Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 972-975
GGS:บทที่ 972 ทรงพลัง
ในคลีนิกพิเศษ ลูฉินหมิงและหมอคนอื่นๆในตอนนี้ถูกเชิญ(ไล่)ให้ออกไป เหลือเพียงซูจิ้ง เด็กชายตัวน้อยและพ่อแม่ของเด็กชายเพียงเท่านั้น
ลูฉินหมิงและหมอคนอื่นต่างก็รู้สึกว่าสิ่งที่ซูจิ้งทำนั้นไม่เหมาะสมเลยแม้แต่น้อยกับการที่เขาได้ไปสัญญาในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้กับพ่อแม่ของเด็ก
ในขณะเดียวกันพวกเขายังคงเป็นกังวลในตัวซูจิ้งด้วยเช่นกัน พวกเขากังวลว่าด้วยความสามารถในการแพทย์ของซูจิ้งนั้นนอกจากจะรักษาไม่หายแล้วเกรงว่าจะทำให้เด็กน้อยตาบอดไปเลยเสียอีก
นั่นก็เพราะว่าต่อให้ซูจิ้งมีทักษะการแพทย์สูงเทียมฟ้าขนาดไหน แต่นี่ก็ยังถือว่าเขาเพิ่งจะได้เรียนเพียงไม่กี่วันเท่านั้น เขานั้นยังถือได้ว่าขาดประสบการณ์อย่างมาก
อย่างไรก็ตามพวกเขาต่างก็คิดว่าซูจิ้งนั้นใจร้อนและมั่นใจในทักษะความสามารถเกินไป ซึ่งสิ่งนี้แม้แต่ตัวของลูฉินหมิงและหมอคนอื่นก็ไม่อาจทำอะไรได้เพราะยังไงซะซูจิ้งก็ยังถือว่าเป็นประธานของพวกเขาอีกด้วย นี่ทำให้ทุกคนเริ่มเป็นห่วงอนาคตของโรงพยาบาลอย่างมาก
“หมอซูครับ อาการตาบอดของลูกชายของผมจะรักษะได้รึเปล่าครับ” พ่อของเด็กน้อยได้ก้าวเท้าเข้ามาข้างหน้าซูจิ้งก่อนที่จะเอื้อมมือตัวเองไปจับมือกับมือของซูจิ้งด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อย
“อย่ากังวลไปเลยครับ โรคนี้ผมสามารถรักษาให้หายได้” ซูจิ้งพยักหน้ารับพลางตบบ่าของชายตรงหน้า เขาพลันนึกไปถึงเรื่องที่ลูฉินหมิงสอบถามอาการก่อนหน้านี้ เขานั้นได้ยินมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าเด็กน้อยคนนี้มีอาการตาเป็นต้อ
แต่นั่นก็ต้องทำให้ซูจิ้งนึกสงสัยอย่างหนึ่งก่อนจะถามออกมาว่า “ขอถามหน่อยได้หรือเปล่าครับว่าคุณไปได้ยินเรื่องที่ผมสามารถรักษาอาการทางสายตานี้มีจากไหน คุณรู้แม้กระทั่งว่าผมมียาพิเศษสำหรับรักษาโรคนี้โดยเฉพาะอีกด้วย”
“เอ่อออ เป็นตอนที่พวกเราสองคนพาลูกของผมไปโรงพยาบาลเฉพาะทางแล้วพบว่าลูกชายของพวกเรามีอาการเป็นต้อขั้นร้ายแรง ที่นั่นผมได้ยินหมอคนหนึ่งสามารถรักษาโรคนี้ได้ในทันที
แต่เมื่อพวกผมพาลูกชายไปรักษาจริงๆกลับพบว่าหมอคนนั้นสามารถรักษาได้เพียงชะลออาการไว้ได้เท่านั้น กลับกันหลังจากรักษาเขากลับตัวพบว่าหากไม่รักษาอย่างต่อเนื่องล่ะก็ อาการเสื่อมของกระจกตาของลูกผมนั้นมีแนวโน้มว่าจะเสื่อมเร็วขึ้นอีกด้วย
ถึงขนาดที่หมอที่นั่นพูดออกมาเลยว่าด้วยวิธีการรักษาของเขาในตอนนี้ถือได้ว่าดีที่สุดในโลกแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถรักษาให้หายได้
นี่จึงทำให้ผมนั้นรู้สึกได้แล้วว่าอาการดวงตาของลูกชายของผมนั้นหนักกว่าที่คิดมาก ในตอนนั้นผมก็ไม่เหลือทางเลือกอะไรจึงได้ทำการสืบค้นหาว่ามีหมอคนไหนบ้างที่ดีกว่าหมอพวกนั้นในเมืองจีน
แต่ขนาดหมอที่ดีที่สุดในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในเมืองจีนก็ยังขอยอมแพ้กับโรคทางสายตาของลูกชายของผมเลย
ไม่คาดคิดว่าอยู่ๆผมก็ได้ข่าวเกี่ยวกับเด็กคนหนึ่งที่ชื่อว่าหลัวเสี่ยวซีที่มีอาการตาบอดด้วยโรคภัยเช่นเดียวกับลูกชายของผม ในตอนแรกเธอเองก็ถูกวินิจฉัยว่าดวงตาจะไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้
แต่ตอนนี้เธอกลับหายดีแล้ว ผมเลยลองสืบเพิ่มเติมดูก็พบว่าไม่เพียงแค่เธอหายจากอาการตาบอดเท่านั้น แต่สายตาของเธอกลับดีขึ้นเสียยิ่งกว่าเดิม
นี่เป็นเหตุผลที่ผมบุกเข้าไปหาหลัวเทียนฟู่ซึ่งเป็นพ่อองหลัวเสี่ยวยี่ ตอนแรกเขาเองก็ไม่ได้มีท่าทีจะยอมบอกแม้แต่น้อย แต่เมื่อเขาได้รู้เรื่องของลูกชายของผมและเมื่อเขาพิสูจน์แล้วว่าเรื่องราวของผมเป็นเรื่องจริง
เขาเองก็เหมือนจะเข้าใจความทุกทรมานของพวกผมดีจึงยอมบอกเรื่องของคุณครับ คุณซู” พ่อของเด็กน้อยได้ร่ายยาวออกมาด้วยความจริงใจ
“โอ้ เป็นเช่นนี้” ซูจิ้งพยักหน้ารับ ความจริงเขาก็พอจะคิดเรื่องแบบนี้ไว้บ้างอยู่แล้วว่าไม่ว่าจะหลบยังไงก็หลบไม่พ้นที่ความลับนี้จะรั่วไหลออกมา
ถึงแม้เขาจะสามารถควบคุมให้หลัวเทียนฟู่ให้รักษาความลับของสถาบันวิจัยฯห้วงเวลาฯของเขาไว้ได้อย่างดีก็จริง แต่สำหรับการรักษาลูกสาวของเขาให้หายขาดจากอาการทางสายตาของลูกสาวของเขานั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง
ด้วยการที่เขานั้นไม่ได้รักษาลูกสาวของหลัวเทียนฟู่ที่มีอาการป่วยทางดวงตาที่ใครๆก็บอกว่าหนักมากแต่เขากลับรักษาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
นี่จึงทำให้เรื่องราวการรักษาอาการทางสายตาของเด็กสาวคนนี้เป็นจุดเริ่มต้นของตำนานการรักษาของเขาเหตุการณ์หนึ่งเลยทีเดียว
ถึงแม้ว่าเรื่องราวที่ว่าใครเป็นผู้รักษาหลัวเสี่ยวซีจะไม่เป็นที่ปรากฎชัดนัก แต่หากมีคนที่ตั้งใจจริงในการรักษาแบบชายคนนี้ที่ต้องการรักษาอาการทางสายตาของลูกชายตัวเอง
แน่นอนว่าหากไม่ละความพยายามสักหน่อยและโอกาสอำนวย แน่นอนว่าย่อมเจอว่าเป็นซูจิ้งที่เป็นคนรักษาลูกสาวของหลัวเทียนฟู่ได้อย่างไม่ยากเย็น
“เด็กน้อย มานี่มา ให้ฉันนวดผ่อนคลายนายสักหน่อย” ซูจิ้งค่อยๆดึงเด็กชายตัวน้อยให้เข้ามาใกล้ๆกับตัวเองก่อนที่จะทำท่าคล้ายๆกับนวดคลายประสาทที่ตรงดวงตา
แต่ที่จริงนั้น ซูจิ้งในตอนนี้ได้เริ่มการรักษาโดยอย่างแรกที่เขาทำนั้นคือการใช้เวทย์มนต์สัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิ
เวทย์นี้เป็นหนึ่งในเวทย์มนต์รักษาโดยใช้พลังภายในแห่งพฤษษาในการรักษาจากบริเวณปลายนิ้วของตนเองในระหว่างการกดนวด
หลังจากนวดไปได้สักพักหนึ่ง ซูจิ้งก็ได้หยุดมือลง พ่อแม่ของเด็กชายที่เห็นนั้นตอนแรกที่ได้ยินทั้งสองก็คิดว่าซูจิ้งอาจจะใช้วิธีการนวดที่พิเศษอย่างการกดจุดแบบในหนังจีนแต่ก็ไม่คิดว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นเป็นเพียงแค่การนวดธรรมดาเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านการนวดไปแล้ว เมื่อเด็กน้อยได้ลืมตาขึ้น เขาแสดงท่าทีมีความสุขอย่างมาก ก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“พ่อครับแม่ครับ ผมว่าผมเห็นอะไรๆชัดขึ้นแล้วนะ”
