำให้อุณหภูมิระหว่างสวรรค์และโลกเพิ่มสูงขึ้น


รูปแบบเทพอสูรของมั่วเฟิงไม่ได้เป็นของเผ่าวิหคโลกันตร์แต่กลับเป็นของเผ่าหงส์ฟ้า!


ที่จริงมั่วเฟิงไม่คิดจะเปิดเผยเรื่องนี้ แต่ในเวลานี้ถ้าเขาต้องการทนรับหมัดนี้ เขาก็ต้องใส่ไม่ยั้งพุ่งไปสุดตัว


สัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาจากมั่วเฟิง หานซันและจงเถิงที่ใช้พลังทุกหยาดหยดที่มี มู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่กล้าที่จะชักช้า แสงพราวพวยพุ่งออกมาจากร่าง เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังสะท้อนทั่วสรรพางค์กาย เขาเร้ากายามังกรหงส์ให้ถึงขีดสุด ซึ่งทำให้เขาดูราวกับว่าทำจากทองคำที่ไม่สามารถทำลายได้


ขณะที่ทั้งสี่เผยไพ่ตายออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ หมัดโลหิตที่กดลงมาจากขอบฟ้าก็พุ่งเข้ามาหาพื้นดินซึ่งห่างอีกไม่กี่ร้อยจั้ง พลังอันน่าสะพรึงกลัวของกำปั้นห่อหุ้มพวกเขาไว้อย่างแท้จริง


ปัง!


ผืนดินพังทลายเป็นชั้นๆ ผืนฟ้าโดยรอบหดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเกิดเป็นหลุมจากพื้นดินที่ยุบตัว โดยที่ทั้งสี่คนห่างจากขอบมากขึ้นเรื่อยๆ


ร่างเทพอสูรของมั่วเฟิง หานซันและจงเถิงระเบิดด้วยเสียงโศกเศร้าในเวลานี้ ร่างยักษ์ทรุดลงก่อนที่แสงจะหรุบหรู่อย่างรวดเร็ว


ทั้งสามคนไม่สามารถทนรับพลังหมัดนี้ได้อีก ทำให้ต้องคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ทันใดนั้นก้อนหินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าก็ระเบิดเป็นฝุ่น ใบหน้าแต่ละคนเขียวคล้ำ พวกเขาเร้าคลื่นหลิงรุนแรงพยายามปกป้องตัวเอง แต่ก็ไม่ยืนขึ้นมาได้


ร่างเทพอสูรรอบตัวพวกเขาทรุดลงบนพื้นพลางส่งคำรามแต่ก็ไร้ประโยชน์


ขณะที่ทั้งสามคนอยู่ในสภาพที่น่าสังเวช มู่เฉินก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน แม้เขาจะเร้ากายามังกรหงส์ถึงขีดจำกัด ทำให้ร่างดูราวกับทำมาจากทองคำอย่างไรอย่างนั้น ทว่ากำปั้นที่น่ากลัวก็ยังทำให้เกิดเสียงลั่นเปรียะดังออกมาราวกับกระดูกกำลังจะแตกสลาย


เท้าทั้งสองฝังลึกลงไปในพื้นจนถึงน่อง รอยแตกกระจายออกมาจากท่อนขาของเขา


ที่ด้านนอกของเจดีย์ ทุกคนตกตะลึงบนใบหน้าขณะที่จ้องมองร่างน่าสมเพชทั้งสี่ในหน้าจอแสง ขณะนี้พวกเขาไม่ได้มีท่วงท่าของจอมยุทธ์ชั้นสูงอีกแล้ว


พวกเขารู้ว่าไม่ใช่เพราะทั้งสี่อ่อนแอ แต่หมัดโลหิตที่ตกลงมาจากท้องฟ้าทรงพลังจนถึงขั้นที่น่ากลัวต่างหาก


“การโจมตีที่น่ากลัวเช่นนี้ พวกเขาจะสามารถต้านทานได้อย่างไรกับขุมพลังที่มี?” สีหน้าของจิ่วโยวเปลี่ยนไปและอดไม่ได้ที่จะพูด ความยากนี้อย่างน้อยก็ต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าถึงจะสามารถต้านทานและเอาชีวิตรอดจากหมัดนี้ได้


ใบหน้าของมั่วหลิงซีดเซียว เห็นได้ชัดว่านางกลัวกำปั้นนี้อย่างที่สุด


จอมยุทธ์เผ่าอื่นๆ ก็รู้สึกไม่ต่างกัน ความยากที่น่าสะพรึงนี้ชัดว่าไม่คิดที่จะให้ใครผ่านชั้นห้าเลย


การโจมตีแบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนในระดับพวกเขาจะรับได้


ครืน!


ขณะที่หมัดโลหิตกระแทกลงมา พลังอำนาจที่น่าสะพรึงก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็ห่อหุ้มร่างสามร่างจนถึงจุดที่ร่างเทพอสูรยิ่งใหญ่กำลังจะแตกสลาย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้ว


ใบหน้าทั้งสามซีดเซียวและรู้สึกว่าไม่สามารถขยับร่างกายภายใต้พลังหมัดนี้ได้ นอกจากนี้พวกเขายังสามารถสัมผัสได้ถึงจิตการละทิ้งชีวิตและแสวงหาความตายบนหมัด ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกว่าเจ้าของหมัดได้วางเดิมพันชีวิตไว้บนนั้น


หมัดปีศาจพลีชีพคือการสละชีวิตตัวเองงั้นรึ? ช่างน่าเกรงขามแท้จริง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมถึงถูกเรียกว่าหมัดปีศาจ!


