Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 986-991
GGS:บทที่ 986 กวน
หลังจากที่ซูจิ้งเผยแพร่เนื้อหาในตำราแพทย์ที่สาธารณะชนเชื่อกันว่าเป็นตำราสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออกปล่อยออกไปได้สามวัน ในตอนนี้รูปถ่ายทั้งหมดได้อัพขึ้นที่เว็บไซต์ทางการของพิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์ด้วยเช่นกัน
และนั่นยิ่งทำให้ภาพเนื้อหาของตำราเผยแพร่ไปทั่วอินเตอร์เนตอย่างบ้าคลั่งจนในตอนนี้เหล่าผู้คนในวงการแพทย์ต่างถือว่าตำราเริ่มนี้เปรียบได้ดั่งไบเบิ้ลแห่งวงการแพทย์ไปเรียบร้อยแล้ว
แม้แต่คนทั่วไปที่ไม่รู้เรื่องทางการแพทย์ก็ยังอดไม่ได้ที่จะดาวน์โหลดเอาไว้เพื่อศึกษาราวกับว่าใครไม่มีถือว่าเป็นคนบาปก็ไม่ปาน หลังจากนั้นไม่นานก็มีเวอร์ชั่นดัดแปลงที่อ่านเข้าใจง่ายอัพโหลดไว้ในอินเตอร์เนต นี่ยิ่งทำให้ตำรานี้มีคนสนใจดาวน์โหลดเก็บไว้เพิ่มขึ้นไปอีก
ในขณะที่โลกภายนอกกำลังบ้าคลั่งเกี่ยวกับตำรานี้ ซูจิ้งนั้นยังคงสนใจเพียงการรักษาพ่อของชายหนุ่มที่ป่วยเป็นโรคALSในตอนต้น
และด้วยการที่ผ่านการรักษามาแล้วสองคนทำให้การรักษาพ่อของชายหนุ่มคนนี้ทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ซูจิ้งใช้เวลาเพียงสามวันก็รักษาพ่อของชายหนุ่มได้สำเร็จจนสามารถยืนและเดินได้แล้ว ที่เหลือก็เพียงแค่ใช้เวลาในการฟื้นตัวเท่านั้น
ครอบครัวของผู้ป่วยโรคALSทั้งสามรายต่างก็มาแสดงความขอบคุณอย่างที่สุด และยินดีที่จะจ่ายเงินค่ารักษากว่าสามร้อยล้านหยวนอย่างยินยอมพร้อมใจ
แน่นอนว่าค่ารักษาส่วนนี้รวมกับค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วยโรคALSที่เขาได้พามาก่อนหน้านี้ด้วย
ในวันนี้เดียวกันนี้เอง โรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนได้รับสายจากอังกฤษเพื่อเชิญซูจิ้งให้ไปรักษาคุณฮอว์กิ้น
ด้วยอาการของคุณฮอว์กิ้นนั้นหนักมากจนไม่สามารถขึ้นเครื่องมายังประเทศจีนได้จึงทำได้เพียงโทรมาขอร้องเท่านั้น
แน่นอนว่าพวกเขายินดีที่จะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งร้อยล้านหยวนในการรักษาและเพิ่มอีกสิบล้านเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
“อาจิ้ง นายจะไปรึเปล่า” ลูฉินหมิงที่ได้ยินข่าวนี้ก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยความตื่นเต้น แน่นอนว่าข่าวการรักษาผู้ป่วยโรคALดังไปทั่วโลก ถึงแม้จะยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่เชื่อเรื่องนี้และทำได้เพียงคิดว่าเป็นเพียงเรื่องเหลือเชื่อเท่านั้น
แต่หากซูจิ้งไปรักษาคุณฮอว์กิ้งจริงล่ะก็แน่นอนว่าทุกคนต้องเชื่อซูจิ้งอย่างแน่นอน เหตุผลก็เพราะว่าเขานั้นเป็นคนที่มีชื่อเสียงที่น้อยคนนักจะไม่รู้จัก
และทุกคนต่างรู้ดีว่านั้นป่วยเป็นโรคALS หากซูจิ้งไปรักษาได้สำเร็จล่ะก็แน่นอนว่าจะทำให้ซูจิ้งนั้นมีชื่อเสียงมากกว่าเดิม
“แน่นอน” ซูจิ้งพยักหน้ารับอย่างไม่อิดออด สำหรับเขาแล้วนี่ถือได้ว่าเป็นการท้าทายเลยทีเดียว แน่นอนว่าเขายินดีที่จะรับคำท้านี้อย่างแน่นอน
“นายจะเพิ่มค่ารักษาด้วยรึเปล่า คุณฮอว์กิ้งเขานั่งรถเข็นมากว่าห้าสิบปีแล้วนะ แถมเขายังแก่มากแล้วด้วย ฉันว่าเรื่องนี้จะทำให้การรักษาเขานั้นยากขึ้นอย่างมาก”
ลูฉินหมิงได้พูดออกมาเพราะว่าเขานั้นรู้ดีว่าฮอว์กิ้งนั้นมีความสามารถพอที่จะจ่ายค่ารักษาได้มากกว่านี้ ต่อให้ไม่สามารถแน่นอนว่าชายอังกฤษนั้นยินดีที่จะช่วย
“ไม่หรอกครับหนึ่งร้อยสิบล้านหยวนนี่ก็มากพอแล้ว”
เอาจริงๆนั้นเขาไม่อยากจะเก็บค่ารักษาเลยด้วยซ้ำ นั่นก็เพราะเขาเองก็คิดเช่นเดียวกับลูฉินหมิงที่ว่าการรักษาฮอว์กิ้งนั้นเทียบได้กับการสร้างชื่อเสียงให้ตัวเขาเอง ต่อให้ไม่ได้เงินนี้มาก็เทียบได้กับเขาได้รับการโฆษณาที่มีค่ากว่าพันล้านหยวนอย่างแน่นอน
สำหรับเรื่องเกี่ยวกับเรื่องอายุที่ทำให้การรักษายากขึ้นนั้นเขาไม่ได้มีปัญหาเลยแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะเขานั้นมีของดีๆมากมายที่จะเสริมสร้างร่างกายให้กับฮอว์กิ้ง ไม่ว่าจะเป็นพลังวิญญาณ พลังศักดิ์สิทธิ์ ลูกท้อเสริมอายุ และของอื่นๆอีกมากมาย แน่นอนว่าหากทำให้ฮอว์กิ้นหายได้ของเหล่านี้ย่อมคุ้มค่าที่จะใช้
เมื่อตัดสินใจได้ซูจิ้งได้โทรไปหาหวังจ้าวและเฉิงหนานเพื่อบอกเรื่องที่เขาจะไปอังกฤษให้ฟังและฝากฝังงานฝั่งนี้ไว้ให้ดูแลระยะหนึ่ง
ด้วยเหตุที่ว่าช่วงที่ผ่านมาเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้โรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนและพิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์นั้นได้รับความนิยมอย่างมากจนทำให้เหล่าคนรวยนั้นยินดีที่จะเข้ามาให้เขารักษาแทบจะเรียงแถวมา
นี่ทำให้เขานั้นได้รับเงินค่ารักษามาจำนวนมาก แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาเกลียดซูจิ้งเลยแม้แต่น้อย กลับกันพวกเขายิ่งรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับการรักษาอย่างชิดใกล้กับซูจิ้งเสียด้วยซ้ำ
ถึงแม้หลายๆคนที่เข้ามา เป้าหมายหลักคือการหาวิธีที่จะได้ร่วมลงทุนกับซูจิ้ง แต่หลังจากที่ซูจิ้งได้รักษาพวกเขายังดีทำให้พวกเขานั้นยินดีที่จะจ่ายเงินโดยไม่ได้พูดเรื่องที่คิดออกมาแม้แต่น้อย
ถึงแม้พวกเขานั้นจะไม่สามารถรับประกันได้ว่าหลังจากที่ซูจิ้งรักษาพวกเขาแล้วจะเจ็บป่วยอีกหรือไม่ แต่ในตอนนี้สำหรับการได้พบเจอใกล้ชิดกับซูจิ้ง ซึ่งตอนนี้กลายเป็นหมอเทวดาสำหรับพวกเขานั้น นี่ทำให้พวกเขารู้สึกได้เลยว่ามีภูมิคุ้มกันในชีวิตเพิ่มเติมเรียบร้อยแล้ว
“หัวหน้าคะ ถ้าคุณสามารถรักษาคุณฮอว์กิ้นได้ล่ะก็ชื่อเสียงของคุณจะพุ่งสูงขึ้นจนนึกภาพไม่ออกเลยนะคะ แถมนั่นจะทำให้ชื่อเสียงของโรงพยาบาลกังเฟิงเพิ่มขึ้นตามอย่างแน่นอน เรื่องนี้มีแต่ได้กับได้ค่ะ” เฉิงหนานพูดออกมาด้วยความยินดีอย่างเห็นได้ชัด
“…..เธออยากจะสื่ออะไรกันแน่น่ะ” ซูจิ้งถามออกมาอย่างสนใจ
“ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ เอาจริงผลิตภัณฑ์เสริมความงามอย่างผงเสริมทรวงอก ผงกระชับทัดส่วน และผงเสริมความงามของพวกเราแล้ว พูดกันจริงๆก็ถือได้ว่าเป็นยาอย่างหนึ่งเหมือนกัน แค่หัวหน้ารักษาสำเร็จก็เทียบกับเป็นการโฆษณาไปในตัวอยู่แล้ว
ตราบใดที่หัวหน้าพูดออกมาให้ชัดเจนนิดหน่อยว่าของพวกนี้เป็นหัวหน้าที่คิดค้นและวางขายทั่วไปพร้อมบอกสรรพคุณ เพียงเท่านี้พวกเขาก็จะเชื่อมั่นและยินดีที่จะหามาใช้อย่างแน่นอน”
เฉิงหนานพูดออกมาอย่างกระจ่างชัด
“โอ้ ความคิดดีเลยนะนั่น จัดไปอย่าให้เสีย” ซูจิ้งพยักหน้ารับ
“ยิ่งไปกว่านั้นฉันว่าพวกเรานั้นมีศักยภาพพอที่จะทำโรงพยาบาลแบบสาขาได้นะคะ แน่นอนว่าโรงพยาบาลสาขานี้จะไม่เหมือนโรงพยาบาลกังเฟิงโดยจะไม่มีคลีนิกพิเศษและเก็บค่ารักษาในอัตราปกติ” เฉิงหนานพูดออกมา
“อันนั้นฉันก็เห็นด้วยนะ แต่ว่าเราเองก็จะรีบร้อนในเรื่องนั้นไม่ได้เหมือนกัน ต่อให้มันเป็นโรงพยาบาลสาขาก็จริง แต่ยังไงซะเราก็ต้องหาทั้งบุคลากรทางการแพทย์ อุปกรณ์ และยา ที่ต้องดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าโรงพยาบาลหลัก หากเรารีบเกินไปนั่นอาจทำให้เราอาจจะได้ไม่คุ้มเสียเหมือนกัน” ซูจิ้งพูดออกมา
“แน่นอนค่ะ ฉันเข้าใจเรื่องนี้ดี” เฉิงหนานพูดออกมา
“ดี เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันจะจัดการเรื่องแรกให้เธอก่อน ส่วนเรื่องอื่นนั้นเธอก็วางแผนคุยกับลูกพี่ไปก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยมาหารือกับฉันอีกที” ซูจิ้งพูดจบก็ได้วางสายไป
หลังจากนั้นซูจิ้งได้โทรไปหาคนอื่นๆที่เขาสนิทด้วยอย่างพ่อแม่ ฉือชิง และเพื่อนคนอื่นๆตลอดจนคนที่เขามีความสัมพันธ์อันดีด้วยก่อนที่จะไปประเทศอังกฤษ
และไม่นานนักข่าวการเดินทางไปอังกฤษเพื่อรักษาฮอว์กิ้งก็แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
“ฮอว์กิ้งนี่ใช่คนท่าทางแปลกๆที่นั่งบนรถเข็นนั่นรึเปล่า เขาสุดยอดอย่างนั้นเหรอ”
“ใช่ๆ คนนั้นแหล่ะ ฉันเคยอ่านหนังสือที่เขาเขียนที่มีชีวิตประวัติโดยย่อของกาลเวลาด้วยนะ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ค่อยเข้าใจมากนักแต่ฉันก็รู้ว่ามันสุดยอดจริงๆ”
“ฉันเคยได้ยินมาว่าเขานั้นถูกขนานนามราชันแห่งจักรวาลเลยนะ เขานั้นเป็นสุดยอดนักฟิสิกข์แห่งยุคนี้เลยนะ และแน่นอนว่าเขานั้นเป็นที่รู้จักไม่น้อยกว่านิวตันและไอน์สไตน์เลย
หากว่าเขาได้รับการรักษาล่ะก็ เขาจะต้องสร้างสิ่งดีๆกับโลกนี้ได้อีกมากมายเลยนะ”
“ฉันรู้จักนะ เขานั้นได้เป็นแขกรับเชิญในรายการบิ๊กแบงบ่อยๆด้วยนะ”
“แต่ว่าเขานั้นแก่มากแล้วไม่ใช่เหรอ เขาอยู่บนรถเข็นมานานกว่าห้าสิบปีแล้วนะ ต่อให้ซูจิ้งรักษาหายได้แต่เขาก็อายุมากเกินไปแล้ว”
“ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหล่ะ นี่จะทำให้การรักษาโรคALSยากขึ้นไปอีก”
ไม่เพียงแค่ในประเทศจีนเท่านั้น ในตอนนี้แม้แต่ทั่วทั้งโลกต่างก็สนใจเรื่องนี้กันอย่างมาก แต่หลังจากที่ซูจิ้งไปถึงอังกฤษและได้พบฮอว์กิ้งเรียบร้อยแล้วแล้ว ข่าวของพวกเขาก็ได้ขาดหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้ไม่มีใครรู้เลยว่าการรักษาเป็นอย่างไรบ้าง
แต่เพียงชั่วพริบตา หลังจากการเข้าพบไปห้าวัน ฮอว์กิ้งและซูจิ้งได้เผยตัวต่อหน้าสาธารณชนในรูปแบบการสตรีมมิ่ง
ในการสตรีมนั้นฮอว์กิ้งสามารถยืนขึ้นได้เอง ก่อนที่จะพยายามเดินไปตามราวเกาะที่ติดตั้งไว้ตามกำแพง หลังจากนั้นจึงพักโดยการใช้เครื่องช่วยเดินกลับมานั่งที่ตามแบบคนแก่ธรรมดาคนหนึ่ง แต่เพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนทั่วทั้งโลกตกตะลึงกันไปจนทั่วแล้ว
