Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 992-993

 GGS:บทที่ 992 ดินแดนแห่งอาหาร


ในที่สุดวังวนมิติที่อยู่บนฟ้าก็ได้จางหายไปพร้อมกับขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศที่หยุดไหลเทลงมา พร้อมๆกับที่ขยะฯทั้งหลายได้ถูกจัดหมวดหมู่โดยฉิงหยุนเรียบร้อยแล้ว

ในครั้งนี้มีเพียงพืชและแมลงที่เป็นสิ่งมีชีวิตพื้นฐานของขยะฯกองนี้อยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่นอกจากนั้นยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากหนูยักษ์และกิ้งก่ายักษ์อยู่อีก พวกมันกำลังใช้ร่างกายปะทะกันราวกับกำลังแก่งแย่งดินแดน

พวกมันนั้นดูเหมือนซาลาแมนเดอร์แต่ตัวใหญ่กว่าจระเข้ พวกมันทั้งหมดมีสีแดงเข้มราวกับลูกพลับ นอกจากนั้นยังมีกรงเล็บอันแหลมคมและปากที่เต็มไปด้วยฟันที่ดูเหมือนว่าจะกัดเหล็กกล้าให้ขาดสะบั้นได้โดยง่าย


ถ้าหากนับตามระดับขั้นในห่วงโซ่อาหารแล้ว ดูเหมือนว่าในพื้นที่ดั้งเดิมของพวกมัน หนูยักษ์จะถูกล่าด้วยซาลาแมนเดอร์ และซาลาแมนเดอร์จะถูกล่าโดยกิ้งก่ายักษ์นั่นอีกทีหนึ่ง

ซูจิ้งได้ใช้หยกหมื่นอสูรสื่อสารกับหนูยักษ์และซาลาแมนเดอร์ดูก็พบว่าพวกมันนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในกองขยะฯกองนี้

ส่วนเจ้ากิ้งก่ายักษ์ตัวนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่มานานที่สุดในพื้นที่ของพวกมัน และแน่นอนว่ามันคือศัตรูทางธรรมชาติของมันด้วย

แต่เจ้ากิ้งก่าเองก็ไม่ได้สนใจหนูยักษ์เลยแม้แต่น้อย เพราะว่ามันชอบกินซาลาแมนเดอร์ยักษ์มากกว่า มีเพียงตอนที่มันหิวจริงๆเท่านั้นจึงจะกินได้ไม่เลือกหน้า


ซูจิ้งได้นับจำนวนสิ่งมีชีวิตที่เหลือรอดมาทั้งหมด เขานับได้เป็นกิ้งก่ายักษ์หนึ่งตัว ซาลาแมนเดอร์แดงยักษ์สามตัวแต่ตายไปแล้วหนึ่งจากการสู้กันเอง และยังมีหนูยักษ์ทั้งหมดสามสิบสองตัวโดยมีเหลือรอดอยู่ยี่สิบเจ็ดตัว ส่วนอีกห้าตัวตายลงตั้งแต่ล่วงลงมาจากช่องมิติ

“ตอนนี้เจ้ากิ้งก่ายักษ์นั่นเป็นเป้าหมายที่ต้องจัดการเป็นอย่างแรก หากว่าฉันทำพันธสัญญาได้ล่ะก็คงได้เครื่องมือไล่ล่าชั้นดีมาอีกหนึ่งล่ะนะ

ถึงแม้ว่าเจ้าหนูยักษ์และซาลาแมนเดอร์แดงยักษ์นี่จะสู้ได้ดีเหมือนกันก็ตาม แต่พวกมันเทียบไม่ได้กับหมาป่าสงครามหรือหมึกยักษ์อยู่ดี ความแข็งแกร่งของเจ้าพวกนี้น่าจะพอๆกับเสือจีนใต้ตัวนั้นเท่านั้นเอง

แต่ก็อีกละนะ ยังไงซะฉันก็ปล่อยให้พวกมันออกไปเผ่นผล่านข้างนอกได้อยู่แล้ว นั่นจะเป็นปัญหามากกว่าจะเก็บพวกมันเอาไว้เสียอีก”


ซูจิ้งนึกขึ้นมาในขณะที่จ้องไปยังร่างกายอันใหญ่ยักษ์ของซากศพซาลาแมนเดอร์แดงยักษ์และหนูยักษ์อยู่พักใหญ่ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกอะไรบางอย่างจนเผลอพูดออกมาว่า “ไม่รู้ว่าเจ้าพวกนี้จะมีรสชาติเป็นยังไงแหะ จะดีกว่าเนื้อสัตว์อสูรรึเปล่านะ”