จอมยุทธ์ทั้งสี่หัวใจสั่นสะท้านรุนแรงภายใต้ปณิธานการเสียสละ ยามนี้พวกเขาเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อหมัดลงมาถึงตัวเมื่อไรก็จะเป็นเวลาตายของพวกเขา


เมื่อถึงตอนนั้นอยากหนีก็หนีไม่ได้แล้ว!


ทั้งสี่ทุ่มกำลังทั้งหมดลงไป แต่ก็ยังคงเป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์ เลือดสดเริ่มไหลซึมออกจากร่างกายแสดงให้เห็นร่องรอยของการบี้บด


แม้ว่ามู่เฉินจะบรรลุขั้นแรกของกายามังกรหงส์ แต่ร่างกายเขาก็เริ่มแตกสลาย ริ้วเลือดกระจายบนผิวหนังทำให้ดูน่ากลัวอย่างมาก


ครืน!


หมัดอยู่ห่างจากพวกเขาไม่ถึงห้าสิบจั้งแล้ว ท้องฟ้าเหมือนถูกปกคลุมไว้ด้วยกำปั้นในเวลานี้


ปัง! ปัง! ปัง!


ร่างเทพอสูรของทั้งสามคนก็ทนไม่ได้อีกต่อไป ถูกบีบจนระเบิดออกอย่างสมบูรณ์


อั้ก! อั้ก!


ทั้งสามคนพ่นเลือดออกมาในเวลาเดียวกัน รัศมีก็ลดลงมาก


“บ้าเอ้ย ข้ายอมแพ้!” ใบหน้าของจงเถิงซีดเผือด เขารู้สึกว่าร่างกายแทบจะระเบิดจากแรงกดดัน ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและคำราม เขารู้สึกว่าถ้ารั้งไว้นานกว่านี้ เขาคงจะตายในสถานที่แห่งนี้จริงๆ


แม้ว่าวิทยายุทธระดับเสินทงเป็นรางวัลที่น่าดึงดูดใจ แต่เขาก็ต้องมีชีวิตเพื่อที่จะสนุกได้


ฮึ่ม


พร้อมกับที่จงเถิงเลือกยอมแพ้ แสงก็ปรากฏขึ้นรอบตัว ก่อนที่ร่างเขาจะหายวับไป ชัดว่าเขาถูกส่งออกจากเจดีย์เรียบร้อย


ต่อจากนั้นมั่วเฟิงและหานซันก็ต้านไว้อีกสิบกว่าลมหายใจ ก่อนที่จะรู้สึกว่าพลังหมัดที่ซัดเข้าใส่ ทำให้พวกเขาสิ้นหวัง


นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต่อต้านได้


ดังนั้นหลังจากดิ้นรนในใจ ทั้งสองก็เลือกยอมแพ้เช่นกัน


ฮึ่ม! ฮึ่ม!


แสงกะพริบวาบขึ้น ร่างทั้งสองก็หายไป


เมื่อทั้งสามคนออกไป ก็เหลือมู่เฉินเพียงหนึ่งเดียวในสนามรบ แต่ตอนนี้เขาก็มีสภาพไม่ดีอย่างยิ่ง ร่างกายที่เต็มไปด้วยเลือดทำให้เขาดูเหมือนมนุษย์โลหิต


พลังอำนาจของหมัดที่ซัดมาจากทุกทิศทาง ทำให้เขารู้สึกราวกับว่าตนเองอยู่ลึกในมหาสมุทรกว่าหนึ่งหมื่นลี้ รับแรงกดดันที่น่ากลัวอย่างมาก


แต่ก็เป็นแรงกดดันนี้ที่ทำให้เกิดความบ้าคลั่งในดวงตาของมู่เฉิน ถึงนี่จะอันตราย แต่ก็เป็นโอกาสสำหรับเขาเช่นกัน!


นี่เป็นโอกาสสุดยอดสำหรับเขาที่จะบรรลุขั้นสองของคัมภีร์หลงเฟิ่ง!


ทุกพัฒนาการล้วนเกิดจากการก้าวเท้าลงไปในหลุมแห่งความตายทั้งนั้น!


และตอนนี้นี่ก็เป็นสถานการณ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด!


“บรรลุซะ!”


มู่เฉินเปล่งเสียงคำรามต่ำ หมุนเวียนคัมภีร์หลงเฟิ่งเร็วรี่ เลือดในร่างกายพล่านไปทั่วในเวลานี้ จากนั้นก็เทลงในลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบนแขนของเขาโดยไม่มีที่สิ้นสุด


พร้อมกับเลือดจำนวนมากไหลเข้าไปในท่อนแขน ลวดลายสีม่วงทองก็เริ่มมีริ้วสีแดงเพิ่มขึ้น


แต่สีแดงสดนี้กลับเพิ่มความรู้สึกมีชีวิตชีวาให้กับลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง


ในอดีตแม้ว่าลวดลายนี้จะทรงพลังแต่ก็ขาดความมีชีวิตชีวา ราวกับว่าไม่มีชีวิตและไม่มีจิตวิญญาณ แต่ตอนนี้ภายใต้การคุกคามของความตาย มู่เฉินได้เทเลือดทั้งหมดลงบนลวดลาย ทำให้ลวดลายที่ดูดซับพลังมากเริ่มมีจิตวิญญาณก่อตัวขึ้น


ทันใดนั้นเมื่อจิตวิญญาณก่อตัวขึ้น ลวดลายที่อยู่ในท่อนแขนของมู่เฉินก็ลืมตาโพลง


เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าสะท้อนก้องระหว่างสวรรค์และโลก ราวกับว่าเป็นราชันแห่งโลกนี้


ในที่สุดยามนี้คัมภีร์หลงเฟิ่งก็บรรลุขั้นสองตามที่มู่เฉินปรารถนาแล้ว!