“ห้ะ จริงเหรอ” พ่อแม่ของเด็กน้อยถามย้ำออกมาด้วยท่าทีที่สุขใจ แม่ของเด็กน้อยได้ลองถอยหลังไปสองก้าวก่อนที่จะถามเด็กน้อยว่าเห็นเธอชัดหรือไม่
เธอได้ถอยไปเรื่อยๆชนิดที่ว่าไกลจนสุดห้องแต่เด็กน้อยก็ยังบอกอย่างหนักแน่นว่าเห็นชัดอยู่ดี แม่ของเด็กน้อยได้ลองชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้วแล้วถามออกมาว่า “ยี่น้อย นี่อะไรเอ่ย”
“สอง” เด็กน้อยตอบออกมาชัดถ้อยชัดคำอย่างรวดเร็ว
“แล้วนี่ล่ะ” แม่ของเด็กน้อยได้เปลี่ยนมือแล้วชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว
“สาม” เด็กน้อยได้ตอบออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำอีกครั้ง
“สุดยอด คุณซู คุณคือหมอเทวดาจริงๆ” พ่อแม่ของเด็กน้อยในตอนนี้อย่างอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ นั่นก็เพราะว่าทั้งสองเคยได้พอเด็กน้อยไปรักษาอยู่ในพยาบาลใหญ่ในเมืองหลวงอยู่หลายวันแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีว่าอาการของเด็กน้อยจะดีขึ้นเลยสักนิด
แต่นี่เพียงซูจิ้งนวดลูกชายของเธอธรรมดาๆเท่านั้น อาการของลูกชายของทั้งสองคนกลับหายดีเป็นปิดทิ้ง
“อย่าเพิ่งดีใจไปครับ ที่ผมทำในตอนนี้เป็นเพียงการรักษาแบบเร่งด่วนเท่านั้น เขานั้นยังตั้งมีการรักษาอย่างต่อเนื่องอยู่” ที่ซูจิ้งพูดออกมานี้เป็นความจริง นั่นก็เพราะว่าเวทย์มนต์สัมผัสแห่งใบไม้ฯนี้ทำได้เพียงรักษาอาการบาดเจ็บของดวงตาของเด็กชายคนนี้เท่านั้นเพื่อที่จะไม่ให้เด็กน้อยต้องตาบอด
แต่นี่ก็ยังไม่ใช่การรักษาที่แท้จริง หากว่าเด็กน้อยคนนี้ไม่ได้มารักษาอย่างต่อเนื่อง ไม่นานเด็กน้อยคนน้อยจะมีอาการเช่นเดิม นั่นก็เพราะเหตุแห่งโรคยังไม่ได้รักษานั่นเอง
หลังจากนั้นซูจิ้งได้พูดออกมาต่อว่า “ให้ลูกชายของพวกคุณแอดมิตที่นี่ก่อนแล้วกัน หลังจากผมรักษาต่ออีกสองสามวันเขาก็น่าจะหายเป็นปกติดี”
“ได้ครับ/ได้ค่ะ พวกเรายินดีที่จำตามสิ่งที่คุณหมอซูพูด” ทั้งสองคนในตอนนี้เชื่อใจซูจิ้งอย่างมาก
หลังจากนั้น ทั้งสองได้จากไปพร้อมทั้งฝากฝังซูจิ้งให้ดูแลลูกของเขาด้วยน้ำตาแห่งความปิติ ก่อนกลับซูจิ้งได้ขอให้พ่อแม่ของเด็กน้อยนำใบสั่งยาไปให้ห้องจ่ายยาก่อนที่จะกลับไป ไม่นาน ก็ได้มีพยาบาลมาจัดการต้มยาให้เด็กน้อยดื่ม
ลูฉินหมิงและหมอคนอื่นๆเองต่างก็รู้สึกกังวลแทนซูจิ้งอยู่บ้าง นั่นก็เพราะซูจิ้งไม่ได้ทำอะไรพิเศษอย่างอื่นเลยนอกจากการนวดตาให้เด็กน้อยและให้เขาดื่มยาเพียงเล็กน้อยในทุกวันที่เขาอยู่ที่นี่เท่านั้น
นี่ยิ่งทำให้พวกเขานั้นรู้สึกอึดอัดมากๆขึ้นในทุกๆวัน สำหรับพวกเขาแล้ว โรคที่ทำร้ายระบบประสามทแบบนี้ไม่มีทางเลยที่จะหายได้ พวกเขากังวลว่าหาซูจิ้งยังคงรักษาจนกระทั่งเด็กน้อยสูญเสียการมองเห็นไป พวกเขาไม่อยากจะนึกสถานการณ์ที่คู่สามีภรรยาคู่นั้นมาฟ้องร้องพยาบาลเลียแม้แต่น้อย
“ยี่น้อยเป็นยังไงบ้าง” ลูฉินหมิงที่เห็นนางพยาบาลที่ดูแลเรื่องยาให้เด็กน้อยออกมาจากห้องพักคนไข้ที่เด็กน้อยพักอยู่ เขาก็ได้แอบถามด้วยน้ำเสียงเบาๆ ในก็เพราะด้วยการที่พ่อแม่ของเสี่ยวยี่ยังเป็นกังวลในอาการของลูกชายอยู่บ้าง หลังจากจัดการเรื่องทุกอย่าง ผู้เป็นแม่ก็ได้มาอยู่เพื่อนของลูกน้อยของเธอ เขาจึงเกรงว่าเธอจะได้ยินคำพูดแย่ๆเกี่ยวกับอาการของลูกเธอ
“การมองเห็นของเขาดีขึ้นมาก ประธานของเรานี่สุดยอดจริงๆ” นางพยาบาลสาวได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ห้ะ ดีขึ้นมากแล้ว เป็นไปได้ยังไงกัน” ลูฉินหมิงทำได้เพียงตกใจจนอุทานออกมาเบาๆและนิ่งไปในทัที เขานั้นกังวลมาตลอดว่าอาการของเด็กน้อยจะแย่ลงจึงได้แอบเข้ามาถาม
แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าจะได้ยินคำตามที่ไม่ได้คาดคิดแบบนี้มาก่อน นั่นก็เพราะนี่พึ่งจะผ่านไปได้เพียงวันเดียวเท่านั้น ต่อให้การรักษาโรคนี้ที่ดีที่สุดที่เขารู้จักก็ไม่มีทางทำได้ขนาดนี้ แถมยังไม่มีผลในการฟื้นคืนการมองเห็นอีกด้วย
“ใช่ค่ะ ตอนนี้เขาเห็นได้ชัดเจนดีกว่าตอนที่เขาเข้ามาที่นี่วันแรกมากเลย” นางพยาบาลสาวยังพูดต่อ
ลูฉินหมิงที่ได้ยินดังนั้นก็ไม่เชื่อในทันที เขาได้เปิดประตูแล้วเข้าไปตรวจดูอาการของเด็กน้อยแบบดื้อๆชนิดที่สองแม่ลูกที่อยู่ในห้องตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
หลังจากตรวจเสร็จแล้ว ลูฉินหมิงก็ได้เดินออกมาจากห้องโดยทิ้งให้สองแม่ลูกมองตามออกมาก่อนที่จะหันหน้ามาจ้องมองกันด้วยท่าทีงงงวย แต่หากทั้งสองเห็นหน้าของลูฉินหมิงในตอนนี้จะเห็นว่าหน้าของเขานั้นงงงวยยิ่งกว่าทั้งสองคนพร้อมกับท่าทางประหลาดใจ
หมอบางคนที่กังวลเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วเมื่อเห็นลูฉินหมิงเพิ่งออกมาจากห้องด้วยท่าทีแปลกๆก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปถามสถานการณ์
แต่ยิ่งได้ยินคำถาม ลูฉินหมิงก็ยิ่งทำหน้าเหมือนอยากจะบอกอะไรสักอย่างแต่ก็พูดอะไรไม่ออก นั่นก็เพราะว่าอาการของยี่น้อยนั้นดีขึ้นอย่างหน้าเหลือเชื่อ
ลูฉินหมิงยังแอบลอบติดตามอาการของเด็กน้อยแบบนี้อยู่อีกสองวันด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเป จนในวันที่สาม หลังจากที่พวกเขาตรวจสอบการมองเห็นของเสี่ยวยี่อีกครั้ง หมอทุกคนต่างก็แทบจะทรุดลงไปอยู่ที่พื้นในทันทีที่รู้ผล
“หลัง….หลังจากผ่านการรักษามาเพียง….สามวัน…ก็หายดีแล้วเหรอ …………… เป็นไปไม่ได้”
“ไม่…..ไม่เพียงการมองเห็นจะฟื้นฟู แม้แต่ระยะการมองเห็นก็ดีขนาด 5.3 อีกด้วย” ต้องบอกกันก่อนว่าโดยปกติแล้วสายตาคนทั่วไปนั้นจะมีระยะการมองเห็นที่ 5.2 นั่นคือเต็มที่แล้ว
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหมอทุกคนถึงตกตะลึงจนเข่าอ่อนนั่นก็เพราะว่าซูจิ้งนั้น ไม่เพียงจะรักษาอาการกระจกตาเสื่อมได้แล้วเขายังเพิ่มศักยภาพการมองเห็นให้เด็กน้อยอีกด้วย
“ประธานซูทำได้ยังไงกัน”
หมอในโรงพยาบาลจงหยุนกังเฟิงในตอนนี้ที่ได้ยินเรื่องราวต่างก็มีท่าทีราวกับเห็นผี สิ่งที่พ่อแม่ของยี่น้อยบอกพวกเขาเป็นความจริง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วข่าวลือเรื่องอื่นของซูจิ้งที่เกี่ยวข้องกับการรักษาล่ะ…………..