นี่คือสิ่งที่ซูจิ้งพูดออกมาราวกับว่าสัญชาตญาณนักล่าได้ปรากฎขึ้นมาอยู่ในใจ อย่างไม่ต้องสงสัย หน้าตาของเขาตอนนี้ราวกับสัตว์ล่าจริงๆที่กำลังจ้องมองมายังเหยืออันโอชะ


เขาใช้มีดตัดเนื้อบางส่วนของศพหนูยักษ์และซาลาแมนเดอร์แดงยักษ์ออกมา แล้วนำมันไปทำอาหารอย่างไม่คิดอะไรมาก

เมื่อทำเสร็จแล้ว เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายไปอึกใหญ่ก่อนที่จะจัดการกินพวกมัน กลิ่นของพวกมันเหมือนเนื้อของหมูป่าและเสือ

ถึงแม้ว่าจะมีน้ำลายสออยู่เต็มปาก แต่เขาก็ไม่ได้มีท่าทีรีบเร่งแต่อย่างใด เหมือนทุกครั้ง เขาได้เรียกหนูออกมาจากกระเป๋ากักอสูรก่อนที่จะแบ่งเนื้อออกเป็นสองจานและให้หนูสองกลุ่มกินมัน

ผลก็คือทันทีที่พวกมันกัดไปคำแรก พวกมันก็เปลี่ยนท่าทีสู้กันในทันทีอย่างไม่รู้สาเหตุ พอสื่อสารกับพวกมันดูก็พบว่าที่พวกมันสู้กันนั้นเป็นเพราะว่าอาหารที่อยู่ตรงหน้าของมันนั้นอร่อยแบบสุดๆจนไม่อยากจะแบ่งให้ใคร

หลังจากสั่งให้พวกหนูเลิกทะเลาะกันแล้วกินไปแบบเงียบๆแล้ว ซูจิ้งได้สังเกตุพวกหนูอยู่พักใหญ่ก็พบว่าพวกมันนั้นดูมีชีวิตชีวาและดูสดชื่นอย่างมาก แต่นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก

“อย่างน้อยเนื้อพวกนี้ก็คงไม่มีผิดปกติหล่ะนะ ไหนขอลองหน่อยสิว่ามันจะอร่อยสักขนาดไหนกัน”


ซูจิ้งในตอนนี้ได้กลืนน้ำลายไปอีกอึกหนึ่งก่อนที่จะหยิบเนื้อหนูที่เหลือเพียงเล็กน้อยหยิบเข้าปากอย่างช้าๆ ทันทีที่เขาเคี้ยวมัน ดวงตาของซูจิ้งก็เบิกกว้างในทันที เขายังเคี้ยวเนื้อนี้อย่างเอร็ดอร่อย พลางรู้สึกได้ว่าเนื้อหนูยักษ์รสชาติของมันนั้นเทียบได้กับเนื้อสัตว์อสูรเลยทีเดียว

ถึงแม้มันจะอร่อยก็จริงจนเขาเผลอกลืนลงไป แต่สุดท้ายแล้วซูจิ้งก็ได้ตัดสินใจอาเจียนเอาเนื้อพวกนี้ออกมาจากกระเพาะ เหตุผลก็เพราะตอนนี้เขายังทดสอบมันยังไม่เพียงพอที่จะมั่นใจได้ว่าเนื้อพวกนี้ไม่ได้ส่งผลเสียต่อร่างกาย


หลังจากกลั้วปากเสร็จแล้ว ซูจิ้งได้หยิบเนื้อซาลาแมนเดอร์แดงเข้าปาก เป็นอีกครั้งที่ดวงตาของเขาเบิกกว้าง และน่าจะกว้างมากยิ่งกว่าตอนกินเนื้อหนูยักษ์ เขาค่อยๆเคี้ยวมันอย่างบรรจงก่อนที่จะเผลอกลินกินมันลงไปอีกครั้ง


เนื้อซาลาแมนเดอร์แดงนี้ช่างละมุน นุ่ม และอร่อยอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับเนื้อสัตว์อสูรและปลาเขี้ยวหยก แต่ก็ยังพูดได้ว่ามันมีความอร่อยในอีกรูปแบบหนึ่งก็ว่าได้ เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมกิ้งก่ายักษ์ถึงชอบกินเนื้อซาลาแมนเดอร์แดงยักษ์นี้มากมายนัก


“คงต้องลองทดสอบดูอีกสักหน่อยแหะว่าเนื้อของพวกมันนั้นสงผลอะไรต่อร่างกายบ้างรึเปล่า หากว่าพวกมันไม่มีอันตรายต่อร่างกายล่ะก็แน่นอนว่าเนื้อนี้จะเป็นเนื้อชั้นยอดของฉัน

