หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1005-1010

 บทที่ 1005 จุดไฟตะเกียงทองแดง

บนจัตุรัสโบราณ


ร่างทั้งห้าที่นั่งเงียบๆ ก็เปิดตาขึ้นพร้อมเพรียงกัน ช่วงเวลาที่เปลือกตาเปิดออกแสงสีแดงบางจางก็กะพริบวูบไหวบนพื้นผิวของร่างกาย แสงเหล่านั้นไม่ใช่แสงหลิง แต่เป็นการแสดงออกของกระแสเลือดและรัศมีในร่างกายมาถึงจุดสุดยอด


เห็นได้ชัดว่าช่วงเวลานี้ทั้งห้าคนปรับสภาพได้ถึงจุดสูงสุดแล้ว


แสงสีแดงจางๆ ห่อหุ้มพวกเขา สีคุนเผ่าอสูรกุญชรก็ยืนขึ้นเป็นคนแรก เขามองไปที่แผ่นหินสีดำด้วยสายตาร้อนแรงและยิ้ม “ในเมื่อไม่มีใครเริ่มก่อน งั้นข้าขอทดสอบตำนานศิลาอันแข็งแกร่งนี่เอง!”


เมื่อทั้งสี่ได้ยินคำพูดนี่ก็ไม่ว่าอะไร เพราะเวลานี้ไม่มีความหมายในการแย่งลำดับ เนื่องจากพวกเขามีโอกาสเพียงครั้งเดียว


เมื่อเห็นว่าไม่มีใครคัดค้าน สีคุนก็ก้าวออกไปพลางสูดหายใจลึกที่เบื้องหน้าแผ่นศิลาสีดำ จากนั้นก็กำหมัดแน่น


ตู้ม!


แสงสีแดงระเบิดออก ร่างกายของสีคุนก็ขยายขนาดอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อพองตัวราวกับเหล็กโดยที่มีเส้นเลือดเต้นยุบยับประหนึ่งมังกรเคลื่อนอยู่บนผิว


แม้ว่าจะไม่มีระลอกคลื่นหลิงใดๆ แต่พลังที่ระเบิดจากสีคุนก็ยังทรงประสิทธิภาพมาก


แต่หลังจากการหมุนเวียนพลังของตัวเอง สีคุนก็ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น มือทั้งสองประสานกัน แสงสีเลือดค่อยๆ รวมตัวกันก่อตัวเป็นอักขระสีแดงเลือดบนพื้นผิว ทำให้สีคุนดูดุร้ายยิ่งกว่าเดิม


“นี่คืออักขระโลหิตของเผ่าอสูรกุญชร การปลุกสายเลือดของพวกเขาสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกายได้ชั่วคราว” มั่วเฟิงอธิบายให้มู่เฉินฟังจากด้านข้าง


มู่เฉินพยักหน้า เขารู้สึกได้ว่าร่างกายของสีคุนแข็งแกร่งขึ้นในเวลานี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมานิดหน่อย เนื่องจากเทพอสูรเหล่านี้ได้รับพรจากสวรรค์อย่างแท้จริงในแง่ของพลังกาย


“ไม่รู้ว่าสีคุนจะจุดตะเกียงได้กี่ดวง?”


ขณะที่ความคิดนี้แวบขึ้นในใจของมู่เฉิน สีคุนก็กระทืบเท้าลงบนพื้น ทำให้จัตุรัสโบราณถึงกับโยกคลอน จากนั้นร่างเขาก็พุ่งออกไปอย่างดุร้ายประหนึ่งช้างปีศาจที่ยาตราบนขอบฟ้า ต้องการทำลายฟ้าดินให้แหลกลาญ


ตู้ม!


สีคุนต่อยออกพร้อมกับรัศมีสีแดงหมุนเวียนบนกำปั้น ในเส้นทางการเคลื่อนที่ของหมัด มิติกระเพื่อมไหว เสียงแสบแก้วหูระเบิดออก ด้านหลังเขาเงาช้างยักษ์ตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นช่างดูดุร้ายและน่ากลัว ทำให้คนมองรู้สึกหวาดกลัว


ปัง!


หมัดของสีคุนซึ่งบรรจุพลังทั้งหมดไว้ก็ทำลายบรรยากาศแตกเป็นเสี่ยงๆ กระแทกบนแผ่นศิลาสีดำอย่างหนักหน่วง ภายใต้สายตากังวลใจของสี่คน


ทันทีที่เกิดการปะทะกัน เสียงคำรามลึกก็ดังขึ้น ระลอกคลื่นดูเหมือนแผ่ออกจากศิลาพลังยุทธ์ ทว่าตัวแผ่นหินไม่ได้ขยับเขยื้อน


ฟู่ ฟู่!


เมื่อระลอกคลื่นกระจายออกไป มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็มองเห็นตะเกียงดวงแรกลุกโชนด้วยเปลวไฟ


เปลวไฟมีสีแดงสดเต็มไปด้วยความผันผวนของรัศมีโลหิตราวกับว่ามาจากกำปั้นของสีคุน


ปุ! ปุ! ปุ!


หลังจากตะเกียงทองแดงดวงแรกจุดขึ้น อีกสามดวงถัดมาก็สว่างขึ้นตามมา ทว่าเมื่อถึงตะเกียงดวงที่ห้าก็เกิดการชะลอตัวลง ควันสีแดงจากตะเกียงดวงที่ห้าลอยเคว้งคว้าง ประกายไฟเส้นเล็กปรากฏขึ้น สุดท้ายหลังจากผ่านการรวมตัวไปสักพักตะเกียงดวงที่ห้าก็สว่างอย่างสมบูรณ์


ตะเกียงทองแดงดวงที่ห้าสว่างขึ้นแล้ว!


คนอื่นไม่ได้เคลื่อนไหว สายตาจดจ้องไปที่ตะเกียงทองแดงดวงที่หก ด้วยความแข็งแกร่งของสีคุน การจุดตะเกียงห้าดวงเป็นไปตามคาดหมาย ส่วนดวงที่หกเป็นจุดสำคัญที่สุด


ชี่ ชี่!


ต่อจากตะเกียงดวงที่ห้า ประกายไฟก็พล่านเข้าไปปรากฏในดวงที่หก พวกมันรวมตัวกันด้วยความยากลำบากก่อนที่จะปล่อยเปลวไฟเล็กๆ ออกมาอย่างช้าๆ ภายใต้ดวงตาแดงก่ำของสีคุน


แต่ขณะที่เปลวไฟกำลังจะพวยพุ่งก็เกิดการพลิ้วไหวก่อนจะดับวูบกลับมามืดมนดังเดิม


ตะเกียงทองแดงดวงที่หกจุดไม่ติด!


ใบหน้าของสีคุนซีดเผือดทันใด ความไม่เชื่อพล่านเต็มสายตาไปหมด พลังเต็มเปี่ยมของเขาไม่สามารถทำให้ตะเกียงดวงที่หกส่องสว่างขึ้นได้เรอะ?


เมื่ออีกสี่คนเห็นภาพนี้ สายตาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดลง ในการคาดเดาสีคุนน่าจะมีโอกาสทำให้ตะเกียงดวงที่หกส่องสว่างได้ แต่ไม่คิดว่าสีคุนจะล้มเหลว


ฮึ่ม!


ขณะที่พวกเขาถอนหายใจ แผ่นศิลาสีดำก็สั่นเบาๆ รัศมีปั่นป่วนไหลทะลักออกมาผ่านเข้านาสิกประสาทของสีคุน


ร่างของสีคุนแข็งทื่อทันใด ช่วงเวลานั้นรัศมีรอบตัวเขาเดือดพล่านอย่างรวดเร็ว รัศมีสีแดงกวาดไปทั่วร่าง ในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจรัศมีที่กำจายออกมาจากร่างกายสีคุนก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก


“นี่คือแก่นเทพอสูรกลืนฟ้าเหรอ?” เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ ดวงตาก็เปล่งประกายด้วยความปรารถนา นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ว่าในเวลาสิบกว่าลมหายใจสั้นๆ การเสริมสร้างร่างกายของสีคุนแข็งแกร่งยิ่งกว่าการชำระล้างด้วยแก่นสายฟ้าเสียอีก


แก่นเทพอสูรกลืนฟ้าเป็นอาหารบำรุงร่างกายยอดเยี่ยมจริงๆ


ถ้าสีคุนได้รับโอกาสอีกครั้งในการชกพลังใส่ศิลาพลังยุทธ์ เขาอาจจะมีโอกาสถึงแปดส่วนที่จะทำให้ตะเกียงส่องสว่างได้ถึงหกดวงและได้รับสิทธิ์เข้าสู่ชั้นต่อไป


แต่น่าเสียดาย …


สีคุนเองก็เข้าใจเหตุผลนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความไม่เต็มใจ จากนั้นแสงเบาบางก็ล้อมรอบตัวก่อนที่เขาจะหายวับไป เห็นได้ชัดว่าเขาถูกคัดออกทันทีที่ไม่สามารถจุดตะเกียงได้ครบหกดวง


มู่เฉินและคนอื่นๆ มองสีคุนที่ล้มเหลวถูกไล่ออกจากเจดีย์ บรรยากาศก็เงียบงันในเวลานี้ ทว่าสายตาของพวกเขาเปลี่ยนเคร่งเครียดมากยิ่งขึ้น


ความเงียบดำเนินไปชั่วครู่ก่อนจงเถิงจะเดินออกมาช้าๆ พร้อมกับรอยยิ้ม “ข้าขอท้าเป็นคนที่สองเอง”


พูดจบก็ไปปรากฏตัวต่อหน้าศิลาพลังยุทธ์ เขาตั้งสมาธิ จากนั้นแสงก็พุ่งพรวดออกมาจากร่าง ก่อนที่ร่างของเขาจะกลายเป็นกระเรียนขนาดหลายพันจั้งเมื่อแสงระเบิดออกมา


จงเถิงถึงกับนำร่างเทพอสูรออกมาเลย!


กระเรียนยืนไว้สง่าบนท้องฟ้า ปีกสีทองจางเต็มไปด้วยศักดิ์ศรีและอำนาจ


กีด!


เสียงร้องอันไพเราะดังก้องไปทั่วฟ้าดิน อึดใจกระเรียนทองคำก็กดกรงเล็บลง ซึ่งเหมือนว่ากำลังแทงทะลุผ่านมิติและสามารถแยกภูเขาผ่ามหาสมุทรได้


ตู้ม!


กรงเล็บขนาดใหญ่ที่ถูกปกคลุมด้วยเกล็ดสีทองปะทะกับแผ่นศิลาสีดำอย่างหนักหน่วง ใต้กรงเล็บแผ่นหินดูเล็กจ้อยนัก ทว่าถึงจะถูกจะเป็นวัตถุขนาดเล็กก็ยืนหยัดอยู่ในจัตุรัสนี้ได้ แม้กระทั่งกระเรียนขนาดมหึมาก็ไม่สามารถขยับมันสักนิด


ทว่าพลังมหาศาลยังคงแผ่มาจากกรงเล็บ ถูกส่งไปยังศิลาพลังยุทธ์


ฟู่! ฟู่!


ทันใดนั้นตะเกียงทองแดงแต่ละดวงก็ลุกโชนขึ้นอย่างรวดเร็ว


ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจตะเกียงทองแดงดวงที่ห้าก็สว่างขึ้น ชัดว่าทั้งเร็วและดุร้ายยิ่งกว่าสีคุนเมื่อครู่เสียอีก


หลังจากตะเกียงดวงที่ห้าส่องสว่าง ประกายไฟก็ปรากฏขึ้นในดวงที่หก สุดท้ายประกายไฟรวมตัวกันในที่สุดภายใต้การจ้องมองของทั้งสามคน ตะเกียงก็สว่างขึ้นอย่างสมบูรณ์


ตะเกียงทองแดงดวงที่หกส่องสว่างแล้ว!