ทว่าจังหวะนี้เอง หมัดโลหิตก็พุ่งลงมากระแทกกับร่างมู่เฉินซึ่งไม่ได้เคลื่อนไหว…


ทั้งชั้นฟ้าและชั้นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น


บทที่ 1013 คายออกมา?

หมัดปีศาจเลื่อนลงมาใกล้


สนามรบที่กว้างใหญ่ก็แตกสลาย รอยแตกลึกกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็เสมือนฟ้าดินถูกทำลาย


ใต้หมัดร่างมู่เฉินกำจายด้วยแสงสีทอง เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้องออกมาจากท่อนแขนของเขา แสงสีทองก็พวยพุ่งออกมา นี่เป็นครั้งแรกที่ลวดลายทั้งสองแยกออกจากร่างมู่เฉิน พวกมันขยายตัวก่อร่างเป็นมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบินฉวัดเฉวียนไปรอบๆ สร้างปราการแสงสีทองราวกับเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดปกป้องมู่เฉินไว้ภายใน


มังกรและหงส์ฟ้าบินอยู่รอบตัว ทันใดนั้นพวกมันก็เปิดปาก แสงสีทองพร่างพราวเทลงมาห่อหุ้มร่างมู่เฉินราวกับม่านน้ำตก


น้ำตกทองคำหลั่งไหลเข้าไปชำระล้างร่างมู่เฉินอย่างต่อเนื่อง เลือดเนื้อของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทองภายใต้การการชำระนี่ ซึ่งบรรจุไปด้วยเกียรติภูมิอันคลุมเครือ


นี่คือการชำระล้างจากแก่นบริสุทธิ์ของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงซึ่งทรงพลังกว่าแก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้าที่มู่เฉินซึมซับก่อนหน้าเสียอีก!


ภายใต้การชำระล้างเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ร่างของมู่เฉินจะเริ่มมีรัศมีของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง กระทั่งเลือดของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้มีพลังชีวิตที่ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น


ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ มู่เฉินก็สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงที่สมบูรณ์ในร่างกาย คลื่นพลังงานที่ทำให้เขายังใจหวั่นพลุ่งพล่านในเลือดเนื้อ ความรุนแรงราวกับไม่มีที่สิ้นสุด


มู่เฉินกำมือช้าๆ พลังงานที่เพิ่มขึ้นทำให้เขาแทบจะคำรามขึ้นสู่ชั้นฟ้า เขารอนานเกินไปสำหรับความก้าวหน้าวันนี้


แสงสีทองพล่านในดวงตาปลดปล่อยแรงกดดันทรงพลัง เขารู้สึกได้ว่าตอนนี้ด้วยพลังกายเพียงอย่างเดียวเขาก็สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดได้!


ถ้ารวมกับคลื่นหลิงด้วยแล้ว มู่เฉินมั่นใจว่าภายใต้ระดับจื้อจุนขั้นแปดมีจอมยุทธ์ไม่กี่คนที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวได้


การปรับแต่งพลังกายในเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้ไม่ทำให้เขาผิดหวังเลย


มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบินฉวัดเฉวียนรอบตัว มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่หมัดโลหิตที่กดลงมา เมื่อมองพลังทำลายล้างที่บรรจุอยู่ภายในหมัด แววตาเขาก็วูบไหวก่อนที่จะยิ้ม “อย่างนี้นี่เอง…”


มู่เฉินพึมพำเบาๆ แล้วเรียกร่างมังกรและหงส์ฟ้ากลับมา ในเวลาเดียวกันเขาก็ดึงคลื่นหลิงกลับคืนทั้งหมด ถอนการป้องกันทุกอย่าง


เขายืนอยู่ใต้หมัดโดยไม่มีการป้องกันใด ปล่อยให้ซัดลงมาจังๆ


ราวกับว่ากำลังเรียกหาความตาย


ทว่าวินาทีก่อนที่จะบรรลุ มู่เฉินก็เข้าใจว่าการทดสอบชั้นห้าเกี่ยวกับเรื่องอะไร…


การทดสอบไม่ใช่ให้ต่อต้านหมัดราชันสงครามโลหิต นั่นเพราะเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ แม้ว่ามู่เฉินจะบรรลุขั้นสองของคัมภีร์หลงเฟิ่ง แต่เขาก็รู้ดีแก่ใจว่าเมื่อไรที่หมัดพุ่งลงมา เขาก็จะสลายกลายเป็นอากาศธาตุ


และไม่ว่าการทดสอบจะยากแค่ไหน ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จ แต่ในการทดสอบนี้มู่เฉินมองไม่เห็นความสำเร็จใดๆ เลย


ดังนั้นความเป็นไปได้หนึ่งเดียวก็คือนี่ไม่ใช่การทดสอบแท้จริง


การทดสอบของชั้นห้าเป็นอย่างอื่น


“หมัดปีศาจพลีชีพ…สละร่าง-สละชีวิต…ถ้าใครอยากจะสืบทอดก็จะต้องมีความกล้าหาญที่จะละทิ้งชีวิตของตน หากไม่มีความกล้าหาญก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกฝนหมัดปีศาจนี้ได้”


ขณะที่กำปั้นกดทับลงมา มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่หมัดทำลายล้างโดยไม่มีริ้วอารมณ์ใดๆ


ตู้ม!