หากว่าพวกมันส่งผลดีต่อร่างกายล่ะก็ยิ่งสุดยอดเข้าไปใหญ่” ซูจิ้งคิดออกมาพลางหันไปสังเกตพวกหนูก่อนหน้านี้ที่เขาให้พวกมันลองกินเนื้อ

แน่นอนว่าผลการทดสอบนั้นต้องรอเวลาเพื่อให้ผลจากการกินนั้นแสดงผลออกมาเขาจึงไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใด ในระหว่างนี้เขาได้ส่งหนูยักษ์และซาลาแมนเดอร์แดงยักษ์ไปไว้ในระบบนิเวศเสมือน

แต่นอนว่าพวกมันทุกตัวได้ทำพันธะสัญญากับซูจิ้งแล้วทั้งหมดเพื่อไม่ให้ก่อปัญหาอะไรได้ ส่วนร่างของหนูยักษ์ห้าตัวและซาลาแมนเดอร์แดงยักษ์อีกหนึ่งตัวนั้น ซูจิ้งทำการถลกหนัง แยกชิ้นส่วน ก่อนที่จะเก็บทั้งหมดไว้ในกระเป๋ามิติ


ถัดมา ซูจิ้งได้ไปทำการตรวจสอบแมลงประหลาดเหล่านั้น พวกมันมีทั้งไส้เดือนสีดำตัวใหญ่ยักษ์ แมลงตดยักษ์ และแมลงป่องยักษ์ ถึงแม้พวกมันทั้งหมดนั้นล้วนตัวใหญ่ยักษ์เป็นพิเศษ แต่ก็ดูเหมือนว่านอกจากขนาดและพละกำลังที่ใหญ่ยักษ์และมากกว่าแมลงทั่วไปแล้ว พวกมันก็ไม่ได้มีอะไรอื่นอีกที่พิเศษไปกว่าแมลงทั่วไป


ทันใดนั้น ซูจิ้งก็ต้องหันหน้าไปยังพืชประหลาดต้นหนึ่ง ลำต้นของมันมีสีเขียวกระจ่างชัด เหตุผลที่เขาต้องหันมายังพืชต้นนี้นั่นก็เพราะว่าเขาได้กลิ่นหอมอันเย้ายวนมาจากมัน

พืชต้นนี้มันดูแตกต่างกว่าหญ้าทั่วไป ใบของมันนั้นหนามาก และตรงกลางใบนั้นมีน้ำที่คาดว่าจะเป็นน้ำหวานอยู่จนเต็ม และกลิ่นอันหอมหวานนี้เองก็ลอยมาจากใบนี้


ดั่งเช่นทุกครั้ง ซูจิ้งได้ลองให้หนูสองสามตัวลองดื่มน้ำนี้ดูก่อน หลังจากเป็นว่าหนูที่ลองดื่มไม่ได้มีท่าทีแปลกๆอะไร เขาก็ได้ลองใช้นิ้วจิ้มเพื่อลิ้มรสชาติดู

ทันทีที่นิ้วของซูจิ้งที่มีน้ำเคลือบอยู่ได้สัมผัสกับปลายลิ้นของซูจิ้ง เขาสัมผัสได้ถึงรสชาติอันหวานละมุนที่ปลายลิ้น และเป็นอีกครั้งที่เขาอดไม่ได้จนเผลอกลืนลงไป

ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกสดชื่นชนิดที่ไม่มีเครื่องดื่มไหนบนโลกนี้เลยที่สามารถจะเทียมได้

นอกจากนี้เขายังสังเกตเห็นต้นไม้อีกต้นหนึ่ง มันนั้นมีสีแดงกระจ่าง เข้ม และใบที่หนา ลำต้นของมันนั้นดูอ่อนนุ่มและมีสีม่วงแดงแพรวพราว

บนต้นนั้นมีผลไม้ที่มีรูปร่างคล้ายโคมไฟอยู่หลายลูกทั้งสีแดงและเหลืองคละๆกันไป ผลไม้ทรงโคมไฟสีแดงและเหลืองเหล่านี้มันดูทั้งหนัก แต่ก็นุ่ม หนา แต่ก็รู้สึกว่าสามารถกัดกินได้โดยง่าย

