Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 984-985

 GGS:บทที่ 984 สั่นสะเทือนไปทั้งโลก


ชายหนุ่มและผู้ชมที่กำลังดูการสตรีมของชาวหนุ่มทำได้เพียงนิ่งอึ้งกันไปหมด

นั่นก็เพราะว่าในพื้นที่คลีนิกพิเศษของซูจิ้งในตอนนี้ ซูจิ้ง ลูฉินหมิง และชายวัยกลางคนสองคนที่กำลังเดินโดยใช้เครื่องช่วยเดิน

ท่าทางของพวกเขานั้นช่างดูยากลำบากราวกับมีอะไรบางอย่างมาทิ่มแทงกล้ามเนื้อในขณะที่เดินจนต้องร้องโอดโอยออกมากันระงม

ทั้งสองคนนี้เป็นที่รู้จักของสาธารณชนอยู่แล้ว ทั้งสองคือผู้ป่วยโรคALSรายที่สองที่ถูกพามาเพื่อให้ซูจิ้งลองใช้วิธีการรักษาของเขาว่าจะได้ผลแค่ไหน


อย่างไรก็ตามชายทั้งสองสมควรจะเป็นอัมพาตทั้งตัวเพราะโรคALSไม่ใช่เหรอ ทำไมพวกเขาถึงสามารถที่จะเดินได้แบบนี้กันล่ะ

ถึงแม้ว่าพวกเขาในตอนนี้ยังจะเป็นต้องเดินโดยใช้เครื่องช่วยเดินอยู่ ต่อให้พวกเขายังเดินได้อย่างยากลำบาก แต่นั่นก็หมายความว่าพวกเขานั้นกำลังเดินได้ด้วยตัวเอง

นี่จะเป็นไปได้ยังไงกัน แถมดูจากท่าทีแล้วการรักษานี่เหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดีเสียด้วย


“พระเจ้า เกิดอะไรขึ้น เขาเป็นผู้ป่วยโรคALS ไม่ใช่เหรอ หรือว่าเขาไม่ใช่ผู้ป่วยโรคALSแต่แรกอยู่แล้ว”

“ใครบอกว่าคนที่โดนซูจิ้งทดลองรักษาจะต้องตายสักคนหนึ่งน่ะห้ะ ออกมาแสดงตัวให้เห็นหน้าหน่อยสิ ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรหรอก”

“สองคนนี่เป็นคนที่ป่วยเป็นโรคALSจริงๆนี่นา เขาเดินได้ยังไงกัน”

“นี่ทั้งสองคนหายแล้วเหรอ”

“เป็นไปไม่ได้น่า นี่มันโรคALSเลยนะ”

“ถ้าทั้งสองคนนี้หายเดินได้จริง ไม่ใช่หมายความว่าซูจิ้งพบวิธีรักษาโรคALSหรอกเหรอ นี่เขารักษาได้แม้แต่โรคที่รักษาไม่หายเนี่ยนะ”

ในขณะที่ผู้ชมกำลังตกตะลึงและตื่นเต้นกัน ชายหนุ่มสตรีมเมอร์ไม่ได้สนใจที่จะมีท่าทีตื่นเต้นตามผู้ชมของเขา เขาได้ทำการถ่ายรูปตามที่ฉิวจิงรองขอ

แต่ปัญหาก็คือฉิวจิงนั้นอยากจะเห็นผู้ป่วยโรคALSที่กำลังทุกข์ทรมานอยู่บนเตียงต่างหาก หากเขาได้รูปนั้นมาจะทำให้ซูจิ้งตกต่ำลงได้ในทันที แต่จากสิ่งที่เห็นนี่ไม่ได้ทำให้ฉิวจิงมีความสุขได้เลยแม้แต่น้อย


ชายหนุ่มที่ตอนนี้ไม่อยากจะอยู่ต่อแล้ว เขาก็ได้รีบถ่ายรูปแบบขอไปทีอีกชุดหนึ่งก่อนที่จะรีบออกมาแล้วกลับไปยังรถยนต์ของฉิวจิงที่จอดอยู่

เขาเห็นฉิวจิ้งจ้องมองไปยังวิดีโอที่หนุ่มสตรีมมิ่งได้สตรีมทิ้งเอาไว้กรอกลับไปมาดูซ้ำๆ ท่าทางของเขาราวกับเห็นภูตผีปีศาจก็ไม่ปานที่ได้เห็นผู้ป่วยโรคALSทั้งสองคนที่กำลังพยายามเดินด้วยขาของตัวเอง


ฉิวจิงได้บ่นพึมพำออกมาว่า “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้ยังไง นี่ต้องเป็นเรื่องหลอกลวงแน่ๆ ฮา…ฮา…ฮา…”

“หมอนี่เป็นบ้าไปแล้วเรอะ” ชายหนุ่มได้คิดขึ้นมาในทันทีที่เห็นสภาพของฉิวจิง เขาตกใจจนต้องเม้มปากเอาไว้ ในตอนนี้เขาเพียงต้องการเงินที่เหลือเท่านั้นแล้วออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