GGS:บทที่ 973 เป็นไปไม่ได้
เมื่อพ่อแม่ของยี่น้อยได้ยินผลการวินิจฉัยโรคในปัจจุบันของเด็กน้อยก็ได้ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ และเรื่องนี้ก็ยังทำให้เหล่าบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนแห่งนี้คุยกันไปทั่วจนทำให้เรื่องนี้หลุดรอดไปถึงหูของสาธารณชนเรียบร้อยแล้ว เรียกได้ว่าแทบจะในทันทีที่ผลการรักษาออกมาด้วยซ้ำ
“ห้ะมีคนไปจ่ายเงินให้ซูจิ้งหนึ่งล้านหยวนเพื่อรักษาจริงๆเหรอ”
“เห็นเขาว่ากันว่าโรคกระจกตาเสื่อมระยะสุดท้ายนี่มันร้ายแรงและรักษาไม่ได้นี่นา แถมหากรู้ตัวช้าไปมีโอกาสตาบอดแบบถาวรอีกด้วย แล้วทำไมซูจิ้งใช้เวลาเพียงสามวันในการรักษาให้หายขาดแถมยังทำให้ทัศนวิสัยของคนไข้เป็นระดับ 5.3 ได้กัน”
“ต้องเป็นเรื่องหลอกลวงแน่ หมอนั่นไม่ใช่พระเจ้าซะหน่อย”
“พวกเราเข้าใจผิดเกี่ยวกับซูจิ้ง เขาเป็นหมอจริงๆงั้นเหรอเนี่ย”
“ไม่มีทางน่า หมอนี่เพียงแค่คนที่มีธุรกิจมากมายเท่านั้น เขาไม่ได้เรียนหมอมาด้วยซ้ำ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างเขาจะเป็นหมอเทวดาไปได้ ฉันว่าเขาแค่ทำตัวอวดอ้างหาชื่อเสียงเท่านั้นแหล่ะ ต่อให้รักษาคนไข้ที่ตาบอดได้แล้วยังไงล่ะ แค่นี้ไม่สามารถเรียกตัวเองว่าหมอเทวดาได้หรอก”
“เอ่ออออ ถ้าดูจากการที่ทำให้ผู้คนพูดถึงในตอนนี้ฉันว่าเขาไม่ได้อวดอ้างหาชื่อเสียงนะ ตามประวัติการรักษาของเด็กน้อยที่ซูจิ้งรักษานั้น เขาไปมาทุกโรงพยาบาลชั้นนำในเมืองจีนแล้วแต่ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย มีแต่แย่ลงด้วยซ้ำ”
“ไม่ใช่ว่าการที่ซูจิ้งเข้าโรงพยาบาลนั่นไปเพียงเพราะต้องการใช้เขาเป็นตัวมาสคอตของโรงพยาบาลหรอกเหรอ”
“…..นี่อาจิ้งเป็นหมอเทวดาจริงเหรอเนี่ย….” เมื่อหวังจ้าวได้เห็นข่าวนี้ถึงกับอุทานออกมาในทันที เขาไม่ได้สงสัยใจตัวของซูจิ้งแม้แต่น้อย
เนื่องจากคบกันมานานจึงรู้ดีว่าตัวซูจิ้งนั้นไม่มีนิสัยและความจำเป็นในการที่ต้องสร้างข่าวปลอมมายกระดับชื่อเสียงของตัวเองหรือแม้แต่เป็นตัวมาสคอตให้ใครอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามเขาเองก็ไม่เคยมีข้อมูลหรือเคยได้ยินมาก่อนว่าซูจิ้งมีความสามารถด้านการแพทย์ หรือแม้แต่ร่ำเรียนวิชาแพทย์จากไหนมาก่อน นี่จึงบอกได้ว่าสำหรับหวังจ้าวแล้วซูจิ้งไม่ใช่เพียงแค่หมอแต่อยู่ในระดับพระเจ้าเข้าไปแล้ว
ถึงแม้ว่าลูกชายของเขาจะเคยได้รับการช่วยเหลือจากซูจิ้งในการรักษาจากอาการเบื่ออาหารก็จริงแต่นั่นก็สมควรจะเป็นทักษะด้านการทำอาหารของเขาเท่านั้น
ถึงแม้ว่าต่อมาเขานั้นจะรักษาอาการนอนไม่หลับของพ่อของเขาแค่นั่นก็สมควรเป็นฝีมือในการเล่นกู่จิ้งของซูจิ้งเช่นเดียวกัน การรักษาพวกนั้นช่างห่างไกลจากการเป็นหมอจริงๆมากนัก
“ช่างมันเถอะ คิดมากไปก็เท่านั้น ยังไงซะอาจิ้งก็มักทำอะไรที่ฉันคาดไม่ถึงอยู่แล้ว เขารู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่และมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าทำเพื่ออะไร” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม นี่แสดงให้เห็นว่าเขานั้นได้เลิกกังวลเรื่องซูจิ้งได้แล้วอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากเฉิงหนาน หวังซือหยา เหว่ยเสี่ยวหยวน และคนอื่นๆที่สนิทกับซูจิ้งได้ยินข่าวนี้ต่างก็มีท่าทีคลายกังวล แน่นอนว่าพวกเขานั้นล้วนแล้วแต่มีความคิดไม่ต่างจากหวังจ้าวมากนัก นั่นก็คือก่อนหน้านี้พวกเขากังวลหนักมาก แต่ตอนนี้ต่างก็เลิกที่จะกังวลและทำเพียงยิ้มออกมาอย่างสบายใจ และต่างก็รู้สึกลึกๆในใจว่าซูจิ้งอาจจะทำในสิ่งที่เรียกว่าการยกระดับวงการอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้จะเป็นวงการแพทย์อย่างแน่นอน
ฉิวจิงที่ได้เห็นข่าวนี้ก็ได้หัวเราะออกมาในทันทีก่อนที่จะพูดออกมาว่า “เห้ออออ หมอนี่ ถ้าอยากโอ้อวดตัวเองหาชื่อเสียงก็ควรจะหาเคสที่เป็นไปได้มาหน่อย หมอนี่ไม่มีหัวคิดเลยจริงๆ ใครๆก็รู้ว่าอาการกระจกตาเสื่อมระยะสุดท้ายไม่มีทางรักษาได้ แต่ดันโอ้อวดออกมาว่าใช้เวลาเพียงสามวันแถมยังสร้างเรื่องเป็นว่าทำให้ระยะการมองเห็นกลับมาและดีขึ้นเป็นระดับ 5.3 ได้นี่ใครจะไปเชื่อ นี่หมอนี่คิดว่าคนบนโลกนี้โง่เง่ารึไงกัน
ซูจิ้งหนอซูจิ้ง ฉันคิดแล้วว่าแกมันแค่ขยะของวงการแพทย์ ฉันอยากจะรู้จริงๆว่าแกจะมีจุดจบยังไง”
ฉิวจิงไม่ได้พูดเรื่องนี้ออกมาเพียงเพราะดูแคลนซูจิ้งเท่านั้น เขายังใส่ความเห็นของตัวเองเกี่ยวกับข่าวการรักษาของซูจิ้งลงในไมโครบลอกของตัวเอง
เขาได้ทำการวิเคราะห์ความเป็นได้ที่เกิดขึ้นจากเคสการรักษาของซูจิ้งจากมุมมองทางการแพทย์ของตัวเองและแสดงความคิดเห็นของตัวเองผสมโรงเข้าไปด้วย
เขาอธิบายออกมาอย่างชัดเจนว่าทำไมจึงเป็นไปไม่ได้ที่ซูจิ้งจะใช้เวลาเพียงสามวันในการรักษาและเพิ่มศักยภาพในการมองเห็นของคนได้ และพูดออกมาอย่างชัดเจนว่าการรักษาของซูจิ้งเป็นเพียงการอวดอ้างของซูจิ้งเพื่อสร้างชื่อเสียงให้เขาเองเพียงเท่านั้น
เพียงเขาโพสต์ข้อความนี้ลงไปในไมโครบลอกของตัวเอง ตอนนี้ได้มีเหล่าผู้ใช้หลายๆคนทำการแชร์ข้อความนี้ออกไปอย่างรวดเร็ว และหลายๆคนเองก็เป็นหมอเช่นเดียวกัน
พวกเขาออกมาเคลื่อนไหวก็เพราะว่าข่าวลืออันไม่น่าเชื่อถือของซูจิ้งและยืนยันว่าข้อความที่มาจากฉิวจิงเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เรื่องการรักษาของซุจิ้งสมควรจะเป็นสิ่งที่โรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนนั้นสร้างขึ้นมาเพื่อชื่อเสียงเท่านั้น
“ฉิวจิงเหรอ ฉันจำได้ว่าหมอนี่จบมาจากมหาวิยาลัยเทียนหยางเหมือนกันนี่นา ก่อนหน้านี้ฉันเองก็คิดว่าเขานั้นเป็นคนดีคนหนึ่งมาโดยตลอด ทำไมอยู่ๆหมอนี่ถึงได้กล้าใส่ร้ายพี่จิ้งได้กัน” เสี่ยวรุย หลินฮ่าว ฉือเล่ย และคนอื่นๆที่เห็นข้อความในไมโครบลอกต่างก็รู้สึกไม่ดีหมอนี่ในทันที
ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นจะไม่รู้ว่าซูจิ้งอยู่ๆก็มีความสามารถในการแพทย์ได้ยังไง แต่พวกเขานั้นต่างก็เชื่อว่าซูจิ้งเป็นมนุษย์คนหนึ่งในหมู่ผู้คนที่ไม่เคยสร้างภาพหรือหลอกลวงด้วยการช่วยเหลือผู้คนและรักษาคนเหล่านั้น
“เธอว่าข่าวของซูจิ้งนั้นน่าเชื่อถือหรือคำพูดขอฉิวจิงน่าเชื่อถือกว่ากันน่ะ” ในภัตตาคารแห่งหนึ่ง หวังหยานและมู่ติงกำลังทานมื้อค่ำกันอยู่ ในระหว่างนั้นมู่ติงได้เห็นข่าวที่ซูจิ้งได้รักษาอาการตาบอดจึงได้ถามออกมา
“ไม่รู้สิ ฉันเองก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับแพทย์เลยสักนิดนี่นา” หวังหยานพูดออกมา
มู่ติงที่เฝ้าสังเกตอาการของเพื่อนรักในขณะตอบอยู่ก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าพูดถึงตามหลักเหตุผลแล้ว ฉิวจิงที่เป็นหมอน่าจะเชื่อได้มากกว่าไม่ใช่เหรอ
ดูเหมือนว่าเธอยังคิดว่าซูจิ้งนั้นยังเป็นคนที่ยากจะคาดถึงอยู่อีกสินะถึงไม่กล้าพูดออกมา หลังจากเรียนจบมาแล้วเขาจะเอาเวลาไปเรียนทักษะการแพทย์พวกนี้ได้ยังไงกัน ฉันได้ยินมาว่าเขาเพิ่งจะได้รับใบรับรองการเป็นแพทย์เองด้วยซ้ำ”
“ใครจะไปรู้ล่ะ” หวังหยานตอบออกมาสั้นๆแล้วทำการดิ่มจนหมดแก้วราวกับไม่ใส่ใจ แต่ในใจเธอนั้นกำลังคิดอยู่ว่าหากว่าข่าวลือที่ว่าซูจิ้งสามารถรักษาอาการกระจกตาเสื่อมที่โรงพยาบาลกังเฟิงนั่นเป็นจริงล่ะก็ นี่มันไม่ได้หมายถึงว่าตัวเขานั้นเป็นหมอเทวดาหรอกเหรอ
ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง หวังกังหยุน หมอสูงอายุผู้ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในวงการแพทย์ด้านการใช้แพทย์แผนจีนกำลังแจ้งผลการตรวจให้กับผู้ป่วยคนหนึ่งฟัง
ผู้ป่วยที่เป็นชายวัยกลางคนได้ถามออกมาว่า “หมอหวังครับ ทำไมผมรักษามาตั้งหลายวันแล้วตาของผมยังมองไม่ค่อยเห็นอีกล่ะ”
“อาการต้อหินของคุณนั้นอยู่ในระดับที่หนักมากเลยครับ การรักษาในตอนนี้ยังอยู่ในระหว่างกระบวนการอยู่ ไม่มีทางเลยที่จะรักษาโรคนี้ได้ด้วยเวลาอันสั้นหรอกครับ
แต่จากอาการในตอนนี้แล้วผมบอกได้เลยว่าเป็นสัญญาณที่ดีเพราะอาการต้อหินของคุณนั้นดีขึ้นเป็นระดับ ตราบใดที่คุณยังได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องจะค่อยๆดีขึ้นอย่างช้าๆครับ” หวังกังหยุนตอบออกมา
“ผมได้ยินมาว่ามีคนที่ป่วยเป็นโรคกระจกตาเสื่อมไปรักษาที่โรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนแล้วหาโดยใช้เวลาเพียงสามวัน ไม่เพียงเท่านั้น คนไข้คนนั้นยังมีระยะการมองเห็นที่ดีขึ้นในระดับ 5.3 เลยนี่นา” ชายวัยกลางคนได้ถามออกมา
“เรื่องนั้นเองน่ะเหรอ คุณคิดว่าเรื่องนั้นเป็นไปได้จริงๆเหรอครับ ขนาดวิธีการรักษาที่ดีที่สุดของการแผนสมัยปัจจุบันนี่ยังทำแบบนั้นไม่ได้เลย
ผมว่าคนไข้คนนั้นน่าจะเป็นคนที่ถูกจ้างมาเพื่อจะได้โฆษณาเกี่ยวกับคลีนิกพิเศษของที่โรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนเสียมากกว่า
ก่อนหน้านี้ผมเองก็เคยพูดถึงคลีนิกพิเศษนั่นออกสื่อไปแล้วว่าเขาทำมันขึ้นก็เพราะละโมบอยากได้เงินก็เท่านั้นเอง ดูเหมือนว่าหมอนั่นจะไม่ยอมหยุดหลังจากที่ผมพูดไปจริงๆนะ” หวังกังหยุนได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“แค่ข่าวลือเหรอ” ชายวัยกลางคนถามออกมาอีกครั้ง
“คุณไม่จำเป็นต้องไปหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนั้นหรอกครับ แค่ฟังดูก็รู้ว่าเป็นข่าวลืออยู่แล้ว ไม่มีทางที่เรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้นได้จริงอย่างแน่นอน
ต่อให้คุณไปลองรักษาดูเองผมก็กลัวแต่ว่าจะไม่เพียงเสียเงินก้อนโต แต่ยังจะทำให้อาการของคุณแย่ลงจนทำให้มีผลต่อการรักษาให้หายออกไปอีกเท่านั้น” หวังกังหยุนพูดออกมา
“ก็ได้ครับ ผมเชื่อหมอหวังแล้วกัน” ชายวัยกลางคนพูดออกมา
“อย่าไปคิดมากเรื่องนั้นเลยครับ เอาเป็นว่าคุณรู้สึกดีที่ได้ผมรักษาแค่นั้นผมก็ดีใจแล้ว” หวังกังหยุนพยายามปลอบคนไข้ของเขา พลางคิดเรื่องข่าวลือของซูจิ้งที่ส่งผลต่อคนไข้ของเขาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเคืองอยู่ในใจ
การกระทำที่หวังเพียงแสวงหาผลประโยชน์ของซูจิ้งแบบนี้ถึงแม้เขาจะเชื่อว่าซูจิ้งจะทำได้อีกไม่นาน แต่เขาก็ไม่คิดจะรั้งรอให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกอย่างแน่นอนเพราะทิ้งไว้อาจมีผู้เสียหายจริงๆจนได้
เมื่อคิดได้ดังนั้น หลังจากที่เขาส่งผู้ป่วยออกไป หวังกังหยุนได้ทำการโทรหาสภาการแพทย์ในทันทีเพื่อให้รัฐตรวจสอบการกระทำของซูจิ้ง
เขาถึงขนาดรายงานเรื่องข่าวลือและกล่าวหาซูจิ้งโดยใช้พลังจากภาครัฐและประชาชนเพื่อเล่นงานซูจิ้งให้จนได้ นี่จึงส่งผลให้การรักษาโลกกระจกตาเสื่อมในสามวันของซูจิ้งกลายเป็นเพียงข่าวลือเพื่อหาชื่อเสียงเพียงเท่านั้น
“โคตรน่ารังเกียจจริงๆ คนพวกนี้ไม่รู้อะไรเลยแต่กล้าตัดสินเรื่องนี้โดยไม่หาข้อมูลเพิ่มเติม”
“จริงด้วย เห็นชัดๆว่าประธานซูสามารถรักษาอาการกระจกตาเสื่อมได้ด้วยเวลาเพียงแค่สามวัน แต่หมอคนนั้นกลับบอกว่าเขานั้นเป็นวายร้ายและสร้างข่าวลือมาเพื่อล่อลวงผู้คน”
เมื่อลูฉินหมิงและหมอคนอื่นๆได้รู้เรื่องนี้ถึงกับโกรธเป็นฟืนไฟ ในขณะเดียวกัน เหตุการณ์นี้ก็ทำให้พวกเขาได้รู้สึกว่าพวกเขาเข้าใจความรู้สึกของซูจิ้งในตอนแรกเหมือนกัน
เมื่อถึงเรื่องที่ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาก็ไม่เชื่อในความสามารถของซูจิ้งก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อมาคิดถึงเรื่องนี้แต่ซูจิ้งกลับยังเต็มไปด้วยความไม่ใส่ใจขนาดนี้ได้ นี่เขาเป็นผู้ฝึกตนรึไงกัน
ลูฉินหมิงได้คุยกับพ่อแม่ของเด็กน้อยที่ได้รับการรักษาว่าควรจะปฏิบัติตัวยังไงเพื่อที่จะเป็นการยืนยันว่าซูจิ้งนั้นมีความสามารถจริงๆ
และแน่นอนว่าทั้งสองย่อมเห็นด้วยและไม่มีทางที่จะหักหลังผู้มีพระคุณของลูกเขาได้ แต่ในขณะนั้นเอง คลีนิกพิเศษแห่งนี้ก็ได้มีคนไข้รายที่สองเข้ามา
GGS:บทที่ 974 สตรีมการรักษา