ผลไม้เหล่านี้มีสองผลที่ปริแตกและนั่นก็ได้มีน้ำสีแดงไหลออกมา กลิ่นของมันช่างเย้ายวนอย่างรุนแรงแต่กลิ่นนี้ไม่ใช่กลิ่นที่ช่วยให้รู้สึกอยากอาหารเหมือนหญ้าต้นเมื่อกี้ กลื่นของมันนั้นราวกับเป็นน้ำหอมที่สกัดจากดอกไม้ที่หอมหวนชวนดมน่าหลงใหล


ซูจิ้งยังคงกังวลว่ากลิ่นของผลไม้นี้จะมีพิษอยู่เหมือนกัน แต่เขาเองก็อดใจไม่ไหวจนต้องสูดหายใจเข้าปอดไปเฮือกใหญ่ก่อนที่จะคิดขึ้นมาว่า

“ถ้าน้ำจากต้นหญ้าสีเขียวกับต้นไม้สีแดงนี่ไม่มีผลเสียกับร่างกายล่ะก็ ฉันจะยกให้มันเป็นสุดยอดเครื่องดื่มและของหวานของฉันอย่างแน่นอน”

ซูจิ้งถึงแม้จะรู้สึกประหลาดใจในพืชสองต้นนี้แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะเพิ่มพืชทั้งสองอยู่รายการของสิ่งที่ต้องตรวจสอบของเขา เช่นเดียวกันเนื้อหนูยักษ์และซาลาแมนเดอร์แดงยักษ์ที่เขาได้ลิ้มลองก่อนหน้านี้

นอกจากนี้ซูจิ้งยังพบกับต้นไม้แปลกๆอีกหลายต้น แต่พวกมันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่าอยากจะตรวจสอบพวกมันเพิ่มเติมแต่อย่างใด แต่สุดท้ายเขาก็ยังติดสินที่จะตรวจสอบมันอยู่ดี


“ยิ่งดูก็ยิ่งรู้เลยแหะว่าห้วงเวลาฯที่ขยะฯกองนี้จากมานั้นไม่ใช่เล่นๆ” ซูจิ้งนึกพลางนำทุกสิ่งมีชีวิตที่ได้พบเจอไปไว้ในระบบนิเวศเสมือนแล้วก็เริ่มจัดการขยะในทันที

เขาได้เริ่มจัดการขยะฯกองเหล็กก่อน แน่นอนว่าสิ่งแรกที่เขาสนใจนั่นก็คือหัวและแขนประหลาดที่เขาเห็นก่อนหน้านี้

หลังจากที่ได้เห็นสัตว์และพืชอันแปลกตาที่สร้างความประหลาดใจให้เขาอย่างมากก็ตาม แต่เมื่อเขาได้วิเคราะห์ร่องรอยจากขยะฯกองเหล็กนี้ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกได้ว่าขยะฯกองนี้ต้องมาจากห้วงเวลาฯที่ล้ำสมัยอย่างแน่นอน


GGS:บทที่ 993 นี่มัน…


ซูจิ้งได้เข้าไปจัดการขยะห้วงเวลากองโลหะ เศษโลหะเหล่านี้มีชิ้นส่วนที่มีรูปร่างศรีษะและแขน ซูจิ้งได้ดึงพวกมันขึ้นมาด้วยกระแสจิตมาวางไว้ที่ด้านนอกของกอง พวกมันทั้งมีสนิมที่เกรอะกรังและทรุดโทรมราวกับว่าพร้อมจะสลายหายไปหากไปแตะพวกมัน

ซูจิ้งได้สำรวจอย่างถี่ถ้วนในขยะกองโลหะส่วนที่เหลือ เขาพบชิ้นส่วนบางอย่างที่คล้ายเกาะหุ้มของอะไรบางอย่าง

เมื่อเขาลองตรวจสอบดูแล้วแต่ก็ไม่พบอะไรที่ดูแปลกประหลาดแต่อย่างใด พวกมันดูเหมือนโลหะทั่วไป เห็นดังนั้นซูจิ้งจึงได้ให้เสี่ยวไป๋ลองซ่อมแซมมันดู

ผลก็คือเสี่ยวไป๋สามารถซ่อมแซมมันได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นี่หมายความว่าชิ้นส่วนของแขนและหัวนี่ไม่น่าจะอยู่ที่นี่แต่อย่างใด

ชิ้นส่วนที่เหลือน่าจะยังคงอยู่ในห้วงเวลาฯที่พวกมันจากมาไม่ใช่เป็นเพราะความสามารถของเสี่ยวไป๋


คราวนี้ซูจิ้งจึงได้ลองให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมชิ้นส่วนหัวและแขนดู ชิ้นส่วนนี้มีสภาพไม่ต่างกับเศษเกราะที่เขาเจอก่อนหน้านี้