ทางด้านฉิวจิงนั้น ทันที่เขาได้เห็นฉากที่ฮอว์กิ้งสามารถลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองได้ในช่องสตรีมนั้นใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นโง่งมในทันที ใบหน้าของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียวไปทั่วจนเสื่อมราศีไม่เหลือเค้าโครงความหล่อเลยสักนิด
เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาได้มีเรื่องชกต่อยกับสตรีมเมอร์ที่เขาชวนให้มาเปิดโปงซูจิ้ง ในตอนนั้นไม่เพียงที่จะเขาต้องเสียโฉมแล้ว เขายังต้องจ่ายเงินค่าจ้างและค่าบาดเจ็บอีกด้วย
ในช่วงๆที่เขาวุ่นวายกับเรื่องนี้พอรู้ตัวอีกทีซูจิ้งก็ได้กลายเป็นข่าวยิ่งกว่าเดิมไปแล้ว นี่ทำให้เขารู้สึกอนาถใจในตัวเองอย่างมาก
นั่นก็เพราะว่าเมื่อก่อนแล้วเขาถือว่าตัวเองอยู่สูงกว่าซูจิ้งอย่างมาก แต่ในตอนนี้นั้นช่างกลับตาลปัตรกันอย่างสิ้นเชิง
ตอนนี้ผู้คนในอินเตอร์เน็ตได้ตามรังควานเขาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าเขาจะโพสต์หรือถ่ายรูปอะไรก็ตามก็โดนหาเรื่องด่าไปหมด ตอนไปทำงานเอง เขาก็ถูกญาติผู้ป่วยที่พบเจอชี้นิ้วใส่เขาแล้วนินทาออกมา
แม้แต่คนไข้เองก็ยังขอเปลี่ยนตัวเขาออกจากการเป็นแพทย์ผู้ดูแลทันทีที่เห็นหน้า ด้วยเหตุผลที่ว่าฉิวจิงนั้นเก่งแต่เรื่องทำให้คนอื่นเสียชื่อเสียง
แถมตอนนี้เขาก็ถูกเรียกเข้าไปพบประธานผู้บริหารบ่อยๆทุกครั้งที่คนไข้ขอเปลี่ยนตัว เขาโดนบอกมาว่าหากเขานั้นไม่สามารถล้างชื่อเสียงด้านไม่ดีนี้ออกไปได้โดยเร็วล่ะก็เขาจะถูกเชิญออกจากโรงพยาบาล
ฉิวจิงนั้น เมื่อเขาได้คิดเรื่องพวกนี้มากขึ้นเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจซูจิ้งมากขึ้นเท่านั้น เขารู้ดีว่าตอนนี้ทางแก้ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือการพูดคุยและปรับความเข้าใจกลับทุกคน
แต่ถึงเขาจะอยากพูดคุยและปรับความเข้าใจขนาดไหนก็ตาม ชาวเน็ตในตอนนี้ก็ไม่มีทางรับฟังเขาอีกต่อไป เพราะคนเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นแฟนคลับของซูจิ้งที่เขาเคยไปด่าว่าไว้มากว่าอวยไม่ดูตาม้าตาเรือ
แม้แต่เรื่องที่ฉิวจิงได้มุดอยู่แต่ในรูแล้วทำการปลุกระดมผู้คนให้รังควาญซูจิ้งนั้นก็ยังโดนขุดขึ้นมา นั่นเป็นเหตุให้ในตอนนี้ฉิวจิงต้องโดนเสียบประจานทั้งเป็นอยู่อย่างตอนนี้
ในขณะที่ฉิวจิงกำลังนั่งหน้าตาบูดเบี้ยวด้วยความโกรธอยู่นั้น เขาได้ยินเสียงบางอย่างมาจากห้องนอนของตัวเอง เขาจึงลองขึ้นไปดูก็พบภรรยาของเขา เมิ่งเซียง กำลังเก็บเสื้อผ้าของเธอใส่กระเป๋า พร้อมทั้งเก็บของๆเธอลงกล่องอยู่
ฉิวจิงถึงกับหน้าถอดสีไปเล็กน้อยก่อนที่จะถามออกมาว่า “เมื่งเซียง เธอกำลังทำอะไรน่ะ”
“อะไรซะอีกล่ะ แค่เห็นก็รู้แล้วนะ เราเลิกกัน” เมิ่งเซียงพูดออกมาด้วยท่าทีเรียบเฉย
“ไม่เอาน่าเมิ่งเซียง อย่าจากฉันไปเลยนะ ตอนนี้ฉันเสียงานของฉันไปแล้ว หากเสียเธอไปอีกฉันจะอยู่ได้ยังไงกัน” ฉิวจิงได้รีบเข้าไปโอบกอดเมิ่งเซียงพร้อมร้องขอภรรยาของตนในทันที
“เรื่องนี้จะโทษใครไม่ได้หรอกนอกจากตัวนายเองเท่านั้น เพียงเพราะนาย ต่อให้นายงี่เง่าขนาดไหนฉันก็ยังทนได้ ไม่ว่าพ่อแม่ของนายจะโหดร้ายกับฉันขนาดไหนฉันก็ยังทนได้ นี่ฉันยังดีไม่พอหรอกเหรอ
พอมาตอนนี้ ฉันเจอคนที่สามารถรักษาฉันจนได้แล้ว แต่นายก็ยังไปทำให้เรื่องเสีย
นายลองมองดูตัวเองตอนนี้สิ อย่าว่าแต่จะเป็นหมออนาคตไกลเลย เป็นหมอยังไม่ได้ด้วยซ้ำ
แล้วนายจะให้ฉันทนอยู่กับคนที่คอยบั่นทอนชีวิตของฉันแบบนี้เนี่ยนะ แถมยังต้องทนกับพ่อแม่ที่ไม่ชอบฉันมาทั้งชีวิตการแต่งงานนี้อีก
หากฉันยังอยู่แต่ไปล่ะก็ ขอถามหน่อยเถอะว่าปลายทางชีวิตของฉันจะเป็นยังไง ขอบอกเลยนะว่าฉันนึกถึงสิ่งดีๆไม่ออกเลยสักนิด”
เมิ่งเซียงได้ปลดปล่อยคำพูดที่อดกลั้นเอาไว้ในใจมาเนินนานราวกับว่ากำแพงความอดทนของเธอได้พังทลายลงไปแล้ว
เมื่อพูดจบแล้ว เมิ่งเซียงก็ได้ผลักฉิวจิงที่กำลังนิ่งอึ้งอยู่ให้ปล่อยเธอจนล้มจ้ำเบ้าไปกับพื้นอยู่ข้างๆ ก่อนที่เธอจะหยิบกระเป๋าของเธอแล้วเดินจากไปอย่างสงบเงียบ
ฉิวจิงในตอนนี้ทำได้เพียงมองแผ่นหลังของเมิ่งเซียงเดินจากไปอย่างเงียบๆอยู่กับพื้นโดยที่พูดอะไรไม่ออก
จนในที่สุดเมื่อเขารู้สึกตัวเมิ่งเซียงก็จากไปไกลแล้ว เขานั้นก็ทำได้เพียงนั่งชันเข่าคุดคู้อยู่กับพื้นพลางใช้แขนรัดพันหน้าตัวเองก่อนที่จะร้องไห้ออกมา
มาถึงตอนนี้เขาได้ทบทวนเรื่องราวต่างๆและระพึงในใจเกี่ยวกับเรื่องราวที่ซูจิ้งพลางสงสัยว่าตัวเขานั้นทำอะไรผิดไปกัน
พอมาคิดๆดูแล้วซูจิ้ง คนที่เขาโทษนักโทษหนาก็ไม่เคยทำอะไรกับเขาเลยแม้แต่น้อยตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ แทบจะบอกได้ว่าซูจิ้งไม่เคยสนใจการคงอยู่ของเขาด้วยซ้ำ
มีเพียงเขาเท่านั้นที่ก่อเรื่องราวไว้มากมายจนทำให้ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แต่ถึงจะคิดได้แบบนี้เขาก็ยังคงระพึงไปมาไม่รู้ว่าทำไมชีวิตของตัวเองถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร
GGS:บทที่ 987 เป้าหมาย
หลังจากที่ฮอว์กิ้งสามารถกลับมาเดินได้อีกครั้ง ซูจิ้งก็ได้ตรงกลับบ้านพร้อมกับวิดีโอถ่ายคู่กับฮอว์กิ้ง โดยเขากับฮอว์กิ้งได้เซ็นสัญญากันว่าซูจิ้งสามารถใช้ตัวเขาในการโฆษณาผลิตภัณฑ์ของซูจิ้งได้แบบฟรีๆไปเลย
สองวันต่อมา ข่าวการหายดีของฮอว์กิ้งก็ได้เริ่มจางหายไป แต่ตำนานในการรักษาของซูจิ้งยังคงเป็นที่ล่ำลือไปอีกนาน หลายๆคนในตอนนี้ต่างก็คิดว่า ในปีนี้รางวัลโนเบลสาขาการแพทย์คงไม่พ้นมือซูจิ้งเป็นที่แน่นอนแล้ว
ตอนนี้ทั่วทั้งโลกต่างก็จะตามองซูจิ้ง และต่างก็อยากรู้ว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน อย่างที่เขากันว่าไม่รู้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ารู้แล้วจะหนาว นั่นเป็นสี่งที่คนพวกนี้กำลังประสบพบเจอเมื่อได้เห็นประวัติของซูจิ้ง ว่าเขาคนนี้หาใช่คนธรรมดาไม่
ปรมาจารย์นักฝึกสัตว์ ปรมาจารย์กู่จิ้ง ปรมาจารย์ด้านวาดรูป ปรมาจารย์วาดภาพเขียนพู่กันจีน ปรมาจารย์ด้านการต่อสู้ เทพเจ้าโรงครัว หมอเทวดาแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออก และฉายาอื่นๆอีกมากมาย
นี่ยังไม่รวมถึงสมบัติที่ยากจะหาใครเทียม และเจ้าของธุรกิจอีกมากมายที่มีมูลค่ารวมแล้วไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นล้านหยวน
ก็ไม่มีใครรู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะซูจิ้งนั้นมีชื่อเสียงมากมายเหลือคณา หรือเป็นเพราะว่าธุรกิจของเขาเจริญรุ่งเรืองกันแน่ถึงทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขานั้นล้วนดีไปหมดเสียทุกอย่าง
บางคนได้ลองนำเงินกำไรสุทธิที่ซูจิ้งได้รับมาจากธุรกิจของเขาทั้งหมดมาลองบวกกันดูก็ถึงกับต้องเหงื่อหยด นั่นก็เพราะว่าในแต่ละเดือนนั้น กำไรสุทธิที่ได้จะอยู่ที่สามพันล้านเลยทีเดียว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผงเสริมความงาม ผงเสริมทรวงอก ผงลดน้ำหนัก และผลิตต่างๆของซูจิ้งนั้นล้วนแล้วแต่ได้รับความนิยมจนสามารถขายดีเป็นเทน้ำเทท่าตลอดเวลา
แต่ที่ขายดีที่สุดก็คงจะเป็นแผงพลังงานแสงอาทิตย์ที่เป็นธุรกิจหลัก ด้วยการบริหารงานของหวังจ้าวและเฉิงหนานได้ทำธุรกิจดังกล่าวเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ด้วยการที่พลังงานแสงอาทิตย์นั้นเป็นพลังงานสะอาดและก็กล่าวได้ว่าเทคโนโลยีการผลิตของกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศนี้ล้ำหน้าที่สุดในโลกนี้แล้ว และไม่มีใครสามารถเทียบเคียงได้เลยสักราย
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้คือยุคเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานจากพลังงานประเภททดแทนไม่ได้อย่างพลังงานถ่านหินและพลังงานปิโตเลี่ยม นี่ยิ่งทำให้แผงพลังงานแสงอาทิตย์ของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯเป็นที่ต้องการอย่างสูง
ด้วยการที่แผงพลังงานแสงอาทิตย์ของซูจิ้งมีประสิทธืภาพสูง ไม่ก่อมลพิษทั้งกระบวนการผลิต และดูแลรักษาได้ง่าย นี่จึงเป็นสิ่งยืนยันว่ากลุ่มทุนห้วงเวลาฯเป็นเต็งหนึ่งในตลาดของผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ แล้วจะมีใครกล้าคัดค้านได้
สำหรับผลิตตัวอื่นอย่างแป้งผงกระชับสัดส่วน ผงเสริมความงาม ไวน์จิ้งจอกแดง ซอสมะเขือเทศ และของอย่างอื่นนั้น ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะยังไม่ใช่เต็งหนึ่งในท้องตลาด แต่ก็อยากที่จะหาใครเทียมได้ แน่นอนว่ายังสามารถอยู่ในตลาดการซื้อขายไปอีกนานอย่างแน่นอน
สำหรับใบยาสูบแห่งไชร์ ข้าวสีน้ำเงิน และเบียร์แห่งไชร์นั้น ทั้งสามอย่างนี้ยังอยู่ในช่วงการบ่มเพาะทำให้ยังไม่ออกมาสู่ท้องตลาดอย่างเป็นทางการ
แต่เมื่อใดก็ตามที่ทั้งสามออกวางขายอย่างเป็นทางการ แน่นอนว่าอนาคตทางการตลาดจะไร้ที่สิ้นสุด ดีไม่ดีใบยาสูบแห่งไชร์และข้าวสีน้ำเงินนี้อาจจะไปได้ไกลกว่าแผงพลังงานแสงอาทิตย์เสียด้วยซ้ำ
เมื่อทุกคนได้เห็นข้อมูลต่างๆเหล่านี้แล้ว ต่อให้มีคนบอกกันในภายหลังว่าซูจิ้งนั้นกำลังจะกลายเป็นคนที่รวยที่สุดในประเทศก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจแม้แต่น้อย
