Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 976-979
GGS:บทที่ 976 สั่นสะเทือนทั่วโลกา
“…ฉันคิดไปเองรึเปล่าว่าเห็นไอ้แคระนี่สูงขึ้น”
“ฉันไม่ได้คิดไปเองคนเดียวสินะ”
“ต้องเป็นเพราะหมอนี่ใส่รองเท้าเสริมส้นแน่ๆ”
ภายใต้การจับจ้องของผู้ชม ซูจิ้งและหนุ่มร่างเตี้ยต่างก็ทำการถอดรองเท้าของตัวเองออกจนเหลือแค่เท้าเปล่า นอกจากนั้นยังทำการพับขากางเกงเพื่อจะแสดงให้เห็นว่าขาทั้งสองข้างของทั้งสองคนเป็นขาจริงๆและไม่ได้เสริมด้วยอะไรทั้งนั้น
หลังจากนั้นทั้งสองได้ทำการเปรียบเทียบความสูงกันเช่นเดียวกับเมื่อวาน และนี่ทำให้ความสูงของชายร่างเตี้ยแตกต่างจากเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด
“อย่างที่เห็นกันนะครับ ผมไม่ได้ใส่รองเท้าเสริมส้นนะ ดูเหมือนผมจะสูงขึ้นจริงๆ” ชายร่างเตี้ยพูดออกมาในวิดีโอ
“…เป็น…เป็นไปได้ยังไง…นี่แค่วันเดียวนะ”
“หมอนี่ต้องทำอะไรแน่ๆ…อะไรสักอย่าง”
เหล่าคนที่ไม่เชื่อต่างก็พยายามหาร่องรอยเพื่อดูว่ามีเทคนิคอะไรรึเปล่า แต่ไม่ว่าดูยังไงก็ไม่พบอะไรเลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้นซูจิ้งยังได้กดเล่นวิดีโอของเมื่อวานในตอนที่ทำการวัดความสูงเทียบกันเช่นนี้ไว้ที่มุมขวาของการสตรีมเท่านั้น
โดยในระหว่างกระบวนการ ซูจิ้งไม่ได้ทำการสลับฉากหรืออะไรทั้งนั้น เขาได้ทิ้งลิ้งไว้ให้ผู้ชมเพื่อใช้เปรียบเทียบกัน และยิ่งผู้ชมในตอนนี้กดเทียบมากเท่าไหร่ ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็เห็นเพียงความสูงที่เพิ่มขึ้นมาเท่านั้น ถึงแม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ก็ถือว่าหลายเซ็นเลยทีเดียว
หลังจากที่ซูจิ้งและชายร่างเตี้ยได้เทียบความสูงกันเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองคนได้ทำการไปวัดความสูงออกมาจนเป็นตัวเลข
ตอนนี้ซูจิ้งยังมีความสูงอยู่ที่ 183 เซนติเมตร แต่ชายร่างเตี้ยนั้น ตอนนี้เขามีความสูงเพิ่มขึ้น จากเดิมเขาเสียงที่ 162 เซนติเมตร แต่ในตอนนี้เขานั้นกับวัดความสูงได้ 165.5เซนติเมตร
นี่หมายความว่าเพียงวันเดียวเขาก็สามารถสูงขึ้นมาได้ถึง 3.5 เซนติเมตร
“พระเจ้า นี่มันน่ามหัศจรรย์ไปเลยไม่ใช่เหรอ”
“ฉันไม่เชื่อหรอก ต้องมีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน”
“มันมีวิธีการอย่างผ่าตัดเสริมความสูงไม่ใช่เหรอ ฉันว่าหลังจากสตรีมเมื่อวาน ซูจิ้งจะต้องให้คนของเขาจัดการผ่าตัดไอ้เตี้ยนี่อย่างแน่นอน”
“ฉันเคนเห็นคนที่เคยผ่าตัดเสริมความสูงมาแล้วนะว่าหลังจากที่ผ่าตัดจะหลงเหลือรอยแผลจำนวนมากเหลือทิ้งไว้ แต่ชายคนนี้กลับไม่มีเลยแม้แต่น้อย อีกอย่างนี่มันเพียงแค่วันเดียวเองนะ ต่อให้ผ่าตัดเก่งขนาดไหนก็ตามแต่ไม่มีทางที่คนที่เข้ารับการผ่าตัดจะยืนได้และเดินจนเป็นปกติแบบนี้ได้เพียงวันเดียวหรอก”
ตอนนี้ได้เกิดการวิพากษ์เกี่ยวกับความสูงที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดของชายร่างเตี้ยในช่องคอมเมนต์กันแทบจะเป็นไฟ โดยมีทั้งคนที่เชื่อและไม่เชื่อ
ซูจิ้งเองก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะอธิบายเพิ่มเติม ราวกับว่าเขาขี้เกียจจะพูดกับคนพวกนี้แล้วจริงๆ เขาทำเพียงแค่บอกว่าเจอกันพรุ่งนี้เวลาเดิมเท่านั้นก่อนจะปิดสตรีมไปเฉยๆ
และเมื่อถึงวันต่อมา ตอนนี้ผู้ชมเพิ่มขึ้นจากวันแรกประมาณหนึ่งแสนคนหรือก็คือผู้ชมที่กำลังตั้งตารอดูช่องของซูจิ้งในตอนนี้มีอยู่ประมาณห้าแสนคนและยังเพิ่มขึ้นอย่างแต่เนื่อง
ทันทีที่ซูจิ้งเปิดสตรีม เขาไม่ได้พูดอะไรแม้แต่น้อย เขาทำเพียงเดินไปเทียบความสูงกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนกับสองวันแรกทุกประการ เพียงแต่ตอนนี้เขาดูสูงขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น
นี่ทำให้เหล่าผู้ชมที่เฝ้ารอต่างก็ตกตะลึง และเมื่อเห็นการเทียบความสูงกับซูจิ้งในวันนี้ทำให้พวกเขาต่างก็พิมอะไรกันไม่ออก และเมื่อสิ้นสุดการเทียบความสูง ซูจิ้งได้เข้าไปวัดความสูงกับที่วัด ตามด้วยชายหนุ่มคนนั้น
ในตอนนี้ซูจิ้งยังคงมีความสูงอยู่ที่ 183 เซนติเมตรเช่นเดิม แต่ชายหนุ่มคนนั้น ในตอนนี้ความสูงของเขาอยู่ที่ 168.5 เซนติเมิตร
…
วันที่สามชายหนุ่มวัดความสูงได้ 171 เซนติเมตร
วันที่สี่ชายหนุ่มวัดความสูงได้ 173.5 เซนติเมตร
วันที่ห้าชายหนุ่มวัดความสูงได้ 176 เซนติเมตร
วันที่หก ความสูงของชายหนุ่มอยู่ที่ 177 เซนติเมตร หากนับจากวันแรกที่มีการเริ่มการสตรีมเขาสูง 162 เซนติเมตร นี่หมายความว่าในตอนนี้เขาสูงเพิ่มจากเดิมถึง 15 เซนติเมตรไปแล้ว
อย่าว่าแต่พื้นที่ภาคใต้ของประเทศเลย ต่อให้พื้นที่ทางเหนือที่กล่าวกันว่ามีแต่คนตัวสูงๆนั้น หากเทียบกับชายหนุ่มคนนี้แล้วก็ไม่สามารถเรียกเขาได้ว่าคนตัวเตี้ยอีกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เพียงขาเท่านั้นที่ยาวขึ้น ดูเหมือนว่าโครงสร้างร่างกายของชายหนุ่มก็ใหญ่ขึ้นมาราวกับเพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย ไหล่กว้างขึ้น ร่างกายผอมเพรียวแต่ดูมีกล้าม เมื่อเขายืนอยู่ข้างซูจิ้งในตอนนี้แล้วความสูงของเขาอยู่ที่ระดับสายตาของซูจิ้งไปแล้ว
มาจนถึงตอนนี้ ไม่ใครสักคนที่กำลังชมอยู่พิมข้อความที่บอกว่าเขานั้นสูงขึ้นเพราะการผ่าตัดเพิ่มความสูงเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ไม่ใครคิดว่าสิ่งที่ซูจิ้งทำเป็นเพียงการผ่าตัดเพิ่มความสูงอีกต่อไป
เพราะไม่มีทางเลยที่การผ่าตัดจะเพิ่มความสูงได้ถึง 15 เซนติเมตร แถมไม่มีทางที่ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงตามให้สมกับรูปร่างแบบนี้แน่นอน
“พระเจ้าเถอะ นี่เขาสูงเพิ่มขึ้น 15 เซนติเมตรจริงๆอย่างนั้นเหรอ”
“เป็นไปได้ด้วยเหรอ ได้ยังไงกัน”
“ฉันจะบ้าตายอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมองยังไงเขาก็ทำได้จริงๆ”
“ไม่ใช่ว่าผู้ใหญ่จะไม่สามารถเพิ่มความสูงได้แล้วหรอกเหรอ หรือว่าฉันเข้าใจผิดไป”
“มันก็อาจจะสูงขึ้นได้จริง แต่ไม่ใช่กับกรณีนี้อย่างแน่นอน”
“ฉันผิดเอง ฉันไม่น่าไปสบประมาทซูจิ้งไว้เลย ก่อนหน้านี้ฉันถึงกับด่าทอเขาลับหลังเลยอ่ะ”
“ซูจิ้งเป็นพระเจ้าในร่างมนุษย์จริงๆ นี่ฉันลืมไปได้ยังไงว่าเขาเป็นคนแบบนั้น”
“เดี๋ยวนะ หากว่าซูจิ้งสามารถเพิ่มความสูงให้ชายคนนี้ได้ตามที่เขาพูด งั้นก็หมายความว่าเรื่องที่ว่าเขารักษาโรคกระจกตาเสื่อมในสามวันนั่นก็เป็นเรื่องจริงน่ะสิ ถ้าเอาเรื่องนั้นมาเทียบกับเรื่องนี้แล้วการรักษาในสามวันนั่นยังง่ายซะกว่า แถมเขายังรักษาระดับการมองเห็นให้ดีกว่าเดิมอีกด้วยซ้ำ”