เมื่อตะเกียงทองแดงดวงที่หกโชนแสง เสียงโกลาหลก็ระเบิดขึ้นจากด้านนอกเจดีย์ เหล่าจอมยุทธ์ต่างร้องอุทานด้วยความอัศจรรย์ใจ จงเถิงเป็นอัจฉริยะตัวจริง เขาสามารถทำในสิ่งที่สีคุนทำไม่ได้


ภายใต้เสียงอื้ออึง สีหน้าของพวกหลิ่วชิงก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ในที่สุดพวกเขาก็ฟื้นพลังใจขึ้นมาได้หลังจากที่ถูกมู่เฉินกระทืบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนจมดิน


“ชายคนนั้นน่าเกรงขามจริงๆ” ในจัตุรัสโบราณมู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า แม้ว่าจงเถิงจะน่ารังเกียจ แต่ก็ต้องยอมรับความแข็งแกร่งของเขา


มั่วเฟิงพยักหน้ายอมรับความแข็งแกร่งของจงเถิงเช่นกัน


ฮึ่ม!


ขณะที่พวกเขาพูดแผ่นศิลาสีดำก็สั่นไหว รัศมีปั่นป่วนหลั่งไหลออกไป พุ่งเข้าหากระเรียนตัวมหึมา


กระเรียนซึมซับแก่นเทพอสูรกลืนฟ้าเข้าสู่ร่างกาย ทันใดนั้นแสงสีทองก็ระเบิดออกจากร่าง สีทองคำบนปีกเข้มข้นขึ้น


ขณะที่แสงสีทองไหลเวียน กระเรียนยักษ์ก็หดตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ปรากฏตัวบนจัตุรัสอีกครั้ง


จงเถิงเอามือไพล่หลังมีรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า ขณะมองมั่วเฟิงและมู่เฉินก็ยกยิ้มบาง “ตอนนี้ถึงตาพวกเจ้าแล้ว”


แม้ว่าคำพูดจะดูราบเรียบ แต่ความภาคภูมิใจที่ซ่อนอยู่ภายในก็ไม่สามารถปกปิดได้


มั่วเฟิงปราดมองก่อนที่จะเดินออกไปโดยไม่ตอบอะไร


เขายืนอยู่เบื้องหน้าแผ่นศิลาไม่ได้มีปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เพียงแค่ซัดฝ่ามือออกไปแบบเรียบง่าย แต่เมื่อซัดออกไปนิ้วมือของมั่วเฟิงก็กลายเป็นขนหงส์ฟ้าสีทองที่คมชัดเป็นพิเศษ สามารถมองเห็นได้เลือนรางราวกับถุงมือขนหงส์ฟ้าอย่างไรอย่างนั้น


ในฝ่ามือนั้นเสียงหงส์ฟ้าดังก้องออกมา


ตึง!


ฝ่ามือกระแทกกับแผ่นศิลาอย่างหนักหน่วง เกิดการกระเพื่อมก่อนที่ตะเกียงทองแดงจะลุกโชนทีละดวง…ละดวง


ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจตะเกียงก็สว่างขึ้นห้าดวงแล้ว


หลังจากนั้นประกายไฟก็ปรากฏขึ้นในตะเกียงทองแดงดวงที่หกก่อนที่จะลุกโชติช่วง


จงเถิงขมวดคิ้ว แม้เขาจะรู้ว่ามั่วเฟิงเป็นคนที่น่าเกรงขาม แต่ก็ไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะทำให้ตะเกียงทองแดงหกดวงส่องสว่างขึ้นอย่างง่ายดาย ความสำเร็จของมั่วเฟิงอยู่ในระดับเดียวกับเขา


แต่ขณะที่ความคิดนั้นแวบเข้ามาในใจ ดวงตาจงเถิงก็หดลงเมื่อเห็นว่าหลังจากที่ตะเกียงดวงที่หกส่องสว่างขึ้นก็ยังไม่หยุด ประกายไฟแล่นเข้าไปในตะเกียงดวงที่เจ็ด ทว่าภาพนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะหายไป


ทว่าภาพนี้ชัดว่าน่าตื่นตายิ่งกว่าจงเถิงก่อนหน้าซะอีก!


มั่วเฟิงมีคุณสมบัติที่จะจุดตะเกียงดวงที่เจ็ดได้!


บทที่ 1006 ตะเกียงเจ็ดดวง

ประกายแสงบนตะเกียงดวงที่เจ็ดจางลงบนแผ่นศิลา


ภาพนี้บอกได้ว่านี่คือล้มเหลว แต่มั่วเฟิงก็ยังคงรักษาสีหน้าสงบนิ่งไม่เสื่อมคลาย ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรกับผลลัพธ์ เขาค่อยๆ ถอนมือกลับขนหงส์ฟ้าสีทองที่แขนก็จางหายไป


กระบวนท่าฝ่ามือเมื่อครู่ดูไม่หนักหน่วง แต่เขารู้ว่านี่เป็นการโจมตีชั้นยอดของตนแล้ว


ที่ด้านหลังใบหน้าของจงเถิงบิดเบี้ยวเมื่อเฝ้ามองฉากนี้ ก่อนหน้าตอนเขาเผชิญหน้ากับมั่วเฟิงดูเหมือนแต่ละฝ่ายจะไม่สามารถทำอะไรกันได้ ไม่คิดว่าในแง่ของความแข็งแกร่งพลังกายเขาจะแพ้อีกฝ่ายอยู่เล็กน้อย


แม้นั่นไม่ได้หมายความว่าพลังการต่อสู้ของมั่วเฟิงแข็งแกร่งกว่า แต่จงเถิงก็รู้สึกไม่ดี สำหรับคนที่ภูมิใจในตัวเองแบบเขา


“ฮ่าๆ ฝีมือของพี่มั่วน่าเกรงขามจริงๆ แต่ตอนที่เจ้าออกกระบวนท่าเมื่อครู่ มีเสียงร้องของหงส์ฟ้าด้วย ดูเหมือนพี่มั่วจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเผ่าหงส์ฟ้าสินะ?” ดวงตาของหานซันกะพริบเบาบางพลางยิ้ม


มั่วเฟิงไม่ตอบกลับและไม่สนใจ เขาจ้องมองที่แผ่นศิลาสีดำเบื้องหน้าพร้อมกับแสงแล่นแปลบปลาบในดวงตา


ฮึ่ม!


ภายใต้การจ้องมองของมั่วเฟิง แผ่นศิลาก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว พื้นผิวสั่นไหวจากนั้นรัศมีปั่นป่วนก็พุ่งออกมา เมื่อเทียบกับที่จงเถิงได้รับเห็นชัดว่านี่เข้มข้นกว่า


มั่วเฟิงจ้องมองรัศมีจากนั้นก็ดูดเข้าไปในปากกลืนกินแก่นพลังในอึกเดียว ทันใดนั้นดวงตาเขาก็เปล่งแสงสีแดงเข้ม มิหนำซ้ำยังมีเปลวไฟลุกขึ้นบนชั้นผิวร่างกายด้วย คลื่นพลังงานเล็ดลอดออกมา


ความปั่นป่วนในร่างมั่วเฟิงกินเวลาหลายนาทีก่อนที่เขาจะลืมตา เมื่อเขาลืมตาความกดดันแผ่วเบาก็แผ่ออกจากร่างกาย เห็นได้ชัดว่าหลังจากดูดซับแก่นเทพอสูรกลืนฟ้าแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก


เมื่อภาวะการณ์ในร่างกายสงบลง มั่วเฟิงก็ถอยออกจากเบื้องหน้าศิลาพลังยุทธ์ ตอนนี้เหลือหานซันกับมู่เฉินที่ยังไม่ลงมือแล้ว


มู่เฉินมองไปที่หานซัน อีกฝ่ายก็ยิ้มด้วยตายิบหยี “หลังจากดูมาสามรอบ ข้าคันมือไปหมดแล้ว ขอข้าก่อนเลยนะ?”


มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้ปฏิเสธอะไรอีกฝ่าย


เมื่อหานซันเห็นคำตอบก็ก้าวออกไป ไม่ว่าจะเป็นสายตาภายในหรือภายนอกเจดีย์ก็พุ่งตรงมาที่เขาในเวลานี้


จากบางมุมมอง หานซันน่าจะอยู่ในอันดับต้นของสิบจอมยุทธ์อัจฉริยะที่เข้าสู่เจดีย์ ความสามารถในการต่อสู้ของเขาเป็นสิ่งที่แม้แต่คนที่มีความภาคภูมิใจอย่างจงเถิงยังต้องยอมรับ ในแง่ของพลังกายในฐานะสมาชิกเผ่าแรดอสูร เขามีข้อได้เปรียบมากมาย


แน่นอนว่าความแข็งแกร่งทางกายภาพเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพลังในการต่อสู้ ดังนั้นในศึกมรณะที่แท้จริงเราไม่อาจได้รับชัยชนะโดยอาศัยพลังนี้เพียงลำพัง


อัจฉริยะอย่างพวกจงเถิงน่าจะมีวิธีพิเศษเพื่อชดเชยช่องว่างของพลังกาย


ภายใต้สายตาของทุกคนที่จ้องมองมา ร่างของหานซันก็ยืนอยู่เบื้องหน้าศิลาพลังยุทธ์ เขายืนด้วยท่าสองมือไพล่หลัง เงยหน้ามองไปที่แผ่นศิลา ท่วงท่าสบายๆ พร้อมกับมีแรงกดดันที่น่าอัศจรรย์กระจายออกไปจากร่างเขา


ยามนี้เขาราวกับแรดปีศาจยุคดึกดำบรรพ์ที่พุ่งทะลุผ่านชั้นฟ้าและชั้นดิน ราวกับว่าสามารถทำลายภูเขาที่ขวางทางออกจนหมดได้


หานซันปิดตาลง ร่างค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเลือดในร่างกายของเขากำลังเริ่มเดือดพล่าน ก่อนที่เลือดและรัศมีจะซึมออกมา ก่อตัวเป็นแรดสีแดงโลหิตขนาดใหญ่หลายสิบจั้งที่เบื้องหลัง


แรดยืนตระหง่านบนพื้นดิน เขาแรดสีแดงเลือดโง้งอยู่บนหน้าผาก ขณะที่เขาขยับเบาๆ ก็ตัดผ่านมิติ แสดงให้เห็นว่าเฉียบคมแค่ไหน


แรดตัวใหญ่ยืนเงียบๆ อยู่ข้างหลังหานซัน เท้าหน้าตะกุยดินอย่างช้าๆ เตรียมพร้อมพุ่งชน แม้ว่าจะไม่ได้ทำให้เกิดเสียงดังใดๆ แต่ทุกคนก็รู้สึกได้ว่ารัศมีของแรดตัวใหญ่นี้กำลังพลุ่งพล่าน


ริ้วแสงสีโลหิตรอบตัวหานซันค่อยๆ หนาแน่นขึ้นจนถึงขีดสุด


ทันใดนั้นดวงตาเขาก็เปิดกว้าง สีนัยน์ตาทั้งสองเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน อึดใจต่อมาเขาก็ก้าวออกไปพร้อมสองนิ้วประสานกันแทงไปที่แผ่นศิลาสีดำ


ที่ด้านหลังแรดโลหิตก็พุ่งออกมาทะลุผ่านร่างหานซัน มันลดหัวโดยให้เขาหลอมรวมกับนิ้วมือของหานซันอย่างสมบูรณ์แบบ


ดัชนีนี้แฝงด้วยแรดอสูรที่มีพลังทำลายโลก เขานี้สามารถแทงทะลุเกราะป้องกันใดๆ ได้


ตึง!


ดัชนีของหานซันทะลุผ่านมิติแทงลงไปรุนแรงบนแผ่นศิลาภายใต้สายตาที่จ้องมองมานับไม่ถ้วน แรงกระทบทำให้นิ้วทั้งสองเกิดรอยฉีกขาดขึ้นทันควัน ทั่วทั้งเรียวนิ้วอาบด้วยเลือด


ทว่าพื้นผิวของแผ่นศิลาก็เพียงสั่นไหวเล็กน้อย ระลอกคลื่นที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายอยู่บนพื้นผิวนั่น


การเคลื่อนไหวนี้น่าตื่นตายิ่งกว่าสามครั้งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าซะอีก!


สายตาของผู้คนจับจ้องอยู่บนแผ่นศิลา ระลอกคลื่นกระจายออกไป หลังจากนั้นประกายไฟพร่างพราวก็พวยพุ่งบนตะเกียงทองแดงเหล่านั้นทันที!


ฟู่! ฟู่!