ไม่มีใครรู้เลยว่าเงินพวกนี้ไม่ได้อยู่ในความสนใจของซูจิ้งสักเท่าไหร่นัก นั่นก็เพราะว่าสำหรับเขาแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตตอนนี้ก็คือค่าการใช้ประโยชน์จากขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศและค่าพลังงานของสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาของเขานั่นเอง
ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานั้น ค่าพลังงานของสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯได้เพิ่มขึ้นจาก 15,600 หน่วย เป็น 21,600 หน่วยเป็นที่เรียบร้อยแล้วและนี่ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นความเร็วที่ช้าหรือเร็วเกินไปนัก
นั่นก็เพราะว่าค่าพลังงานนี้ได้สูบเงินของซูจิ้งไปเพียงเดือนเดียวถึงหนึ่งหมื่นแปดพันล้านหยวนเลยทีเดียว หากเมื่อเทียบกับค่าการใช้ประโยชน์ขยะห้วงเวลาฯแล้วยังถือได้ว่าห่างชั้นนัก เพราะตอนนี้ค่าการใช้ประโยชน์ฯได้เพิ่มขึ้นจาก 32,000 หน่วยเป็น 65,000 หน่วยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และค่านี้ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วยิ่งขึ้น
มันก็เหมือนกับการทำก้อนหิมะที่ยิ่งหมุนไปบนหิมะก็จะยิ่งใหญ่โตขึ้น หลักๆแล้วค่าการใช้ประโยชน์ที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ก็มาจากสมบัติทั้งหลายที่เขาจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์ และการรักษาต่างๆในคลีนิกพิเศษของโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุน
นอกจากนั้นยังมีการที่ซูจิ้งสามารถรักษาผู้ป่วยโรคALSที่เป็นโรคที่กล่าวกันว่าไม่มีใครรักษามันได้ เพียงเรื่องนี้ก็ส่งผลให้คนทั้งโลกตกตะลึง
ยังไม่รวมถึงการที่เขาสามารถรักษาฮอว์กิ้งได้สำเร็จ เพียงการรักษาครั้งนี้ครั้งเดียวก็ทำให้คนทั้งโลกนั้นตกตะลึงไปทั่วอย่างง่ายดาย
ในตอนนี้ซูจิ้งเริ่มสังเกตุเห็นได้ว่าการเพิ่มของค่าพลังงานของสถานีฯและค่าการใช้ประโยชน์ขยะห้วงเวลาฯนั้นเริ่มไม่สมดุลกันเล็กน้อย
เหตุที่ค่าพลังงานไม่สามารถเพิ่มได้ทันกับค่าการใช้ประโยชน์นี้น่าจะเป็นเพราะเขานั้นได้ประกาศออกไปว่าสมบัติทั้งหมดที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ของเขานั้นส่วนใหญ่สามารถขายได้
ยกเว้นเพียงของไม่กี่อย่าง เช่นศพในตำนานและรูปปั้นจากเมืองแอตแลนติส นี่ทำให้วงการนักสะสมอยู่กันไม่สุขเลยทีเดียว
“เฮ้ออออ ทำไมนายถึงอยากจะขายเด็กๆเหล่านั้นซะแล้วล่ะ นึกยังไงกันเนี่ย ของดีๆทั้งนั้นเลยนา” หวังจ้าวได้โทรหาซูจิ้งทันทีที่รู้เรื่องนี้
“อยากได้ตังค์อ่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาตรงๆ
“ไอ้ชิบ… นายมีเงินขนาดนี้แล้วยังบอกว่าอยากขาดเงินอีกเนี่ย…..ฮืม…. เดี๋ยวนะ นี่หมายความว่านายเอาเงินไปลงกับสถาบันวิจัยของนายอีกแล้วเหรอ ฉันว่านายเลิกหวังจากที่นั่นไปดีกว่านะ”
หวังจ้าวที่รู้ที่มาที่ไปเกี่ยวกับเงินที่สาบสูญของซูจิ้งก็ทำได้เพียงแค่บ่นออกมาเท่านั้น หากเป็นเรื่องการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับปฏิสสารนั้น
แม้แต่สถาบันวิจัยอื่นที่ศึกษามาก่อนซูจิ้งอย่างของสหภาพโซเวียตเองก็มีสภาพไม่ต่างกันนัก นั่นก็คือเผาผลาญเงินไปอย่างสูญเปล่า และไร้ซึ่งผลกำไรอย่างสิ้นเชิง
เขาไม่รู้จริงๆว่าซูจิ้งจะเอาเงินตัวเองไปผลาญเล่นทำไมตั้งเยอะแยะ
“น่า น่า เดี๋ยวถึงเวลาท่านพี่ก็จะรู้เองแหล่ะว่าสิ่งที่ฉันลงไปนั้นโคตรคุ้มค่าแล้ว” ซูจิ้งพูดออกมา
“เออ….ฉันรู้น่าว่านายก็มีแผนการของตัวเอง และฉันก็ไม่คิดจะคัดนายหรอก แค่อยากจะบอกว่านายแค่ต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไปอย่าได้ทุ่มเทหมดหน้าตักบ่อยนัก เดี๋ยวแทนที่จะทำเงินมันจะกลายเป็นว่าไม่ได้อะไรมาเลยแม้แต่น้อย” หวังจ้าวทำได้แค่เพียงกล่าวเตือนออกมาอย่างจริงใจ
“เอานะ อย่างน้อยฉันก็ยังคิดว่าตัดสินใจได้ถูกแล้วล่ะนะ” ซูจิ้งได้พูดออกมาด้วยความรู้สึกยากเกินกว่าจะอธิบาย ตอนนี้เขานั้นไม่เพียงแค่จะไม่ได้อยู่ในขั้นการศึกษาวิจัยปฏิสสาร
แต่เขานั้นได้ดำเนินการผลิตมานานมากแล้ว หากว่านำออกมาขายล่ะก็ ผลิตออกมาเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอที่จะขายอย่างแน่นอน ผลกำไรที่จะได้จากสถาบันวิจัยของเขานั้นคุ้มค่ากับการลงเงินไปมากชนิดที่เงินที่ลงไปนั้นเทียบไม่ได้เลยสักนิด และหากเป็นเช่นนั้นจะไม่ถือว่าเป็นการผลาญเงินไปอย่างเปล่าประโยชน์แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามในตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดหาใช่เงินจำนวนมหาศาล แต่เป็นการอัพเกรดสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯให้ได้ ไม่เช่นนั้นอย่าว่าแต่เงินเลย โลกทั้งโลกจะไม่ว่างเว้นจากย่อยยับอย่างแน่นอน
หากเมื่อถึงตอนที่สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯของเขามีเสถียรระภาพแล้ว การผลาญเงินที่ว่านี้ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป มีแต่ได้กับได้
เขาเองก็เคยคิดว่าจะแบ่งปฏิสสารบางส่วนออกไปขายเหมือนกัน แล้วค่อยเอาเงินที่ได้มาพัฒนาการผลิตสสารต่อ แต่เมื่อนึกถึงความเสี่ยงที่ตามมาแล้ว เขาคิดว่าเขาทำแบบตอนนี้ถือว่าดีที่สุด
ต่อให้เขานำปฏิสสารนี้ไปให้ภาครัฐ แต่นั่นก็ไม่ได้รับประกันความเสี่ยงเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เขานั้นสามารถบงการคนที่มีอำนาจให้อยู่ในมือได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะควบคุมเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศนี้ได้
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเลยว่าหากเรื่องนี้ผิดพลาดไปแล้วถูกเอาไปใช้ทำเป็นอาวุธ ต่อให้ไม่ต้องถึงขนาดนั้นแค่เพียงข่าวนี้หลุดรอดออกไปนี่ความพินาศของเขาจะรออยู่ไม่ไกลนัก
ขนาดแค่อาวุธนิวเคลียนี่ยังทำให้โลกอยู่กันไม่สุขเลย นี่คือปฏิสสารเลยนะ ไม่มีทางที่โลกนี้จะไม่ลุกเป็นไฟอย่างแน่นอน
ความจริงแล้วซูจิ้งเองก็เตรียมการเรื่องนี้อยู่แล้ว นั่นก็เพราะว่าสถาบันวิจัยของเขานั้นเป็นที่จับตามองมาตั้งนานแล้ว ต่อให้เป็นคนโง่ก็ยังต้องตั้งคำถามกันว่าเขาทำอะไรกันแน่ถึงได้ทุ่มเทเงินลงไปมากมายขนาดนี้
และเรื่องแบบนี้จะหลุดรอดพ้นสายตาจากพวกคนใหญ่คนโตได้อย่างไร เอาจริงๆก็มีการส่งคนมาสืบสวนเรื่องราวในสถาบันวิจัยของเขาอยู่หลายฝ่ายหลายหนแล้วเหมือนกัน
แต่เขานั้นก็ได้สะกดจิตให้คนพวกนั้นเห็นภาพลวงตาแล้วกลับไปรายงานตามสิ่งที่เห็นก็เท่านั้นเอง ไม่อย่างนั้นล่ะก็เรื่องปฏิสสารนี่คงหลุดรอดออกไปนานแล้ว
ในตอนนี้แม้แต่คนทั่วไปเองก็สนใจสถาบันวิจัยของซูจิ้งไม่น้อยแล้วเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ก็ทำได้เพียงแค่คิดแต่ยังไม่กล้าลงมือทำอะไรอย่างโจ่งแจ้งก็เท่านั้น
หากคนพวกนี้รู้ว่าที่นั่นคือฐานการผลิตสิ่งที่สุดแสนจะอันตรายอย่างปฏิสสารล่ะก็ คิดว่าน่าจะคลั่งจนทำอะไรไม่ถูกกันแน่ๆ
แต่ก็พูดอีกนัยหนึ่งได้ว่าเขานั้นไม่อยากเป็นศัตรูกับประเทศ โลก หรืออะไรก็ตามที่ต้องนำปฏิสสารออกมาใช้ นี่จึงเป็นเหตุที่เขานั้นเลือกที่จะเก็บเรื่องปฏิสสารนี้ไว้ก่อนดีกว่า
“ว่าแต่ท่านพี่นี่ที่โทรมาไม่ใช่ว่ามีเด็กๆที่หมายตาอยู่ไม่ใช่รึ ชิ้นไหนล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มอย่างรู้ใจ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ ไม่ คราวนี้ฉันแค่อยากโทรมาพูดเรื่องที่นายเป็นหมอเทวดาแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออกนั่นต่างหาก ตอนนี้นายเองก็ได้กลายเป็นหมอเทวดาไปแล้ว
ในตอนนี้นายเองก็ได้รักษาเหล่าคนรวยไปมากมายแล้วและนี่ก็ทำให้เราได้กลายเป็นเพื่อนกับพวกเขาไปโดยปริยาย
ตอนนี้ความนิยมของพวกเรา(เรื่องธุรกิจ)ดีมากอย่างไม่น่าเชื่อ ฉันเองก็ไม่คิดเลยว่าเพียงแค่นายเปิดโรงพยาบาลและเปิดคลีนิกพิเศษรักษาคนจะได้เรื่องดีๆแบบนี้กลับมานอกเหนือจากการรักษาคนไข้และช่วยเหลือผู้คน”
หวังจ้าวพูดออกมาด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยความรู้สึกภายในใจของเขาชนิดแค่เพียงได้ยินเสียงก็สัมผัสได้ และแน่นอนว่าโลกนี้คงจะไม่เคยมีหมอเทวดาเช่นนี้มาก่อนเป็นแน่
“พูดได้ดีนี่” ซูจิ้งกล่าวรับออกมาด้วยรอยยิ้ม
“อย่ากระนั้นเลย ฉันเพิ่งจะเห็นว่านายมีแตั้งสถาบันวิจัยเพิ่มอีกที่น่ะ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ใช้เงินอะไรมากมาย แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ฉันก็เลยอยากรู้ว่านายอยากจะทำอะไรกันแน่”
หวังจ้าวถามออกมาอย่างจริงจัง เป็นวันนี้เองที่เขาพบว่าซูจิ้งนั้นได้จัดตั้งสถาบันวิจัยแห่งใหม่โดยไม่ให้เข้ารู้ ดูเหมือนว่าจะทำได้มาสักสองถึงสามเดือนแล้วด้วยซ้ำ
แต่ซูจิ้งได้ให้เฉิงหนานเป็นคนจัดการโดยตรงนี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้เรื่องนี้หลุดรอดสายตาของหวังจ้าวมานาน เอาจริงๆเขาก็ไม่ได้จะว่าอะไรหรอก แค่เขาแปลกใจมากๆเลยตั้งถามออกมาเท่านั้น
“อ้อ เรื่องนี้น่ะเอง ฉันก็ว่าจะหาโอกาสบอกนายอยู่เหมือนกัน ไหนๆก็ไหนๆแล้วฉันจะให้นายดูอะไรดีๆก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมา
GGS:บทที่ 988 งานวิจัย
“กลายเป็นว่าสถาบันแห่งใหม่นี้ตั้งอยู่ในสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯอีกทีหนึ่งสินะ” หวังจ้าวพูดออกมาในขณะที่หวังจ้าว กำลังเดินตามเฉิงหนาน และซูจิ้ง เข้าไปยังสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯของซูจิ้ง
“ใช่แล้ว ถ้าจะให้พูดตรงๆก็คือเป็นพื้นที่เก็บผลงานวิจัยน่ะ” ซูจิ้งเองนั้นเขาไม่ได้มีความคิดที่จะวิจัยเรื่องอื่นเลยแต่อย่างใด
