Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 980-983

 GGS:บทที่ 980 นายเห็นฉันเป็นศัตรู แต่ฉันเห็นนายเป็นเพียง…


ซูจิ้งยังรับฟังด้วยใบหน้าอันสงบนิ่งและเงียบงันจนกระทั่งฉิวจิงพูดจบลง แน่นอนว่าเขานั้นรู้เรื่องที่ฉิวจิงก่อเอาไว้ในไมโครบลอกอย่างดี

ต่อให้เขาไม่รู้เรื่องมาก่อนแต่เขาก็สามารถอ่านจากออร่าที่หมอนี่ปล่อยออกมาด้วยกระแสจิตของเขา คนแบบนี้มีหรือจะสามารถหลอกลวงซูจิ้งได้

อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งขี้เกียจจะตอบรับคำพูดอันไรค่าของฉิวจิงจึงได้ถามออกมาว่า “ที่พูดออกมาทั้งหมดนี่นายต้องการอะไรล่ะ”


ฉิวจิงได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันหวังว่านายจะลืมเรื่องที่ฉันทำลงไป ยังไงซะมันก็เป็นเพียงเรื่องราวเล็กน้อยเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะที่เป็นหมอด้วยกัน เราควรที่จะละทิ้งเรื่องส่วนตัวแล้วทำการรักษาผู้คน”

ซูจิ้งยังถามต่อว่า “แล้วไง”


“คนนี้คือภรรยาของฉัน เธอถูกวินิจฉัยว่ามีภาวะมีบุตรยากมากว่าสองปีแล้ว ฉันได้ยินเรื่องราวของนาย ซูจิ้ง นายสามารถรักษาหญิงวัยกลางคนที่ประสบปัญหาภาวะมีบุตรยากมากว่าสิบปีได้ นายพอที่จะรักษาภรรยาของฉันได้รึเปล่า” ฉิวจิงพูดออกมา

“ก็ควรจะได้ล่ะนะ” ซูจิ้งพยักหน้ารับ


“เยี่ยม ขอบคุณค่ะคุณหมอซู” เมิ่งเซียงพูดออกมาพลางกระโดดไปมาด้วยความดีใจ นี่ทำให้สายตาของฉิวจิงสว่างจ้าออกมาในทันที

“อย่างไรก็ตาม ก่อนการรักษาก็คงจะต้องเสียค่ารักษาก่อน สำหรับค่ารักษาภาวะการมีบุตรยากนี้มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่สิบล้าน” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างเรียบง่าย

“นี่…” ฉิวจิงและเมิ่งเซียงที่ได้ยินดังนั้นสีหน้าเปลี่ยนไปแบบกลับตาลปัตในทันที ฉิวจิงได้พูดออกมาอย่างร้อนรนว่า “ซูจิ้ง นี่…มันแพงเกินไป”


“หญิงวัยกลางคนคนนั้นฉันเองก็คิดค่ารักษาไปที่สิบล้านหยวน นี่คือราคามาตรฐานแล้ว” ซูจิ้งตอบออกมา

“ซูจิ้ง ในฐานะที่เราเรียนมาด้วยกันฉันขอพูดตรงๆนะว่าฉันเองก็มีเงินเพียงแค่หนึ่งล้านหยวนเท่านั้น

ไม่ใช่ว่าหมออย่างเราจะมีหน้าที่ในการรักษาผู้ป่วยจนกว่าจะตายไปหรอกเหรอ แถมนี่ยังส่อไปในทางผิดกฎเกี่ยวกับการเก็บค่ารักษาอีกนะที่ว่าห้ามเก็บค่ารักษาแพงเกินไป” ฉิวจิงพูดออกมา


“หืมมม นี่เรารู้จักกันดีขนาดนั้นเลยเหรอ ได้ถ้านายว่าอย่างนั้นก็เอาเรื่องนั้นไปหักล้มกับเรื่องที่นายก่อเอาไว้ในไมโครบลอกนั่นไปก็แล้วกัน ต่อจากนี้เราก็ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก ฉันจะทำเป็นลืมๆเรื่องนั้นไปก็ได้

แต่การที่นายจะมาขอลดค่ารักษาเก้าล้านหยวนเพียงเพราะคำพูดของนาย แถมยังยกเรื่องกฎหมายมาขู่ฉันอีกอ่ะนะ” ซูจิ้งได้หัวเราะออกมาราวกับสิ่งที่ฉิวจิงพูดออกมาเป็นเรื่องไร้สาระที่สุดที่เคยได้ยินมา


“หมอซู…”เมิ่งเซียงเองก็อยากจะพูดอะไรออกมาสักอย่าง แต่เมื่อเธอได้เห็นใบหน้าอันเย็นชาของซูจิ้งทำให้เธอนั้นจะสามารถพูดอะไรออกมาได้

ในตอนนี้เธอนั้นอยากจะตบหน้าฉิวจิงรัวๆ หากไม่ใช่ว่าเป็นเพราะฉิวจิงไปก่อปัญหากับซูจิ้งไว้เขาก็คงจะไว้หน้าฉิวจิงอยู่บ้าง แต่ก็อีกน่ะแหล่ะ เท่าที่เธอฟังๆดูก็บอกได้เลยว่าต่อให้เป็นช่วงมหาวิทยาลัย ความสัมพันธ์ของสองคนนี้ก็ไม่ได้ดีอะไรมากมายอย่างแน่นอน


“ติงน้อย” เมิ่งเซียงได้หันไปยังมู่ติงแล้วเรียกชื่อออกมาสื่อให้เห็นว่าเธออยากให้มู่ติงช่วยพูดเรื่องนี้จริงๆ

“เฮ้อออ..” มู่ติงทำได้เพียงถอนหายใจแล้วส่ายหน้าออกมา ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากจะช่วยแต่เธอเองก็รู้ดีว่าเมื่อเห็นท่าทางของซูจิ้งในตอนนี้แล้วไม่มีทางที่เธอจะทำอะไรได้อีกต่อไป


นอกซะจากว่ามีคนสำคัญของซูจิ้งออกมาพูดจริงๆล่ะก็ ไม่มีทางเลยที่จะทำให้ซูจิ้งเปลี่ยนใจได้ นี่คือสิ่งที่เธอเรียนรู้มาในระหว่างที่หวังหยานและซูจิ้งได้คบหากันอยู่

และอีกหนึ่งที่เธอได้เรียนรู้มาก็คือซูจิ้งนั้นเป็นคนประเภทเจ็บแล้วจำ ต่อให้ตอนนี้ซูจิ้งและหวังหยานจะปล่อยวางเรื่องราวที่ผ่านมาแล้วได้จริง

แต่หากเธอต้องการให้ทั้งสองกลับมาคบกันอีกนั้นก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะว่าซูจิ้งนั้นยังคำจำเรื่องที่เกิดขึ้นไว้ได้ฟังใจยิ่งนัก


หากว่าก่อนหน้านี้ฉิวจิงขอโทษออกมาอย่างจริงใจแบบสุดๆ เขาก็ยังคงพอจะมีโอกาสรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ไปได้

แต่ในเมื่อหมอนี้ยังกล้าแสดงออกมาแถมยังพูดออกมาด้วยคำพูดสวยหรูขนาดนี้ นี่ก็เท่ากับว่าหมอนี้ตัดโอกาสสุดท้ายในชีวิตนี้ไปแล้ว

“ซูจิ้ง อย่าแกล้งกันให้มันมากนัก” ฉิวจิงพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย เขามาที่นี่เพื่อจะขอร้องแต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ไว้หน้ากันก็ไม่มีอะไรต้องเสแสร้งแล้ว “ถ้าแกไม่วางฐิทิลงแล้วรักษาภรรยาของฉันล่ะก็ ฉันจะเล่นงานแก”

“งั้นก็เชิญเลย” ซูจิ้งพูดออกมาพลางหัวเราะลั่น

“อย่าคิดว่าฉันทำไม่ได้นะ ฉันจะให้โอกาสแกอีกครั้งรักษาภรรยาของฉันเดี๋ยวนี้ หรือจะให้ฉันเล่นงานแกคืนด้วยเรื่องที่แกเก็บค่ารักษาแบบมั่วๆ”ฉิวจิงยังพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ด้วยเสียงดังลั่น

“แล้วฉันจะรอนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มแสนอำมหิต

“ไปเถอะ” มู่ติงได้ส่งสายตาไปยังเมิ่งเซียง


“หยุดพูดแล้วไปได้แล้ว” เมิ่งเซียงเมื่อเห็นท่าทางของมู่ติงก็รู้ในทันที เธอได้ดึงฉิวจิงออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนมาที่นี่มู่ติงได้บอกเธอให้เตรียมใจไว้แล้วเหมือนกัน

ต้องอย่าลืมว่าซูจิ้งนั้นมีเบื้องหลังยากสุดหยั่งถึง ต่อให้ซูจิ้งไม่รักษาแต่ยังไงเธอก็ต้องทำให้ฉิวจิงขอโทษอย่างจริงใจให้ได้