ในที่สุดหมัดปีศาจก็ทิ้งทุ่นไปบนร่างมู่เฉิน ทำเอาพื้นดินแตกร้าว คลื่นกระแทกที่น่ากลัวกวาดหายนะรุนแรง ทั้งสวรรค์และโลถูกทำลาย …


ฉากนี้เป็นฉากสุดท้ายที่คนนอกเจดีย์เห็น หลังจากนั้นหน้าจอก็สั่นสะเทือนก่อนที่จะแตกสลายไป


ด้านนอกเจดีย์เงียบกริบลง


จิ่วโยวมองไปที่หน้าจอที่จางหายไป ใบหน้าของนางซีดเผือดลงทันที แม้ว่าพวกนางจะอยู่ภายนอกเจดีย์ก็ยังคงรู้สึกได้ว่าหมัดปีศาจพลีชีพน่ากลัวเพียงใด ในเมื่อมู่เฉินไม่สามารถหลบหนีได้ ชัดว่าเขามีอันตรายเข้าแล้ว


จอมยุทธ์เผ่าอื่นๆ ก็ส่ายหน้า บางคนรู้สึกสงสาร บางคนรู้สึกดีใจ พวกเขาทั้งหมดมีท่าทางที่แตกต่างกันเมื่อมองจิ่วโยว


หลิ่วชิงเผ่ากระเรียนฟ้าก็อึ้งกับเหตุการณ์นี้เช่นกัน เมื่อนางฟื้นจากอาการตกใจก็หันขวับไปมองจิ่วโยวด้วยสายตาสะใจ ไม่ว่าก่อนหน้ามู่เฉินจะโดดเด่นเพียงใด แต่การกระทำโง่เขลาครั้งสุดท้ายของเขาก็ทำให้ความพยายามทั้งหมดล้มเหลว


ในเมื่อตายไปแล้ว ไม่ว่าสิ่งที่เขาแสดงออกมาก่อนหน้าจะโดดเด่นแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์อะไร


บนพื้นดินใกล้กับเจดีย์ฝึกพลังกาย จงเถิง มั่วเฟิงและหานซันซึ่งก่อนหน้าเลือกที่จะยอมแพ้ก็ปรากฏตัวขึ้น ทั้งสามมองหน้าจอที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยความอึ้งงัน ตอนท้ายสุดพวกเขาเหมือนเห็นร่างเงาของมู่เฉินถูกบดขยี้จนกลายเป็นฝุ่น


มั่วเฟิงฉายสีหน้าน่าเกลียดและโกรธแค้น หากเขารู้ว่าเรื่องเป็นแบบนี้ เขาน่าจะลากมู่เฉินออกมาพร้อมกัน แต่เขาก็รู้สึกสงสัยเพราะด้วยนิสัยของมู่เฉิน อีกฝ่ายไม่ใช่คนประมาท ในเมื่อรู้ว่าตนเองจะต้องตาย ทำไมยังอยู่ในนั้นอย่างดื้อรั้น


หานซันมีสีหน้าซับซ้อนเมื่อมองเจดีย์ จากนั้นก็ส่ายหัวด้วยความสงสาร


จงเถิงอึ้งงันไป คนที่ดึงเขาลงมาครั้งแล้วครั้งเล่าตายเช่นนี้เนี่ยนะ?


หลังจากตะลึงงันไปพักหนึ่ง เขาก็อดยิ้มไม่ได้ “งี่เง่าจริงๆ!”


ในมุมมองของจงเถิง มู่เฉินคงคิดว่าตนเองจะได้รับโอกาสยิ่งใหญ่เหมือนที่แล้วมา ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมแพ้เนื่องจากความโลภที่มี แต่สุดท้ายใครจะไปคิดว่าหมัดของราชันสงครามโลหิตจะน่าสยดสยองเพียงนั้น แม้กระทั่งพวกเขายังเล็กเท่ามดไม่สามารถต้านทานอะไรได้


ทว่าไม่เพียงแต่เฉินมู่ไม่ต้องการที่จะยอมแพ้ เขายังบ้าระห่ำ เขาคิดว่าจะสามารถผ่านด่านได้ด้วยความเพียรพยายามเรอะ? โง่บรมโง่จริงๆ!


ทว่าขณะที่จงเถิงกำลังจะหัวเราะร่วน สายตาราวกับใบมีดเย็นเยียบก็กรีดแทงเข้ามา เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นจิ่วโยวมีท่าทางเย็นชาอยู่ไม่ไกลนัก


“ข้าพูดผิดเหรอ?” เผชิญหน้ากับสายตาเย็นชาของจิ่วโยว จงเถิงก็ยิ้มสบายๆ


ในเมื่อมู่เฉินตายไปแล้ว เขาก็ไม่ต้องกังวลอีก แม้ว่าจิ่วโยวและมั่วเฟิงจะต่อกรได้ยาก แต่อีกฝ่ายก็ไม่สามารถทำอะไรกับพวกเขาได้ บางทีเขาอาจจะบีบให้จิ่วโยวคืนของเหลวจื้อจุนล้านหยดที่มู่เฉินเอาไปจากเขาได้ด้วย


“ดูเหมือนว่าบทเรียนในเจดีย์จะยังไม่เพียงพอ ทุกคนได้เห็นว่าเจ้าน่าสงสารแค่ไหนในตอนนั้น” จิ่วโยวพูดอย่างเย็นชา