แต่เขาต้องการสถานที่ที่มั่นคงและปลอดภัยในการเก็บงานวิจัยของเขามากกว่า นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ต้องจะเป็นไปหาที่ตั้งที่อื่น แล้วมานั่งวางระบบป้องกันใหม่แต่อย่างใด
“ทางนี้” ซูจิ้งพูดออกมา
“ทำไมนายไม่พาฉันไปดูส่วนวิจัยปฏิสสารล่ะ ฉันยังไม่เคยเห็นเลยนะ” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยทางทีสงสัย
“ก็มันยังไม่ไปถึงไหนเลยน่ะสิ แถมขั้นตอนยังโคตรน่าเบื่อ แถมยังมีเรื่องรังสีอีก ฉันกลัวนายจะพลาดท่าโดนน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“อ้อ งั้นไม่เป็นไรดีกว่า” เพียงได้ยินเรื่องรังสี หวังจ้าวก็หมดความสนใจในเรื่องปฏิสสารในทันที พวกเขานั้นได้เข้ามาในห้องทดลองห้องหนึ่ง หากมองจากภายนอกแล้วก็คงคิดว่าเป็นตึกสำนักงานธรรมดา
แต่เมื่หวังจ้าวได้เข้าไปก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจอย่างมาก เพราะบรรยากาศข้างในนั้นมันช่างดูหรูหราและล้ำยุค
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกอย่างนั้นไม่ใช่เป็นเพราะการตกแต่งแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะเครื่องมือที่มันดูล้ำสมัยชนิดที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ในห้องมีนักวิจัยหลายๆคนกำลังทำงานโดยใช้อุปกรณ์กันอย่างขะมักเขม้นและไม่ได้สนใจการมาถึงของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
ถึงจะมีบางคนเห็นบ้างแล้วแต่ก็ทำเพียงพยักหน้าให้กันเท่านั้นแล้วก็หันไปตั้งใจทำงานต่อไปโดยไม่ได้มีท่าทีจะเข้ามาทักทายอย่างกระตือรือร้นอย่างที่อื่นเขาทำกัน
“ดูเหมือนว่าคนพวกนี้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญของจริงเลยแหะ ตอนนี้พวกเขากำลังวิจัยอะไรกันอยู่ล่ะ” หวังจ้าวได้ถามออกมา
เมื่อได้ยินดังนั้น เฉิงหนานก็ทำเพียงแต่ยิ้มออกมาเล็กน้อยเท่านั้น นั่นก็เพราะว่าคนพวกนี้ไม่ได้เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญ แต่เป็นระดับหัวกะทิของประเทศเลยทีเดียว
ขนาดเธอเองก็ยังไม่รู้เลยว่าซูจิ้งนั้นไปทำอีท่าไหนถึงได้สามารถดึงตัวคนพวกนี้มาร่วมงานด้วยได้ แต่ที่แน่ๆคือเธอรู้ดีว่าซูจิ้งต้องพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะได้ให้คนพวกนี้มาร่วมงาน
นั่นก็เพราะว่าถึงแม้ซูจิ้งจะเป็นบุคคลที่เปรียบได้ดั่งพระเจ้า แต่คนพวกนี้เองก็ไม่ใช่คนที่อยู่ในระดับที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายๆเช่นเดียวกัน คนประเภทนี้ไม่มีทางที่จะยอมทำงานให้ซูจิ้งโดยไม่ขัดข้องอะไรอย่างแน่นอน
ส่วนเรื่องของสิ่งที่เขากำลังวิจัยกันอยู่นั้น ตอนแรกที่เธอเห็นเองก็ตกใจอย่างมาก และไม่ว่าคิดยังไงก็คิดไม่ออกเลยว่าซูจิ้งนั้นได้ของสิ่งนี้มาจากไหนกันแน่
แต่เธอรู้เพียงว่าหากของสิ่งนี้สามารถวิจัยได้สำเร็จล่ะก็จะต้องสร้างโอกาสทางธุรกิจให้บริษัทครั้งใหญ่อย่างแน่นอน
“ตอนนี้หลักๆแล้วเรากำลังวิจัยในสองเรื่องน่ะ ลองไปดูชิ้นแรกก่อน” ซูจิ้งพูดก่อนที่จะนำหวังจ้าวเข้าไปในห้องหนึ่ง ในนั้นมีลิงอุรังอุตังอยุ่
มือขวาของมันนั้นดูมันวาวเรากับเหล็ก และกำลังถูกนักวิจัยมะรุมมะตุ้มคอยยื่นกล้วยล่อไว้ในที่สูงๆหลอกล่อให้อุรังอุตังตัวนี้เอาไว้ และอุรังอุตังเองก็พยายามที่จะปีนป่ายไปเอากล้วยนั้น
ตอนแหลกหวังจ้าวก็ดูไม่ออกหรอกว่าตอนนี้ซูจิ้งกำลังวิจัยเรื่องอะไรกันแน่ แต่ในทันทีที่อุรังอุตังตัวนี้เริ่มปีนป่ายนั้น
นั่นก็ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าแขนของมันข้างหนึ่งไม่ใช่แค่มันดูดำวาวราวกับเหล็กเท่านั้น แต่มันคือโลหะทั้งแขน
และแขนนี้ต้องทำให้เขาประหลาดใจอย่างมากนั่นก็เพราะแขนข้างนี้มันช่างยืดหยุ่นได้ดีเกินกว่าจะเป็นแขนเทียมทั่วไป
ขยับได้แม้แต่ไปนิ้วที่พลิ้วไหวดูเป็นธรรมชาติราวกับแขนจริงๆเห็นได้ชัดในตอนที่อุรังอุตังตัวนี้ปีนป่าย
“พระเจ้า นี่คือแขนเทียมจริงๆเหรอ” หวังจ้าวอุทานออกมา
“มันเรียกว่าระบบประสาทเทียมน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ระบบประสาทเทียมนี่มันก้าวหน้าขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยความตกใจ ถึงแม้เขาจะไม่เคยรู้มาก่อนว่าระบบประสาทเทียมคืออะไรก็ตาม
แต่ยังซะเขานั้นก็ยังมีสามัญสำนึกอยู่ แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าหากมีสิ่งนี้อยู่จริงล่ะก็ต้องเป็นข่าวใหญ่ขึ้นมาอย่างแน่นอน
แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องระบบประสาทเทียมนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด สถาบันวิจัยของสถาบันป้องกันประเทศของสหรัฐได้วิจัยเรื่องนี้มานานกว่า 20 ปีแล้ว
แค่ฟังดูก็รู้แล้วว่ามันนานมากแค่ไหน แต่ในตอนนี้ระบบประสาทดังกล่าวยังอยู่ในระดับต้องใช้อุปกรณ์ควบคุมด้วยมืออยู่เลย มันไม่เหมือนกับของซูจิ้ง
อย่างดีที่สุดที่เขาเคยเห็นก็เป็นระบบประสาทเทียมที่ใช้ระบบไฮดรอริกส์ร่วมกับอุปกรณ์ควบคุมที่ต่อเพื่อตรวจจับการขยับของกล้ามเนื้อบางส่วนเท่านั้น
ถ้าจะให้อธิบายออกมาก็คือเป้าหมายของการศึกษาวิจัยระบบประสาทเทียมที่วาดหวังกันไว้นั้นช่างยากที่จะสำเร็จ
เพราะระบบประสาทที่คาดหวังกันนั้นไม่เพียงจะต้องเลียนแบบการเคลื่อนไหวได้จนถึงปลายนิ้วเท่านั้น
แต่ระบบประสาทเทียมที่คาดหวังยังต้องรับรู้ความรู้สึกจากปลายนิ้วส่งกลับไปยังสมองได้อีกด้วยย
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือจะต้องเป็นแขนเทียมที่แม้แต่หลับตาก็ยังต้องรู้สึกในสิ่งที่สัมผัสและบังคับให้มือข้างนั้นจับต้องสิ่งของได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งต้องรับรู้ถึงสภาพ รูปร่าง รูปทรง อุณหภูมิ อย่างครบถ้วน
อย่างไรก็ตอบ เท่าที่เขารู้มานั้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อนเองระบบอวัยวะเทียมนี้ที่เขาได้ยินข่าวมานั้น
มีนักวิจัยที่ชื่อไมก้าได้สร้างความร่วมมือระหว่างสถาบันลอเซนน่าแห่งสวิสเซอร์แลนด์และทีมวิจัยจากอิตาลี พวกเขาได้สามารถสร้างอวัยวะเทียมขึ้นมาได้จริง แต่ผลลัพธ์ยังห่างไกลจากที่หวังมากนัก
แต่ต่อหน้าของหวังจ้าวในตอนนี้คือลิงอุรังอุตังที่ใส่อวัยวะเทียมที่สูงล้ำกว่าที่มีการคาดหวังไว้อย่างแน่นอน
หากเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าสิ่งนี้หลุดรอดออกไปยังโลกภายนอกล่ะก็ แน่นอนว่าต้องสร้างความประหลาดใจให้นักวิจัยทั่วโลกอย่างแน่นอน สิ่งนี้บอกเลยว่าล้ำหน้าเกินกว่าที่คนพวกนั้นจะตามทันได้
“แกรกๆๆๆๆๆ” ในขณะที่อุรังอุตังที่สวมใส่แขนเทียมกำลังปีนป่ายอยู่นั้น อยู่ๆแขนเทียมของมันก็ดูอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปในทันที มันดูราวกับคนเมาที่ขยับไปหาเป้าหมายได้แต่ไม่สามารถหยิบหรือจับอะไรได้เลยสักอย่าง
“….มันเป็นอะไรน่ะ” หวังจ้าวที่เห็นก็ได้ถามออกมา
“ระบบประสาทยังเชื่อมต่อได้ไม่เสถียรน่ะ จึงทำให้เวลาใช้งานก็จะมีปัญหาแบบนี้อยู่บ้าง แต่ว่าพวกเขาเพิ่งจบพบสาเหตุของปัญหาเมื่อไม่นานมานี้เอง อีกไม่นานก็คงจะใช้ได้จริงๆแล้วล่ะนะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“แค่เพียงเจ้านี่….” หวังจ้าวในตอนนี้ได้ตื่นเต้นอย่างที่สุดจนหลุดปากออกมาเพราะนี่เองก็เป็นสุดยอดแห่งโอกาสทางธุรกิจของบริษัท แต่ก่อนที่เขาจะพูดได้ยังไม่ถึงครึ่งประโยค ซูจิ้งก็ได้แทรกขึ้นมาก่อนว่า
“อย่าเพิ่งตื่นเต้นไปสิ ตามมานี่ก่อน” ซูจิ้งขวางการแสดงท่าทีตกตะลึงของหวังจ้าวไว้แล้วพาเขาไปอีกห้องหนึ่ง
ในห้องนั้นมีนักวิจัยอยู่เพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น และพวกเขาเหมือนจะนั่งสร้างโปรแกรมอะไรบางอย่างบนโต๊ะกันอยู่
“หัวหน้า” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่สวมแว่นหนาเตะเมื่อเห็นซูจิ้งก็ได้ออกมาต้อนรับ
“ผลลัพท์เป็นยังไงบ้าง” ซูจิ้งได้ถามออกมา
“นี่ครับ” ชายวัยกลางคนได้ส่งโทรศัพท์มือถือให้กับซูจิ้ง หวังจ้าวมองไม่เห็นยี่ห้อว่าโทรศัพท์นี้ยี่ห้ออะไร แถมรูปลักษณ์ภายนอกก็ยังดูธรรมดามากๆ
หลังจากซูจิ้งเปิดมันด้วยลายนิ้วมือแล้ว เขาก็ได้ยื่นโทรศัพท์ให้หวังจ้าวแล้วพูดขึ้นมาว่า “ลองเล่นดูสิ”
หลังจากหวังจ้าวรับโทรศัพท์นี้มา เขาก็ได้ลองเล่นนู่นเล่นนี่เหมือนตอนคนที่กำลังลองเครื่องใหม่ทั่วๆไป
ครั้งแรกที่ใช้นั้นเขารู้สึกได้ในทันทีว่าโทรศัพท์เครื่องนี้นั้นตอบสนองได้เร็วมาก รวดเร็วพอๆกับเครื่องแอปเปิ้ลได้เลย
เขายังลองทดสอบเครื่องโดยการเปิดหลายๆแอพฯพร้อมๆกัน แต่ก็ดูเหมือนว่าจะทำอะไรมันไม่ได้เลยสักนิด ต่อให้เปิดเกมทิ้งไว้มากมายขนาดไหนก็ไม่มีท่าทีกระตุกหรือช้าเลยแม้แต่น้อย
“เอาล่ะที่นี้ลองใช้ระบบจัดการด้วยเสียงดูสิ ตอนนี้ฉันเรียกเจ้านี่ว่า ฟรอก (กบ)น่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ฟรอกเหรอ?” หวังจ้าวที่ได้ยินดังนั้นก็อดพูดออกมาด้วยความสงสัยไม่ได้ แต่ในทันนั้นเอง โทรศัพท์ก็มีการตอบสนองโดยสร้างเสียงกริ่งมาหนึ่งทีก่อนที่จะมีเสียงผู้หญิงสาวพูดออกมาว่า “เจ้านายต้องการอะไรคะ”
“เหมือนศิริของแอปเปิ้ลสินะ” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ลองดูไปก่อนน่า” ซูจิ้งพูดออกมา
หวังเจ้าได้ยิงคำถามต่างๆไปเหมือนกับตอนที่เขาใช้โทรศัพท์ของแอปเปิ้ล เขาทำแม้แต่การจีบฟรอก(ระบบจัดการอัจฉริยะ)นี้ด้วยซ้ำ
แต่หลังจากที่เขาลองจีบดูก็พบว่าระบบนี้ไม่เหมือนกับระบบที่เรียกว่าศิริอีกต่อไป ตอนนี้หน้าตาของเขามีแต่ตกตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ
ระบบจัดการด้วยเสียงตัวนี้เหนือล้ำกว่าศิริมากนัก สำหรับศิรินั้น เขาเองก็คิดว่ามันนั้นเหนือล้ำมากแล้ว แต่ตอนคุยกับมันนั้นก็ยังให้ความรู้สึกเป็นเพียงโปรแกรมธรรมดาเท่านั้นเอง
แต่กับระบบจัดการด้วยเสียงที่ชื่อว่าฟรอกนี้ เขารู้สึกเหมิอนกับว่าตัวเองกำลังคุยอยู่กับคนๆหนึ่งเลย ไม่ว่าเขาจะพูดออกมาด้วยเสียงจีนแบบไหนก็ตาม ระบบจะทำการเทียบเคียงและตอบโต้ได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องไม่ผิดเพี้ยน
ไม่ว่าจะถามมันด้วยคำถามที่ยียวนกวนประสาทแค่ไหนมันก็ยังตอบโต้ได้อย่างฉับไว และไม่ว่าจะสั่งระบบนี้เร็วขนาดไหน มันก็ยังสามารถทำตามได้อย่างฉับไวและถูกต้อง
“โทรศัพท์นี่จะทำให้เจ้าตลาดพวกนั้นต้องไม่คิดไม่ตกอย่างแน่นอน” หวังจ้าวได้พูดออกมาด้วยท่าทางตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“เครื่องนี้ยังเป็นแค่ตัวทดลองเท่านั้นล่ะนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะพูดต่อว่า
“ว่าไง นายยังคิดว่าการทุ่มทุนในสถาบันวิจัยของฉันนี่มันเป็นการผลาญเงินอยู่อีกรึเปล่า”
“ห้ะ ผลาญเงิน นายพูดอะไรออกมาเนี่ย ผลาญเผลิญอะไรก๊าน ฮ่าฮ่าฮ่า เอาน่า เรื่องนิดๆหน่อยๆเอง เซ้าซี้มากเดี๋ยวส่งไปสวรรค์หาย” หวังจ้าวได้พูดออกมาด้วยคำพูดเชิงหยอกเย้าแก้เขินออกมา และนี่ทำให้เขาตัดสินใจได้แล้วว่าต่อแต่นี้จะไม่ห้ามปรามซูจิ้งในการลงเงินในสถาบันวิจัยแหงนี้อีกต่อไป
ไม่ต้องสงสัยเลยว่างานวิจัยของซูจิ้งนี้ เขานั้นก้าวล้ำกว่าใครในโลกไปมากแล้ว ตราบใดที่เขายังคอยสนับสนุนซูจิ้งล่ะก็ แน่นอนว่าเขานั้นสามารถนั่งกินนอนกินไปได้จนวันตายได้อย่างแน่นอน
ซูจิ้งที่ได้ยินดังนั้นก็ได้ยิ้มออกมาอย่างพอใจ เพียงแค่งานวิจัยทั้งสองชิ้นนี้ก็ทำให้เขานั้นไม่ต้องกังวลเรื่องที่เขาเอาเงินมาผลาญไปกับสถาบันวิจัยแห่งนี้อีกต่อไปแล้ว
แต่เรื่องนี้เองก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะอ้างตัวว่าเป็นเจ้าของผลงานได้อยู่ดี นั่นก็เพราะว่าเทคโนโลยีแขนเทียมที่อยู่ๆก็ก้าวล้ำกว่าใครนี้
เขานั้นได้มาจากขยะห้วงเวลาฯโจโจ้ล่าข้ามศตวรรษที่เขานึกว่ามันเป็นเพียงหุ่นยนต์ธรรมดาเลยเอามาไว้ให้ศึกษา
แต่ด้วยการที่พวกเขานั้นไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่เหมาะสมและเครื่องมือทางด้านนี้เลยจำเป็นที่จะต้องสร้างห้องวิจัยขึ้นมาอีกตึกหนึ่ง
ในส่วนของโทรศัพท์สุดล้ำเครื่องนี้ เขานั้นได้ใช้ชิปจากหุ่นยนต์ที่เขาได้จากขยะห้วงเวลาฯWall-Eที่เขาให้เสี่ยวไป๋ลองซ่อมแซมดู
นี่ทำให้เขานั้นไม่ต้องกังวลว่าเจ้าหุ่นนี่จะจากเขาไปอีก แต่เขาก็กลัวว่าคนอื่นที่เห็นจะตกใจเกินไปจึงเลือกจะเอามาแค่ชิปบางส่วนเท่านั้น
ด้วยการที่ระบบปฏิบัติการและโปรแกรมต่างๆที่ติดตั้งเอาไว้ในหุ่นนี่มันก้าวล้ำโลกตอนนี้ไปไกลมากจนเขารู้สึกเสียดายที่จะให้อยู่ในหุ่นยนต์ทำความสามารถตัวนี้เฉยๆ
เขาก็เลยลองดึงโค๊ดคำสั่งต่างๆออกมาแล้วให้นักวิจัยของเขายัดใส่ในโทรศัพท์ก็เท่านั้นเอง
GGS:บทที่ 989 ตลาดเทคโนโลยี
“ดูเหมือนว่าเพียงแค่สองสามเดือน การวิจัยในสองเรื่องนี้ต้องผลาญเงินไปมากมายขนาดนั้นจนกลายเป็นแบบนี้ได้นี่ นายทำอีท่าไหนเนี่ย” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นและก็รู้สึกเหลือเชื่อไปพร้อมๆกัน
ผู้คนมากมายทั่วโลกจำนวนไม่น้อยที่ทำการศึกษาวิจัยในเรื่องระบบประสาทเทียมและระบบอัจฉริยะ พวกเขานั้นไม่ได้ขาดเงิน เทคโนโลยี หรือนักวิจัยหัวกระทิในการวิจัยเลยแม้แต่น้อย แต่พวกเขาก็ยังทำกันไม่สำเร็จเลยสักคนเดียว
แต่นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอย่างมาก หากว่าเทคโนโลยีสามารถคิดค้นกันได้ง่ายๆล่ะก็ ไม่มีทางเลยที่แอปเปิ้ลจะสามารถสร้างโทรศัพท์ดีๆได้เพียงรุ่นเดียว และรุ่นถัดๆมาเพียงแค่ปรับเปลี่ยนส่วนประกอบไปได้เพียงเล็กๆน้อยๆเท่านั้น
นี่คงเป็นเหตุผลที่ซูจิ้งและเฉิงหนานต้องสร้างห้องวิจัยแห่งนี้ แต่คำถามคือทั้งสองทำได้ยังไงถึงได้สามารถตัดผ่านขีดจำกัดของเทคโนโลยีได้เร็วขนาดนี้ แค่โชคดีงั้นเหรอ ไม่มีทาง
“หากเป็นเรื่องนี้คงต้องสอบถามท่านประธานซูแล้วล่ะค่ะ” เฉิงหนานพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เฮ้อ นี่จะสงสัยเอาโล่รึไงกันเนี่ย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม แน่นอนว่าเขาไม่มีทางบอกออกมาตรงๆได้อย่างแน่นอนว่าเทคโนโลยีเหล่านี้เขาเก็บมาได้จากกองขยะฯ
“อีกนานแค่ไหนกว่าเทคโนโลยีทั้งสองนี้จะพร้อมต่อการใช้งาน” หวังจ้าวเลือกที่จะถามออกมาอย่างตรงประเด็น
“ควรจะอีกไม่นานล่ะนะ ฉันได้ลองนำเทคโนโลยีประสาทเทียมไปลองใช้รักษาคนไข้ในคลีนิกพิเศษของฉันแล้ว ผลจากการลองใช้ถือว่าดีเยี่ยมเลย
ฉันขอรออีกสักพักให้การเชื่อมต่อระหว่างประสาทจริงและประสาทเทียมเสถียรเสียก่อนถึงจะประกาศออกไป
ส่วนเรื่องโทรศัพท์นี่อาจต้องทดสอบอีกพักใหญ่น่ะ ตอนนี้นักวิจัยกำลังพยายามพัฒนาฟังชั่นต่างๆที่ช่วยเสริมสมรรถนะของโทรศัพท์ให้สูงขึ้นอีกสักหน่อยก่อน
หากพวกเขาทำได้เร็วพอล่ะก็น่าจะพอใช้ได้จริงๆก็อีกประมาณเดือนนึง”
“ก็หมายความว่านายสามารถใช้ช่วงเวลานี้ในการสร้างชื่อเสียงในฐานะหมอเทวดาแห่งราชวงศ์ฮั่นเพื่อดีงดูดความสนใจ
ในขณะที่อีกทางหนึ่งพวกเราสามารถเตรียมการผลิตภัณฑ์ที่มาจากการวิจัยงานสองชิ้นนี้ได้สินะ และทันทีที่ผลิตภัณฑ์ออกมาพวกเราจะรับทรัพย์กันอื้อซ่า….” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกริ่มจนน่ากลัว
“ฉันก็คิดว่าอย่างนั้นค่ะ” เฉิงหนานก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้างเช่นเดียวกัน
“ใช่ แต่ก็ขึ้นอยู่กับลูกพี่จ้าวแล้วล่ะนะ” ซูจิ้งพูดออกมาในขณะที่ยังพาหวังจ้าวเดินออกจากสถานีวิจัย
หลังจากแยกย้ายกลับออกไป เฉิงหนานและหวังจ้าวได้ให้คนของพวกเขาจัดทำแผนประชาสัมพันธ์เบื้องต้นขึ้นมา
เนื้อหาหลักๆก็คือการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับความสามารถของซูจิ้งและประวัติของกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศ
หลังจากที่ทั้งสองเห็นชอบก็ได้ดำเนินการในทันที และในทันทีที่ข่าวประชาสัมพันธ์ซูจิ้งออกไปก็สร้างความสนใจเป็นวงกว้าง
“นี่ฉันเข้าใจผิดไปรึเปล่าว่าซูจิ้งกำลังจะลงมามีส่วนในตลาดวงการระบบประสาทเทียมกับโทรศัพท์มือถือ”
“ฉันก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกันนะ หมอนี่นอกจากจะเพิ่งจะกลายเป็นหมอเทวดาไปนี่ยังคิดจะทำอย่างต่ออีก ไม่เหนื่อยบ้างรึไงกัน”
“ไอ้เรื่องแรกนี่ฉันพอเข้าใจได้นะเพราะมันยังเกี่ยวกับวงการแพทย์ แต่เรื่องสมาร์ทโฟนนี่จะไหวเหรอ”
“นั่นสิ ฉันว่าเขาไม่น่าจะรู้เรื่องพวกนี้เลยนะ”
“เฮ้เฮ้ ลืมไปแล้วรึเปล่าว่ากลุ่มทุนห้วงเวลาฯยังมีผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนลียีสุดล้ำอย่างแผงพลังงานแสงอาทิตย์น่ะ แผงพลังงานฯนั่นใช้เทคโนโลยีในการสร้างที่ล้ำหน้าเจ้าอื่นชนิดที่ไม่มีใครเทียบติดเลยนะ
นั่นหมายความว่าต่อให้ซูจิ้งอาจจะไม่เข้าใจเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่เขาก็สมควรจะมีนักวิทยาศาสตร์หัวกะทิทำงานให้อย่างแน่นอน”
“เท่าที่ฉันรู้มามีหลายๆที่เองที่สนใจและกำลังวิจัยระบบประสาทเทียมนี้ไม่น้อยเลยนะ และตอนนี้ที่ดูๆแล้วมีความก้าวหน้ามากที่สุดก็น่าจะเป็นประเทศอเมริกา
และแน่นอนว่าที่นั่นเองก็เป็นหนึ่งเรื่องโทรศัพท์เช่นเดียวกันแถมตลาดมือถือเองก็ยังมีการแข่งขันสูงอีกด้วย คู่แข่งของเขานั้นไม่ได้มีเพียงแอปเปิ้ลเท่านั้น ยังมีฮัวเว่ย วิโว่ เสี่ยวมี่ เม่ยซู และซัมซุงที่ครองตลาดไว้พอๆกัน
แถมบริษัทพวกนี้ยังเริ่มขยายตลาดตัวเองไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างอื่นอีก ไม่ง่ายเลยที่จะแข่งด้วยได้”
โลกภายนอกตอนนี้กำลังมึนงงกับการกระทำของซูจิ้งมากกว่าเดิมอีกเล็กน้อยเท่านั้นทั้งๆที่ยังไม่หายตกตะลึงกับข่าวร้อยของซูจิ้งอย่างการที่เขากลายเป็นหมอเทวดาแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออก
ส่วนเรื่องที่ทำให้พวกเขานั้นสับสนนั่นก็คือเรื่องที่ซูจิ้งนั้นต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในวงการเทคโนโลยีนั่นเอง หลายๆคนเองตอนแรกยังคิดว่านี่เป็นข่าวที่เกิดจากความเข้าใจผิดอยู่เลย
แต่ทันทีที่พวกเขาได้เห็นที่มาของข่าวนี้จากเว็บไซต์ทางการของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯเองถึงจะพอเชื่อได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง
และนี่ก็ทำให้หลายๆคนยากที่จะเข้าใจว่าซูจิ้งนั้นทำไปทำไมกันแน่ นั่นก็เพราะว่าช่วงเวลานี้ซูจิ้งควรจะช่วงที่ซูจิ้งแสดงฝีมือในฐานะหมอเทวดาฯให้เต็มที่ไม่ใช่การก้าวเข้าไปในด้านเทคโนโลยีแบบนี้
“ลูกพี่ฮัวดูข่าวที่ผมส่งเห็นพี่แล้วรึยังครับ” ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังโทรศัพท์คุยด้วยน้ำเสียงสุภาพหลังจากที่เขาได้เห็นข่าวที่ถูกปล่อยออกมาจากกลุ่มทุนห้วงเวลา
“อื้ม เห็นแล้ว” น้ำเสียงสงบนิ่งได้พูดตอบมาจากอีกฝั่ง
“เจ้าซูจิ้งนี่มันช่างน่ารำคาญจริงๆ ก่อนหน้านี้มันได้เปิดพิพิธภัณฑ์และคลีนิกพิเศษจนทำให้พวกเราต้องรำคาญอย่างมากและยังสร้างความตื่นตะลึงไปทั้งโลก
มาตอนนี้มันยังกล้าที่จะเข้ามามีส่วนในตลาดด้านเทคโนโลยีอีก เฮ้ออออ” ชายหนุ่มพูดออกมาพลางส่ายศรีษะและถอนหายใจออกมา
“อื้ม ตัวฉันเองนั้นไม่เก่งทั้งวงการของเก่าและวงการแพทย์ แน่นอนว่าฉันทำอะไรหมอนี่ไม่ได้ แต่กับเรื่องนี้คนละเรื่องกัน หากมันต้องการจะเข้ามาเอี่ยวจริงๆก็คงต้องเจอกันหน่อยล่ะ” ปลายสายพูดออกมาด้วยน้ำเสียงยิ้มเยาะ
