Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 968-971

 GGS:บทที่ 968 ก่อกำเนิดยอดการแพทย์จีนโบราณ


หลังจากออกจากสถาบันวิจัยโบราณคดีซูจิ้งก็ไม่ได้ตรงกลับบ้านแต่อย่างใด เขากลับตรงไปยังพิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์ของเขา

เขาขับรถไปเทียบที่ประตูของลานจอดรถก่อนที่จะเปิดกระจกรถเพื่อแสดงใบหน้าของตัวเองกับหน่วยรักษาความปลอดภัย

“โอ้ สวัสดีครับคุณซู ทำไมวันนี้คุณซูเข้ามาช่วงนี้ได้ล่ะครับเนี่ย” ชายที่รับหน้าที่รักษาความปลอดภัยทักทายออกมาด้วยความประหลาดใจ

“พอดีว่าผมมีของที่จะเอามาวางเพิ่มน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา

“มีอะไรให้ผมช่วยรึเปล่าครับ” ชายหน่วยรักษาความปลอดภัยถามออกมา

“งั้นเอาเป็นมาช่วยผมจัดที่ทางหน่อยก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมา


ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะเป็นช่วงที่พิพิธภัณฑ์ปิดแล้วและมีข้อห้ามไม่ให้คนเข้าไปอย่างเด็ดขาดแต่กับซูจิ้งนั้นเป็นข้อยกเว้น

ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าของการที่คนที่เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยอย่างเขาจะห้ามเจ้าของเข้าไปในที่ของตัวเองก็คงเป็นเรื่องที่โง่เง่ายิ่งนัก

ซูจิ้งได้เข้าไปในพิพิธภัณฑ์ หลังจากนั้นเขาก็ได้ไปเลือกกล่องแก้วมาใบหนึ่งแล้วใส่ตำราบรรพกาล “ตำราการรักษาแผนจีนสมัยฮั่นตะวันออก” ลงไปในนั้น

เมื่อเสร็จแล้ว เขาได้ส่งข้อความไปบอกเฉินฮง แต่หลังจากผ่านไปนานเขายังไม่เห็นเฉินฮองส่งอะไรกลับมาเขาก็ทำเพียงนิ่งคิดไปพักหนึ่งก่อนที่จะปล่อยเรื่องนี้ไป

เขารู้ดีว่าเฉินฮงนั้นสุขภาพไม่ค่อยดีจึงทำให้ร่างกายของเขาต้องพักผ่อนมากกว่าคนอื่น เขาจึงเลือกที่จะไม่โทรไปกวนในช่วงเวลานี้อย่างแน่นอน ยังไงซะข้อความนี้เขาก็ส่งไปแล้ว พรุ่งนี้ตื่นมายังไงก็คงจะเปิดอ่านอยู่ดี


เช้าวันถัดมา เฉินฮงและผู้อาวุโสซงได้รีบมุ่งตรงมาที่พิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์ในทันที เฉินฮงได้รีบถามออกมาว่า “ตำราโบราณที่คุณซูนำมาเมื่อคืนตั้งไว้ที่ไหนกัน”

“ที่ส่วนจัดแสดงฝั่งตะวันออกถัดจากศพในตำนานครับ” ชายคนที่เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ได้ช่วยซูจิ้งจัดที่ทางเมื่อคืนได้พูดออกมา ด้วยการที่ยังเช้าอยู่จึงไม่ใช่ช่วงเวลาเปลี่ยนกะของเขา

เฉินฮงและผุ้อาวุโสซงเมื่อได้ยินดังนั้นก็ได้รีบวิ่งไปตำแหน่งที่ว่าในทันที ชายหน่วยรักษาความปลอดภัยเองได้แต่มองตามไปแบบงงๆพลางนึกในใจว่า

ตำราเมื่อคืนนั่นก็แค่ตำราโบราณไม่ใช่เหรอ เขาเองก็ได้มีโอกาสเห็นไปเมื่อคืน ดูๆไปก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษนี่นา นี่เขาต้องให้ความสนใจกับตำรานั้นเป็นพิเศษรึเปล่าหว่า

แต่อีกล่ะนะ นอกจากพวกเขาจะต้องดูแลรูปปั้นแอตแลนติส ศพในตำนาน หัวผักกาดหยก และของสุดยอดอย่างอื่นอีก เพิ่มอีกสักอย่างหนึ่งจะเป็นอะไรไป


เฉินฮงและผู้อาวุโส​ซงที่พุ่งตรงไปยังปีฝั่งตะวันออกของพื้นที่จัดแสดงนั้น ทั้งสองก็ได้เห็นตำราแพทย์โบราณสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออกตั้งอยู่ โดยมันอยู่ท่าทางที่กางออกมาให้เห็นสองหน้า