เขาอยากรีบออกให้ห่างจากคนบ้าคนนี้โดยเร็วที่สุด เขาได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ฉันทำทุกอย่างตามที่นายบอกแล้ว นายรีบจ่ายเงินมาซะ”

“นี่ไม่ใช่ภาพอย่างที่ฉันหวังไว้ แกต้องช่วยหมอนั่นประชาสัมพันธ์เรื่องนี้แน่ๆ แล้วอย่างนี้ยังมีน่าที่จะมาเอาเงินจากฉันอีกเหรอ” ฉิวจิงได้จ้องไปยังหนุ่มสตรีมเมอร์ด้วยสายตาที่โหดร้าย

“นี่มันไม่ใช่เรื่องของฉัน เราตกลงไว้กันแค่ว่าถ่ายรูปผู้ป่วยให้ได้เท่านั้น” ชายหนุ่มพูดถูกข้อตกลงที่ทั้งสองคุยกันไว้ในตอนแรกอย่างอารมณ์เสีย

“อย่าหวังว่าแกจะได้เงินฉันสักแดงเลย ออกไปให้พ้น” ฉิวจิงในตอนนี้ที่กำลังอารมณ์ขึ้นเพราะสิ่งที่ได้ไม่เป็นไปตามที่คิดได้พูดออกมาอย่างดุร้าย

“ถ้าแกไม่จ่ายเงินมาในวันนี้ฉันก็จะไม่ลงไปไหนเป็นอันขาด” ชายหนุ่มพูดออกมาด้วยความโกรธ


หลังจากนั้นทั้งคู่ได้ปะทะคารมต่อกันอีกนิดหน่อย ก่อนที่จะเปลี่ยนการพูดคุยกันอย่างมีเหตุผลเป็นพูดคุยกันด้วยหมัดรุ่นๆ

ทั้งสองนั้นสู้กันจนรถโขยกเขยกไปมาจนทำให้คนภายนอกในตอนนี้คิดไปว่าภายในรถกำลังเกิดกิจกรรมที่ร่ำลือกันอยู่

“มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น แถมเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก ผู้ป่วยโรคALSสองคนที่เข้าไปรักษาในโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนเดินได้แล้ว”


ณ โรงพยาบางฮัวกังจงหยุน หมอคนหนึ่งที่ได้ใช้เวลาว่างในการดูสตรีมต่างๆก็ได้พบการสตรีมของชายหนุ่มสตรีมเมอร์และได้พูดออกมาดังลั่น

ในทันทีที่สิ้นเสียงนี้ ข่าวก็ได้แพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว หลิวเว่ยและหมอคนอื่นๆที่ได้ยินต่างก็ตกตะลึงกันในทันที ชายสองคนที่เป็นอมพาตที่เกือบจะกลายเป็นมนุษย์ผักไปแล้วกลับสามารถกลับมาเดินได้อีกครั้ง

“พระเจ้า เขาสามารถรักษาโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาทได้จริงๆเหรอ นี่เขาจะเทพไปไหนเนี่ย” หมอคนหนึ่งพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น

“ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกัน” หลิวเว่ยถอนหายใจ ถึงแม้ว่าเขานั้นจะรู้อยู่บ้างว่าซูจิ้งนั้นไม่ใช่คนที่จะทำอะไรผิดพลาดได้ง่ายๆ แต่ก็ไม่คิดว่าเขานั้นจะทำให้สำเร็จได้เร็วขนาดนี้เหมือนกัน


ดูเหมือนว่าในตอนนั้นที่เขาเคยเห็นซูจิ้งเดินออกมาจากโรงพยาบาลที่ปันฉางอยู่นั่นจะเป็นเขาจริงๆ เป็นเขาเองสินะที่ช่วยปันฉางให้ฟื้นขึ้นมาจากสภาพมนุษย์ผักแบบนั้น


“หมอหวังครับ หมอหวัง มีข่าวดีครับ” หมอวัยกลางคนคนหนึ่งได้วิ่งเข้ามาในคลีนิกของหมอหวังกังหยุน

“เกิดอะไรขึ้น” หวังกังหยุนถามออกมา

“ซูจิ้งสามารถรักษาผู้ป่วยโรคALSทั้งสองคนนั่นให้สามารถเดินได้แล้วครับ” หมอวัยกลางคนคนนั้นได้พูดออกมา

“ว่าไงนะ” หวังกังหยุนที่ได้ยินก็ถึงกับตกตะลึงจนแทบจะปล่อยชาร์จคนไข้ที่ถืออยู่หลุดมือลงพื้นเลยทีเดียว

เขานั้นได้วางแผนที่จะสนับสนุนซูจิ้งไว้แล้วในกรณีที่ซูจิ้งไม่สามารถรักษาโรคALSได้สำเร็จ แต่การกระทำของเขานั้นถือได้ว่าเป็นหมอที่กล้าท้าทายโรคภัยแบบนี้ซึ่งหาได้ยากยิ่งนัก