เมื่อจิ่วโยวพูดจบ ทุกคนโดยรอบก็มองไปที่จงเถิงด้วยสายตาพิลึกพิลั่น ชัดว่าต่างจำสภาพน่าสงสารของเขาได้


ใบหน้าของจงเถิงมืดครึ้มลง อัจฉริยะเผ่ากระเรียนฟ้าถูกมนุษย์บีบให้มาอยู่ในสภาพน่าสังเวช ช่างน่าอัปยศ มิหนำซ้ำจิ่วโยวยังกรีดบาดแผลเพิ่มให้อีกต่างหาก


สายตามืดมนของจงเถิงมองไปที่จิ่วโยว คลื่นหลิงค่อยๆ รวมตัวกันรอบตัว จิ่วโยวก็ไม่น้อยหน้า นางจ้องมองจงเถิงด้วยสายตาเย็นชาขั้นสุด


ทั้งสองปลดปล่อยคลื่นหลิงเพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นว่ากำลังจะเคลื่อนไหวแล้ว


เมื่อสมาชิกเผ่ากระเรียนฟ้าเห็นก็รีบปรากฏตัวด้านหลังจงเถิง สายตาไม่เป็นมิตรจ้องไปที่จิ่วโยว


“หึ ดูเหมือนว่าเผ่าวิหคโลกันตร์จะสร้างความขุ่นเคืองกับคนไปทั่ว… แบบนี้เผ่าอีกาสายฟ้าของข้าขอร่วมด้วยสิ” ขณะที่พวกจิ่วโยวกำลังเผชิญหน้ากับเผ่ากระเรียนฟ้า เสียงหัวเราะเย็นเยือกก็ดังกึกก้องจากลู่สุยที่นั่งนิ่งรักษาอาการบาดเจ็บ เขายืนขึ้นจ้องมองจิ่วโยวอย่างเย็นชา


เขาได้รับความอับอายหนักหนาตอนถูกบังคับให้ต้องออกจากเจดีย์ฝึกพลังกายโดยมู่เฉิน ในเมื่อมู่เฉินตายไปแล้ว เขาก็สาดความขุ่นเคืองทั้งหมดให้กับจิ่วโยว


เมื่อจิ่วโยวเห็นกลุ่มอีกาสายฟ้ากระโจนลงมาเล่นด้วย ใบหน้าของนางก็มืดครึ้ม สายตาเย็นเยือกลง


มั่วเฟิงและมั่วหลิงปรากฏตัวข้างจิ่วโยว คลื่นหลิงไร้ขอบเขตเพิ่มขึ้นรอบตัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพร้อมรบทุกเวลาแล้ว


“พอมู่เฉินไม่อยู่ พวกเจ้าก็มาอวดดีเลยรึ?” จิ่วโยวกวาดแสงเย็นใส่ลู่สุยและจงเถิงขณะที่เยาะเย้ย


จงเถิงยิ้มอ่อนพลางส่ายหัว “ก่อนหน้านี้แค่เพราะพวกเขาสองคนบีบข้า ถ้าสู้กันตัวต่อตัวมู่เฉินจะอยู่ในสายตาของข้าได้ยังไง? ที่จริงข้าหวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดกับเขาซะอีก ข้าจะได้ให้เขาคายของเหลวจื้อจุนที่ปล้นไปจากข้าออกมา!”


“จริงรึ?”


เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ดวงตาของจิ่วโยวก็เปล่งประกาย ยิ้มเยาะเย้ยขึ้น


จงเถิงที่เห็นรอยยิ้มของจิ่วโยวก็รู้สึกไม่สบายใจได้แต่เค้นเสียงเย็นขึ้นจมูก “เจ้าคิดว่าไอ้บ้านั่นยังมีชีวิตอยู่เรอะ? ฝันไปเถอะ!


ใบหน้าของจิ่วโยวที่ซีดขาวในตอนแรกกลับคืนปกติแล้ว นางมองไปที่จงเถิงด้วยรอยยิ้มไม่เชิงยิ้ม “ข้าว่าพวกเจ้าน่าจะรู้เกี่ยวกับพันธะโลหิตระหว่างข้ากับมู่เฉินใช่ไหม?”


จงเถิงหัวเราะ “เจ้ายังกล้าพูดถึงเรื่องนี้…”


เมื่อพูดขึ้น เขาก็นึกอะไรได้ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปรุนแรง หากจิ่วโยวและมู่เฉินสร้างพันธะโลหิตต่อกัน จิ่วโยวก็จะต้องถูกกระทบจากความตายของมู่เฉิน ทว่าตอนนี้แม้สายตาของนางจะเย็นชา แต่ก็ไม่เหมือนได้รับบาดเจ็บอะไร


นั่นหมายความว่า…มู่เฉินยังไม่ตาย!


ทันทีที่ใบหน้าของจงเถิงเปลี่ยนไป แสงเจิดจรัสก็พุ่งออกมาจากเจดีย์ เมื่อแสงหายไปร่างเงาหนึ่งก็ยืนเงียบๆ บนแท่นหินนอกเจดีย์


ม่านตาสีดำสนิทของเขาจับจ้องไปที่จงเถิงอย่างช้าๆ มุมโค้งเย็นเยือกยกขึ้นที่มุมปาก


“เจ้าต้องการให้ข้าคายของเหลวจื้อจุนที่เอามาจากเจ้าให้เหรอ?”