หากจับพลัดจับผลูขึ้นมาซูจิ้งอยากจะเล่นงานฉิวจิงขึ้นมามีหรือที่คนอย่างฉิวจิงจะทำอะไรได้ เอาเข้าจริงๆแล้วเขาสามารถเล่นงานฉิวจิงได้ด้วยเพียงนิ้วๆเดียวของเขาด้วยซ้ำไป

ยิ่งไปกว่านั้นด้วยชื่อเสียงในฐานะหมอเทวดาในขณะนี้ เกรงว่าต่อให้ไม่มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังของเขา เขาก็สามารถจัดการฉิวจิงได้ชนิดที่ว่าไม่สามารถอยู่ในวงการนี้ได้อีกต่อไปได้เลย

กลายเป็นว่าฉิวจิงกลับทำตัวงามหน้า ไม่เพียงจะไม่ขอโทษอย่างจริงใจ ยังขมขู่ว่าหากไม่รักษาเมิ่งเซียงจะเล่นงานซูจิ้งอีก นี่หมอนี่ไม่เข้าใจจริงๆเหรอว่าตัวเองก่อเรื่องไว้มากมายแล้วยังมีหน้าไปข่มขู่ซูจิ้งอีกเนี่ยนะ


ฉิวจิงนั้นอยากจะเล่นงานซูจิ้งตั้งแต่ตอนที่อยู่ในคลินิกพิเศษแล้วแต่ถูกมู่ติงและเมิ่งเซียงลากออกมาซะก่อน

ทั้งสองคนนั้นรู้ดีว่าซูจิ้งนั้นไม่ใช่คนที่จะทำอะไรได้ แต่เมื่อเห็นท่าทางของซูจิ้งนั้นทำให้ทั้งสองเองก็ไม่รู้ว่าซูจิ้งนั้นคิดอะไรอยู่กันแน่

ไม่รู้ว่าเขานั้นไม่ใส่ใจหรือเป็นเพราะว่าที่นั่นเป็นโรงพยาบาลแล้วไม่อยากจะทำเรื่องไม่ดีออกมากันแน่


หลังจากที่ออกมาจากโรงพยาบาลกังเฟิงแล้ว ทั้งเมิ่งเซียงและมู่ติงต่างก็พยายามพูดเพื่อให้ฉิวจิงสงบสติอารมณ์ลง

แต่ทั้งสองไม่คิดว่านอกจากฉิวจิงจะไม่ยอมฟังแล้ว เขานั้นได้เปิดไมโครบลอกของตัวและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นโดยเสริมแต่งเรื่องราวเข้าข้างตัวเอง

เขาได้กล่าวโทษว่าซูจิ้งนั้นคิดค่ารักษาตามใจตัวเอง ใช้ความแค้นส่วนตัวโคกสับราคา และยังคิดราคาชนิดที่ว่าหน้าเลือดเสียอีก

และยังทิ้งท้ายไว้ว่าคนไข้ทั้งหลายอย่าได้มองซูจิ้งเพียงแค่เปลือกนอกเป็นอันขาด ซูจิ้งนั้นเป็นคนจอมปลอมและไม่เหมาะสมกับความเป็นหมอเลยสักนิด

ไมโครบลอกของฉิวจิงนั้นเป็นที่เชื่อถือและได้รับความนิยมจากผู้คนจำนวนมากในฐานะที่เป็นหมอที่เก่งคนหนึ่ง

ถึงแม้ว่าซูจิ้งนั้นจะมีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างมากมาย แต่ก็ดั่งคำกล่าวที่ว่าต้นไม้ยิ่งปีนสูงยิ่งลมพัดแรง เขานั้นได้ทำให้ผู้คนมากมายริษยาและไม่พอใจ


ด้วยการที่คลินิกพิเศษนั้นเก็บค่ารักษาได้แพงมากจนผู้คนต่างก็อิจฉา และนี่เองจะกลายเป็นจุดอ่อนของคลีนิกพิเศษแห่งนี้ และนี่เองยังเป็นเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่

สำหรับคนที่เห็นด้วยกับซูจิ้งนั้น การกระทำของซูจิ้งเป็นการปล้นคนรวยเพื่อมาช่วยคนจน แต่สำหรับคนที่อิจฉาซูจิ้งนั้นมันคือการขูดเลือดขูดเนื้อผู้คน

ก่อนหน้านี้ด้วยชื่อเสียงของซูจิ้งที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้เสียงของคนที่อิจฉาเหล่านี้ได้แต่เงียบลงไปเท่านั้น

แต่ด้วยการชี้นำของฉิวจิง ทำให้พวกเขาสามารถร่วมมือกันได้อีกครั้ง

ด้วยเสียงของเหล่าผู้อิจฉาเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนมากมายและคราวนี้รุนแรงอย่างมากชนิดที่ว่าก่อให้เกิดผลกับวงการแพทย์ได้เลย

บางคนที่เห็นด้วยกับเรื่องนี้เองก็มีอาการป่วยและรวยมาก รวยชนิดที่ว่าต่อให้ต้องไปรักษาโรคเดียวกันในคลีนิคของซูจิ้งร้อยรอบก็ยังจ่ายไหว แต่คนพวกนี้ตระหนี่ที่จะจ่ายก็เท่านั้นและเลือกที่จะออกมาก่อปัญหาแบบนี้เพียงเพราะหวังแค่ว่าซูจิ้งจะลดค่ารักษาลงเพียงเท่านั้น

“เขาบ้าไปแล้ว ทำไมเขาถึงอยากจะหาเรื่องซูจิ้งนักนะ”


เมิ่งเซียงที่เห็นข่าวนี้ทำได้เพียงพูดออกมาอย่างเร่งรีบ

“ไอ๊หยา….” มู่ติงที่เห็นข่าวก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมายาวๆ

เธอเองก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของฉิวจิงอยู่บ้างว่าทำไมถึงต้องทำแบบนี้ ฉิวจิงนั้นเป็นคนหยิ่งยโส ตัวเขาคิดว่าตัวเองนั้นคือที่สุดในวงการแพทย์และซูจิ้งนั้นเป็นเพียงตัวตลกของวงการเท่านั้น

แต่ผลสุดท้ายกลายเป็นว่าซูจิ้งนั้นกลับกลายเป็นหมอเทวดาและตัวฉิวจิงเองที่กลายเป็นตัวตลก นี่จึงทำให้เขานั้นรับไม่ได้อย่างมาก

ไหนจะการที่ต้องลดทิฐฐิตัวเองไปขอร้องซูจิ้งนั่นอีก แต่ในเมื่อตัวเขาเองนั้นไม่สามารถละทิ้งทิฐฐิไปได้

การไปขอร้องด้วยสภาพนั้นก็ไม่ต่างจากการล้างหน้าด้วยน้ำไม้ถูพื้นที่เย็นจัด นอกจากล้างไม่สะอาดแล้วยังสกปรกยิ่งกว่าเดิม


แถมนี่ยังทำให้โอกาสรักษาเมิ่งเซียงหายไปอย่างไม่จะเป็น ด้วยการที่ต้องฝืนใจไปขอร้องซูจิ้งเพราะไม่ต้องการหย่าขาดจากภรรยา ถึงขั้นข่มขู่ซูจิ้งให้รักษาแบบนี้ มันก็เปรียบได้ดั่งเอาไข่ไปกระทบหินชัดๆ

แต่ความกังวลของมู่ติงและเมิ่งเซียงอาจจะเสียแรงเหล่าก็ได้ นั่นก็เป็นเพราะว่าซูจิ้งไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่ฉิวจิงโพสต์ว่าร้ายเขาในไมโครบลอกแม้แต่น้อย เขาไม่สนใจเรื่องเสียงทัดทานจากคนที่ออกมาโวยวายเรื่องการเก็บค่ารักษาของเขาเลยแม้แต่น้อย


ราวกับว่าซูจิ้งไม่ได้คิดว่าเรื่องดังกล่าวจะส่งผลอะไรต่อเขาเลยแม้แต่น้อย หากว่าฉิวจิงมองเขาเป็นศัตรู ตัวเขากับมองฉิวจิงเป็นเพียงแต่มดปลวกเท่านั้น หากว่าเขานั้นต้องไปใส่ใจทุกการกระทำของฉิวจิงก็เหมือนกับว่าเขาได้ให้ค่ากับคนเหล่านั้นและลดค่าของตัวเขาเอง

ยิ่งไปกว่านั้น คลีนิกพิเศษของเขานั้นไม่เหมือนกับคลีนิกพิเศษทั่วไปที่เป็นคลีนิกรักษาเฉพาะทาง

คลีนิกของเขาเปิดไว้สำหรับคนที่ต้องการการรักษาแบบพิเศษจริงๆที่เอาไว้ใช้ต่อการกับโรคร้ายด้วยความรู้การแพทย์จากตำรารักษาโรคทั่วไปที่ได้มาจากขยะห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯ

การรักษาโรคที่ผ่านมาสำหรับเขานั้นก็เป็นเพียงแค่น้ำจิ้มๆเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง


GGS:บทที่ 981 โรคที่ไม่มีทางรักษา


 


ซูจิ้ง ลูฉิงหมิน และหมอคนอื่นๆ ตอนนี้ได้ออกมารับแขกสุดพิเศษที่ต้องการเข้ารับการรักษาจากซูจิ้งในคลีนิกพิเศษแห่งโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุน


คนที่เข้ามาเป็นชายวัยกลางคนที่นั่งลงบนรถเข็น ร่างกายและแขนขาเล็กลีบและมีอุปกรณ์ประคองศรีษะสวมเอาไว้ ชายคนนี้ได้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเป็นคนคอยเข็นรถเข็นให้และหญิงสาวอีกคนหนึ่งเดินมาข้างๆอย่างใกล้ชิด ทั้งสองคนมาที่นี่ด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง


 


“หมอซูคะ คุณหมอทุกท่านคะ ได้โปรดช่วยรักษาสามีของฉันที” หญิงวัยกลางคนที่เพิ่งลงมาจากรถด้วยท่าทีอิดโรยได้รีบเดินเข้ามาหาด้วยความเร็วเท่าที่เป็นไปได้แล้วพูดออกมา


“ฉันว่าเคสนี่เราจะทำอะไรไม่ได้นะ” ลูฉินหมิงได้ถอนหายใจออกมา ส่วนหมอคนอื่นเองก็ทำได้เพียงแค่ส่ายศรีษะแทบจะทุกคนไป และต่างพลางนึกในใจว่าในวันนี้สถิติการรักษา100%ของคลีนิกพิเศษแห่งนี้คงจะจบลงแล้วสินะ


 


ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนรถเข็นนั้นป่วยเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาให้หายได้ โรคนี้เป็นหนึ่งในห้าที่หมอทั่วทั้งโลกให้การยอมรับว่าไม่มีวันรักษาหาย


เป็นโรคที่ถือได้ว่าเป็นโรคที่ร้ายแรงยิ่งกว่าโรคทางสายตา โรคไข้เย็น และภาวะการมีบุตรยาก โรคนี้เรียกอย่างเป็นทางการว่าโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Amyotrophic Lateral Sclerosis ,ALS)


โรคALSนี้เป็นโรคที่เกิดขึ้นกับเซลล์ประสาทนำคำสั่ง นอกจากนี้ยังมีชื่ออีกอย่างหนึ่งที่คนน่าจะรู้จักมากกว่านั่นก็คือโรคมนุษย์น้ำแข็ง


 


เหตุผลที่มันเป็นที่รู้จักในชื่อนี่นั้นก็เป็นเพราะว่าเมื่อผู้ป่วยมีอาการจะมีอาการสั่นราวกับถูกแช่เอาไว้ในน้ำแข็งหรือหิมะ และคนๆนั้นจะสูญเสียการควบคุมในทันที


อย่างไรก็ตามโรคนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบฉับพลัน แต่จะค่อยๆเกิดกับบางส่วนของร่างกายจนทำให้ร่างกายอ่อนแอลงตามลำดับ


สาเหตุของอาการมาจากอาการบาดเจ็บของระบบสื่อประสาทอาจจะเป็นส่วนบนหรือส่วนล่าง ผลของมันคือการทำให้เกิดอาการอ่อนแรงลง และจะทำให้ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ลีบ และกระตุก รวมทั้งอาจมีอาการแข็งเกร็งอีกด้วย


 


ที่ก่อนหน้านี้มีการรณรงค์ที่เรียกว่า “Ice Bucket Challenge” ที่เป็นที่นิยมกันเมื่อไม่กี่ปีก่อนเองก็เป็นผลพวงมาจากโรคนี้


เป้าหมายของการรณรงค์นี้คือการกระตุ้นให้ผู้คนตระหนักถึงคนที่ป่วยและอาจจะป่วยโรคนี้แต่ยังไม่รู้ตัว เพื่อช่วยกันบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือคนเหล่านี้ และด้วยอาการหนาว สั่น เกร็ง หลังจากราดตัวด้วยถังน้ำแข็งนี้จึงเป็นที่มาของชื่อโรคที่รู้จักกันในใช่ โรคมนุษย์น้ำแข็ง


บนโลกนี้มีคนที่ป่วยเป็นโรคนี้จำนวนมาก หนึ่งในคนที่น่าจะรู้จักกันดีก็คือสตีเฟ่นฮอกกิ้น นักฟิสิกข์ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นอัจฉริยะบุคคลแห่งยุค


 


เขานั้นเป็นผู้ค้นพบปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “การแผ่รังสีฮอว์คิง” (Hawking Radiation) ซึ่งหมายถึงการที่หลุมดำเกิดการรั่วไหลของพลังงานจนค่อย ๆ ระเหยหมดไปได้ในที่สุด


และอีกหนึ่งคือ “ทฤษฎีแห่งสรรพสิ่ง” (Theory of everything ) ที่เสนอว่าจักรวาลมีวิวัฒนาการมาตามกฎเกณฑ์ที่แน่นอนชุดหนึ่ง และแนวคิดนี้ได้รับความนิยมกันไปทั่ว


นอกจากนี้เขายังได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับกาลเวลาที่มีชื่อว่า “ประวัติย่อของกาลเวลา” (A Brief History of Time) และได้รับความนิยมจนสามารถขายออกไปได้กว่า 10 ล้านฉบับทั่วโลก


นี่จึงเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าเขานั้นเป็นหนึ่งในนักฟิสิกข์คนสำคัญของโลกใบนี้ต่อมาจากนิวตันและไอน์สไตน์จนได้ฉายาว่า “ผู้ไขความลับแห่งจักรวาล”


 


อย่างไรก็ตามอัจฉริยะผู้นี้ไม่สามารถต้านทานต่อโลกภัยได้ นั่นก็เพราะเขาเองก็ป่วยเป็นโลก ALS นี้ด้วยเช่นกัน เขาต้องมีชีวิตอยู่บนรถเข็นมานานกว่าครึ่งศตวรรษและก็ยังไม่อาจหาทางรักษาอาการนี้ได้


 


เมื่อตอนที่เขาอายุได้ 21 ปี แพทย์ตรวจพบว่าเขามีอาการของโรคเซลล์ประสาทนำคำสั่งเสื่อมชนิดหนึ่ง ซึ่งต่อมาทำให้เขาเป็นอัมพาตเกือบทั้งตัว และต้องใช้รถเข็นวีลแชร์ตลอดชีวิต


ในตอนนั้นแพทย์ได้บอกเขาว่าจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 2-3 ปีเท่านั้น แต่ในภายหลังปรากฏว่าเขามีอาการทรุดลงช้ากว่าที่คาดมาก


อย่างไรก็ตามอาการบาดเจ็บดังกล่าวส่งผลให้ร่างกายของเขาเป็นอัมพาตแข็งค้างไปเกือบตัวแบบถาวร เหลือเพียงอวัยวะบางส่วนที่ยังขยับได้


เขาสามารถขยับนิ้วสามนิ้ว ขยับศรีษะได้เล็กน้อย ไหล่ข้างหนึ่งถูกดึงให้สูงขึ้นด้วยเส้นประสาทในร่างสูงกว่าไหล่อีกข้างหนึ่ง ข้อมือขยับได้เล็กน้อย กำมือด้วยสามนิ้วได้ ข้อเท้ายังขยับได้ ปากบิดเบี้ยวเป็นรูปตัวเอส พอยิ้มได้บ้างเล็กน้อย และทุกครั้งที่เขายิ้มจะสามารถเห็นลักยิ้มอันเด่นชัดได้


 


ด้วยเหตุนี้โรคALSนี้เป็นหนึ่งในโรคที่ก่อปัญหาให้กับมนุษย์โลกในลำดับต้นๆ และเมื่อลูฉินหมิงและคนอื่นๆต้องมาพบเจอผู้ป่วยโรคนี้อยู่ตรงหน้าก็ทำได้เพียงแต่รู้สึกเจ็บใจไม่น้อยที่พวกเขาไม่อาจช่วยอะไรได้


พวกเขาเองก็พาลได้แต่คิดไปว่าต่อให้เป็นซูจิ้งก็ไม่น่าจะสามารถทำอะไรได้เช่นเดียวกัน หากว่าพวกเขาได้รู้ตัวก่อนก็คงจะปฏิเสธไปแล้ว


แต่นี่ผู้ป่วยกลับมาอย่างกระทันหันแถมมีท่าทีที่เปี่ยมไปด้วยความหวังแบบนี้ พวกเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้ ที่ทำได้ก็มีเพียงการยืนฟังอยู่นิ่งๆเท่านั้น


 