ต่อให้ครั้งนี้ไม่สำเร็จ ในอนาคตย่อมมีโอกาสอีกมาก

ใครจะไปคิดว่าเพียงแค่ไม่กี่วันผ่านไปเขาก็สามารถรักษาได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว แถมยังรักษาให้เดินได้ทั้งสองคนอีกด้วย

“ข่าวนี้เชื่อถือได้รึเปล่า”หวังกังหยุนเองก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา

“เป็นความจริงครับ มีใครบางคนได้ทำการสตรีมมิ่งแล้วแอบเข้าไปในคลีนิกพิเศษของซูจิ้ง เมื่อเขาได้เข้าไปถึงก็เห็นผู้ป่วยโรคALSทั้งสองคนพยายามเดินด้วยเครื่องช่วยเดินอย่างยากลำบากจนต้องครวญครางออกมา

ถึงจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆแต่ในเมื่อนั้นเป็นการสตรีมมิ่งก็หมายความว่ามันเป็นของจริงอย่างแน่นอน ถึงแม้แต่นี้จะหยุดการสตรีมไปแล้วแต่ก็ยังย้อนวิดีโอกลับไปดูได้อยู่ คุณหมอจะลองดูหน่อยรึเปล่าครับ” พูดจบ หมอวัยกลางคนก็ได้ส่งโทรศัพท์ของตัวเองที่กำลังเปิดวิดีโอให้หวังกังหยุน

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจะไปที่นั่นด้วยตัวเอง” หวังกังหยุนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“พึ่งจะได้ข่าวมาว่าประธานซูรักษาผู้ป่วยโรคALSสำเร็จด้วยนะ เขาทำสำเร็จได้อย่างรวดเร็วจริงๆ” ภายในห้องสำนักงานของกลุ่มทุนกาลเวลาและกาลอวกาศ หวังจ้าว เฉิงหนาน และคนอื่นๆที่ได้ข่าวนี้ต่างก็ยิ้มออกมากันทั่วหน้าในระหว่างที่ทุกคนกำลังประชุมกันอยู่ ข่าวนี้ถูกรายงานมาโดยผู้ช่วยจึงแน่นอนว่าเชื่อถือได้


“หมอนี่จริงๆเลยน้า.. ชอบทำแต่เรื่องแบบนี้จริงๆ” หวังจ้าวได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น เขารู้ดีว่าเรื่องนี้จะไม่สั่นสะเทือนแค่กับวงการแพทย์ แต่เรื่องนี้จะทำให้ทั้งโลกต้องสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน

“เห็นด้วย และนี่เองก็น่าจะเป็นเป้าหมายที่แท้จริงที่เขาซื้อโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนมา ฉันว่านะเรื่องนี้ต่อให้พวกเราจะตกตะลึงแค่ไหนก็ตาม

แต่สำหรับเขาก็คงจะเป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้นแหล่ะ เฮ้อ เขาน่าจะก่อเรื่องที่ใหญ่กว่านี้อย่างแน่นอน” เฉิงหนานได้พูดออกมาพลางถอนหายใจ

คนอื่นๆที่เห็นท่าทีของทั้งสอง คนอื่นๆที่อยู่ในห้องประชุมก็ได้แต่จ้องมองด้วยสายตาที่โง่งมพลางคิดกันว่า ประธานที่ไม่เข้าได้เข้าบริษัทผู้นี้นี่นับวันยิ่งสุดยอดจริงๆ


“ชื่อเสียงเคียงฟ้า?” อดีตประธานของโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนได้อุทานออกมาในทันทีที่ได้เห็นข่าวนี้ เขามองข่าวนี้ด้วยสายตาโง่งมอยู่นานมาก

พลางนึกถึงเรื่องราวที่ตัวเองได้ทำตอนอยู่ที่นั่น สำหรับเขาแล้ว โรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนนั้นไม่ต่างไปจากหัวมันร้อนๆ ทำอะไรก็ผิดพลาดไปหมด แต่ทำไมตอนที่ซูจิ้งเข้ามาบริหารถึงได้มีชื่อเสียงเสียดฟ้าได้กัน

“นี่เขาสามารถท้าทายโรคALSได้จริงๆเหรอ” มู่ติงที่เห็นข่าวทำได้เพียงอุทานออกมาแบบอึ้งๆ

“……………..” หวังหยานที่เห็นข่าวเองก็ทำได้แค่นิ่งเงียบไปเท่านั้น นับวันเธอก็ยิ่งรู้สึกว่าซูจิ้งนั้นห่างไกลจากเธอมากไปทุกที


ข่าวนี้ช่างทรงพลังและแพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็วจนกระทั่งกลายเป็นคลื่นลูกใหญ่จำนวนมาก