“ฉันเองก็เพิ่งจะรู้เรื่องที่ว่าพ่อแม่ของเด็กที่ไปรักษาโรคกระจกตาเสื่อมนำหลักฐานการตรวจจากที่ต่างๆไปแถลงข่าวที่โรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนแล้วนะ
พอฉันได้เห็นหลักฐานเหล่านั้นแล้วมันแน่นหนาและน่าเชื่อถือมากๆ ไม่มีทางเลยที่จะเป็นเรื่องแต่งขึ้นมา เป็นพวกเราหลงคารมของคนแสร้งทำตัวดีแต่จิตใจชั่วช้าพวกนั้นได้ยังไงกัน นี่ฉันหลงเชื่อไปแล้วจริงๆนะว่าข่าวของซูจิ้งเป็นเพียงแค่การอวดอ้าง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่จิ้งช่างทรงพลังจริงๆ ไอ้พวกคนที่ออกมากล่าวหาพี่จิ้งก่อนหน้านี้ ฉันขอถามหน่อยเถอะว่าตอนนี้รู้สึกหน้าชากันบ้างรึเปล่า”
“เฮ้เฮ้ ทุกครั้งที่ฉันเห็นคนประเภทนี้สร้างปัญหาแบบเดิมๆให้กับพี่จิ้งซ้ำๆนั้น ฉันยิ้มออกมาเลยนะและก็ไม่ได้คิดจะทัดทานพวกนั้นแม้แต่น้อย
เพราะฉันรู้ดีว่าไม่นาน พี่จิ้งจะหาวิธีตบหน้าคนพวกนั้นกลับไปได้ทุกคน แต่ฉันก็ยังสงสัยอยู่นะว่าเมื่อไหร่คนพวกนี้จะหลายจำกันสักที หรือว่าหน้าหนาจนไม่รู้สึกกันแล้วก็ไม่รู้”
“โอ้ย ฉันว่าหนายังก็ไม่พอหรอก ตอนนี้ต้องมีใครบางคนอยากจะบีบคอพวกเราและตะโกนใส่ด้วยความเดือดดาลเป็นแน่”
เหล่าแฟนคลับของซูจิ้งที่ก่อนหน้านี้พยายามจะออกมาพูดช่วยเหลือแต่ถูกตอกกลับไปนั้น ในตอนนี้พวกเขาได้กลับมาด้วยความองอาจอีกครั้ง บางคนถึงกับตอกหน้ากลับด้วยข้อความชนิดที่คนที่ดูถูกซูจิ้งก่อนหน้านี้กลับต้องมาโกรธจนแทบคลั่งแทน
แต่พวกเขานั้นก็ไม่สามารถพิมข้อความอะไรโต้ตอบออกมาได้ เพราะการกระทำสวนกลับของซูจิ้งในครั้งนี้ช่างรุนแรงพอที่จะทำให้หลายๆคนต้องยอมคารวะในความสามารถของเขา
“คุณหมอหวัง ผมได้ยินมาว่าซูจิ้งคนที่เปิดคลีนิกพิเศษแพงหูฉี่ที่โรงพยาบาลกังเฟิงนั่นสามารถทำให้คนไข้ที่เป็นผู้ใหญ่สูงขึ้นได้อีก 15 เซนติเมตรเลยนะ” ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง หมอกลุ่มหนึ่งจับกลุ่มคุยกันเกี่ยวเรื่องนี้ด้วยอาการตกตะลึงและมีหนึ่งในนั้นหันไปบอกหวังกังหยุนที่กำลังเดินผ่านมาพอดี
“เป็นไปไม่ได้ มันต้องแค่สร้างเรื่องอวดอ้างแน่นอน” หวังกังหยุนได้ตอบออกมาด้วยคิ้วที่ขมวดเข้ม พลางนึกไปถึงข่าวที่เขาได้ยินมาว่าซูจิ้งได้ทำการสตรีมการเพิ่มความสูงให้กับคนไข้รายหนึ่ง
ไม่ว่าฟังยังไงก็ไม่ใช่เรื่องจริงอยู่แล้วและสมควรที่จะทำให้ชื่อเสียงของเขาแย่ลงได้โดยเขาไปต้องทำอะไรเลย แล้วนี่ทำไมถึงกลายเป็นว่าเรื่องของเขาเป็นที่พูดถึงแม้กระทั่งในกลุ่มหมอแบบนี้ได้กัน นี่หมอพวกนี้หลงเชื่อจริงๆเหรอ
“ไม่ใช่การคุยโวอวดอ้างหรอกครับ ครั้งนี้มีหลักฐานเป็นวิดีโอยืนยัน น่าจะไม่ใช่สร้างเรื่องลวงแบบที่ว่ามาหรอก” หมอคนนั้นพูดออกมา
“ผมได้ให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยตรวจสอบวิดีโอนั้นแล้วด้วยนะ เขาพูดว่าวิดีโอนั้นเป็นวิดีโอที่ได้มาจากการสตรีมจริงๆและไม่มีการใช้เทคนิคพิเศษอะไรทั้งสิ้น” หมออีกคนหนึ่งพูดออกมา
“…ขอดูก่อน” หวังกังหยุนในตอนนี้ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดวิดีโอที่กำลังเป็นที่ร่ำลือกันในทันที เมื่อเขาเห็นฉากที่เกิดขึ้นก็ทำได้แต่นิ่งอึ้งไป
หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบจะกระเด็นออกมาจากร่างอยู่แล้วและยากที่จะทำให้มันสงบลงได้ พลางคิดอยู่ในใจว่าเป็นไปได้ยังไงกัน ทำให้ผู้ใหญ่สูงขึ้นอีก 15 เซนติเมตรด้วยเวลาอันสั้น นี่ทักษะการแพทย์ของเขาสูงล้ำเกินกว่าความรู้ทางการแพทย์ในปัจจุบันไปแล้วเหรอ
“…เอ่อ ยิ่งไปกว่านั้น ข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ว่าเขานั้นรักษาคนที่มีอาการกระจกตาเสื่อมได้ที่พวกเราคิดไปว่าเป็นแค่เรื่องแต่งเพื่อสร้างชื่อเสียงของเขานั้นเองก็สมควรจะเป็นความจริงนะ
ตอนนี้สาธารณชนได้เผยแพร่หลักฐานต่างๆของเด็กน้อยคนนั้นก่อนที่จะไปรักษาที่นั่นแล้วและมันเป็นของจริงๆทั้งหมดและยืนยันว่าเด็กน้อยคนนั้นมีอาการกระจกตาเสื่อมจริง
ยิ่งไปกว่านั้นผมได้ลองติดต่อคนที่เคยตรวจเด็กนั่นและเขายืนยันว่าเด็กนั่นมีอาการกระจกตาเสื่อมจริงๆ การที่เด็กนั่นหายก็ยังทำให้เขาต้องสงสัยไม่น้อยไปกว่าเราเช่นเดียวกันเมื่อเห็นข่าวว่าเด็กน้อยคนนั้นหายแล้วจริงๆ นี่จึงน่าจะพอเพียงต่อการยืนยันได้แล้วว่าเป็นเรื่องจริง” หมออีกคนหนึ่งก็ได้พูดออกมา
“…นี่…ฉัน…ไปดูถูกหมอ…ทักษะระดับนั้น…” ใบหน้าของหวังกังหยุนในตอนนี้มีสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแม้แต่น้อย จะบอกว่าไม่เชื่อก็ไม่ใช่ จะบอกว่าสำนึกก็ไม่เชิง
เขาพลางคิดไปว่า นี่เป็นเพราะตัวเขาไม่เข้าใจการรักษาของคนอื่นเลยไปใส่ร้ายเขาอย่างนั้นเหรอ หากว่าซูจิ้งเป็นหมอเทวดาแล้วตัวเขายังกล้าไปใส่ร้ายคนที่มีทักษะระดับนี้ไม่ต่างอะไรกับการที่เขาได้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงเลยสักนิด
แล้วต่อแต่นี้ตัวเขาที่ตั้งปณิธานว่าจะเสาะแสวงหาคนหนุ่มที่มีความสามารถให้เป็นหมอรุ่นใหม่แห่งยุคมาโดยตลอด…. เมื่อเป็นแบบนี้แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน ในเมื่ออยู่วงการเดียวกันแล้ว หากต้องเจอหน้ากันแล้วเขาจะกล้าสู้หน้าได้ยังไง
“อย่างที่คิด เขานั้นไม่ธรรมดาจริงๆ” หลิวเว่ยที่กำลังทำงานอยู่ในโรงพยาบาลฮัวกังจงหยุนในตอนนี้ถึงกับอุทานออกมาในทันทีที่เห็นข่าวนี้
“นี่เรา…ไปดูถูกเขาได้ยังไงกัน ฮืม เดี๋ยวนะ หมอหลิว คุณรู้จักเขาด้วยเหรอ ผมก็ว่าอยู่ว่าทำไมคุณทำเหมือนจะคาดหวังกับการรักษาของเขานัก” หมอที่อยู่ข้างหลิวเว่ยนั้นมีท่าทีกระดากอายก่อนจะหันไปถามหลิวเว่ยที่มีท่าทีตื่นเต้นยินดี
“อืม ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นลูกของคนไข้ผมป่วยเป็นโรคเบื่ออาหาร…” หลิวเว่ยค่อยๆอธิบายช้าๆ นี่ทำให้หมอทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างก็เข้าใจในทันทีว่าทำไมหลิวเว่ยถึงไม่เคยเล่าให้ฟัง นั่นก็เพราะว่าในมุมมองของหมอแล้วต่อให้เห็นด้วยตาก็ยังยากจะเชื่อถือได้
“เป็นไปได้ยังไง…เป็นไปได้ยังไงกัน..แม่…เอ๊ย” ฉิวจิงที่กำลังติดตามผลการเพิ่มความสูงของซูจิ้งในช่วงหลายวันมานี้ได้แต่สบถออกซ้ำๆ
เมื่อไม่กี่วันก่อนเขานั้นไม่ได้ตามดูเพราะว่าไม่เชื่ออยู่แล้วว่าซูจิ้งจะเพิ่มความสูงให้ผู้ใหญ่อย่างที่เขากล่าวอ้างได้
