Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 994-1001
GGS:บทที่ 994 ห้วงเวลาและอวกาศสำหรับนักรบ
สิ่งที่ทำให้เทาจง เจียงจือ ติงบิน และนักวิจัยคนอื่นๆตกตะลึงก็คือ ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์นี้ช่างน่าสะพรึงยิ่งนัก
ประสิทธิภาพที่ว่าไม่ใช่เพียงด้านเดียวแต่กล่าวได้ว่าในทุกด้านที่พวกเขาจะคิดออก ไม่ว่าอัตราการทดกำลัง ความเสถียรของเครื่องยนต์ ความทนทานต่อสิ่งแวดล้อม
แต่หากพูดถึงประสิทธิภาพที่ปกติใช้การวัดเครื่องยนต์จะแบ่งออกเป็นอัตราการหมุน กำลังขับ การสั่น เสียง แรงบิด กำลังที่เกิดขึ้น ฯลฯ
แต่เจ้าเครื่องยนต์นี้ก้าวล้ำกว่าเครื่องยนต์ใดๆในโลกที่พวกเขารู้จักในระดับที่น่าสะพรึ่งอย่างมาก ต่อให้นำไปเทียบกับเครื่องยนต์ของค่ายรถชั้นนำอย่างเมอร์ซิเดซเบนท์ เชฟโรเล็ต บีเอ็มดับบิว หรือต่อให้เป็นค่ายไหนๆก็ตามล้วนแล้วแต่เทียบไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
หากคิดว่าประสิทธิภาพที่สูงล้ำนี้เกิดจากขนาดของเครื่องยนต์ที่ใหญ่นี่ล่ะก็ถือว่าคิดผิดอย่างมาก
นั่นก็เพราะว่าเหตุผลที่เครื่องยนต์ของค่ายรถในปัจจุบันนี้มีขนาดเล็กนั้นเป็นเพราะว่าต้องการควบคุมค่าต่างๆให้อยู่ในเกณฑ์สมรรถนะที่สูง
หรือกล่าวอีกนับหนึ่งก็คือยิ่งเล็กยิ่งควบคุมง่าย ยิ่งใหญ่ยิ่งควบคุมยาก
“พระเจ้า เป็นไปได้ยังไง เครื่องยนต์นี้ใช้เทคโนโลยีอะไรในการสร้างขึ้นมากัน”
“นอกจากกำลังขับที่น่าสะพรึงแล้ว เจ้านี้แทบจะไม่มีเสียงเลยนะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความสั่นที่ไม่เกิดขึ้นเลย
เจ้านี่ยังประหยัดพลังงานแบบสุดๆ หากลองคิดถึงพลังงานที่เสียไปแต่เกิดกำลังขับที่มากมายมหาศาลแบบนี้ เครื่องยนต์นี้เรียกได้เลยว่าสมบูรณ์แบบแบบสุดๆ”
“ลองนึกดูสิว่าหากนำเจ้านี่ไปไว้ในรถยนต์ไฟฟ้าล่ะก็ ฉันว่าแค่วินาทีเดียวก็มีอัตราเร่งเกินหนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงอย่างแน่นอน”
“อย่าว่าแต่รถยนต์เลย ต่อให้รถบรรทุกคันยักษ์ฉันก็ว่าทำได้เหมือนกัน…ไม่สิ ฉันว่าเจ้านี้สามารถทำให้ขยับได้แม้แต่รถไฟได้เลยด้วยซ้ำ”
“ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือถ้าดูจากวิธีการป้อนพลังงานให้เครื่องยนต์นี้แล้ว ไม่ว่ามองยังไงก็ไม่มีทางเลยที่เจ้าเครื่องนี้จะเอาไว้ใช้ในการขับเคลื่อนยานพาหนะทั้งหลาย เจ้านี่มีไว้ใช้กับอะไรกันแน่เนี่ย”
ทั้งเจียงจือ เทาจง ติงบิน และนักวิจัยเองที่ได้ยินหนึ่งในพวกเขาพูดก็ตกใจไปกับคำพูดนี้เพราะมันคือความจริง จนในที่สุด พวกเขาก็ค่อยๆหันไปหาซูจิ้งทีละคนสองคนประหนึ่งดังจะได้รับคำตอบที่พวกเขาสงสัย
โดยปกตินั้นซูจิ้งจะไม่มีทางบอกความจริงอย่างแน่นอน แต่ในครั้งนี้ด้วยการที่เขายังไม่รู้ที่มาจึงทำได้เพียงแค่ให้เก็บความลับเอาไว้ก่อน
ตัวเขาเองก็ตกตะลึงและตื่นเต้นจนใจเต้นแรงไม่ต่างจากทุกคน เครื่องยนต์นี้ช่างทรงพลังจนน่าสะพรึงจริงๆ
ตอนแรกนั้นเขาเองก็คิดว่าเจ้านี่เป็นเครื่องยนต์สำหรับพาหนะทั่วไปเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าเจ้าเครื่องนี่จะสุดยอดขนาดนี้
นอกจากนี้เครื่องยนต์ยังใช้พลังไฟฟ้าซึ่งสามารถใช้ควบคู่ไปกับแผงพลังงานแสงอาทิตย์ของเขาได้ดีอย่างแน่นอน
โดยทั่วไปแล้วนั้นรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันนอกจากจะวิ่งได้ในระยะทางสั้นๆ อัตราการชาร์จไฟช้า แถมยังแรงม้าต่ำ
แต่หากว่าเขาสามารถพัฒนาเจ้านี่ควบคู่กับการใช้แผงพลังงานแสงอาทิตย์ของเขาแล้วจะก้าวข้ามขีดจำกัดทั้งหมดที่ว่ามาได้อย่างไม่ยากเย็น และเหนือล้ำกว่ารถยนต์ไฟฟ้าที่ดีที่สุดในปัจจุบันไปได้หลายเท่าตัว
อย่างไรก็ตาม หากฟังจากผลการตรวจสอบในเบื้องต้นแล้วเขาก็พอรับรู้ได้ว่าเครื่องยนต์นี้มีความซับซ้อนขั้นสุดจริงๆ แต่ต่อให้ต้องทุ่มเทในการวิจัยครั้งนี้ขนาดไหนเขาคิดว่ายังไงมันก็คุ้มค่าอยู่ดี
สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือพวกเขานั้นยังขาดนักวิจัยระดับหัวกะทิในด้านเครื่องยนต์กลไก ซูจิ้งจึงไม่ได้ขอให้นักวิจัยในสถาบันทดลองต่อแต่อย่างใด
เขานำเครื่องยนต์นี้กลับไปยังสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯของเขา และเริ่มดำเนินการจัดต้องพื้นที่วิจัยสำหรับเครื่องยนต์กลไกโดยเฉพาะในทันที แน่นอนว่าเขาได้ให้เฉิงหนานไปควานหัวกะทิด้านนี้มาโดยเฉพาะ
เมื่อเสร็จเรื่องทุกอย่างแล้ว ซูจิ้งได้กลับมายังบ้านแล้วก็ตรงดิ่งไปยังสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศในทันที เพราะก่อนที่จะออกไปนั้น เขาได้ให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมขยะฯกองกระดาษเอาไว้ และตอนนี้มันก็ได้ซ่อมแซมเสร็จไปประมาณครึ่งหนึ่งแล้ว
ซูจิ้งได้หยิบกระดาษที่ซ่อมแซมเสร็จขึ้นมาแล้วทำการหาร่องรอยว่าขยะห้วงเวลาฯกองนี้มาจากห้วงเวลาฯใดในทันที
ด้วยทักษะการอ่านระดับขีดสุดของซูจิ้ง ในทุกๆวินาที กระดาษถูกสับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ข้อมูลต่างๆหลั่งไหลเข้าหัวสมองของเขาอย่างต่อเนื่องและข้อมูลเหล่านั้นถูกนำมาปะติดปะต่อกันในทันที
ไม่ว่าจะเป็นคำว่าจักรวรรดิห้าดวงดาว จักรวรรดิฟอล ดาวขยะ ดาวทะเลคราม สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ ระบบเครือข่าย นักรบเกราะเบา สมาคมทหาร
จนในที่สุดแล้ว ก็ได้มีคำหนึ่งปรากฏขึ้นมาในจิตใต้สำนึกของเขา นั่นก็คือคำว่า “สุดยอดพ่อค้า” นั่นเองทำให้หัวสมองของเขาโลงโปร่งในทันที
ดวงตาของเขานั้นเปิดกว้าง แล้วก็ได้บ่นพึมพำออกมาว่า “พระเจ้า ขยะห้วงเวลาฯตำนานยอดทหารจ้าวนักรบ”
ห้วงเวลาฯตำนานยอดทหารจ้าวนักรบเป็นเรื่องราวของอนาคตอันแสนไกลที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้นก้าวล้ำกว่าในปัจจุบันอย่างเทียบไม่ได้
เป็นยุคที่อวกาศนั้นเปรียบได้ดั่งท้องถนนทั่วๆไป ที่นั่นผู้คนนั้นไม่ได้ใช้ประโยชน์จากดาวโลกเพียงเท่านั้น
พวกเขาได้แสวงหาทรัพยากรต่างๆจากดวงดาวที่มากมายหลายหลายแสนล้านชนิด แล้วส่งทรัพยากรต่างๆกลับมายังดาวแม่เพื่อใช้ในการพัฒนาและใช้ประโยชน์ต่างๆ
ที่นั่นมีทั้งยานอวกาศ ระบบโลกเสมือนจริงที่เปรียบได้ดั่งโลกอีกใบหนึ่ง อีกทั้งยังมีหุ่นยนต์ที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ที่เรียกว่าหุ่นเกราะเบาที่ผู้คนสามารถบังคับได้ราวกับเป็นตัวเองเพื่อใช้ในการต่อสู้
กลุ่มคนที่สามารถควบคุมหุ่นยนต์เหล่านี้ได้ดีจะถูกขนานนามว่านักรบ
นักรบผู้เชี่ยวชาญสามารถบังคับหุ่นยนต์เกราะเบาเหล่านี้ให้แสดงศักยภาพของพวกมันออกมาได้ราวกับเป็นหุ่นยนต์เกราะหนักได้อย่างง่ายดาย ง่ายดายขนาดที่ว่าสามารถฆ่าสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์อย่างกิ้งก่ายักษ์นั่น หรือทำได้แม้แต่ท่องไปในอวกาศโดยไม่ต้องพึ่งยานอวกาศได้เลย
ชิ้นส่วนหัวและแขนที่เขาเจอก่อนหน้านี้นั้น พวกมันก็สมควรจะเป็นชิ้นส่วนของหุ่นยนต์เกราะเบา โดยปกติแล้วพวกมันนั้นมีระบบซ่อมแซมตัวเองระดับสูงมาก หากไม่ใช่เพราะว่าพวกมันถูกสั่งให้ยกเลิกใช้ล่ะก็ไม่มีทางที่จะถูกนำมาทิ้งแบบนี้
สำหรับเจ้าหนูยักษ์ ซาลาแมนเดอร์แดงยักษ์ และกิ้งก่ายักษ์ตัวนั้น พวกมันล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์กลายพันธุ์ทั้งสิ้น
“ฉันจำได้ว่าหนูยักษ์นั่นเหมือนจะเรียกว่าเซนทอร์ ซาลาแมนเดอร์แดงยักษ์นั่นถูกเรียกว่าซาลาแมนเดอร์แดง ส่วนกิ้งก่ายักษ์นั่นน่าจะเรียกว่ากิ้งก่างูเหล็กนะพวกมันน่าจะมาจากดาวขยะลำดับที่สิบสอง”
มาถึงตอนนี้ อยู่ๆซูจิ้งก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเอกของเรื่องที่ชื่อเย่ชงเองก็เติบโตที่ดาวนี้เหมือนกัน
ห้วงเวลาฯตำนานยอดทหารจ้าวนักรบนั้นเป็นยุคที่อากาศยานนั้นก้าวล้ำเกินกว่ายุคปัจจุบันมากนัก
เป็นยุคที่มนุษย์นั้นมีชีวิตที่สะดวกสบายและปราศจากปัญหาเรื่องพลังงาน และปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมได้ถูกคลี่คลายด้วยการย้ายถิ่นฐานของมนุษย์
การค้นหาดาวดวงใหม่กลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญตั้งแต่มีการพัฒนาเทคโนโลยีทางอวกาศจนทำให้มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ส่วนใหญ่ของจักรวาลอย่างรวดเร็ว
แต่ด้วยการขยายตัวของประชากรนี้ก่อให้เกิดปํญหาหนึ่งขึ้นมาแทนนั่นก็คือขยะที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ด้วยการที่ค่าใช้จ่ายในการกำจัดและนำกลับมาใช้นั้นไม่คุ้มค่าเท่ากับการค้นหาแหล่งทรัพยาการแหล่งใหม่ๆ แถมหลายๆครั้งที่การนำกลับมาใช้ใหม่นี้เกิดปัญหาต่อสภาพแวดล้อมเกินกว่าที่จะยอมรับได้
ด้วยความที่มันไม่คุ้มค่านี้ พวกเขาจึงเลือกที่จะหาดาวที่เหมาะสมต่อการทิ้งขยะเหล่านี้ โดยดาวเหล่านี้จะถูกเรียกว่าดาวขยะ
ดาวขยะที่ถูกคัดเลือกอาจจะเป็นดาวที่ไม่สามารถพัฒนาอะไรได้เท่าที่ควร หรือไม่ก็เป็นดาวที่ถูกขุดทรัพยากรออกไปแล้วจนหมดสิ้นและไม่มีใครคิดจะมีชีวิตอยู่บนดาวนั้นอีกต่อไป ดาวเหล่านี้จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมต่อการเป็นที่ทิ้งขยะอย่างที่สุด
ดาวขยะลำดับที่สิบสองนี้เป็นหนึ่งในดาวที่กล่าวมาข้างต้น สภาพของดาวดวงนี้นั้นแต่เดิมแล้วเป็นดาวที่มีสภาพแวดล้อมที่สุดแสนจะเลวร้ายและยากเกินกว่าที่มนุษย์จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ กลับกัน ดาวดวงนี้กลับกลายเป็นสวรรค์สำหรับเหล่าสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งหลาย
เย่ชงนั้นเป็นชื่อของตัวเอกของห้วงเวลาฯนี้ ด้วยเหตุผลหลายๆอย่างทำให้เขานั้นเติบโตในดาวเคราะห์แห่งนี้ตั้งแต่ยังเป็นทารก
เขานั้นมีพ่ออยู่คนหนึ่ง ชายคนนี้เก็บเขามาได้จากกองขยะที่ถูกทิ้งลงมาไว้ที่นี่ เย่ช่งเติบโตมาด้วยการกินอาหารอินทรีย์เหลวแต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอแต่อย่างใด
มีอยู่หนหนึ่งที่เขาได้ลิ้มรสเนื้อของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์และนั่นได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นในฐานะนักล่าและนักฆ่าของเขา เขานั้นชื่นชอบในการกินเนื้อพวกมันอย่างมากและแน่นอนว่าเขานั้นรังเกียจอาหารเหลวอินทรีย์อย่างหมดหัวใจ
เขาหลงใหลเนื้อพวกมันมากจนมีอยู่หนหนึ่งที่ตอนเขาเป็นเด็ก เขาต้องประสบปัญหาอย่างที่สุดในชีวิตตอนนั้น นั่นก็คือการล่ากิ้งก่างูเหล็กและซาลาแมนเดอร์แดง
เขาพยายามทุกวิธีทางเพื่อที่จะล่าพวกมันแต่ก็ไม่สำหรับจนในทุกวันนั้นเขาทำได้เพียงเพ้อถึงรสสัมผัสที่น่าจะเอร็ดอร่อยของสิ่งมีชีวิตทั้งสองนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
มาวันหนึ่ง เขานั้นได้สูญเสียพ่อไปและก็ได้มีชีวิตอยู่คนเดียวอีกนานอยู่หลายปี จนสุดท้ายเขาก็โชคดี ได้มีโอกาสที่จะออกจากดาวขยะลำดับที่สิบสองและได้เดินทางไปยังดาวต่างๆ โชคที่ว่านี่ก็คือการได้พบกับหุ่นยนต์เกราะเบาที่มีชื่อว่ามู่ชาง
“เย่ชงนั้นได้หุ่นเกราะเบาจากกองขยะ ฉันเองก็ไม่อยากจะหวังอะไรมากอ่ะนะแต่ก็คงจะดีหากว่าเจอหุ่นเกราะเบากับเขาบ้างสักตัว” ซูจิ้งได้แสดงท่าทีตื่นเต้นขึ้นมาจนบ่นสิ่งที่คิดออกมาเป็นคำพูดอย่างไม่รู้ตัว