“พวกเราจะพยายามรักษาอย่างสุดความสามารถครับ แต่ผมคิดว่าคุณควรจะรู้อยู่แล้วว่าโรคนี้ยากที่จะรักษา ผมไม่รับประกันนะครับว่าจะรักษาได้หายอย่างสมบูรณ์” ซูจิ้งพูดออกมา


ลูฉินหมิงที่ได้ยินตอนนี้พลันหันหน้าไปจ้องมองซูจิ้งในทีนที พลางนึกถึงคำพูดของซูจิ้งเมื่อครู่ว่าเมื่อกี้เขาพูดว่าอะไรนะ นี่เขาอยากจะลองดูจริงๆเหรอ แถมยังไม่ได้บอกว่ารักษาไม่ได้แต่เป็นอาจรักษาได้ไม่สมบูรณ์อีกด้วย


“พวกเรารู้ดีค่ะว่าหมอซูจะทำสุดความสามารถ” หญิงวัยกลางคนพยักหน้าด้วยสายตาที่มีน้ำซึมออกมา


 


“คุณหมอซู พ่อของพวกเราสามารถรักษาได้จริงๆเหรอ” ชายหนุ่มและหญิวสาวที่อยู่หลังรถเข็นได้ถามออกมาในขณะที่จับจ้องไปยังซูจิ้งตาไม่กระพริบราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน


ถึงแม้พวกเขาจะมาด้วยความหวังว่าพ่อของพวกตนจะได้รับการรักษาจนหาย แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าโรคนี้เป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาได้หาย


ถ้าให้พูดตรงๆที่พวกเขามานี่ก็ไม่ได้หวังอะไรมากนักเพียงเพราะทนคำรบเล้าของผู้เป็นแม่ของตนไม่ได้


แต่ตอนนี้สิ่งที่ทั้งสองคิดสงสัยที่สุดก็คือซูจิ้งจะหาทางสูบเงินพวกเขาไปอย่างช้าๆและสุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้เลย


 


“ผมเองก็ขอบอกความจริงก่อนก็แล้วกันว่าตอนนี้ผมเองกำลังคิดค้นยาตัวใหม่อยู่ และมันมีสรรพคุณในการรักษาอาการบาดเจ็บที่ดีมาก แต่ผมนั้นยังไม่เคยใช้จริงๆกับมนุษย์ นี่เองจึงเป็นเหตุผลที่บอกไว้ว่าผมไม่รับปากว่าจะหายดี” ซูจิ้งพูดออกมา


“นี่มันไม่ได้หมายความว่าจะใช้พ่อของเราเป็นหนูทดลองหรอกเหรอ” หญิงสาวได้พูดออกมาพร้อมยกคิ้วสูงด้วยความตกใจ


“หมอซู นี่มันจะไม่เกินไปหน่อยเหรอ” ชายหนุ่มได้พูดออกมาด้วยท่าทีโกรธเคือง


“ฮ่าวน้อย ได๋น้อย ใจ..เย็นๆ..ก่อน” คราวนี้เป็นชายวัยกลางคนที่นั่งรถเข็นได้เปล่งเสี่ยงออกมาอย่างยากลำบาก ถึงแม้เขาจะยังขยับปากพูดได้แต่ก็ไม่ได้ชัดมากนัก เขานั้นยังพอที่จะขยับดวงตาและปากได้แต่ส่วนที่เหลือนั้นแข็งทื่อไปหมดแล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาพูดได้ไม่ชัดนัก


“กับโรกทีม่ายมีทาที่ใคจะรัดสาได้แบบนีแตลูคจะให้หมอเทดาทีเปนแสงแหงความหวังคนนีรัดสาได้สาเรจ100%อีเนียนะ ภ่อมีชีวิด้วยสภาพนี้มานาเกนปายแล้จะลอดูหนอยจาเปนอะไรไป อยางนอยก็ยังไดสูกับโลคนีกอนตายก็ยางดีกวานอนลอควาตายไปทังอยางนี” (พูดไม่ชัดเข้าใจนะ)​


ชายวัยกลางคนผู้นี้แม้จะตกอยู่ในภาพที่ยากลำบากจากโรคภัยแต่ก็ยังมีท่าทีสงบราวกับเตรียมใจไว้แล้ว นี่ทำให้ซูจิ้งถึงกับพยักหน้ายอมรับในใจแกร่งของเขา


“หมอซู อยาไปสนจายลูคผมเลย ผมญินดีรับการรากสา ชวยรากสาผมที ตอใหคุนรักสาไมไดผมก็ไม่โทดคุน” ชายวัยกลางคนยังพูดออกมาแสดงความตั้งใจของตัวเองอย่างยากลำบาก


“เดี๋ยวก่อนสิ” ชายหนุ่มได้พูดออกมาในทันที และนี่เองทำให้เขาได้เห็นสายตาผู้เป็นพ่อของเขาจ้องมองอย่างไม่สบอารมณ์


ชายหนุ่มคนนั้นได้นั่งชันเข่าก่อนจะพูดกับพ่อของตนเองว่า “พ่อ ผมเข้าใจพ่อว่าตอนนี้พ่อรู้สึกยังไงและผมเข้าใจความคิดของพ่อ


แต่พ่อไม่คิดถึงพวกเราบ้างเหรอ พวกเราจะยอมให้พ่อรับการรักษาด้วยวิธีการที่เราไม่รู้จักได้ยังไง หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาล่ะ หากว่ามันรักษาหายได้จริงล่ะก็ผมจะไม่ห้ามพ่อเลยแม้แต่น้อย…เอาอย่างนี้ผมมีวิธีแล้ว”


 


“วิทีคือ…” ชายวัยกลางคนถามออกมาอย่างสงสัย


“ผมจะหาคนที่ป่วยเป็นALSมาให้คุณซูลองรักษาก่อน หากว่าพวกเขารักษาหายได้ผมถึงจะยอมให้พ่อรักษา” ชายหนุ่มพูดออกมา


ซูจิ้งที่ได้ยินดังนั้นถึงกับคิ้วกระตุกในทันทีก่อนที่จะนิ่งคิดไปชั่วขณะหนึ่ง หลังจากนั้นจึงได้พูดออกมาว่า


“ก็ได้ ผมไม่มีปัญหาแต่ว่ามีสองเงื่อนไข อย่างแรกผู้ป่วยที่พามานั้นต้องยินยอมพร้อมใจที่จะมาด้วยตัวเอง ห้ามฝืนบังคับมาโดยเด็ดขาด


อย่างที่สอง ผมนั้นจะต้องทุ่มเทเวลา พลังงาน และตัวยาในการรักษาคนไข้ที่คุณพามา คุณจะต้องเป็นคนรับผิดชอบค่ารักษาของคนไข้คนนั้นจำนวนหนึ่งร้อยล้านหยวน


และแน่นอนว่าผมต้องทุ่มเทเวลา พลังงาน และตัวยาในการรักษาพ่อของคุณด้วยวิธีการเดียวกัน และแน่นอนว่าผมจะคิดค่ารักษาพ่อของคุณอีกหนึ่งร้อยล้านหยวน”


“ไม่มีปัญหา” ชายหนุ่มพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายนี่ทำให้ชายวัยกลางคนเองก็ถึงกับพูดไม่ออกราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าเรื่องต้องลงเอยแบบนี้


“ตกลง” ซูจิ้งยื่นมือออกมาจับมือกับชายหนุ่มเป็นสัญญาลักษณ์ว่าเห็นด้วยกับข้อตกลงร่วมกัน นี่เป็นเรื่องดีสำหรับเขานั่นก็เพราะว่าเขานั้นมีคนไข้เพิ่มเติมมาให้ฝึกปรือฝีมือ แน่นอนว่าถึงแม้ซูจิ้งจะมั่นใจว่ารักษาได้อยู่แล้ว แต่มีคนไข้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีต่อฝีมือของเขามากขึ้นเท่านั้น


 


หลังจากตกลงกันได้แล้ว ถึงแม้ทางฝั่งของผู้ป่วยจะยังไม่คิดจะรักษาในตอนนี้แต่พวกเขาก็ได้แอดมิดชายวัยกลางคนผู้นี้ไว้ในห้องพักผู้ป่วยพิเศษของโรงพยาบาลกังเฟิงแห่งนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


ลูฉินหมิงที่อยู่ในเหตุการณ์ก็อดไม่ได้ที่จะถามซูจิ้งออกมาว่า “อาจิ้ง คุณแน่ใจเหรอว่าจะลองรักษาโรคที่ไม่มีทางรักษานี้ดู คุณรู้รึเปล่าว่าโรคนี้เป็นปัญหาในระดับโลกเลยนะ”


“ผมรู้สิ ผมเลยอยากจะขอให้ลุงลูช่วยแนะนำผมหน่อย” ซูจิ้งพูดจบก็ได้นำตำราเล่มหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก มันนั้นมีสภาพค่อนข้างใหม่ ที่หน้าปกมีตัวอักษรที่เขียนไว้ว่า “ตำราแพทย์ทั่วไป” เขียนอยู่บนปก