บทที่ 1014 หนึ่งหมัด

“เจ้าต้องการให้ข้าคายของเหลวจื้อจุนที่เอามาจากเจ้าให้เหรอ?”


ที่เบื้องหน้าเจดีย์ฝึกพลังกาย เมื่อแสงจางลงเงาร่างสูงโปร่งก็ปรากฏขึ้น เขายืนจ้องจงเถิงอย่างเยือกเย็นพร้อมกับรอยยิ้มไม่เชิงยิ้ม ถ้านี่ไม่ใช่มู่เฉินจะเป็นใครได้อีก?


การปรากฏตัวขึ้นกะทันหันทำให้เหล่าจอมยุทธ์ที่นี่สีหน้าเกิดการเปลี่ยนแปลงรุนแรง แต่ละคนเขียนคำไม่เชื่อบนใบหน้า ท่าทางราวกับว่าเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น


พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะสามารถรอดชีวิตจากเจดีย์ฝึกพลังกายได้ด้วย


มั่วเฟิงและหานซันก็จ้องมู่เฉินอย่างอัศจรรย์ใจ ผลลัพธ์นี้เกินความคาดหมาย มู่เฉินรอดจากหมัดน่าสะพรึงกลัวของราชันสงครามโลหิตได้อย่างไร?


“กะ…แกยังไม่ตาย?!” กระทั่งจงเถิงที่สงบอารมณ์เก่งก็ยังเบิกตาค้างมองมู่เฉินด้วยความไม่เชื่อ เขาถึงกับพูดติดอ่างสามารถบอกถึงความตกใจในหัวใจของเขาได้เลย


“ต้องขอบคุณเจ้านะสิ ทุกอย่างยังดี” มู่เฉินตอบกลับด้วยรอยยิ้มตาหยี ทว่าในรอยยิ้มไม่มีความอบอุ่นสักริ้วเดียว เขาไม่คิดว่าแค่ตนหายตัวไปในช่วงเวลาสั้นๆ ชายคนนี้ก็กระโดดลงมาเล่นเสียแล้ว


ใบหน้าของจงเถิงมืดครึ้ม


ไม่ไกลจากกันนักจอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้าที่กำลังจะเคลื่อนไหวก็ตกตะลึงไป การแสดงออกน่ากลัวที่เคลือบบนใบหน้าของลู่สุยก็แข็งทื่อก่อนจะเปลี่ยนสีเป็นเขียวสลับขาว ตอนแรกเขากะจะแก้แค้นเมื่อกลุ่มของจิ่วโยวตกอยู่ในภาวะการสูญเสีย แต่ใครจะคิดว่ามู่เฉินจะปรากฏตัวออกมาเหมือนผีเช่นนี้


ขณะที่ใบหน้าของลู่สุยเปลี่ยนไป สายตาคมกริบของมู่เฉินก็กวาดมาพลางเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ก่อนหน้าข้าไว้ชีวิตแก แต่แกยังกล้าเสนอหน้าออกมาอีกเรอะ”


เมื่อลู่สุยได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ แสงดุร้ายวูบวาบในดวงตา ราวกับว่าเขาต้องการที่จะกินมู่เฉินทั้งเป็น


“ฮ่าๆ วาจาใหญ่โตซะจริง”


จงเถิงฟื้นคืนสติในที่สุด ทว่าใบหน้าก็ยังคงมืดครึ้มขณะจ้องมองมู่เฉินด้วยรอยยิ้มเย็นชา ในน้ำเสียงไม่ได้กลัวมู่เฉินอะไร แม้เขาจะรู้ว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์จากเจดีย์ฝึกพลังกาย แต่ในมุมมองของจงเถิง มู่เฉินและตัวเขาก็ยังมีช่องว่างอยู่


มู่เฉินในปัจจุบันสามารถเผชิญหน้ากับเขาได้ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้จงเถิงกลัว


“นอกจากนี้เจ้าต้องการให้เผ่าวิหคโลกันตร์ต่อสู้กับเผ่ากระเรียนฟ้าและเผ่าอีกาสายฟ้าที่นี่จริงหรือ? ถ้าเป็นแบบนั้นเจ้าแน่ใจหรือว่ามนุษย์อย่างเจ้าจะรับผลที่เกิดขึ้นไหว?”


เมื่อได้ยินเสียงเยือกเย็นของจงเถิง ลู่สุยก็จำได้ว่าพวกเขามีกำลังพลจากสองกลุ่ม หากพวกเขาร่วมมือกัน การรวมตัวก็จะแข็งแกร่งกว่ากลุ่มมู่เฉินมาก แล้วทำไมต้องไปกลัวคนพวกนี้?


นอกจากนี้เขาไม่คิดว่าที่แพ้ให้มู่เฉินก่อนหน้าเป็นเพราะเขาอ่อน เขาแค่ประมาทไปในช่วงเวลานั้นและทำให้มู่เฉินได้เปรียบในการลงมือก่อน สุดท้ายก็ดำเนินการอย่างรวดเร็วให้เขาออกจากลานเมฆสายฟ้า เตะโด่งออกมา


ถ้าเขาทุ่มสุดตัวตั้งแต่ต้น ด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดของเขา ต่อให้มู่เฉินจะได้เปรียบเล็กน้อย แต่ก็เป็นเรื่องยากสำหรับอีกฝ่ายที่จะเอาชนะเขา


เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ประกายแสงดุร้ายก็พุ่งขึ้นในดวงตาของลู่สุยเอ่ยเสียงน่าขนลุกว่า “เฮ้ คำพูดของพี่จงถูกต้อง วันนี้ข้าจะมาดูว่าแกจะทำอะไรข้าได้?!”