“ผมคิดเหมือนกันว่านี่น่าจะเป็นโอกาสที่ดีของลูกพี่ฮัวครับ ก่อนหน้านี้ลูกพี่ได้ซื้อห้องวิจัยเฉพาะด้านสมาร์ทโฟนมาได้เกือบปีแล้ว แถมการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ก็ยังเป็นไปได้ด้วยดีอีกด้วย
อีกทั้งลูกพี่ยังสำรวจการตลาดมายางดีแล้วว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ของเราตอบโจทย์ตลาดในทุกด้าน ไหนเรายังใช้เวลาเตรียมตัวนานกว่ามันอีก
ผมได้ข่าวมาว่าซูจิ้งเองเริ่มที่จะมาสนใจตลาดนี้เพียงเดือนถึงสองเดือนนี่เอง ช่างเป็นคนที่ตัดสินใจด่วนได้จริงๆ
ลูกพี่ ผมว่าโมบายโฟนของลูกพี่ควรจะปล่อยเวลาเดียวกับหมอนั่นนะครับ ด้วยชื่อเสียงของมันในตอนนี้นี่จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เราจะประโยชน์จากชื่อเสียงของมันดันเราให้อยู่เหนือกว่าได้ในทันที”
ชายหนุ่มท่าทางสุขุมพูดออกมาด้วยท่าทีตื่นเต้น
พ่อของฮัวหยุนชูนั้นเป็นคนที่รวยที่สุดคนหนึ่งของเมืองจีน และเขานั้นมีผลิตภัณฑ์ที่อยู่อันดับต้นๆในกลุ่มตลาดหลักทั้งสี่ได้แก่ ธุรกิจบ้านพัก โรงแรมชั้นสูง ตลาดท่องเที่ยว และเครือข่ายห้างสรรพสินค้า
อย่างไรก็ตามตัวฮัวหยุนชูนั้นคิดจะเติบโตในตลาดอื่นมากกว่าอย่างการทำสมาคมอีสปอร์ตและช่องสตรีม
ด้วยการนี้พ่อของเขานั้นให้เงินมาจำนวนสามร้อยล้านหยวนแล้วสั่งเอาไว้ว่าให้ทำเงินจากทุนก้อนนี้ให้ได้พันล้านหยวน
นี่เองทำให้เขาต้องมาลงเล่นในตลาดที่ใหญ่กว่าอย่างตลาดสมาร์ทโฟนและพวกเขาเองก็ใช้เวลาเตรียมตัวมามากกว่าสองปีแล้ว นี่จึงทำให้พวกเขานั้นมั่นใจอย่างมาก
“ทำไมฉันจะต้องไปแข่งด้วยล่ะในเมื่อตอนนี้ฉันก็เหนือกว่ามันอยู่แล้ว มันจะไม่ดีกว่าเหรอหากเราปล่อยให้หมอนั่นได้ใจไปก่อนแล้วเราค่อยปล่อยผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่าไปตีแสกหน้ามันแทน” ฮัวหยุนชูพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“โอ้ที่ลูกพี่พูดออกมาก็ดีนะครับ” ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ได้รีบพูดออกมาพร้อมยิ้มรับในแผนการของลูกพี่ตัวเองในทันที
เขาได้ทำการดูวันเวลาที่ซูจิ้งจะวางขายโทรศัพท์มือถือแล้วส่งข้อมูลไปให้ลูกพี่ของเขาได้รับทราบเอาไว้ในทันที เขาเองก็อยากจะเห็นใบหน้าของซูจิ้งเมื่อต้องมาขายโทรศัพท์แข่งกับลูกพี่ของเขาเหมือนกัน คงจะน่าขันดีพิลึก
พลางนึกในใจว่าด้วยการที่ตอนนี้หมอนี่มีชื่อเสียงจากพิพิธภัณฑ์และได้รับฉายาว่าเป็นหมอเทวดาแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออกมาทำให้ได้ใจเกินไปสินะ จึงคิดจะใช้เพียงชื่อเสียงในการลงตลาด ตราบใดที่มีลูกพี่ของเขาอยู่ไม่มีทางจะสำเร็จโดยง่ายอย่างแน่นอน
นักวิทยาศาสตร์ในอเมริกา สวิสเซอร์แลนด์ อิตาลี และประเทศอื่นๆเองก็รับทราบข่าวนี้เช่นเดียวกัน
“หากว่าข้อมูลที่เราได้รับมาเชื่อถือได้ล่ะก็ ดูเหมือนว่ากลุ่มทุนห้วงเวลาและอวกาศที่อยู่ในเมืองจีนกำลังจะทำอวัยวะเทียมออกขายอยู่นะ นั่นหมายความว่าที่นั่นก็มีการวิจัยระบบประสาทเทียมอยู่เหมือนกัน”
“แล้วยังไงล่ะไม่เห็นจะหน้าแปลกใจตรงไหนเลย อีกอย่างยังไงซะเทคโนโลยีของจีนก็ล้าหลังกว่าเรามากเลยนะ”
“มันก็จริง แต่ประเด็นคือผู้พัฒนาคือกลุ่มทุนห้วงเวลาฯนั่นต่างหาก ที่นั่นมีซูจิ้งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่น่ะ”
“….เดี๋ยวนะ กลุ่มทุนห้วงเวลาฯนี่ใช่ผู้นำเทคโนโลยีด้านพลังงานแสงอาทิตย์นั่นรึเปล่า ถึงจะใช่แล้วยังไง พวกนั้นก็มีดีแค่เรื่องพลังงานสะอาดเท่านั้น ไม่เคยเห็นมีข้อมูลเกี่ยวกับระบบประสาทเทียมออกมาเลยสักนิด
แล้วไหนจะคนที่ชื่อซูจิ้งนั่นอีก ฉันคุ้นๆว่าเขาเป็นหมอราชวงศ์อะไรนั่นไม่ใช่เหรอ รู้สึกจะเป็นคนที่รักษาฮอว์กิ้งใช่ไหม แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหมอนั่นล่ะ”
“ใช่ ซูจิ้งคนนั้นเป็นหมอที่รักษาฮอว์กิ้ง เขานั้นเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มทุนห้วงเวลาฯและริเริ่มการสร้างแผงพลังงานแสงอาทิตย์นั่น
และนั่นก็หมายความว่าพวกเขานั้นมีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีมากกว่าใครได้เช่นเดียวกัน การที่มีชื่อหมอนี่อยู่แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแค่ทำเล่นๆอย่างแน่นอน”
“ฉันว่าพวกนั้นแค่ตีข่าวให้เวอร์ๆจะได้ถูกพูดถึงกันก็เท่านั้นเองแหล่ะน่า และไม่ว่าจะเป็นวงการไหนก็ตามฉันก็เชื่อว่าประเทศของเรานั้นล้ำหน้าในทุกด้าน รวมถึงการสร้างระบบประสาทเทียมนั่นด้วย”
เมื่อเหล่าแบรนด์ยี่ห้อสมาร์ทโฟนดังๆทั้งหลายได้ยินข่าวนี้ต่างก็ไม่ใส่ใจเรื่องที่ว่าซูจิ้งจะเข้ามาลงเล่นในตลาดสมาร์ทโฟนแม้แต่น้อย
พวกเขานั้นถือว่าตัวเองได้ครองตลาดส่วนนี้อย่างสมบูรณ์อย่างแน่นอนแล้ว แถมยังมีการพัฒนาโทรศัพท์ออกมาอย่างต่อเนื่อง
ต่อให้มีแบรนด์ใหม่มามากมายขนาดไหนก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะกระเทือนได้อย่างแน่นอน ขนาดแบรนด์ใหญ่ๆจากตลาดอื่นมาลงเล่น พวกเขายังไม่สนใจเลย นับประสาอะไรกับแบรนด์โทรศัพท์ใหม่แกะกล่องแบบนี้
GGS:บทที่ 990 ขยะสู่อนาคต
หลังจากข่าวผลิตภัณฑ์ทั้งสองชนิดของกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศปล่อยออกไป ในตอนนี้ที่โลกภายนอกนั้น เรื่องนี้ได้กลายเป็นที่พูดถึงกันอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด เขายังมีกิจวัตรประจำที่ยังต้องจัดการ กับเรื่องของมดปลวกนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย
ที่บ้านของเขา ซูจิ้งได้ทำการจัดการขยะทั้งหมดที่เขารวบรวมมาได้ใหม่อีกครั้ง หลังจากนั้นจึงได้ทำการบ่มเพาะต้นไม้ต่างๆที่เขาปลูกโดยการใช้กะโหลกเร่งเวลาและดินจอมเขมือบ อย่างเช่น
ไม้หัวที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯอสูรกายกระหายเลือด(เขตแดนนองเลือด)
ต้นหลิวที่ได้มาจากขยะห้วงเวลาฯจูเซียน
ต้นท้อเขียวที่ได้มาจากขยะห้วงเวลาฯล่าลี้ลับตำนานจีน
ต้นทองแดงประกายเพลิงที่ได้มาจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้า
เอาจริงเขายังมีต้นไม้ที่มีสรรพคุณสุดแสนจะลึกล้ำอยู่มากมาย แต่พวกมันนั้นจะเป็นต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะตัวเองมากมายหลายร้อยปีถึงจะแสดงความวิเศษของพวกมันออกมา
หลังจากเสร็จเรื่องต้นไม้แล้ว ซูจิ้งใช้เวลาในการศึกษาตำราและสมบัติต่างๆอย่างผ้าเช็ดหน้าไหมทองคำ ตำราทางพุทธ แผ่นหนังต่างๆ กระจกส่องเวลา พระธาตุ พิษต่างๆ แมลงต่างๆ และสมบัติชิ้นอื่นๆ จนในตอนนี้เขานั้นได้เข้าใจการทำงานของสมบัติต่างๆอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว
โดยเฉพาะการใช้งานต้นทองแดงประกายเพลิงที่ตอนนี้ต่อให้เขานั้นยังไม่ได้เริ่มใช้มันแต่ก็เข้าใจวิธีการใช้ต้นไม้นี้ได้อย่างดี
แต่สมบัติที่ยังทำให้เขานั้นยังต้องปวดหัวอยู่ก็ยังมี อย่างเช่นผ้าเช็ดหน้าไหมทองคำผืนนั้น ไม่ว่าซูจิ้งใจส่งพลังงานชนิดไหนเข้าไป ผ้าผืนนี้ก็ไม่ตอบสนองเขาเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อดูจากพลังงานที่มันปล่อยออกมาแล้วเขาก็รู้ดีว่ามันต้องไม่ใช่ผ้าเช็ดหน้าธรรมดาอย่างแน่นอน
“ปล่อยพลังใส่ไปทั้งพลังภายใน ทั้งพลังวิญญาณ นี่แกยังต้องใช้วิธีการอะไรอีกเนี่ยถึงจะใช้งานแกได้….หรือว่าต้องใช้พลังเวทย์?”
ทันทีที่คิดได้ดังนั้น ซูจิ้งก็ได้โบกสะบัดผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ไปมาก่อนที่จะนึกถึงอักษรจากตำราเวทย์มนต์ที่เขาได้จากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าไว้ในใจในทันที
จิตใจของเขาได้พลุ่งพล่านและวาดภาพตัวอักษรต่างขึ้นมาในใจอย่างรวดเร็ว พวกมันถูกเรียบเรียงอย่างสวยงามราวกับว่าเป็นโค้ดโปรแกรมคอมพิวเตอร์เลยก็ว่าได้
ในตอนนี้เองที่ดวงตาของซูจิ้งเป็นประกายขึ้นมาในทันที ก่อนที่เขาจะหันไปจ้องมองยังผ้าเช็ดหน้าไหมทองคำแบบตาไม่กระพริบ ก่อนจะบ่นพึมพำออกมาเบาๆว่า
“ไม่ใช่ว่านี่คือเวทย์มนต์ปลุกทหารลับของสำนักเต๋าหรอกเหรอ”
ในห้วงเวลาสุสานไร้ค่านั้น สำนักเต๋ามีเวทมนต์เรียกทหารอยู่สามประเภทประกอบด้วยทหารจู่โจม(ซุ่มโจมตี) ทหารป้องกัน(แนวหน้า) และทหารลับ(ลอบสังหาร)
ในทหารทั้งสามประเภท ทหารหน่วยจู่โจมนี้ถือได้ว่าทรงพลังที่สุด พวกมันสามารถล่าล้างสัตว์ประหลาดได้อย่างไม่ยากเย็น แม้แต่ขุนพลในกองกำลังต่างๆก็ตกตายโดยพวกมันได้หากประมาท
มีเพียงผู้บ่มเพาะระดับจิตวิญญาณเท่านั้นที่สามารถควบคุมและต่อกรพวกมันได้ วิธีการใช้เวทย์มนต์นี้ก็คล้ายกับการเสกถั่วให้เป็นทหาร หรือหงอคงที่เป่าขนกลายเป็นตัวเอง
สำหรับกองกำลังหน่วยลับนี้ถือได้ว่าเป็นไพ่ลับชิ้นหนึ่งของจักรพรรดิ์ฉิงที่เป็นขั้วอำนาจแห่งฝั่งตะวันออก และมีเพียงผู้เดียวที่สามารถใช้เวทย์มนต์นี้ได้อย่างชำนาญ นั่นก็คือ จักรพรรดิ์ลู่หยวน
และด้วยการผู้ที่ฝึกวิชานี้จะทำให้ผู้ฝึกสามารถบ่มเพาะได้ทั้งห้าธาตุ จึงมักจะมีคนฝึกฝนวิชานี้กันอย่างแพร่หลาย
“อืมมมม ผู้เชี่ยวชาญอย่างจักรพรรดิ์ลู่หยวนนั้น ถึงแม้เขาจะมีการบ่มเพาะเพียงสี่ธาตุแต่นั่นก็ไม่สมควรที่จะทำให้ผ้าผืนนี้ได้รับความเสียหายในการฝึกขนาดนั้น
กับจักรพรรดิ์ฉิงยิ่งไม่มีทางเข้าไปใหญ่เพราะเขานั้นมีการบ่มเพาะทั้งห้าธาตุ ไม่มีทางพลาดอย่างแน่นอน
ถ้าอย่างนั้นที่เป็นไปได้ก็คงจะมีใครสักคนอย่างลูกศิษย์ คนงาน ไม่ก็สาวใช้ ที่แอบเอาออกมาฝึกโดยไม่รู้เรื่องอะไรแต่ไม่สำเร็จแล้วพลาดจนเสียหายเลยโยนทิ้งออกมาเพื่อทำลายหลักฐาน…..
….. ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็เป็นไปได้ว่านี่สมควรจะเป็นผ้าผืนนี้จะเป็นของจักรพรรดิ์ลู่หยวนสินะ ถ้าอย่างนั้นวิธีการใช้ผ้าผืนนี้ก็ควรจะเป็นของจักรพรรดิ์ลู่หยวน ถ้าเป็นอย่างนั้นวิธีการใช้งานก็ควรจะเป็น…”
คิดได้ดังนั้น ซูจิ้งได้วิ่งออกจากพื้นที่เก็บของที่เขาเก็บแยกสมบัติจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯเอาไว้
ด้วยการที่ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ยังไม่ยอมรับเขาเป็นเจ้าของ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มันจะไม่ยอมให้เขาได้ใช้งานของมัน แต่ตราบใดก็ตามที่คนที่ครอบครองผ้าผืนนี้เอาไว้หากรู้ว่าทริคบางอย่างล่ะก็ ไม่ว่าใครก็สามารถใช้งานมันได้อย่างง่ายดาย
เมื่อถึงพื้นที่หนึ่ง ซูจิ้งได้โยนผ้าไหมทองคำนี้ขึ้นไปบนอากาศ หลังจากนั้นเขาได้พูดอะไรบางอย่างออกมา
ตอนนั้นเอง ผ้าไหมทองคำได้แปลเปลี่ยนกลายเป็นทหารร่างยักษ์ที่มีปากกว้างปรากฎร่างอยู่ลางๆในอากาศ ทหารร่างยักษ์นี้ก็คือยักษ์ ความสูงของมันอยู่ที่ประมาณสี่ไม่ก็ห้าเมตรเห็นจะได้ กลิ่นอายของมันเต็มไปด้วยบรรยากาศที่อันตรายและสุขุม
หากเหล่าผู้บ่มเพาะร่างกายที่อยู่ในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯได้เจอกับทหารตนนี้ พวกเขาก็เปรียบได้ไม่ต่างจากไก่ตัวน้อยๆเลยทีเดียว
“ไอ้ฉิบ….” ถึงแม้ว่าซูจิ้งจะเตรียมใจไว้บ้างแต่เขาก็ยังตกใจเมื่อได้เห็นทหารร่างยักษ์ประดุจดั่งภูเขาลูกย่อมๆตนนี้จนเผลอสะดุ้งเฮือกไปเล็กน้อย แต่ไม่นานเขาก็สงบใจลงได้ก่อนจะพูดออกมาว่า “ขอดูความแข็งแกร่งของแกหน่อยสิ”
ทหารร่างยักษ์ที่เพิ่งจะถูกปล่อยออกมาจากผ้าไหมทองคำนั้นยินยอมรับฟังคำขอของซูจิ้งแต่โดยดีโดยไม่แข็งขืนแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นมันได้เดินไปที่ลานจอดรถบรรทุกที่อยู่ไม่ไกลนัก เขาได้ทำการจับคานพ่วงให้โค้งงอได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้นก็ได้ใช้มือข้างหนึ่งยกกระบะพ่วงขึ้นได้ด้วยมือเพียงมือเดียวอย่างง่ายดาย
หากมีใครมาเห็นทหารตนนี้ในตอนนี้ล่ะก็แน่นอนว่าต้องตกใจจนเป็นลมล้มพับไป นี่ทหารตนนี้มีความแข็งแกร่งอยู่เท่าไหร่กันเนี่ยแค่มือเดียวก็ยกกระบะพ่วงคันยักษ์ได้ขนาดนี้ สัตว์ประหลาดนี่ยังไงก็ยังเป็นสัตว์ประหลาดอยู่วันยังค่ำแหะ
“จิ้ จิ้ ดูเหมือนว่าเจ้านี่จะยังไม่ใช่ทหารที่แข็งแรงที่สุดสินะ แต่ก็เอาเถอะ ตอนนี้เท่านี้ก็ดีแล้ว” ซูจิ้งเดาะลิ้นก่อนที่จะพูดให้กำลังใจตัวเองออกมากลายๆ
เขารู้ดีว่าเจ้าผ้าแบบนี้มีชนิดที่คุณภาพดีกว่านี้อย่างแน่นอน เขายังได้ทดสอบความสามารถของทหารยักษษ์ตนนี้ต่อไป และในที่สุดแล้วเขาจึงได้ลองเปรียบเทียบความแข็งแกร่งของเขากับทหารตนนี้ดู
หลังจากที่เขาได้ลองเปรียบเทียบดูแล้วก็พบว่าทหารตนนี้ถึงแม้จะแข็งแรงก็จริง แต่มันก็ยังไม่ทรงพลังเท่าเขา แถมตัวมันนั้นยังเชื่องช้า และทุกการก้าวเดินยังก่อให้เกิดเสียงอันดังก้อง หากไม่นับเรื่องแข็งแกร่งแล้ว ทหารตนนี้ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าผ้าผืนนี้สมควรจะเป็นผ้ายันต์อัญเชิญ และน่าจะเป็นระดับต่ำสุดในผ้ายันต์ทั้งหมด” ซูจิ้งได้ตัดสินคุณลักษณะของผ้ายันต์ผืนนี้ในทันที
ผ้ายันต์ผืนนี้สมควรที่จะใช้ในการอัญเชิญทหารระดับต่ำเพื่อใช้ในงานที่ต้องใช้แรงงานเท่านั้น ไม่ใช่ทหารที่เอาไว้ใช้ในการต่อสู้แต่อย่างใด เอาจริงๆระดับของมันนี่ไม่น่าจะถึงทหารระดับต่ำสุดด้วยซ้ำ
ในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่านั้นทหารตนนี้ไม่ได้มีค่าอะไรเลยสักนิด แต่กลับโลกใบนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่ ด้วยความแข็งแรงขนาดนี้ไม่มีทางเลยที่มันจะอ่อนแอในการสู้รบ
ดีไม่ดีในโลกนี้น่าจะมีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถจะกำราบมันได้ ไม่ต้องพูดถึงคนธรรมดาเลยหากเจอล่ะก็หากไม่กลายเป็นเนื้อบดก็คงจะเละเทะด้วยการบีบเพียงครั้งเดียว
แน่นอนว่าซูจิ้งจะไม่ยอมให้ทหารตนนี้ไปทำอันตรายใครนอกเสียจากว่าเขานั้นจะอนุญาต เอาจริงๆแค่เจ้านี่ออกมาก็สมควรที่จะทำให้ไม่มีใครกล้าทำอะไรแม้แต่น้อยแล้ว
“นึกๆไปแล้วผ้ายันต์นี่ก็ไม่เลวแหะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยอารมณ์ที่แจ่มใสมากขึ้น เพียงแค่หนึ่งความคิด ทหารยักษ์ก็ได้กลับกลายเป็นผ้ายันต์แล้วลอยกลับมาอยู่ในมือซูจิ้ง จากนั้นเขาก็เก็บมันเอาไว้ในกระเป๋ามิติของเขา
หลังจากที่ซูจิ้งจัดการสมบัติทั้งหมดจนเสร็จแล้ว เขาก็ได้รีบเข้านอนแต่หัวค่ำและตั้งใจว่าจะขอพักเต็มที่สักสองสามวัน แต่ในช่วงตีสามถึงตีสี่ของวันถัดมา เขาก็ต้องตื่นขึ้นด้วยเสียงของฉิงหยุนที่บอกออกมาว่
“ท่านเจ้าของ ขยะห้วงเวลาฯมาแล้วค่ะ”
ซูจิ้งที่ได้ยินดังนั้นได้ลุกพรวดขึ้นมาในทันที ตัวเขาไม่ได้มีท่าทางงัวเงียเพราะเพิ่งตื่นแต่อย่างใด กลับกัน ดวงตาของเขานั้นเปล่งประกายและแสดงท่าทีตื่นเต้นขั้นสุดออกมา
พลางนึกในใจว่าในที่สุดขยะฯชุดใหม่ก็มาเสียที ก่อนที่เขาจะวิ่งลงไปยังชั้นหนึ่งและตรงเข้าไปในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาในทันที
เมื่อเข้าไปถึงเขาก็ได้เห็นวังวนมิติหมุนวนอยู่กลางอากาศ หลังจากนั้นก็ได้มีขยะห้วงเวลาฯไหลลงมาจำนวนมาก จากที่เขาสังเกตในตอนนี้ส่วนใหญ่แล้วขยะที่ไหลเข้ามาจะเป็นก๊าซของเสีย เหล็กขึ้นสนิม ชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆ และของอื่นๆที่บ่งบอกว่าขยะกองนี้น่าจะมาจากห้วงเวลาฯที่ล้ำยุคเป็นแน่
หลังจากที่มองอยู่นิ่งๆอยู่อย่างนั้นแต่สมองของเขากลับกำลังคิดประเมินอย่างรวดเร็ว จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขานั้นบอกไว้ฝังใจว่ายิ่งห้วงเวลาฯที่ขยะฯพวกนี้จากมาเข้าใกล้ยุคเดียวกับโลกนี้มากเท่าไหร่
ขยะฯพวกนั้นก็แทบจะไม่มีสมบัติเลยแม้แต่น้อยนี่จึงเป็นเหตุให้เขาทำเพียงยืนนิ่งจนไม่อยากจะทำอะไรในตอนนี้
หากว่าขยะเหล่านี้มาจากห้วงเวลาฯที่มีบรรยากาศโบราณกาลอย่างห้วงเวลาฯจูเซียน ห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯ ขยะเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีสิ่งที่มีค่าพอจะเป็นสมบัติได้อยู่มากมาย ในทำนองเดียวกัน หากขยะจากโลกใบนี้หลุดเข้าไปอยู่ในห้วงเวลาฯอื่น แน่นอนว่าพวกมันเองก็ล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติแสนล้ำค่าได้ทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเป็นการหลอมเหล็ก หรือแม้แต่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ หากได้ไปเพียงหนึ่งก็เพียงพอต่อการเปลี่ยนห้วงเวลาฯของพวกเขาได้เช่นเดียวกัน เพรายังไงซะห้วงเวลาฯเหล่านั้นส่วนใหญ่แล้วยังเป็นคนธรรมดาที่เป็นประชากรขั้นพื้นฐานของห้วงเวลาฯเหล่านั้น
แต่ถ้าห้วงเวลาฯที่ขยะฯเหล่านี้จากมา มีบรรยากาศของยุคสมัยไม่ห่างจากโลกใบนี้ล่ะก็ คงเป็นการยากที่จะหาสิ่งที่แตกต่างกันได้มากนัก
นอกเสียจากว่าขยะฯเหล่านี้มาจากห้วงเวลาที่ล้ำน่ากว่าปัจจุบันล่ะก็ นี่จะแตกต่างจากสิ่งที่ซูจิ้งคิดอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม ความเซ็งเป็ดของซูจิ้งก็ถูกแทนที่ด้วยความประหลาดใจอย่างรวดเร็ว นั่นก็เพราะว่าเขานั้นได้เห็นบางสิ่งที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่มีสภาพเป็นโลหะ รวมถึงชิ้นส่วนที่มีรูปร่างแปลกตา นี่ช่วยให้ซูจิ้งนั้นค่อนข้างมั่นใจว่าขยะห้วงเวลาฯคราวนี้มาจากห้วงเวลาฯที่ยุคสมัยแตกต่างและล้ำหน้ากว่าบนโลกใบนี้อย่างแน่นอน
GGS:บทที่ 991 ขยะชุดใหม่
ในกองขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศชุดใหม่นั้น ซูจิ้งได้เห็นขยะมากมายหลากหลายชนิด จากเท่าที่เขาเห็นก็พอจะแบ่งหยาบๆได้เป็นพลาสติก ห่อขยะ เศษกระดาษ เศษเหล็ก และของอย่างอื่นที่ล้วนแล้วแต่บ่งบอกว่าห้วงเวลาฯที่พวกมันจากมานั้นค่อนข้างจะคล้ายกับยุคปัจจุบัน
มีเพียงสิ่งเดียวที่เข้าตาเขา นั่นก็คือร่างที่คล้ายมนุษย์แต่มีรูปลักษณ์ผิวพรรณที่คล้ายโลหะที่คล้ายกับถูกแยกชิ้นส่วนมา
แต่จะบอกว่าพวกมันคล้ายมนุษย์ก็ไม่เชงซะทีเดียวเพราะบางชิ้นนั้นมันช่างดูใหญ่โตกว่ามนุษย์ทั่วไป แขนบางชิ้นก็มีขนาดยาวหลายเมตร ถึงแม้ว่าจะมีบางส่วนที่ค่อนข้างจะมีชิ้นส่วนครบถ้วนแต่พวกมันก็ดูสูงยาวเกินกว่าสิบเมตรเลยทีเดียว
ซูจิ้งได้ลองให้ฉิงหยุนจำแนกพวกมันตามลักษณะเท่าที่จะเป็นไปได้ในขณะที่บังคับให้พวกมันลอยอยู่เหนือพื้น
แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้เห็นเงาดำบางอย่างที่ใหญ่โตห่างไปเกือบริบๆสายตา มันคือหนูตัวใหญ่ที่พยายามดีดตัวออกจากกองขยะห้วงเวลาฯที่พึ่งจะหล่นลงมาเหมือนพยายามที่จะกลับเข้าไปในกองขยะที่ยังไม่ถูกแยก
ทันทีที่ซูจิ้งได้เห็นเจ้าหนูตัวนี้เขามองอย่างตกตะลึงไปเพียงชั่วครู่ นั่นก็เพราะว่าเจ้าหนูนี้ตัวใหญ่มากราวกับกระต่ายยักษ์ที่มีอยู่บนพื้นโลกที่มีตัวสีดำ
เท่าที่ดูแล้วตัวมันนั้นน่าจะหนักราวๆสิบกิโลกรัม หน้าตาหน้าเกลียดน่ากลัวและมีฟันที่แหลมคมราวกับสัตว์ร้ายตัวหนึ่ง และที่ทำให้ซูจิ้งประหลาดในที่สุดก็คือความเร็ว
ความเร็วที่เขาเห็นเมื่อสักครู่นี้น่าจะเทียบได้พอๆกับเสือชีตาร์เลยทีเดียว แต่ความเร็วเพียงเท่านี้ก็ไม่ได้ส่งผลให้เขากดดันแต่อย่างใด นั่นก็เพราะตัวเขานั้นมีความเร็วเหนือกว่าเสือชีตาร์ไปมากโขแล้ว ทำให้เขามั่นใจว่าเขาจัดการได้ไม่ยากนัก แต่อย่างน้อยๆตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าหนูตัวนี้ไม่ใช่หนูธรรมดาอย่างแน่นอน