เพียงชั่วลมหายใจ ตะเกียงทองแดงห้าดวงก็ส่องสว่าง จากนั้นตะเกียงดวงที่หกก็สว่างพรึ่บหลังจากชะงักไปครู่เดียว เปลวไฟสีแดงเลือดปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงดังปุ


เมื่อตะเกียงดวงที่หกส่องสว่าง สายตาของมู่เฉินและคนอื่นก็เลื่อนไปที่ตะเกียงดวงที่เจ็ดในเวลาเดียวกัน เนื่องจากพวกเขารับรู้ได้ว่าพลังของหานซันยังไม่หมด


ภายใต้สายตาของพวกเขาประกายไฟแล่นเข้าไปในตะเกียงดวงที่เจ็ด จากนั้นก็รวมตัวกันช้าๆ


ถึงแม้ว่าความเร็วในการรวบรวมจะช้ามาก แต่ก็เสถียรมากกว่าของมั่วเฟิง


ชี่! ชี่!


เมื่อประกายไฟเพิ่มขึ้นถึงระดับหนึ่งก็กระจายออก กลายเป็นเปลวไฟลุกโชติช่วง ทำให้ตะเกียงทองแดงดวงที่เจ็ดถูกจุดอย่างสมบูรณ์


ตะเกียงดวงที่เจ็ดสว่างขึ้นแล้ว!


โห่ๆๆๆ!


ความโกลาหลสะท้อนอยู่นอกเจดีย์ ทุกคนต่างแสดงความประหลาดใจและชื่นชมบนใบหน้า หานซันเป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในเผ่าแรดอสูรแท้จริง เขาปราบจงเถิงและมั่วเฟิงได้อย่างราบคาบ


“หานซันน่ากลัวจริงๆ” แม้แต่จิ่วโยวก็พยักหน้าเบาๆ แม้ว่าแผ่นศิลานี้จะวัดแค่ความแข็งแกร่งทางกายภาพเพียงอย่างเดียว แต่นางก็เข้าใจว่าความแข็งแกร่งโดยรวมของหานซันไม่ได้อ่อนแอแม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด


“ตะเกียงดวงที่เจ็ดสว่างแล้ว”


มั่วหลิงก็อดชื่นชมไม่ได้ ถึงพี่ชายนางจะสามารถจุดไฟในตะเกียงดวงที่เจ็ดได้ แต่ก็ไม่ถึงระดับที่จะทำให้ส่องสว่าง เห็นได้ชัดว่าหานซันเหนือกว่ามั่วเฟิงในแง่ของความแข็งแกร่งทางกายภาพ


“ตอนนี้เหลือพี่ใหญ่มู่เฉินคนเดียว ไม่รู้ว่าความสำเร็จของเขาจะไปถึงระดับไหน?” มั่วหลิงมีท่าทางอยากรู้อยากเห็น


จิ่วโยวส่ายหัว ขนาดตัวนางก็ยังไม่เข้าใจถึงความแข็งแกร่งทางกายภาพของมู่เฉินดีเลย นางรู้แค่ว่ามู่เฉินไม่เคยทิ้งการฝึกฝนบนเส้นทางพลังกาย ตั้งแต่กายาเทพสายฟ้าในอดีตจนมาถึงกายามังกรหงส์ในปัจจุบัน ทั้งสองวิชาล้วนเป็นทักษะการขัดเกลาพลังกายที่ล้ำลึก มิหนำซ้ำมู่เฉินยังประสบความสำเร็จสูงทั้งสองวิชาอีกด้วย


ดังนั้นแม้ว่ามู่เฉินจะไม่ใช่เทพอสูร พลังกายของเขาก็เปรียบได้กับเทพอสูรยิ่งใหญ่และอาจแข็งแกร่งกว่าด้วย


“ด้วยความแข็งแกร่งไม่น่าจะยากสำหรับเขาที่จะผ่านการทดสอบชั้นสี่… แต่จะเทียบเคียงกับหานซันได้ไหมก็ต้องรอดูเอาแล้ว” จิ่วโยวกล่าวเสียงขรึม ศักยภาพของหานซันยอดเยี่ยมมากแม้แต่ในข้อมูลที่นางรู้ ดังนั้นนางจึงไม่มั่นใจว่ามู่เฉินจะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้หรือไม่


ขณะที่ความโกลาหลดังกึกก้องอยู่นอกเจดีย์


แรดโลหิตด้านหลังหานซันก็จางหายไปอย่างช้าๆ เขาค่อยๆ ถอนนิ้วกลับมา บาดแผลที่นิ้วก็หายไปอย่างรวดเร็วเมื่อสั่นไหวเบาๆ


เขามองตะเกียงเจ็ดดวงที่สว่าง เขาก็ยิ้มเห็นได้ชัดว่าไม่แปลกใจกับความจริงนี้


ฮึ่ม! ฮึ่ม!


ศิลาพลังยุทธ์เริ่มสั่น อักขระโลหิตจางๆ ปรากฏขึ้นบนพื้นผิว รัศมีปั่นป่วนกวาดออกมา แต่คราวนี้รัศมีนี่กลับถูกผสมกับริ้วสีแดงเข้ม


“นั่นมัน…” มู่เฉินจ้องที่แก่นเทพอสอูรดกลืนฟ้าที่แตกต่างไปจากครั้งก่อนๆ อย่างสิ้นเชิง แสงก็วูบไหวในดวงตา


“นี่คือรัศมีเลือดที่บรรจุอยู่ในเลือดเนื้อของเทพอสูรกลืนฟ้า ซึ่งบริสุทธิ์กว่าแก่นธรรมดา… เฉพาะผู้ที่มีผลงานโดดเด่นเท่านั้นที่จะได้รับ” มั่วเฟิงกล่าวเสียงเรียบ


ไม่ไกลสายตาของจงเถิงก็เต็มไปด้วยความโลภ ขณะที่จ้องมองรัศมีนั่น


มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นรางวัลสำหรับการทำให้ตะเกียงดวงที่เจ็ดสว่างไสว


ที่เบื้องหน้าแผ่นศิลา หานซันสูดหายใจเข้าลึก รัศมีสีแดงเข้มถูกดูดซับเข้าไป จากนั้นร่างกายของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด แรดอสูรที่หายไปก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันขยายตัวอย่างรวดเร็วและรัศมีดุดันก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ


ฮา


การเปลี่ยนแปลงของแรดนี้กินเวลานานก่อนที่จะจางหาย ร่างกายของหานซันกลับมาเป็นปกติ เขาก้มลงมองฝ่ามือก็ยิ้มบางก่อนจะหันหลังกลับ


เห็นได้ชัดว่าเขาพอใจมากกับการเก็บเกี่ยวครั้งนี้


เมื่อหานซันเดินถอยออกมา สายตาของจงเถิงและมั่วเฟิงก็จ้องไปที่มู่เฉิน


ขณะเดียวกันสายตาอยากรู้มากมายจากนอกเจดีย์ก็มุ่งเน้นไปที่มู่เฉินด้วยเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าทุกคนต่างก็อยากรู้ว่าม้ามืดคนนี้จะไปได้ถึงระดับไหนในการทดสอบนี้


ม้ามืดจะถูกตีกลับสภาพเดิมหรือจะพุ่งก้าวหน้าไปอีก?


เกี่ยวกับเรื่องนี้ทุกคนเต็มไปด้วยความคาดหวังและความอยากรู้อยากเห็น


ภายใต้สายตาทุกคู่ มู่เฉินก็ค่อยๆ ก้าวย่างไปหาศิลาพลังยุทธ์


บทที่ 1007 กระบวนท่าของมู่เฉิน

เบื้องหน้าศิลาพลังยุทธ์


มู่เฉินที่ยืนนิ่งเงียบสายตาก็กวาดมองรอยมือนับไม่ถ้วนบนแผ่นศิลา เขาเหมือนจะสัมผัสได้ถึงจอมยุทธ์มากมายที่มายืนอยู่ตรงหน้าสถานที่แห่งนี้เพื่อรวบรวมความแข็งแกร่งของพลังกายแล้วซัดกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดออกไป


ว่ากันว่าในสมัยโบราณเคยมีจอมยุทธ์ที่ทำให้ตะเกียงทองแดงทั้งเก้าดวงส่องสว่าง นี่ทำเอามู่เฉินอึ้งไป แน่นอนว่าเขาก็รู้ว่าผู้ที่จะจุดตะเกียงได้เก้าดวงมีขุมพลังเหนือชั้นกว่าพวกเขาแน่นอน มากจนมีความเป็นไปได้ที่จะอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นแปดหรือขั้นเก้า


ยิ่งเมื่อบวกกับความสามารถในการชำระกายของดินแดนเสินโซ่ในยุคโบราณ ซึ่งทำให้จอมยุทธ์ ณ ที่แห่งนี้ล้วนมีพลังกายแข็งแกร่ง ดังนั้นมู่เฉินไม่สงสัยเลยว่าพวกเขาจุดตะเกียงทั้งเก้าดวงได้


นอกจากนี้หลังจากดินแดนเสินโซ่แตกเป็นเสี่ยง ทำให้จำนวนจอมยุทธ์อัจฉริยะที่สามารถจุดไฟทั้งเก้าดวงในเจดีย์ก็มีลดน้อยลงมาก


คนเหล่านั้นล้วนเป็นตัวประหลาดสุดขั้วในรุ่นนั้นๆ แม้แต่อัจฉริยะของเผ่าอื่นๆ ก็ยังหม่นหมองเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขา


สำหรับการจุดไฟตะเกียงทั้งเก้าดวงนั้น มู่เฉินรู้ดีว่ายากลำบากมากแค่ไหน กระทั่งคนที่ทรงพลังอย่างหานซันก็แทบจะไม่สามารถทำให้ตะเกียงดวงที่เจ็ดส่องสว่างด้วยความแข็งแกร่งทั้งหมดที่มี ซึ่งนี่ยังมีช่องว่างกว้างใหญ่ก่อนจะไปถึงตะเกียงดวงที่เก้า


ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่สามารถประเมินได้ว่าตนเองจะไปได้ไกลแค่ไหน แต่ไม่ว่าอย่างไรครั้งนี้เขาก็ต้องทุ่มให้สุดแรงเกิด!


เพื่อให้บรรลุขั้นสองของกายามังกรหงส์ได้ในเจดีย์ฝึกพลังกายนี้!


ฮา!


มู่เฉินสงบใจลงแล้วหายใจลึกๆ หมัดเขากำแน่นภายใต้สายตาที่จ้องมองมา


แสงสีทองบางจางเริ่มแผ่ซ่านจากร่างมู่เฉิน แช่ตัวเขาด้วยทองคำ ราวกับว่าเขาถูกสร้างขึ้นมาจากทองคำแท้ เมื่อเวลาผ่านไปก็ยิ่งหนาแน่นขึ้นประหนึ่งว่าเขาเป็นรูปปั้นทองคำโบราณ


การเร้าวิชากายามังกรหงส์ค่อยๆ ดึงความแข็งแกร่งทั้งหมดในร่างกายออกมา ครั้งนี้เขาจะผลักดันวิชานี้ให้ถึงขีดสุดไปเลย!


ไม่ไกลนัก จงเถิง หานซันและมั่วเฟิงก็มองดูมู่เฉิน ก่อนที่ดวงตาจะหรี่ลง นั่นเป็นเพราะพวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกหนักแน่นมั่นคงที่มาจากมู่เฉิน


มู่เฉินให้ความรู้สึกราวกับว่าเป็นเหมือนภูเขาสูงตระหง่านที่ยืนค้ำระหว่างสวรรค์และโลก


เมื่อเขาค่อยๆ เร้าวิชากายามังกรหงส์ไปจนถึงขีดสุด ลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบนแขนของมู่เฉินก็บิดตัวไปมา จากนั้นเสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าก็ดังสะท้อนออกมาจากร่างกายของเขา สั่นสะเทือนทั่วสรรพางค์กาย ทำให้ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นทบทวีคูณ


เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าเร่งเร้ามากขึ้น ร่างกายของมู่เฉินก็สั่นเทิ้มเมื่อเกิดการเดือดพล่าน โดยเฉพาะลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงบนแขนของเขาก็เดือดปุดราวกับว่าทำจากเหล็กร้อน


ดวงตาของมู่เฉินเปล่งประกายด้วยแสงสีทองมากขึ้น การหายใจหนักหน่วง นั่นเป็นเพราะพลังงานในร่างกายเขาได้ควบรวมไปถึงระดับที่น่ากลัว แข็งแกร่งกว่าตอนที่เขาทำให้ลู่สุยบาดเจ็บเสียอีก!


แววตาของอีกสามคนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด เมื่อพวกเขาจ้องมองร่างเงาที่กำจายแสงสีทองสว่างอย่างต่อเนื่อง แสงสีทองนั้นไม่ใช่คลื่นหลิง แต่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามู่เฉินเร้ากระแสโลหิตและรัศมีของตัวเขาไปถึงขีดสุด ทว่าที่ทำให้พวกเขาอึ้งไปเพราะความจริงที่ริ้วแสงที่เปล่งจากมู่เฉินแปลกประหลาดอย่างมาก ดูเหมือนจะมีแรงกดดันที่ทำให้พวกเขารู้สึกถูกคุกคามด้วย


“ไม่คิดว่าระดับจื้อจุนขั้นหกจะรวมพลังได้น่าสะพรึงเช่นนี้…” สายตาคมกริบของหานซันจ้องมองไปที่มู่เฉิน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ประเมินมู่เฉินต่ำไป แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายจะโดดเด่นเช่นนี้ เขามีลางสังหรณ์ว่ากระบวนท่าของมู่เฉิน อาจเหนือกว่าจงเถิง มั่วเฟิงและอาจรวมถึง…เขาด้วย!


มนุษย์คนนี้ไม่ธรรมดา


ยามนี้มู่เฉินไม่สามารถสัมผัสแววตาเคร่งเครียดของพวกเขาได้แล้ว เมื่อเลือดในร่างกายต้มเดือด เขาก็พบว่าความวุ่นวายภายนอกถูกปิดกั้น ราวกับว่าเขาเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ในโลกนี้


สภาวะนี้ทำให้พลังงานในร่างกายของมู่เฉินไปถึงจุดสูงสุด


แสงสีทองมากมายพรั่งพรูออกมาจากดวงตาของมู่เฉิน พลังงานในร่างกายก็มาถึงจุดสูงสุดอย่างสมบูรณ์ มากเกินจนกระทั่งเขารู้สึกเจ็บปวดทั้งกระดูกและเลือดเนื้อ


นี่เป็นการแสดงว่าถึงขีดสุดแล้ว


ในเมื่อมาถึงขีดสุดแล้ว ก็ถึงเวลาออกกระบวนท่าได้!


ใบหน้าของมู่เฉินไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ ราวกับว่าปล่อยว่างเปล่าทุกอย่าง เขากำหมัดขวาแน่น จากนั้นก็เหวี่ยงออกไป


ทันทีที่มู่เฉินเหวี่ยงหมัด ลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็บิดตัวทะยานเข้ามาสถิตที่แขนขวาของเขา ก่อนที่แสงสีทองจะกระจายออกมา มังกรทองคำและกรงเล็บหงส์ฟ้าเหยียดออกห่อหุ้มกำปั้นของเขาไว้


โฮก!


จังหวะที่หมัดเหวี่ยงออกไป เสียงคำรามเฉียบคมก็ไม่สามารถปิดกั้นไว้ได้ด้วยร่างกายของมู่เฉิน คลื่นเสียงกระเพื่อมออกไปสะท้อนก้องไปทั่วจัตุรัสโบราณ


เวลานี้ร่างกายของหานซัน มั่วเฟิงและจงเถิงก็แข็งทื่อ พวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันน่าสะพรึงกลัวกระจายออกจากร่างของมู่เฉินอย่างรุนแรง


แรงกดดันนี้ทำให้กระทั่งสายเลือดยังถึงกับสั่นไหว


นี่เป็นการสยบสายเลือด!


การสยบนี้ทำให้ทั้งสามรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เนื่องจากสายเลือดของพวกเขาอยู่ในระดับสูง ซึ่งถือเป็นอันดับต้นๆ ในโลกสัตว์อสูร แต่ตอนนี้สายเลือดของพวกเขากลับถูกระงับโดยพลังที่มาจากมู่เฉินหรือ?


ซึ่งนั่นเป็นไปได้สำหรับสายเลือดของมหาเทพอสูรเท่านั้น!


ขณะที่ทั้งสามคนตกตะลึง หมัดทองคำของมู่เฉินซึ่งผสานไว้ด้วยมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็ซัดออกมาแหวกกระแสลม สุดท้ายกระแทกเข้ากับแผ่นศิลาสีดำด้วยคลื่นพลังทองคำ


ตู้ม!


ทันทีที่เกิดการปะทะ ทั้งสามก็รู้สึกได้ว่าจัตุรัสโบราณสั่นไหว มากจนแม้กระทั่งแผ่นศิลาที่มีความทนทานสูงก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย


ทั้งสามคนจ้องเขม็งจุดปะทะระหว่างหมัดและแผ่นศิลา จากนั้นม่านตาก็หดตัว


ระลอกคลื่นทองคำกระจายออกจากจุดนั้น กำปั้นของมู่เฉินก็ฉีกขาดเลือดสดพุ่งเป็นสาย เหมือนจะสามารถมองเห็นกระดูกสีขาวได้เลือนราง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหมัดของเขาทรงพลังเพียงใด จนถึงจุดที่แม้แต่พลังกายของเขาก็ไม่สามารถทนรับคลื่นกระแทก ทำให้กำปั้นเกิดการฉีกขาด


ทว่าต่อให้เลือดไหลนองจากกำปั้น กระดูกสีขาวโผล่ออกมาให้เห็น มู่เฉินก็ไม่มีความคิดที่จะถอนหมัดกลับมา ตรงกันข้ามเขากลับคำราม พลังทั้งหมดในร่างกายพุ่งออกจากหมัดรุนแรงทุกหยาดหยด


ระลอกคลื่นทองคำกระเพื่อมบนหมัดมู่เฉิน กวาดไปทั่วพื้นผิวของศิลาพลังยุทธ์


ใต้เท้ามู่เฉิน พื้นหินโบราณก็เกิดรอยแตกขึ้นอย่างเงียบๆ


ฮึ่ม! ฮึ่ม!


ภายใต้ผลกระทบที่น่าสยดสยองทั้งสามคนก็เห็นเปลวไฟลุกโชนบนตะเกียงทองแดงอย่างต่อเนื่อง


ดวงที่หนึ่ง ดวงที่สอง… ดวงอื่นๆ ถูกจุดขึ้นอย่างรวดเร็ว!


อึดใจเดียวตะเกียงทองแดงหกดวงก็สว่างไสว!


เมื่อตะเกียงดวงที่หกลุกโชน ประกายไฟก็รวมตัวกันอย่างรวดเร็วบนดวงที่เจ็ด ก่อนที่จะพวยพุ่งโชติช่วงภายใต้สายตาที่มองมาอย่างตื่นตกใจนับไม่ถ้วน


“ตะเกียงดวงที่เจ็ดสว่างขึ้นแล้ว!” ด้านนอกเจดีย์เสียงอุทานด้วยความอัศจรรย์ใจดังก้อง ทุกคนฉายความไม่เชื่อบนใบหน้า นั่นเป็นเพราะมู่เฉินทำให้ตะเกียงดวงที่เจ็ดสว่างไสวเร็วยิ่งกว่าหานซันเสียอีก!


ใบหน้าของหานซันเปลี่ยนไป จากนั้นก็จ้องเขม็งที่ตะเกียงดวงที่แปด แม้ว่าจะยังดับสนิทดำมืด แต่เขาก็รู้สึกได้คลุมเครือว่าพลังของมู่เฉินยังไม่หมด


ภายใต้สายตาจับจ้องของหานซัน ความมืดในตะเกียงดวงที่แปดคงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่ประกายไฟจะลุกพรึ่บ…


มั่วเฟิงและจงเถิงที่เห็นประกายไฟก็สูดหายใจเข้าลึกสุดปอด พลังของมู่เฉินทำให้เกิดประกายไฟปรากฏในตะเกียงดวงที่แปดได้ด้วย!


นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่หานซันก็ทำไม่ได้!


แหมะ!


เลือดหยดลงมาจากกำปั้นของมู่เฉินอย่างต่อเนื่อง เผยให้กระดูกสีขาวเลือนราง ทว่าเขาก็ยังไม่ขยับเขยื้อน คลื่นสีทองยังคงผันผวนออกมาจากกำปั้นทองคำพุ่งเข้าใส่แผ่นหินสีดำอย่างบ้าคลั่ง


ชี่! ชี่!


ในตะเกียงดวงที่แปดประกายไฟที่อ่อนแอเริ่มแรกก็เพิ่มขึ้น ประกายที่สอง… ประกายที่สาม …


ประกายแสงค่อยๆ ปรากฏขึ้น ท่ามกลางดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นของทั้งสามคน จนสุดท้ายเมื่อประกายแสงรวมจนถึงขีดสุดก็ปะทุเปลวไฟลุกโชนขึ้น


ตะเกียงดวงที่แปดสว่างขึ้นแล้ว!


ใบหน้าของทั้งสามแข็งทื่อไป พวกเขาตะลึงพรึงเพริดเมื่อมองตะเกียงดวงที่แปดซึ่งถูกจุดขึ้น ก่อนที่จะมองไปที่ร่างอ่อนเยาว์ราวกับก้อนหินเบื้องหน้าแผ่นศิลาด้วยความตกใจในใจจนพูดอะไรไม่ออก


ใครจะไปคิดได้ว่ามู่เฉินจะสามารถจุดตะเกียงทองแดงดวงที่แปดได้!


พลังที่มีอยู่ในหมัดนั้นน่ากลัวเพียงใด!


แม้แต่พวกเขาก็คงต้องใช้กำลังทั้งหมดเพื่อเผชิญหน้ากับพลังนั้นใช่ไหม?


ด้านนอกของเจดีย์เงียบกริบ เมื่อตะเกียงทองแดงดวงที่แปดสว่างขึ้น…


ทว่าขณะที่พวกเขาตกตะลึงจนพูดไม่ออก ดวงตามู่เฉินที่มีริ้วสีทองพล่านอยู่ก็ยังจับจ้องไปที่ศิลาพลังยุทธ์ ความเจ็บปวดที่มาจากกำปั้นถูกมองข้าม สมองเขารู้สึกว่างเปล่าหลังจากใช้พลังแบบนี้ออกไป


แต่ไม่รู้ว่าทำไมสัญชาตญาณของเขาบอกว่านี่ยังไม่จบ!


เขารู้สึกเลือนรางว่ายังสามารถควบคุมพลังที่ซัดใส่แผ่นศิลาราวกับว่าเป็นพลังงานลับที่ซ่อนอยู่


ถ้าพลังงานนั้นระเบิดออกก็จะทำให้เกิดพลังทำลายล้างที่น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม


ไม่แน่อาจสามารถทำให้จุดตะเกียงดวงที่เก้าได้ด้วย!


แสงสีทองพวยพุ่งออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง จากนั้นเขาไม่ลังเลอีกต่อไปกดกำปั้นลงบนแผ่นศิลา เสียงแหบพร่าเค้นออกมาจากลำคอ


“ระเบิด!”


บทที่ 1008 จุดไฟตะเกียงทั้งเก้า

“ระเบิด!”