เรื่องนี้ทำให้วงการแพทย์ทั้งประเทศต้องตกตะลึงและเป็นที่พูดถึงกันในทันที แล้วค่อยๆลามไปที่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อเมริกา อังกฤษ และค่อยๆเป็นที่รู้กันไปทั่วโลก


ประเทศอเมริกา นักเรียนแพทย์ผู้หนึ่งได้พูดออกมาว่า

“ฉันได้ยินมาว่าที่จีน โรงพยาบาลที่ชื่อกังเฟิงได้ก้าวข้ามขีดจำกัดทางการแพทย์อีกแล้วนะ ดูเหมือนว่าคราวนี้พวกเขาจะรักษาคนที่ป่วยเป็นโรคALSได้”

“เป็นไปได้ยังไงกัน ข่าวนี้เชื่อถือได้เหรอ”

“มีวิดีโอที่แอบถ่ายมาได้อยู่นะ น่าจะเป็นเรื่องจริง”

“ฉันไม่เชื่อหรอก ซื้อตั๋วไปที่นั่นกันเลยดีกว่า ฉันอยากเห็นด้วยตาตัวเอง”


ญี่ปุ่น ที่นี่ในวงการแพทย์กำลังยุ่งอยู่กับการศึกษาว่าซูจิ้งใช้วิธีการไหนในการรักษาโรคทางดวงตา ทำยังไงถึงเพิ่มความสูงในผู้ใหญ่ได้ และทำยังไงถึงรักษาภาวะมีบุตรยากได้ยังไงอยู่นั้น

พวกเขาก็ได้ข่าวมาอีกว่าซูจิ้งสามารถรักษาผู้ป่วยโรคALSได้นี่ราวกับว่าพวกเขานั้นอยู่ๆก็เจอระเบิดน้ำลึกเล่นงานจนไปกันไม่เป็นเลยทีเดียว

“เป็นไปได้ยังไง นี่วิธีการรักษาของประเทศจีนจะพัฒนาเร็วเกินไปแล้ว”

“ดูเหมือนว่าการรักษาทั้งหมดนี้จะออกมาจากโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนของซูจิ้งนะ”

“กะอีแค่เด็กอายุยี่สิบกว่าๆจะไปทำอะไรได้”


มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ

“พระเจ้าช่วย หมอเทวดาของจีนค้นพบวิธีการรักษาโรคALS]jt”

“ในที่สุดพระเจ้าก็มีตาสักที นายว่าคุณฮอว์กิ้งจะมีโอกาสยืนได้อีกครั้งรึเปล่า”

“รีบไปหาแล้วบอกเขากันดีกว่า”


ตอนนี้ทั่วทั้งโลกกำลังคุยกันเกี่ยวกับการรักษาโรคALSนี้กันอย่างร้อนแรง ก่อนหน้านี้ที่มีการรณรงค์การทำไอซ์บัคเกตเองก็ถือว่าได้ทำให้โรคALSนี้เป็นที่พูดกันเป็นวงกว้างได้แล้ว

แต่เมื่อข่าวนี้ออกมา การรณรงค์นั้นก็ไม่ได้ต่างไปจากการเล่นสนุกธรรมดา

เหล่ากองกำลังต่อต้านซูจิ้งที่มีฉิวจิงแอบชักใยอยู่เบื้องหลังนั้นในตอนนี้ต่างก็อันตรธานหายไปกันหมด แม้แต่คนที่ออกมาโวยวายว่าค่ารักษาของซูจิ้งแพงนั้นก็ไม่กล้าที่จะโผล่ออกมาแม้แต่น้อยทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ยังเอาจรรยาบรรณแพทย์มาเล่นงานซูจิ้งอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน


ในตอนนี้หลายๆคนเองได้เปลี่ยนจากออกมาต่อต้านเป็นคุกเข่ายอมศิโรราบเพราะรู้สึกสำนึกได้ว่าคนทั่วไปไม่มีทางหยุดยั้งซูจิ้งได้อีกต่อไป


GGS:บทที่ 985 นามแห่งตำรา…


 


ชื่อเสียงของซูจิ้งและโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนในตอนนี้ร้อนแรงราวกับเปลวไฟ ด้วยการที่ซูจิ้งเป็นหมอของโรงพยาบาลกังเฟิง โรงพยาบาลกังเฟิงจึงมีชื่อเสียงตามไปด้วย


จากเดิมที่ชื่อเสียงพุ่งสูงอยู่แล้ว ยิ่งหลังจากที่ซูจิ้งรักษาผู้ป่วยโรคALSหายได้ ชื่อเสียงก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปราวกับติดจรวด ตอนนี้ชื่อของเขาได้ขึ้นไปอยู่ในอันดับผู้มีชื่อเสียงระดับหนึ่ง(ชั้นนำ)มากขึ้นหลายสิบอันดับ


เหตุการณ์นี้ทำให้เล่าผู้คนในวงการดาราได้แต่มองกันตาปริบๆ


 