ลูฉินหมิงที่เห็นก็ทำได้เพียงนิ่งอึ้งไปพลางคิดในใจว่านี่มันตำราโบราณสมัยราชวงศ์ฮั่นฉบับคัดลอกรึเปล่า


GGS:บทที่ 982 …..บ้าไปแล้ว


 


“นี่คือตำราแพทย์โบราณสมัยราชวงศ์ฮั่นฉบับคัดลอกเหรอ” ลูฉินหมิงถามออกมาด้วยความสงสัยแบบอึ้งๆ


“ใช่” ซูจิ้งพยักหน้ารับ


“แล้วนายเอาออกมาทำไมตอนนี้ล่ะ” ลูฉินหมิงยังถามออกมาด้วยน้ำเสียงแปลกใจ


“แน่นอนว่านำออกมาศึกษาเพิ่มเติม ไม่ใช่ว่าลุงลูเองอยากจะศึกษามันมาตลอดหรอกเหรอ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มในขณะที่เปิดตำราออกดู


ซูจิ้งเปิดตำราขนาดเท่าฝ่ามือเล่มนี้ดูอย่างตั้งใจและเปิดไปยังหน้าที่เขาต้องการจะดูอย่างแม่นยำ


 


ลูฉินหมิงที่เห็นแบบนั้นก็ยังตกตะลึงแต่ก็เข้าไปดูอยู่ข้างๆ เมื่อเขาได้อ่านไปได้เพียงหนึ่งบรรทัดกว่าๆจนเกือบสองบรรทัด เขาได้ตกใจจนถอนหายใจออกมาสั้นๆก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า “นี่มันวิธีการรักษาน้ำแข็งกัด?”


ถึงแม้ในความเป็นจริงนั้นที่มาของโรคทั้งสองจะต่างกันอย่างสิ้นเชิง มีเพียงอาการเท่านั้นที่เหมือนกันเป๊ะๆเท่านั้นแต่ก็สามารถจัดได้ว่เป็นโรคเดียวกันอยู่ดี


แต่นี่มันตำราสมัยราชวงศ์ฮั่นไม่ใช่เหรอ นั่นหมายความว่าสมัยนั้นไม่น่าจะมีวิธีการรักษาโรคนี้นี่นา ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยสักนิดไม่ใช่เหรอ


ความจริงแล้วตอนที่ซูจิ้งได้เห็นเนื้อหาการรักษาโรคน้ำแข็งกัดนี้เขาก็ตกใจไม่แพ้กัน เหตุผลก็เพราะว่าในโลกปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวไกล


 


ไม่ว่าจะเป็นด้านองค์ความรู้หรือเครื่องมือทางการแพทย์ที่ก้าวล้ำ หากว่าทำตามตำราเล่มนี้ได้ทั้งหมดแน่นอนว่าต้องรักษาโรคนี้ได้อย่างแน่นอน


แต่สำหรับในโลกนี้ด้วยวิทยาการและความรู้ต่างๆกลับทำได้เพียงตีค่าโรคALSนี้ว่าไม่มีทางรักษาให้หายได้ช่างน่าตลกเช่นดี


แต่ยังไงซะซูจิ้งเข้าใจดีว่าตำรานี้เป็นความรู้ทางการแพทย์จีนที่ไม่ได้มาจากยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น แต่มาจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯนี่ทำให้เขายิ่งเชื่อมั่นในตำราเล่มนี้มากกว่าใคร


เพราะสำหรับห้วงเวลาฯที่เต็มไปด้วยผู้ฝึกตนที่ต้องการเป็นเทพเซียนอมตะ พวกเขาทำได้แม้กระทั่งหลอมยาเพื่อยืดอายุตัวได้อีกนับร้อยปี มีกระทั่งเม็ดยาที่นำคนตายให้กลับมีชีวิต นับประสาอะไรกับโรคภัยเล็กๆน้อยๆแบบนี้กัน


 


“วิธีการนี้น่าจะไม่ได้ผลไม่ใช่เหรอ” ลูฉินหมิงได้มีความรู้สึกแบบนี้จนล้นออกมาจากใจจึงได้พูดออกมา


สิ่งที่เขารับรู้ได้ในตอนนี้เมื่อเห็นซูจิ้งหยิบตำราเล่มนี้ออกมาอ่านก็คือเขาอยากจะลองใช้ความรู้ทางการแพทย์ในตำราเล่มนี้ในการรักษาผู้ป่วยโรคALS


หากว่าเขาคิดจะล้อเล่นก็คงมากเกินไปแล้ว ความรู้ทางการแพทย์ในสมัยราชวงศ์ฮั่นจะสามารถรักษาโรคALSนี้ได้อย่างไร หากว่ารักษาได้จริงนั่นไม่ใช่ว่าความรู้ทางการแพทย์ในปัจจุบันจะล้าหลังกว่าความรู้ในอดีตในหลายพันปีหรอกเหรอ


 


“หากไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะครับ” ซูจิ้งพูดออกมาในขณะที่เปิดไปที่หน้าถัดไปของตำราแพทย์โบราณเล่มนี้ก่อนที่จะพูดออกมาอีกว่า “ในช่วงเวลานี้ของทุกวัน ผมจะขอเรียนรู้ความรู้เกี่ยวกับยาและเคสการรักษาต่างๆจากลุงลู่ และในขณะเดียวกันผมก็จะเรียนรู้ตำราแพทย์โบราณนี้ไปด้วยเช่นเดียวกัน


นั่นก็เป็นเพราะว่าต่อให้ความในสมัยนั้นเทคนิคการแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์อาจจะล้าหลังกว่าการแพทย์สมัยปัจจุบันไปก็จริง


แต่ดูเหมือนว่าความรู้ด้านตัวยาและการรักษาจะลึกซึ้งและก้าวล้ำไปกว่ายุคปัจจุบันนะครับ หรือจะให้ผูดอีกอย่างก็คงจะเป็นเด่นกันไปคนละด้าน ผมคิดว่าการรักษาโรคALSนี้จำเป็นจะต้องใช้ความรู้ทางการแพทย์ทั้งสองด้านนี้มาผนวกรวมด้วยกัน


และด้วยแนวคิดนี้ทำให้ผมเจอวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด แล้วก็ผมได้เตรียมยาพิเศษสำหรับการรักษาโรคนี้ไว้แล้ว แต่ประเด็นคือผมไม่แน่ใจว่ามันจะได้ผลแค่ไหน”


ลูฉินหมิงที่ได้ฟังคำพูดของซูจิ้งในตอนนี้ได้พยายามกดข่มความรู้สึกของตัวเองไว้อย่างเต็มที่ก่อนที่จะเริ่มศึกษาวิธีการรักษาอาการน้ำแข็งกัดจากตำราโบราณฉบับคัดลอก


แต่เมื่อเขาได้อ่านวิธีการรักษามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งอ่านด้วยความรู้สึกตกใจ ตื่นเต้น เกรงกลัว จนในที่สุดเขาเองก็เห็นด้วยกับสิ่งที่ซูจิ้งได้พูดออกมา และเขาเองก็ได้แนวคิดในการรักษาของตัวเองหลังจากได้อ่านตำราเช่นนี้ด้วยเช่นกัน


 


ปัจจัยที่ทำให้ระบบสื่อประสาทได้รับความเสียหายนั้นมีด้วยกันหลายสาเหตุ ยกตัวอย่างเช่นกรรมพันธุ์ พิษจากโลหะหนัก หรือไม่ก็อาการป่วยอย่างอื่น


ในปัจจุบันนั้นได้เข้าใจกันว่าสาเหตุหลักๆที่ทำให้ระบบสื่อประสาทเกิดความเสียหายจะประกอบด้วย


เกิดการสะสมของสารพิษที่ส่วนปลายของระบบสื่อประสาทจนขัดขวางกระบวนการสื่อสารระหว่างเซลล์ หากรู้ตัวช้าไปล่ะก็จะทำให้ส่วนปลายนี้จะเสียหายแบบถาวร

เกิดจากรังสีไปทำลายเหยื่อหุ้มเซลล์ที่มีหน้าที่รับในระบบสื่อประสาท

ระบบสื่อประสาทไม่ได้เติบโตเต็มที่ในระหว่างที่ร่างกายเติบโต ส่งผลให้ระบบไม่สามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง

แต่ว่าก็ยังทฤษฎีต่างๆมากมายเกี่ยวกับสาเหตุของโรคALSนี้อีกมากมายและหลากหลาย จนในที่สุดแล้วก็ไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงของโรคนี้ได้


 


อย่างไรก็ตาม ตำราโบราณเล่มนี้กลับสามารถกล้าที่จะฟันธงในสาเหตุ วิธีการป้องกัน และวิธีการรักษา พร้อมทั้งอธิบายรายละเอียดทั้งหมดไว้ได้อย่างละเอียดยิบ ซึ่งหากมองจากมุมมองทางการแพทย์ปัจจุบันแล้วก็ถือว่าเป็นไปได้อย่างยิ่ง