เขานั้นมัวแต่ยุ่งอยู่กลับการเตรียมตัวหาทางที่จะกลบถมซูจิ้งไม่ให้มีโอกาสลุกขึ้นยืนมาในวงการเดียวกับเขาได้อีกต่อไปหลังจากที่โลกได้รู้ว่าซูจิ้งก็แค่คนปลอมๆที่ใฝ่หาชื่อเสียงเท่านั้น
แต่ในวันถัดๆมา เขาเองก็เริ่มเห็นสาธารณชนได้เริ่มพูดถึงซูจิ้งด้วยแนวโน้มที่ดีมากจนเขาเองก็เริ่มจะรู้สึกได้ว่ามีอะไรผิดจากที่เขาคาดไว้อย่างแน่นอน
ในวันนี้เขาจึงอดไม่ได้ที่จะมานั่งดูเพื่อจะยืนยันว่าสิ่งที่เขาคิดไว้ยังถูกต้องอยู่รึเปล่าและผลที่ออกมาคนละเรื่องกับที่เขาคาดไว้ก่อนหน้านี้
แถมการที่ซูจิ้งออกมาสตรีมแบบนี้แน่นอนว่าต้องกลายเป็นหลักฐานที่ส่งต่อกันไปอีกนาน และวิดีโอทุกอันล้วนแล้วมาจากการสตรีมทั้งสิ้น มันชัดเจนมากชนิดทีว่าต่อให้เขาเอาชื่อเสียงตัวเองมาเป็นประกันว่าวิดีโอพวกนี้เป็นของที่ใช้เทคนิคพิเศษก็ไม่มีทางเลยที่ใครจะเชื่อได้ ตอนนี้ฉิวจิงที่เห็นฉากนี้รู้สึกราวกับว่าตัวเองอยู่ในนรกโลกันต์
เขานั้นหวังไว้เต็มเปี่ยมว่าซูจิ้งนั้นจะสร้างเรื่องโอ้อวดออกมาเยอะแยะมากมายเพื่อที่เขาจะได้ใช้เป็นข้อมูลในการฝังกลบซูจิ้งไม่ให้มีโอกาสเฉิดฉายอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป
แต่ผลที่เกิดขึ้นต่อหน้าเขานี้ช่างต่างจากที่เขาคิดอย่างสิ้นเชิง นี่ไม่เพียงจะทำให้เรื่องที่เขากล่าวหาซูจิ้งไว้ก่อนหน้านี้จะตีตกไปแล้ว ยังจะทำให้ซูจิ้งกลายเป็นหมอเทวดาไปจริงๆอีกด้วย
“ดูเหมือนว่าผลจะออกมาแล้วนะ” หวังหยานไม่แปลกใจเลยสักนิดเมื่อเห็นข่าวนี้
“ฮ่าฮ่า ถ้าเป็นกับคนอื่นแล้วสิ่งที่ฉิวจิงพูดมานั้นก็คงทำให้เขาดูดีขึ้นล่ะนะ แต่คราวนี้คนที่หมอนี่มีเรื่องด้วยกลายเป็นซูจิ้งไปซะก็เท่านั้นเอง เรื่องในครั้งนี้ยิ่งทำให้ทุกคนเชื่อว่าซูจิ้งเป็นหมอเทวดาไปแล้วจริงๆ”มู่ติงทำได้เพียงส่ายศรีษะแล้วถอนหายใจออกมาสั้นๆ
เรื่องการเพิ่มความสูงให้ผู้ใหญ่คนหนึ่งจนสูงเพิ่มขึ้นไปกว่า 15 เซนติเมตรนี้ได้กลายเป็นข่าวที่แพร่กระจายส่งต่อๆกันไปไม่เพียงแต่ทั่วประเทศเท่านั้น
ในตอนนี้ เรื่องของซูจิ้งได้ดังออกไปไกลจนเป็นที่ตกตะลึงในวงการแพทย์ทั่วโลกเรียบร้อยแล้ว
GGS:บทที่ 977 การรักษาระดับโลก
ข่าวเรื่องการักษของซูจิ้งในตอนนี้ไม่เพียงจะวนเวียนส่งต่อกันแค่ในประเทศเท่านี้ ในตอนนี้เรื่องของเขาได้ถูกส่งต่อออกไปยังทั่วทั้งโลกเรียบร้อยแล้ว
ในอเมริกา ณ สถาบันวิจัยด้านการแพทย์แห่งนี้ เหล่านักวิจัยของที่นั่นกำลังคุ้มคลั่งในทันทีที่เห็นข่าว
“ใช้เวลาสามวันในการรักษาอาการกระจกตาเสื่อม แถมยังฟื้นฟูการมองเห็นจนอยู่ในระดับ 5.3 เป็นไปได้ยังไง”
“ที่เป็นไปไม่ได้ยิ่งกว่าคือเรื่องสามารถเพิ่มความสูงให้ผู้ใหญ่คนหนึ่งถึง 15 เซนติเมตรในเจ็ดวันนั่นต่างหาก”
“การแพทย์จีนไม่มีทางรักษาได้ถึงระดับนี้แน่นอน ข่าวลวงแน่ๆ”
“แต่ประชาชนชาวจีนมีทั้งรูปและวิดีโอเป็นหลักฐานเลยนะ ฉันเองก็ได้ดูแล้ว ไม่ว่ามองยังไงก็ของจริงชัดๆ”
“ไปรวบรวมข้อมูลแล้วเรียกทุกคนมาประชุมกันในอีกครึ่งชั่วโมงซะ”
ญี่ปุ่น ประเทศที่ได้ชื่อว่ามีเทคโนโลยีการแพทย์ก้าวล้ำที่สุดในเอเชียนั้น ตอนนี้ วงการแพทย์ทั่วทั้งประเทศกำลังลุกเป็นไฟ
“ประเทศจีนสามารถหาวิธีรักษาโรคที่ยากเย็นเช่นนี้ก่อนพวกเราได้ยังไงกัน”
“ถึงแม้การรักษาโรคกระจกตาเสื่อมระยะสุดท้ายจะไม่ได้ยากเย็นนัก แต่ที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือความเร็วในการรักษา แถมระยะการมองเห็นยังดีกว่าเดิมในระดับ 5.3 นี่มันจะเกินไปแล้ว แถมอาการของเด็กนั่นมีรอยแผลลึกเข้าดวงตาแบบนี้ไม่มีทางจะรักษาด้วยการผ่าตัดได้อย่างแน่นอน”
“ทำให้ผู้ใหญ่คนหนึ่งสามารถสูงต่อไปได้อีก 15 เซนติเมตรนี่สิที่ไม่มีทางมากกว่า หากเป็นความจริงล่ะก็ชาวจีนสมควรจะมีค่าเฉลี่ยความสูงของประเทศสูงขึ้นแล้วสิ
ไม่ ไม่ เราจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ ไป ไปหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ โดยเฉพาะเรื่องความสูงนี่จงไปรวบรวมข้อมูลมาให้มากที่สุด”
เกาหลีใต้ ฝรั่งเศษ เยอรมันนี อิตาลี และประเทศอื่นๆที่ได้ชื่อว่ามีการแพทย์ที่ก้าวล้ำต่างก็ตกตะลึงกับข่าวของซูจิ้ง
“หมอหวัง ข่าวการรักษาผู้ป่วยคนนั้นเป็นความจริง หมอซูจิ้งเป็นหมอเทวดาจริงๆ” ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองจีน คนไข้ของหวังกังหยุนที่เข้ามารักษาอาการต้อหินได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“เป็นข่าวจริง เป็นผมเองที่ไปดูแคลนเขาก่อนโดยไม่ได้ไปเห็นกับตาตัวเอง” หวังกังหยุนกล่าวออกมาด้วยท่าทีละอายใจ
“ผมไม่รับการรักษาจากคุณแล้วนะ ผมจะไปขอให้เขาช่วยผมแทน” ชายวัยกลางคนได้พูดออกมา
“อย่าเพิ่งตัดสินใจไปสิครับ คุณหลี่ ตอนนี้คุณยังไม่สะดวกที่จะเดินไปรอบๆเพราะอาการของคุณ อีกอย่างค่าใช้จ่ายในการรักษาของเขานั้นแพงมาก
ตอนที่เขารักษาเด็กที่มีอาการจอกระจกตาเสื่อมนั่นเขาคิดค่าใช้จ่ายไปห้าล้านหยวนเลยนะ แถมตอนที่รักษาชายอีกคนเรื่องความสูง เขาคิดเงินค่ารักษาตั้งสิบล้านหยวน” หมออีกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยได้พูดออกมาพยายามไม่ให้คุณหลี่ผู้นี้ด่วนตัดสินใจไป
“ฉันไม่สนว่าจะต้องจ่ายเงินเท่าไหร่เพื่อจะรักษาดวงตาของฉันได้เร็วที่สุด ฉันเสียเวลาในการรักษาที่นี่ไปตั้งมากมาย เสียเงินไปก็น่าจะพอๆกับที่หมอซูรักษาเด็กคนนั้นแล้วแต่ฉันก็ยังไม่ได้ดีขึ้นเลยสักนิด
ที่สำคัญที่สุดคือการฟื้นคืนการมองเห็นให้ได้ระดับ 5.3 นั่น พวกคุณบอกผมหน่อยสิว่าพวกคุณทำได้รึเปล่า” ชายวัยกลางคนพูดออกมาอย่างเหลืออด
“หมอหวังคะ เราก็รู้ว่าพวกคุณนั้นทั้งดูแลและใช้ยารักษาที่ดีที่สุดในการรักษาสามีของฉัน แต่ที่เราต้องการนั้นคือการรักษาที่ดีที่สุดจริงๆน่ะ” หญิงวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆเตียงได้พูดออกมา
หวังกังหยุนและหมอที่อยู่ใกล้เคียง เมื่อได้ยินดังนั้นก็ทำได้เพียงแต่เงียบไปเท่านั้น ไม่ใช่ว่าการรักษาของพวกเขานั้นไม่มีคุณภาพหรือไม่ได้หรอก แต่เมื่อเทียบกับการรักษาของซูจิ้งแล้ววิธีการรักษาของพวกเขานั้นยังถือว่าห่างกันหมื่นลี้เลยก็ว่าได้เมื่อเทียบกับของซูจิ้ง
ชายวัยกลางคนนั้นไม่ได้พูดอะไรกับหมอรอบตัวเขาอีกต่อไป เขาได้โทรไปยังโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนและอธิบายสถานการณ์ของเขา
จนในที่สุด เขาได้คุยกับประธานของโรงพยาบาลแห่งนี้ร่วมกับหวังกังหยุนและได้ผลสรุปคือซูจิ้งจะเข้ามาที่นี่เพื่อรักษาเขาเป็นกรณีพิเศษ