ขนาดพวกเขาไปเล่นละครทีวีชั้นนำก็ยังเพิ่มเท่ากับสิ่งที่ซูจิ้งทำในวันเดียวเลย ได้แต่คิดกันว่าหากมีชื่อเสียงขึ้นสูงเร็วแบบนี้ได้บ้างคงจะทำให้อาชีพของตัวเองมั่นคงไปอีกนาน


พลางคิดไปว่าหากซูจิ้งยังคงทำการรักษาแบบนี้อีกเพียงไม่กี่เคสเขาคงจะกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในรายชื่อผู้มีชื่อเสียงอย่างแน่นอน


เรื่องนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาต้องประสบและคิดไม่ตกจากการกระทำของซูจิ้ง พวกเขาต่างก็คิดกันว่าการกระทำที่สร้างชื่อเสียงของซูจิ้งคงจะเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น


นั่นก็เพราะว่าการรักษาที่ยังไม่เป็นที่รับรองแบบนี้ใช่ว่าจะมีโอกาสทำได้บ่อยครั้ง ถึงจะรักษาได้ถึงสองรายแต่ก็ใช่ว่ารายที่สามจะรักษาได้หายอย่างแน่นอน


แม้พวกเขาจะคิดเข้าข้างตัวเองไปแบบนั้นแต่ซูจิ้งก็ยังคงทำให้พวกเขานั้นผิดหวัง นั่นก็เพราะซูจิ้งได้รักษาผู้ป่วยได้สำเร็จอย่างต่อเนื่อง สำเร็จชนิดที่ว่าพวกเขาได้แต่จ้องมองอันดับของซูจิ้งพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆอย่างเหน็ดเหนื่อย


 


ในวันนั้นนักข่าวจากหลายสำนักได้ถูกกั้นเอาไว้ที่ประตูทางเข้าโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุน และนั้นก็เป็นการขวางทางไม่ให้ซูจิ้งสามารถออกไปได้


แน่นอนว่าสาธารณะชนที่เห็นภาพดังกล่าวต่างก็คิดกันไปว่าซูจิ้งนั้นต้องอารมณดีและยินดีที่จะหยุดเพื่อให้สัมภาษณ์ แต่กลายเป็นว่าเขานั้นไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนักได้แต่เพียงพยายามฝ่าออกไป


“คุณซู ขอถามหน่อยครับว่าในเมื่อคุณนั้นไม่ได้เรียนสายแพทย์มา แล้วคุณทำยังไงถึงสามารถมีทักษะการแพทย์สูงขนาดนี้ได้ครับ” นักข่าวคนหนึ่งถามออกมา


“ก็จริงที่ผมนั้นไม่ได้เรียนจบสายการแพทย์มา แต่ผมนั้นก็ขยันหาความรู้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเหล่าผู้คนที่เรียนรู้มาในสายการแพทย์


อีกทั้งตัวผมยังได้คุณลูฉินหมิง รองประธานของโรงพยาบาลแห่งนี้คอยชี้แนะอยู่ตลอดซึ่งนั้นผมเองก็ต้องขอบคุณเขาอย่างสูงเช่นเดียวกัน นอกจากนั้น…”ซูจิ้งได้เว้นช่วงการสัมภาษณ์ราวกับคิดอะไรบางอย่างก่อนที่จะพูดออกมาว่า “นอกจากนั้นผมต้องขอบคุณตำราการแพทย์สมัยราชวงศ์ฮั่นเล่มนี้”


 


คำพูดทุกอย่างของซูจิ้งนั้นล้วนแล้วดูดีมีสกุลจนนักข่าวนั้นเคลิบเคลิ้มไปกันหมด มีเพียงประโยคสุดท้ายเท่านั้นที่ทำให้นักข่าวทุกสำนักต้องอึ้งไปพักใหญ่ก่อนที่มีเสียงฮือฮาออกมา และได้มีนักข่าวคนหนึ่งถามออกมาว่า


“คุณซูจะสื่อว่าคุณซูได้เรียนทักษะการแพทย์จากตำราการแพทย์สมัยราชวงศ์ฮั่นนี่ด้วยรึเปล่าครับ”


“ทั้งใช่และไม่ใช่ครับเพราะผมไม่เพียงเรียนรู้จากตำราการแพทย์โบราณเล่มนี้ ตำรานี้ช่วยผมในการรักษาโรคร้ายต่างๆนานาตามที่พวกคุณได้เห็น และแน่นอนว่าการที่ผมสามารถรักษาโรคALSได้สำเร็จนั้น ผมเองก็ได้ใช้วิธีการเดียวกับที่ตำราเล่มนี้ได้เขียนเอาไว้” ซูจิ้งได้พูดออกมาตรงๆ


“นี่หมายความว่าคุณซูจะบอกว่าตำราเล่มนี้มีวิธีการรักษารักษาโรคALSอย่างนั้นเหรอครับ” นักข่าวถามด้วยท่าทีประหลาดใจ


 