 


ในที่สุดเมื่อลูฉินหมิงได้อ่านจบก็ได้ถอนหายใจออกมายาวๆก่อนที่จะพูดออกมาว่า “เป็นไปได้ นายสามารถลองรักษาโดยอาศัยตำรานี้เป็นหลักได้ ว่าแต่ ในเมื่อนายเตรียมยารักษาไว้แล้วแล้วนายจะให้ฉันช่วยอะไรล่ะนั่น”


“ความจริงคือตัวยาบางตัวในตำรานี้ผมไม่สามารถหาจากที่ไหนได้เลย ผมเลยเปลี่ยนตัวยาที่มีสรรพคุณคล้ายๆกันให้มากที่สุด


 


ถึงแม้ยานั้นจะสามารถสำเร็จได้ด้วยดีก็จริงแต่ผมไม่มั่นใจในผลการรักษา และนี่อาจจะต้องทำให้เราต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เอง


หากยานี้ได้ผลจริงแน่นอนว่ามันย่อมมีค่าอย่างมากต่อคนที่ป่วยเป็นโรคนี้ และนี่ทำให้ยานี้ต้องไม่มีข้อผิดพลาดใดๆทั้งนั้น


ผมเลยอยากให้ลุงลูช่วยชี้แนะผมในระหว่างที่รักษานี้ว่ามีส่วนใดบ้างที่ไม่ถูกต้อง โดยลุงไม่ต้องเกรงใจใดๆทั้งสิ้นในการแย้งผม” ซูจิ้งพูดออกมา


“แน่นอน” ลูฉินหมิงพูดออกมาด้วยท่าทีที่ตื่นเต้นอย่างที่สุดเมื่อนึกถึงเรื่องที่ว่าสามารถเป็นส่วนหนี่งในการรักษาโรคที่ไม่มีทางรักษานี้


เพียงนึกถึงเรื่องที่ว่าได้เป็นผู้ช่วยของซูจิ้งในการรักษาโรคALSได้เป็นคนแรกแล้ว นี่เขากลับรู้สึกเป็นเกียรติเสียมากกว่าด้วยซ้ำ


 


เมื่อทั้งสองต่างก็ตกลงเรื่องวิธีการรักษากันได้จึงได้เตรียมการที่จะรักษาผู้ป่วยALSเอาไว้ก่อน


ไม่กี่วันถัดมา หญิงสาวและชายหนุ่มที่เป็นลูกชายและลูกสาวของผู้ป่วยALSคนนั้นได้พาผู้ป่วยที่มีอาการALSอีกสองคนมาหาซูจิ้ง


ผู้ป่วยALSทั้งสองคนนี้ยินยอมที่จะเป็นผู้ป่วยทดลองการรักษาก่อนที่จะยอมให้พ่อของเขาเข้ารับการรักษา


ในช่วงที่พ่อของชายหนุ่มคนนี้เริ่มป่วยเป็นALS เขาก็ได้เข้ามาช่วยดูแลแทนจนทำให้ธุรกิจที่จากดิ่งเหวกลับมาจนเจริญรุ่งเรืองและทำให้มีอำนาจเงินมากพอที่จะเสนอการรักษาให้กับคนอื่นก่อนแบบนี้ได้


 


ซูจิ้งได้ใช้กระแสจิตส่งออกไปสำรวจทั้งสองคน และนี่เองเขาก็ได้รับรู้ความรู้สึกนึกคิดของชายสองคนนี้ด้วย ครอบครัวของพวกเขานั้นต้องประสบปัญหาไม่ต่างกับครอบครัวของเด็กหนุ่มผู้นี้


แต่ด้วยการที่ครอบครัวของชายสองคนนี้เป็นเพียงแค่คนธรรมดา ในตอนแรกที่รู้ว่าเขานั้นเป็นโรคALS พวกเขาก็คิดว่าเป็นเพียงโรคภัยไข้เจ็บธรรมดาเท่านั้น


 


คนที่รักษาพวกเขาได้รักษาไปตามอาการและไม่ได้มีท่าทีว่าจะหายเลยแม้แต่น้อย กว่าจะรู้ว่ามันคือโรคที่ไม่มีทางรักษาหาย ครอบครัวของพวกเขาก็ผลาญเงินทองหมดไปกับการรักษาของพวกเขาจนแทบหมดสิ้น


จนในตอนนี้ครอบครัวของพวกเขาแทบจะเรียกได้ว่าบ้านแตกสาแหรกขาด และพวกเขาต่างก็ถอดใจและเฝ้านับถอยหลังรอเวลาตายไปทั้งแบบนี้


แต่ชายหนุ่มคนนี้อยู่ๆก็ได้ก้าวเข้ามาและเสนอเงินให้พวกพวกเขาคนละหนึ่งแสนหยวนเพื่อช่วยเหลือครอบครัวของเขา และบอกว่ามีวิธีการรักษา มีหรือที่เขาจะกล้าปฏิเสธ ต่อให้มีอะไรผิดพลาดจนตายไปในตอนนี้เขาก็ไม่ต้องมีอะไรห่วงอยู่แล้ว


 


เมื่อตรวจสอบร่างกายในเบื้องต้นเสร็จสิ้น ซูจิ้งได้นำสัญญาออกมาให้เซ็น โดยสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาเกี่ยวกับการไม่กล่าวโทษหากมีอะไรผิดพลาด หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาก็ได้เริ่มต้นการรักษาในทันที


ตอนนี้บริเวณพื้นที่ในโรงพยาบาลกังเฟิงส่วนนอกเหนือจากพื้นที่คลีนิกพิเศษนั้น ได้มีผู้คนจำนวนมากเข้ามาจับตามองคลีนิกพิเศษของซูจิ้งนี้เนื่องจากมีข่าวว่าซูจิ้งกำลังจะทดลองการรักษาผู้ป่วยโรคALS แน่นอยว่านอกจากจะเป็นที่สนใจแล้วยังมีอีกหลายคนที่ยังสบสันกับการกระทำของซูจิ้งด้วยเช่นเดียวกัน


 


“ฮ่าฮ่า พระเจ้า นี่เขาบ้าไปแล้วสินะ” หมอหลายๆคนในโรงพยาบาลฮัวกังจองหยุนต่างก็รู้สึกซูจิ้งจะได้ใจเกินไปแล้วในสิ่งที่เขานั้นกำลังกระทำอยู่ และตอนนี้พวกเขาได้เตรียมการเคลื่อนไหวต่อสิ่งที่ซูจิ้งทำกันอย่างลับๆ


พวกเขามั่นใจอย่างมากว่ากับโรคที่เป็นหนึ่งในห้าโรคร้ายระดับโลกที่ไม่มีทางรักษาหายนี้ซูจิ้งจะไปมีทางรักษาให้หายได้อย่างไร


 


“หลิวเว่ย เขาไม่มีทางรักษาโรคALSนั่นได้จริงๆหรอกใช่รึเปล่า โรคนั่นยังไงก็ไม่มีทางรักษาได้อยู่แล้ว” หมอคนหนึ่งหันไปถามหลิวเว่ย และนั่นทำให้หมอคนอื่นๆที่อยู่ใกล้ๆกันหันหน้าไปมองเป็นตาเดียว


“หึหึหึ ไม่รู้สินะ” หลิวเว่ยทำเพียงตอบมาสั้นๆพร้อมกับหัวเราะออกมาเล็กน้อย ตัวเขาเองนั้นก็ไม่ได้รู้จักซูจิ้งดีมากมายอะไรนัก


แต่เขารู้เพียงว่าหากซูจิ้งสามารถรักษาโรคALSนี้ได้ล่ะก็ แน่นอนว่าจะต้องทำให้วงการแพทย์ต้องสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน นั่นก็เพราะโรคALSนี้มันอยู่คนละระดับกับโรคอื่นๆที่ซูจิ้งเคยรักษามา


ด้วยการที่โรคนี้นั้นยากต่อการที่จะรักษาให้หายได้ นี่ทำให้เขารู้สึกได้เลยว่าซูจิ้งได้เตรียมไว้อย่างดีแล้วแน่นอน


 


“โคตรกล้า” หวังกังหยุนที่เห็นข่าวนี้ก็ได้อุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นในทันทีที่เห็นข่าวนี้ ในขณะเดียวกันเขาเองก็เป็นกังวลแทนซูจิ้งด้วยเช่นเดียวกัน


เขากลัวว่าชื่อเสียงของซูจิ้งที่สั่งสมมาอาจจะต้องเสียหายจากเคสรักษาในครั้งนี้ ยังไงซะในตอนนี้ซูจิ้งในฐานะหมอเทวดาก็ยังอยู่ในช่วงมรสุม


หากว่าเขาทำอะไรผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียว สิ่งดีงามที่เขาได้ทำสั่งสมมาแน่นอนว่าจะล้มคืนไปในทันทีที่ผิดพลาด