และแน่นอนว่าโรงพยาบาลแห่งนี้จะไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับค่ารักษาของซูจิ้งได้เลยแม้แต่น้อย เหตุผมที่ประธานของโรงพยาบาลแห่งนี้ยินยอมนั่นก็เพราะว่าคนไข้คนนี้เป็นคนรวย นี่ทำให้พวกเขาไม่อยากจะมีปัญหาด้วย อีกอย่าง เขาเองก็อยากรู้ว่าซูจิ้งจะรักษาชายคนนี้ยังไงกัน
หลังจากผ่านไปได้สักพัก รถเปอเช่คันหนึ่งได้มาจอดที่หน้าประตูโรงพยาบาล ซูจิ้งได้ก้าวลงมาจากรถและเดินเข้าโรงพยาบาลด้วยท่าทีสบายๆ
ทันใดนั้นเอง ราวกับดวงดาวที่ได้รับแสงจันทร์เข้ามาจนตัวมันนั้นได้เปล่งประกาย ทุกสายตาได้จับจ้องเขากันไปหมด ไม่ว่าจะเป็นหมอ นางพยาบาล หรือแม้แต่คนไข้ต่างก็จ้องมองกันเป็นตาเดียว ถึงขนาดที่ว่ามีนางพยาบาลสาวๆหลายคนที่อยู่ๆก็ดีใจจนเป็นลมล้มพับไปก็มี
“พระเจ้า ซูจิ้งมาที่โรงพยาบาลของพวกเราได้ยังไงกัน”
“ฉันได้ยินมาว่าคนไข้คนหนึ่งไม่พอใจการรักษาของโรงพยาบาลเราจึงได้ขอร้องให้เขามารักษาแทนน่ะ”
“เขาช่างหล่อเหลาเสียจริงๆ”
“ทั้งรูปร่างหน้าตา ทั้งความสามารถ เฮ้อออออออ ฉันเทียบไม่ได้เลย”
“ฉันได้ยินมาว่าเขาเป็นหมอเทวดาจริงๆเลยนี่นา”
“ทางนี้ครับคุณหมอซู” หวังกังหยุนและหมอคนอื่นๆต่างก็เข้ามาเพื่อพบซูจิ้ง เมื่อพวกเขาได้มองซูจิ้งต่างก็อดไม่ได้ที่จะมองตั้งแต่หัวจรดเท้า
นั่นก็เพราะไม่ว่าจะมองยังไงก็ยากที่จะเชื่อว่าคนหนุ่มเช่นนี้จะมีทักษะการแพทย์ราวกับฟ้าประทานแบบนั้น
“โฮ่…สวัสดีครับหมอหวัง” ซูจิ้งกล่าวทักทายและแสยะยิ้มออกมาในทันทีที่เห็นหน้าหวังกังหยุน
“คุณหมอซู ผมต้องขอโทษคุณจริงๆในเรื่องความเห็นของผม เป็นผมผิดเองที่ตัดสินคุณเพียงเพราะการรับข้อมูลมาคิดเองเออเองฝ่ายเดียวแล้วทึกทักไปเองว่าการรักษาของคุณนั้นเป็นไปไม่ได้
การให้สัมภาษณ์ของผมนั้นได้สร้างปัญหาให้คุณอย่างมากมายเลยจริงๆ ผมต้องขอโทษจริงๆครับ” หวังกังหยุนพูดออกมาพร้อมกับโค้งคำนับขอโทษ
ถึงเขาจะเป็นที่นับหน้าถือตาในวงการแพทย์ขนาดไหนแต่เรื่องในครั้งนี้นั้น ชื่อเสียงของเขาไม่สามารถช่วยได้เลยแม้แต่น้อย
ซูจิ้งไม่ได้หยุดยั้งหวังกังหยุนจากการโค้งคำนับขอโทษแต่อย่างใด พลางนึกถึงว่าอีกฝ่ายนั้นมีอายุอานามมากกว่าเขามากนักและเป็นเรื่องปกติสำหรับวงการนี้
หมอแต่ละคนจะมีความรู้และมุมมองของตัวเองในการรักษาและวินิจฉัยโรคตามสิ่งที่ตัวเองได้ประสบโดยไม่สนใจสิ่งที่คนอื่นมี
แต่กับชายตรงหน้าเขาในตอนนี้กับละทิ้งธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆและชื่อเสียงที่เขามียอมขอโทษด้วยใจจริง นี่ทำให้เขานับประทับใจในหมอคนนี้ไม่น้อยเลย
หลังจากได้เห็นท่าทีอันจริงใจของหวังกังหยุนแล้ว ซูจิ้งไม่ได้ถือโทษเขาอีกต่อไป เขาได้เปลี่ยนรอยยิ้มของตัวเองเป็นยิ้มละไมอย่างเป็นกันเองก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลยครับ หมอหวังเองก็เพียงแค่วินิจฉัยตามความรู้ทางการแพทย์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์การรักษาเท่านั้นนี่ครับ
อีกอย่างผมรู้ว่าที่คุณพูดออกมาก็เพียงเพราะหวังดีกับสาธารณชนและสิ่งที่คุณพูดออกมานั้นได้วินิจฉัยตามเทคนิคการแพทย์ในยุคปัจจุบันล้วนๆ ไม่มีความรู้สึกเกลียดชังอาฆาตเป็นการส่วนตัวเลยแม้แต่น้อย
หากไม่ใช่คนแบบหมอหวังที่คอยให้ความรู้กับประชาชนแล้วล่ะก็ ผมคิดว่าต้องมีผู้บริสุทธ์หลายคนที่ต้องตกเป็นเหยื่อจากหมอปลอมจริงๆเป็นแน่
เอาเป็นว่าเรื่องที่แล้วก็แล้วกันไปดีกว่าครับ เราอยู่มาถือโทษโกรธกันจะดีกว่า”
หวังกังหยุนที่ตอนแรกนึกว่าซูจิ้งจะโกรธจนเข้ามาทุบตีซึ่งต่อให้เรื่องเลยเถิดเป็นแบบนั้นเขาก็จะไม่ว่าเลยสักนิด แต่เขาไม่คิดเลยว่าซูจิ้งนั้นกลับยกโทษให้อย่างง่ายดาย นี่ทำให้เขานั้นต้องรู้สำนึกจดจำไปอีกนาน
ในฐานะผู้อาวุโสแล้ว การด่วนตัดสินใจแบบนี้จนทำให้ชื่อเสียงของคนๆหนึ่งเสียหายยับโดยไม่ได้ตรวจสอบให้ถี่ถ้วน
เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ไม่มีท่าทีโกรธเคืองแม้แต่น้อย นี่ทำให้ซูจิ้งสามารถชนะใจหวังกังหยุนได้มากพอดูเลยทีเดียว
“แล้วผู้ป่วยต้อหินที่จะให้ผมรักษาล่ะครับ” ซูจิ้งถามตัดบทออกมา
“ข้างบนน่ะ” หวังกังหยุนได้เดินนำซูจิ้งขึ้นบันไดไปจนเข้าไปพบกับผู้ป่วยที่มีอาการต้อหิน ชายวัยกลางคนที่ได้เห็นซูจิ้งแสดงท่าทีตื่นเต้นออกมาอย่างเห็นได้ชัดในทันทีที่ได้เห็นซูจิ้ง
สิ่งแรกที่เขาถามออกมานั่นก็คือเรื่องของค่ารักษา นี่แสดงให้เห็นว่าเขาเองก็เป็นคนตรงๆเช่นเดียวกัน และเขาเองก็มีเหตุผลที่ต้องหายให้เร็วที่สุด ตราบใดที่เขาสามารถหายได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะต้องจ่ายเงินค่ารักษาแพงขนาดไหนเขาก็ยอม
โดยทั่วไปแล้วมนุษย์ทุกคนจะมีความคิดคล้ายๆกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนที่สุขภาพดีก็จะหาเงินให้ได้มากที่สุดโดยไม่ใส่ใจเรื่องของสุขภาพจนป่วยไข้ขึ้นมา
และเมื่อพวกเขาป่วย หากไม่ใช่เงิน พวกเขาก็จะไม่ได้รับการรักษาที่ดีพอ หลายๆคนก็มีเงินมากเกินพอแต่หาคนรักษาให้ไม่ได้ คนประเภทนี้จะเห็นคนแบบซูจิ้งเป็นที่พึ่งและเป็นพระผู้ช่วยอย่างหมดหัวใจ
ซูจิ้งได้ทำการอ่านประวัติการรักษาของชายวัยกลางคนผู้นี้ก่อนที่จะถามอาการเพิ่มเติมจากหวังกังหยุน หลังจากนั้นเขาได้ทำการตรวจสอบอาการของผู้ป่วยคนนี้ด้วยตัวเอง พร้อมทั้งทำการนวดที่ดวงตาและสุดท้ายจึงให้ยากินไป
“กินยานี้วันละสามครั้ง” ซูจิ้งพูดออกมา
“ได้ค่ะ” หญิงวัยกลางคนได้รับยาที่ซูจิ้งยื่นมาให้ราวกับว่าเป็นทรัพย์สมบัติล้ำค่า
“แค่นี้เหรอ” หวังกังหยุนและหมอคนอื่นๆต่างก็ถามออกมาด้วยท่าทีสับสน
“ใช่แล้วครับ อ้อ แล้วก็ผมจะต้องรักษาต่อเนื่องเป็นเวลาสามวันนะ ผมจะกลับมาอีกทีวันพรุ่งนี้” ซูจิ้งพูดออกมาก่อนที่จะจากไปราวกับใบไม้ที่ถูกสายลมพัดพาปล่อยทิ้งให้บรรดาหมอๆที่อยู่ในห้องมองหน้ากันไปมา
เขานั้นทำเพียงแค่นวดธรรมดาและนำยาออกมาให้ นี่มันจะไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ นี่เขาตั้งใจจะรักษาอาการต้อหินจริงๆรึเปล่า
อย่างไรก็ตาม หนึ่งวันให้หลัง ผลการรักษาที่ออกมานั้นแทบจะทำให้พวกเขาตกใจจนล้มหงายขาชี้ฟ้า สองวันผ่านไปยิ่งทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ตกตะลึงกันจนพูดไม่ออก
นั่นก็เพราะคนไข้ที่มีอาการต้อหินคนนี้ คนที่หวังกังหยุนได้ใช้เวลาทุ่มเทรักษามานานับแรมเดือนกลับหายดีเป็นปลิดทิ้ง ที่สำคัญที่สุดคือระยะการมองเห็นของเขายังดีถึงขั้น 5.3 อีกด้วย