“จะเป็นไปได้ยังไงครับ หากบอกว่ามีวิธีการรักษาโรคALSอยู่ในตำราเล่มนี้จริง นี่ไม่ใช่จะหมายความว่าการแพทย์ในยุคปัจจุบันนั้นล้าหลังกว่าการแพทย์เมื่อหลายพันปีก่อนเหรอครับ”


“พระเจ้า ข่าวนี่มันไม่ใช่ว่าจะกลายเป็นล่อแหลมไปหรอกเหรอ”


“คุณซู เป็นความจริงรึเปล่าครับ” นักข่าวอีกคนถามออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อคำพูดของซูจิ้งเลยสักนิด


“ถ้าคุณไม่เชื่อผมก็ไม่เป็นไรครับ คุณสามารถไปที่พิพิธภัณฑ์ของผมแล้วขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยเปิดตำราเล่มนั้นแล้วหาวิธีการรักษาโรคอาการเยือกแข็งได้เลย” ซูจิ้งพูดออกมาราวกับอยากจะหาโอกาสประชาสัมพันธ์พิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์ของเขาไปในตัว และนั่นเองก็ทำให้ทีมงานของนักข่าวจำนวนหนึ่งขับรถไปที่นั่น


 


เมื่อทีมงานของนักข่าวได้ไปถึงที่นั่น พวกเขาได้เข้าไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลคนหนึ่ง หลังจากได้ฟังเหตุผล เขาจึงได้นำทีมของนักข่าวไปยังที่ตั้งของตำราการแพทย์สมัยราชวงศ์ฮั่นในทันที


หลังจากที่เจ้าหน้าที่ได้เปิดตำราไปในหน้าที่เขียนเอาไว้ว่า โรคอาการเยือกแข็ง แล้ว พวกเขาได้ลองอ่านดูก็พบว่าอาการของโรคนั้นเหมือนกับอาการของโรคALSแทบจะทุกประการ


นอกจากนั้นในส่วนรายละเอียดของอาการดูเหมือนว่าจะละเอียดกว่าตำราแพทย์ปัจจุบันด้วยซ้ำ และที่ท้ายหน้านั้นได้เขียนเอาไว้ว่า วิธีการรักษาซึ่งนั่นหมายความว่าหน้าต่อไปจะเป็นวิธีการรักษา


ถึงแม้เหล่าทีมงานนักข่าวเหล่านี้จะไม่ได้มีโอกาสได้เห็นวิธีการรักษาโรค แต่นี่ก็พอจะพิสูจน์ได้แล้วว่าตำราการแพทย์สมัยราชวงศ์ฮั่นเล่มนี้มีวิธีการรักษาโรคALSอยู่จริง


 


หากว่าเชื่อคำพูดของซูจิ้งได้ล่ะก็นั่นก็หมายความว่าวิธีการรักษาต่างๆที่เขาใช้รักษาผู้ป่วยล้วนแล้วมาจากตำราเล่มนี้ นี่แสดงให้ว่าตำราเล่มนี้มีวิธีการรักษาโรคภัยที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก


เฉินฮองเองก็ได้รับข้อความจากซูจิ้งก่อนหน้านี้แล้วว่าเฉพาะวันนี้เท่านั้นที่อนุญาตให้ถ่ายภาพตำราแพทย์สมัยราชวงศ์ฮั่นนี่ได้ มีหรือที่พวกเขาจะพลาดโอกาสนี้ และหลังจากที่ได้ถ่ายภาพแล้ว พวกเขาก็ได้ทำหัวข้อข่าวในทันที


 


ในทันทีที่ข่าวนี้ขึ้นไปบนอินเตอร์เนต ข่าวนี้ก็ได้แพร่กระจายไปทั่วโลกในทันที


ก่อนหน้านี้ที่ทั่วทั้งโลกสนใจตำรานี้นั้นก็เพียงเพราะว่ามันคือตำราโบราณอายุหลายพันปีที่อยู่รอดมาถึงยุคปัจจุบันได้ในสภาพที่แทบจะสมบูรณ์เท่านั้น


แต่หากพูดถึงด้านการแพทย์แล้วเพียงได้ยินต่างก็คิดว่ามันไร้ค่านัก ต่อให้ในตอนแรกที่รู้ว่าตำรานี้มีวิธีการป้องกันและรักษาโรคเรื้อนก็เป็นเพียงความประหลาดใจนิดหน่อยเท่านั้น ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้วงการแพทย์สั่นสะเทือนได้


แต่มาตอนนี้ต่างไปแล้ว หากเชื่อคำกล่าวของซูจิ้งที่ว่าวิธีการรักษาอันแสนลึกล้ำของเขานั้นล้วนแล้วมาจากตำราเล่มนี้ หากแม้แต่วิธีการรักษาโรคALSที่การแพทย์สมัยปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาแล้วล่ะก็ นั่นหมายความว่าตำราเล่มนี้จะมีค่าเหนือคณานับ แม้แต่ใช้หัวแม่โป้งเท้าคิดก็ยังต้องเข้าใจคุณค่าของมัน