ซูจิ้งได้ก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ด้วยการที่อยู่ท่ามกลางสนามพลังของฉิงหยุนทำให้เขารับรู้ได้ถึงแรงต้านอยู่บ้าง แต่ก็เท่านั้น เพียงยังไม่ทันกะพริบตา เขาก็สามารถเข้ามายืนอยู่ข้างๆเจ้าหนูยักษ์ตัวนี้ได้เรียบร้อยแล้ว
ทันทีที่เจ้าหนูยักษ์รู้สึกตัวได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตบางอย่างอยู่ข้างๆ มันก็ได้ตกใจกระโดดจนตัวโยนก่อนจะพยายามแว้งมาทางทิศที่มันรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ แล้วพยายามขบกัดไปที่ต้นคอของซูจิ้งในทันที
แต่ทันทีที่เจ้าหนูยักษ์ได้กระโดดจนตัวลอยนั้น มือข้างหนึ่งของซูจิ้งที่ใส่ถุงมือเตรียมเอาไว้แล้วได้คว้าจับเข้าไปที่คออย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบและบีบคอของหนูยักษ์เอาไว้อย่างแน่นหนา
เจ้าหนูยักษ์ที่ตกอยู่ในสภาพนั้นก็ได้พยายามจะใช้กรงเล็บจับซูจิ้งเช่นเดียวกัน ในตอนนั้นเอง ซูจิ้งได้ปลดปล่อยกระแสจิตออกมาอย่างรวดเร็ว
มีเสียงดังคลิ๊กเกิดขึ้น ทันใดแขนขาของหนูยักษ์ก็ดูไร้เรี่ยวแรงในทันที ซูจิ้ง พยายามเต็มที่ที่จะไม่ฆ่าเจ้าหนูตัวนี้ หากเขาใช้ตราประทับมังกรตั้งแต่แรกล่ะก็ แน่นอนว่าหนูยักษ์ตัวนี้คงระเบิดเป็นจุลไปเรียบร้อยแล้ว
มาถึงตอนนี้ หนูยักษ์ตัวหนึ่งที่แอบจ้องมองเหตุการณ์อยู่ก็ได้วิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว และพยายามซ่อนตัวอยู่ในกองขยะส่วนที่เหลือ
แต่ครั้งนี้ ซูจิ้งไม่ได้พยายามจะจับมันเหมือนหนูตัวแรก เขาได้ปลดปล่อยกระแสจิตออกมาแล้วส่งกระแสจิตเข้าไปโจมตีสมองโดยตรงจนกระทั่งเจ้าหนูยักษ์ตัวที่สองก็ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวอีกต่อไป มันได้รีบวิ่งเข้ามาหาซูจิ้งในทันที เจ้าหนูยักษ์ตัวที่สองนี้ไม่ได้มีใบหน้าน่าเกลียดน่ากลัวแต่อย่างใด แถมมันยังดูฉลาดเสียด้วย
ตอนที่ซูจิ้งส่งกระแสจิตเข้าไปควบคุมหนูยักษ์ตัวนี้ก็ได้รู้ว่ามันนั้นมีจิตใจที่แข็งแกร่งมากกว่าหนูบนโลกอย่างมาก และไม่ได้ด้อยไปกว่าคนทั่วไปเลยแม้แต่น้อย แต่ด้วยความแข็งแกร่งเพียงเท่านี้ไม่เพียงพอต่อการฝืนทนต่ออำนาจจิตของซูจิ้งอยู่ดี
ซูจิ้งได้ทำพันธสัญญากับหนูยักษ์ตัวอยู่ในมือของเขา นอกจากนั้นเขายังพบว่ามีหนูอีกหลายตัวที่กำลังร่วงหล่นลงมาจากวังวนมิติ
ส่วนใหญ่พวกมันก็ตกตายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ส่วนตัวที่ยังไม่ตาย ซูจิ้งก็ได้ใช้การทำพันธสัญญากับพวกมันทั้งหมด ดูเหมือนว่าเจ้าหนูยักษ์พวกนี้จะเป็นสัตว์ถิ่นของกองขยะห้วงเวลาฯจากที่ที่พวกมันจากมาอย่างแน่นอน
“ขยะฯชุดนี้มาจากที่ไหนกันหว่า แค่หนูยังทรงพลังขนาดนี้” ซูจิ้งได้นึกขึ้นอยู่ในใจ ทันใดนั้น สายตาของซูจิ้งก็ได้สังเกตุว่ามีวัตถุขนาดใหญ่ที่หล่นลงจากวังวนมิติที่ดูแปลกแยกกว่าขยะฯอื่นๆที่หล่นลงมาพร้อมกัน
เขาได้จ้องมองมันด้วยสายตาที่หรี่จนแทบจะปิดราวกับเตรียมตัวจะทำอะไรบางอย่าง ทันทีที่เขามันชัดๆกระพริบตาถี่ๆ หัวใจของเขาเต้นแรง และตกใจจนสะเดื้องเฮือกไปเล็กน้อย
หากว่านี่เป็นสัตว์ร้ายทั่วไปล่ะก็ไม่มีทางเลยที่เขาจะมีท่าทางเช่นนี้อย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ปรากฎตรงหน้านั้นมันใหญ่มากจนเขานั้นเก็บอาการตกใจไม่ไหวจริงๆ
สิ่งที่เขาเห็นนั้นก็คือกิ้งก่า ที่มีขนาดตัวใหญ่ยักษ์ราวกับเป็นเนินเขาย่อมๆ ลำตัวของมันนั้นมีขนาดไม่น่าจะต่ำกว่าสิบเมตรอย่างแน่นอน ที่หางของมันนั้นมีก้อนกลมๆใหญ่โตราวกับถังน้ำ ทั่วทั้งร่างของมันมีเกล็ดสีฟ้าที่ดูมันวาวราวกับเป็นชุดเกราะเลยทีเดียว
ด้วยพลังงานของสนามแม่เหล็กของฉิงหยุนทำให้กิ้งก่ยักษ์ตัวนี้ค่อยร่วงหล่นสู่พื้นดินอย่างช้าๆ แต่ทันทีที่มันถึงพื้น มันก็แสดงท่าทางอันบ้าคลั่งออกมาก่อนที่จะหันรีหันขวางราวกับว่าหาต้นตอที่ทำให้มันมีสภาพแบบนี้
ทันทีที่มันเห็นซูจิ้งก็ได้พุ่งเข้าใส่ในทันทีราวกับว่ามันเป็นรถถังหุ้มเกราะที่เห็นคนตรงหน้าแล้วเร่งเครื่องเพื่อบดขยี้
ปฏิกิริยาเช่นนี้เป็นเรื่องปกติสำหรับสัตว์ที่อยู่มีฐานะเป็นผู้ล่าของห่วงโซ่อาหาร อย่างพวกหนูยักษ์ที่มีอันตรายก็พยายามหลบซ่อนตัวและหลบหนีนั่นเอง พวกมันอยู่ในระดับล่างๆของห่วงโซ่อาหารที่ทำให้มันนั้นถูกไล่ล่าอยู่เป็นประจำ
แต่กับเจ้ากิ้งก่าตัวนี้ ด้วยปฏิกิริยาของมันนั้นทำให้รู้ได้เลยว่ามันนั้นอยู่ในระดับบนๆ เพราะว่ามันเพียงแค่เห็นซูจิ้งก็พุ่งเช้าใส่ในทันที
กิ้งก่ายักษ์ไม่ได้สนใจขยะฯที่ลอยลงมาขวางหน้ามันแม้แต่น้อย มันพุ่งชนเข้ามาราวกับว่าขยะพวกนั้นเป็นเพียงแค่ฝุ่นผง
ขนาดมันเจอหินก้อนยักษ์ที่ลอยมาขวางอยู่ตรงหน้ามันก็ยุ่งพุ่งชนให้แตกออกได้อย่างไม่ยากเย็นและไม่ได้มีท่าทีชะงักหรือเจ็บปวดอะไรเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ร่องลอยบนเกล็ดของมันก็ไม่มี นี่แสดงให้เห็นว่าเกล็ดของมันนั้นแข็งพอดูเลยทีเดียว
“ความเร็ว ความแข็งแกร่ง การป้องกัน ทั้งหมดล้วนยอดเยี่ยม เจ้ากิ้งก่ายักษ์นี่ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก” สมองของซูจิ้งในตอนนี้กำลังประมวลผลอย่างรวดเร็ว และเขาก็รับรู้แล้วว่ากิ้งก่ายักษ์ตัวนี่น่าจะยากในการจัดการ
ซูจิ้งได้ปล่อยกระแสจิตพุ่งโจมตีไปยังสมองของกิ้งก่ายักษ์โดยตรง แต่ในครั้งนี้แทนที่เขาจะสะกดจิตมัน เขากลับใช้การโจมตีทางกระแสจิตอันหนักหน่วง
เขาประเมินได้ในทันทีเลยว่าจิตใจของกิ้งก่าตัวนี้ต้องแข็งแกร่งอย่างแน่นอนจึงไม่คิดจะเสียเวลาเพื่อเพิ่มความเสี่ยงแต่อย่างใด
แต่เจ้ากิ่งแก่นี่ก็เหมือนจะรู้สึกอะไรบางอย่าง มันได้ทำการดีดตัวถอยหลังออกไปอย่างสุดกำลัง ทันทีที่เห็น ซูจิ้งก็ได้ตัดสินใจบอกฉิงหยุนออกมาในทันทีว่า “ฉิงหยุน ส่งมันไปในพื้นที่ทั่วไป”
“รับทราบ” ฉิงหยุนรับคำสั่งพร้อมกับส่งกิ้งก่ายักษ์ตัวนี้ไปยังพื้นที่ทั่วไปในทันที แต่นี่กับเหมือนเป็นการยั่วยุมัน มันได้ทำการโจมตีกำแพงมิติอย่างบ้าคลั่ง
ถึงแม้กำแพงจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ยังเกิดเสียงอันดังลั่นจนเกิดคลื่นกระแทกจนซูจิ้งสัมผัสได้
ฉากที่ซูจิ้งได้เห็นนี้ทำให้เขาเองก็ต้องตกใจไม่น้อยเหมือนกัน พลางคิดขึ้นมาว่าหากโดนเข้าไปสักทีคงกระดูกหักไปหลายชิ้นเป็นแน่
ทันใดนั้นซูจิ้งได้ย้ายตัวเองไปอยู่ในพื้นที่ทั่วไปเช่นเดียวกัน เขาได้ซัดมีดบินจำนวนหนึ่งออกไปพร้อมกับเสริมความเร็วโดยใช้กระแสจิตของเขาจนเกิดเสียงกรีดร้องในอากาศ
มีดบินได้ก่อให้เกิดเสียงกรีดร้องอยู่ในอากาศนานพอดีก่อนที่จะเกิดเสียงกระแทกที่ดังสนั่นตามมา
ด้วยความเร็วขนาดนี้ถึงแม้กิ้งก่ายักษ์จะไม่สามารถหลบได้ก็ตาม แต่มีดบินก็ไม่สามารถทำอะไรเกล็ดของมันได้แม้แต่จะทำให้เกิดร่องรอย
มีเพียงเสียงกระทบระหว่างมีดบินและเกล็ดดังเคร้งที่ดังมากๆเท่านั้น และนั่นเพียงแค่ทำให้เกิดประกายไฟสีฟ้าขึ้นมาเท่านั้นเอง ดูเหมือนว่ามีดบินนี้จะทำอะไรมันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
กิ้งก่ายักษ์เองที่รู้สึกตัวว่าโดนทำร้ายก็ได้คำรามออกมาและพุ่งตรงเข้าหาซูจิ้งในทันที แต่ซูจิ้งก็ได้หายไปกับพื้นที่ตรงนั้นเรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้เขากลับมาอยู่ภายในบ้านของเขาเรียบร้อยแล้ว ด้วยความสามารถในการโยกย้ายของฉิงหยุนนี้ก็เปรียบได้กับเขานั้นมีสูตรโกงของเกมอยู่กับตัว
ซูจิ้งยังได้ทดลองโจมตีกิ้งก่ายักษ์อยู่อีกหลายครั้งแล้วก็ได้พบอะไรบางอย่าง เกล็ดของกิ้งก่ายักษ์ตัวนี้แข็งมากแม้แต่มีดอีกาของเขาก็ยังทำอะไรไม่ได้
มีเพียงเข็มขนของซุนหงอคงทั้งสามเล่มเท่านั้นที่พอจะสร้างร่องรอยได้บ้างแต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำลายเกล็ดของมันได้
แต่อย่างน้อยๆในตอนนี้ซูจิ้งก็ได้พบจุดอ่อนของมันนั่นก็คือบริเวณลำคอ ด้วยการที่มันนั้นต้องเอี้ยวคอไปมาทำให้เกล็ดบริเวณนี้อ่อนกว่าส่วนอื่นๆจนเกือบเรียกได้ว่ามีแต่เนื้อเลยก็ว่าได้ พื้นที่ส่วนนี้ แม้แต่มีดธรรมดาก็ยังแทงเขาได้อย่างง่ายดาย
แต่กิ้งก่ายักษ์เองมันก็รู้จุดอ่อนของมันเป็นอย่างดี มันคอยใช้สายตาอันว่องไวของมันจับทิศทางของมีดเอาไว้ ทันทีที่รู้ว่ามีดมีดของเขานั้นเข้าไปใกล้บริเวณนี้ มันก็จะรีบดีดตัวออกไปในทันทีนี่จึงไม่ง่ายเลยหากคนทั่วไปต้องเจอกับมัน
“นี่ขนาดเจอจุดอ่อนของมันแล้วก็ยังไม่ง่ายที่จะจัดการมันเลยแหะ ถ้าฉันไม่ได้ยกระดับสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้จนมีกำแพงมิติที่กักขังมันได้จนมีเวลาให้ฉันศึกษาหาจุดอ่อนมันได้แบบนี้ ไม่ยากนึกเลยว่าโลกนี้จะพานพบกับอะไรบ้าง” ซูจิ้งได้รำพึงขึ้นมาอยู่ในใจ
เขาเองก็ตระหนักเรื่องนี้ไม่น้อยเช่นเดียวกับตอนที่ปีศาจดอกไม้ปรากฏตัว มาตอนนี้ยังต้องพานพบกับกิ้งก่ายักษ์นี่อีก เขารู้สึกได้เลยว่านับวันขยะห้วงเวลาฯยิ่งมีอันตรายแฝงอยู่มากขึ้น ดูเหมือนว่าในอนาคตของต้องเตรียมให้ดีกว่านี้ซะแล้ว
แน่นอนว่าในระหว่างที่ศึกษาหาจุดอ่อนกิ้งก่ายักษ์ตัวนี้ เขาเองก็ไม่ลืมที่จะลอบสังเกตุการณ์ขยะห้วงเวลาฯที่กำลังหลั่งไหลลงมาอย่างไม่มีท่าทีจะหยุด
นอกจากหนูยักษ์แล้วก็ยังมีสัตว์สายพันธุ์อื่นหลุดรอดเข้ามาเช่นเดียวกัน ถึงแม้พวกมันจะไม่ได้ทรงพลังเท่ากับกิ้งก่ายักษ์ แต่พวกมันก็ยังเป็นอันตรายกว่าหนูยักษ์อยู่ดี
เพียงแค่นี้เขากระเมินได้อย่างหนึ่งแล้วว่าห้วงเวลาฯที่ขยะฯกองนี้จากมานั้นไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น