หากถามเขาในตอนนี้นั้นแน่นอนว่าเขาต้องการให้ซูจิ้งดำเนินการรักษาอย่างแน่นอน นั่นก็เพราะว่าไม่ว่าซูจิ้งจะรักษาสำเร็จหรือไม่ แน่นอนว่าย่อมสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการแพทย์ได้อย่างแน่นอน


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า แกฆ่าตัวเองแท้ๆ” ทันทีที่ฉิวจิงเห็นข่าวนี้ก็ได้สบถออกมาพร้อมหัวเราะด้วยเสียงอันเต็มพลัง ตอนนี้เหล่าคนที่สนับสนุนและเป็นศัตรูของซูจิ้งต่างก็เริ่มรวมตัวกันเพราะเรื่องนี้


ไม่ว่าเขาจะออกมาแถลงข่าวหรือเพิกเฉยต่อสาธารณะชน ตอนนี้ยังไงซะผลที่ออกมาก็คือการฆ่าตัวตายชัดๆ นั่นก็เพราะไม่มีทางซูจิ้งจะสามารถรักษาโรคที่ไม่มีทางรักษานี้ได้ หากจะรักษาได้ก็คงจะเป็นเพียงแค่ในความฝันเท่านั้น


เมื่อใดที่เขาพลาด แน่นอนว่าจะเป็นโอกาสที่จะบังคับให้ซูจิ้งลดราคาคลีนิพิเศษลง นี่คือสิ่งที่ฉิวจิงคิดอยู่จนเต็มหัวสมอง


GGS:บทที่ 983 ลอบโจมตี


ห้าวันต่อมา ข่าวความเคลื่อนไหวในส่วนคลีนิกพิเศษของซูจิ้งหลุดออกมาให้ได้ยินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แม้กระทั่งตอนที่พาผู้ป่วยที่ยอมรับการรักษาโรคALSได้ถูกพาตัวเข้ามาอย่างลับๆโดยไม่มีใครสังเกตเห็น

แม้แต่หมอที่รักษาอยู่ในคลีนิกทั่วไปก็ยังไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย พวกเขาเห็นเพียงซูจิ้งที่มาโรงพยาบาลบ่อยๆในช่วงนี้ ถึงขนาดอยู่ที่นี่ 24 ชั่วโมงต่อวันเลยก็มี ราวกับว่าเขานั้นหมกมุ่นในการรักษานี้มากกว่าใคร

ด้วยความทุ่มเทของเขานี้ทำให้เราผู้คนที่แอบลอบสังเกตต้องเอาไปลือต่อๆกัน

“ฉันไม่รู้เหมือนกันนะว่าการรักษาผู้ป่วยโรคALSนั่นไปถึงไหนแล้ว นี่เขาจะรักษาได้จริงๆเหรอ”

“ฉันได้ยินมาว่าคนป่วยALSที่ร่ำรวยคนนั้นยังไม่ได้รับการรักษานะ เห็นเขาลือกันว่าลูกของเขาพาคนที่มีอาการเดียวกันมาทดสอบการรักษาของหมอซูดูก่อนเพื่อจะมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น ด้วยการที่คนๆนั้นถูกพาเข้าไปอย่างลับๆทำให้ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าคนๆนั้นเป็นใคร”

“ดูเหมือนว่าที่หมอนั่นพูดว่าจะรักษานี่คงจะคุยโวไปหน่อยนะ สำหรับเรื่องนี้กฎหมายก็คงจะทำอะไรไม่ได้ซะด้วยสิ”

“มันก็ค่อนข้างจะเกินไปจริงๆล่ะนะที่มีคนสรรเสริญหมอนั่นว่าเป็นหมอเทวดา”


ตอนนั้นเอง เหล่าผู้คนที่ต่อต้านซูจิ้งก็ได้รวมตัวกันได้มากขึ้น พวกเขาออกมาโวยวายซูจิ้งเรื่องค่ารักษาของคลีนิกพิเศษ และการใช้ความแค้นส่วนตัวในการคิดค่ารักษา

รวมถึงการสร้างเรื่องอย่างการที่ซูจิ้งยอมคุกเข่าเลียเท้าคนรวยและเมินเฉยต่อการรักษาคนจน โดยเรื่องสุดท้ายดูเหมือนว่าคนที่ออกมาโวยวายซูจิ้งจะเพ่งเล็งเป็นพิเศษ มันเป็นคนระด้านกับสิ่งที่ว่าการปล้นคนรวยมาช่วยคนจนเลยด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งยังคงนิ่งเฉยไม่ออกมาพูดอะไรออกมา เขาใช้เวลาตลอดช่วงหลายวันในการทุ่มเทรักษาผู้ป่วยที่มีอาการALSคนนั้นอย่างตั้งใจ

“พี่ฉิว หากว่าฉันเข้าไปแอบถ่ายรูปแบบนี้หากโดนพบตัวเข้าจะไม่ถูกจับหรอกเหรอ” ในลานจอดรถโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุน ฉิวจิงและชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งคุยกันอยู่บนรถ และเป็นชายหนุ่มที่ถามออกมาด้วยท่าทีกระวนกระวายพอสมควร


“เอาน่า ยังไงนายก็ไม่ตายหรอก ที่นี่เป็นโรงพยาบาลของหมอนั่นเอง เขาคงไม่กล้าทำอะไรที่เสียภาพพจน์อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นนายไม่ต้องกังวลเรื่องหลังจากถูกจับได้หรอกน่า”

“แต่…” ชายหนุ่มยังมีท่าทีกังวลใจ

“เอางี้ เดี๋ยวฉันเพิ่มเงินให้อีกพันนึง จะไปหรือไม่ไป ถ้าไม่ไปฉันจะไปหาคนอื่นแทนก็ได้” ฉิวจิงพูดออกมาเชิงกดดัน

“ไป ไป ขอผมเตรียมใจในสิ” ชายหนุ่มรีบพูดออกมาอย่างรวดเร็ว เขาได้สูดหายเข้าลึกๆก่อนทีหนึ่งก่อนที่จะนำโทรศัพท์ของตัวเองออกมา และทำการเปิดโปรแกรมสตรีมตามด้วยการสตรีมในทันที


เขาเป็นสตรีมเมอร์คนหนึ่งที่ทำช่องที่มีเนื้อหาหลากหลายแนวอย่างเช่นการผจญภัยนอกสถานที่ คุยกับสาวสวย และเนื้อหาอื่นๆที่ไม่ได้ตายตัวอะไรนัก มีดีบ้างไม่ดีบ้างต่อก็ถือว่ามีผู้ติดตามไม่น้อยเลยเหมือนกัน

ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ตัวเขาก็มีแฟนพันธุ์แท้เพียงน้อยนิด คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาดูเขาก็เพียงเพื่อความสนุกเท่านั้น ไม่ค่อยมีคนส่งของขวัญให้เขาสักเท่าไหร่นัก รายได้จากช่องจึงไม่ค่อยดีนัก

ในครั้งนี้ ฉิวจิง ให้เงินเขาหนึ่งพันหยวนและขอให้เขาเข้าไปถ่ายรูปกระบวนการรักษาผู้ป่วยALSในคลีนิคพิเศษของโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุน หากถ่ายได้สำเร็จเขาจะได้รับเงินอีกสองพันหยวน และหากเพิ่มอีกหนึ่งพันหยวนนี่คือเขาจะได้รวมทั้งหมดเป็นเงินสี่พันหยวน

เงินจำนวนนี้สำหรับเขาแล้วถือว่าเยอะพอที่จะทำให้เขายอมทำเรื่องแบบนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นหากการสตรีมในครั้งนี้สำเร็จ ช่องของเขาจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

เขามีความรู้สึกว่าเรื่องในครั้งนี้ลางไม่ค่อยดีเลยสักนิด เขาเคยมีความรู้สึกนี้มาแล้วตอนที่เคยเห็นฉากการฆ่าล้างฝูงชนในสงครามโซเวียตมาแล้ว

ความรู้สึกนี้ทำให้เขานั้นกังวลว่าหากซูจิ้งจับเขาได้ อย่าว่าแต่เงินสี่พันหยวนนี้เลย หนึ่งหมื่นหยวนก็ไม่คุ้ม

แค่ตอนนี้เขาคงทำอะไรไม่ได้แล้ว เขาได้เพี่ยงแต่ภาวนาว่าคงไม่โดนใครจับได้


หากโดนจับได้ก็หวังได้แค่ให้เป็นไปตามที่ฉิวจิงพูดเท่านั้นว่าเขาไม่กล้าทำอะไรที่รุนแรงต่อหน้าการสตรีมโดยเฉพาะในพื้นที่ของเขาอย่างแน่นอน