“เป็น…ไป…ได้..ยังไงกัน…” หวังกังหยุนทั้งที่ได้เห็นผลการรักษาของซูจิ้งอยู่ตรงหน้าก็ทำได้เพียงแสดงใบหน้าอันโง่งมออกมา เขาไม่เข้าใจจริงๆว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อข่าวนี้ได้แพร่กระจายออกไปจนทั่วโรงพยาบาล ทุกคนที่ได้ยินต่างก็ยกซูจิ้งเป็นหมอเทวดาประจำใจของพวกเขาไปแล้ว
และแน่นอนว่าข่าวนี้ได้หลุดไปสู่โลกภายนอกจนก่อให้เกิดคลื่นกระเพื่อมในวงการแพทย์อีกครั้ง
GGS:บทที่ 978 ถามว่าจะยอมเชื่อได้รึยัง
“….เขาใช้วิธีอะไรกันถึงได้รักษาได้เร็วขนาดนี้” หวังกังหยุนและหมอคนอื่นๆต่างก็พยายามนึกถึงกระบวนการต่างๆที่ซูจิ้งใช้ในการรักษาคนไข้ที่เป็นต้อหินว่าทำยังไงเขาถึงรักษาเขาไปได้
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะนึกยังไงพวกเขาก็ไม่สามารถนึกออกได้อยู่ดีว่าซูจิ้งใช้วิธีการไหนกันแน่ในการรักษา ที่พอจะเหลืออยู่อย่างดีที่เป็นสาเหตุแห่งความมหัศจรรย์ในการรักษานี้ก็คือยาหม้อที่เขาให้ภรรยาของผู้ป่วยต้มให้ผู้ป่วยกิน
พวกเขาได้เดินเข้าไปมุงดูในหม้อยานั้นก็ผมว่ายังพอมีกากยาหลงเหลืออยู่บ้าง เมื่อพวกนำกากยาเทออกมาดูเพื่อศึกษา
พวกเขาก็พบเพียงเศษอะไรบางอย่างที่มีสีดำ คล้ายๆเมล็ดของใบขี้เหล็ก ลูกเดือย ดอกเก๊กฮวยขาว และสมุนไพรอย่างอื่นอย่างละเล็กละน้อยจนไม่รู้ว่าพวกมันคืออะไรกันแน่
เอาจริงๆทุกสิ่งที่พวกเขาเห็นรู้สึกเหมือนสมุนไพรธรรมดามากซะจนนึกไม่ออกว่ามันพิเศษยังไง
“นี่มันอะไรกันแน่เนี่ย” หมอคนหนึ่งบ่นอุบออกมาพลางเกาหัวแกรกๆบ่งบอกว่าความเร็วในการคิดหาคำตอบกับข้อมูลที่ได้เห็นนั้นทำให้หาคำตอบไม่ได้
“เดี๋ยวนะ ฉันจำได้ว่าเคยเห็นของพวกนี้ในตำรับยาโบราณนะ” หมออีกคนหนึ่งพูดออกมา
“ตำหรับยารักษาอะไรกัน” หวังกังหยุนได้ถามออกมา
“โรคตาบอดกลางวัน” หมอคนนั้นตอบออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำยิ่งทำให้หวังกังหยุนและหมอคนอื่นๆต่างก็มองหน้ากลับไปอย่างงงงวยด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
ไม่มีทางที่ยาโบราณแบบนั้นจะไปมีผลที่มหัศจรรย์ขนาดนี้ได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ทรายดำนั่นไม่มีใครเขากล้าใช้กันแล้วสมัยนี้
“…ต่อ…อืมมมม…ต่อให้ทรายดำนั่นมีสรรพคุณในการรักษาโรคทางสายตาตามตำรับยานั้นจริง แต่ฉันเชื่อว่าอย่างน้อยๆทรายดำนี่ต้องไม่ใช่ทรายดำธรรมดาอย่างแน่นอน ลองเอาไปศึกษาเพิ่มเติมดีกว่า” หวังกังหยุนพูดออกมาแล้วได้ใช้เวลาที่เหลือของวันนั้นนำกากยาไปศึกษา
แต่ก่อนหน้าที่เขาจะไปศึกษาอย่างจริงจังนั้น หวังกังหยุนได้บันทึกวิดีโอเอาไว้ก่อนที่จะนำไปโพสต์ไว้บนโลกอินเตอร์เน็ต
วิดีโอที่อัดเป็นการบอกเล่าเรื่องราวการรักษาของซูจิ้งที่ใช้เวลาเพียงสองวันในการรักษาผู้ป่วยโรคต้อหินคนหนึ่ง คนพูดที่เขากล่าวออกมานั้นเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ยอมรับ และกล่าวขอโทษในความผิดพลาดของตัวเองก่อนหน้านี้ที่ตีตราว่าซูจิ้งนั้นเป็นเพียงหมอเก๊ และบอกต่อสาธารณชนไว้ด้วยว่าตัวเขานั้นยอมรับว่าซูจิ้งเป็นหมอเทวดาไปแล้ว ไม่ว่าใครจะบอกว่าเขาไม่ใช่ก็ตามเขาก็ไม่สน
นี่ทำให้สถานะของซูจิ้งต่อสายตาสาธารณชนนั้นเปลี่ยนจากหมอเก๊กลายเป็นสุดยอดหมอภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน นี่ทำให้มีหลายๆคนต่างมุ่งหวังที่จะได้รับการรักษาในคลีนิกพิเศษของซูจิ้ง
คนไข้ส่วนหนึ่งต้องการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับดวงตา แต่ส่วนใหญ่คนที่ไปนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ต้องการเพิ่มความสูง และเกินกว่าครึ่งเป็นดาราทั้งนั้น
แน่นอนว่าสำหรับคนที่ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับความสูงมากมายแบบนี้ต้องการเพียงทำให้ตัวเองดูดีขึ้นเฉยๆแบบนี้ แน่นอนว่าซูจิ้งนั้นย่อมจัดหนักจัดเต็มอย่างแน่นอน ผลก็คือตอนนี้เขาได้ตั้งค่าใช้จ่ายง่ายๆเอาไว้สำหรับความสูงที่เพิ่มขึ้นมาจากปกติหนึ่งเซนติเมตรคิดค่าใช้จ่ายสิบล้านหยวน
ราคานี้สร้างความสะพรึ่งให้กับผู้คนกันอย่างทั่วหน้า แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ยินดีจะสู้ราคา
เพียงวันเดียวซูจิ้งสามารถได้รับเงินจากการเพิ่มความสูงนี้ถึง 300 ล้านหยวน หรือก็คือซูจิ้งสามารถขายความสูงไปได้กว่าสามสิบเซนติเมตร
ถึงแม้หลายๆคนที่มานี้จะมีท่าทีอิดออดไปบ้างแต่พวกเขาก็ยินดีที่จะซื้อ แต่ก็ต้องมีอีกหลายคนที่ทำได้แค่เพียงถอนหายใจและล้มเลิกความคิดนี้ไปเท่านั้น
บอกได้เลยว่ายาของซูจิ้งนี้เป็นยาที่มีมูลค่าแพงที่สุดในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน
ในขณะเดียวกันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ก็ทำให้สาธารณชนพอจะเข้าใจได้แล้วว่าทำไมซูจิ้งถึงได้ทำการเปิดคลีนิกพิเศษทั้งๆที่เขานั้นเป็นคนที่รวยอยู่แล้วก็ตาม
ในตอนแรกเมื่อทุกคนได้ยินว่าซูจิ้งคิดราคาค่ารักษาที่หนึ่งล้านหยวนนั้น ทุกคนต่างนึกว่าซูจิ้งเพียงต้องการรีดเงินจากคนไข้เท่านั้น แต่ไม่ใช่อย่างนั้นเลย
ถึงแม้ว่าซูจิ้งนั้นจะทำท่าเหมือนจะต้องการรีดเงินจากคนรวยจริงๆก็ตาม แต่ก็ต้องรู้ก่อนว่าสำหรับคนเหล่านี้แล้ว เงินเพียงหลักล้านไม่ได้ทำให้พวกเขานั้นจนลงแม้แต่น้อย หากพวกเขาต้องการจะรักษาจริงๆ ด้วยราคารักษาเริ่มต้นเพียงเท่านี้สำหรับพวกเขาแล้วถือได้ว่าคุ้มค่ามาก
แต่ด้วยการที่ซูจิ้งตั้งเงินไขการรักษาขั้นต่ำที่หนึ่งล้านหยวนนี้อีกเหตุผลหนึ่งก็เพื่อการคัดกรองผู้ที่เข้ามาให้รักษา จากเหตุการณ์ที่หลายๆคนเข้ามาเพื่อต้องการสูงนั้น
หลายๆคนไม่ได้มีปัญหากับความสูงของตัวเองเลยแม้แต่น้อย พวกเขานั้นเพียงต้องการให้ตัวเองโดดเด่นขึ้นกว่าคนอื่นก็เท่านั้นซึ่งนั้นขัดจากสิ่งที่ซูจิ้งต้องการอย่างมาก
และหากเขาตั้งราคาไว้แบบเจาะจงตั้งแต่แรก แน่นอนว่าตั้งมีกระหายละโมบโลภมากเข้ามาหาผลประโยชน์จากการรักษาของซูจิ้งทั้งๆที่ไม่ได้เป็นอะไรเลยยิ่งกว่านี้เสียอีก
นี่ทำให้เหล่าคนที่คิดว่าซูจิ้งนั้นเป็นพวกละโมบโลภมากนั้นต้องคิดเพิ่มอีกสักหน่อยว่าโลกนี้ก็ยังมีคนที่กระหายในทรัพย์สินที่ไม่สมควรจะได้อย่างไม่เลือกวิธีการอยู่ร่ำไปเช่นเดียวกัน
ในตอนนี้นอกจากจะไม่มีใครกล้าว่าร้ายซูจิ้งอีกต่อไปแล้ว สาธารณชนก็ยังได้รับรู้ทักษะทางการแพทย์อันสูงเทียมฟ้าของซูจิ้งกันจนทั่วแล้ว
ในเมื่อคนไข้ต้องการรักษาก็จำเป็นที่จะต้องจ่ายเงิน หากฝ่ายหนึ่งเสนอแล้วอีกฝ่ายสนองด้วยความยินดีล่ะก็ แต่ให้คนนอกพูดไปก็เท่านั้นไม่ใช่หรือ