เพียงสองหน้านั้นพวกเขาก็ได้เห็นวิธีการรักษาได้อย่างมากมายพร้อมทั้งรายละเอียดของโรคที่เรียกได้ว่าแม้แต่ตำราในปัจจุบันหลายเล่มก็ยังต้องอาย และด้วยการยืนยันจากเอี้ยป๋อและโจวฉือเซียนแน่แล้วว่าตำรานี้คือของจริง

“พระเจ้า นี่เป็นตำราแพทย์สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออกจริงๆอย่างนั้นเหรอ” ผู้อาวุโส​ซงพูดออกมาในขณะที่จ้องมองด้วยความตื่นเต้น

“ในเมื่อผู้อาวุโสเอี้ยและผู้อาวุโสโจวตรวจสอบแล้วย่อมไม่ผิดเพี้ยนเป็นแน่ ว่าแต่มันเป็นไปได้ยังไงกัน” เฉินฮงเองก็ได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้นเช่นเดียวกัน

“งั้นเราลองเปิดดูกันหน่อยก็แล้วกัน” ทั้งสองที่ไม่เชื่ออยู่ก่อนแล้วก็ได้ทำการเปิดกล่องแก้วที่คลุมเอาไว้อย่างระมัดระวังก่อนที่จะนำตำรามาเปิดดูอย่างเบามือ

คนนอกไม่มีทางเปิดกล่องแก้วนี้ได้โดยไม่สัญญาณเตือนภัยอย่างแน่นอน มีเพียงเฉินฮงที่เป็นผู้รับหน้าที่ดูแลที่นี่เท่านั้นที่รู้วิธีเปิดกล่องนิรภัยพวกนี้

นอกจากนี้ตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในนักประเมินชั้นสูงและคอยดูแลสมบัติมากมายของซูจิ้ง นี่เองก็ถือว่าเป็นหนึ่งในความไว้วางใจอย่างสูงสุดเช่นเดียวกันที่ซูจิ้งมอบให้เขา

ยิ่งทั้งสองได้อ่านตำราบรรพกาลนี่มากเท่าไหร่ ทั้งสองก็ยิ่งแสดงตื่นเต้นออกมามากขึ้นเท่านั้น เพราะว่าเขานั้นไม่พบความเสียหายใดเลยในส่วนของลายมือที่เขียนรายละเอียด กระดาษ หรือแม้แต่ส่วนอื่นๆ

และที่สำคัญที่สุดดูเหมือนว่าตำรานี้มาจากช่วงปลายยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออกจริงๆ เมื่อรวมกับผลการประเมินจากโจวฉือเซียนและเอี้ยป๋อแล้วล่ะก็ยิ่งทำให้ไม่มีข้อผิดพลาดในการประเมินช่วงอายุนี้เลยแม้แต่น้อย

“ตำรานี่อยู่รอดมาถึงปัจจุบันนี่ได้ยังไงกันเนี่ย” ผู้อาวุโส​ซงทำได้เพียงพูดออกมาอย่างอดไม่ได้

“ขนาดศพอายุกว่าห้าพันแปดร้อยปีเขายังหามาได้เลย นับประสาอะไรกับตำราเล่มนี้ คงจะบอกได้เพียงว่าคุณซูของเรานี้สุดยอดจริงๆ หลังจากพิพิธภัณฑ์นับแต่วันนี้ ฉันกลัวว่าพิพิธภัณฑ์ของพวกเราต้องลุกเป็นไฟอีกครั้งเป็นแน่ นี่จะยิ่งดึงดูดให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งจากในจีนและต่างประเทศเขามาหาเราอย่างแน่นอน” เฉินฮงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


สิ่งที่เฉินฮงได้คาดเอาไว้นั้นถูกต้องแล้ว เมื่อพิพิธภัณฑ์นี้ได้เปิดทำการและมีคนทราบว่ามีการจัดแสดงตำราการแพทย์โบราณตั้งแต่ยุคสมัยช่วงปลายราชวงศ์ฮั่น

ข่าวนี้ได้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วจะเกิดแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในวงการโบราณคดีอีกครั้ง แถมยังการเป็นที่พูดคุยกันในอินเตอร์เน็ตไปทั่ว

“มันต้องเป็นของปลอมแน่ๆ จะเป็นไปได้ยังไงกันที่จะมีตำราจากช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นที่สภาพสมบูรณ์ขนาดนี้เหลือรอดมาได้จนถึงปัจจุบันนี้”

“เห็นด้วย ฉันยังไม่เคยเห็นตำราไหนเลยนะที่เหลือรอดมาจากยุคได้อย่างสมบูรณ์แบบนี้”

“ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนพูดอีกว่าตำราเล่มนั้นมีวิธีการป้องกันและควบคุมโรคเรื้อนอีกด้วย นี่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ในสมัยราชวงศ์ฉิงซึ่งเป็นช่วงปีหลังจากนั้นโรคเรื้อนละบาดและตอนนั้นยังทำอะไรกันไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออกกัน”