หากว่าเขานั้นได้มีโอกาสได้ควบคุมหุ่นเกราะเบาได้ล่ะก็คงจะรู้สึกดีไม่น้อยอย่างแน่นอน
ทันใดนั้นความคิดหนุ่งก็ได้แวบเข้ามาในห่วงสมองเขา เขาพลันนึกไปถึงเครื่องยนต์ที่เขาพยายามจะศึกษามันก่อนน่านี้และได้พูดออกมาว่า
“เดี๋ยวนะ ไม่ใช่ว่านั่นมันคือเครื่องยนต์ของหุ่นเกราะเบาไม่ใช่เหรอ ……. ถ้าฉันเอาเจ้านั่นไปใส่เครื่องรถยนต์ไฟฟ้านี่จะเป็นการฆ่าไก่ด้วยยอดแห่งดาบไปรึเปล่าหว่า”
GGS:บทที่ 995 พื้นที่พิเศษอีกครั้ง
การที่จะใช้เครื่องยนต์ที่ซูจิ้งเก็บกู้มาจากขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศตำนานยอดทหารจ้าวนักรบเป็นเครื่องยนต์รถไฟฟ้านั้นเปรียบได้ดั่งการนำยอดแห่งดาบไปเชือดไก่กินจริงๆ
ต้องรู้ไว้ก่อนว่าหุ่นยนต์เกราะเบานั้นถึงจะเป็นหุ่นขนาดเล็กแต่มันก็มีความสูงร่วมสิบเมตรเช่นเดียวกัน
ถึงแม้ว่าพวกมันจะบินไม่ได้แต่ก็มีความรวดเร็วประดุจดั่งสายฟ้าฟาด หุ่นเกราะเบาบางตัวนั้นทำได้แม้แต่การทยานไปบนอวกาศด้วยการกระโดดเพียงครั้งเดียว
ด้วยความทรงพลังของเครื่องยนต์แบบนี้จึงเป็นเหตุผลที่เขาคิดว่ามันการนำยอดแห่งดาบไปไล่เชือดไก่
ต่อให้เป็นหุ่นยนต์เกราะเบารุ่นที่แย่ที่สุดก็ยังมีความสามารถเพียงพอต่อการเป็นเครื่องยนต์ที่ดีที่สุดในโลกได้อย่างง่ายดาย นี่จึงถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าโลกใบนี้ไปอย่างหลายช่วงตัวเลยทีเดียว
หากนำไปเทียบกับเครื่องยนต์จากค่ายดังอย่างบีเอ็มดับบิว เมอร์ซิเดซเบนซ์ วอลโว่ จาร์กัวร์ หรือต่อให้นำเครื่องยนต์ของทุกค่ายมารวมกันได้ก็ยังทีว่าเป็นการรังแกบริษัทเหล่านั้นมากไปอยู่ดี
เจียงจือ เทาจง และนักวิจัยคนอื่นๆนั้นคาดการณ์ไว้ไม่ผิดเลยสักนิดในเรื่องที่ว่าเครื่องยนต์นี้ไม่ใช่เครื่องยนต์ของยานพาหนะ เพียงแต่ว่าพวกเขานั้นไม่รู้จักหุ่นเกราะเบาจึงคิดไม่ถึงว่านี่เป็นเครื่องยนต์ของหุ่นยนต์ก็เท่านั้น
“อืมมมม…ถึงแม้ว่ามันจะดูเป็นการใช้ยอดแห่งดาบไปเชือดไก่ไปสักหน่อย แต่หากสร้างมันขึ้นมาได้เองล่ะก็แน่นอนว่ามันย่อมเป็นสุดยอดโอกาสธุรกิจอย่างแน่นอนและกลุ่มทุนห้วงเวลาฯของฉันจะกลายเป็นสุดยอดแบรนด์แห่งโลกนี้
เพียงแค่เครื่องยนต์นี้เครื่องเดียวนี่สามารถทำให้ฉันกำไรมากมายเลยต่อให้ผลิตเองได้แค่เครื่องเดียว ยิ่งถ้าฉันสร้างบริษัทเกี่ยวกับเครื่องยนต์ยานพาหนะล่ะก็ไม่นานก็ต้องขึ้นเป็นที่หนึ่งง่ายอย่างง่ายดาย
ยังไงก็คงต้องให้วิจัยเครื่องยนต์นั่นให้สำเร็จให้ได้ล่ะนะ ต่อให้มันพังยังไงก็ให้เสี่ยวไป๋ซ่อมให้ได้อยู่ดี หึหึหึ หรือว่าฉันจะเก็บไว้ใช้คนเดียวดีล่ะ”
ซูจิ้งคิดแผนการใช้ประโยชน์จากเครื่องยนต์นี้ไว้อย่างมากมาย แต่สิ่งที่เขาคาดหวังอย่างที่สุดนั่นก็คือการนำไปใช้กับหุ่นยนต์เกราะเบาอยู่ดี
หากว่าเขานั้นสามารถมีหุ่นยนต์เกราะเบาเอาไว้เป็นกองกำลังสักตัวล่ะก็ เขาคิดไม่ออกเลยว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นจะเพิ่มสูงขึ้นแค่ไหน
ต่อให้มันจะมีโอกาสที่ว่าการควบคุมหุ่นยนต์จำเป็นต้องใช้ทักษะเฉพาะ แต่ยังไงซะในห้วงเวลาฯตำนานสุดยอดทหารฯผู้ควบคุมหุ่นแต่ละคนเองก็มีวิธีการควบคุมที่แตกต่างกันไป และแต่ละวิธีก็ทำให้หุ่นยนต์แสดงศักยภาพที่แตกต่างกันไปเช่นเดียวกัน
เอาจริงๆแม้แต่คนธรรมดาก็ยังควบคุมมันได้เหมือนกัน แต่เมื่อควบคุมไปแล้วพวกเขานั้นมักจะไปทำให้พวกมันชนนู่นชนนี่ ทำให้พวกมันล้มบ้าง บางกรณีก็ทำให้พวกมันระเบิดไปเลยก็มี นี่จึงเป็นเหตุที่พวกเขานั้นต่างก็ถอดใจไป
แต่เขาเองก็ยังเชื่อว่ากับเรื่องนี้นั้นเขารับมือได้อย่างแน่นอน นั่นก็เพราะเขานั้นมีทั้งร่างกาย สัมผัส การตอบสนอง พลังวิญญาณ และทักษะด้านอื่นๆที่เหนือกว่าคนทั่วไป นี่จึงเรียกได้ว่าพอเสียยิ่งกว่าพอ
ซูจิ้งนั้นยังคงทำการค้นหาชิ้นส่วนหุ่นยนต์จากขยะฯกองโลหะต่อไปและมุ่งเน้นเป็นพิเศษที่ชิ้นส่วนหุ่นยนต์เกราะเบา
หลังจากรื้อค้นไปสองถึงสามวันก็ดูเหมือนว่าในครั้งนี้เขานั้นจะไม่มีโชคจริงๆ เขานั้นได้พบเพียงชิ้นส่วนบางส่วนและอะไหล่พังๆอีกกองหนึ่ง
ต่อให้อัตราการฟื้นสภาพของหุ่นเกราะเบานี้จะสูงก็จริง และมีกระทั่งความสามารถซ๋อมแซมของเสี่ยวไป๋ก็ตาม แต่ก็ยังเป็นการยากอยู่ดีที่จะประกอบชิ้นส่วนจากหุ่นคนละตัว
ขนาดพ่อของตัวเอกที่ได้รับฉายาว่าสุดยอดพ่อค้าและนักเก็บกู้ ก็ยังต้องใช้เวลาอยู่ในดาวขยะหลายปีกว่าจะได้ฉายานั้นมา
กับซูจิ้งตัวเขานั้นยังไม่ค่อยมีความรู้ทางด้านนี้สักเท่าไหร่นักแน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องยากสักหน่อย
แต่ก็ยังมีสิ่งที่น่ายินดีอยู่บ้าง นั่นก็คือกลุ่มหนูที่เขาใช้ทดลองกินเนื้อของหนูยักษ์และซาลามานเดอร์แดงก่อนหน้านี้ ในช่วงสองสามวันมานี้พวกมันทั้งร้อยตัวไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรผิดปกติแม้แต่น้อย
นอกจากนั้นพวกมันยังเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น พวกมันแข็งแรงขึ้น เร็วขึ้น และดวงตาของพวกมันกระจ่างใสกว่าเดิม พัฒนาการเหล่านี้เทียบได้ดั่งการที่พวกมันได้กินเนื้อสัตว์อสูรและปลาเขี้ยวหยก
โดยเฉพาะกับหนูที่กินซาลามันเดอร์แดงนั้นพวกมันเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าพวกที่กินหนูยักษ์เกือบสองเท่า เทียบเท่าได้กับการกินเนื้อของเสือแดนใต้
หนูที่ดื่มน้ำหวานจากต้นหญ้าลงไปไม่ได้ส่งผลอะไรกับร่างกายมากนักเพียงแค่ขนของมันนุ่มขึ้น และมีดวงตาที่แวววาวมากจนกลายเป็นน่ารักไป
เมื่อได้เห็นดังนั้น ซูจิ้งจึงใช้เนื้อทั้งสองชนิดในการทำเป็นอาหารกลางวัน เขากินมันด้วยความสุขสุดยอดจนเกือบกินพวกมันจนหมดในครั้งเดียว
นึกไม่ถึงว่าหลังจากกินเข้าไปแล้วความแข็งแกร่งของเขาเองก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน และไม่เพียงสงผลดีต่อความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อเท่านั้น
สารอาหารที่เขาได้รับนั้นสูงล้ำยิ่งกว่าข้าวสีน้ำเงิน มันก็จริงที่ว่าการที่เขาได้กินข้าวสีน้ำเงินบ่อยครั้งทำให้เขานั้นดูดซับสารอาหารได้น้อยลง
แต่ต้องไม่ลืมว่าพวกมันนั้นต้องเสียเวลาบ่มเพาะในดินจอมเขมือบ ขนาดข้าวสีน้ำเงินต้องทำถึงขนาดนั้นถึงจะกินได้พร้อมสารอาหารที่พรั่งพร้อมก็ยังด้อยกว่าเนื้อของหนูยักษ์และซาลามันเดอร์แดงนับร้อยเท่า
“เจ้าหนูจักรวาลนี่เจ๋งกว่าหนูทั่วไปจริงๆแหะ แต่ว่านิสัยนี่เหมือนกันอย่างกับแกะเลย….อืม….หากว่าเมื่อถึงฤดูกาลพวกมันเองก็น่าจะจับคู่ผสมพันธุ์และออกลูกออกหลาน
หนูจักรวาลที่เหลืออยู่ตอนนี้เองก็มีตัวผู้และตัวเมียอัตราส่นเกือบอย่างล่ะครึ่งฉันเองก็คงไม่ต้องกังวัลว่าพวกมันจะหมดล่ะนะ
แต่เจ้าซาลามันเดอร์แดงนี่สิเหลือแค่ตัวผู้หนึ่งตัวเมียหนึ่งเท่านั้น เฮ้อ…. เอานะ อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสที่จะเพาะพันธุ์พวกมันอยู่”
ซูจิ้งใช้ความคิดของตัวเองเกี่ยวกับการเพาะพันธุ์หนูจักรวาลและซาลามันแดงอย่างจริงจัง ถึงแม้เนื้อของพวกมันเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์อสูรจะยังเทียบไม่ได้ แถมยังไม่เหมาะสมจะทำให้เป็นกำลังรบของเขา
แต่เนื้อของสิ่งมีชีวิตทั้งสองนี้กลับอร่อยแบบสุดๆ เพียงเท่านี้ก็มีค่าเพียงพอแล้ว ต่อให้เขานั้นเลิกกินมันแต่เขาก็ยังใช้ประโยชน์จากการเพาะพันธุ์ได้อยู่ดี
เขาพลางนึกไปถึงหมูป่าและอสูรเสือที่เคยได้พบ ในตอนนั้นด้วยความที่กระทันหันไปทำให้เขานั้นควบคุมมันไม่ทันทำให้จะเป็นต้องฆ่ามันตายไป
หากในตอนนั้นเขาสามารถชุบเลี้ยงและเพราะพันธุ์สัตว์ทั้งสองได้เขาและสัตว์เลี้ยงก็คงมีเนื้อดีๆกันอย่างไม่จำกัดไปแล้ว
“ฉันจะใช้เจ้าสองชนิดนี้เพิ่มเงินและค่าการใช้ประโยชน์ยังไงดีนะ” ซูจิ้งพยายามนึกหาหนทางอยู่พักหนึ่งแต่ก็หยุดคิดเรื่องนี้ไปแต่อีกสักพักเขาก็ตัดสินใจว่าจะทำดีกว่า
เหตุผลก็เพราะว่าหากเวลาผ่านไปแล้วเขาขายเนื้อของสัตว์ทั้งสองออกไปจริงๆล่ะก็ ด้วยการที่พวกมันนั้นไม่เพียงรสชาติดี แต่พวกมันนั้นยังเสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกายอีกด้วย
หากมีใครสักคนที่กินพวกมันไปแล้วแข็งแกร่งพอที่จะก่อปัญหาให้เขาได้ล่ะก็คงไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่นัก ต่อพอมาคิดดูอีกทีแล้วระดับแค่นี้ไม่ใช่เรื่องเหนือกว่าเขาจะควบคุมได้อยู่แล้ว จึงตัดสินใจจะขายเนื้อนี้ดู
เมื่อเขาตัดสินใจได้แล้ว ซูจิ้งก็ได้ติดต่อไปยังภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์เพื่อให้ช่วยจัดพื้นที่ชั้นสามของภัตตาคารเป็นพิเศษ หลังจากตกแต่งเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยเขาก็ใช้พื้นที่ชั้นสามเป็นพื้นที่พิเศษ
หลังจากนั้นซูจิ้งได้สร้างโพสต์ในไมโครบลอกของเขา ทันทีที่เขาโพสต์ลงไป ทั้งแฟนคลับของเขาและชาววเน็ตเองก็ได้เพียงแต่มองโพสต์ไปอย่างอึ้งๆ
“ภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์เปิดพื้นที่พิเศษเหรอ ซูจิ้งจะทำอะไรอีกล่ะเนี่ย”
“เขาพึ่งจะหันไปสนใจผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ทุกคนต่างก็รอดูระบบประสาทเทียมและโทรศัพท์มือถือของเขาอยู่แต่เขายังมาทำอะไรแบบนี้อีกเหรอเนี่ย หรือว่าผลิตภัณฑ์ของเขาล้มเหลวกัน”
“ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะ ฉันได้ยินมาว่ากลุ่มทุนห้วงเวลาได้สร้างโรงงานผลิตไปแล้วและกำลังผลิตอยู่”
“นี่เขาจะปล่อยผลิตภัณฑ์ใหม่อีกกี่อย่างเนี่ย มีใครพอรู้บ้าง”
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า ที่สำคัญกว่านั่นก็คือพื้นที่พิเศษของภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์มีราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนหยวน”
“ห้ะ นี่มันจูงเกาะเข้าห้องเชือดชัดๆ เขาจะไปมีอารมณ์กินหลังจากที่เสียเงินไปเปล่าหนึ่งแสนหยวนกัน แถมจากนิสัยของหมอนี่ แน่นอนว่าหนึ่งแสนหยวนนี่เป็นเพียงแค่ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นเท่านั้น ฉันว่าอาหารพวกนั้นต้องมีราคามากกว่าหนึ่งแสนหยวนอย่างแน่นอน”
“ถึงแม้ว่าเขานั้นจะเป็นหมอเทวดาและคนไข้รวยๆยินดีที่จะประเคนเงินค่ารักษาให้ก็ตาม แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกันหรอกนะ
มันไม่เหมือนกับการรักษาคนไข้ที่ไม่รักษาก็จะตายแต่กับเรื่องกินนี่มันคนละเรื่องกันไปเลย ต่อให้ไม่กินมันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรสักนิด ดีไม่ดีหากจ่ายเงินขนาดนี้เพื่อกินล่ะก็ คนพวกนั้นคงโดนคงตระกูลไล่เฆี่ยนตีเป็นแน่”
ด้วยการที่หลายวันก่อนนั้นมีเรื่องหมอเทวดาแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออกเกิดขึ้นจนเป็นที่ตกใจไปกันทั้งโลก ทำให้ผู้คนนั้นต่างก็สนใจในตัวซูจิ้งมากขึ้น
อย่างไรก็ตามพวกเขานั้นกลับพบว่าซูจิ้งไม่ได้จะสนใจแต่เพียงเรื่องการแพทย์เพียงอย่างเดียว เขานั้นได้เริ่มก้าวเข้าสู่วงการเทคโนโลยี และมาตอนนี้เขายังกลับมาเปิดพื้นที่พิเศษของภัตตาคารเสียอีก
ทุกคนในตอนนี้ต่างก็คิดว่าเขานั้นเฆี่ยนตีลาด้วยค้อนยักษ์ที่ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ และทำเรื่องใหญ่ให้มันดูเล็กน้อยเสียจริงๆ
พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าซูจิ้งนั้นเป็นคนบ้าเงินและทะนงตัวอย่างมาก และต่อให้เขาบ้าที่จะเสี่ยงก็จริงแต่การทำแบบนี้ก็มีแต่เสียกับเสียเท่านั้น