ไม่นานหลังจากที่เสี่ยวไป๋ซ่อมแซม ชิ้นส่วนและแขนค่อยๆคืนสภาพความเงางามของตัวเอง ร่องรอยแตกหักหายไป มันดูแวววาวและเปล่งประกาย

ซูจิ้งได้ลองตรวจสอบดูอีกครั้ง คราวนี้เขาได้ลองนำมีดไททาเนียมอัลลอยด์ของเขามากรีดดูก็ต้องพบกับสิ่งที่น่าประหลาดใจ นั่นก็เพราะว่ามีดของเขาไม่สามารถทำได้แม้แต่ทิ้งร่องรอยไว้เลยแม้แต่น้อย

ต้องรู้ก่อนว่ามีดของเขาเล่มนี้คือมีดที่สร้างมาจากสุดยอดโลหะไททาเนียมอัลลอยที่แกร่งที่สุดในโลก มันนั้นสามารถตัดเหล็กได้ง่ายอย่างกับตัดดินโคลน แต่เมื่อมีดนี้เจอกับโลหะชิ้นนี้ อย่าว่าจะตัดเลย รอยเล็กๆก็ยังไม่มีเลยสักนิด


คราวนี้ซูจิ้งได้ลองถอยห่างไปไกลกว่าสามสิบเมตรก่อนที่จะเขวี้ยงมีดที่เสริมความเร็วด้วยกระแสจิตของเขาที่มีความเร็วระดับเดียวกับโซนิคบูมจนเกิดเสียงคลิ๊กดังลั่นในทันทีที่เร่งความเร็ว

แต่ผลสุดท้ายก็คือหลังการปะทะ มีดสุดยอดไททาเนียมอัลลอยด์ของเขากลับโค้งงอและทิ้งเพียงรอยบุบที่เล็กมากๆไว้เท่านั้น มันทิ้งเอาไว้เพียงเท่านั้นจริงๆ


“แข็งโคตร นี่มันโลหะอะไรกันเนี่ย หรือว่าเป็นโลหะผสมเหมือนกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยท่าทางตื่นเต้นเล็กน้อย เหตุผลก็เพราะว่านี่คือโลหะที่แข็งที่สุดเท่าที่เขานั้นเคยพบมาจากขยะฯทั้งหมด

นี่แสดงให้เห็นว่าห้วงเวลาฯที่ขยะฯพวกนี้จากมาจะต้องมีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าโลกนี้มากอย่างแน่นนอน อย่างน้อยๆก็คงมากกว่าโลกนี้หนึ่งเท่าตัว

ซูจิ้งคิดได้ดังนั้นจึงได้วางแผนที่จะนำโลหะบางส่วนไปยังสถาบันวิจัยโลหะและวัสดุเทียนซือไปศึกษา

ซูจิ้งได้วางชิ้นส่วนศรีษะและแขนเอาไว้ข้างๆก่อนที่จะรื้อค้นขยะฯกองโลหะต่ออย่างบ้าคลั่ง ตัวเขาในตอนนี้ได้มุ่งเน้นในการคัดแยกขยะฯโลหะที่น่าจะเป็นโลหะชนิดเดียวกับชิ้นส่วนนี้เป็นพิเศษ โดยหวังว่าเขาอาจจะซ่อมแซมชิ้นส่วนทั้งหมดนี้จนกลายเป็นเครื่องจักรพิเศษอะไรบางอย่าง

ไม่นึกว่าหลังจากลองดูทั้งหมดแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นชิ้นส่วนที่ได้รับความเสียหายเท่านั้น อย่าว่าแต่เครื่องจักรที่มีชิ้นส่วนครบเลย แม้แต่ชิ้นส่วนที่ไม่มีร่องรอยความเสียหายเขาก็แทบจะหาไม่เจอด้วยซ้ำ


หลังจากใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงในการค้นขยะฯกองโลหะจนในที่สุดเขาก็ได้พบชิ้นส่วนที่สมบูรณ์สักที ชิ้นส่วนนี้มีลักษณ์ค่อนข้างเกือบจะเป็นลูกบาศก์ ขนาดโดยคร่าวๆแล้วเขาคิดว่าน่าจะอยู่ประมาณหนึ่งลูกบาศก์เมตร

ชิ้นส่วนนี้เท่าที่ดูมันนั้นยังขาดชิ้นส่วนอยู่อีกหลายชิ้นเหมือนกันทำให้ตอนนี้มันไม่สามารถทำงานได้ แถมจากสภาพของมันเองก็ไม่ต่างจากชิ้นส่วนอื่นที่เต็มไปด้วยสนิมและทรุดโทรม