เมื่อเสียงแหบพร่าสะท้อนจากลำคอของมู่เฉิน แสงสีทองพร่างพราวก็ระเบิดตูมตามจากศิลาพลังยุทธ์ แต่ลำแสงไม่ได้เบ่งบานจากพื้นผิวของแผ่นศิลา กลับปะทุขึ้นจากภายในส่วนลึก…


ทุกสรรพสิ่งไม่ว่าภายนอกพื้นผิวจะแข็งแกร่งเพียงใด ภายในมักจะอ่อนแอกว่าเสมอ ซึ่งแผ่นศิลาสีดำที่อยู่ต่อหน้าเขาก็เป็นเช่นกัน


ดังนั้นเมื่อแสงสีทองระเบิด แผ่นศิลาก็สะท้านไหว แรงสั่นสะเทือนไปไกลเกินกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา


ไม่ไกลนักหานซัน มั่วเฟิงและจงเถิงก็รู้สึกสมองว่างเปล่าเมื่อเห็นแผ่นศิลาสะเทือนรุนแรง นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้สึกถึงการระเบิดเฉียบพลันจากภายในแผ่นศิลาเช่นกัน


จากประสบการณ์ พวกเขารู้ดีว่าพลังงานต้องถูกทิ้งไว้ในแผ่นศิลาจากหมัดมู่เฉินก่อนหน้า ซึ่งถูกดูดซึมเข้าสู่ศิลาพลังยุทธ์


ทว่าพวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมพลังที่แผ่นศิลาดูดซับจึงยังเกิดการระเบิดได้โดยมู่เฉิน


เพราะตามสถานการณ์ปกติ ทุกแรงที่ซัดใส่แผ่นศิลาจะดูดซับ เนื่องจากแผ่นศิลานี้ทำมาจากเลือดเนื้อของเทพอสูรกลืนฟ้า ดังนั้นแผ่นศิลาจึงมีความสามารถในการย่อยอาหารที่น่ากลัว ตราบใดที่ไม่ได้เป็นพลังงานเหนือชั้นกว่าก็จะถูกกลืนกินจนหมดจดในพริบตา


แต่…ทำไมครั้งนี้พลังของมู่เฉินถึงไม่ถูกกลืนกิน กลับถูกควบคุมให้ระเบิดแทน?


ตึง!


ขณะที่ในใจพวกเขาว่างเปล่าไปหมด ตะเกียงทองแดงดวงสุดท้ายก็สั่นไหว ทันใดนั้นดวงตาทั้งสามคู่ก็เพ่งมองไป สายตาจ้องเขม็งที่ตะเกียงดวงที่เก้า เนื่องจากในตอนนี้มีสะเก็ดไฟปรากฏขึ้นในตะเกียงที่มืดมิด


แม้ว่าสะเก็ดไฟเหล่านั้นจะเล็กจ้อย แต่ก็เป็นของจริง ซึ่งหมายความว่ามู่เฉินกำลังพยายามจุดตะเกียงดวงที่เก้า!


นอกจากนี้ดูเหมือนเขาจะมีโอกาสประสบความสำเร็จด้วย!


แต่…เป็นไปได้ยังไง?!


จงเถิงใบหน้าบิดเบี้ยวไปเลยทีเดียว ตัวเขาทำได้เพียงแค่จุดตะเกียงหกดวงด้วยกำลังทั้งหมดที่มี แม้แต่คนที่ทรงพลังอย่างหานซันก็ทำได้แค่เจ็ดดวงเท่านั้น


แต่ตอนนี้มู่เฉินกลับสามารถทำให้ตะเกียงดวงที่แปดลุกโชติช่วงและยังส่งสัญญาณว่ากำลังจะจุดตะเกียงดวงที่เก้าอีกด้วย!


จุดไฟตะเกียงทั้งเก้า!


แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไอเย็นยะเยือกก็พรั่งพรูในหัวใจของจงเถิง มีอัจฉริยะมากมายเข้ามาในดินแดนเสินโซ่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่เขารู้ว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถจุดตะเกียงทั้งเก้าดวงในเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณและพวกเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นสัตว์ประหลาดที่มีอนาคตไม่ธรรมดา


แต่ตอนนี้มนุษย์ที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกกำลังจะประสบความสำเร็จในเรื่องนี้เรอะ?


เป็นไปไม่ได้!


จงเถิงกัดฟัน ขณะที่ไฟริษยาพวยพุ่งในหัวใจ เขาพอยอมรับได้ว่าหานซันดีกว่าเขาเล็กน้อย แต่เขาไม่มีวันยอมรับมนุษย์ที่ต่ำต้อยจะเอาชนะเขาได้ มิเช่นนั้นแล้วเขาในฐานะอัจฉริยะเผ่ากระเรียนฟ้าจะเป็นอะไร? ตัวตลกเรอะ?


จงเถิงจ้องเขม็งไปที่ตะเกียงดวงที่เก้า ความเย็นชาในดวงตาพวยพุ่งราวกับต้องการจะดับประกายไฟในตะเกียง


และภายใต้การจ้องมองของจงเถิง ประกายไฟในตะเกียงดวงที่เก้าก็เหมือนจะหม่นแสงลงราวกับว่ากำลังจะอันตรธานหายไป


เมื่อมั่วเฟิงเห็นภาพนี้ดวงตาก็หดลง ดูเหมือนว่าพลังงานของมู่เฉินจะหมดลงแล้วสินะ? หากเป็นแบบนี้มู่เฉินจะไม่สามารถจุดไฟดวงที่เก้าได้


ทว่าขณะที่ความคิดนี้ไหลเวียนในใจของมั่วเฟิง หมัดของมู่เฉินซึ่งเชื่อมต่อกับแผ่นศิลาก็สั่นไหว เนื้อบนกำปั้นฉีกขาดออกจากกัน เผยให้เห็นกระดูกสีขาวน่าขนลุกขณะที่เลือดสดไหลนอง


กระดูกสีขาวถูกเปิดออก ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นดุดัน เขาคำรามลั่น “ลุกโชนซะ!”


ครืน! ครืน!


ภายใต้เสียงคำราม พลังงานทั้งหมดที่เขาส่งเข้าไปในแผ่นศิลาตอนแรกก็ระเบิดรุนแรง เสียงกัมปนาทดังกึกก้องต่อเนื่อง พร้อมกับการระเบิดครั้งใหญ่ อีกสามคนที่ยืนอยู่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นประกายไฟบนตะเกียงดวงที่เก้าซึ่งกำลังหรุบหรู่ลงกลับมาสว่างสดใสทันตา มิหนำซ้ำยังกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายก็โชนแสงอย่างสมบูรณ์ในตะเกียงดวงที่เก้า


ไฟในตะเกียงดวงที่เก้าจุดติดแล้ว!


เมื่อตะเกียงดวงที่เก้าสว่างขึ้นสถานการณ์ทั้งในและนอกเจดีย์ก็นิ่งงัน…


หานซัน มั่วเฟิงและจงเถิงจ้องเขม็งที่ตะเกียงทองแดงดวงที่เก้าด้วยใบหน้าตะลึงพรึงเพริด กระทั่งมั่วเฟิงก็ยากที่จะสงบคงใบหน้านิ่งเรียบไว้ได้


ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะจุดไฟตะเกียงดวงที่เก้าได้จริงๆ


ขณะนี้ด้านนอกของเจดีย์นิ่งเงียบ ทุกคนอ้าปากตาค้างด้วยความตกใจฉายบนใบหน้า ขณะที่มองหน้าจอแสงชั้นสี่ สายตาทุกคู่จ้องเขม็งบนตะเกียงทองแดงดวงที่เก้า


ใบหน้าของหลิ่วชิงและจอมยุทธ์เผ่ากระเรียนฟ้าฉายความว่างเปล่า ไฟในตะเกียงดวงที่เก้าเต้นระริกในม่านตาของพวกเขา ความรู้สึกเย็นยะเยือกไม่รู้จบพล่านในใจ


จงเถิงที่สามารถจุดตะเกียงได้หกดวงเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในหมู่คนรุ่นใหม่ของเผ่ากระเรียนฟ้า แต่เทียบกับมู่เฉินที่จุดตะเกียงทั้งเก้าดวงได้ เขานับเป็นอะไรได้อีก?


ตะเกียงหกดวงและเก้าดวง


กระทั่งคนอย่างพวกเขาที่ไม่ได้เข้าไปในเจดีย์ยังรู้ถึงความหมายของช่องว่างนี้ แม้ว่าแผ่นศิลาจะแสดงถึงความแข็งแกร่งของพลังกายเท่านั้น แต่พวกเขาก็ไม่สงสัยเลยว่าหมัดของมู่เฉินเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดก็จะได้รับบาดเจ็บหนักทันที


ด้วยพลังของระดับจื้อจุนขั้นหกสามารถทำร้ายขั้นเจ็ดได้ด้วยหมัดเดียว


นี่เป็นสัตว์ประหลาดอะไรกัน?


ใบหน้าของจงฮั้วซีดเผือด หากก่อนหน้าที่เขาต่อสู้กับมู่เฉิน แล้วอีกฝ่ายใช้หมัดแบบนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ตายก็คงเลี้ยงไม่โตแน่นอน…


เมื่อคิดถึงอาการเยาะเย้ยที่มีก่อนหน้า พวกเขาก็รู้สึกหายใจไม่ออก เมื่อตะเกียงทองแดงทั้งเก้าดวงสว่างสุกสกราว พวกเขาก็รู้ว่าอัจฉริยะทั้งหมดที่นี่จะหม่นหมองเมื่อเทียบกับมู่เฉิน


“ชายคนนี้…ทำไมถึงน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้…”


ใบหน้าของหลิ่วชิงซีดเผือดขณะที่พูดออกมาด้วยความยากลำบาก ในเวลานี้ไม่ว่านางจะวาจาคมกริบขนาดไหน นางก็ไม่กล้าเยาะเย้ยเขาอีกแล้ว พลังที่อีกฝ่ายแสดงทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวจากใจ


ชายคนนี้น่ากลัวเกินไป


จอมยุทธ์เผ่ากระเรียนฟ้าที่ยืนอยู่ข้างๆ นางก็พูดไม่ออก พวกเขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามู่เฉินปล่อยพลังน่ากลัวเพียงนี้ได้อย่างไรด้วยขุมพลังระดับจื้อจุนขั้นหก


“พี่ใหญ่มู่เฉินน่าเกรงขามแท้จริง… สุดยอดยิ่งกว่าพี่ใหญ่มากเลย” ขณะที่คนอื่นๆ รู้สึกหวาดกลัวในใจมั่วหลิงก็เบิกตากลมโตกว้าง ดวงตามองตะเกียงทองแดงทั้งเก้าดวงบนหน้าจอภาพด้วยความตะลึงและชื่นชม


ความเคารพนับถือฉายบนใบหน้า นางคิดเสมอว่ามั่วเฟิงโดดเด่นที่สุดในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ แต่เมื่อเทียบกับมู่เฉินแม้แต่มั่วเฟิงก็ด้อยกว่าบ้าง


จิ่วโยวก็สติหลุดไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะค่อยๆ หายจากอาการตะลึงงัน เมื่อนางได้ยินคำพูดของมั่วหลิงก็อดยิ้มไม่ได้ “ขายพี่ชายตัวเองเร็วไปไหม? มู่เฉินต้องใช้ทักษะบางอย่างเพื่อทำให้ตะเกียงทั้งเก้าดวงลุกโชน นอกจากนี้นี่แค่ในแง่ของความแข็งแกร่งทางพลังกาย ไม่ได้แปลว่ามู่เฉินทรงพลังกว่าหานซัน มั่วเฟิงและคนอื่นๆ เพราะสำหรับพวกเขาแล้วความแข็งแกร่งของร่างกายมีสัดส่วนไม่ถึงครึ่งในพลังทั้งหมด”


มั่วหลิงพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดนั่น แต่ความเคารพบนใบหน้าไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นเพราะภาพเงาที่ปรากฏบนหน้าจอยังคงท่าการออกหมัดที่คมชัด ทำให้ไม่อาจละสายตาไปได้


จิ่วโยวยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม นางค่อยๆ ผ่อนคลายหัวใจที่เกลียวแน่นขณะที่มองร่างเงาสูงโปร่งบนหน้าจอก่อนที่ความภาคภูมิใจจะพล่านขึ้นในใจ ผู้อาวุโสในเผ่ามักจะมองมู่เฉินด้วยความดูถูก แต่เมื่อไรที่ได้รู้เกี่ยวกับศักยภาพของมู่เฉินที่แสดงภายในเจดีย์ พวกเขาคงต้องพิจารณาความคิดของตนเองใหม่แล้วสินะ?