“แต่ทั้งดอกเตอร์เอี้ย ดอกเตอร์โจว ผู้อาวุโสเฉินและผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆต่างก็ประเมินและยืนยันมาแล้วนะว่าเป็นของจริงน่ะ”

“ฉันเพิ่งจะได้ข่าวมาว่ามีทีมนักโบราณคดีอีกสองทีมได้ไปทำการตรวจสอบและผลการตรวจสอบก็คือไม่ต่างกัน นั่นก็คือตำรานี้มีอายุอยู่ในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออกจริงๆ”

“โคตรจะเหลือเชื่อเลย”

“นอกจากวัตถุจากดินแดนที่สาบสูญแอตแลนติส ศพในตำนาน ไหนจะตำราในสมัยบรรพกาลนี่อีก ซูจิ้งจะท้าทายสวรรค์มากไปแล้วถึงได้มีของโบราณมากมายขนาดนี้ หรือหมอนี่จะไปทะลวงสวรรค์มาแล้วจริงๆ”

นอกจากนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้วงการโบราณคดีต้องหวั่นไหวอีกครั้งแล้ว นี่ทำให้แม้แต่วงการการแพทย์ก็ยังต้องสั่นสะเทือนไม่ต่างกัน เหล่าผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ต่างก็มุ่งตรงไปยังพิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์นี้ทันทีที่ทราบข่าวเพื่อนจะศึกษาตำราโบราณนี้ในทันที

แต่พวกเขาก็ต้องผิดหวังเพราะพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ศึกษาแต่อย่างใด สิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นเป็นเพียงเนื้อหาในส่วนที่แสดงการรักษาและป้องกันโรคเรื้อนและเนื้อหาการรักษาโรคอื่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้พวกเขานั้นเห็นต่างจากนักโบราณคดีในทันที พวกเขาเชื่อมั่นอย่างหมดใจว่าความรู้ทางการแพทย์ในปัจจุบันยังไงก็ดีกว่าในโบราณกาลอย่างแน่นอน และแน่นอนว่าพวกเขาต่างก็ไม่เชื่อตำรานี้อย่างที่สุด


อย่างไรก็ตามซูจิ้งไม่ได้สนใจเรื่องความขัดแย้งเหล่านั้นแม้แต่น้อย ตอนนี้เขามัวแต่ยุ่งอยู่กับการทำอย่างอื่นอยู่ เขาไปยังโรงพยาบาลกังเฟิ่ง(ท้าทายสายลม)ที่ตั้งอยู่ในเมืองจงหยุนด้วยกันกับลูฉินหมิง เฉิงหนาน และทีมกฎหมายของบริษัท

เขาได้พบกับประธานในปัจจุบันของโรงพยาบาลพร้อมกับสืบสวนเรื่องราวต่างๆที่ประธานคนนี้ได้ทำเอาไว้

หากเป็นคนทั่วไปแล้วพวกเขานั้นคงทำการสืบสวนเรื่องนี้อย่างลับๆ แต่กับซูจิ้งนั้นเขาคิดว่านั่นมันไม่ได้ทำให้ประธานคนนี้สะทกสะท้านอย่างแน่นอน

เขานั้นเลือกที่จะเข้ามาถามตรงๆ ด้วยความผิดที่มากมายขนาดนี้เขาสามารถตรวจจับการโกหกของคนๆนี้ได้ไม่ยากนักอย่างแน่นอน นี่จะช่วยทำให้เขาประหยัดเวลาได้อย่างมาก

ซูจิ้งได้รู้ในทันทีถึงเหตุผลที่เจ้าของที่นี่อยากจะเปลี่ยนมือโรงพยาบาลของเขา เหตุผลแรก ตอนนี้โรงพยาบาลได้สูญเสียความมั่นใจจากประชาชนไปแล้ว

สืบเนื่องมาจากเรื่องที่เขาได้ถูกหลอกให้ใช้ยาปลอมในการรักษาผู้คนจนทำให้เกิดปัญหากับคนไข้บ่อยครั้งจนพวกนั้นมาเรียกร้องให้เขาชดใช้

บางคนปล่อยหมามาเยี่ยวใส่รถเขาชนิดแทบจะใช้ล้างรถได้เลย บางคนก็มาเจาะลมรถของเขา บางคนถึงกับเข้ามาล็อคตัวเขาไว้ที่หน้าประตูโรงพยาบาลด้วยซ้ำ