นี่ทำให้เหล่าผู้คนที่เพิ่งจะรู้สึกดีกับความเก่งกาจของซูจิ้งต่างก็กลับตาลปัตรความคิดของพวกเขาที่มีต่อซูจิ้ง พวกเขานั้นเริ่มรู้สึกว่าซูจิ้งนั้นน่ารำคาญและทำอะไรก็ได้เพียงเพื่อผลักดันตัวเองให้เป็นที่พูดถึงเท่านั้น
หากว่าผิดพลาดไปล่ะก็จะทำให้เขานั้นหล่นลงมาจากฟากฟ้าจมธรณีในทันที
มีเพียงบางคนเท่านั้นที่ยังเชื่อมั่นในตัวซูจิ้งราวกับหมาน้อยที่ภักดี เหมือนต้นไม้ที่คอยลู่ไปตามลม
แต่ก็มีอีกหลายคนเหมือนกันที่ยิ้มกว้างนั่นก็เพราะคนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่อิจฉาซูจิ้งอย่างหมดหัวใจ
หากซูจิ้งผิดพลาดไปแม้เพียงสักเล็กน้อยจนเซ พวกเขานั้นก็จะยินดีเตะตัดขาซูจิ้งให้ล้มจริงๆก่อนที่จะเหยียบให้มิดอย่างรวดเร็ว
GGS:บทที่ 996 ตายแน่ๆ
ไม่เพียงแต่ชาวเน็ตที่พูดถึงเรื่องนี้ แม้แต่คนของเหล่าภัตตาคารชื่อดังทั้งหลายที่ได้ยินเรื่องนี้ ผู้คนของที่นั้นก็พูดคุยเรื่องนี้กันอย่างสนุกปาก
“หมอนี่คิดจริงๆเหรอว่าจะมีคนไปกินอาหารที่ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนหยวนเนี่ย”
“ขนาดภัตตาคารของเราได้มิชชาลินสามดาวยังอาหารแค่ไม่กี่จานที่ราคาถึงแสนหยวน แต่หมอนี่กลับคิดราคาขั้นต่ำที่แสนหยวน คิดอะไรอยู่กัน”
“กับอีแค่ชนะเลิศการทำอาหารแค่นี้แต่กลับคิดราคาสูงขนาดนี้ เขาคิดว่าตัวเองมีฝีมือจริงๆเหรอ ไอ้รายการนั้นมันก็แค่รายการโชว์ที่คนที่มีฝีมือจริงๆไม่ได้สนใจจะร่วมก็เท่านั้น”
“เขาทำอย่างกับคนอื่นเป็นคนโง่จริงๆ ฉันอยากรู้จริงๆว่าใครจะเป็นคนโง่ที่หลงเข้าไปกิน แต่ฉันว่าคงไม่มีใครหรอก”
จากข้อความเหล่านี้ก็พอจะบอกได้ว่าแม้แต่ภัตตาคารอาหารที่มีชื่อเสียงนั้นมีเพียงแค่ไม่กี่ร้านที่มีอาหารราคาเกินหนึ่งแสนหยวน
ถึงแม้ว่าจะมีบางร้านที่ราคาขั้นต่ำอยู่ที่พันหยวนก็ถือว่าแพงมากแล้ว แต่นี่ราคาขั้นต่ำที่หนึ่งแสนหยวนนี้ไม่เคยมีใครทำมาก่อน
พวกเขาในตอนนี้ต่างก็รอที่จะได้เห็นซูจิ้งกลายเป็นตัวตลกของสาธารณชนกันถ้วนหน้า
ในตอนที่ตระกูลหวังได้ยินข่าวนี้ ในตอนแรกพวกเขาเองก็คิดว่าได้ยินข่าวมาผิดๆ นั่นก็เพราะว่าพวกเขานั้นมอบภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์นี้ให้กับซูจิ้งจัดการในตอนที่กิจการมีปัญหา แต่ในตอนนี้พวกเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะกังวลในเรื่อง
“เริ่มที่หนึ่งแสนหยวน เขาบ้าไปแล้วรึไง” หวังหยิงหมิงพูดออกมา
“ต่อให้เขานั้นมีทักษะการทำอาหารดีก็จริง แต่ฉันกลัวว่าราคาหนึ่งแสนหยวนนี่น่าจะไม่มีใครรับได้นะ” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งพูดออกมา
“ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่หากเราคิดถึงตอนที่เขาเปิดพื้นที่พิเศษในโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนนั้นเป็นตัวอย่างล่ะก็ เรื่องนี้เรายังสรุปผลกันไม่ได้หรอกนะ” หวังซิวหลันพูดออกมา
“แต่เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันต่างกันมากเลยนะ หากว่าคนป่วยนั้นยังไงก็ต้องรักษา ไม่ว่าจะต้องเสียเงินมากมายขนาดไหนก็ตาม แต่นี่มันคืออาหาร หากไม่กินอาหารที่เขาทำก็ไม่กินที่อื่นก็ได้” หวังหยิงหมิงพูดออกมา
ที่เขาพูดออกมาแบบนี้ก็เพราะว่าร้านอาหารตระกูลหวังนั้นโดยปกติแล้วจะได้กำไรมาจากการทำอาหารงานเลี้ยงต่างๆเป็นหลัก หากว่ามีอาหารจานราคาแพงแบบนี้ออกมาล่ะก็ ไม่ต่างอะไรเลยกับการฆ่าตัวตาย
หวังหยานที่ได้ยินดังนั้นเองถึงแม้จะคิดแบบเดียวกันแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา เธอคิดเหมือนกันว่าซูจิ้งนั้นที่ทำแบบนี้เพราะว่าอยากจะทำแบบคลีนิกพิเศษที่เขาเปิดที่โรงพยาบาลกังเฟิงแน่ๆ
แต่เธอก็คิดเหมือนกันว่าเขานั้นแยกความต่างของปัจจัยความสำเร็จของเรื่องนั้นกับเรื่องนี้ไม่ออกรึไงกัน หรือเป็นไปได้ว่าเขานั้นรู้ดีแต่ก็ยังมั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จไม่ต่างกัน
หากแค่มองการตัดสินใจของเขาอย่างผิวเผินนั้น การกระทำของเขาล้วนแล้วแต่ไม่ต่างจากขุดหลุมศพของตัวเองไว้เตรียมฝังตัวเองแทบทั้งสิ้น
แต่เธอเองก็ยังไม่กล้าจะด่วนสรุปแต่อย่างใดนั่นก็เพราะว่าทุกเรื่องที่ซูจิ้งนั้นไม่สามารถตัดสินความสำเร็จได้โดยใช้เวลาอันสั้น หรือใช้ความคิดทั่วๆไปตัดสินได้
“หัวหน้า แน่ใจว่าเมนูนี้ที่หัวหน้าเขียนไว้ถูกแล้วน่ะ” พ่อครัววัยกลางคนที่ชื่อเหมาเว่ยเซียนที่ถือเมนูบนมืออยู่นั้น ทันทีที่เห็นชื่อเมนูแล้วมือไม้สั่นไปหมด
ตอนนี้โลกภายนอกต่างก็ตกใจเรื่องราคาที่สูงล้ำกว่าหนึ่งแสนหยวน แต่หากพวกเขาเห็นเมนูนี่คงจะเผาร้านนี้ทิ้งเป็นแน่
“ไม่มีอะไรผิดพลาดน่า….” ซูจิ้งพูดออกมา
“แต่ราคามัน….” พ่อครัวอีกคนหนึ่งพูดออกมา
“เรื่องนั่นช่างมันเถอะน่า นายก็จัดการส่วนของนายก็พอแล้ว” ซูจิ้งพูดออกมาโดยเขานั้นจะรับผิดชอบเฉพาะพื้นที่พิเศษของภัตตาคารเท่านั้น ส่วนชั้นล่างและชั้นสองนั้นก็ยังคงเปิดให้บริการแบบปกติอยู่อย่างเดิม
“ได้ครับ” ถึงแม้พนักงานที่นี่ทุกคนต่างก็ห่วงเรื่องชื่อเสียงของภัตตาคารจากการกระทำของซูจิ้งก็จริง แต่ยังไงซะพวกเขาเองก็ไม่ใช่ผู้รับผิดชอบในการจัดการที่นี่จึงทำอะไรไม่ได้
อีกอย่างไม่เพียงซูจิ้งจะเป็นหัวหน้าของพวกเขาแล้ว เขายังเป็นเทพเจ้าโรงครัวที่พวกเขานั้นไม่อาจเทียบฝีมือได้จึงไม่สิทธิ์เสียงจะคัดค้านได้เลย
เวลาสิบโมงเช้า ภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์ ก็ได้เปิดทำการตามปกติ และดั่งเช่นเคย ที่นี่มีลูกค้าในชั้นหนึ่งและชั้นสองเต็มอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์แห่งนี้จะมีค่าอาหารที่สูงเมื่อเทียบกับที่อื่น แต่ด้วยรสชาติที่เหนือล้ำกว่านี่ก็ทำให้ได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้ค่อนข้างเป็นวันพิเศษสำหรับที่นี่ นั่นเป็นเพราะว่าที่นี่เป็นวันแรกที่ซูจิ้งทำการเปิดพื้นที่พิเศษภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์
พวกเขาไม่ได้มาเพื่อที่จะกินแต่อย่างใด พวกเขามาเพียงเพื่อจะดูว่าใครหน้าไหนกันจะกล้ามากินอาหารที่ราคาแพงเทียมฟ้าขนาดนั้นได้
แน่นอนว่าในหมู่พวกเขานั้นมีนักข่าวซ่อนตัวอยู่ด้วย นั่นก็เพราะว่าด้วยชื่อเสียงของซูจิ้งในตอนนี้จึงเหมาะที่จะทำข่าวได้อย่างสบาย
“เฮ้ นายได้ยินรึเปล่าว่าชั้นสามของที่นี่เปิดเป็นพื้นที่พิเศษน่ะ”
“อื้มๆ ได้ยินอยู่แล้ว ฉันได้ยินมาว่ามันเป็นพื้นที่พิเศษที่จะมีซูจิ้งเป็นพ่อครัวด้วยตัวเองเลยนะ เอาจริงๆฉันเองก็อยากจะลองดูนะแต่ราคาอาหารชั้นบนนี่ช่างแพงซะเหลือเกิน”
“ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนหยวนนี่คงมีแต่คนโง่เท่านั้นล่ะนะที่จะขึ้นไปกิน เอาจริงๆฉันว่าไม่น่าจะมีใครขึ้นไปกินนะ”
ในตอนนั้นเองก็ได้มีรถบีเอ็มดับบิวและออดี้เข้ามาจอดที่หน้าภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์ และได้มีชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ชายหนุ่มหน้าตาดูดีคนหนึ่ง และสาวน้อยคนหนึ่งก้าวออกมาจากรถ
พวกเขาก็คือถังฮ่าว ถังยี่ และถังเสี่ยวหยู หลังจากทั้งสามได้เข้ามายังภัตตาคารแห่งนี้ ทั้งหมดก็ได้ขึ้นไปยังชั้นสามในทันที ฉากนี้ทำให้ทุกคนที่เห็นต่างก็อึ้งกันไปเล็กน้อย พลางนึกขึ้นมาว่ามีคนมาจริงๆด้วยแหะ
หลังจากนั้นก็ได้มีปอร์เช่คันหนึ่งมาจอดที่ลานจอดรถแล้วชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งก็ได้ก้าวออกมา หลายๆคนต่างก็จำเขาได้
นั่นก็เพราะเขานั้นเป็นคนที่เข้าไปรับการรักษาจากซูจิ้งเพื่อเพิ่มความสูงที่โรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนและเช่นเดียวกันเขาตรงขึ้นไปที่ชั้นสาม
อีกสามนาทีต่อมา รถปอร์เช่อีกคันหนึ่งก็ได้เข้ามาจอด คราวนี้เป็นคู่ชายหนุ่มหญิงสาวที่ก้าวออกมาและตรงขึ้นไปยังชั้นสาม
ความจริงสองคนนี้ก็ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวสักเท่าไหร่นัก แต่ทั้งคู่นั้นเป็นลูกของผู้ป่วยที่มีอาการALSที่ซูจิ้งได้ช่วยเหลือเอาไว้
ในทำนองเดียวกัน เราคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับซูจิ้งต่างก็เริ่มทยอยมาที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นหวังจ้าว หวังซือหยา เฉียนชูเฟิง จ้าวจือ โจวเทียนรุย ผู้อาวุโสหวู่ ผู้อาวุโสซี่ และคนอื่นๆที่มาถึงก็ตรงขึ้นไปชั้นสามเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้มีกลุ่มหนุ่มสาวนำมาโดยชายหนุ่มดูดีใส่แว่น อีกคนหนึ่งแต่งชุดสไตล์แฟชั่น และอีกคนหนึ่งเจาะหู ส่วนคนอื่นๆนั้นต้องกายปกติ และพวกเขาเองก็ได้ตรงขึ้นไปยังชั้นสาม
“นี่ฉันไม่ได้ตาฝาดใช่รึเปล่า ฉันคิดว่าจะไม่มีใครกล้าขึ้นไปชั้นสามแล้วซะอีก นึกถึงเลยว่าจะมีคนขึ้นไปมากมายขนาดนี้ นี่เงินหนึ่งแสนหยวนนี่ไม่ได้มีค่าอะไรเลยรึไงกัน”
“นี่นายไม่ได้สังเกตุเลยรึไงว่าคนพวกนั้นเป็นเพื่อนไม่ก็เกี่ยวข้องกับซูจิ้งทั้งนั้น แน่นอนว่าไม่ว่าซูจิ้งจะทำอะไรคนพวกนี้ก็ต้องสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่อยู่แล้ว ไม่ว่าจะอยากหรือไม่อยากก็ตาม”
“เข้าใจล่ะ เป็นแบบนี้นี่เอง”
“เหอะ เนี่ยนะลูกค้า หมอนี่ก็ทำได้แค่เท่านี้แหล่ะว้า… คอยดูเถอะ ฉันจะทำให้ทุกคนได้เห็นเองว่าพื้นที่พิเศษอะไรนี่มันก็ไม่ต่างจากเรื่องหลอกลวงทั้งเพ”
นักข่าวที่แฝงตัวอยู่ได้แอบถ่ายภาพไว้ก่อนที่จะสร้างหัวข้อข่าวขึ้นและได้ใส่ไฟข่าวนี้อย่างไม่ยั้งมือ เนื้อหานั้นก็ประมาณว่าบังคับเพื่อนหรือไม่ก็คนไข้มาสร้างภาพหลอกประชาชนไปวันๆ
การเขียนข่าวแนวนี้เป็นที่นิยมในกลุ่มเล็กๆ พวกเขานั้นไม่ได้สนใจความจริงแต่มักเขียนตามสิ่งที่เห็นและใส่สีตีไข่ให้น่าสนใจเท่านั้นก็พอ
คนพวกนี้จะเป็นคนคอยจูงจมูกให้ชาวเน็ตให้คิดแบบเดียวกับเขา หรือไม่ก็สร้างหัวข้อที่มันดูอ่อนไหวจนเกือบๆผิดกฎหมายเพื่อเชิญชวนให้ชาวเน็ตกฎเข้าไปดูทั้งๆที่จริงๆแล้วไม่มีอะไรเลย มันเหมือนกับการสร้างข่าวที่ว่าฟ้ากำลังถล่มทั้งๆที่เป็นเพียงแค่ฟ้าคำรามธรรมดา
“เขาคิดว่าเราโง่รึไงกัน เพียงแค่หาคนที่มีสัมพันธ์อันดีมาแค่ไม่กี่คนมาก็คิดว่าเราจะเชื่อเขาแล้วเหรอ”
“ซูจิ้งจะทำเรื่องน่าไม่อายเกินไปแล้ว เขานั้นอยากจะทำให้ภัตตาคารของตัวเองสำเร็จเหมือนกับที่ทำแบบเดียวกับโรงพยาบาลกังเฟิง
แต่ดันไม่คิดไม่ออกเลยรึไงว่าที่พวกเขานั้นยอมจ่ายเงินที่โรงพยาบาลนั่นเป็นเพราะพวกเขานั้นจะเป็นที่จะต้องจ่าย เขาไม่คิดเลยรึไงว่าไม่มีใครยินดีที่จะจ่ายเงินแพงๆกับการกินอย่างแน่นอน ฉันเองก็นึกว่าเขานั้นจะมีไม้เด็ดอะไรซะอีก ใครจะไปคิดว่าเขาจะได้เพียงแค่ใช้คนคุ้นเคยแบบนี้ น่าผิดหวังจริงๆ”
“หึหึหึ ฉันหวังว่าหลังจากเรื่องในครั้งนี้จะทำให้เขานั้นลดความอวดดีได้ซักทีนะ”
“นี่มันก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ล่ะนะ ตัวอย่างเช่นดาราบางคนที่กำลังดังแล้วก็ทำทุกวิธีทางในการหาเงินโดยไม่สนใจว่าเรื่องพวกนั้นมันจะจริงหรือเหมาะสมหรือเปล่า
คนที่หน้ามืดตามัวนั้นมันไม่สนใจเรื่องพวกนี้กันหรอกน่า กว่าจะรู้ตัวก็เกิดหายนะจนชื่อเสียงหดหายหรือไม่ก็โดนขับไล่ออกจากวงการ