ตะเกียงทั้งเก้าดวงสว่างไสวเบื้องหน้าแผ่นศิลา


เปลวไฟเต้นระริกอยู่ในดวงตาของมู่เฉินก็ค่อยๆ สลายสภาพจิตใจว่างเปล่าลง ดังนั้นการสัมผัสต่อโลกภายนอกจึงกลับมาอีกครั้ง อึดใจความเจ็บปวดรุนแรงที่มาจากมือก็ทำเอาใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว


เขาค่อยๆ ถอนกำปั้น แสงสีทองก็เริ่มพวยพุ่ง แต่เนื่องจากเขาใช้พลังงานทั้งหมดไป ดังนั้นกล้ามเนื้อจึงให้ความรู้สึกไม่มีแรง เขาพบว่าไม่มีแรงแม้แต่ขยับเท้า


นี่เป็นสัญญาณของการหมดพลังงานอย่างสมบูรณ์


มุมปากมู่เฉินกระตุกอย่างยากลำบาก ตอนนี้ทำได้เพียงยืนนิ่งอยู่หน้าศิลา พยายามไม่ให้ล้มครืนลงในสภาพที่น่าสมเพช…


ฮึ่ม! ฮึ่ม!


ขณะที่มู่เฉินรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าในร่างกาย ความปั่นป่วนก็ก่อตัวจากแผ่นศิลา รอยแตกสีแดงเลือดปรากฏบนพื้นผิวราวกับเส้นรยางค์


แผ่นศิลาสั่นไหว รัศมียุ่งเหยิงสีแดงสดก็ไหลออกมา


รัศมียุ่งเหยิงนี้ผสมด้วยแก่นหนาแน่นสูงมาก ในเวลาเดียวกันก็มีแก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้าบรรจุอยู่ภายใน เพียงแค่มู่เฉินสูดลมหายใจเอารัศมีเข้าไป กำปั้นอาบเลือดก็หายดีในพริบตา


เลือดเนื้อในร่างกายพลุ่งพล่านในเวลานี้ ราวกับว่ากำลังคำรามด้วยความกระหายอยากจะกลืนกินรัศมีนี่!


ดวงตามู่เฉินสว่างวาบ รัศมียุ่งเหยิงนี่มีความหนาแน่นมากกว่าของหานซัน มั่วเฟิงและจงเถิงหลายสิบเท่าเลยทีเดียว!


รางวัลสำหรับการจุดตะเกียงทั้งเก้าดวงเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนอื่นมัวเมา


มู่เฉินเปรมปรีดิ์ในใจและไม่ลังเลอีกต่อไป เขาเปิดปากดูดซับรัศมีสีแดงสดที่ไหลออกมาจากแผ่นศิลเข้าสู่ร่างกายทันที


ขณะที่มู่เฉินดูดซับรัศมีนี้ ดวงตาของจงเถิงก็เปล่งประกายด้วยแสงเย็น เขาบอกได้ว่ามู่เฉินไม่มีแรงเหลือในตอนนี้แล้ว เขาสามารถฆ่าอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายด้วยการสะบัดนิ้วครั้งเดียว!


แค่คิดได้จงเถิงก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เท้าก้าวออกไปทันที


เขาต้องแย่งรัศมีสุดยอดนั่นมาให้ได้!


บทที่ 1009 ลอบโจมตี

ตึง!


พื้นดินสั่นสะเทือน ร่างเงาของจงเถิงก็ทะยานออกมาราวกับลูกศรออกจากแล่ง พุ่งตรงไปที่มู่เฉินซึ่งอยู่เบื้องหน้าศิลาพลังยุทธ์ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพรั่งพรู จิตสังหารก็พวยพุ่ง


การเคลื่อนไหวฉับพลันของจงเถิง ทำให้เกิดความโกลาหลนับไม่ถ้วนกระจายที่ด้านนอกเจดีย์ ใบหน้าของจิ่วโยวและมั่วหลิงเปลี่ยนไปทันที แม้ว่าพวกนางจะไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั่นก็ยังบอกได้ว่ามู่เฉินหมดแรงแล้ว ตอนนี้เขาคงอยู่ในสภาพอ่อนแอที่สุดที่เคยเป็นมา


หากจงเถิงต้องการฆ่ามู่เฉินในตอนนี้ เขาก็คือภัยคุกคามชิ้นใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย


“จงเถิง!”


จิ่วโยวกัดฟันกรอดขณะที่ไอเย็นยะเยือกพล่านอยู่ในดวงตาราวกับจะตกผลึก


แต่ถึงแม้จะโกรธ จิ่วโยวก็ไม่ได้ตื่นตระหนกเกินไป นั่นเป็นเพราะมู่เฉินไม่ได้อยู่คนเดียวในชั้นสี่ ในฐานะสหาย แม้ว่ามั่วเฟิงจะมีนิสัยเย็นชา แต่เขาก็ไม่มีทางปล่อยให้จงเถิงทำอันตรายมู่เฉินได้แน่


ตามที่จิ่วโยวคาดไว้ เมื่อจงเถิงขยับ ดวงตาของมั่วเฟิงก็มืดครึ้มลง พริบตาก็มาปรากฏตัวต่อหน้าจงเถิง คลื่นหลิงทรงพลังระเบิดออกมา ขณะจ้องมองจงเถิงด้วยสายตาเย็นชา


“ถอยไป หากแกก้าวมาอีกก้าวเดียว อย่าโทษที่ทำให้ข้าต้องจัดการ!” เสียงของมั่วเฟิงเย็นชาลงหลายส่วน ดวงตาที่ราวกับใบมีดจ้องมองไปที่จงเถิง


ใบหน้าของจงเถิงมืดคล้ำพูดเสียงเย็นชาว่า “มั่วเฟิง มู่เฉินไม่ได้เป็นสมาชิกของเผ่าวิหคโลกันตร์ แต่เป็นเพียงมนุษย์ แกแน่ใจหรือที่ต้องการให้เป็นศัตรูกับเผ่ากระเรียนฟ้าเพราะมัน?”


เมื่อมั่วเฟิงได้ยินคำพูดนั่นก็เผยสีหน้าเยาะเย้ยไม่ตอบอะไร มีเพียงสายตาคมกริบจ้องมองจงเถิงนิ่ง บรรยากาศร้อนระอุทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าถ้าก้าวไปอีกก้าวเดียว มั่วเฟิงก็จะเคลื่อนไหวทันที


เมื่อจงเถิงเห็นว่ามั่วเฟิงไม่ปล่อยแน่ จิตสังหารก็พล่านในดวงตา ก่อนที่จะหันไปมองหานซันซึ่งกำลังมองจากด้านข้างอย่างเย็นชา “พี่หานซัน เจ้าควรเป็นอันดับหนึ่งในการทดสอบสมรรถภาพพลังกายนี้ แต่ตอนนี้มู่เฉินในฐานะมนุษย์กลับมาคว้าโอกาสที่เป็นของเทพอสูรอย่างเราไป เจ้ายอมได้เหรอ?”


เมื่อมั่วเฟิงได้ยินคำพูดของจงเถิงใบหน้าก็มืดครึ้มลง ถ้าเป็นจงเถิงคนเดียว เขายังสามารถขัดขวางได้ แต่ถ้าหานซันร่วมมือด้วยแล้วละก็ แม้แต่เขาก็ช่วยมู่เฉินไม่ไหว


พอหานซันได้ยินคำพูดของจงเถิงก็อึ้งไปก่อนจะหรี่ตาลงกล่าวอย่างไม่แยแส “นี่คือเรื่องบาดหมางระหว่างพวกเจ้า ทำไมต้องมาดึงข้าไปเกลือกกลั้วด้วย?”


“พี่หานไม่สนใจแก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้าที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมเหรอ? หากเจ้าสามารถดูดซับได้ เจ้าจะอยู่ยงคงกระพันในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด แม้ว่าจะปะทะกับอัจฉริยะของเผ่ามังกรและหงส์ฟ้า ก็ไม่ต้องกลัวพวกเขาอีกต่อไป” จงเถิงกล่าว


ดวงตาของหานซันเป็นประกายขึ้น เขามองไปที่แก่นโลหิตที่มู่เฉินดูดซับ ความโลภก็วูบไหวในดวงตา เขาบอกได้ชัดเจนว่าแก่นโลหิตที่มู่เฉินได้รับน่าตกใจเพียงใด


เหนือกว่าสิ่งที่เขาเคยได้รับมาก่อนมาก


ถ้าเขาสามารถดูดซับ สิ่งที่จงเถิงกล่าวว่าก็ไม่ผิด


เมื่อคิดเรื่องนี้ใบหน้าของหานซันก็เปลี่ยนไปอย่างควบคุมไม่ได้ ชัดว่าใจเขาหวั่นไหวเล็กน้อย เมื่อเห็นการตอบสนองนั่น หัวใจมั่วเฟิงก็อดดิ่งลงไม่ได้


ที่ด้านนอกเจดีย์ จิ่วโยวหดตามองหน้าจอแสง แม้ว่านางจะไม่ได้ยินเสียงใดๆ แต่จากท่าทางของจงเถิงและการตอบสนองของหานซันก็สามารถคาดเดาถึงสิ่งที่จงเถิงต้องการจะทำ ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็เย็นเยียบลง ไอเย็นกระจายออกไปจากร่างกาย ชัดว่าโกรธเคืองมาก


ถ้าหานซันเข้ามายุ่งเกี่ยวในตอนนี้ก็จะเป็นภัยคุกคามอย่างใหญ่หลวงต่อมู่เฉินแน่นอน


“จงเถิง แกสมควรตาย!”


จิ่วโยวกัดฟันกรอด ใบหน้าเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า


ยืนอยู่ด้านข้างใบหน้ามั่วหลิงก็ฉายความกังวล ยามนี้มู่เฉินไม่เหลือพลังต่อสู้เลย ถ้าอาศัยกำลังของพี่ใหญ่นางคนเดียว คงไม่สามารถสกัดการโจมตีร่วมของจงเถิงและหานซันได้


ขณะนี้จอมยุทธ์จากเผ่าอื่นๆ ก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในชั้นสี่ ทันใดนั้นความโกลาหลก็กวนตัว บางคนรู้สึกสงสารมู่เฉินในสถานการณ์นี้ หรือว่าม้ามืดจะถูกสังหารหลังจากแตะจุดสูงสุดทันที?


ไม่ไกลนักลู่ซุยที่เพิ่งฟื้นตัวได้จากการปกป้องของพรรคพวกก็ลืมตาขึ้นมองไปที่หน้าจอแสงพลางเย้ยหยัน ‘มู่เฉิน ข้าจะดูสิว่าแกจะรักษาความหยิ่งไปได้สักแค่ไหน!’


รางวัลทั้งหมดที่มู่เฉินต่อสู้ด้วยความขมขื่นในไม่ช้าจะกลายเป็นของผู้อื่น!


ด้านนอกเจดีย์สายตานับไม่ถ้วนที่เต็มไปด้วยความสุขในความทุกข์ของคนอื่นก็มองไปที่ภาพแสง


ภายใต้สายตาที่จับจ้อง ดวงตาหานซันก็วูบไหวไม่หยุด แต่ดูเหมือนจะยังไม่สามารถตัดสินใจได้


“พี่หาน เราจะลากเวลานานไม่ได้ ไม่งั้นจะไม่มีส่วนแบ่งแก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้าให้เจ้าแล้วนะ” เมื่อเห็นหานซันหวั่นไหวจากคำพูดของเขา แต่ยังไม่แสดงการคลื่อนไหว จงเถิงก็อดไม่ได้ที่จะกระตุ้นอีกครั้ง


หากปล่อยให้มู่เฉินฟื้นฟูและรวมพลังกับมั่วเฟิง ถึงตอนนั้นแม้จะมีหานซันมาช่วยเสริมก็ไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้แล้ว


พอได้ยินเสียงเร่งของจงเถิง หานซันก็ขมวดคิ้วมองไปที่มู่เฉินที่ยังคงยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าแผ่นศิลาอย่างเงียบๆ แก่นโลหิตบริสุทธิ์ห่อหุ้มร่างกายเขา ทำให้มีความลึกลับพล่านไปรอบตัว


หานซันมีประสบการณ์การสังหารนับไม่ถ้วนตลอดหลายปีที่ผ่านมาในการฝึกฝนหฤโหด ทำให้มีสัญชาตญาณฉับไว ครั้งนี้เขารู้สึกถึงรัศมีผิดแผกซึ่งมาจากมนุษย์หนุ่มคนนี้


นั่นคือความรู้สึกอันตรายที่กดเอาไว้จนสุด


ความรู้สึกนี้ทำให้เขาเข้าใจว่าถ้าตนเองเลือกที่จะจู่โจม เขาต้องจัดการมู่เฉินให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด มิฉะนั้นหากมู่เฉินหลบหนีไปได้ละก็ ชั่วชีวิตนี้เขาคงหาความสงบสุขไม่ได้


การคุกคามศัตรูที่อันตรายเช่นนี้เพื่อแก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้าจะคุ้มค่าไหม?