สาธารณชนในตอนนี้ต่างก็ไม่เชื่อว่าซูจิ้งสามารถทำการรักษาโรคได้จริงๆในสามวัน แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้แปลกอะไรนั่นก็เพราะว่าขนาดลูฉินหมิงและบุคลากรของโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้ว พวกเขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าซูจิ้งใช้วิชาแพทย์แขนงใดบนโลกนี้กันแน่
แต่ก็มีสิ่งที่พวกเขานั้นไม่รู้นั่นก็คือหากพูดตามทฤษฏีแล้วซูจิ้งไม่ได้ใช้วิธีการรักษาบนโลกใบนี้ เขาได้ใช้ทรายดำที่ได้มาจากห้วงเวลาฯจูเซียนผนวกเข้ากับเวทย์สัมผัสแห่งใบไม้ฯจึงทำให้สามารถรักษาอาการกระจกตาเสื่อมได้ดีขนาดนี้
ในขณะเดียวกับที่บุคลากรทางการแพทย์กำลังหาวิธีแก้ไขสถานการณ์ชื่อเสียของซูจิ้ง ตอนนี้ก็ได้มีคนไข้รายที่สองของคลีนิกพิเศษแห่งโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนแห่งนี้
คนไข้คนนี้เป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างเตี้ยและมีท่าทีตรงไปตรงมา หลังจากที่เขาจ่ายเงินหนึ่งล้านหยวนไปแล้ว เขาก็ได้ถามออกมาตรงๆอย่างไม่อ้อมค้อมราวกับว่าไม่ใช่คนไข้ยังไงอย่างนั้น
“หมอซูครับ นอกจากเงินหนึ่งล้านหยวนนี่แล้วคุณยังมีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นอีกรึเปล่าครับ” ชายหนุ่มถามออกมา
“หนึ่งล้านหยวนนี่เป็นเพียงค่าใช้จ่ายเริ่มต้นในการเข้าพบน่ะ ยังไม่รวมค่ารักษา แต่มันก็แล้วแต่อาการของผู้ป่วยด้วยเหมือนกันว่ามีอาการมาเป็นแบบไหน
ยังเคสรักษาของผมก่อนหน้านี้ที่รักษาคนไข้กระจกตาเสื่อม ผมคิดค่ารักษาเพิ่มเติมอีกห้าล้านหยวนเช่นกันแต่นั่นก็เป็นการคิดเพิ่มเติมหลังจากรักษาสำเร็จแล้วและยินดีที่จะจ่ายล่ะนะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“เข้าใจแล้วครับ ถึงแม้ว่าเงินห้าล้านหยวนจะฟังดูเยอะก็จริงแต่กับการรักษาผู้ป่วยที่อายุยังน้อยแบบเด็กคนนั้นก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว ถ้าผมเป็นพ่อแม่ของเด็กนั่นเองแน่นอนว่าย่อมยินดีที่จะจ่ายเงินห้าล้านเพื่อรักษาดวงตาของลูกตัวเองเหมือนกัน” ชายหนุ่มพยักหน้าและถามออกมาต่อว่า “แล้ว…ในกรณีของผมคุณหมอจะคิดค่าใช้จ่ายเท่าไหร่เหรอครับ”
“สิบล้านหยวน” ซูจิ้งพูดออกมา
“……..” ชายหนุ่มมีดวงตาที่เบิกกว้างในทันทีที่ได้ยินราคาที่เขาต้องจ่ายเพิ่มเติม เขานิ่งเงียบไปอยู่นานจนในที่สุดเขาก็ทำได้แต่ยิ้มอย่างยอมแพ้และพูดออกมาว่า “หมอซูครับ ขอพูดตรงๆนะผมเองก็ว่าเตรียมใจที่จะกรีดเลือดกรีดเนื้อมาแล้วเหมือนกัน แต่พอได้ยินราคาจากของคุณหมอนี่ยังรู้สึกปวดใจไม่น้อยเลย
แต่ก็นะ ถึงจะพูดออกมาแบบนี้แต่ยังไงซะหากผมได้ตามที่หวังล่ะก็ สิบล้านนี่ไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน”
“สูงขึ้นได้ตั้ง 15 เซนติเมตรนี่ไม่คุ้มเหรอ ผมว่าหากผมขายยานี่ไปตรงๆล่ะก็ เงินสิบล้านนี่ถือได้ว่าผมไม่ได้อะไรเลยนา…” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ก็จริงครับ” ชายหนุ่มที่คิดดูแล้วก็เข้าใจดีเหมือนกัน ความต้องการของเขาคือการเพิ่มความสูงของตัวเขาเองขึ้นอีกขั้นต่ำ 15 เซนติเมตร
ในฐานะที่เขานั้นจริงๆแล้วก็โตเป็นผู้ใหญ่ที่โตเต็มที่แล้วแน่นอนว่าย่อมรู้ดีว่าการเพิ่มความสูงนี้เป็นเรื่องยากแค่ไหน
หากไม่ใช่ซูจิ้งก็คงไม่มีทางที่จะใช้เงินในการเพิ่มความสูงได้แบบนี้ บนโลกนี้มีผู้ใหญ่อีกหลายคนที่ได้แต่ยอมแพ้เกี่ยวกับความสูงของตัวเองแล้วทำได้เพียงพอใจกับความสูงที่สูงได้เท่านั้น
พวกเขาหลายๆคนยินดีที่จะจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อที่จะสานต่อความฝันเรื่องความสูงของพวกเขา หากบอกว่าการให้โอกาสผู้ใหญ่เหล่านี้ได้สูงขึ้นโดยการจ่ายเงินสิบล้านหยวนเพื่อให้ได้มีร่างกายที่สูงขึ้นอีก 15 เซนติเมตรล่ะก็ มีหรือที่พวกเขาจะปฏิเสธหากมีเงินมากพอ
ต่อให้ไม่มีใครอยากแต่อย่างน้อยๆชายหนุ่มคนนี้ต้องการอย่างแรงกล้า เขานั้นไม่พอใจในความสูงของตัวเองที่สูงเพียง 162 เซนติเมตรเท่านั้น
ถึงแม้ว่าเขาจะมีเงินมากมายอยู่กับตัวแต่เงินเหล่านั้นก็ไม่ได้ช่วยให้เขาสูงได้เลยสักนิด เขาได้สูญเสียเงินไปกับยาที่อวดอ้างว่าช่วยให้สูงขึ้นได้มานานแต่ก็ไม่ได้ผลอะไรเลย
เคยแม้กระทั่งจะเข้ารับการผ่าตัดเพิ่มความสูงด้วยซ้ำแต่ถูกทัดทานไว้เพราะว่าการผ่าตัดนี้มีความเสี่ยงและผลข้างเคียงอย่างมากต่อร่างกายจนทำให้เขานั้นเริ่มที่จะยอมแพ้เรื่องนี้ไปอย่างช้าๆ
จนเมื่อไม่นานมานี้เขาได้มีโอกาสเห็นเสี่ยวรุยที่สูงขึ้นจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่แล้วออกมาอวดตัวเองต่อแฟนคลับของเขานั่นทำให้เขาอิจฉาอย่างหมดใจ
และนี่ทำให้ความต้องการที่จะมีร่างกายที่สูงขึ้นของเขากลับมาอีกครั้ง แต่ในตอนนั้น ซูจิ้งเป็นบุคคลที่คนทั่วไปนั้นจะยากเข้าถึงได้ไปแล้ว ถึงขนาดที่ว่าพยายามติดต่อซูจิ้งผ่านตัวแทนของเขาแต่ตัวแทนก็คิดว่าเขานั้นเป็นพวกก่อกวนจึงไม่ได้สนใจ นี่ทำให้เขาได้แต่ยอมแพ้อีกครั้ง
แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาได้รู้มาว่าซูจิ้งเปิดคลีนิกพิเศษขึ้นนี่ทำให้เขานั้นมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เขาจึงได้มาที่นี่เพื่อที่จะได้ลองคุยดูว่าหากเป็นเขาพอจะสูงขึ้นได้อีกหรือไม่ หรือว่าเขานั้นจะต้องปิดประตูเรื่องนี้ไปจริงๆ
ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องกังวลนั้นน่าจะเป็นเรื่องเงินเก็บที่มีต้องหมดเสียมากกว่า แต่หากว่ามันเพิ่มความสูงเขาได้กว่า 15 เซนติเมตรจริงๆล่ะก็ เขาพร้อมที่จะจ่ายเงินสิบล้านหยวนนี้อย่างไม่เสียดายเลยสักนิด
“อ้อ แต่บอกไว้ก่อนนะว่าราคาสิบล้านหยวนยังพอต่อลองกันได้อยู่นา… หากคุณยอมทำตามความต้องการของผมได้ผมก็จะลดราคาให้
ผมนั้นอยากจะให้คนร่วมมือกับผมในการสตรีมตลอดช่วงการยืดความสูงนี้ แน่นอนว่าหากคุณไม่ยอมผมก็จะไม่ว่าอะไรและไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก แต่เรื่องราคานี่อาจจะต้องคุยกันนิดหน่อยว่าจะมีเพิ่มเติมอะไรอีกรึเปล่า” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มบางๆ