ถึงแม้จะมีบางคนที่พออยู่ได้แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่มีทางแม้แต่ทางเดินด้วยซ้ำ”
“โอ้….เป็นการยกตัวอย่างที่ดีจริงๆ”
ผู้คนในตอนนี้ต่างก็คุยกันเรื่องนี้อย่างสนุกปากราวกับว่าพวกเขานั้นเห็นปลายทางของซูจิ้งได้แล้วว่าจะล้มเหลวจนไม่มีทางยืนอยู่ในสังคมได้อย่างแน่นอน บางคนถึงกับได้สั่งสอนซูจิ้งเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
GGS:บทที่ 997 ราคาบ้าเลือด
ถังฮ่าว ถังยี่ และถังเสี่ยวหยูที่มาถึงชั้นสามก่อนนั้น เมื่อได้เห็นบรรยากาศการตกแต่งภายในชั้นสามแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตาตื่นใจ
พื้นที่โดยรอบนอกจากจะสะอาดตายิ่งกว่าที่ควรจะเป็นแล้วยังดูเรียบร้อยและมีการตกแต่งได้อย่างดูดีและมีชีวิตชีวามากกว่าปกติถึงแม้จะเป็นเพียงการประดับด้วยต้นไม้และตู้ปลาธรรมดาก็ตาม
“ทำไมต้นแกลดิโอลัส(ซ่อนกลิ่นฝรั่ง)นี้ถึงได้สวยนักล่ะ” ถังเสี่ยวหยูที่ตอนนี้กำลังยืนจ้องมองกระถางต้นแกลดิโอลัสได้พูดขึ้นมา
“ต้นคลอโรไฟตั้มนี่ก็เหมือนกัน มันช่วยเสริมบรรยากาศในห้องอาหารนี้ได้อย่างน่าประหลาดใจจริงๆ” ถังยี่ได้พูดออกมา
“ห้ะ นี่มันปลาหมอสีนี่ เขากล้าเอามาตั้งโชว์แบบนี้จริงดิ” เมื่อถังฮ่าวได้เห็นปลาในตู้นี้ก็ได้พูดออกมา มันคือปลาหมอสีที่มีโหนกหัวขนาดใหญ่มาก
เขาที่เห็นปลานี้ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทีโง่งมออกมาเพราะว่าเขานั้นเคยซื้อปลาหมอสีไปจากซูจิ้งสองล้านหยวนเพื่อเอาไปอวดเพื่อนของเขาทำให้เพื่อนของเขานั้นได้แต่อิจฉา ริษยา จนเลิกคุยกันดีๆไปแล้ว
ถึงแม้เจ้าตัวนั้นจะมีรูปร่างลักษณะที่ดูดีตามลักษณะปลานำโชคขนาดไหนก็ตามก็ยังด้อยกว่าตัวตรงหน้าของเขาในตอนนี้
เจ้าตัวนี้เองก็เป็นหนึ่งในตัวที่เขาต้องการซื้อเช่นเดียวกันแต่ซูจิ้งนั้นไม่ยอมขาย ไม่นึกเลยว่าเขาจะได้มีโอกาสเจอมันที่ภัตตาคารแบบนี้ จะไม่หรูไปหน่อยรึไงกัน
นอกจากนี้ถังฮ่าวยังดูของอย่างอื่นโดยรอบก็อดจะถอนหายใจออกมาสั้นๆไม่ได้ก่อนที่จะพูดออกมาว่า “สมแล้วที่เป็นพื้นที่พิเศษ เพียงแค่ได้เห็นและนั่งดื่มด่ำไปกับยรรยากาศการตกแต่งนี้ก็คุ้มค่าแล้วจริงๆ”
ที่เป็นแบบนี้ก็เป็นเพราะว่าซูจิ้งนั้นเป็นคนออกแบบที่นี่ด้วยตัวเอง เขานั้นอาศัยหลักการของโลกปัจจุบันผสมเข้ากับแนวคิดการตกแต่งที่เขาเรียนรู้ได้จากห้วงเวลาฯอภินิหารกระบี่สามภพ
แน่นอนว่าไม่เพียงแค่ดีต่อการดื่มด่ำทางสายตาเท่านั้น เขายังจัดวางพื้นที่ตามหลักฮวงจุ้ยด้วย แน่นอนว่าทั้งพื้นที่นั้นเต็มไปด้วยออร่าเสริมพลังที่ส่งเสริมพลังชีวิต
เมื่อถังเสี่ยวหยูได้เลือกที่นั่งเรียบร้อยแล้วที่ริมหน้าต่าง ถังฮ่าวและถังยี่ที่เห็นดังนั้นก็ได้เดินไปนั่งด้วยเช่นเดียวกัน
บริกรที่เห็นทั้งสามเลือกที่นั่งได้แล้วก็ได้เดินเข้ามาให้บริการตามปกตินั่นก็คือการนำเมนูมาให้ลูกค้าเลือก ก่อนที่จะถามออกมาว่า “ต้องการสั่งอะไรดีคะ”
ถังฮ่าว ถังยี่ และถังเสี่ยวหยูที่มองรายการอาหารอยู่ตอนนี้นั้นต่างก็ขอดูเมนูของแต่ละคนด้วยใบหน้าที่ยิ้มแบบแข็งๆ และทันทีที่มั่นใจได้ว่าเมนูของทั้งสามคนนั้นเหมือนกันจริงๆ ถังห่าวจึงหันไปถามบริการด้วยรอยยิ้มที่แข็งค้างว่า “รายการพวกนี้ไม่ผิดใช่ไม๊”
“ไม่ผิดค่ะ” เธอตอบออกมาด้วยท่าทีที่ประหนึ่งเข้าใจความรู้สึกของผู้ถาม เธอเองก็เป็นคนหนึ่งที่นำรายการนี้ไปถามยืนยันซูจิ้งกับปากของตัวเองแล้ว และเธอก็ไม่ได้ถามแค่ครั้งเดียวด้วยซ้ำ เธอถามซูจิ้งย้ำจนตัวเองต้องเป็นฝ่ายถอดใจที่จะถามซะเอง
เหตุผลก็เพราะว่าในเมนูนี้มีเพียงแค่สามเมนูเท่านั้น
เมนูแรกเป็นชุดอาหารระดับเบื้องต้นของพื้นที่พิเศษนี้โดยมีราคาที่หนึ่งแสนหยวน ชุดอาหารนี้ประกอบด้วยปลาเฉาลายคราม โจ๊กมะละกอหวานกับเครื่องดื่มเพียงเท่านั้น
ปลาเฉาลายครามสามารถสั่งได้ทั้งนึ่ง ผัด หรือจะกินแบบปลาดิบ ส่วนเครื่องดิ่มนั้นมีให้เลือกระหว่างเบียร์มอลต์และชาเขียว
เมนูที่สองเป็นชุดอาหารระดับกลางที่มีราคาอยู่ที่ห้าแสนหยวน ประกอบไปด้วยเนื้อหนูนา ข้าวสีน้ำเงินระดับธรรมดา และเครื่องดื่มอีกหนึ่งแก้ว
เนื้อหนูนานี้สามารถทำได้ทั้งผัด นึ่ง ย่าง หรือวิธีอะไรก็ได้แล้วแต่ลูกค้าจะต้องการ ส่วนเครื่องดื่มนั้นให้เลือกได้ระหว่างชาน้ำผึ้งและน้ำหญ้าหวาน
เมนูที่สามเป็นชุดอาหารระดับสุดยอดมีสนนราคาอยู่ที่หนึ่งล้านหยวน ประกอบไปด้วยเนื้อซาลามันเดอร์แดง ข้าวสีน้ำเงินระดับสูง และเครื่องดื่มอีกหนึ่งแก้ว
เนื้อซาลามันเดอร์แดงสามารถสั่งได้ทั้งผัด นึ่ง ย่าง หรือวิธีอะไรก็ได้แล้วแต่ลูกค้าจะต้องการ ส่วนเครื่องดื่มนั้นให้เลือกได้ระหว่างชาโสมและไวน์จิ้งจอกแดง
นอกจากนี้สำหรับชุดหนึ่งล้านหยวนนี่ในส่วนของเครื่องดื่มนั้นสามารถเปลี่ยนเครื่องดื่มเป็นแบบชุดอาหารอื่นได้โดยที่ร้านจะเสริฟให้ได้จนราคาเทียบเท่ากับไวน์จิ้งจอกแดง และแน่นอนว่าสามารถสั่งเครื่องดื่มได้นอกเหนือจากนี้แต่ราคาจะแพงกว่าการซื้อในเซ็ตแบบนี้มากนัก
“แพงโคตร” ถัวฮ่าวได้แต่อุทานออกมาด้วยท่าทีโง่งม เหตุผลที่เขามาที่นี่หลักๆแล้วเป็นเพราะว่าตั้งการที่จะเลี้ยงฉลองให้ถังเสี่ยวหยูที่สอบได้คะแนนดีเท่านั้นเอง
และถังเสี่ยวหยูเองก็ได้มีโอกาสกินอาหารฝีมือซูจิ้งนับครั้งได้แทบจะไม่น้อยกว่าซูหยาเลย นี่ทำให้เธอนั้นติดใจรสชาติของซูจิ้งอย่างมากและแน่นอนว่าสำหรับโอกาสพิเศษแบบนี้เธอย่อมไม่พลาดโอกาสยอมกินอาหารภัตตาคารธรรมดาเป็นแน่
ด้วยการที่ถังฮ่าวเองก็คิดถึงอาหารฝีมือซูจิ้งเหมือนกัน จนในที่สุดแล้วเขาจึงยอมตัดใจจ่ายเงินจานละหนึ่งแสนหยวนจนได้เพื่อที่จะได้กินกับข้าวฝีมือซูจิ้ง
นึกไม่ถึงว่าหนึ่งแสนหยวนนี้ได้เพียงแค่อาหารระดับธรรมดาเท่านั้น แถมยังมีชุดอาหารที่แพงกว่าในราคาห้าแสนหยวนและหนึ่งล้านหยวนนี่อีก
“ทำไมแค่เนื้อหนูนาและซาลามันเดอร์แดงถึงได้แพงนรกแตกแบบนี้ล่ะ” ถังยี่เองที่เห็นราคานี้ก็อดไม่ได้ที่จะบอกความรู้สึกออกมา
เขาสงสัยอย่างมากว่าจะมีใครกล้ากินเนื้อของสัตว์ทั้งสองนี้ ต่อให้กล้ากินแต่ด้วราคานี้ไม่ว่าใครก็ต้องคำถามเหมือนกันว่าทำไมมันถึงได้แพงนัก
“ในเมื่อพี่จิ้งนั้นตั้งราคาไว้สูงขนาดนี้ย่อมแน่นอนว่ามันตั้งอร่อยแหงๆ ลองดูสักหน่อยนะคะ” ถังเสี่ยวหยูได้พูดออกมาราวกับว่าพวกมันเป็นอาหารอันโอชะทั้งๆที่ยังไม่เห็น แถมตอนนี้เธอน้ำลายสอไปเรียบร้อยแล้ว
“เฮ้อ เสี่ยวหยูทนไม่ได้ซะแล้ว” ถังฮ่าวที่จ้องไปยังเสี่ยวหยูในตอนนี้ก็ทำได้แต่บ่นออกมา ถึงแม้ว่าตระกูลถังจะรวบมากก็จริงแต่การจ่ายเงินถึงหนึ่งแสนหยวนเพียงเพื่ออาหารเพียงมื้อเดียวนี้ออกจะเกินไปหน่อย
หากราคาที่ซูจิ้งตั้งไว้สักห้าหมื่นหยวนนี้เขายังพอจะยินดีที่จะจ่ายได้บ้าง เอาจริงๆต่อให้เข้ามาแล้วเห็นเมนูนี้แล้วออกไปเฉยๆก็ไม่มีใครกล้าว่าเขาแม้แต่น้อย แต่ประเด็นคือถังเสี่ยวหยูนั้นน่าจะไม่ยินยอมเป็นแน่
ถังเสี่ยวหยูที่เห็นท่าทีของถังฮ่าวก็ได้พูดออกมาว่า “เอาอย่างนี้แล้วกันค่ะ เรามาลองเซ็ตอาหารระดับธรรมดาก่อนแล้วกัน มาลองดูก่อนว่ารสชาติจะดีแค่ไหน”
ถังยี่ในตอนนี้เองก็ได้พยักหน้าเห็นด้วย ในขณะที่ทั้งเสี่ยวหยูนั้นทำการเม้มปากพร้อมส่งสายตาอ้อนววอนปริบๆอย่างไม่อายใคร ซึ่งนี่เองทำให้ถังฮ่าวนั้นรู้แล้วว่ายากจะถอนตัวได้แล้ว
ถังฮ่าวในตอนนี้นั้นได้แค่เพียงหวังได้แค่ว่าชุดอาหารระดับธรรมดานี้จะมากพอที่จะทำให้อิ่มได้ในชุดเดียว เขาจะได้ไม่ต้องมาเสียดายค่าอาหารจานอื่นอีก
ในตอนนี้เองเหล่าผู้คนที่ตรงมายังพื้นที่พิเศษของภัตตาคารปลาคาร์ฟทะยานฟ้าแห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นลูกของผู้ป่วยโรคALS หวังจ้าว หวังซือหยา เฉียนชูเฟิง จ้าวจือ โจวเทียนรุย ผู้อาวุโสหวู่ ผู้อาวุโสซี่ กลุ่มหนุ่มสาวก่อนหน้านี้ และคนอื่นๆเองก็ได้เริ่มทยอยกันเข้ามา
พวกเขานั้นก็มีอาการไม่ต่างจากกลุ่มของถังฮ่าวที่แรกเข้ามานั้นดิ่มด่ำกับบรรยากาศ และยิ้มแห้งๆในทันทีเมื่อเห็นรายการอาหาร ขนาดพวกเขานั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนรวยแต่ก็อดจะบ่นไม่ได้จริงๆการเมนูอาหารของซูจิ้ง
“เหอะเหอะเหอะ นี่ฉันไม่ได้อ่านผิดใช่รึเปล่า”
“ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนก็ว่าแพงแล้วนะ ไม่คิดว่ายังจะมีชุดอาหารราคาห้าแสนกับหนึ่งล้านด้วย”
“เนื้อหนูนากับซาลามันเดอร์แดงนี่มันแพงขนาดนั้นเลยเหรอ”
ทุกคนในตอนนี้ต่างก็คิดว่ารายการอาหารพวกนี้น่าจะพิมพ์ผิด และแน่นอนเป็นอีกครั้งที่เหล่าบริกรได้เข้ายืนยันว่ารายการอาหารพวกนี้ถูกต้องอย่างแน่นอนและถี่ถ้วนแล้ว
ราคาของซูจิ้งนี่ทำให้ราคาอาหารที่พวกเขาเคยกินมานั้นถูกลงไปถนัดตา
“อาจิ้งเล่นอะไรอีกแล้วเนี่ย” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยท่าทีโง่งม
“จะรู้ไหมล่ะ” หวังซือหยาเองก็ทำได้แค่เพียงส่ายหัวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ขนาดฉันว่าตัวเองคร่ำหวอดอยู่ในวงการนี้มามากมายหลายปีนะ พึ่งจะเคยเห็นราคาอาหารบ้าเลือดแบบนี้” เฉียนชูเฟิงที่หนเองก็ส่ายศรีษะแล้วยิ้มจางๆ
“ฉันว่ามีแค่พระเจ้าแล้วล่ะนะที่จะยอมจ่ายค่าอาหารเหล่นี้โดยไม่บ่นอะไรออกมา” จ้าวจือเองก็ส่ายหัวออกมา ทุกคนในที่นี้ต่างก็รู้สึกว่าซูจิ้งนั้นทำเกินไปแล้วจริงๆ
อย่างไรก็ตามในเมื่อทุกคนมาที่นี่แล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเดินออกไปโดยไม่สั่งอะไรมากิน พวกเขาส่วนใหญ่นั้นสั่งมาเพียงชุดอาหารธรรมดา มีหวังจ้าวและหวังซือหยาที่นั่งร่วมโต๊ะกันอยู่ได้สั่งชุดกลางและชุดสุดยอดมาอย่างละหนึ่ง ส่วนผู้อาวุโสหวู่นั้นได้สั่งชุดสุดยอดมาโดยไม่คิดอะไรมาก
หวังจ้าวที่ได้เห็นท่าทางของผู้อาวุโสหวู่เองก็ยังต้องประหลาดใจและพูดออกมาว่า “ขอบคุณมากครับที่มาสนับสนุนร้านอาหารของซูจิ้งในครั้งนี้”
ผู้อาวุโสหวู่เองที่ได้ยินหวังจ้าวพูดนั้นก็เพียงยิ้มออกมาแล้วพูดตอบว่า “ถึงแม้ว่าคุณซูนั้นจะดูทำเกินเลยไปทุกครั้งก็จริงจนเหมือนกับว่าเขาบ้าไปแล้ว
แต่ในทุกๆครั้งนั้นก็ถือได้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นไม่เคยเกินเลยหรือขาดเหลือแม้แต่น้อยนี่นา และเขาเองยังไม่เคยทำให้ฉันผิดหวังเลยสักครั้ง ต่อให้เขาไม่มีรายการอาหารให้ดูฉันก็มั่นใจในตัวคุณซูอยู่ดี”
หวังจ้าวและหวังซือหยาเองที่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกยินดีขึ้นมาจริงๆ เอาจริงๆที่เขาสั่งอาหารชุดกลางและชุดสุดยอดมานี้ก็เพียงเพราะต้องการไม่ให้บรรยากาศต้องตกหล่นไปเท่านั้นเอง
ด้วยความสัมพันธุ์ของทั้งคู่แล้วต่อให้ต้องจ่ายเป็นร้อยล้านก็ยินดี นับประสากับเงินแค่ห้าแสนหยวน แต่บอสหวู่นั้นถึงแม้ว่าจะเป็นคนนอก แต่เขานั้นกลับเชื่อใจซูจิ้งพอๆกับพวกเขาแบบนี้ ทำให้พวกเขานั้นรู้สึกยินดียิ่งว่าซูจิ้งนั้นแต่ให้จะทำเรื่องที่ดูไร้ซึ่งเหตุผลแต่ก็ยังมีคนคอยสนับสนุนเขาอยู่ดี
หลังจากผ่านไปสักพัก บริกรก็ได้นะอาหารจานแรกมาเสริฟ อาหารจานแรกนี้เป็นของถังฮ่าวที่ได้สั่งไว้ แน่นอนว่าต้องเป็นพวกเขาที่ได้ก่อนใคร
ทุกคนที่สั่งชุดแรกไปก็อดไม่ได้ที่จะมองเป็นตาเดียว เมื่อทุกคนได้เห็นอาหารหลังจากที่บริกรได้เปิดฝาครอบขึ้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงไปเสียทุกคน
GGS:บทที่ 998 คุ้มค่า!!!