“โคตรแม่… เรื่องจริงงั้นเหรอ”


“จริงๆนะ เพื่อนฉันที่ได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ตอนเขาตรวจสอบกันก็มีโอกาสได้เห็นเนื้อหาในตำราเล่มนั้นด้วย หน้าที่เขาเปิดกันนั้นมีวิธีการรักษาโรคALSอยู่จริงๆ แต่ในตำรานั้นเขียนเอาไว้ว่าวิธีการรักษาอาการเยือกแข็งน่ะ”


 


“ฉันยังไม่เคยไปที่นั่นเลย ความจริงฉันก็อยากจะไปเลยนะแต่ตอนนี้ตั๋วเครื่องบินขายหมดไปแล้ว ใครพอจะมีตั๋วขายต่อมั่งรึเปล่า”


“นายนี่รู้ตัวโคตรช้าเลย แค่ข่าวนี้หลุดออกมาตอนที่ซูจิ้งพูดพวกเขาก็รีบจองตั๋วกันแล้ว จะจองตอนนี้ก็ไม่มีที่ว่างหรอก ฉันลองตรวจสอบดูแล้วกว่าจะมีตั๋วว่างก็เดือนหน้าเลยนะ อยากได้ตั๋วเครื่องบินมาที่นี่ช่วงนี้ยากเย็นอย่างแน่นอน”


“ตำราการแพทย์สมัยราชวงศ์ฮั่นเล่มนี้สุดยอดเลยจริงๆ ฉันเองก็อยากเห็นสักครั้ง”


“วิชาการแพทย์จีนโบราณนี่สุดยอดเลยจริงๆนะ ทั้งลึกล้ำและได้ผลดีเยี่ยม สามารถรักษาได้แม้แต่โรคALSทั้งที่เมื่อหลายพันปีก่อนยังไม่มีเครื่องมืออะไรเลย”


“นั่นสิ ตอนนี้เขาเป็นที่รู้จักในวงการแพทย์แผนปัจจุบันแล้วนะ สมแล้วที่เป็นหมอเทวดาแห่งราชวงศ์ฮั่น”


คำล้อเลียนที่เรียกซูจิ้งว่าหมอเทวดาแห่งราชวงศ์ฮั่นก่อนหน้านี้ ในตอนนี้ไม่ใช่เพียงคำล้อเลียนอีกต่อไป


 


ชื่อนี้ได้กลายเป็นคำขนานนามของซูจิ้งที่ได้รับการเคารพจากสาธารณะชนและใช้ในการสรรเสริญเขาหลังจากทำการรักษาโรคทั้งหลายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


 


ประเทศต่างๆอย่างประเทศอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อังกฤษ ผรั่งเศส และประเทศอื่นๆทั่วทุกมุมโลกต่างก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินข่าวนี้


และนี่ยิ่งทำให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญเร่งรีบไปยังประเทศจีนมากยิ่งขึ้น เป้าหมายของพวกเขานั้นมีทั้งไปยังโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนและพิพิธภัณฑ์มหัศจรรย์ของซูจิ้ง


 


อย่างไรก็ตามผู้เชียวชาญจากต่างประเทศเหล่านั้นไม่สามารถทำได้แม้แต่จะซื้อตั๋วเครื่องบินไปยังที่นั่น


แม้แต่ที่พิพิธภัณฑ์เองตั๋วเข้ารับชมก็หมดจนไม่รู้จะหมดยังไงจนต้องเปิดรอบพิเศษโดยมีราคาตั๋วที่หนึ่งหมื่นหยวนเลยทีเดียว


นี่ทำให้ชาวต่างชาติเหล่านี้อดไม่ได้ที่จะสาบแช่งซูจิ้งที่หาโอกาสหาเงินจากความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขา


แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีใครบางคนที่แทบจะเรียกได้ว่าซื้อเหมาตั๋วพวกนั้นเลยก็ว่าได้เพราะว่ามันหมดเร็วมาก


นี่ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของพิพิธภัณฑ์เพิ่มสูงขึ้นไปอีก


 


ในตอนนี้เอง ที่ไมโครบลอกของซูจิ้ง ซูจิ้งได้ปล่อยภาพชุดหนึ่งอย่างต่อเนื่อง กว่าจะเสร็จก็ต้องใช้เวลากว่าสามวันเลยทีเดียว โดยเขาได้ตั้งชื่อชุดภาพนี้ไว้ว่า “การแพทย์สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก”


การกระทำของซูจิ้งนี้ราวกับเป็นการโยนระเบิดลงไปในบ่อน้ำร้อน นี่ทำให้ชุดภาพของเขานั้นเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว


“อาจิ้ง ที่แน่ใจจริงๆเหรอว่าจะเผยแพร่เนื้อหาในตำราแพทย์สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออกนั่นออกไป” ลูฉินหมิงที่รู้เรื่องก็อดจะถามไม่ได้