อีกด้านหนึ่ง ด้วยการที่โรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนแห่งนี้ ด้วยการที่ซูจิ้งนั้นได้เปิดให้มีการรักษาผู้ป่วยทั่วไปในราคาที่ต่ำเสียยิ่งกว่าต่ำ แต่ก็มีคลีนิกพิเศษที่มีราคาสูงเสียดฟ้าพร้อมการรักษาขั้นเทพ
นี่ทำให้ดุลหมุนเวียนในโรงพยาบาลแห่งนี้อยู่ในระดับที่กำลังดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ต่อให้คนไข้จะไม่มีกำลังทรัพย์พอที่จะรักษาในคลีนิกพิเศษของซูจิ้งได้ก็ตาม
แต่ที่นี่ก็ยังการรักษาแบบธรรมดาด้วยแพทย์มืออาชีพคนอื่นที่พร้อมจะให้บริการโดยไม่มีการบังคับแม้แต่น้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตอนนี้สถานภาพของซูจ้งในฐานะหมอนั้นเป็นที่กระจ่างชัดแล้วว่าเขานั้นมีความสามารถพอที่จะเป็นหมอเทวดาจริงๆ
การกระทำของซูจิ้งนั้นก็เปรียบได้ดั่งเจียงไทกง(เจียงจื่อหยา)ที่กำลังนั่งตกปลาที่ไม่ใช้เบ็ดเพื่อรอให้ปลาที่ยินยอมที่จะเป็นอาหารให้เขามากินเบ็ด
เขานั้นไม่ได้ต้องการเงินจนประชาชนทั่วไปแม้แต่น้อย หากคุณยากจนเขาก็มีทางเลือกที่ดีให้กับคนจนอยู่แล้ว
แต่กับคนรวยที่มีเงินเยอะมากมายนั้นเขาก็มีทางเลือกที่รวดเร็วโดยแลกกับเงินนั่นเอง
นี่คือสิ่งที่หลายๆคนเรียกว่านำเงินจากคนรวยมาช่วยคนจน ก็คล้ายกับการที่ปล้นคนรวยมาช่วยคนจนแต่มันถูกกฎหมายก็เท่านั้น
ดังนั้นเมื่อดูในภาพรวมแล้ว ซูจิ้งนอกจากจะไม่ได้เป็นหมอเก๊แล้ว เขายังเป็นหมอเทวดาที่ไม่ได้ละโมบเงินทองแม้แต่น้อย แต่เขานั้นได้ทำการนำเงินของคนรวยมาช่วยคนจน นี่ทำให้ชื่อเสียงของเขาได้พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“อาจิ้ง” ลูฉินหมิงได้เดินเข้ามาในคลีนิกพิเศษของซูจิ้งด้วยรอยยิ้มกว้าง
“โอ้ อะไรทำให้คุณลุงลูดูมีความสุขขนาดนี้ได้ล่ะนั่น” ซูจิ้งถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“แหงสิ ก็ต้องเป็นเพราะชื่อเสียงของนายที่กำลังพุ่งสูงขึ้นพลอยทำให้โรงพยาบาลของเรามีชื่อเสียงขึ้นตามไปด้วย
วันนี้มีผู้ป่วยเข้ามารับการรักษามากกว่าแต่ก่อน ถึงแม้ว่าค่ายาของเราจะถูกลงก็จริงแต่ด้วยจำนวนผู้ป่วยขนาดนี้ยังไงก็ทำให้เรามีกำไรอยู่พอสมควร” ลูฉินหมิงพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“เป็นเรื่องที่ดีนี่นา” ซูจิ้งพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ถึงแม้การรักษาในคลีนิคพิเศษของเขาแล้วที่มีกำไรสูงก็จริง แต่มันจะดีกว่าอยู่แล้วหากว่าการรักษาในคลีนิคทั่วไปจะได้กำไรจริงๆ
เพราะถึงแม้มันจะเล็กน้อยยังไงก็ตามแต่เมื่อรวมกันเยอะๆได้ก็จะเป็นกำไรก้อนโตอยู่ดี
“อ้อ แล้วก็ฉันได้รับสายมาพูดเกี่ยวกับสิทธิบัตรทางการแพทย์นะ และดูเหมือนเขาอยากจะคุยกับนายด้วย”
“อ้อ เรื่องนั้นผมเองก็ได้รับสายมาเรื่องทำนองเดียวกันเหมือนกัน ช่างเรื่องนั้นไปเถอะ” ซูจิ้งแสยะยิ้มออกมา
เขาสามารถรักษาโรคกระจกตาเสื่อมให้หายในสามวัน ยืดความสูงให้ผู้ใหญ่ได้ 15 เซนติเมตรใน 7 วัน และรักษาอาการต้อหินโดยใช้เวลาแค่สองวัน
แน่นอนว่าแค่นี้ก็เพียงพอที่จะสามารถจดสิทธิบัตรในสถาบันเทคนิคการแพทย์ได้สองอย่างแล้วเพราะมันมีค่ามาก
เอาจริงๆแล้วประเทศนั้นหวังเป็นอย่างยิ่งว่าวิธีการรักษาของซูจิ้งจะได้รับความนิยมจนยกระดับการแพทย์ในประเทศไปอีกขั้นหนึ่งได้เลยด้วยซ้ำ
แต่ต่อให้ซูจิ้งอยากจะช่วยเรื่องนี้ขนาดไหนก็ตามแต่เขาก็ไม่สามารถทำได้ นั่นก็เพระว่าทรายดำที่เขาใช้ในการรักษาโรคทางดวงตานั้นเขาเองได้มาจากขยะห้วงเวลาฯจูเซียน และยาเพิ่มความสูงได้มาจากขยะห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริง แล้วเข้าจะใช้วิธีไหนในการเผยแพร่พวกมันได้กันล่ะ
หากเป็นคนธรรมดาเมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้ก็คงมีแต่ยอมยกให้เพราะเกรงกลัวที่จะโดนทำร้ายบังคับขู่เข็ญต่างๆนาๆเพื่อให้ปล่อยยาวิเศษนี้ออกไปจากมือแล้วจึงถูกหั่นเป็นชื้นๆ นี่จึงไม่แปลกเลยที่จะมีข่าวการอุ้มฆ่าอยู่บ่อยๆในโลกนี้
แต่กับเรื่องนี้ ซูจิ้งไม่ได้มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย เขาทรงพลังพอขนาดที่ว่าต่อให้ปฏิเสธความต้องการของทุกคนไปก็ไม่มีใครกล้าจะทำอะไรเขาได้
“อีกเรื่องหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะมีอีกหลายคนที่จะขอพบนายเพื่อรับการรักษา แต่แต่ละคนก็มีอาการที่แตกต่างกันไปน่ะ คนที่จะเข้ามาหานายคนแรกนี้ดูเหมือนว่าด้วยสถานะของเขาแล้วทำให้มีเรื่องซับซ้อนนิดหน่อยเลยไม่แน่ใจว่านาย…” ลูฉินหมิงพูดออกมา
“ก็ถ้าเขามีความสามารถที่จะจ่าย ผมก็ยินดีที่จะช่วยดูให้อยู่แล้ว หากว่าลูงลูกลัวมีปัญหาก็อยู่ก่อนแล้วกันครับ คุณสามารถอยู่คอยดูผมในฐานะผู้ช่วยก็ได้นี่ครับ อาจารย์” ซูจิ้งพูดออกมา
“เยี่ยม” ทันทีที่ได้ยิน ลูฉินหมิงก็ตอบรับออกมาอย่างรวดเร็วด้วยสายตาที่เปล่งประกาย ตอนนี้เขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่จะได้อยู่ในฐานะหมอผู้ช่วยของซูจิ้งแม้แต่น้อย
ที่เขาสนใจจริงๆก็คือการได้เห็นซูจิ้งรักษาเพื่อได้เรียนรู้วิธีการรักษาจากซูจิ้งว่าทำไมเขาถึงได้รักษาได้เทพขนาดนี้
สิ่งที่ซูจิ้งต้องการนั้นไม่เพียงแค่การขอให้ลูฉินหมิงมาเป็นหมอผู้ช่วยของเขาเท่านั้น เขาอยากจะให้หมอคนอื่นๆที่ตรงสายกับคนไข้มาหมุนเวียนเปลี่ยนกันมาเป็นหมอผู้ช่วยของเขาในแต่ละเคส
นั่นเพราะด้วยการที่เขายังด้อยประสบการณ์ในการรักษาจริงๆ อาจจะเกิดเหตุผิดพลาดในการวินิจฉัยโรคได้เหมือนกัน
แต่ยังไงก็ตาม ในกระบวนวินิจฉัยโรคตลอดจนการรักษานี้ นอกจากหมอผู้ช่วยทั้งหลายจะไม่มีข้อบกพร่องแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ซูจิ้งใช้อยู่คนละระดับกับวิธีการที่ลูฉินหมิงและหมอคนอื่นๆที่หมุนเวียนเปลี่ยนกันมาเป็นหมอผู้ช่วยจนทำให้พวกเขาได้แต่ตกตะลึง
และที่น่าตกตะลึงมากที่สุดนั่นก็คือยา ยาวิเศษที่ซูจิ้งเตรียมเอาไว้ในการรักษาโรคแต่ละประเภทนั้นราวกับเป็นยาที่มาจากสวรรค์ชั้นฟ้าเพราะว่ายาที่ใช้ได้ผลในทันที
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าภายใต้การรักษาของซูจิ้ง ต่อให้ยากเย็นและหลายหลายแค่ไหนก็ตามก็เหมือนกับการรักษาไข้หวัดธรรมดา
เพียงช่วงไม่กี่วัน คลินิกพิเศษของซูจิ้งได้มีเคสการรักษาอันสุดแสนมหัศจรรย์ที่มากมายหลากหลายรายงานออกไปอย่างต่อเนื่อง
หญิงสาวผู้หนึ่งที่ป่วยหนักขนาดที่ว่าแค่ออกจากหลังคาก็เอาแล้ว เธอไอหนักมากจนไม่คิดว่าจะหายแล้วในชีวิตนี้ แต่ซูจิ้งกลับใช้เวลาเพียงสองวันในการรักษา