“สตรีมมิ่งเหรอ” ชายหนุ่มที่ได้ยินดังนั้นก็ทำได้เพียงนิ่งไปเท่านั้น เขาเองก็เป็นคนฉลาดและรู้ดีว่าซูจิ้งนั้นต้องการอะไรกันแน่
ตอนนี้สาธารณชนต่างก็กังขาในฝีมือการรักษาของซูจิ้งและคิดว่าเป็นเขาที่สร้างเรื่องขึ้นมาเองเพื่อสร้างชื่อเสียงเท่านั้น
หากว่ากระบวนการรักษาความสูงของเขานี้ได้รับการสตรีมมิ่งและเผยแพร่ให้ทุกคนได้ดูแบบสดจนได้เห็นจะๆกับตาล่ะก็ นี่จึงเป็นวิธีการตอบโต้ที่ได้ผลอย่างแท้จริง
อีกอย่าง การเพิ่มความสูงกับการรักษาโรคนั้นแทบจะถือได้ว่าเป็นคนละเรื่องกันเลย การที่จะทำให้ใครสักคนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว สามารถเพิ่มความสูงขึ้นได้อีก 15 เซนติเมตรล่ะก็
นี่จะเป็นสิ่งที่เรียกว่าน่ามหัศจรรย์เสียยิ่งกว่าการรักษาโรคที่ไม่มีใครรักษาหายได้ซะอีก อย่างน้อยๆนี่ก็จะมีคนกลับมาเชื่อซูจิ้งอีกครั้งไม่ว่าจะมากหรือน้อย
แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้คนพวกนั้นคิดไปเองโดยไม่ได้เห็นกับตาว่าอย่างน้อยๆซูจิ้งก็มีวิธีการรักษาโรคที่ไม่มีใครรักษาได้จริงๆ ไม่ใช่เพียงข่าวโคมลอยที่ถึกทักกันไปเองแต่อย่างใด
“แล้ว….อัตราความสำเร็จล่ะครับ” ชายหนุ่มได้หายใจถี่ขึ้นเล็กน้อยก่อนจะถามออกมา สิ่งที่เขากังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ จริงๆแล้วมีเพียงแค่ว่าหาเขาไม่สามารถสูงขึ้นได้อย่างที่หวังจะกลายเป็นขายหน้าไปเปล่าๆ
แถมเขาเองก็ยังตื่นเต้นอีกด้วยกับการที่ได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในการสตรีมของซูจิ้ง หากว่าการรักษานี้สำเร็จไปได้ด้วยดีล่ะก็แน่นอนว่าย่อมสร้างชื่อเสียงให้เขาไปด้วย แต่หากไม่สำเร็จล่ะก็ เขาเองก็คงต้องหักแผ่นลายเซ็นที่เคยได้แล้วโยนทิ้งไปซะแล้ว
“ก็เกือบๆจะร้อยเปอร์เซนต์ล่ะนะ ส่วนเรื่องเวลาไม่นานมากหรอก แค่ประมาณอาทิตย์เดียวน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“เยี่ยม ตกลงครับ ผมจะยอมให้คุณหมอสตรีม” ชายหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วยแทบจะในทันทีที่ได้ยินเกี่ยวกับโอกาสสำเร็จ
หากการรักษานี้สำเร็จได้จริงล่ะก็ อย่าว่าแต่การสตรีมเลย ต่อให้ตั้งกล้องถ่ายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเขาก็ยินดี ยิ่งไปกว่านั้นที่ดีที่สุดคือเขายังประหยัดเงินไว้ได้ กับอีเรื่องแค่นี้ทำไมเขาจะต้องปฏิเสธล่ะ
“งั้นก็เริ่มกันเลยนะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ตอนนี้เหรอครับ” ชายหนุ่มถามออกมาอย่างตกตะลึง
“แหงซิ หรือว่านายไม่ยากจะสูงขึ้นแล้ว” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมแค่จะขอเวลาไปหวีผมโกนหนวดก่อนไม่ได้เหรอ ผมมาที่นี่เองก็มารีบๆด้วย ไม่ได้แต่งตัวมาดีๆเลยด้วยซ้ำ” ชายหนุ่มในตอนนี้พูดออกมาด้วยท่าทีเขินอายเล็กน้อย
“งั้นก็รีบๆหน่อยละกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ชายหนุ่มรีบเข้าไปจัดแจงหน้าตาภายในห้องน้ำ ไม่นานนักเขาก็ได้ออกมา เขาใช้เวลาสิบนาทีหมดไปกับการหวีผมและแต่งหน้า
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มพร้อมแล้ว ซูจิ้งก็ได้ถอดรองเท้าและถุงเท้าออกมาและก็ได้บอกให้ชายหนุ่มถอดออกเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นเขาก็ได้เริ่มการสตรีมในทันที
แน่นอนว่าเขานั้นจะทำการสตรีมบนเว็บไซต์ชาร์คทีวี ด้วยการที่กวงหยวนมีความปลาบปลื้มต่อซูจิ้งอย่างมาก เขาจึงได้สั่งคนของเขาเอาไว้เมื่อใดก็ตามที่ช่องของซูจิ้งมีการสตรีมให้ผลักให้ช่องของซูจิ้งขึ้นเป็นช่องแนะนำอันดับแรกของเว็บไซต์ในทันที และเมื่อทันทีที่ทุกคนได้เห็นซูจิ้งกำลังสตรีมอยู่ นี่ทำให้ทุกคนที่ติดตามเว็บไซต์นี้ต่างก็ตกตะลึงกันไปหมด
“ทำไมซูจิ้งถึงกำลังสตรีมอยู่ได้กันล่ะ ไม่ใช่ว่าเขานั้นวุ่นอยู่กับเรื่องโรงพยาบาลอยู่เหรอ”
“ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกันนะว่าเรื่องการรักษานั่นเป็นซูจิ้งที่แต่งขึ้นมา นี่เขายังมีหน้ามาสตรีมได้อยู่อีกเหรอเนี่ย”
“เดี๋ยวนะ นี่มันในคลีนิกไม่ใช่เหรอ นี่เขาต้องการสตรีมเกี่ยวกับอะไรกันเนี่ย”
“นายไม่เห็นหัวเรื่องการสตรีมเหรอไง เขาบอกเอาไว้สตรีมการรักษา ยืดความสูงให้ผู้ใหญ่ 15 เซนติเมตร”
“ฉันว่าฉันไม่ดูดีกว่านะ การสตรีมผ่าตัดนี่มันโหดร้ายเกินไปสำหรับฉันน่ะ”
“หืม เพิ่มความสูงแล้วเกี่ยวอะไรกับว่ามันโหดร้ายล่ะ”
“การผ่าตัดเพิ่มความสูงนั้น มันมีชื่อเรียกอีกอย่างว่ายืดกระดูกหรือต่อกระดูก วิธีการนี้จะใช้วิธีการที่ร่างกายซ่อมแซมตัวเองจากอาการกระดูกหักมาดัดแปลงเป็นการเพิ่มความสูงให้กับร่างกาย
ถึงแม้ฉันจะไม่รู้ว่าวิธีการนี้จะต้องทำยังไงระหว่างการผ่าตัดกันแน่ก็ตาม แต่แค่ชื่อนี่ฉันก็ว่าโหดร้ายจนนึกภาพตามได้เลย”
“ฉันว่านี่ไม่น่าจะใช่การผ่าตัดเล็กๆอย่างการยืดกระดูกหรอกนะ เพราะการยืดกระดูกนั่นต่อให้โชคดียังไงก็แค่เพิ่มความสูงได้เพียงสองถึงห้าเซนติเมตรเท่านั้น
แต่กับการเพิ่มความสูงกว่า 15 เซนติเมตรนี่ฉันว่ามันจะเหนือล้ำกว่าการยืดกระดูกไปไกลมากเลยล่ะ หรือว่าเขาจะใช้วิธีการทำซ้ำๆกันนะ”
“โอ้ สวัสดีครับทุกคน ขอต้อนรับสู่ห้องส่งของผมนะ” ซูจิ้งพูดออกมาและได้พูดต่อว่า “เป็นไปได้ว่าข้อความที่ผมพิมเอาไว้นั้นอาจจะไม่ได้ชัดเจนมากพอจึงทำให้หลายๆคนกำลังเข้าใจผิด ผมจะบอกว่าวิธีการเพิ่มความสูงของผมนั้นเป็นวิธีการกระตุ้นการเจริญเติบโตของร่างกายเท่านั้น ไม่มีการผ่าตัด หรือใช้เครื่องมือพิเศษใดๆทั้งสิ้น”
“คนที่โตเป็นผู้ใหญ่นี่ยังจะสูงต่อได้อีก 15 เซนติเมตรด้วยเหรอ เป็นไปได้ยังไง”
“ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้มีข่าวว่าเพื่อนเก่าของซูจิ้งเพิ่มความสูงไปอีกสิบเซนหรอกเหรอ งั้นนั่นก็เรื่องจริงน่ะสิ”