ตอนนี้ตัวเขานั้นราวกับเป็นหนูที่ต้องคอยหลบๆซ่อนๆอยู่กลางทะเลทรายเลยทีเดียว

ถึงแม้ว่าราคาที่เจ้าของโรงพยาบาลนี้ตั้งเอาไว้จะไม่สูงมาก แต่เหตุการณ์ในตอนนี้ของโรงพยาบาลนั้นไม่สู้ดีนักทำให้ราคาที่ซูจิ้งได้รับการเสนอมาถูกกดให้ต่ำลงไปอีก และนี่เองก็เป็นราคาที่ซูจิ้งถือว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ของโรงพยาบาลในตอนนี้ และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ซูจิ้งจะหากำไรเล็กน้อยด้วยการกดราคาให้ต่ำลงอีกครั้ง

“คุณซู ราคาที่คุณเสนอมามันไม่เกินไปหน่อยเหรอ นี่จะไม่ให้ผมมีชีวิตอยู่แล้วรึไงกัน ผมไม่เหมือนกับคุณที่เงินนั้นไม่มีค่าแต่กับตัวผมนั้นยังคงต้องรายจ่ายมากมายอยู่อีกนะ คุณเองก็มีเงินมากมายอยู่แล้วทำไมถึงยังจะกดราคาที่ผมเสนอไปอีกกัน” ผอ.จ้าวพูดออกมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

“นี่ไม่เกินไปเลยแม้แต่น้อย คุณเคยหาเงินได้มากมายมาก่อนหน้านี้ และส่วนต่างพวกนี้ก็ไม่ใช่เงินสำหรับผมเองหรอกนะ เงินส่วนต่างนี่มันเอาไว้ใช้รักษาคนป่วยและคนเจ็บที่ได้รับผลมาจากการใช้ยาห่วยๆของคุณ นี่มันก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอ

“แต่ว่าผมถูกหลอกนะ” ผอ.จ้าวพูดออกมาพลางทุบโต๊ะ

“แล้วยังไง ในเมื่อแกเป็นคนโง่ให้โดนหลอก จะว่าถูกหลอกก็ไม่เชิงด้วยเพราะแกได้รับผลประโยชน์มานี่ ปัญหาที่แกเผชิญอยู่ในตอนนี้ก็มาจากการที่แกให้ค่าชดเชยได้ไม่เพียงพอไม่ใช่รึไง

หากแกอยากจะลุกขึ้นยืนแล้วปัดตูดออกไปเฉยๆแน่นอนว่าฉันไม่ยอมง่ายๆแน่ๆ ให้ฉันบอกแกตรงๆเลยนะว่าฉันไม่สนใจก็เงินส่วนต่างเพียงน้อยนิดพวกนี้แม้แต่น้อย ฉันแค่ไม่ชอบแกก็เท่านั้น

เหตุผลก็เพราะแกทำให้คนไข้ได้รับอันตรายจากการที่แกใช้ยาที่ไม่ได้มาตรฐาน เชื่อรึเปล่าว่าต่อให้แกไม่ยอมขายโรงพยาบาลนี้ ฉันสามารถกดดันให้โรงพยาบาลของแกต้องปิดตัวลงและได้มันมาเปล่าๆเลยด้วยซ้ำ

เอาล่ะถึงเวลาที่แกต้องเลือกแล้ว” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสุขุมและดุร้าย เขาไม่ได้ไว้หน้าผอ.จ้าวคนนี้เลยแม้แต่น้อย

“แก…..” ผอ.จ้าวทุบโต๊ะและลุกขึ้นยืนพลางจ้องไปที่หน้าของซูจิ้งอย่าแข็งกร้าว แต่เมื่อเขาได้สบตากับซูจิ้งพลางคิดถึงปูมหลังของเขา ผอ.จ้าวก็เลิกคิดจะทำเรื่องโง่ๆไป เขารู้ดีว่าสิ่งที่ซูจิ้งพูดออกมาไม่ใช่แค่การหลอกลวงขู่ให้เขากลัวอย่างแน่นอน.


GGS:บทที่ 969 ตัดสินใจในสองเรื่อง


 


“อย่าเพิ่งโกรธไปสิครับคุณซู สิ่งที่คุณพูดถูกต้องแล้ว การที่พวกเขาออกมาเรียกร้องค่าเสียหายแสดงว่าผมยังดูแลเขาไม่พอจริงๆ ผมควรจะใส่ใจเรื่องของพวกเขามากขึ้นกว่านี้ดั่งที่พวกคุณว่าจริงๆ” ผอ.จ้าวในตอนนี้ทำได้เพียงสงบอาการโกรธและได้แต่ตามน้ำไป


ถึงแม้ราคาที่ซูจิ้งเสนอมันจะน้อยจริงๆแต่อย่างน้อยก็ทำให้เขาพอเอาตัวรอดได้ และตัวเขาก็รู้ดีว่าหากเขายังฝืนดื้อดึงต่อไปยังไงเรื่องนี้ก็จบไม่สวยอย่างแน่นอน