มีคนไข้กลุ่มหนึ่งที่ป่วยเป็นโรคไข้ตัวเย็น คนกลุ่มนี้เคยไปรักษาที่อเมริกามาสองปีก็ไม่หาย แต่ซูจิ้งใช้เวลาเพียงสองวัน
ชายแก่คนหนึ่งเป็นเป็นโรคเส้นประสาทไม่ตอบสนอง หลังจากเขาเข้าไปนอนในคลีนิกพิเศษของซูจิ้งสามวัน เมื่อเขาออกมาเขาแทบจะวิ่งไปมาไม่หยุดเกือบตลอดเวลาเลยด้วยซ้ำ
หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเป็นหมันมาสิบปีแล้ว ในที่สุดก็สามารถตั้งครรภ์ได้
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเข้ามารับการรักษาด้วยอาการแผลไฟไหม้ที่น่ารังเกียจ แต่หลังจากนอนอยู่ในคลีนิคพิเศษสองวัน ผิวพรรณของเขากลับกลายเป็นนุ่มละมุนและกระจ่างใสราวกับหยก
เรื่องราวการรักษาขั้นเทพของซูจิ้งถูกร่ำลือออกไปจากคลีนิคพิเศษในโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนของซูจิ้งอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ซูจิ้งก็ได้ส่งรูปและวิดีโอจำนวนมากออกไปเป็นหลักฐานภายใต้การยินยอมของคนไข้จนทำให้สาธารณชนเชื่ออย่างไรข้อกังขา แน่นอนว่าเมื่อทั่วทั้งโลกรู้ต่างก็ตกตะลึง
และด้วยเหตุเหล่านี้ แฟนคลับของซูจิ้งจึงได้ถามออกมาใส่พวกคนที่เคยใส่ร้ายซูจิ้งว่า ยอมเชื่อได้รึยัง
GGS:บทที่ 979 ยุ่งเหยิง
ด้วยการที่มีเรื่องราวการรักษาอันน่ามหัศจรรย์ของซูจิ้งที่แพร่ออกไปจากคลีนิกพิเศษของโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนอย่างแต่เนื่องและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ซูจิ้งเปรียบได้ดั่งหมอเทวดาฮัวโต๋ที่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทำให้เหล่าผู้ที่ออกมาทัดทานในฝีมือการแพทย์ของซูจิ้งและกล่าวหาว่าเขานั้นเป็นคนหลอกลวงทำได้เพียงคุกเข่ายอมแพ้แต่โดยดี
ชาวเน็ตเองก็ได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแพร่หลายไปทั่วโลกอินเตอร์เนต
“ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ ซูจิ้งคือหมอเทวดาโดยแท้”
“เขาไม่ได้เรียนจบการแพทย์มา เขาสมควรเรียนการแพทย์มาจากหนทางอื่นอย่างแน่นอน ว่าแต่วิชาแพทย์ที่เขาได้เรียนมาทำไมมันก้าวล้ำขนาดนี้ได้กัน”
“นี่ฉันพาลนึกไปถึงตำราแพทย์โบราณสมัยราชวงศ์ฮั่นที่เขาได้พบมาก่อนหน้านี้นะ ไม่รู้ว่าเขาได้เรียนจากตำราเล่มนั้นมารึเปล่า”
“ไม่น่านะ ตำรานั่นมันเก่าแก่โบราณขนาดนั้นแล้วไม่ว่าจะมีข้อมูลการแพทย์ดีขนาดไหนก็ไม่น่าจะเทียบกับความรู้การแพทย์แผนปัจจุบันได้”
“บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว แม่…งเอ๊ย เป็นไปได้ยังไงกัน”
หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวการรักษาอันน่ามหัศจรรย์ของซูจิ้งที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ฉิวจิงจะตื่นเต้นเหมือนกันแต่ตัวเขาก็ยังไม่เชื่อว่าซูจิ้งจะทำได้อยู่ดี
ตัวเขาที่คลุกคลีมาในวงการแพทย์ตั้งแต่ต้นแล้วเขาจะไปน้อยหน้ากว่าซูจิ้งได้ยังไงกัน หากว่าเขาได้รับความรู้เหล่านี้มาย่อมทำได้ดีกว่าซูจิ้งเป็นแน่อยู่แล้ว
ที่สำคัญที่สุด เขาคงจะรู้สึกดีไม่น้อยเลยหากได้รับการยกย่องว่ามีความรู้ความสามารถเหนือวงการแพทย์แผนปัจจุบันที่ไม่สามารถรักษาโรคพวกนี้ได้
ในตอนนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ของฉิวจิงได้ดังขึ้นมา หลังจากเห็นว่าเป็นเบอร์โทรศัพท์ของภรรยาก็ได้รีบรับสายในทันที
ภรรยาของฉิวจิงเต็มไปด้วยความหวังและตื่นเต้น เธอพูดออกมาว่า “ฉิวจิง คุณได้เห็นข่าวเรื่องโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนนั่นรึเปล่า”
“เห็นสิ แล้วทำไมเหรอ” ฉิวจิ้งที่ได้ยินคำถามนี้ได้แต่นิ่งอึ้งไป เขาไม่เข้าใจว่าทำไมภรรยาถึงได้ตื่นเต้นกับเรื่องนี้ไปด้วย
“ทำไมเหรอ นายถามกลับมาได้ยังไงกัน รีบไปหาหมอซูแล้วช่วยให้เขารักษาภาวะการมีบุตรยากของฉันน่ะสิ” เสียงจากปลายสายแทบจะด่าเปิงออกมาในทันทีแต่ก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นที่เก็บซ่อนเอาไว้ไม่ได้
“ห้ะ เขารักษาภาวะการณ์มีบุตรยากได้ด้วยเหรอ ไม่ใช่มั้ง”
หน้าผากของฉิวจิงกระตุกขึ้นไปเล็กน้อยในทันที มาถึงตอนนี้ถึงแม้ว่าเขานั้นจะได้รับฉายาว่าเป็นหมอเทวดาก็จริงแต่เขาก็ไม่น่าจะรักษาได้หมดทุกโรคแบบนี้
อีกอย่าง โรคภาวะมีบุตรยากเป็นโรคทางพันธุกรรมไม่มีทางที่คนอย่างหมอนั่นจะเข้าใจได้หรอก
“ทำไมจะรักษาไม่ได้ นี่นายได้อ่านข่าวจริงๆรึเปล่าเนี่ย เขาเพิ่งจะรักษาหญิงวัยกลางคนที่อายุกว่า 40 ปีที่มีภาวะมีบุตรยากคนหนึ่งที่พยายามมีลูกมากว่าสิบปีแต่ก็ไม่มีสักที เธอพยายามรักษามาทุกวิถีทางแล้วแต่ก็ไม่ได้ผล แต่เพียงเธอเข้ามาพบซูจิ้งก็หายในทันทีเลยนะ”
“ว่าไงนะ” หัวใจของฉิวจิงนิ่งกริบในทันที เขารีบเปิดหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตก็พบข่าวนี้อย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาเบิกกว้างทันทีที่ได้อ่านข่าวนี้ ความรู้สึกในใจของเขาในตอนนี้ยุ่งเหยิงจนยากจะสงบใจได้ ในที่สุดก็เกิดคนถามหนึ่งขึ้นมาในใจของเขาว่า แม้แต่โรคแบบนี้ก็ยังรักษาได้
หากเป็นสถานการณ์ปกติล่ะก็เมื่อเขาได้ยินเรื่องแบบนี้จะต้องมีความสุขอย่างมากอย่างแน่นอน
นั่นก็เพราะหากภรรยาของเขาสามารถรักษาอาการภาวะการมีบุตรยากได้จริง สถานการณ์ของเธอในตระกูลของเขาจะดีขึ้นอย่างมาก
แต่ที่เขานั้นไม่มีความสุขเอาซะเลยคือเขานั้นไม่ยากจะยอมรับว่าซูจิ้งมีทักษะทางการแพทย์ที่เหนือล้ำกว่าเขา ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากให้ภรรยาของเขาหาย เพียงแต่เขาไม่อยากจะไปก้มหัวขอร้องให้ซูจิ้งเพื่อรักษาภรรยาของเขาเท่านั้นเอง หากว่าเขาไปของร้องซูจิ้งก็เปรียบได้ดังการที่เขายอมรับความพ่ายแพ้ซูจิ้งนั่นเอง
“เหมิงเหมิง ค่ารักษาของเขามันแพงมากเลยนะ ราคาเริ่มต้นตั้งหนึ่งล้านหยวนแน่ะ ต่อให้เขารักษาเธอได้จริงแต่เราไม่มีปัญญาจ่ายหรอกนะ” ฉิวจิงในตอนนี้ได้แต่พูดเกลี้ยกล่อมภรรยาตัวเองให้ตัดใจเท่านั้น
“แต่ถ้าเขารักษาหายได้ก็คุ้มค่าไม่ใช่เหรอ อีกอย่าง เขาเองก็จบมาจากมหาวิทยาลัยเดียวกับคุณนี่นา ในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกันหากขอร้องเขาสักหน่อยล่ะก็ เขาเองก็ไม่น่าจะคิดค่ารักษาเราเพิ่มเติมอะไรนัก ดีไม่ดีอาจไม่คิดค่ารักษาเลยด้วยซ้ำ เราไปหาเขาด้วยกันดีกว่านะ หากขาดเหลืออะไรยังไงพ่อแม่ของคุณและฉันก็สามารถช่วยได้อยู่แล้ว รวมๆกันแล้วก็น่าจะได้ล้านแหล่ะ”
“แต่ว่าฉัน…ฉันเคยโพสต์ในไมโครบลอกใส่ร้าย….”