“งั้นก็ไปได้แล้ว” ฉิวจิงไล่ตะเพิดชายหนุ่มให้ไปทำงานที่ได้รับมอบหมาย หลังจากผ่านมาห้าวันนับแต่การเริ่มการรักษาผู้ป่วยโรค ALS เขามีความกังวลว่าซูจิ้งจะแกล้งทำเป็นถ่วงเวลาการรักษาเพื่อที่จะรอให้เสียงของผู้คนที่โวยวายซูจิ้งสงบลงไปเองจนกระทั่งลืมเลือนไป

หากว่าคนที่โวยวายซูจิ้งเหล่านี้จะต้องรอต่อไปแบบนี้อีกสิบวันล่ะก็ ฉิวจิงกลัวว่าคนพวกนี้จะเริ่มไม่อยากที่จะใส่ใจเรื่องนี้อีกต่อไป นี่จึงเป็นเหตุผมที่ฉิวจิงเลือกที่จะเป็นฝ่ายรุกซะเองจึงได้จ้างสตรีมเมอร์คนนี้มา


ในเมื่อก่อนหน้านี้ซูจิ้งเคยใช้การสตรีมพิสูจน์ความสามารถด้านการแพทย์ของตัวเองมาแล้ว ในครั้งนี้เขาก็จะใช้สิ่งนี้ในการทำลายชื่อเสียงของซูจิ้งได้เหมือนกัน

“อย่าเพิ่งรีบน่า รอคนเข้ามาดูให้มากกว่านี้ก่อนดีกว่า ไม่ใช่ว่าการสตรีมนี้หากมีคนได้เห็นเยอะไว้จะดีกว่าไม่ใช่เหรอ” ชายหนุ่มพูดในขณะที่กำลังออกไปถ่ายรูปตามพื้นที่ต่างๆในโรงพยาบาลราวกับพามารีวิวโรงพยาบาลแห่งนี้

นี่ทำให้คนดูเริ่มสนใจและแพร่กระจายข่าวนี้ออกไปจนทำให้มีผู้เข้ามารอชมแล้วอยู่ที่สามหมื่นคนเข้าไปแล้ว นี่ถือได้ว่าเป็นยอดคนดูที่สูงที่สุดเท่าที่เขาเคยทำการสตรีมมา

“สตรีมเมอร์คนนี้กล้าดีแหะที่จะฝ่าเข้าไปในโรงพยาบาลของซูจิ้งแบบนี้”

“ฉันว่าเขาไม่น่าจะเป็นอะไรนะหากโดนจับได้ ได้ข่าวว่าซูจิ้งเองก็เป็นคนดีอยู่นา”

“เหอะ ทำอย่างนี้ยังไงซะไม่โดนจับได้ก็ถือว่าดีกว่าอยู่แล้ว”

“ช่างเป็นความกล้าที่คุ้มค่านัก ให้พวกเราได้เห็นหน่อยเถอะว่าซูจิ้งจะรักษา โรคALS ดั้งไง”

“จะรออะไรอีกเล่า เข้าไปสักที”


เมื่อชายหนุ่มได้เห็นว่าตอนนี้มีผู้ชมที่รอดูการสตรีมของเขาหลายคนแล้ว ในที่สุดเขาก็ได้สูดหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะเอาโทรศัพท์ที่กำลังถ่ายภาพสตรีมมิ่งอยู่ใส่ไว้หน่อยกระเป๋าเสื้อ ก่อนที่จะนำกระเช้าผลไม้มาถือทำทีว่าเป็นการเข้าไปเยี่ยมผู้ป่วยเหมือนโรงพยาบาลทั่วไป

เขาเองก็ได้ศึกษาแผนผังของโรงพยาบาลนี้มาแล้วจนค่อนข้างจะมั่นใจในระดับหนึ่งแล้ว เขาตรงไปยังพื้นที่ชั้นสาม หลบเลี่ยงเส้นทางที่ต้องผ่านกับกลุ่มนางพยาบาล จนในที่สุดเขาก็สามารถเข้าไปในพื้นที่คลีนิกพิเศษจนได้


พอมานึกถึงว่าพื้นที่ตรงนี้คือพื้นที่พิเศษจริงๆชนิดที่แม้แต่หมอหรือนางพยาบาลสักคนก็ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้เพราะเกรงว่าจะเป็นการรบกวนนั่นก็เข้าใจได้ว่าทำไมที่นี่ถึงไม่มีคน

แต่การที่ไม่มีแม้แต่หน่วยรักษาความปลอดภัยเฝ้าอยู่แบบนี้ แน่นอนว่าไม่ยากเลยที่จะมีคนลักลอบเข้ามาสืบความลับได้

“อ้าก อ้าก อ้าก” อยู่ๆในพื้นที่คลีนิกพิเศษก็ได้มีเสียงร้องโหยหวนออกมา

ชายหนุ่มที่แอบเข้าไปแม้แต่ผู้ชมในช่องของเขาในตอนนี้ที่ได้ยินเหมือนกัน ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นจนใจตุ้มๆต่อมๆ

“เข้าไปอีก เข้าไปอีกเซ่”

“นั่นมันเสียงร้องไม่ใช่เหรอ ช่างโหยหวนยิ่งนัก”

“ดูเหมือนว่าจะเป็นผลมาจากการทดลองรักษาที่ไม่ได้รับการยอมรับจริงๆสินะ”

“แค่ได้ยินก็หลอนจนไม่อยากจะเห็นแล้ว”

“คนชั่วเลยที่เอาคนยากจนมาทดลอง”

ชายหนุ่มสตรีมเมอร์ไม่ได้ว่าอะไรออกมา เขาทำเพียงกลั้นใจก่อนที่จะเดินเข้าไปเพื่อหาต้นตอเสียง


ในขณะเดียวกัน ซูจิ้งและลูฉินหมิง กำลังทำการตรวจประเมินการรักษาคนไข้ โรคALS ทั้งสองคนที่ลูกชายของคนไข้รายแรกพามาอยู่ในพื้นที่คลีนิกพิเศษ ทันใดนั้นซูจิ้งหันไปมองยังทิศทางที่น่าจะเป็นประตูทางเข้าพื้นที่คลีนิกพิเศษพร้อมทั้งใบหูที่กำลังกระดิกราวกับได้ยินอะไรบางอย่าง

“ฮืม มีอะไรเหรอ” ลูฉินหมิงที่เห็นท่าทางของซูจิ้งก็ได้ถามออกมา

“ไม่มีอะไรครับ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามีใครบางคนได้เข้ามายังพื้นที่คลีนิกพิเศษของเขา และยังรู้อีกว่าคนๆนี้กำลังทำการสตรีมมิ่งผ่านกล้องโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อ


ด้วยทักษะการได้ยินและกระแสจิตที่เขาคอยปลดปล่อยออกมาตลอดเวลา ไม่ว่าคนที่ก้าวร่วงเข้ามาในพื้นที่ของเขาจะเงียบเฉียบขนาดไหน แต่การที่จะรอดพ้นไปจากการรับรู้ของเขานั้นคงเป็นไปได้เพียงความฝันเท่านั้น อย่าว่าแต่คนเลย หากเขาตั้งในจะตรวจสอบจริงๆล่ะก็ ไม่ว่าจะเป็นนก หนู หรือมด เขาก็ยังรู้ว่ามีกี่ตัว

อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งไม่ได้สนใจว่าคนที่แอบเข้ามาจะใกล้เข้ามาถึงพวกเขาแม้แต่น้อย เหตุผลที่เขาเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับก็เพียงเพราะว่าเขาเกรงว่าคนไข้จะเครียดเกินไปหากต้องอยู่ท่ามกลางความสนใจจากชาวโลกก็แค่นั้น

ด้วยการที่ โรคALS นี้ไม่ใช่โรคที่จะรักษาได้ทั่วไป และแน่นอนว่าการรักษาของเขาในแต่ละครั้งต้องห้ามผิดพลาดเป็นอันขาด

แต่การรักษาผู้ป่วยรายนี้ใกล้จะเสร็จแล้ว เขาเองก็ว่าจะประกาศให้ผู้คนรับรู้ได้พอดี แต่ในเมื่อมีคนอยากจะเสนอตัวซะขนาดนี้ แน่นอนว่าเขาก็ยินดีที่จะปล่อยเรื่องแบบนี้ให้คนอื่นจัดการ


ชายหนุ่มสตรีมเมอร์ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่าตัวเองถูกเจอตัวแล้ว เขาตรงมายังหน้าต่างห้องผู้ป่วยคลีนิกพิเศษอย่างเงียบเฉียบที่สุด

เขาค่อยๆเปิดหน้าต่างออกอย่างระมัดระวังก่อนที่จะหยิบมือถือที่กำลังสตรีมมิ่งอยู่มาไว้ในมือก่อนที่จะถ่ายออกไปให้ผู้ชมเห็นบรรยากาศในห้องอย่างช้าๆ

ทันทีที่ทุกคนได้เห็นสถานการณ์ภายในห้องพักแห่งนี้ ชายหนุ่มและผู้ชมต่างก็ตกตะลึงและสับสนไปพร้อมๆกัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)