ดวงตาของหานซันสั่นไหวอย่างรวดเร็ว ทั้งจัตุรัสเงียบกริบ ทั้งจงเถิงและมั่วเฟิงหัวใจบีบรัดเพราะพวกเขารู้ว่าการตัดสินใจของหานซันจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ปัจจุบันทันที


ความเงียบกินเวลาไปสิบกว่าลมหายใจ จากนั้นหานซันก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ มองไปที่จงเถิงและมั่วเฟิงด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะส่ายหัว “แม้ว่าแก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้าจะหายากยิ่ง แต่ข้าหานซันไม่มีชะตาที่จะได้เพลิดเพลินกับสิ่งนี้ ดังนั้นข้าขอขอบคุณสำหรับข้อเสนอของเจ้า”


แม้ว่าความโลภจะกระตุ้นให้หานซันอยากได้แก่นโลหิตบริสุทธิ์นี้ แต่สุดท้ายสัญชาตญาณของเขาก็ชนะ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะไม่ทำอะไร


ใบหน้าของจงเถิงเขียวคล้ำลงทันที


พอมั่วเฟิงได้ยินคำพูดของหานซันก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก ใบหน้าที่เย็นชาเป็นนิจอ่อนโยนลงหลายส่วน เขาพยักหน้าให้หานซันเพื่อแสดงความขอบคุณ


“ในเมื่อพี่หานไม่สนใจสิ่งนี้ ข้าก็ขอถอยเช่นกัน พี่มั่วขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องขุ่นเคืองใจ” หลังจากที่ใบหน้าของจงเถิงเขียวคล้ำไปอยู่ชั่วครู่ เขาก็ถอยฉากออกไป


สัมผัสได้ว่าจงเถิงถอนรัศมี หัวใจของมั่วเฟิงก็ผ่อนคลายลง


ตู้ม!


ทว่าจังหวะที่มั่วเฟิงผ่อนคลาย จิตสังหารก็ระเบิดจากดวงตาของจงเถิง เขาโจนตัวออกมาทิ้งภาพมายาขึ้นมามากมาย


“จงเถิง แกกล้ามาก!”


ความโกรธวาบขึ้นในดวงตาของมั่วเฟิงพลางก้าวออกมา ร่างของเขากลายเป็นภาพซ้อนชกหมัดออกไป ทันใดนั้นหงส์ฟ้าก็แผดเสียงร้อง เปลวไฟสีแดงเพลิงกวาดออกมาพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขต ทำลายภาพมายาของจงเถิงด้วยหมัดเดียว


ทันทีที่ภาพมายาแตกออกก็บีบให้จงเถิงต้องปรากฏตัว เขาพลิกฝ่ามือตบกลับไป เกลียวแสงสีทองพวยพุ่งด้วยความคมชัด ราวกับใบมีดนับหมื่นแสนพุ่งออกมา ประหนึ่งต้องการฉีกสวรรค์และโลกออกจากกัน


ปัง!


หมัดและฝ่ามือซัดกันเต็มเหนี่ยว คลื่นหลิงกระจายออกไป ทำให้มิติเกิดความผันผวน ทั้งสองคนตัวกระตุก ก่อนที่ภาพมายาของจงเถิงจะถูกทำลายกระจายกลายเป็นแสงสีทอง


มั่วเฟิงที่เหวี่ยงหมัดเข้าใส่จงเถิงก็ต้องดวงตาหดเกร็ง เพราะเขาเห็นแสงสีทองเจาะผ่านมิติในลักษณะที่ผิดปกติ ทะลุผ่านมิติเบื้องหน้าเขาและไปปรากฏที่เบื้องหลัง


“วิทยายุทธระดับเสินซู่กระเรียนปีกทองคำ มิติเคลื่อน?!”


ใบหน้ามั่วเฟิงมืดครึ้มลง ขณะที่ชกหมัดออกไปอีกครั้งโดยไม่ลังเล คลื่นน่าสะพรึงกลัวจากพายุหมัด ทำให้เกิดรอยแตกในมิติ ซัดใส่แสงสีทองที่ด้านหลังทันที


ฟิ้ว!


ทว่าแสงสีทองไม่สนใจการโจมตีของมั่วเฟิง ริ้วแสงแหลมคมพุ่งทะลุผ่านมิติตรงไปยังมู่เฉิน


ประกายแสงคมกล้าที่ทะลุทะลวงก็คือขนนกสีทองเข้ม ดูราวกับกระบี่เทพที่มีรังสีครอบงำอยู่


นั่นคือขนนกจากมหาเทพอสูรกระเรียนปีกทองคำที่ผ่านการปรับแต่งจากเผ่ากระเรียนฟ้า ความคมกริบเทียบได้กับอาวุธพบสรรค์สวรรค์ขั้นยอดเยี่ยม แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนเจ็ดทั่วไปก็จะถูกแทงทะลุ


เจตนาของจงเถิงชัดเจนมาก แม้ว่าเขาจะต้องเสี่ยงได้รับบาดเจ็บหนักจากการโจมตีของมั่วเฟิง เขาก็ต้องฆ่ามู่เฉินที่นี่ให้ได้


เมื่อขนนกทะลุมิติ ใบหน้าของมั่วเฟิงก็น่าเกลียดยิ่ง นั่นเป็นเพราะเขาสามารถสกัดจงเถิงไว้ได้ แต่ไม่สามารถหยุดขนนกที่บินเข้าไปหามู่เฉินได้แล้ว


ด้วยสภาพตอนนี้ของมู่เฉิน เขาอาจถูกฆ่าตายทันทีที่ขนนกสัมผัสตัว


ความผิดพลาดนี้ทำให้มั่วเฟิงเดือดดาลในใจ ความโกรธแค้นและเจตนาฆ่าพวยพุ่งในใจ ดูท่าไม่ว่าอย่างไรวันนี้เขาจะปล่อยจงเถิงไปไม่ได้แล้ว


ฮึ่ม!


แต่ไม่ว่าเขาจะโกรธแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางของขนนกได้ ดังนั้นแสงสีทองจึงปรากฏขึ้นด้านหลังมู่เฉิน ภายใต้ใบหน้าซีดเผือดของพรรคพวก ขนนกเล็งไปทางด้านหลังศีรษะหมายจะยิงทะลุเข้าไป


ม้ามืดคนนี้กำลังจะตายที่นี่เหรอ?


เมื่อมองฉากนี้ผู้คนก็ต้องถอนหายใจด้วยความสงสาร


รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจงเถิง ไม่ว่าแกจะมีพรสวรรค์แค่ไหน วันนี้ก็ต้องตายที่นี่!


ทว่ารอยยิ้มที่เพิ่งผุดออกมาก็ชะงักค้าง!


นั่นเป็นเพราะขณะที่ขนนกกำลังจะทะลุผ่านหัว มู่เฉินที่นิ่งมาตลอดก็ยื่นมือออกมาข้างหนึ่งคว้าขนนกไว้ ขณะที่แสงสีม่วงทองกะพริบบนมือ


ขนนกที่สามารถทะลุผ่านแนวป้องกันของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดได้ หยุดลงโดยมือเรียวบางของมู่เฉิน!


สีหน้าของจงเถิงค่อยๆ แข็งทื่อลง


เจ้าของมือก็เปิดตาที่วูบไหวด้วยแสงสีทองในเวลานี้ เขาค่อยๆ หันกลับมามองด้วยสายตาไม่แยแส


บทที่ 1010 ใช้เงินแก้ปัญหา

มือเรียวคว้าขนสีทองเข้มคมกริบไว้ราวกับหินผา


ไม่ว่าขนนกจะปลดปล่อยแสงสีทองแค่ไหนก็ไม่อาจหลุดเป็นอิสระได้


หลังจากจับขนนกเอาไว้ได้ ดวงตาของมู่เฉินที่ยังพร่างด้วยแสงสีทองบางเบาก็มองไปที่จงเถิงพลางพูดออกมาช้าๆ “ดูเหมือนพี่จงจะไร้ความปรานีแท้จริงเมื่อออกกระบวนท่านะ”


ใบหน้าของจงเถิงน่าเกลียดอย่างถึงที่สุด เขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะฟื้นพลังได้ในวินาทีสำคัญนี้ นอกจากนี้มันยังหยุดขนนกสีทองไว้ด้วยมือข้างเดียว ต้องรู้ว่าพลังอำนาจของขนนกนี้สามารถเทียบเคียงได้กับอาวุธพบสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมเลยทีเดียว ต่อให้เป็นจอมยุทธขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด ถ้าประมาทก็อาจถูกแทงทะลุร่างในพริบตา


นอกจากนี้จงเถิงยังมั่นใจว่าก่อนหน้านี้มู่เฉินไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เห็นได้ว่าพลังกายของมู่เฉินได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมากหลังจากดูดซับแก่นโลหิตบริสุทธิ์ของเทพอสูรกลืนฟ้า


ยามนี้เขารู้สึกถึงภัยคุกคามยิ่งใหญ่แผ่มาจากมู่เฉิน


“เป็นภัยคุกคามอย่างแท้จริง!”


จงเถิงรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งในหัวใจ ถ้าเขารู้ก่อนว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนที่ก้าวสู่ชั้นสามเขาต้องฆ่ามู่เฉินให้ได้แม้ว่าจะต้องจ่ายราคามหาศาล


แต่ไม่ว่าเขาจะเสียใจมากแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์สิ้นเชิงในขณะนี้ เผชิญหน้ากับสายตาคมกริบของมู่เฉิน จงเถิงก็ได้แต่ไม่แสดงสีหน้าอะไร ทว่าร่างกายตึงเครียดขึ้น เขาระมัดระวังมู่เฉินสุดกำลัง


ตอนนี้มู่เฉินมีคุณสมบัติที่จะทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวแล้ว


ดวงตาจงเถิงวูบไหว เขางอนิ้วพยายามดึงขนนกที่มู่เฉินจับได้คืนมา การมีขนนกในมือจะทำให้พละกำลังในต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้น ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันเป็นการดีที่สุดถ้าเขาสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้แม้แต่นิดเดียวก็ตาม


ทว่าการควบคุมของเขากลับไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ แม้ว่าขนนกในมือของมู่เฉินจะดิ้นขลุกขลักไปมาเพื่อให้หลุดพ้น แต่ก็ไม่สามารถได้รับอิสระ สุดท้ายกลับค่อยๆ อ่อนแรงลงเมื่อมู่เฉินเพิ่มแรงในมือ


“ในเมื่อให้แล้วทำไมจะเอากลับอีกล่ะ? พี่จงเป็นคนใจกว้างมาก งั้นข้าขอรับสิ่งนี้ไว้ละกัน” มู่เฉินยิ้มอ่อนให้จงเถิง จากนั้นคลื่นหลิงก็พวยพุ่งออกจากร่างกายอย่างรุนแรงเทลงบนขนนก เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจที่จะชำระเก็บเป็นของตนเอง


ตอนนี้เขาขาดอาวุธอยู่พอดีและขนนกก็มาทันเวลาที่จะใช้เป็นอาวุธ


เมื่อจงเถิงเห็นการกระทำของมู่เฉิน เขาก็โกรธจนแทบคลั่ง แต่อึดใจริ้วรอยเยาะเย้ยก็พลุ่งพล่านในดวงตา ขนนกสีทองนี้ได้รับการปรับแต่งจากขนกระเรียนปีกทองคำ รัศมีที่หลงเหลืออยู่ภายในเป็นของมหาเทพอสูรตัวจริง ถ้าไม่ใช่สมาชิกในเผ่ากระเรียนฟ้าก็จะถูกตอบโต้ด้วยรัศมีกระเรียนปีกทองคำแทน


มู่เฉินโอหังเกินไปแล้ว!