“คุณจะกังวลมากเกินไปรึเปล่า ถ้าคุณไม่ได้ว่าร้ายอะไรเขาตรงๆอย่างไม่มีเหตุผลล่ะก็ไม่จำเป็นแม้แต่จะต้องลบโพสต์นั้นเลยด้วยซ้ำ
ใครจะไปรู้ ดีไม่ดีเขาจะไม่เคยสนใจโพสต์แบบนั้นเลยด้วยซ้ำ อีกอย่างฉันทนพ่อแม่ของคุณไม่ไหวแล้วนะ
หากว่านายยังขี้ขลาดอิดออดไม่กล้ายอมรับความจริงแล้วตัดสินใจล่ะก็ นายต้องเลือกแล้วล่ะระหว่างการเลือกฉันแล้วแตกหักพ่อแม่ หรือจะเลิกกับฉันเพราะฉันมีหลานให้พ่อแม่คุณไม่ได้น่ะ เลือกเอาก็แล้วกัน”
“ก็ได้ก็ได้ ฉันสัญญาว่าจะคุยกับซูจิ้งให้เธอ แต่อย่าคาดหวังมากนักล่ะ” ฉิวจิงในตอนนี้ทำได้เพียงคิดหนักเท่านั้น
แต่ไม่นานเขาก็เลือกได้แล้ว เขานั้นไม่อยากจะสูญเสียภรรยาที่สูงสง่าและสวยงามอย่างภรรยาของเขาไป ความจริงแล้วภรรยาของเขานั้นมีดีทุกอย่างเว้นเพียงอย่างเดียวคือภาวะมีบุตรยาก เขามั่นใจว่าจะไม่เจอใครที่ดีเท่านี้อีกแล้ว
ทันทีที่ฉิวจิงตัดสินใจได้ เขาได้รีบเข้าไปรับข้อความที่โพสต์ลงไปในไมโครบลอกของตัวเองที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการรักษาของซูจิ้งทุกอัน ด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยมว่าซูจิ้งจะยังไม่เห็นข้อความเหล่านั้น
แต่เขาก็เตรียมใจไว้แล้วว่าหากซูจิ้งได้เห็นเขาจะทำการขอโทษไปตรงๆแต่อ้างเหตุผลว่าเป็นการวิเคราะห์ตามความรู้การแพทย์แผนปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามเขาเองก็เหมือนจะยังตัดใจโทรไปหาซูจิ้งไม่ได้เพราะหลังการปฏิเสธ เขาพยายามคิดหาทางอื่นอย่างการหาเพื่อนเก่าๆที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขาและซูจิ้งอย่างมู่ติงช่วยพูดให้
แต่เมื่อเขาลองหาดูกลับพบว่ากลุ่มเพื่อนของเขาและซูจิ้งนั้นการเป็นคนล่ะกลุ่มกันอย่างสิ้นเชิง เขาไม่พบใครอื่นเลยนอกจากมู่ติงที่คุ้นเคยกับซูจิ้งกว่าใครใครที่เขาพอจะคุยด้วยได้
แต่พอนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างหวังหยานและซูจิ้งที่จบกันไปไม่ได้ด้วยดีแล้ว ถึงแม้เรื่องมันจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมู่ติงแถมยังบอกอีกว่าทั้งคู่ลืมเรื่องราวที่ผ่านมาไปหมดแล้วก็ยังทำให้ฉิวจิงอดกังวลไม่ได้อยู่ดี
“ถามจริงเหอะ ทำไมนายถึงกล้าบอกออกมาว่าซูจิ้งนั้นไม่คู่ควรกับการเป็นหมอทั้งๆที่นายเองยังไม่เคยเห็นผลการรักษาของเขากับตาตัวเองแบบนั้นได้” มู่ติงที่ฟังสภานการณ์จากฉิวจิงบ่นออกมาพลางถอนหายใจยาวๆ
“ฉันไม่ได้อยากจะกล่าวหาเขาสักหน่อย ก็แค่ตอนนี้ฉันตกใจเฉยๆ เพราะว่าจะมุมมองทางการแพทย์ในปัจจุบันสิ่งที่เขาทำออกมาไม่มีทางเป็นไปได้นี่นา
ใครจะไปคิดว่าเขาสามารถรักษาได้จริงกัน ฉันด่วนตัดสินเขาไปเอง ฉันรู้ว่าฉันผิดที่กล่าวหาเขาไป ฉันจะขอโทษเขาเอง
ช่วยฉันหน่อยนะ ช่วยให้ความฝันของฉันเป็นจริงหน่อยนะ ช่วยฉันคุยกับเขาเรื่องแฟนของฉันหน่อย” ฉิวจิงพูดออกมา
มู่ติงที่ได้ฟังก็ได้แต่นิ่งเงียบไป ความจริงนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับซูจิ้งนั้นสุดแสนจะธรรมดา ที่รู้จักกันก็เพียงเพราะว่าอยู่มหาวิทยาลับเดียวกันและเจอตอนที่เขามาหาหวังหยานเพียงเท่านั้นแต่ก็ยังบ่อยกว่าใครเพื่อนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันอยู่ดี
แต่หลังจากที่ได้รู้ว่าภรรยาของฉิวจิงนั้นมีปัญหาและเธอก็รู้จักภรรยาของเขาดีในระดับหนึ่ง ในที่สุดเธอก็ได้พูดออกมาว่า
“ก็ได้ ฉันจะช่วยนาย แต่ฉันขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าฉันกับซูจิ้งไม่ได้สนิทอะไรกัน เขาเองก็อาจไม่ได้ไว้หน้าฉันหรอกนะ
ทางที่ดีหากนายได้เจอเขาก็ควรที่จะขอโทษอย่างจริงใจ และหากเขายอมยกโทษให้ก็อย่าได้ละเลยต่อความใจดีของหมอนั่นที่ให้อภัยนาย”
“ฉันเข้าใจ เข้าใจแล้ว ขอบคุณเธอมาก” ฉิวจิงได้พูดพลางถอนหายใจออกมาอย่างวางใจ
เย็นวันนั้น ฉิวจิงและภรรยาพร้อมทั้งมู่ติงได้ไปยังโรงพยาบาลกังเฟิงด้วยกัน พวกเขาไม่ได้จ่ายเงินล้านหยวนเป็นแค่ธรรมเนียมแต่อย่างใด
ทั้งหมดเพียงแสดงตนว่าเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยของซูจิ้งและฝ่ายต้อนรับก็ได้รับเรื่องไว้ก่อนหน้านี้แล้วจึงพาพวกเขาไปยังคลีนิกพิเศษโดยมีซูจิ้งออกมารับด้วยตัวเอง
“ท่านเทพซูนี้เพียงไม่ได้เห็นกันแค่ไม่กี่สิบวันก็กลายเป็นหมอเทวดาไปซะแล้ว” มู่ติงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“แหม่ๆ พูดกันอย่างนี้จะให้ฉันตอบว่ายังไงล่ะ” ซูจิ้งพูดตอบไปด้วยรอยยิ้ม
“หมอเทวดานี่ฉันก็ไม่ได้ตั้งให้นายซะหน่อย แต่เป็นสาธารณชนเขาตั้งให้ต่างหาก” มู่ติงพูดพลางยิ้มออกมาก่อนที่จะหันไปชี้ที่ฉิวจิงและภรรยาก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“ให้ฉันแนะนำให้นายรู้จักก่อนก็แล้วกัน คนนี้คือฉิวจิงเป็นเพื่อนร่วมรุ่นมหาวิทยาลัยเดียวกัน ส่วนคนนี้เมิ่งเซียงเป็นภรรยาของเขา”
“สวัสดีค่ะคุณซู” เมิ่งเซียงได้ยื่นมือออกเพื่อจับมือทักทายอย่างสุภาพและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ซูจิ้งเองก็ยื่นมือออกมาจับด้วยไมตรีจิตอย่างดี
ฉิวจิงที่เห็นเป็นแบบนี้ก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มแห้งๆก่อนที่เขาจะยื่นมือออกมาเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามซูจิ้งชักมือกลับไปในทันทีโดยไม่สนใจมือของฉิวจิ้งที่ยื่นค้างไว้กลางอากาศอยู่อย่างนั้น นี่ทำให้บรรยากาศภายในห้องแปรเปลี่ยนไปในทันที
เมิ่งเซียงที่เห็นดังนั้นจึงได้ผลักฉิวจิงอย่างแรงราวกับอยากจะให้เขานึกให้ออกว่าต้องพูดขอโทษออกมา
“ซูจิ้ง คือ…”ฉิวจิงในตอนนี้ทำได้เพียงหัวเราะแบบแหยๆออกมา ตอนแรกเขาอยากจะทำเป็นแกล้งโง่อยู่เต็มแก่แล้วทึกทักไปเองว่าซูจิ้งยังไม่รู้เรื่องของเขาที่ก่อเอาไว้ในไมโครบลอก
แต่ดูจากบรรยากาศแล้วเขาเองก็คงทำตัวไม่รู้ไม่เห็นต่อไปไม่ได้เพราะดูยังไงซูจิ้งก็น่าจะรู้แล้วอย่างแน่นอน ทางเลือกของเขาในตอนนี้ก็แค่เพียงขอโทษออกไปตรงๆเท่านั้น
เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงได้พูดออกมาว่า “จากความรู้ทางการแพทย์ของฉันทำให้คิดว่านายไม่มีฝีมือการแพทย์ระดับที่ล้ำหน้าใครในโลกได้เลยจริงๆ
ฉันคิดผิดเองที่ทำเรื่องแบบนั้นจนสร้างความเสียหายให้นายฉันขอโทษด้วย
แต่ด้วยเรื่องนั้นทำให้เมื่อความจริงปรากฎแล้วว่านายนั้นคือหมอที่แท้จริงและกลับได้รับความนิยมยิ่งกว่าเดิม เพราะฉะนั้นก็ถือว่าไม่ได้ไม่เสียหายอะไร
เราอย่ามาต่อสู้ทั้งๆที่เราทั้งคู่ไม่ได้บาดหมางอะไรกันเลยดีกว่านะ นายได้สอนบนเรียนดีๆให้กับฉันแล้วและยังได้สร้างชื่อเสียงให้กับการแพทย์แผนจีนอีกด้วย จนแม้แต่การแพทย์ทั่วทั้งโลกก็ยังตกตะลึง…”
ฉิวจิงพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาและทุกคำพูดล้วนแล้วแต่ดูดีอย่างมาก แต่นั่นกลับทำให้มู่ติงขมวดคิ้วหนักมากพลางคิดไปว่า
ที่เธอบอกไปก่อนหน้านี้ว่าให้ฉิวจิงพูดออกมาอย่างจริงใจนี่ไม่ได้เข้าหัวสมองหมอนี่เลยรึไงนะ หรือว่าหมอนี่มันพูดได้แต่คำพูดแบบนี้รึไงกัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น