อีกอย่างซูจิ้งคือคนที่แม้แต่สี่ตระกูลใหญ่ยังไม่อยากขัดแย้ง แล้วคนที่มาจากตระกูลบ้านนอกอย่างเขาสมควรจะไปหาเรื่องด้วยรึไง แถมครั้งนี้เป็นความผิดของเขาจริง ต่อให้ซูจิ้งไม่ยื่นมือเข้ามา ยังไงเขาก็คงไม่เหลืออะไรอยู่แล้ว


ในที่สุด ผอ.จ้าวก็ทำใจได้และยอมเซ็นสัญญาเปลี่ยนมือโรงพยาบาลแห่งนี้ให้กับซูจิ้งด้วยราคาที่แสนต่ำ หลังจากนั้นเขาได้จัดงานประชุมเพื่อแจ้งข่าวและแนะนำซูจิ้งให้ผู้บริหารและหมอทุกคนได้รับรู้เรื่องนี้


หลังจากที่เสร็จเรื่องทั้งหมดผอ.จ้าวก็ได้รีบจากไปในทันที และในการประชุมแห่งนี้ เรียกแรกที่ซูจิ้งได้ติดสินใจออกมาเกี่ยวกับการบริหารโรงพยาบาลนี้ก็คือการมอบให้ลูฉินหมิงให้เป็นรองประธาน


วันถัดมา ซูจิ้งได้เข้ามาโรงพยาบาลเพื่อทำการศึกษาเกี่ยวกับทางการแพทย์กับลูฉินหมิงอย่างตั้งอกตั้งใจ ลูฉินหมิงเองในตอนนี้เองก็ยังไม่มีอะไรทำจึงได้สอนซูจิ้งทั้งวัน


ขนาดลูฉินหมิงได้เห็นความสามารถในการเรียนของซูจิ้งมาแล้วก่อนหน้านี้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะมหัศจรรย์ในการเรียนรู้ของซูจิ้งอยู่ดี


เมื่อเห็นว่าสอนอะไรไปซูจิ้งก็เข้าใจได้โดยไม่นานเขาจึงได้ถ่ายทอดทุกสิ่งทุกอย่างให้กับซูจิ้งโดยไม่กั๊กแม้แต่น้อย พร้อมทั้งรู้สึกหวั่นเกรงในความสามารถในการเรียนรู้ของซูจิ้งที่ราวกับสัตว์ประหลาดนี้ด้วยเช่นกัน


 


ซูจิ้งนั้นไม่เพียงจะทำได้ดีเยี่ยมในภาคทฤษฎีเท่านั้นแต่เขายังเป็นสุดยอดในภาคปฏิบัติ​นี้อีกด้วย เขานั้นมีทักษะชั้นสูงในการสังเกตุทั้งดู ได้ยิน และถามในสิ่งที่สำคัญของการแพทย์แผนจีนและเรียนรู้ได้โดยไม่ติดขัดแม้แต่น้อย


เขานั้นเพียงเรียนไปได้วันเดียวก็เทียบเท่ากับความรู้ของแพทย์ป.เอกเรียบร้อยแล้ว ในด้านการผ่าตัด ฝีมือของเขานั้นนอกจากมีมือที่นิ่งอย่างมากแล้วเขายังมีความแม่นยำอย่างสูง การเรียนรู้ในวันเดียวของซูจิ้ง


ลูฉินหมิงสามารถบอกได้เลยว่าเขาได้บรรลุจนเป็นหมอที่ได้รับการรับรองได้แล้ว ความสามารถของเขานี้ท้าทายสวรรค์ชัดๆ


นี่บอกได้เลยว่าทักษะของร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่งราวกับพวกยอดมนุษย์เลยด้วยซ้ำ ประสาทสัมผัสที่แหลมคม มือและเท้าที่ว่องไว ดีเกินกว่าที่คนทั่วไปจะสามารถเทียบได้


ด้วยการที่ว่าเขานั้นได้เข้าไปฝึกฝนจิตในในคริสตัลฝึกจิตและเรียนรู้เคล็ดลับการสะกดจิตจากขยะห้วงเวลาฯจักรพรรดิ์ดวงดาราทำให้เขานั้นบังเกิดพลังวิญญาณที่สามารถใช้ในการเข้าใจในร่างกายได้อย่างทะลุปรุโปร่ง


เมื่อนำมาผนวกกับทักษะมอง ฟัง การพูด และการสัมผัส จึงไม่แปลกที่เขาจะอยู่เหนือคนทั่วไป


นอกจากนั้นด้วยการที่เขาได้เรียนรู้ทักษะกระบี่ที่ได้มาจากขยะห้วงเวลาฯล่าลี้ลับตำนานจีนจึงทำให้เขาสามารถขยับมือได้อย่างแม่นยำและไม่สั่นเลยไม้แต่น้อย นี่ยิ่งทำให้คนทั่วไปไม่สามารถเทียบกับเขาได้เข้าไปอีก