“ทำไมจะไม่ล่ะ พวกเรานั้นได้ศึกษาตำรานี้อย่างดีแล้วและเนื้อหาพวกนี้ก็เป็นประโยชน์ในวงการแพทย์เหลือคณานับ ของดีๆแบบนี้ก็ควรจะต้องปล่อยออกไปให้ผู้คนได้ศึกษากัน


 


นอกจากนี้ตำรานี้จะช่วยเหลือให้วงการแพทย์ในประเทศ ไม่สิต้องบอกว่าวงการแพทย์ทั่วทั้งโลกยกระดับได้อย่างแน่นอน แถมที่ดีที่สุดคือเป็นการเผยแพร่ความรู้การแพทย์แผนจีนไปทั่วโลกได้อีกด้วยนะ ลูงลูว่าไม่ใช่เรื่องดีเหรอครับ” ซูจิ้งถามออกมาด้วยรอยยิ้ม


“สำหรับเรื่องนั้นฉันก็เห็นด้วยอยู่หรอก ฉันเพียงแค่รู้สึกแปลกๆน่ะที่ต้องปล่อยสมบัติล้ำค่าแบบนี้ให้สาธารณะชนได้ยลโฉมแบบฟรีๆน่ะ” ลูฉินหมิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้มออกอายเล็กน้อย


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ผมว่าผมเข้าใจความรู้สึกนี้ของลุงลูนะ” ซูจิ้งหัวเราะออกมาทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยสักนิด


นั่นก็เพราะว่าถึงแม้ตำรานี้จะมาจากขยะห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯแต่ตำรานี้ก็มีความรู้ทางการแพทย์แผนจีนขั้นสูงสุดและสามารถนำมาใช้กับโลกนี้ได้ แน่นอนว่านี่จะทำให้การแพทย์ของโลกนี้ยกระดับไปอีกขั้น


ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับคนอื่นแล้วไม่มีทางเลยจะสามารถรักษาได้เทียบเท่าเขา เพราะว่าตัวเขานั้นมีเวทย์สัมผัสแห่งใบไม้ฯและตัวยาต่างๆจากห้วงเวลาฯต่างๆที่เก็บเอาไว้ได้


เช่นเดียวกับการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคALS เขาได้ใช้ตัวยาที่มาจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯถึงสองตัวนั่นก็คือไส้เดือนดินตัวใหญ่ยักษ์กับหญ้าสีชมพู


ตอนแรกนั้นที่เขาเห็นรายละเอียดวิธีการรักษาโรคALSที่อยู่ในตำรา เมื่อเขาได้เห็นส่วนผสมของยารักษาก็ได้ทำการนึกถึงสมุนไพรและสิ่งมีชีวิตต่างๆที่อยู่ในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าตามที่เขาเคยได้อ่านผ่านตามาแต่ก็นึกไม่ออก


แต่พอได้เห็นรายละเอียดการอธิบายเชิงลึกเกี่ยวรูปร่างและหน้าตาของสมุนไพรและสิ่งมีชีวิตที่มีสรรพคุณเป็นยาที่อยู่ในตำราส่วนการทำยานั้น เขาก็ได้นึกออกในทันทีว่ามันคืออะไรกันแน่ หากมีส่วนไหนขาดเขาก็จะใช้หาสิ่งอื่นที่มีสรรพคุณคล้ายกับที่ตำราได้อธิบายไว้มาใช้แทน


 


สำหรับในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯนั้น โรคALSนี้ก็เปรียบได้ดั่งไข้หวัดทั่วๆไปเท่านั้น แน่นอนว่าหากว่าเขานั้นมีตัวยาพร้อมก็สามารถหลอมยารักษาได้โดยง่ายและจะสามารถโลกนี้ได้โดยใช้เวลาเพียงสามวัน


อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่เขานั้นไม่มีสมุนไพรตามที่เขียนทั้งหมด และการเตรียมยานั้นมีความละเอียดซับซ้อนพอสมควร เขาจึงต้องสร้างยาจากสิ่งที่พอหาได้และใช้เวทย์สัมผัสแห่งใบไม้ฯประกอบกัน และนี่เองท่ำให้เขาต้องเสียเวลาในการเตรียมตัวในการหลอมยานานขึ้น และต้องใช้เวลารักษาร่วมเดือนเลยทีเดียว


ถึงแม้การที่เขาปล่อยเนื้อหาในตำราแพทย์เล่มนี้ออกไปจะสร้างความกังวลให้ลูฉินหมิงไม่น้อย แต่สำหรับเขาแล้วหาได้สนใจไม่


นั่นก็เพราะว่าต่อให้สามารถใช้วิธีการเหล่านี้ในการรักษาได้จริงๆ แต่ยังไงซะตัวเขาที่มีตัวยาสำคัญอย่างไส้เดือนดินกับหญ้าสีชมพูนี้อยู่ในมือนั้น ต่อให้คนพวกนั้นจะรักษาได้จริงแต่ก็ไม่เร็วที่เขารักษาอย่างแน่นอน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)