ภายใต้สายตาเย้ยหยันของจงเถิง คลื่นหลิงของมู่เฉินก็กำจายเข้าไปในขนนกสีทอง ทว่าทันใดนั้นร่างกายของเขาก็แข็งทื่อตามที่จงเถิงคาดการณ์ไว้ ขนสีทองดิ้นรนดุเดือด รัศมีเผด็จการยิ่งใหญ่พุ่งพรวดออกมาอย่างคลุมเครือ พยายามที่จะตอบโต้มู่เฉิน


“รัศมีกระเรียนปีกทองคำเรอะ?”


สัมผัสได้ถึงการตีโต้ สายตาของมู่เฉินก็ไม่ได้มีริ้วความตกใจเลย เขายิ้มบางอึดใจก็กำหมัดแน่น ลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงปรากฏขึ้นบนท่อนแขน รัศมีมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงเทลงในขนนกสีทอง ระงับรัศมีที่หลงเหลือของกระเรียนปีกทองคำอย่างสมบูรณ์


ในฐานะมหาเทพอสูรเหมือนกัน รัศมีที่เหลืออยู่ของกระเรียนปีกทองคำก็อ่อนด้อยกว่าการผสมผสานของลวดลายมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงที่สถิตในร่างมู่เฉิน


เมื่อเกิดการปราบปราม รัศมีขนนกสีทองก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว แสงสีทองหดกลับกลายเป็นกระบี่ยาวสีทองในมือของมู่เฉิน กระบี่นี้มีลักษณะแปลกมาก ขอบใบมีดเต็มไปด้วยฟันใบเลื่อย ดูราวกับเป็นขอบขนนก แสงสีทองไหลเวียนอย่างเลืองราง รัศมีคมชัดเปล่งออกมาจากมัน


“กระบี่ใช้ได้” มู่เฉินโบกกระบี่ยาวสีทอง เขาหรี่ตายิ้มร่า


รอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าจงเถิงอันตรธานหายไปตั้งแต่มู่เฉินจับด้ามกระบี่ได้ เขามองดูกระบี่ยาวที่เงียบสงบในมือของมู่เฉินอย่างว่างเปล่า ความไม่เชื่อกระจายเต็มใบหน้า


มู่เฉินระงับรัศมีกระเรียนปีกทองคำบนกระบี่ได้ง่ายๆ อย่างนี้เลยเหรอ?


นั่นคือมหาเทพอสูรนะ!


มู่เฉินเป็นมนุษย์จริงไหมเนี่ย?! หรือว่าเขามีสายเลือดมหาเทพอสูรผู้ยิ่งใหญ่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย?


ขณะที่สีหน้าจงเถิงว่างเปล่า สายตาเยาะเย้ยของมู่เฉินก็มองมาอีกครั้ง เขาวาดกระบี่ยาวสีทองในมือขึ้น “ดูเหมือนว่าถึงเวลาที่เราจะคิดบัญชีแล้ว”


แม้ว่าเขาจะมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่คำพูดกลับเคลือบไว้ด้วยเจตนาฆ่า


จงเถิงสร้างปัญหากับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามลอบกัดจนปลุกจิตสังหารของเขาขึ้นมา


เมื่อมู่เฉินพูดจบ มั่วเฟิงซึ่งอยู่ด้านหลังก็ก้าวออกมา ทั้งสองประกบจงเถิงเอาไว้ตรงกลาง รัศมีเฉียบคมของพวกเขาพลุ่งพล่านไปหมด ทำเอาใบหน้าของจงเถิงดูไม่ได้เลยทีเดียว


เมื่อมู่เฉินและมั่วเฟิงร่วมมือกัน เขาแทบไม่มีโอกาสชนะเลย


“ทั้งสองเราเข้ามาในเจดีย์ฝึกพลังกายเพื่อแสวงหาโอกาส ไม่จำเป็นที่จะต้องเสี่ยงชีวิตหรอกมั้ง? นอกจากนี้เรายังอยู่แค่ในชั้นสี่ ถ้าเราต่อสู้กันแบบศึกมรณะ ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับเช่นกัน ซึ่งข้าเชื่อว่านั่นคงเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีใครต้องการเห็นใช่ไหม?” ใบหน้าของจงเถิงเปลี่ยนไป ก่อนที่เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม


มู่เฉินยิ้มอ่อน “ข้าว่าถ้าแค่ต้องการบีบให้เจ้าออกจากเจดีย์ก็ไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไรมากนะ”


สายตาจงเถิงมืดครึ้มทันที ถ้าเขาถูกบีบให้ออกจากเจดีย์ เขาจะสูญเสียสิทธิ์ในการเข้าสู่ชั้นห้า ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นการสูญเสียยิ่งใหญ่สำหรับเขา


“แกต้องการอะไร!” จงเถิงกัดฟัน ยามนี้เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมอ่อนให้


“ที่จริงจะให้ข้าไม่เอาเรื่องที่เจ้าลอบฆ่าก่อนหน้าก็ได้ ง่ายมาก…ของเหลวจื้อจุนสักสามล้านหยด” มู่เฉินแบมือออกพร้อมกับรอยยิ้มฉายบนใบหน้า


ความตะลึงงันผุดขึ้นบนใบหน้าของจงเถิง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ทันตั้งตัวเลย พักใหญ่เมื่อเขาออกจากภวังค์ได้ก็ต้องกัดฟันกรอด “ของเหลวจื้อจุนสามล้านหยดหยด ทำไมแกไม่ปล้นข้าเลย!”


แม้ว่าเขาจะเป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะของเผ่า แต่ของเหลวจื้อจุนสามล้านหยดก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถจ่ายทั้งหมดคนเดียว


“งั้นก็ออกจากเจดีย์ไปซะ!”


ใบหน้ายิ้มแย้มของมู่เฉินตึงลงทันที เขาเค้นเสียงแบบไม่ไว้มารยาทใส่


“แก!”


จงเถิงรู้สึกโกรธจนปอดแทบระเบิด แสงเกรี้ยวกราดแวววับในดวงตา แต่สุดท้ายเขาก็ระงับอย่างจนใจ พลางขบฟันแน่น “ข้ามีแค่ล้านหยดหยดเท่านั้น”


“เอามา” มู่เฉินยื่นมือออกไป


ใบหน้าของจงเถิงสลับกันระหว่างสีเขียวกับสีขาว แต่สุดท้ายเขาทำได้เพียงโบกมือ เมื่อขวดสีทองบินออกไปเขาก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวในใจ ขวดทองคำกะพริบด้วยคลื่นหลิงแพรวพราวนัก


มู่เฉินรับมา เขากวาดสัมผัสก่อนที่จะพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและดวงตาที่หรี่ลง จงเถิงร่ำรวยอย่างแท้จริงขนาดถือครองของเหลวจำนวนมหาศาลแบบนี้ ของเหลวจื้อจุนล้านหยดเทียบเท่ากับรายได้ครึ่งปีของหอวิหคโลกันตร์เลยทีเดียว


มู่เฉินแยกของเหลวจื้อจุนเป็นสองส่วน จากนั้นก็โยนครึ่งหนึ่งให้กับมั่วเฟิงแล้วยิ้ม “ขอบใจมาก”


ถ้ามั่วเฟิงไม่ได้ช่วยเขาก่อนหน้านี้ เขาอาจได้รับบาดเจ็บเพราะจงเถิงไปแล้ว


มั่วเฟิงรับไว้โดยไม่พูดอะไร ไม่มีใครคิดว่าจะมีของเหลวจื้อจุนมากไปหรอก เนื่องจากสิ่งนี้จำเป็นในการเพาะบ่มขุมพลัง ดังนั้นยิ่งเยอะยิ่งดี


แต่ขณะที่รับไป มั่วเฟิงก็ส่งคลื่นเสียงถามด้วยความสงสัย “ปล่อยมันไปแบบนี้เหรอ?”


เขาเข้าใจนิสัยของมู่เฉิน ชายคนนี้ไม่ได้ดูเป็นมิตรเหมือนที่เห็นหรอก


“เราไม่สามารถฆ่าใครในเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณได้ หากเราบีบเขามากไป เจดีย์ก็จะส่งเขาออกไป… และเมื่อเขาออกไปได้ก็คงมีความคิดแก้แค้นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จนลงมือจัดการจิ่วโยวและมั่วหลิง หากเป็นเช่นนั้นเราก็จะต้องออกจากเจดีย์ไปด้วยเช่นกัน” มู่เฉินยิ้มบางตอบกลับ


“นั่นเป็นสถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องทุกข์แสนสาหัส ตอนนี้เราไม่จำเป็นต้องละทิ้งโอกาสในชั้นห้า สำหรับชายคนนั้นเราสามารถจัดการกับเขาได้หลังจากเรื่องทั้งหมดจบลงแล้ว… ส่วนของเหลวจื้อจุนล้านหยดก็แค่คิดว่าเป็นกำไร ถ้าเขายืนกรานที่จะไม่ให้ ข้าก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะยังไงเราก็ไม่สามารถละทิ้งโอกาสในชั้นห้าได้…”


เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ใบหน้าของมั่วเฟิงก็อดประหลาดอย่างช่วยไม่ได้ จงเถิงเป็นคนฉลาด แต่ไม่คิดว่าครั้งนี้จะถูกหลอกให้อับอายโดยมู่เฉิน


ขณะที่มู่เฉินกับมั่วเฟิงส่งคลื่นเสียงคุยกัน จงเถิงก็ดูเหมือนจะคิดอะไรได้ ทันใดนั้นคิ้วก็ขมวดเขาเข้าใจในที่สุด ใบหน้ามืดครึ้มส่งเสียงคำรามลั่น “แกหลอกข้า!”


เขาไม่ใช่คนโง่ ด้วยการกระทำก่อนหน้า หากเขาเป็นมู่เฉินก็ไม่มีทางปล่อยอีกฝ่ายไปแน่นอน แต่การที่มู่เฉินไม่ได้ทำเช่นนี้ ก็หมายความว่ามู่เฉินมีความกังวลเช่นกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่แค่คิดมากขึ้นก็จะสามารถคิดออกได้


“แกคิดได้เร็วดีนี่”


มู่เฉินหัวเราะชื่นชมด้วยดวงตาหยี


จงเถิงหัวร้อนฉ่ากับคำพูดของมู่เฉิน แต่โชคดีที่เขาระงับความโกรธไว้ได้ จากนั้นก็สาดประกายเกลียดชังพุ่งใส่มู่เฉิน ก่อนที่จะเดินออกไปพร้อมกับอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน


เมื่อมู่เฉินเห็นการตอบสนองนั่นก็ไม่ไปใส่ใจอะไร หลังจากเรื่องนี้จบค่อยมาจัดการกับชายคนนี้ ดังนั้นเขาจึงหันไปหาหานซันที่ยืนอยู่ด้านข้างประสานมือให้ “ข้าต้องขอบคุณพี่หานด้วย”


แม้ก่อนหน้าเขาจะดูดซับแก่นโลหิตเทพอสูรกลืนฟ้าอยู่ แต่ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงรู้สึกขอบคุณที่หานซันไม่ร่วมวงด้วย มิฉะนั้นถ้าหานซันเคลื่อนไหว สถานการณ์อาจแตกต่างไปจากตอนนี้


“ไม่เป็นไร…”


หานซันยิ้มและพยักหน้า “พี่มู่มีความสามารถอย่างแท้จริง”


ไม่ว่าจะเป็นมู่เฉินที่คว้ากระบี่ขนนกทองคำหรือบังคับให้จงเถิงส่งมอบของเหลวจื้อจุน ล้วนแสดงให้เห็นว่ามู่เฉินไม่ใช่ธรรมดา ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกดีใจ โชคดีที่ความโลภไม่ได้บังตาจนมืดบอด ไม่เช่นนั้นจะเป็นเรื่องปวดกะโหลกที่เป็นศัตรูกับคนแบบนี้


มู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเงยหน้าขึ้นมองศิลาพลังยุทธ์ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรประตูที่เต็มไปด้วยความรกร้างว่างเปล่าก็ปรากฏขึ้นด้านหลังแผ่นศิลา


เมื่อมองประตูแสง หัวใจที่สงบของมู่เฉินก็เต้นรัวอย่างไม่สามารถควบคุมได้


เขารู้ว่านี่เป็นเส้นทางสู่ชั้นสุดท้ายของเจดีย์

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)