ในตอนนี้จึงบอกได้ว่าทักษะในการรักษาของเขานั้นสิ่งที่ขาดไปจริงๆมีเพียงความรู้ทางการแพทย์เท่านั้น หลังจากได้เรียนรู้ทักษะการแพทย์เรียบร้อยแล้ว ซูจิ้งจะกลายเป็นคนที่คนทั่วไปได้แค่แหงนหน้ามองเขาเพียงเท่านั้น


 


สามวันหลังจากที่ได้ร่ำเรียน ซูจิ้งในตอนนี้ได้ใบรับรองให้เป็นแพทย์ได้และถูกต้องเรียบร้อยแล้ว หรือจะพูดอีกอย่างคือเขานั้นสามารถผ่านการทดสอบทางการแพทย์ได้อย่างง่ายดายและใช้เวลาสั้นอย่างคาดไม่ถึง


หลังจากเขาได้ใบรับรองมาแล้วเขาจึงได้เริ่มการปฏิรูปโรงพยาบาลแห่งนี้ในทันที เขาได้ตัดสินใจเรื่องที่สำคัญไปสองเรื่อง


เรื่องแรก คือการชดเชยให้กับคนที่ได้รับยาด้อยคุณภาพไปโดยเขาได้แจ้งกับคนเหล่านั้นรับทราบว่าพวกเขานั้นสามารถเข้ามาเปลี่ยนยารักษาที่ได้ไปแล้วได้ฟรีและได้รับสิทธิ์ในการรักษาชนิดที่ถูกสุดๆแต่เต็มประสิทธิภาพ


อย่างที่สอง ซูจิ้งได้สั่งให้เปิดเขตรักษาโซนวีไอพีและราคาขั้นต่ำที่ใช้ในการรักษาเริ่มต้นที่หนึ่งล้านหยวน


ลูฉินหมิงและผู้บริหารคนอื่นเองต่างก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินการตัดสินใจทั้งสองอย่างนี้ การตัดสินใจนี้จะให้พวกเขาปฏิบัติตามได้ยังไง ถึงแม้ว่าข้อแรกนั้นจะช่วยกู้ชื่อเสียงของโรงพยาบาลได้อย่างดีก็จริง แต่นอกจากจะชดเฉยแล้วยังลดค่ารักษานี่ให้โรงพยาบาลไปหากำไรมาจากไหนกัน


ส่วนข้อที่สองนี่ยิ่งทำให้เขามึนงงไปกันใหญ่ ซูจิ้งต้องการให้สร้างโซนวีไอพีขึ้นมานี่เขาคิดว่าตัวเองเป็นหมอเทวดารึยังไง ไหนจะค่ารักษาเริ่มต้นที่หนึ่งล้านนั่นอีก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครหน้าไหนจะกล้าเข้ามาให้รักษาได้กัน หากใครมาก็คงจะเป็นคนโง่ชัดๆ


หลังจากเขาได้บอกสิ่งที่เขาตัดสินใจไปให้ทุกคนได้ฟัง แน่นอนว่าไม่มีใครเห็นด้วยหรือแม้แต่กล่าวชมเชยการตัดสินใจในครั้งนี้


ทั้งลูฉินหมิงและผู้บริหารคนอื่นทุกคนต่างก็ไม่เห็นด้วยทั้งสิ้น แต่พวกเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้เพราะนี่ไม่ใช่แผนการที่ซูจิ้งต้องการให้ทุกคนมามีส่วนร่วม แต่นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ แม้แต่ลูฉินหมิงเองก็ยังทำอะไรไม่ได้


ในตอนแรกนั้นลูฉินหมิงและผู้บริหารคนอื่นต่างก็รู้สึกดีใจแบบสุดๆที่ซูจิ้งเข้ามาเป็นประธานของพวกเขา แต่พอถึงตอนนี้ทุกคนกับเริ่มกังวลเกี่ยวกับอนาคตอขงโรงพยาบาลนี้เสียแล้ว


ถึงแม้ว่าซูจิ้งจะมีเงินและทักษะการแพทย์ที่ดีเยี่ยม แต่ลูฉินหมิงก็ยังกังวลอยู่ดีเพราะต่อให้ซูจิ้งมีทักษะการเรียนรู้ที่ท้าทายสวรรค์ขนาดไหนก็ตาม


 


แต่ซูจิ้งก็พึ่งจะได้เป็นหมอเต็มตัวเพียงไม่กี่วันก่อน นี่จะไม่ด่วนตัดสินใจเร็วไปรึเปล่า


แม้แต่เฉิงหนานเองก็ยังไม่เข้าใจในการตัดสินใจของซูจิ้ง พูดตามตรงเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมซูจิ้งถึงอยากจากซื้อโรงพยาบาลนี้มา ต่อให้เขาได้มันมาอย่างถูกกว่าค่าการตลาดทั่วไปมากก็ตาม