“ไม่นะ ไม่ใช่ว่านั่นเป็นข่าวลืออย่างนั้นเหรอ ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าผู้ใหญ่สามารถจะสูงต่อได้อีก”
“หากว่าเรื่องนี้เป็นจริงล่ะก็ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ท้าทายสวรรค์มากเกินไปหรอกเหรอ”
เมื่อผู้ชมได้รับทราบในสิ่งที่ซูจิ้งกำลังจะทำ นี่ทำให้เหล่าผู้ชมเกิดความสนใจเพิ่มมากขึ้น และก็อีกเช่นเคย เรื่องของซูจิ้งได้หลุดออกไปยังนอกเว็บไซต์ชาร์คทีวี และนี่ทำให้คนที่รู้เรื่องนี้รีบเข้ามาดูการสตรีมนี้ในทันทีด้วยความตื่นเต้น
GGS:บทที่ 975 เปลี่ยนไปเพียงวันเดียว
เพียงแค่เริ่มต้นสตรีม ผู้ชมต่างก็เข้ามาชมช่องของซูจิ้งกันอย่างหนาแน่นโดยในตอนนี้เกินกว่าสี่แสนคนเข้าไปแล้วและจำนวนยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เขาและหนุ่มร่างเตี้ยในตอนนี้กำลังทำการวัดสัดส่วนร่างกายเทียบกันอยู่ โดยชายร่างเตี้ยคนนี้มีเข่าและเท้าที่สั้นกว่าเมื่อเทียบกับซูจิ้งที่มีความสูงกว่า 183 เซนติเมตรอย่างเห็นได้ชัด โดยชายร่างเตี้ยมีความสูงรวมเพียง 162 เซนติเมตรเท่านั้น
ทั้งสองยังหันหลังชนกันเพื่อจะเทียบให้เห็นความต่างอย่างชัดเจนและนี่เองทำให้ผู้ชมได้เห็นชัดยิ่งขึ้นว่าหนุ่มร่างเตี้ยมีความสูงเพียงไหล่ของซูจิ้งเท่านั้น
“ดังที่เห็นนะครับ ความสูงของสุภาพบุรุษท่านนี้ทุกคนก็ได้เห็นประจักษ์กับตาตัวเองกันแล้ว ตอนนี้ผมจะเริ่มการรักษา
แต่กระบวนการรักษาของผมนั้นถือว่าเป็นความลับทางการรักษาของหมอเทวดา นี่จึงเป็นเหตุให้ผมไม่อาจเปิดเผยขั้นตอนการรักษาได้
แต่ถึงจะบอกแบบนั้นผมเองจะแสดงให้เห็นผลการรักษาในแต่ละวันแทนครับ และอยู่ในเวลาเดียวกันทุกวัน
โดยผมจะทำการวัดความสูงเทียบกับสุภาพบุรุษท่านนี้แบบนี้ในทุกๆวันเพื่อที่จะให้ทุกท่านได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
หากคุณคิดว่ามันไม่น่าสนใจล่ะก็ ผมสามารถบอกได้เลยว่าคุณพลาดแล้วล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่สนเฟ้ย นี่มันไม่เห็นมีอะไรเลยสักอย่างนี่หว่า”
“นี่มันเหมือนกับที่เขาเรียกว่าตะโกนใส่ฝนเรียกสายฟ้าแล้วอ้างตนเป็นผู้วิเศษไม่ใช่เหรอ มันน่าลึกลับตรงไหนกันเนี่ย”
“ทำไมฉันรู้สึกว่าตัวเองโดนหลอกล่ะ ลองคิดดูดีๆแล้วจะเป็นไปได้ยังไงที่จะทำให้คนๆหนึ่งที่มีอายุเกินพอที่จะสูงเพิ่มได้สามารถสูงเพิ่มได้อีก 15 เซนติเมตรนี่จะเป็นไปได้ยังไงกัน
อย่าไปใส่ใจเลยดีกว่า พวกเราไม่โง่พอที่จะเล่นปืนที่มีกระสุนแบบนี้หรอกนะ”
“ไม่ว่าคุณจะคิดว่ามันดูลึกลับหรือไม่ก็ตาม ผมจะทำให้ประจักษ์กับสายตาคุณเอง ในเมื่อพูดไปก็ไม่สามารถสู้กับข้อความได้ล่ะก็ งั้นผมจะไม่พูดอะไรมากก็แล้วกัน เจอกันพรุ่งนี้นะ” ซูจิ้งทำการกล่าวจบแบบง่ายๆก่อนที่จะปิดการสตรีมไปเฉยๆ
ตอนนี้เหล่าผู้ชมที่เพิ่งจะตามเข้ามาดูเพราะได้ยินข่าวการสตรีมของซูจิ้ง เมื่อเห็นว่าซูจิ้งปิดสตรีมหนีไปดื้อๆก็ได้แต่นึกสับสนอยู่ในใจ พลางนึกถามไปว่าไม่ใช่ว่าเขาต้องการสตรีมการเพิ่มความสูงหรอกเหรอ ทำไมถึงปิดไปเร็วขนาดนี้ล่ะ แต่เมื่อเห็นข้อความที่มีเหล่าผู้ชมที่เข้ามาก่อนพิมพ์ทิ้งเอาไว้ พวกเขาก็ไม่แปลกใจอะไรสักนิด
ถึงแม้การสตรีมของซูจิ้งจะหยุดลงแล้ว แต่ข่าวที่ซูจิ้งจะทำการแสดงผลการเพิ่มความสูงให้กับชายคนหนึ่งนี้กลับแพร่สะพัดไปบนโลกอินเตอร์เนตอย่างไม่หยุดยั้ง และนี่ทำให้หลายๆคนเลือกที่จะไม่ใส่ใจกับการสตรีมของซูจิ้งอีกต่อไป
“ไอ้ซูจิ้งนี่มันจริงๆเลย สร้างข่าวว่ารักษาโรคกระจกตาเสื่อมได้ยังไม่พอ นี่หมอนี่ยังทำแบบเดิมอยู่อีก คิดจะเพิ่มความสูงให้ผู้ใหญ่เหรอ แกคิดว่าตัวเองเป็นเพราะเจ้ารึไงกัน” หลังจากได้ยินข่าวของซูจิ้ง หวังกังหยุนอดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทีโกรธออกมา
ตอนนี้เขามีแต่ความคิดที่ว่าซูจิ้งคือปลาเน่าของวงการแพทย์และต้องกำจัดออกไปให้จงได้
“เหอะ ถ้าแกหยุดทำตัวแบบนี้ก็คงจะพออยู่ในวงการนี้ได้ แต่ในเมื่อแกไม่หยุดก็คงมีแต่เพียงการหาที่ตายในวงการนี้ล่ะนะ
เมื่อถึงเวลาล่ะแก ทั่วทั้งโลกจะเล่นงานแกอย่างแน่นอน ฉันอยากรู้จริงๆว่าเมื่อถึงตอนนั้นแกจะมีทำหน้าเป็นยังไงในเมื่อชื่อเสียงแกเน่าเหม็นไปแล้ว
เมื่อถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่วงการแพทย์เลย แม้แต่ธุรกิจของแกก็ต้องไปไม่รอด ถ้าจะให้ดีที่สุดขอให้แกถูกจับเพราะทำตัวอวดอ้างมากไปก็แล้วกัน” เมื่อฉิวจิ้งได้ยินข่าวของซูจิ้ง เขาก็ได้สบถออกมาในทันที
“สตรีมการรักษาผู้ใหญ่ให้สูงเพิ่มขึ้นได้เหรอ” ณ โรงพยาบาลฮัวกังจงหยุน หลิวเว่ยที่เห็นข่าวนี้ได้แต่นิ่งอึ้งไป
“ฮ่าฮ่า เรื่องหลอกลวงแหงๆอยู่แล้ว ไม่เห็นมีอะไรน่าสนเลย” หมอในโรงพยาบาลจำนวนหนึ่งที่ได้ยินข่าวนี้ต่างก็หัวเราะออกมาดังลั่น
หลิวเว่ยนั้นหาได้สนใจหมอเหล่านี้ไม่ เขาสนใจเรื่องนี้มากและคิดว่าจะไปหาข้อมูลเพิ่มหลังจากเลิกงานแล้ว เหมือนกับตอนที่อีกหลายๆคนไม่เชื่อว่าซูจิ้งสามารถรักษาผู้ป่วยที่มีอาการกระจกตาเสื่อมคนนั้นได้
ก่อนหน้านี้เขาได้ตามเรื่องนี้มาแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะฟังดูน่าเหลือเชื่อจนไม่มีทางเป็นไปได้ก็ตาม แต่เขาแน่ใจแล้วว่าซูจิ้งนั้นมีฝีมือทางด้านการแพทย์ตามที่เขาบอกจริงๆ และนี่ทำให้เขาสนใจในช่าวที่เกี่ยวกับซูจิ้งในทันที
“คุณซูสตรีมล่ะ เราควรจะเข้าไปช่วยเขายืนยันความสามารถรึเปล่าอ่ะ” ณ บริษัทหยันหยินเอนเตอร์เทนเมนต์ ลูจิงยี่ที่เห็นข่าวของซูจิ้งก่อนหน้านี้นั้น
เขาอยากจะช่วยเหลือซูจิ้งให้มีชื่อเสียงในด้านนี้จริงๆ นั่นก็เพราะด้วยการผ่าตัดศัลยกรรมขั้นเทพของซูจิ้งได้ทำให้เขานั้นมายืนอยู่ในจุดๆนี้ได้
เทียบกับคนในวงการดาราแล้วเขานั้นเปรียบได้ดั่งเนื้อ ที่สด ใหม่ และมีค่าตัวสูงล้ำ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเทียบกับเนื้อทั่วๆไปที่วางขายแล้ว เขาถือได้ว่าเป็นนื้อที่ดูดีมีความเอร็ดอร่อยเก็บงำไว้อยู่ภายในชนิดที่ว่าเมื่อลิ้มรสแล้วยากที่จะลืม
เขาเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ได้สตรีมให้กับชาร์คทีวีและทำให้เขานั้นฝึกฝนความสามารถในการแสดงได้จนตอนนี้เขาแสดงได้เก่งกว่ากวนจูจิวไปแล้ว จะบอกว่าตัวเขานั้นเป็นสตรีมเมอร์ดังของเว็บไซต์ชาร์ทีวีเลยก็ว่าได้ในขณะนี้
“ฉันว่าไม่ต้องหรอก ถึงแม้ว่าตอนนี้เราสองคนจะมีชื่อเสียงแล้ว แต่ยังไงซะก็เทียบกับคุณซูไม่ได้อยู่ดี
อีกอย่างคุณซูไม่ได้ขอให้เราเข้าไปช่วยแสดงว่าเขาน่าจะมีแผนอยู่แล้ว การที่เราเข้าไปมีส่วนอาจจะทำให้แผนเขาเสียไปเปล่าๆ
ฉันว่าตอนนี้เราแค่นั่งดูอะไรสนุกๆกันดีกว่าน่า” หยินหนิงหนิงพูดเสร็จก็ได้หัวเราะออกมา
“หนิงหนิงพูดถูกแล้วล่ะ นายไม่ควรจะเคลื่อนไหวตามใจชอบนะ ต่อให้นายไม่อยากจะอยู่เฉยๆแต่ฉันว่านายควรจะตั้งใจทำงานตามที่คุณซูหวังไว้ก็พอแล้ว นี่สิจะทำให้อาจิ้งมีความสุขมากกว่า” หวังซือหยาได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” ลูฉินหมิงได้เคาะประตูหน้าห้องคลีนิกพิเศษเบาๆ
“เข้ามา” เมื่อเขาได้ยินเสียงของซูจิ้งจากด้านใน เขาจึงได้เปิดประตูเข้าไป ตอนนี้เขาได้เห็นว่าทั้งซูจิ้งและชายร่างเตี้ยพึ่งจะทำการใส่รองเท้า ก่อนที่ซูจิ้งจะให้ขวดยาที่มีของเหลวอยู่ข้างในแล้วก็ได้ให้ชายร่างเตี้ยดื่มในทันที
“เอาล่ะ กลับไปได้ แล้วพร่งุนี้เราก็มาพบกันเวลานี้นะ” ซูจิ้งพูดกับชายร่างเตี้ย
“ได้ครับ” ชายร่างเตี้ยได้ตอบกลับอย่างมีพลัง นี่เป็นผลพวงหนึ่งที่ได้จกการดื่มยาที่ซูจิ้งมอบให้เขาเมื่อครู่นี้ ตอนนี้เขามีความรู้สึกสดชื่นและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอย่างมากจนอดไมได้ที่จะแสดงท่าทีดีใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ผลของยานี้ดีจนทำให้เขานึกประหลาดใจเหมือนกันพร้อมกับคิดว่านี่ต้องเป็นยาวิเศษอย่างแน่นอน จนในที่สุดใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และออกไปอย่างมีความสุข
“อาจิ้ง เรื่องที่ว่าสามารถทำให้คนที่หยุดสูงไปแล้วสามารถสูงเพิ่มได้อีก 15 เซนติเมตรนั่นเป็นไปได้ด้วยเหรอ” หลังจากเห็นชายร่างเตี้ยจากไป ลูชินหมิงก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา
เขานั้นเพิ่งจะคุยกับพ่อแม่ของเด็กน้อยที่เป็นโรคกระจกตาเสื่อมแล้วซูจิ้งเพิ่งจะรักษาหายไปว่าควรจะทำยังไงถึงจะช่วยเหลือซูจิ้งได้ดี
ไม่คิดว่าอยู่ๆเขาจะได้ยินข่าวว่าซูจิ้งทำการสตรีมและบอกว่าจะทำให้ชายร่างเตี้ยคนเมื่อกี้สูงขึ้นมากกว่าเดิมอีก 15 เซนติเมตร
หากเขากลั้นความสงสัยนี้ไว้อยู่ก็แปลกแล้ว เพราะเรื่องนี้มีโอกาสที่จะทำให้เรื่องแย่กว่าเดิมได้อีกหากผิดพลาดทำไม่สำเร็จขึ้นมา
ถ้าให้บอกจริงๆล่ะก็เขานั้นคิดว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้แม้แต่น้อย สิ่งที่เรียกว่ากระดูกนั้นโดยปกติแล้วเมื่อถึงช่วงอายุหนึ่งพวกมันจะเคลือบตัวให้แข็งเพื่อที่จะทำให้ตัวเองแข็งแรงยิ่งขึ้นโดยมันถูกเรียกว่ากระดูกปิด
เมื่อกระดูกอยู่ในภาวะนี้แล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้อีกต่อไป นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขานั้นคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แต่เขาเองก็ไม่กล้าด่วนสรุปเหมือนคราวก่อน นั่นก็เพราะว่าซูจิ้งคือคนที่รักษาอาการกระจกตาเสื่อมที่ไม่มีใครรักษาได้มาแล้ว
“น่าๆ เป็นไปได้หรือไม่เดี๋ยวคุณลุงก็จะได้เห็นเองนั่นแหล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ก็ได้” ถึงแม้ว่าลูฉินหมิงจะมีความกังวลอยู่บ้าง แต่เมื่อเขาได้เห็นท่าทางของซูจิ้งแล้วก็มีความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าควรจะกังวลเพิ่มหรือความหมดห่วงจริงๆดี
จริงๆแล้วอย่าว่าแต่ลูฉินหมิงเลย แม้แต่หมอคนอื่นเองที่อยู่ในโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนแห่งนี้ก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน
นั่นก็เพราะว่าเรื่องที่ซูจิ้งพึ่งจะบอกไปตอนสตรีมนี้มันช่างดูเวอร์วังเสียจนไม่น่าเชื่อเช่นเดียวกับตอนที่รักษาอาการกระจกตาเสื่อมของเด็กน้อยคนนั้น
แต่กับเด็กน้อยที่มีอาการร้ายแรงไร้ทางแก้แบบนั้นแล้วยังทำได้ นับประสาอะไรกับแค่ความสูงนี้กัน นี่กลายเป็นว่าพวกเขานั้นกลับรู้สึกแอบเชียร์ซูจิ้งให้สร้างปาฏิหารย์ทางวงการแพทย์ได้อีกครั้งไปทุกคน
นี่จึงเป็นเหตุผลที่จะบอกได้ว่าพวกเขานั้นทำตัวไม่ถูกกันอยู่นั่นเอง
เพียงชั่วพริบตาเดยว หนึ่งวันได้ผ่านเลยไป ซูจิ้งได้ทำการสตรีมที่ช่องของเขาอีกครั้งด้วยหัวข้อคอนเทนต์เดิม ตอนนี้ได้มีหลายๆคนที่สนใจตามเรื่องนี้กันอย่างใกล้ชิด
ตอนแรกที่เขาได้ข่าวนี้ต่างก็เชื่อกันว่าเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน แต่ทุกคนก็อดที่จะติดตามผลการรักษาของซูจิ้งไม่ได้อยู่ดี
ส่วนใหญ่แล้วในตอนนี้เหล่าผู้ชมของซูจิ้งนั้นเป็นคนที่คาดหวังให้ซูจิ้งทำผิดพลาด และหวังว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้ซูจิ้งล่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าให้ดังอั่ก พวกเขาจะได้ใช้โอกาสนี้จิกทึ้งซูจิ้งได้อย่างหนำใจและไม่มีใครด่าทอพวกเขาได้
“ซูจิ้งสตรีมอีกแล้ว ไปดูกันเถอะ”
“เขาก็แค่ทำตัวอวดอ้างล่ะน่า ไม่เห็นมีอะไรน่าสนเลย”
“นี่พึ่งจะวันเดียวเองนะ สมควรจะยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอกน่า ฉันว่ามาดูวันหลังๆดีกว่า”
“แฟนคลับของซูจิ้งนี่ไม่มีหัวสมองกันเลยสินะ มีแต่พวกสิ้นคิดเท่านั้นที่คอยหนุนหลังหมอนั่น”
“ฉันจะดูล่ะ ไม่ยังไงก็จะดู”
“ฮ่า ฮ่า ฉันจะรอจนกว่าจะเห็นมันพลาดนี่แหล่ะ ดูซิว่าคราวนี้แฟนคลับของหมอนั่นจะกล้ามาทับถมกันอีกรึเปล่า”
อย่างไรก็ตาม ทุกคนที่ได้เห็นซูจิ้งและช่ายร่างเตี้ยเปรียบเทียบความสูงกันเมื่อวานได้แต่นิ่งอึ้งไป พลางนึกตั้งคำถามอยู่ในใจว่าเกิดอะไรขึ้น ภาพลวงตาเหรอ ทำไมชายร่างเตี้ยนั่นถึงได้ดูสูงขึ้นล่ะ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น