ทันทีฝาครอบได้เปิดออกก็เผยให้เห็นชุดอาหารจานธรรมดาประกอบด้วยปลาเฉาขนาดประมาณสักสองถึงสามชั่งนิ่งทั้งตัวหนึ่งจาก โจ๊กมะละกอหนึ่งชามเล็ก และชาเขียวหนึ่งถ้วย ซึ่งปริมาณโดยรวมแล้วกำลังพอเหมาะกับการกินคนเดียวพอดี
แต่เมื่อนึกถึงว่าอาหารชุดนี้ราคาถึงหนึ่งแสนหยวนแล้วปริมาณที่ได้สมควรจะมากกว่านี้ ทุกคนต่างก็คิดว่านี่แพงไปอยู่ดี
“….นี่คือชุดอาหารธรรมดามีแค่นี้ใช่รึเปล่า” ถังฮ่าวถามออกมา
“ใช่แล้วค่ะ นี่คือทั้งหมดสำหรับชุดอาหารระดับธรรมดา” บริการสาวได้ตามออกมาด้วยท่าทีอึดอัดเล็กน้อย เธอเองก็ถามซูจิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนหน้านี้แล้วเหมือนกัน เพราะไม่ว่ายังไงการที่อาหารเพียงเท่านี้ราคาหนึ่งแสนหยวน นี่ทำให้ภัตตาคารเปรียบได้ดั่งร้านอาหารที่เอาเปรียบผู้คนตามงานเทศกาลจริงๆ
“จะไปพอได้ยังไงกัน ฉันขอโจ๊กเพิ่มสองชามกับเรื่องดื่มอีกสักสองแก้วได้รึเปล่า” ถังฮ่าวถามออกมา
“ได้ค่ะ โจ๊กชามหนึ่งราคาอยู่ที่สามหมื่นหยวน ส่วนชานี่ราคาอยู่ที่ถ้วยละหนึ่งหยวนค่ะ” บริกรได้พูดออกมา
“ห้ะ” ถังฮ่าวในตอนนี้ได้แค่จ้องมองไปยังบริกรนิ่งๆ หวังจ้าว หวังซูหยา และคนอื่นๆเองที่ได้ยินแม้จะอยู่ห่างออกไปแต่ก็ได้ยินชัดจนต้องมองตาม
ตอนนี้ทุกคนต่างก็ได้คิดว่าได้เผลอไผลมาเข้าร้อนอาหารมืด(ร้านที่โก่งราคาเอาเปรียบคนซื้อ)เรียบร้อยแล้ว นี่เขาโก่งราคาเกินไปแล้วจริงๆ
“ก็ดี งั้นฉันไม่สั่งเพิ่ม” ถังฮ่าวรู้สึกอารมณ์เสียเล็กน้อย เขารู้สึกได้ทันทีว่าพอเป็นเรื่องเงินทองนี่ซูจิ้งไม่เคยคิดจะลดราวาซอกเลยจริงๆ
“นี่ๆกลิ่นนั่นน่ะใช่กลิ่นของโจ๊กชามนั้นรึเปล่า” ถังเสี่ยวหยูในตอนนี้กำลังใช้จมูกดมกลิ่นด้วยหน้าตาใสสื่อพลางหยิบตะเดียบขึ้นมาพร้อมกำลังจะหยิบชุดอาหารของถังฮ่าวไป
“เหอะ แพงขนาดนี้กลิ่นก็สมควรจะ…” ถังยี่เองที่กำลังจะบ่นออกมาก็ได้หยุดปากก่อนที่จะแอบหยิบตะเกียบขึ้นมาพร้อมท่าทียื้อแย่ง
ถังฮ่าวที่กำลังขุ่นเคืองเรื่องราคาอยู่นั้นเมื่อได้ยินก็ได้สูดกลิ่นเข้าไปทีหนึ่ง ตอนนี้เขานั้นลืมเรื่องราคาที่ขูดเลือดไปจนหมดสิ้นก่อนที่จะคว้าตะเกียบหยิบชิ้นปลาชิ้นหนึ่งเข้าปากไปเร็วเกินกว่าที่อีกสองสาวผู้ร่วมโต๊ะจะตามได้ทัน
ทันทีที่เนื้อเข้าปาก ดวงตาของเขานั้นเบิกกว้าง เขารู้สึกได้เลยว่าชิ้นเนื้อปลานี้ละมุนมากจนละลายไปกับปากของเขา รสชาติของปลาที่แตกกระจายไปทั่วลิ้น จิตใจของเขานี้กระจ่างใสราวกับไม่เคยมีอะไรขุ่นเคืองมาก่อน
“อร่อยมาก” ถังเสี่ยวหยูพูดออกมาดังจนเกือบได้ยินกันทั้งร้าน
“ตอนที่ฉันเคยมากินปลาฉางที่ร้านนี้ก็ว่าอร่อยแล้วนะ แต่ก็ยังเทียบไม่ได้จากจานนี้เลย นี่คือเนื้อปลาฉางจริงๆเหรอ” ถังยี่เองก็ได้พูดออกมาด้วยท่าทีตกใจ
“ฝีมือทำอาหารของซูจิ้งเพิ่มขึ้นอีกแล้วเหรอ” ถังฮ่าวเองในตอนนี้ก็ได้ตั้งคำถามขึ้นมา
สิ่งที่ทุกคนนั้นไม่รู้ก็คือปลาฉางที่ซูจิ้งใช้นั้นไม่ใช่ปลาฉางฮื้อที่มีอยู่บนโลกนี้ แต่ปลาฉางนี้เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯดินแดนแห่งฟากฟ้า แน่นอนว่าปลาฉางธรรมดาที่อยู่บนโลกอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็ยังนิ่งโดยใช้วิธีนิ่งทั้งเกล็ดด้วยความร้อนสูงจนเกล็ดละลาย ซึ่งเป็นเทคนิคพิเศษเฉพาะเขาเท่านั้น เป็นธรรมดาที่ชั้นหนึ่งและชั้นสองของภัตตาการแห่งนี้จะไม่มีไว้ให้บริการ
“โจ๊กมะละกอนี่ก็สุดยอดไม่แพ้กันเลย มันหวานอร่อยละมุนลิ้นดีจริงๆ” ถังเสี่ยวหยูที่กำลังตักโจ๊กเข้าปากก็พูดออกมาอย่างไม่ยั้งมือ
ทั้งๆที่ขนาดของชามนี้เพียงแค่ชามเล็กๆที่แทบจะบอกได้ว่ามันนั้นแค่เอาไว้ใช้แค่ลองชิมเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงได้อร่อยขนาดนี้
มะละกอนี่แน่นอนว่าไม่ใช่มะละกอทั่วไป แต่นี่คือมะละกอหวานที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯตำนานเทพอสูร ต่อให้เป็นทั่วไปมาทำก็ยังอร่อยได้ด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว นับประสาอะไรเมื่อซูจิ้งเป็นคนลงมือเองย่อมอร่อยกว่าคนทั่วไปหลายเท่าตัว
ตระกูลถังยังได้ลิ้มรสชาถ้วยนั้นอย่างละเมียดละไม พวกเขานั้นต่างก็กินชากันเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว ทันทีที่นำชาสัมผัสไปกับลิ้น รสชาติละกลิ่นของชาก็กระจายไปทั่วปาก
กลิ่นของมันเข้มจ้นแต่ก็พาผ่อนคลายราวกับว่าซูจิ้งได้นำชาทั้งสวนมากลั่นเป็นน้ำชาถ้วยนี้ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ทำให้คนที่กินชานี้แล้วจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่า
ใบชาที่ใช้ทำชาถ้วยนี้ ซูจิ้งพึ่งจะได้มาจากขยะห้วงเวลาฯตำนานยอดทหารกล้าจ้าวนักรบ เขานั้นเมื่อรู้ว่าขยะห้วงเวลาฯกองล่าสุดนี่มาจากที่ใดก็ได้ทำการตรวจสอบพืชพรรณที่ได้มาก่อนหน้านี้อีกครั้ง จนกระทั่งพบต้นชาหานิ้วจากดาวแฮริสันนี้เข้า
ถึงแม้ว่าที่นั่นจะดื่มกันอยู่ทั่วไป แต่กับโลกใบนี้แล้วมันคือชาพันธุ์สุดแสนจะหายาก เขาเองก็ได้ลองดื่มมันดูแล้วเหมือนกัน ถึงแม้ว่าชานี้จะเทียบไม่ได้กับชาจากห้วงเวลาฯโลกแห่งเซียนก็ตาม แต่รสชาติก็ยังเหนือล้ำกว่าชาบนโลก ที่สำคัญที่สุดคือ เขามีต้นพันธุ์ใบชานี้
ถังฮ่าว ถังยี่ และถังเสี่ยวหยูนั้น หลังจากที่ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับอาหารทุกจานไปเรียบร้อยแล้ว
ทุกคนในตอนนี้ไม่พูดอะไรอีก
ต่างก็ตั้งอกตั้งใจกินอย่างตระกระตระกรามราวกับไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่เลยด้วยซ้ำ เพียงแค่ไม่ถึงสามนาที อาหารชุดธรรมดาได้หมดไปอย่างรวดเร็ว
ทุกคนต่างก็แลบลิ้นเลียริมฝีปากราวกับเสียดายที่หมดไวไปหน่อยไม่ต่างจากคนงานที่อยู่ในสลัมเลยทีเดียว
หวังซือหยา หวังจ้าว ผู้อาวุโสหวู่และคนอื่นๆเองที่เห็นต่างก็จ้องมองอย่างโง่งม เท่าที่เขาได้ฟังดูขนาดถังฮ่าวและคนอื่นๆที่อยู่ร่วมโต๊ะที่เคยกินอาหารฝีมือซูจิ้งมาน่าจะบ่อยครั้งก็ยังอดกินอย่างสงบเสงี่ยมไม่ได้
และพวกเขาเองก็ได้กลิ่นอาหารชุดธรรมดานี้แล้วเหมือนกัน พวกเขาบางคนก็มีโอกาสได้ลิ้มรสฝีมือซูจิ้งมาบ้างแต่ก็ยังรูสึกว่ามันหอมหวลกว่าเดิม
นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้กินมานานแล้วหรือเป็นเพราะว่าฝีมือของซูจิ้งเพิ่มขึ้นอีกแล้วกันแน่
ไม่นาน อาหารชุดจานธรรมดาก็ได้เสริฟให้กับคนที่สั่งจนครบ ทุกคนต่างก็อดใจไม่ไหวและได้ลงมีกินอย่างไม่เกรงใจอีกต่อไป
“พระเจ้า อร่อยยยยยยยยยย” ชายหนุ่มที่สูงขึ้นจากการรับการรักษาของซูจิ้งที่คลีนิกพิเศษของโรงพยาบาลกังเฟิงได้พูดออกมาอย่างไม่เกรงงใจใคร ถึงแม้เขาจะเพิ่งลองกินไปได้เพียงคำเดียวแต่นี่ก็ไม่ได้กล่าวเกินจริงไปเลยแม้แต่น้อย ท่าทางของเขาในตอนนี้ราวกับเด็กน้อยที่ไม่เคยกินของอร่อยมาก่อนเลยในชีวิต
“ทั้งปลาฉางและโจ๊กมะละกอของที่นี่อร่อยที่สุดในโลกเลย ไหนจะเบียร์นี่อีก โลกนี้มีเบียร์เลิศรสแบบนี้อยู่ได้ยังไงกัน” คู่ชายหญิงที่รู้จักกันเพราะอันจิ้ฮัวนั้นต่างก็กินไปด้วยท่าทางมหัศจรรย์พันลึก ทั้งสองต่างก็เลือกเครื่องดื่มเป็นเบียร์มอลต์และต่างก็คิดว่ามันเป็นเพียงทั่วๆไปเท่านั้น พวกเขาไม่คิดว่าแค่เบียร์นี่เพียงอย่างเดียวก็ทำให้เขาสามารถนั่งดื่มที่นี่ได้ทั้งวันแล้ว
“มันแพงก็จริง แต่มันก็…” เฉียนชูเฟิงได้พูดออกมาในขณะที่เคี้ยวเนื้อปลาอยู่เต็มปากราวกับจะบ่นอะไรสักอย่างแต่เขาก็หมดอารมณ์ที่จะพูดไปแล้วไม่พูดอะไรออกมาอีก
“อาหารแบบนี้มีอยู่บนโลก…ได้..ยังไงกัน” จ้าวจือนั้นไม่เคยเชื่อว่าซูจิ้งจะมีฝีมือในการทำอาหารเลยแม้แต่น้อย ในตอนนี้เขานั้นทำได้เพียงตกใจจริงๆ
นั่นก็เพราะว่าซูจิ้งได้พัฒนาฝีมือการทำอาหารของเขาได้เทพเสียยิ่งกว่าเดิม แม้แต่เขาเองก็ยังอดดื่มด่ำไปกับการกินไม่ได้แล้ว เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าบนโลกนี้จะมีรสชาติแบบนี้อยู่จริง
“ช่างคุ้มค่ายิ่งแล้ว” ผู้อาวุโสจิ้งได้พูดพลางแสดงท่าทีปลื้มปลิ่ม เขานั้นเคยมีโอกาสได้กินอาหารของซูจิ้งมาแล้วในตอนที่อาจารย์สมัยมหาวิทยาลัยของซูจิ้งได้แต่งงานที่โรงแรมของเขา และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจไวน์จิ้งจอกแดงร่วมกัน
ในครั้งนั้นเขายังไม่เคยลืมเลือนรสชาติของซูจิ้งเลยสักนิด ที่มาในครั้งนี้เขาเองก็แค่อยากจะเติมเต็มความรู้สึกนั้นอีกครั้ง คิดไม่ถึงว่าในตอนนี้ฝีมือของซูจิ้งจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมไปอีกหลายเท่าตัวไปแล้ว
โจวเทียนรุยไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเพียงแค่ค่อยๆกินเข้าไปด้วยท่าทีสงบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“ไม่เวอร์กันเกินไปรึไงเนี่ย” ชายหนุ่มเจาะหูได้พูดออกมา
“ไม่รู้สินะ แต่กลิ่นมันก็หอมจริง” ชายหนุ่มอีกคนได้พูดออกมา
“ถึงตาพวกเราแล้ว แค่ลองกินดูเดี๋ยวก็รู้” ชายหนุ่มท่าทางหล่อเหลาพูดออกมา
หลังจากจากชุดอาหารธรรมดาได้มาเสริฟยังโต๊ะของพวกเขา เพียงได้กลิ่นเพียงเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเพียงแค่คีบกันไปคนละชิ้น หลังจากนั้นไม่มีใครพูดอะไรอีก ทุกคนต่างก็ตั้งหน้าตั้งตากินอย่างไม่ในใจใคร
ถึงแม้พวกเขานั้นจะแต่งตัวดูดีแต่ก็มีบางคนทีจับจานขึ้นมาเลียสองถึงสามครั้งเลยทีเดียว พวกเขานั้นคือพี่น้องนอกเลือด(ลูกน้อง)ของฮัวหยุนชู
ที่พวกเขามาที่นี่ในวันนี้เพียงเพราะต้องการมาดูสถานการณ์ของซูจิ้ง หรือจะให้ดีก็หาโอกาสก่อกวนซูจิ้งในทันทีหากพวกเขามีโอกาส
แต่เพียงได้กินอาหารของซูจิ้งไปแล้วพวกเขาต่างก็พูดอะไรกันไม่ออก พวกเขาต่างก็รู้เหมือนๆกันว่าพวกเขานั้นฝืนใจกันไม่ออกจริงๆที่จะบอกออกมาว่าชุดอาหารชุดนี้ไม่อร่อย
เพียงแค่อาหารได้เสริฟบนโต๊ะต่อหน้าทุกคน เพียงไม่กี่อึดใจก็หมดลงอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ทุกคนนั้นต่างก็อดใจไม่ไหวที่จะสั่งต่ออีกต่อไป
ใช่มันแพง แต่มันนั้นคุ้มค่า ต่อให้พวกเขานั้นไม่อยากแต่พยาธิในท้องพวกเขานั้นจะไม่ทนอย่างแน่นอน
“ดูเหมือนว่าการที่ซูจิ้งตั้งราคาไว้ขนาดนี้จะสมเหตุสมผลแล้วสินะ” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฉันว่าน่าจะเป็นเพราะฝีมือเขาเพิ่มด้วยแหล่ะ เอาล่ะตอนนี้คงถึงตาพวกเราแล้ว” หวังซือหยาได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง
ในตอนนี้ อาหารชุดกลางและอาหารชุดยอดได้ถูกนำมาเสริฟให้กับคนที่สั่งเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าผู้อาวุโสหวู่เองก็ได้แล้วเช่นเดียวกัน
ทันที่ที่ถาดอาหารของผู้อาวุโสหวู่ได้ถูกเปิดออก กลิ่นอันหอมหวลอย่างที่สุดก็ได้ฟุ้งกระจายไปจนทั่วอากาศภายในห้อง
GGS:บทที่ 999 ความอร่อยสุดแสนจะลึกล้ำ
อาหารของหวังจ้าวและหวังซือหยาที่ได้สั่งชุดอาหารจานกลางและจานสุดยอดไปนั้นได้มาเสริฟต่อหน้าทั้งสองแล้ว
เมื่อถาดอาหารได้เปิดออกก็ปรากฎเนื้อหนูนากระทะร้อนและเนื้อซาลามันเดอร์แดงนึ่งอย่างละหนึ่งจาน
อาหารจานหลักก็เป็นข้าวสีน้ำเงินระดับทั่วไปและระดับสุดยอดโดยจานหนึ่งเป็นการหุงธรรมดาอีกจานหนึ่งทำเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว ส่วนเครื่องดื่มนั้นทั้งสองเลือกสั่งเป็นน้ำหญ้าหวานและชาโสมอย่างละแก้ว