หากมองเพียงแวบแรกแถบจะไม่ต่างอะไรจากก้อนสนิมก้อนใหญ่ๆเท่านั้น นอกจากนี้เครื่องจักรนี้ค่อนข้างจะมีร่องรอยเสียหายอย่างนักจนทำให้ซูจิ้งเองก็ไม่แน่ใจว่าหลังจากซ่อมแล้วยังใช้ได้อยู่รึเปล่า


ซูจิ้งไม่ได้มีทางเลือกอื่นใดในตอนนี้ ทำได้เพียงให้เสี่ยวไป๋มาลองซ่อมแซมเครื่องนี้ดูเท่านั้น แต่นี่เองก็ทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อยเลยเพราะดูเหมือนว่าการซ่อมแซมในครั้งนี้จะเสร็จสมบูรณ์ดี

ในระหว่างการซ่อมแซมมีชิ้นส่วนมากมายที่ล่องลอยมาจากขยะฯกองโลหะที่เขารื้อทิ้งรื้อขว้างไปก่อนหน้านี้ พวกมันลอยเข้ามาประกอบจนดูแล้วทำให้ซูจิ้งค่อนข้างจะมั่นใจว่าสมบูรณ์ดี สนิมที่เกาะในทุกชิ้นส่วนได้จางหายไป และชิ้นส่วนที่ได้รับความเสียหายร้ายแรงก่อนหน้านี้ก็ประสานกันอย่างสมบูรณ์


ในที่สุดแล้วมันก็ได้กลายเป็นเครื่องจักรที่ดีใหม่เอี่ยมอ่องชิ้นหนึ่งราวกับเพิ่งจะถูกสร้างขึ้นมา

“เยี่ยม….ว่าแต่มันคืออะไรล่ะ” ซูจิ้งได้ลองทำการสำรวจเจ้าเครื่องจักรชิ้นนี้อยู่นานแต่ก็ยังไม่เห็นร่องรอยที่จะพอบอกได้ว่ามันคืออะไรแม้แต่น้อย เท่าที่เขารู้เพียงตอนนี้ก็คือมันดูซับซ้อนพิกล

เขาได้ลองใช้กระแสจิตเข้าไปสำรวจเครื่องจักรนี้ดูเช่นเดียวกัน และผลก็คือเข้ารู้เพียงว่ามันซับซ้อน เขานั้นไม่ได้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีมากสักเท่าไหร่นัก แน่นอนว่าเพียงแค่ใช้กระแสจิตตรวจสอบก็ไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย ที่สำคัญที่สุดคือ เทคโนโลยีที่ใช้สร้างเจ้านี่เป็นของห้วงเวลาฯอื่น


“ฉันว่าต่อให้ศึกษาเองแบบนี้ ให้ตายยังไงก็คงจะไม่รู้เรื่องแหะ ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือฉันไม่รู้ว่าต้องใช้ความรู้แขนงไหนในการศึกษาเจ้านี่ อืมมม….. คงต้องส่งไปสถาบันวิจัยโลหะและวัสดุจริงๆสินะ” คิดได้ดังนี้น ซูจิ้งก็ได้ขนเครื่องจักรนี้พร้อมทั้งชิ้นส่วนโลหะจำนวนหนึ่งขึ้นรถบรรทุก ก่อนที่เขาจะขับรถไปยังสถาบันวิจัยโลหะและวัสดุเทียนซือ

ที่นั่น เจียงจือ ติงบิน เทาจง และนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆกำลังจะเริ่มทำงานประจำกันอยู่ เมื่อพวกเขาเห็นซูจิ้งได้ขนวัตถุปริศนามาก็ได้รีบมามะรุมมะตุ้มกันในทันที

และในทันทีที่พวกเขาลองทดสอบขั้นต้นในวัตถุปริศนาที่ซูจิ้งนำมาต่างก็ตกใจกันไปทั่ว นั่นก็เพราะวัตถุนี้ไม่ว่าจะเป็นความแข็ง ความทนทาน ความทนความร้อน ความทนต่อการการกัดกร่อน และด้านอื่นๆนั้น ดูเหมือนว่าเจ้าโลหะปริศนาชิ้นนี้อยู่ในขั้นสูงสุดในทุกด้าน มันสูงช้ำยิ่งกว่าวัตถุใดๆในโลกที่เคยบันทึกเอาไว้


“หัวหน้า หัวหน้าไปเอาโลหะชิ้นนี้มาจากไหนกันครับ ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีโลหะที่แข็งแกร่งขนาดนี้”

เจียงจือและนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆต่างก็ตั้งคำถามนี้ออกมาทั้งในใจและนอกใจในระหว่างที่ตกตะลึงกับผลลัพท์ที่ได้ จนทำให้พวกเขานั้นอดไม่ได้ที่จะคิดว่าซูจิ้งไปขโมยมาจากฐานวิจัยลับสุดยอดบางแห่ง

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกน่า แค่ศึกษาพวกมันก็พอแล้ว อ้อ อีกเรื่อง ช่วยฉันดูหน่อยสิว่าเจ้านั่นคืออะไรกันแน่” ซูจิ้งพูดพลางชี้ไปยังวัตถุทรงลูกบาศก์ที่ดูราวกับเป็นเครื่องจักรชิ้นหนึ่ง ของอยากรู้เรื่องเจ้าลูกบาศก์นี่ยิ่งกว่าการสร้างโลหะพวกนี้เสียอีก


“….มันดูซับซ้อนนะ” เจียงจือพูดออกมา

“เอ่ออออ พวกเราไม่ถนัดเรื่องเครื่องยนต์กลไกสักเท่าไหร่น่ะครับ” ติงบินแม้จะรู้สึกเสียดายแต่ก็ต้องพูดออกมา

“ดูเหมือนจะเป็นเครื่องยนต์ไม่ก็ตัวขับเคลื่อนนะครับ” เทาจงที่สำรวจได้เล็กน้อยก็ได้พูดออกมา

หากพูดถึงเครื่องยนต์แล้วก็ต้องพูดถึงตัวแกนพลังงาน นอกจากนั้นยังต้องพูดถึงชิ้นส่วนอย่างอื่นอีกมากมาย แต่สำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องนี้แล้ว ยังไงซะเครื่องยนต์ก็เป็นเพียงอุปกรณ์สร้างพลังงานอย่างหนึ่งเท่านั้น

“ในเมื่อที่นี่คือสถาบันวิจัยโลหะและวัสดุก็น่าจะพอมีนักวิจัยที่รู้เรื่องนี้อยู่นา ไปเรียกคนที่รู้เรื่องนี้มาศึกษามันดูก็แล้วกัน” ซูจิ้งได้พูดกับเจียงจือขึ้นมา

และนี่เองทำให้เขาไปเกณฑ์คนที่รู้เรื่องแนวนี้ที่อยู่ในสถาบันมาช่วยกันศึกษาร่วมกับเทาจง


หลังจากที่นักวิจัยที่เกณฑ์มาเห็นลูกบาศก์นี้เพียงแวบแรกก็ทำได้เพียงแต่ส่ายศรีษะไปมาแล้วเผลอบอกออกมาว่าพวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้หากไม่ชำแหล่ะมันดู ตอนแรกที่เผลอพูดออกมานั้นพวกเขาต่างก็นึกว่าหัวจะขาดกันหมดแล้ว

แต่กลายเป็นว่าเมื่อได้ยินดังนั้นซูจิ้งก็ได้อนุญาตอย่างง่ายดาย พวกเขาจึงได้ลงมือรื้อเครื่องจักรที่อยู่ตรงหน้าอย่างระมัดระวัง ทีละเล็กทีละน้อย

“ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเครื่องยนต์จริงๆนะ”

“ก็จริง แต่เจ้านี่ไม่มีลูกสูบอะไรพวกนั้นเลยนะ และเท่าที่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีทางเข้าเชื้อเพลิงซะด้วย เท่าที่ดู เจ้านี่น่าจะใช้พลังงานจากแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นแหล่งพลังงานของเครื่องยนต์ตัวนี้ แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจนะว่าเจ้าเครื่องนี้ใช้วิธีไหนในการสร้างแหล่งพลังงานในการขับเคลื่อนกันแน่”

“….ที่แน่ๆ เจ้าเครื่องนี้มีการใช้เทคโนโลยีที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน มันดูมีขั้นตอนการทำงานที่ยุ่งยากซับซ้อน”


เทาจง เจียงจือ และนักวิจัยคนอื่นๆในตอนนี้ต่างก็ให้ความสนใจเครื่องจักรปริศนานี้กันไปทุกคน แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้พวกเขาเข้าใจเจ้าเครื่องนี้มากยิ่งขึ้นแต่อย่างใด

มีเพียงเทาจงเท่านั้นที่ตอนนี้คิดต่างกว่าใคร เขาได้ลองคิดหาวิธีเปิดเครื่องนี้ดูโดยยังใช้ความคิดตั้งต้นเดิมของเขาที่ว่าเจ้าเครื่องนี้น่าจะใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน

ถ้าเป็นอย่างน้ำหากใช้สนามไฟฟ้าก็ควรที่จะส่งผลอะไรกับเจ้าเครื่องนี้ได้บ้าง

แต่แนวคิดนี้เองก็ถือได้ว่ามีความเสี่ยงสูงเหมือนกัน ดีไม่ดีอาจจะเกิดระเบิดเลยก็ได้

เมื่อซูจิ้งได้ยินดังนั้นเขาก็ทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนที่จะตัดสินใจให้ลองดู เพราะไม่ว่าจะยังไงแล้วต่อให้ระเบิดจริงๆเขาก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วเพราะยังมีเสี่ยวไป๋อยู่

เมื่อได้ยินหัวหน้าของตัวเองว่าอย่างนั้นแล้ว ทุกคนจึงค่อยๆรีบประกอบเครื่องจักรปริศนากลับสู่สภาพเดิมอย่างบรรจง หลังจากนั้นจึงได้จ่ายไฟเข้าไปเพื่อทดสอบ

ถึงแม้พวกเขาจะยังไม่รู้ว่าหลักการของมันคืออะไรแต่พวกเขาเองก็มีเครื่องมือที่จะสร้างสนามพลังไฟฟ้าไว้อยู่แล้ว จนสุดท้ายแล้วผลที่ออกมาก็คือเครื่องนี้เริ่มทำงาน กรงล้อที่อู่ข้างนอกเริ่มหมุนด้วยความเร็วช้าๆ

“มันเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้กำลังไฟฟ้าอย่างไม่ต้องสงสัย” เทาจงพูดออกมา

“แต่มันไม่หมุนช้าไปหน่อยเหรอนั่น ดูๆไปแล้วก็ยังไม่รู้ว่ามันใช้ทำอะไรอยู่ดี” เจียงจือพูดออกมา

“กับเครื่องยนต์ที่ใหญ่ขนาดนี้แต่มันกลับทำงานได้ด้วยสนามไฟฟ้าที่มีกำลังไฟฟ้าแค่นี้ ถึงแม้ส่วนประกอบภายในของมันก็ซับซ้อนแต่เจ้านี่ก็ถือได้ว่าสุดยอดไปเลย” ติงบินพูดออกมาในขณะที่ตกตะลึงกับสมรรถนะเครื่องยนต์ปริศนาที่อยู่ตรงหน้า


“เป็นไปได้ว่ากำลังไฟของมันอาจจะผิดพลาดก็ได้นะ” เมื่อเทาจงพูดแบบนั้นออกมา ซูจิ้งที่ได้ยินดังนั้นก็ได้สั่งเพิ่มกำลังไฟในทันที

ตอนนี้กำลังไฟฟ้าที่ส่งเข้าไปในเครื่องอยู่ที่ 220 โวลต์ เมื่อได้ยินคำสั่งของซูจิ้ง นักวิทยาศาสตร์จึงได้ค่อยๆเพิ่มกำลังไฟเข้าไปอย่างช้าๆ

ผลก็คือ ฟันเฟืองที่อยู่ข้างนอกได้หมุนด้วยความเร็วที่มากขึ้นอย่างน่าตกใจ จนเมื่อพวกเขาเพิ่มกำลังไฟฟ้าไปจนอยู่ที่ 380 โวลต์ การหมุนของฟันเฟืองนี้หมุนเร็วมากจนน่ากลัว

แต่ที่ทำให้พวกเขานั้นต้องตกตะลึงมากที่สุดนั่นก็คือความเสถียรและความทนทานของเครื่องยนต์ปริศนานี้

ด้วยความเร็วของฟันเฟืองที่หมุนนี้พวกเขาสามารถบอกได้เลยว่าหากเป็นเครื่องยนต์ธรรมดาแล้ว พวกมันต้องระเบิดซ้ำไปมาแล้วไม่ต่ำกว่าสามรอบ

แต่ตอนนี้ไม่เพียงเจ้าเครื่องนี้จะไม่มีอาการอะไรเลยแล้ว เสียของมันยังเงียบมากจนไม่คิดว่าเครื่องยนต์ทำงานอยู่เลยแม้แต่น้อย


หลังจากที่พวกเขาคิดว่ากำลังไฟที่เหมาะสมกับการใช้งานเครื่องยนต์นี้ควรจะอยู่ที่ 380 โวลต์ พวกเขาก็ยังคงดำเนินการทดลองเพิ่มลักษณะการจ่ายไฟที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น

และนั่นเองก็ทำให้พวกเขาต้องยิ่งตกตะลึงมากกว่าเดิม จนไม่แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)