เมื่อพูดจบเขาก็ก้าวออกมาทันที คลื่นหลิงไร้ขอบเขตครางกระหึ่มรอบตัวขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาดุร้าย


เมื่อผู้คนโดยรอบเจดีย์เห็นบรรยากาศตึงเครียดก็มีสายตาแปลกประหลาดไป เผ่าอีกาสายฟ้าจะร่วมมือกับเผ่ากระเรียนฟ้าเพื่อจัดการเผ่าวิหคโลกันตร์ หากเป็นเช่นนั้นชัดว่าไม่เป็นข่าวดีสำหรับเผ่าวิหคโลกันตร์เลย


“มู่เฉินยังเด็กมากเลยโอหัง… คำพูดของเขาไม่ได้เปิดเส้นทางการถอย ทำให้ลู่สุยและจงเถิงร่วมมือกันเลย…”


“ใช่ พวกเขาสองคนเป็นอัจฉริยะที่เข้าสู่เจดีย์ได้ หากพวกเขารวมพลังกัน ดูจากการรวมตัวนี้ สถานการณ์ของเผ่าวิหคโลกันตร์ไม่ดีแน่นอน”


“หากเรื่องนี้ไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง มู่เฉินจะนำความอับอายไปให้เผ่าวิหคโลกันตร์มากเลยทีเดียว ลู่สุยและจงเถิงที่ได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้ก็ไม่ปล่อยให้เรื่องจบง่ายๆ แน่…”


“…”


เสียงกระซิบดังขึ้นขณะที่จอมยุทธ์เผ่าต่างๆ พากันส่ายหัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกว่าคำพูดของมู่เฉินเลวร้ายจนนำไปสู่สถานการณ์นี้ที่อันตรายต่อพรรคพวกมาก


หากเขาพูดนิ่มนวลกว่านี้ บางทีอาจจะโน้มน้าวเผ่าอีกาสายฟ้าให้ออกไปแล้วจัดการกับเผ่ากระเรียนฟ้าก่อน ซึ่งนี่เป็นแผนการที่สมบูรณ์แบบที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย


ขณะที่เสียงสนทนาดังก้อง จงเถิงก็มองลู่สุยที่ฉายอารมณ์รุนแรงในสายตา มุมปากยกมุมโค้งโดยที่ไม่มีใครสังเกต ตอนแรกเขายังกลัวว่าลู่สุยจะถอยจากการปรากฏตัวของมู่เฉิน แต่ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันเขากังวลมากไปเอง ที่จริงเขาควรขอบคุณมู่เฉินสำหรับเรื่องนี้ด้วยซ้ำ…


“ข้าจะทำอะไรพวกแกได้บ้างเหรอ?”


เผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น มู่เฉินกลับมองข้ามไป แววตาที่เย็นเยียบลงมองไปที่ลู่สุย จากนั้นรอยยิ้มที่เผยบนใบหน้าก็เต็มไปด้วยไอเย็นเยียบ


จากนั้นเขาก็ก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว


ปัง!


แสงสีทองจ้าระเบิดออกมาจากร่างของมู่เฉิน ทันใดนั้นเขาก็หายตัวไปจากตำแหน่งเดิมทันที


จังหวะที่เขาหายตัวไป จงเถิงที่อยู่ใกล้ที่สุดก็สัมผัสได้ถึงบางอย่าง ทันใดนั้นสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป คลื่นหลิงกวาดตัวขึ้นพยายามที่จะขัดขวางมู่เฉิน


วาบ!


ทว่าขณะที่ร่างกายเขาเพิ่งจะขยับ การมองเห็นก็พร่ามัวไปวูบหนึ่ง จากนั้นแสงสายหนึ่งก็เคลื่อนผ่านร่างเขา ความเร็วที่น่ากลัวนั้นทำให้เหงื่อโชกขึ้นบนแผ่นหลังของจงเถิงทันที


ทำไมความเร็วของชายคนนี้ถึงเพิ่มขึ้นมากขนาดนี้?!


ในฐานะสมาชิกเผ่ากระเรียนฟ้า ความเร็วคือจุดแข็งของพวกเขา แต่เมื่อกี้เขายังไม่ทันมองเห็นเส้นทางการเคลื่อนไหวของร่างแสงนั่น อีกฝ่ายก็พุ่งผ่านเขาไปแล้ว


ความเร็วนี้น่าสะพรึงนัก!


ขณะที่เหงื่อเย็นผุดขึ้นบนร่างกายจงเถิง ใบหน้าลู่สุยซึ่งอยู่ไม่ไกลก็เปลี่ยนไปรุนแรง เขาเห็นเพียงแสงสีทองกะพริบผ่านดวงตา ทว่าในเมื่อตัวเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ดังนั้นเขาจึงถอยออกไปโดยสัญชาตญาณทันที ในเวลาเดียวกันก็เหวี่ยงหมัดออกไป คลื่นหลิงไร้ขอบเขตผสมกับสายฟ้าทะลุผ่านมิติ


ตู้ม!


ทว่าแสงสีทองยังคงพุ่งใส่อย่างครอบงำกระแทกกับคลื่นหลิงสายฟ้า จากนั้นสายฟ้าก็แตกสลายจางหายไปทันที


วาบ!


แสงสีทองกะพริบวูบไหว ลู่สุยก็ต้องตะลึงงันเมื่อสังเกตเห็นเงาร่างของมู่เฉินมาปรากฏตัวตรงหน้า รอยยิ้มเย้ยหยันฉายบนใบหน้าอ่อนเยาว์


“ข้าจะทำอะไรกับแกได้เหรอ?”