นอกจากนั้นยังมีชาน้ำผึ้งและไวน์จิ้งจอกแดงอย่างละแก้วด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าด้วยการที่ทั้งสองนั้นสนิทสนมกับซูจิ้ง เขาจึงแถมให้เป็นพิเศษ
“หอมโคตรรรรร” หวังจ้าวอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างเปี่ยมสุข
“เอาจริงๆนะ ถ้าเป็นตอนปกตินี่ไม่มีทางเลยที่ฉันจะกล้ากินเนื้อหนูนาและซาลามันเดอร์แดงแบบนี้ แค่คิดสภาพก่อนที่จะมาเป็นอาหารก็กินไม่ลงแล้ว ไม่นึกเลยว่ากลิ่นมันจะดีขนาดนี้” หวังซือหยาได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้างในขณะที่พยายามดื่มด่ำกับกลิ่นอันหอมหวลของทั้งสองจาน
และในทันทีที่หวังซือหยาและหวังจ้าวได้คีบเนื้อที่ตัวเองสั่ง เพียงแค่เข้าปากไปแล้ว ทั้งสองสะดุ้งเฮื้อก คิ้วของทั้งสองยกสูงขึ้นพร้อมด้วงตาที่เบิกกว้าง
ดวงตาของทั้งสองแสดงท่าทางสับสน นั่นก็เพราะว่าความอร่อยทีกระจายออกไปในทันทีทั่วไปปลายลิ้นที่สัมผัสนี้พวกเขาไม่เคยได้กินมาก่อน
นี่จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ทั้งสองจะไม่สนใจจะรักษามารยาทอะไรแม้แต่น้อยและตั้งหน้าตั้งตากินโดยไม่สนใจอีกฝ่ายอีกต่อไป
หวังซือหยาได้ลองคีบเนื้อซาลามันเดอร์แดงดู ส่วนหวังจ้าวได้ลองกินเนื้อของหนูนาดู ทั้งคู่เองต่างก็อดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทีสับสนเช่นเดิมออกมา แต่ตอนนี้ทั้งสองรู้แล้วว่าเนื้อของซาลามันเดอร์แดงนั้นอร่อยล้ำกว่า
หลังจากนั้นทั้งคู่ได้ลองกินข้าวสีน้ำเงินระดับธรรมดาและระดับชั้นยอดดู ทั้งสองต่างก็ตกใจอีกครั้ง เพียงแค่ระดับธรรมดาก็เพียงพอจะทำให้ทั้งสองตกใจในความอร่อยแล้ว
แต่เมื่อทั้งสองได้กินข้าวสีน้ำเงินระดับสุดยอด พวกเขารู้สึกได้ถึงพลังที่ไหลเวียนในร่างในทันที ความต่างกันของพวกมันเพียงอย่างเดียวน่าจะเป็นเรื่องของสารอาหาร
แต่หากพูดถึงความอร่อยแล้ว เหนือล้ำกว่าข้าวทั่วไปทั้งสองอย่าง ต่อให้ไม่มีกับข้าวก็สามารถกินได้อย่างสบายๆ
เช่นเดียวกัน หลังจากที่ทั้งสองได้ดื่มน้ำหญ้าหวานและชาโสมก็ต้องสะดุ้งเฮือกในความอร่อย หญ้าหวานนั้นเพียงแค่สัมผัสปลายลิ้นเพียงจิบเดียว ความอร่อยก็กระจายทั่วปากในทันที
สำหรับชาโสมนั้นเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย นั่นก็เพราะเมื่อดื่มแล้วถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงชาอุ่นๆ แต่กลับส่งผลให้ร่างกายนั้นเลือดไหลเวียนสูบฉีดจนร้อนได้ทั่วทั้งร่าง
“เลิศล้ำในใต้หล้า” อีกด้านหนึ่ง ผู้อาวุโสหวู่ที่ในตอนนี้พยายามสงบสติยับยั้งชั่งใจตัวเองอยู่อย่างสุดกำลังในขณะที่พยายามเคี้ยวลิ้มรสเนื้อซาลามันเดอร์แดงอย่างช้าๆที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เพียงแต่ได้ลิ้มรสชาตินี้เพียงคำเดียวนั้นเข้าไปทำให้เขานั้นอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกนานเท่านาน
เขานั้นเลือกเครื่องดิ่มเป็นไวน์จิ้งจอกแดงแทนที่จะเป็นชาโสม เหตุผลก็เพราะว่าไวน์ขวดนี้ไม่ใช่ไวน์จิ้งจอกแดงที่มีขายตามท้องตลาด แต่เป็นไวน์จิ้งจอกแดงระดับสุดยอดที่ซูจิ้งไม่วางขาย
ในตอนนี้คนอื่นๆที่กินอาหารชุดธรรมดาจนเกือบหมดแล้ว ทันทีที่ได้รับรู้กลิ่นอันหอมหวลชวนยั่วน้ำลายของอาหารจานกลางและอาหารจานสุดยอดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายขึ้นมา
“…ชุดอาหารจานกลางและจานสุดยอดนี่ดูน่ากินดีเนาะ”
“เห็นด้วย น้ำลายไหลแล้ว”
“หรือว่าเราจะสั่งสักจาน”
“แต่มันแพงนะ”
“คุณลุงขา เราจะไม่สั่งชุดอาหารจานสุดยอดสักหน่อยเหรอคะ…..” ถังเสี่ยวหยูในตอนนี้กอดแขนออดอ้อนถังฮ่าวอย่างสุดกำลัง
“คุณลุงขา……ถ้าจานสุดยอดแพงไปล่ะก็ ทำไมเราไม่ลองจานกลางสักหน่อยล่ะคะ….. หากว่าคุณลุงสนใจล่ะก็หนูยอมที่จะหารเลยเอ้า” ถังยี่เองก็อดไม่ได้ที่จะออดอ้อนเช่นเดียวกัน
เธอนั้นถึงแม้จะมีความอดกลั้นมากกว่าถังเสี่ยวหยู่ก็จริง ต่างก็ยังไม่แกร่งพอที่จะละความอยากกินอีกสักจาน เธอนั้นยินดีที่จะกรีดเลือดของตัวเองเพื่อการนี้เลยจริงๆ
“ลุงตั้งใจจะพามาเลี้ยงเองนี่นาจะให้หลานออกได้ยังไง แต่ได้อีกแค่ชุดกลางคนละชุดนะ หากมากกว่านี้ลุงกินไม่ไหวแล้ว” ถังฮ่าวเองก็ได้ยอมแพ้และได้พูดออกมาอย่างจนใจ
คนที่อยู่ที่นี่ในตอนนี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนรวยอย่างน้อยๆก็อยู่ในระดับสูงของเมืองนี้ ด้วยเงินครึ่งล้านแบบนี้ไม่ได้มากมายอะไรกับพวกเขาเลย พวกเขาจึงได้ตัดสินใจสั่งอีกคนละชุดบ้างก็สั่งชุดกลาง บ้างสั่งชุดสุดยอด
“พระเจ้า นี่เนื้อหนูนาจริงๆเหรอ ทำไมมันอร่อยขนาดนี้ได้”
“เนื้อซาลามันเดอร์แดงนี่สุดยอดไปเลย ฉันไม่เคยกินอะไรที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน”
“นี่คือน้ำที่ทำจากหญ้าหวานจริงๆเหรอ มันอร่อยกว่าที่ฉันเคยกินมากเลยนะ”
“ชาน้ำผึ้งนี่หวานซาบซ่านไปถึงกระดูกเลย”
“ไวน์จิ้งจอกแดงนี่สุดยอดมาก ฉันยอมตายเพื่อมันได้เลย”
“ชาโสมนี้รสชาติสุดลึกล้ำจริงๆ เพียงแค่จิบก็รู้สึกสดชื่นเลยทีเดียว”
ในเหล่าผู้คนเหล่านี้นั้นมีเพียงเฉียนชูเฟิงและจ้าวจือเท่านั้นที่ไม่ได้มีท่าทีว่าจะสั่งในตอนแรก แต่เพียงแค่หวังจ้าวและหวังซือหยาได้คีบเนื้อทั้งสองอย่างนี้ให้ทั้งสองได้ลิ้มรสคนละชิ้นเล็กๆเท่านั้น
แต่นั่นก็เพียงพอแล้ว แค่ทั้งสองได้ลิ้มรสก็รีบสั่งชุดจานกลางในทันที สำหรับโต๊ะของเหล่าชายหนุ่มนั้น พวกเขาไม่เพียงแค่สั่งชุดกลางมาเท่านั้น ตอนนี้พวกเขาได้สั่งชุดสุดยอดมาเรียบร้อยแล้ว
ในขณะที่ทุกคนกำลังสาราญอยู่กับความอร่อยของอาหารซูจิ้งนั้น ในตอนนี้แขกพิเศษเองก็ได้ทยอยเข้าพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง
พวกเขานั้นคือคนรวยที่ต่างก็อยากลองกินอาหารฝีมือซูจิ้งดูสักครั้ง บางคนเองที่มานี่ก็เพียงเพราะมาในนามบริษัทคู่ค้าของกลุ่มทุนห้วงเวลา
เหล่าคนที่มาทีหลังนี้แรกเห็นนั้นพวกเขาต่างก็มึนงงกับท่าทางอันบ้าคลั่งของคนที่อยู่มาก่อนหน้าพวกเขาจนนิ่งอึ้งไป แต่ทันทีที่พวกเขาได้ลองกินชุดอาหารธรรมดาไปแล้วก็บ้าคลั่งไม่ต่างกัน
อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขานั้นได้กินจนอิ่มหนำและเรียกให้บริกรมาเพื่อจ่ายเงินเท่านั้น พวกเขาอดไม่ได้ที่จะปวดใจจริงๆ และนี่ทำให้พวกเขาต่างก็ล้มเลิกความคิดที่ว่าจะซื้อกลับไปฝากในทันที
“คุณลุงขา…หนูยังไม่อิ่มเลยอ่า….” ถังเสี่ยวหยูในตอนนี้เม้มปากเลียในขณะที่กินชุดอาหารจานกลางเรียบร้อยไปแล้ว
“มันแพงเกินที่เราจะจ่ายแล้วนะ” ถังยี่พูดออกมาด้วยท่าทีที่ยังไม่พอแต่ก็ต้องตัดใจ
“เสี่ยวหยู วันนี้ลุงเตรียมเงินมาไม่พอแล้วล่ะ ไม่ใช่ว่าลุงไม่อยากนะแต่กลัวว่าจะไม่พอจ่าย คราวหน้าถ้าซูหยาที่เป็นสุดยอดเพื่อนรักของหนูกลับบ้านล่ะก็
ลุงอนุญาตให้หลานไปเที่ยวบ้านของเพื่อนหลานแล้วไปแอบจกข้าวกลับมาด้วยนะ หากหลานทำได้ล่ะก็ลุงจะให้รางวัล” ถังฮ่าวได้กระซิบข้างหูหลานสาวของเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ได้ค่ะ” ถังเสี่ยวหยูที่ได้ยินคำว่ารางวัล เธอก็ได้รีบตอบรับในทันที แต่พอตั้งสติได้เธอก็ได้มองหน้าถังฮ่าวด้วยท่าทางแปลกๆก่อนจะพูดออกมาว่า “เดี๋ยวนะคะ นี่คุณลุงจะบอกว่า ลุงยอมให้หนูไปค้างบ้านเพื่อนรักเพียงเพื่อที่จะให้หนูไปฉกข้าวจากบ้านของเธอเนี่ยนะ”
“แค้กๆ หลานรัก หลานพูดดังไปแล้วนา…” ถังฮ่าวอดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทีกระอักกระอ่วนออกมา
หลังจากถังฮ่าวได้จ่ายเงินแล้ว เขาก็ได้พาถังเสี่ยวหยูและถังยี่เดินลงบันไดไปเช่นเดียวกับคนอื่นๆที่เตรียมตัวจะจากไปหลังจากที่พึ่งจะกินเสร็จเพียงไม่นาน
ไม่ใช่ว่าพวกเขานั้นไม่อยากจะดื่มด่ำบรรยากาศให้คุ้มค่าเงินที่เสีย แต่เป็นเพราะพวกเขาจะอดใจไม่ไหวจนต้องสั่งจานอื่นมากินต่อ
แน่นอนว่าความคิดนี้เกิดขึ้นกับทุกคนที่ได้กิน ต่อให้ทุกคนอยากจะกินต่อขนาดไหนแต่ก็ไม่สามารถที่จะรับราคานี่ไหวได้อยู่ดี
“ดูสิ พวกเขาลงมาแล้ว”
“นี่ไม่ใช่ว่าพวกเขานั้นจะกินเร็วกันไปหน่อยเหรอ”
“ฮ่าฮ่า ฉันว่าฉันรู้ว่าพวกเขานั้นคิดอะไรนะ พวกเขาต้องคิดว่าไม่คุ้มค่าเงินแน่ๆ”
“ทำไมฉันไม่รู้สึกว่าพวกเขาจะมีท่าทางแบบนั้นกันเลยล่ะ จะเป็นตามที่นายบอกจริงๆเหรอ” ลูกค้าทั่วไปที่อยู่ชั้นหนึ่งและชั้นสองอดไม่ได้ที่จะคุยกันเมื่อได้เห็นจ้าวจือ เฉียนชูเฟิง จ้าวเทียนรุย และผู้อาวุโสจี้ที่เดินลงมา
ตอนแรกพวกเขาก็นึกว่าทั้งหมดนั้นล้วนแล้วต่างก็รู้สึกผิดหวังที่มาลองกิน แต่พอมองดูไปแล้วก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด
เมื่อเห็นดังนั้นก็มีบางคนอดไม่ได้ที่จะไปแอบฟังทั้งสามคุยกัน
“มันอร่อยจริงๆนะ ฉันยังกินไม่พอใจเลย อยากกินมากกว่านี้อีกจริงๆ”
“ไม่ใช่ว่ฉันจะไม่อยากนะ แต่มันแพงมากจริงๆ”
“นั่นสิ โคตรแพงเลย ชุดจานธรรมดาหนึ่งแสน ชุดจานกลางห้าแสน ชุดสุดยอดหนึ่งล้าน หากอยู่ต่อจนเผลอสั่งนี่เงินเก็บฉันหมดแน่ๆ”
“ก็คงจะได้แต่บอกว่ามากินบ่อยๆไม่ได้ล่ะนะ แต่นานๆหนก็ยังพอจะไหวอยู่”
“ฉันจะหาเงินมาให้เยอะๆเลยจะได้กินได้ทุกวัน”
เพียงแค่ลูกค้าได้ยินคำพูดของเหล่าคนรวยเหล่านี้ก็ได้แต่มองกันด้วยท่าทีโง่งม พวกเขานั้นต่างก็พอจะรู้มาบ้างว่าราคาเริ่มต้นนั้นอยู่ที่หนึ่งแสนหยวน แต่เขาไม่คิดว่าราคาจะพุ่งขึ้นไปถึงห้าแสนและหนึ่งล้านหยวน เพียงแค่ได้ยินไม่ว่าใครก็ต้องบอกว่ามมันแพงเสียยิ่งกว่าแพง และแพงมากเพียงเท่านั้น
แต่ประเด็นคือต่อให้ทุกคนรู้ว่ามันแพงแต่พวกเขานั้นต่างก็มีเพียงท่าทีที่ว่าจะพยายามขวนขวายหาวิธีให้ได้กินบ่อยครั้งเท่าที่จะเป็นไปได้ บางคนถึงกับกลายเป็นแรงบันดาลใจในการหาเงินเพื่อที่จะกินได้ทุกวันด้วยซ้ำ
“…ห้าแสน…หนึ่งล้าน…อาหารเทพรึไงฟะนั่น”
“ประเด็นคือพวกนี้บอกว่าต้องขวนขวายกลับมากินนี่แหล่ะ”
“ไม่ใช่ว่าพวกเขาแกล้งทำเหรอ”
“ดูไม่เหมือนนะ ถ้าพวกเขาแสดงกันจริงๆล่ะก็ฉันว่านักแสดงตกงานกันหมดแน่”
“………..ถ้างั้น…มันก็อร่อยจริงๆน่ะสิ”
“เราลูกค้าทั่วไปนั้นต่างก็สับสนเมื่อได้ยิน แต่กับนักข่าวที่ซ่อนตัวอยู่นี้ทำได้เพียงแสดงสายตาที่โง่งมออกมา พวกเขานั้นไม่รู้จริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นที่พื้นที่พิเศษกันแน่
ถึงแม้เหตุการณ์นี้จะเป็นไปตามที่พวกเขาคิดไว้ก็จริง แต่มันกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันสุดขั้วยังไงก็พวกเขาก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน”
GGS:บทที่ 1000 มากกว่าความอร่อย
ด้วยการที่นักข่าวที่แฝงตัวอยู่นั้นไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นในพื้นที่พิเศษของภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์แห่งนี้กันแน่ พวกเขาจึงยังไม่กล้าที่จะเขียนข่าวว่าร้ายแต่อย่างใด
พวกเลือกเปลี่ยนหัวข้อข่าวเป็นเชิงตั้งคำถามแทนถึงแม้จะไม่น่าสนใจเท่าข่าวเชิงใส่ร้ายแต่ก็เชิญชวนให้ผู้คนมากดดูข่าวได้อยู่ดี
แน่นอนว่าเมื่อชาวเน็ตได้เห็นข่าวนั้นต่างก็ประหลาดใจกันไปหมด
“ตอนแรกที่ได้ยินว่าซูจิ้งเก็บค่าอาหารเริ่มต้นที่หนึ่งแสนหยวนนั้น ฉันก็ว่าเขานั้นถือดีแล้วนะ ไม่คิดว่าจะมีอาหารที่มีราคาเกินแสนหยวนขึ้นไปอีก”