แต่เมื่อเทียบกับธุรกิจต่างๆของซูจิ้งแล้วถือได้ว่าธุรกิจทางการแพทย์นี้เป็นธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตที่จำกัด แถมโรงพยาบาลนี้ก็ยังประสบปัญหาเรื่องชื่อเสียงอยู่ถึงจะยังไม่ได้ถือว่าแย่ก็ตามแต่ก็ยังทำให้เธอต้องสับสนอยู่ดี


แต่ที่แน่ๆมีอย่างหนึ่งที่เธอรู้จักซูจิ้งมากกว่าใครนั่นก็คือเมื่อเขาตัดสินใจไปแล้วจะไม่มีทางเปลี่ยนใจอย่างแน่นอน


 


การตัดสินใจทั้งสองเรื่องของซูจิ้งนี้เพียงเมื่อแพร่กระจายไปทั่วโรงพยาบาล เหล่าหมอและนางพยาบาลต่างก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงจากคุยกันในกลุ่มเล็กๆจนกลายเป็นที่วิพากษ์เรื่องนี้กันทั่วทุกคนแม้แต่คนภายนอกก็ยังรู้เรื่องนี้ โดยทุกคนค่อนข้างเห็นด้วยกับการตัดสินใจในข้อแรก แต่กับข้อสองนี่ต้องก็นำพาไปสู่การนินทากันยกใหญ่


“ซูจิ้งต้องการจะทำอะไรกันแน่ ทำไมอยู่ๆเขาถึงได้มาเป็นเจ้าของโรงพยาบาลแบบนี้ได้กัน”


“การลดค่ารักษาทั่วไปทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอกนี้เป็นอะไรที่น่าสรรเสริญก็จริง แต่ไอ้การเป็นพื้นที่รักษาระดับวีไอพีนั่นมันอะไรกัน นี่เขาคิดว่าตัวเองเป็นหมอเทวดารึไงกัน”


“เขาอาจจะไม่มีหัวทางด้านนี้ก็ได้นะ”


“ฉันว่าเขาก็แค่พวกเอาแต่ใจตัวเองมากกว่า นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ”


“ไม่ว่าคราวนี้จะแก้ตัวยังไง ไม่ต้องรอให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆแล้ว หมอนี่ตัดสินใจพลาดอย่างแน่นอน เรื่องนี้ช่างดีจริงๆ”


“นี่ทำให้ฉันนึกถึงเรื่องที่ว่ามีตำราการแพทย์จีนสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออกไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์เมื่อวานเลยนะ”


“เหอะ แต่ให้เขาเรียนรู้ตำรานั่นจริงก็ไม่มีทางทำให้เขาเป็นหมอเทวดาได้หรอกน่า”


“ฮ่าฮ่า ฉันว่าจะไปเดินซื้อตำราฝ่ามือพระยูไลจากข้างถนนแล้วน่ะเนี่ยเพื่อฝึกแล้วจะกลายเป็นปรมาจารย์กับเขาบ้าง”


เรื่องนี้กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์บนโลกอินเตอร์เน็ตไปทั่วจนตอนนี้ชาวเน็ตตั้งฉายาเชิงล้อเลียนให้กับซูจิ้งว่า “หมอเทวดาแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออก”


เหตุก็เพราะว่าต่อให้ตำราแพทย์โบราณเล่มนั้นจะดีจริงแต่การที่จะนำความรู้ในตำรานั้นมาเทียบกับการรักษาในโลกยุคปัจจุบันที่การแพทย์นั้นดีกว่ามากๆช่างเป็นเรื่องที่โง่งม


คนที่ไม่รู้ว่าการแพทย์ในยุคสมัยใดที่ดีกว่ากันก็สมควรที่เขาขะได้รับฉายาโง่ๆแบบนี้แล้ว ถึงแม้ว่าในตำรานั้นจะบ่งบอกว่ายุคนั้นมีการป้องกันและรักษาโรคเรื้อนได้ดีและเทียบเท่ากับในการแพทย์ยุคปัจจุบันแล้วยังไง ใช่ว่าความรู้อย่างอื่นในตำราจะดีเท่าสักหน่อย


 


“อาจิ้งทำบ้าอะไรอีกเนี่ย” หวังจ้าวอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาในขณะจ้องมาไปยังหัวข่าวหนึ่ง


“เรื่องนี้ฉันไม่ทราบจริงๆค่ะ” เฉิงหนานเองที่ไม่รู้จะตอบยังไงก็ทำได้เพียงตอบออกมาตรงๆด้วยรอยยิ้ม


“แล้วทำไมเธอไม่หยุดเขาล่ะ” หวังจ้าวหันไปถามเฉิงหนานแบบหน้านิ่งๆ


“ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่ลองหยุดเขานะ แต่ลูกพี่ก็รู้จักเขาดีนี่ ถ้าเป็นพี่พี่คิดว่าจะหยุดเขาได้เหรอ” เฉิงหนานพูดออกมา