เขาเหมือนจะเปิดปากถามคำถามเดิมอีกครั้ง จากนั้นก็เหวี่ยงหมัดออกไป


มวลลมใต้หมัดผันผวนไร้ซึ่งระลอกคลื่นหลิง มีเพียงแสงสีทองที่กะพริบและเสียงคำรามของมังกรคลุมเครือดังกึกก้อง จากนั้นลู่สุยก็เห็นรอยแตกปรากฏออกมาบนมิติตรงหน้า พลังงานนี้ทำให้หนังหัวของเขาด้านชาไปหมดเลย


“เป็นไปได้ยังไง?!”


ลู่สุยหวาดผวาหมัดของมู่เฉินจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง เขารู้สึกได้ว่ามู่เฉินไม่ได้ใช้คลื่นหลิงเลย นั่นหมายความว่าหมัดนี้เป็นความแข็งแกร่งทางพลังกายล้วนๆ


ยิ่งกว่านั้นพลังหมัดนี้ยังทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดแบบเขายังรู้สึกว่าถูกคุกคาม


หมัดของมู่เฉินเร็ว-แรง แต่ลู่สุยก็เร้าคลื่นหลิงทั้งหมดแบบบ้าคลั่งก่อร่างเป็นโล่ป้องกันตรงหน้าซึ่งแล่นแปลบปลาบด้วยเกลียวสายฟ้า ช่างดูราวกับอีกาสายฟ้าสยายปีกป้องกันทรงพลัง


ตึง!


กำปั้นทองคำกระแทกกับโล่สร้างเสียงสะท้อนยิ่งใหญ่ โล่ที่แข็งแกร่งก็พังทลายทันควันภายใต้สายตาตกตะลึงของลู่สุย


สายฟ้าแตกกระเซ็น กำปั้นทองคำก็ทะลุผ่านกระแทกบนหน้าอกของลู่สุยราวกับสายฟ้าฟาด พลังงานน่าสะพรึงหลั่งไหลออกมา ร่างกายของลู่สุยปลิวออกไปทันที


ปัง! ปัง! ปัง!


ตลอดทางสิ่งก่อสร้างโบราณถูกทำลายจนราพณาสูร รอยยาวหลายร้อยจั้งลากไปบนพื้น


บรรยากาศโดยรอบเจดีย์ฝึกพลังกายเงียบสงัดอีกครั้ง


เสียงกระซิบก่อนหน้าเงียบไปอย่างสมบูรณ์ ทุกคนมองฉากนี้ด้วยความอึ้งทึ่ง พวกเขาจินตนาการไม่ได้เลยว่าลู่สุยที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดจะรับหมัดเดียวจากมู่เฉินไม่ได้


พวกเขามองไปที่ไกลก็เห็นร่างลู่สุยถูกปกคลุมไปด้วยเลือด หน้าอกยุบลง ร่างฝังลงไปในซากปรักหักพัง ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย…


“เป็นไปได้ยังไง…”


ทุกคนอึ้งไปขณะที่พึมพำ แม้ว่ามู่เฉยจะชนะลู่สุยในเจดีย์ฝึกพลังกาย แต่ก็เป็นเพราะความจริงที่มู่เฉินลงมืออย่างรวดเร็ว ทว่าตอนนี้หลังจากที่ลู่สุยรู้ว่ามู่เฉินทรงพลังเพียงใดเขาก็ตื่นระวังอยู่ตลอดเวลา แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนั้นก็ยังพ่ายแพ้ทันทีเหมือนหมาจนตรอก


ทุกคนพูดไม่ออกและเข้าใจสถานการณ์อย่างสมบูรณ์ว่าทำไมมู่เฉินจึงไม่มีความคิดที่จะแยกจัดการทีละกลุ่ม นั่นเป็นเพราะเขาสามารถเอาชนะพันธมิตรศัตรูแบบนี้ได้อย่างง่ายดาย


ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานร่วมกันอย่างไร ก็เป็นเรื่องน่าตลกเบื้องหน้าพลังแท้จริง


จอมยุทธ์เผ่าอีกาสายฟ้าอึ้งไปเมื่อเห็นฉากนี้ ตอนนี้พวกเขาไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะเข้าไปช่วยลู่สุย นั่นเป็นเพราะหมัดสายฟ้า ทำให้พวกเขาเข้าใจช่องว่างระหว่างสองฝ่ายอย่างถ่องแท้


ภายใต้สายตาตะลึงงันนับไม่ถ้วน มู่เฉินก็ถอนสายตากลับอย่างไม่แยแส แสงสีทองบนร่างก็หดกลับ จากนั้นเขาก็ยิ้มอ่อน


“ข้าจะทำอะไรกับแกได้เหรอ ไม่รู้ว่านี่เพียงพอหรือยัง?”


ทว่าเผชิญหน้ากับคำพูดของเขา ไม่มีใครตอบกลับ นั่นเป็นเพราะตอนนี้ลู่สุยโดนซัดจนไม่รู้เป็นหรือตายแล้ว…


มู่เฉินก็ไม่ใส่ใจอะไรลู่สุย เขาปัดมือเบาๆ ก่อนที่จะหันกลับมามองไปจงเถิงที่มีสีหน้าบิดเบี้ยวพร้อมกับรอยยิ้มไม่เชิงยิ้ม


“ถึงตาแกแล้ว”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)