“นั่นสิ แถมยังบังคับขายที่ราคาห้าแสนและหนึ่งล้านหยวนอีกด้วย”
“ประเด็นคือคนพวกนั้นบอกว่าจะหาเงินเพื่อจะได้กลับไปกินอีกนี่แหล่ะ”
“จริงเหรอ ทำไมฉันคิดว่าคนพวกนี้มาโฆษณาร้านให้ซูจิ้งล่ะ”
“รอดูกันไปก่อนก็แล้วกัน อีกไม่กี่วันเราก็คงได้รู้คำตอบกันแล้วล่ะ ยังไงซะต่อให้พวกนั้นรวยขนาดไหนก็ไม่มีทางที่จะมาโฆษณาให้ซูจิ้งได้ทุกวันอยู่แล้ว คนรวยๆแบบนี้จะมีเวลาว่างที่ไหนมากมายนัก”
ภัตตาคารชื่อดังทั้งหลายเมื่อได้ยินข่าวนี้ต่างก็ส่ายหน้ากันไปมา พวกเขานั้น ในตอนแรกที่ได้ยินว่าซูจิ้งคิดค่าอาหารเริ่มต้นที่หนึ่งแสนหยวนนั้นต่างก็คิดว่าซูจิ้งค้ากำไรเกินควรไปแล้ว
นึกไม่ถึงว่าภายในร้านยังมีอาหารอย่างอื่นที่แพงกว่า และคิดค่าอาหารถึงห้าแสนและหนึ่งล้านหยวนเสียอีก นี่ซูจิ้งคิดว่าพวกเขานั่นโง่ขนาดนั้นเลยรึไงกัน
“การที่เขาใช้วิธีโฆษณาแบบนี้มันไม่มีประโยชน์หรอกน่า ไม่ใครหลงเชื่ออย่างแน่นอน” หวังหยิงหมิงพูดออกมาพลางส่ายศรีษะทันทีเมื่อได้ยินข่าวนี้
“แล้วถ้าไม่ใช่การโฆษณาล่ะ” หวังสวี่หลันที่ได้ยินก็ได้พูดออกมาบ้าง
“นี่เธอคิดจริงๆเหรอว่าจะมีคนมากมายยอมจ่ายเงินกว่าครึ่งล้านเพียงเพื่ออาหารหนึ่งมื้อน่ะ แถมแต่ละชุดนั่นฉันก็ได้ยินมาว่าขนาดเพียงพอแค่กินคนเดียวเองนะ” หวังหยิงหมิงพูดต่อ
“…….” ถึงแม้หวังสวี่หลันอยากจะเถียงแทนซูจิ้งสักเท่าไหร่แต่เธอก็ไม่รู้จะพูดออกมาว่ายังไงดีเหมือนกัน
หวังหยานได้เห็นข่าวนี้แล้วแต่เธอก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา เธอนั้นไม่อยากจะรีบด่วนสรุปไปนัก เธอวางแผนว่าจะรอดูอีกสักหน่อยและเชื่อว่าอีกไม่นานผลสรุปก็จะออกมาแล้ว
แฟนคลับของซูจิ้งในตอนนี้ต่างก็มีความรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย พวกเขาได้เห็นภาพอาหารในทุกชุดจากทางอินเตอร์เน็ตแล้วทั้งชุดราคา หนึ่งแสน ห้าแสน และหนึ่งล้านหยวน
นี่เขาคิดว่าทำแบบนี้จะมีคนหลงเข้าไปกินได้จริงๆงั้นเหรอ พลางคิดกันว่าพี่จิ้งของพวกเขานั้น ในครั้งนี้ทำเกินไปจริงๆ
หากเขาทำเรื่องแบบนี้ได้หน้าตาเฉยแล้วแฟนคลับแบบพวกเขาจะหาวิธีอะไรไปสนับสนุนได้กัน แต่ถึงจะบอกว่ายากที่จะสนับสนุนแต่พวกเขายังเชื่อว่าสิ่งที่ซูจิ้งทำอยู่นั้นเหมาะสมแล้วอยู่ดี พวกเขาเองก็หวังแค่เพียงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นและผ่านพ้นไปด้วยดี
อย่างไรก็ตามสิ่งที่แฟนคลับของซูจิ้งคิดไว้นั้นหาได้เป็นความจริงไม่ มีใครบางคนรายงานเรื่องของซูจิ้งรายงานเรื่องดังกล่าวไปยังสมาคมคุ้มครองผู้บริโภคและองค์กรอื่นๆ และกล่าวหาว่าซูจิ้งนั้นเปิดภัตตาคารที่ค้ากำไรเกินควร มีแม้กระทั่งการร้องเรียนเรื่องเสียงรบกวนจากการทำอาหารและกลิ่นอีกด้วย
ตัวซูจิ้งเองนั้น ทันทีที่ทราบเรื่องเขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้นแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขานั้นคุ้นเคยกับเรื่องเช่นนี้มานับพันครั้งเห็นจะได้
มันก็เปรียบได้ดั่งคนที่บ่นเรื่องฝนและควันพิษให้ตึกฟังเท่านั้นเอง
เพียงชั่วพริบตาเดียว หนึ่งวันได้ล่วงเลยผ่านไป
หลังจากที่ถังเสี่ยวหยูได้ตื่นขึ้นมา เธอนั้นรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างบอกไม่ถูก นี่ทำให้เธอทำนู่นทำนี่อย่างไม่หยุดตั้งแต่เช้าราวกับเป็นเด็กน้อยเที่ยวเล่นก็ไม่ปาน
“อ้ะ หายากนะเนี่ยที่เสี่ยวหยูจะตื่นมาแล้วไม่ง่วงซึมน่ะ ” แม่ของถังเสี่ยวหยูได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม โดยปกติแล้วเวลาถังเสี่ยวหยูตื่นขึ้นมานั้นเธอจะซึมๆเบลอๆยังไม่อยากจะตื่น
พลางคิดไปว่าน่าจะเป็นเพราะเพิ่งจะสอบเสร็จมาทำให้หายเครียดเป็นปิดทิ้ง
“หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าทำไมถึงรู้สึกสดชื่นได้มากมายขนาดนี้” ถังเสี่ยวหยูพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ในตอนนั้นเอง ถังยี่ก็ได้ลงมาจากชั้นบน เมื่อทั้งสองได้เห็นต่างก็รู้สึกประหลาดใจ
พวกเขานั้นรู้ดีว่าถังยี่ไม่ต้องไปโรงเรียนได้ ส่วนที่บริษัทวันนี้ก็ไม่น่าจะมีอะไรสำคัญที่จะต้องทำก็ไม่น่าจะต้องรีบตื่นเช้าสักหน่อย
ปกติถังยี่จะตื่นประมาณบ่ายโมงเย็น แต่นี่พึ่งจะหกโมงเช้าเองนะ เขาจะตื่นมาทำไมกัน
“อย่าบอกนะว่าพี่เล่นเกมข้ามคืนอีกแล้วน่ะ” ถังเสี่ยวหยู่ถามออกมา
“เปล่านะ นี่เธอเห็นท่าทางสดชื่นอย่างนี้แล้วยังคิดว่าฉันเล่มเกมข้ามคืนได้ยังไงกัน” ถังยี่พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เขาเองก็รู้สึกได้ว่าร่างกายนั้นผ่อนคลายแบบสุดๆจนรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างมาก แม้แต่อารมณ์ของเขาที่ปกติจะขุ่นมัวก็กลายเป็นแจ่มใสอย่างบอกไม่ถูก
“เกิดอะไรขึ้นกับลูกๆกันเนี่ย แม่ไม่เข้าใจเลยจริงๆ” แม่ของสองพี่น้องตระกูลถังได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ถังเสี่ยวหยูและถังยี่เองต่างก็มองหน้ากันก่อนที่จะรู้สึกตื่นเต้นจนหัวใจเต้นแรงขึ้นมาในทันที ถังเสี่ยวหยูได้พูดออกมาว่า “ฉันจำได้แล้ว เห็นเค้าว่ากันว่าอาหารของพี่จิ้งนั้นไม่เพียงแต่จะอร่อยแล้ว อาหารของเขานั้นยังมีสรรพคุณทางยาช่วยให้ผ่อนคลายอีกด้วยนะ ตอนที่กินจะรู้สึกสบาย แต่หลังจากกินจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่า”
“หืม นี่ลูกไม่พูดเกินไปหน่อยรึไงจ๊ะ จะไปมีเรื่องแบบนั้นได้ยังไงกัน” แม่ของถังเสี่ยวหยูพูดออกมาเพราะไม่เชื่อเธอแม้แต่น้อย
เธอนั้นรู้เพียงว่าถังฮ่าวพาลูกๆของเธอไปกินอาหารในพื้นที่พิเศษของภัตตาคารของซูจิ้งเมื่อวานนี้และหมดเงินไปเพียงมื้อเดียวถึงหกแสนหยวน และนั่นเองทำให้เธอบ่นถังฮ่าวไปหนึ่งอุบ
“หนูไม่ได้โกหก ลูกของหวังจ้าวก่อนหน้านี้ก็ป่วยเป็นโรคไม่อยากอาหาร แต่ว่าเพียงกินอาหารของพี่จิ้งทีเดียวก็หายเลย
แถมตอนนี้เขานั้นยังเป็นหมอเทวดาอีกด้วย ตอนนี้ฝีมือทำอาหารของเขาต้องแฝงไปด้วยสรรพคุณทางยามากขึ้นแน่ๆ” ถังเสี่ยวหยูพูดออกมา
“เดี๋ยวนะ ขอโทรหาลุงก่อน” ถังยี่ไม่อยากจะเถียงกับแม่เลยเลือกที่จะโทรหาถังฮ่าวแทนเพื่อเป็นการพิสูจน์
และก็เป็นไปตามคาด ถังฮ่าวเองก็มีสภาพสดชื่นและกระปรี้กระเปร่าไม่ต่างกัน ไม่สิ ต้องบอกว่ามีมมากกว่าความสดชื่น
ด้วยการที่เขานั้นอายุมากแล้วทำให้เขานั้นปวดหลังเล็กน้อย แต่เมื่อเช้านี้ตอนที่เขาตื่นขึ้นมานั้นอาการปวดหลังก็หายเป็นปลิดทิ้ง เขายืนยันโดยการกระโดดโลดเต้นบนที่นอนด้วยซ้ำ
ขณะเดียวกัน ณ บ้านพักหรูหลังหนึ่ง อันจือฮัวได้ตื่นขึ้นมา เขานั้นรู้สึกมีชีวิตชีวาและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานอย่างบอกไม่ถูกจนเขาเองก็รู้สึกได้
ด้วยการที่เขานั้นต้องดูแลกิจการแทนพ่อที่ป่วยเป็นโรคALSทำให้เขานั้นต้องทำงานอย่างหนัก ต่อให้เขาจะเก่งและจัดการดีแค่ไหนก็ตามแต่นั่นก็ต้องแรกมาด้วยการฝืนทำงาน อ่อนเพลีย และอดหลับอดนอน จนทำให้เขานั้นเป็นโลกนอนไม่เพียงพอมานานแล้ว และเขาเองก็รู้เรื่องนี้ดี
ตอนนั้นเอง โทรศัพท์ของเขาก็ได้ดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นน้องสาวของเขาจึงได้รีบรับในทันที ในทันทีที่เขาทักทาย น้องสาวของเธอก็พูดออกมาด้วยเสียงอันสดใสว่า “พี่ หนูปลุกพี่รึเปล่าเนี่ย”
“ไม่นะ ฉันตื่นขึ้นมาได้สักพักแล้วน่ะ เมื่อคืนนอนหลับได้เต็มอิ่มดีจริงๆ” อันจือฮัวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“งั้นพี่กับฉันก็น่าจะเหมือนกันสินะ ฉันคิดว่าน่าจะเป็นเพราะอาหารของซูจิ้งที่เราได้กินมาเมื่อวานนี้ เคยได้ยินมาว่าอาหารที่เขาทำนั้นช่วยให้ผ่อนคลาย แถมตอนนี้เขายังกลายเป็นหมอเทวดาไปแล้ว เรื่องแค่นี้เขาทำได้ง่ายๆอย่างแน่นอน”
“น่าจะเป็นแบบนั้นนะ” อันจือฮัวได้ตอบกลับไปด้วยสายตาที่เปล่งประกาย พวกเขานั้นเคยเห็นความอัศจรรย์ในฐานะหมอเทวดาของซูจิ้งมาแล้ว กับเรื่องแค่นี้ทำให้เขานั้นเชื่อได้อย่างไม่ยากเย็นอะไรเลย
อันจือฮัวได้นิ่งคิดไปพักหนึ่งก่อนจะพูดออกมาว่า “ไว้หาโอกาสพาพ่อกับแม่ไปกินกัน”
“ก็ดีนะ พ่อของเราอยู่แต่ที่บ้านมานานเกินไปแล้ว จะได้เป็นโอกาสพาเขาออกไปข้างนอกซะบ้าง”
ณ บ้านของผู้อาวุโสหวู่
ผู้อาวุโสหวู่ได้ตื่นขึ้นมาแต่เช้า เช้าชนิดที่ว่าแม้แต่เขาก็ยังต้องประหลาดใจ และยิ่งประหลาดใจขึ้นไปอีกเมื่ออาการปวดหลังและเส้นยึดของเขาที่ทำให้เขานั้นต้องคอยนวดประคบร้อนและทายาคลายกล้ามเนื้อในทุกๆเช้านั้นกลับหายไปเป็นปลิดทิ้ง
อาการปวดหลังและเส้นยึดของเขานั้นเรื้อรังมานานและนับวันกลับแย่ลงจนเขาเองก็คิดมาตลอดเวลา เขาเองก็เคยคิดอยู่ว่าจะหาเวลาไปให้ซูจิ้งรักษา นึกไม่ถึงว่าเพียงแค่เขานั้นไปกินข้าวเพียงมื้อเดียวกลับหายได้อย่างไม่อยากจะเชื่อ
ผู้อาวุโสหวู่ที่กำลังรู้สึกเต็มไปด้วยพลังงานและรู้สึกคันไม้คันมือเนื่องจากหลังของเขาหายปวดก็ได้หยิบลูกบาสที่วางอยู่ข้างสนามบาสมาปั่นเล่นบนมือก่อนที่จะเริ่มเลี้ยงบาสอย่างชำนาญ และปิดท้ายด้วยการชู๊ตบาสสามแต้มไปอย่างง่ายดาย ในตอนนี้เขารู้สึกได้เลยว่าแม้แต่กล้ามเนื้อของเขาก็ยังรู้สึกได้ว่าฟิตปึ๋งปั๋งยิ่งกว่าตอนเป็นหนุ่มซะอีก
“พ่อ นึกไงมาเล่นบาสแต่เช้าได้กัน ผมเล่นด้วยสิ” เด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุน่าจะสักสิบสองไม่ก็สิบสามปีได้พูดขณะที่วิ่งออกมาจากบ้าน
“โอ้ ฮุยน้อย ลูกไปล้างหน้าแปลงฟันก่อนดีกว่านะ เดี๋ยววันนี้พ่อจะพาลูกไปกินของดีๆ” ผู้อาวุโสหวู่นั้นรู้มาตั้งแต่ต้นแล้วว่าร่างกายของเขาที่เป็นแบบนี้นั้นต้องมาจากการกินอาหารของซูจิ้งอย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้เขาเองก็เคยได้ยินข่าวลือเรื่องที่ว่าซูจิ้งใช้อาหารรักษาคนที่เป็นโรคเบื่ออาหารมาก่อน แต่เขาเองก็คิดเพียงว่ามันก็ต้องรักษาได้อยู่แล้วเพราะอาหารของซูจิ้งโคตรจะอร่อย
แต่เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าอาหารของซูจิ้งจะมีผลทางยาสุดแสนมหัศจรรย์มากมายขนาดนี้ ดูเหมือนว่าเหตุผลที่ซูจิ้งเก็บค่าอาหารแพงนี่จะไม่เพียงเป็นเพราะมันอร่อยสินะ
“ห้ะ คุณบ้ารึเปล่านี่ ลูกเราต้องไปเรียนนะ” หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่เดินออกมาจากในบ้านได้พูดออกมาเชิงเอ็ดๆด้วยท่าทางอารมณ์ดีเล็กน้อย
“ฮ่าฮ่าฮ่า โทษที ฉันลืมไปน่ะ พอดีตื่นเต้นไปหน่อย เมื่อวานพอดีฉันได้ไปกินข้าวที่พื้นที่พิเศษของภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์มา
มันทั้งอร่อยแบบสุดๆแถมยังทำให้ฉันผ่อนคลายและมีพลังงานเต็มเปี่ยม แล้วเดี๋ยวฉันจะพาเธอกับฮุยน้อยไปหลังเขาเรียนเสร็จแล้วก็ได้” ผู้อาวุโสพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีอารมณ์เล่นบาสเก็ตบอลแต่เช้า นี่ซูจิ้งเขาเก่งมากขนาดนั้นเลยเหรอ” หญิงวัยกลางคนได้พูดออกมาด้วยความประหลาดใจ
“พ่อ พ่อจะผมไปกินของอร่อยๆจริงๆเหรอหลังเลิกเรียนอ่ะ” เด็กชายตัวน้อยพูดออกมาอย่างตื่นเต้น
“แน่นอนสิ แล้วถ้าลูกได้กินดูแล้วรับรองเลยว่าจะติดใจ” ผู้อาวุโสหวู่พูดออกมาด้วยร้อยยิ้มออกมา แน่นอนว่าสำหรับเงินแค่นี้ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น และการได้ลิ้มรสชาติที่สุดแสนอร่อยนั้น สำหรับเขาแล้วเป็นเพียงผลผลอยได้
เพื่อสุขภาพที่ดีของครอบครัวเขานั้น ต่อให้ต้องเสียสิบล้านเขาก็ยินดี
GGS:บทที่ 1001 บ้าไปแล้ว
ไม่เพียงแค่ถังฮ่าว ถังยี่ ถังเสี่ยวหยู ลูกชายและลูกสาวของอันจือฮ่าว และผู้อาวุโสหวู่ แม้แต่คนอื่นๆอย่างชายหนุ่มที่ซูจิ้งทำให้ตัวสูงขึ้น หวังจ้าว หวังซือหยา เฉียนชูเฟิง จ้าวจือ โจวเทียนรุย ผู้อาวุโสซี่ และกลุ่มชายหนุ่มเองก็รู้สึกได้ถึงสภาพร่างกายที่ดีขึ้น
และทุกคนต่างก็นึกถึงอาหารของซูจิ้งแทบจะในทันทีที่รู้ตัว บางคนนั้นยังระลึกถึงรสชาติที่ได้ลิ้มรสไปด้วยซ้ำ
วันถัดมา ยามเมื่อพื้นที่พิเศษของภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์ได้เปิดขึ้น ครอบครัวของถังเสี่ยวหยู ครอบครัวของอันจือฮ่าว ครอบครัวของผู้อาวุโสหวู่ และครอบครัวอื่นๆที่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีอำนาจทางด้านการเงินนั้นได้มาพร้อมครอบครัวของตัวเอง
ภาพนี้ทำให้เหล่าลูกค้าของชั้นหนึ่งและชั้นสองรวมถึงนักข่าวที่แฝงตัวเข้ามาได้แต่เพียงทำหน้าโง่งม
ผู้คนที่เขาเห็นเมื่อวันก่อนไม่เพียงจะกลับมาตามที่พวกเขาพูด การมาในครั้งนี้ยังพาครอบครัวของตัวเองมามากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย นี่มันไม่ต่างจากแม่เป็ดพาลูกเข้าโรงเชือดชัดๆ
นี่ไม่เพียงจะพอตัวเองมา แต่พวกเขายังพาครอบครัวตัวเองมาด้วยแบบนี้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาโดนบังคับให้มากันหรอกเหรอ แล้วทำไมถึงกล้าพาครอบครัวตัวเองมากัน
ไม่เพียงเท่านั้น วันที่สาม วันสี่ และในวันที่ห้า ลูกค้าพื้นที่พิเศษของร้านอาหารก็ยังวนเวียนกันมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสหวู่และอันจือฮ่าวที่มาบ่อยกว่าใคร
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขานั้นมีท่าทางเปลี่ยนไปนับจากวันแรกที่มา ดวงตาของเขานั้นเปล่งประกายขึ้นไปทุกวัน ใบหน้าก็ดูเปล่งปลั่งดูดีมีออร่า
ผมที่เคยขาวโพลนก็กับดกดำเป็นเงางาม อกผาย ไหล่พึ่ง หลังตรง ทุกอย่างก้าวที่เดินดูดีและสง่างาม ที่สำคัญที่สุดคือทั้งสองดูหนุ่มและแข็งแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หากมีใครสักคนมากล้าทัดทานไม่ให้ทั้งสองมากินบ่อยเกินไปล่ะก็ แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครกล้าอย่างแน่นอน เพราะไม่เพียงทั้งสองเท่านั้น คนอื่นที่มาบ่อยๆอย่างจ้าวจือ เฉียนชูเฟิง หรือแม้แต่คนอื่นเองก็ดูดีขึ้นเช่นเดียวกัน
ตราบใดที่คนเหล่านั้นจดจำได้ภาพลักษณ์ทุกคนก่อนที่จะมาที่นี่ได้ทุกคนย่อมเห็นถึงความเปลี่ยนแปลง และนี่เองก็ทำให้ชาวเน็ตนั้นโง่งมกันไปหมด
“พระเจ้า อะไรกันวะเนี่ย ทำไมคนนี้ถึงได้กล้าที่จะมากินอาหารแพงบรรลัยจักรได้แทบจะทุกวันเลย ต่อให้พวกเขาอยากจะมาอุดหนุนตามมารยาทก็เถอะ มันไม่มากเกินไปหน่อยเหรอ”
“มันต้องไม่ใช่การโฆษณาเฉยๆแน่ๆ ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาเป็นคนรวยมากเลยนะ ใครจะมานั่งสละเวลาของตัวเองเพียงเพื่อมานั่งโฆษณาให้ซูจิ้งได้ทุกวี่ทุกวัน
ขนาดซูจิ้งยังไม่เคยออกมาพูดอะไรแม้แต่น้อยแต่ก็มีหน้าใหม่เข้ามาที่นี่เพิ่มขึ้นทุกวัน แถมพวกเขานั้นล้วนแล้วแต่ดูมีความสุขสุดๆหลังออกไปนี่อีก
ขนาดคนที่ร้องลั่นว่าแพงแต่ก็ทนได้ไม่กี่วันก็ยังต้องกลับมากินซ้ำ”
“นี่เขาทำอาหารได้อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ฉันว่าไม่ได้แค่อร่อยนะ ฉันได้ยินมาว่าคนที่ไปกินอาหารของซูจิ้งนั้นสุขภาพจะดีมากขึ้นเรื่อยๆ เท่าที่เห็นนะคือใครก็ตามที่เข้าไปกินอาหารในพื้นที่พิเศษของภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์ดูเด็กขึ้นทุกคนเลยนะ
นักข่าวบางคนยังได้ไปสัมภาษณ์คนรวยพวกนั้น พวกเขาก็พูดออกมาเพียงว่าน่าจะเป็นผลมาจากการกินอาหารของซูจิ้งเท่านั้นเอง”
“อื้มอื้ม ฉันจำได้ว่าซูจิ้งเคยรักษาเด็กที่เป็นโรคเบื่ออาหารด้วยการทำอาหารให้กินเหมือนกัน ในตอนนี้เขานั้นเป็นทั้งหมอเทวดาและเทพเจ้าโรงครัวแล้วด้วย ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะทำแบบนี้ได้จริง”
“พระเจ้า กลายเป็นว่าเขานั้นผนวกรวมทักษะทางด้านการรักษาและการทำอาหารเข้าด้วยกัน มันไม่ใช่ว่าเขาอาศัยเพียงชื่อของเขาในการขายของ แต่เป็นใช้ทักษะสร้างตำนานใหม่”
“แม่…เอ๊ย ทั้งได้กินของอร่อยทั้งสุขภาพดี ฉันเองก็อยากจะกันบ้าง”
“มีปัญญาจ่ายไหมล่ะ หนึ่งแสนเลยนะขั้นต่ำน่ะ”
เหล่าผู้คนที่ไม่ชอบซูจิ้งต่างก็ยืนขึ้นในทันทีที่เห็นโพสต์ของชาวเน็ต ส่วนเหล่าคนที่รายงานเรื่องของซูจิ้งไปก็ทำได้เพียงโง่งมและสับสนว่าพวกเขานั้นทำถูกใช่รึเปล่า
“อาหารเพื่อสุขภาพงั้นเหรอ” เหล่าภัตตาคารที่เห็นข่าวนี้ต่างก็สับสนกันไปหมด แน่นอนว่าพวกเขานั้นย่อมรู้ดีว่าคำๆนี้คืออะไร แต่โดยปกติแล้วกว่าอาหารเพื่อสุขภาพจะเห็นผลลัพท์นั้นมันยากที่จะเห็นได้เพราะว่าใช้เวลานาน
และยิ่งหากลูกค้าไม่ได้ไปกินอาหารเพื่อสุขภาพในทุกมื้อ นั่นจะยิ่งยากที่จะเห็นผลเข้าไปอีก นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องรสชาติด้วยซ้ำ จึงเป็นเหตุผลว่าไม่ใครอยากจะขายเพราะลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ชอบที่จะกินมัน
แต่กับพื้นที่พิเศษของภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์แห่งนี้เพิ่งจะเปิดแค่ไม่กี่วัน ลูกค้าที่ไปกินต่อให้ทุกวันก็ยังนับวันได้เลย พวกเขาจะสุขภาพดีขึ้นได้อย่างรวดเร็วแบบนี้ได้ยังไงกัน ทำได้ก็คงเป็นพระเจ้าแล้วล่ะ
ในขณะที่เหล่าภัตตาคารนั้นรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ พวกเขาก็ได้เห็นใครบางคนนำรูปถ่ายเปรียบเทียบของผู้อาวุโสหวู่และอันจือฮ่าวมาโพสต์เอาไว้ จากที่ไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อยก็ต้องกลับมาเชื่ออย่างหมดใจ
ตราบใดที่คนที่เห็นภาพถ่ายนี้ยังมีดวงตาอยู่ คนๆนั้นย่อมเห็นว่าพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด และที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาดูอ่อนวัยขึ้น
“ในโลกนี้จะมีอาหารที่ทำให้ร่างกายผู้คนแข็งแรงและสุขภาพดีในช่วงเวลาสั้นๆแบบนี้ได้ยังไงกัน” พ่อครัวชื่อดังที่กำลังทำงานอยู่ในภัตตาคารแห่งหนึ่งได้พูดออกมาอย่างอดเสียไม่ได้ทั้งจากมุมมองพ่อครัวและมนุษย์ปถุชนคนทั่วไป
“หากว่ามีเวลามากกว่านี้ย่อมเป็นไปได้ แต่ด้วยเวลาเพียงไม่กี่วันนี่มัน…. ไม่สิ ปกติ ต่อให้รอจนกว่าจะเห็นก็ไม่มีทางทำได้เท่านี้แน่ๆ” พ่อครัวที่อยู่ข้างๆก็ได้พูดออกมา
“แต่หมอนั่นก็ทำได้เพียงช่วงเวลาสั้นๆเองนี่” พ่อครัวอีกคนหนึ่งพูดในขณะที่กำลังใช้นิ้วเคาะเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
“เรื่องนี้ก็คงจะเทียบหมอนี่ได้ยากแล้วล่ะ นั่นก็เพราะหมอนี่ยังไงซะก็ยังได้ชื่อว่าหมอเทวดา มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่พวกเราเทียบเขาไม่ได้เลย” พ่อครัวอีกคนหนึ่งได้พูดออกมาด้วยท่าทีเซ็งๆ
“เป็นไปได้ยังไงกัน” หวังหยิงหมิงพูดออกมาด้วยท่าทางประหลาดใจในทันทีเมื่อได้ยินข่าว
“ฮ่าฮ่าฮ่า ฉันกะไว้แล้วว่าจะออกมาอีหรอบนี้ แต่ก็ไม่คิดเลยนะว่าอาหารของเขานั้นจะเป็นอาหารเพื่อสุขภาพด้วย คงมีเฉพาะคนที่มีทักษะทั้งหมอเทวดาและเทพเจ้าโรงครัวแบบนี้เท่านั้นที่จะทำได้” หวังสวี่หลันถอนหายใจออกมาแบบโล่งใจเล็กน้อยก่อนจะหันไปทางหวังหยานก่อนจะพูดออกมาว่า “เดาว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ไว้แล้วเหรอ”
“ใครจะไปเดาได้กันเรื่องแบบนี้” หวังหยานตอบออกมาพลางส่ายศรีษะไปมาและยิ้มออกมาเล็กน้อย
ถ้าจะบอกว่าไม่ได้คาดเดาไว้ก็ไม่เชิง เธอเองก็พอจะเดาๆไว้บ้างแต่ไม่ได้คาดถึงเรื่องที่ว่าคนที่กินอาหารของซูจิ้งแล้วจะดูอ่อนวัยลงได้แบบนี้
เรื่องแบบนี้ต่อให้เอาหมอดูชื่อดังมานั่งเดาก็ต้องหน้าแตกยับ ตอนนี้เธอสงสัยเพียงอย่างเดียวว่าจะยังมีคนสงสัยว่าที่ลูกค้าซูจิ้งไปกันนี่เป็นเพียงเพราะการโฆษณาอยู่อีกรึเปล่า
และไม่เคยมีใครคาดคิด อยู่ๆมิชชาลินก็ได้ปล่อยข่าวออกมาว่าพวกเขานั้นได้จัดอันดับให้ภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์แห่งนี้อยู่ในระดับสองดาว นอกจากนั้นพวกเขายังประเมินให้พื้นที่พิเศษของภัตตาคารฯนี้แยกไปต่างหากและสูงมากๆโดยพวกเขากล่าวไว้ว่า
“หากว่าจะให้กล่าวถึงเฉพาะพื้นที่พิเศษของภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์นี้เพียงส่วนเดียวล่ะก็ ผมกลัวว่าคะแนนสาวดาวของผมนั้นจะไม่คู่ควรเลยจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องบรรยากาศห้องอาหาร ฝีมือการตกแต่งจาน ตลอดจนเครื่องดิ่ม หากพูดถึงในสามสิ่งแล้วคำชมเชยทั้งหลายที่ผมเคยกล่าวออกมาคงจะไม่เพียงพอ
นี่คือการตกแต่งอาหารที่ดีที่สุดในชีวิตของผมที่เคยผ่านมา แม้แต่ร้านอาหารมิชาลินระดับสามดาวหลายๆร้านก็เทียบได้ยาก
แต่สิ่งที่ทำให้ผมนั้นไม่อาจจะกล้าให้คะแนนได้เลยนั่นก็คือเรื่องของรสชาติ รสชาติของอาหารที่ว่านั้นมันช่างลึกล้ำจนอธิบายได้ไม่ถูก
เท่าที่ผมพอจะเปรียบเปรยออกมาได้นั้นก็คงเป็นเพียงยามที่แตะลงบนปลายลิ้นของผมนั้นทำให้จิตใจของผมกลับไปเป็นเด็กตัวน้อยๆที่ได้กินชุดอาหารกลางวันเด็กแสนอร่อย
ที่เหนือไปกว่านั้นนั่นก็คือเรื่องสุขภาพ ยิ่งคุณกินอาหารที่นี่มากเท่าไหร่ร่างกายของคุณจะยิ่งผ่อนคลายและส่งผลดีต่อสุขภาพมากขึ้นเท่านั้น
ลูกค้าบางคนที่ได้มาที่นี่เองทำให้ผมมั่นใจได้อย่างหนึ่งว่า ต่อให้ไม่สามารถมากินได้บ่อยครั้งแต่ทุกๆครั้งที่ผมเห็นเขาเขาจะดูเยาว์วัยกว่าเดิม
มีลูกค้าบางคนบอกผมว่าพ่อครัวที่นี่มีฉายาหมอเทวดาควบกับเทพเจ้าโรงครัวแน่นอนว่าเขานั้นย่อมรู้ดีว่าอะไรที่กินแล้วย่อมส่งผลดีต่อร่างกาย
ความจริงที่ผมนั้นไม่กล้าจะให้เฉพาะพื้นที่พิเศษของภัตตาคารแห่งนี้สามดาวไปเลยนั้นนอกจากจะไม่กล้ามั่นใจว่าการให้คะแนนของผมคู่ควรกับที่นี่หรือไม่แล้วยังมีอีกอย่างหนึ่งคือผมยังกินได้ไม่ครบ
ผมนั้นอยากจะลองกินอาหารชุดกลางและชุดสุดยอดอยู่เหมือนกันแต่ผมนั้นเตรียมตัวมาไม่พอจริงๆ เพราะราคาของสองชุดนั้นเกินกว่าที่ผมจะหาค่าอาหารมาได้ทันในช่วงเวลานั้น….”
ดาวมิชชาลินนั้นเปรียบได้ดั่งตัวชี้วัดในวงการอาหารที่น่าเชื่อถือที่สุดแล้วในโลกใบนี้
ทุกๆครั้งที่ทำการประเมินนั้น เขาจะแฝงตัวเข้าไปราวกับเป็นลูกค้าธรรมดาทั่วไปจะได้ประเมินได้อย่างเที่ยงตรงและสามารถให้ความเห็นได้อย่างตรงไปตรงมา แน่นอนว่าการไปของเขาในครั้งนี้ซูจิ้งก็ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
การได้รับการประเมินจากมิชชาลินระดับสามดาวนั้นเปรียบได้ดั่งเกียรติยศในวงการอาหาร ทั่วทั้งโลกนั้นมีร้านอาหารเพียง 68 ร้านเท่านั้นที่ได้รับมันไป
สำหรับในประเทศจีนนั้นมีเพียงสามร้านเท่านั้นที่ได้รับมันไปและได้ถูกขนานนามว่า ดวงดาวสามดวงที่เปล่งประกาย
แต่ด้วยก็คงอยู่ของพื้นที่พิเศษของภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์นี้ทำให้ดวงดาวทั้งสามนั้นต้องมอดดับลง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น