“ฉันเองก็คงจะหยุดเขาไม่ได้เหมือนกันจริงๆ ฉันคงได้แค่หวังอย่างหมดใจอีกครั้งล่ะนะว่าเขาคงจะรู้ตัวดีว่าตัวเขากำลังทำอะไรอยู่” หวังจ้าวที่ได้ยินแบบนั้นทำได้เพียงตอบออกมาอย่างเซ็งๆ


ต่อให้ทำธุรกิจโรงพยาบาลแล้วเจ๊งไปอย่างมากก็แค่เสียเงินไปแค่นั้น ไม่จำเป็นต้องใส่ใจอะไรมาก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของการประกอบธุรกิจพยาบาลแบบนี้นั่นก็คือชื่อเสียง ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพแบบนี้ง่ายต่อการเสียชื่อเสียงและชื่อเสียงของซูจิ้งไม่ใช่ถูกๆ


“หมอนี่คิดอะไรกันเนี่ย” มู่ติงที่กำลังกินข้าวเย็นกับเพื่อนๆอยู่ในตอนนี้ถึงกับหยุดมือหยุดปากจนบ่นออกมาในทันทีที่ได้เห็นข่าวนี้


ตอนงานเลี้ยงวันเกิดของลูลู่ ซูจิ้งได้นำตำราแพทย์โบราณและชนะการพนันกับลูฉินหมิงเรื่องนั้นเธอรู้ดี แต่เธอไม่คิดว่าเรื่องจะเลยเถิดจนลามไปถึงการซื้อโรงพยาบาลและทำเรื่องโง่ๆแบบนี้ หมอนี่ต้องการจะทำอะไรกันแน่


“เริ่มการรักษาที่หนึ่งล้านเหรอ นี่เขาคิดว่าตัวเองเป็นใครกันเนี่ย เขาคิดว่าจะกลายเป็นหมอเทวดาเพียงเพราะตำราแพทย์แผนจีนสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออกปลอมๆนั่นเนี่ยนะ


เพื่อเก่าเรานี้นับวันยิ่งทำอะไรเหิมเกริมจริงๆแหะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีใบหน้าเหลี่ยมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา


GGS:บทที่ 970 เป้าหมาย


 


“โฮ่ นับวันยิ่งเหิมเกริมงั้นเหรอ” มู่ติงจ้องมองไปยังชายหน้าเหลี่ยมตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย


“ก็จริงรึเปล่าล่ะ ในช่วงสองปีที่ผ่านมาเขานั้นทำแต่เรื่องที่ราวกับว่าจะพยายามปฏิรูปโลกที่อยู่รอบตัวของเขา ขนาดคนอย่างฉันยังได้ข่าวเขาบ่อยๆเลยด้วยซ้ำ


ต้องขอบคุณเรื่องในครั้งนี้จะช่วยให้ทุกคนเห็นธาตุแท้ของหมอนี่และจะทำให้คนทั้งโลกจับหมอนี่มาหั่นเป็นชิ้นๆ ดูสิว่าหมอนี่จะอยู่ต่อไปได้ยังไง


แน่นอนว่าหากหมอนี่ทำธุรกิจอย่างอื่นต่อไปฉันก็คงจะไม่สนใจหรอก แต่ในเมื่อเขากล้าที่จะเข้ามามีเอี่ยวในธุรกิจด้านการแพทย์ ฉันจะไม่ยอมให้เรื่องนี้ปล่อยผ่านอย่างแน่นอนไม่อย่างนั้นหมอนี่คงจะทำให้ชื่อเสียงของวงการแพทย์ต้องมัวหมอง


 


ฉันจะส่งข้อความในไมโครบลอคของตัวเองให้กับคนไข้ของฉันและแฟนคลับของเขาไม่ให้เล่นตามน้ำไปด้วย”


ชายหน้าเหลี่ยมพูดออกมาอย่างยิ้มเยาะ


“ดูเหมือนว่านายไม่ต้องออกโรงแล้วล่ะ ตอนนี้อินเตอร์เน็ตต่างก็พูดคุยกันถึงเรื่องนี้กันไปทั่ว แม้แต่การว่าร้ายจนตอนนี้ไม่มีใครต้องการให้หมอนั่นรักษาแม้แต่น้อย


ถ้าไม่ใช่เพราะหมอนี่ไม่ลดค่ารักษาทั่วไปและมีชื่อเสียงที่ดีอยู่ก่อนแล้ว ฉันว่าเขาคงถูกสาบส่งไปตั้งนานแล้วล่ะ” ชายร่างท้วมคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


“ฮี่ฮี่ เขาอาจจะวางแผนไว้แล้วก็ได้นะ นี่อาจจะเป็นวิธีที่จะไม่ให้เรื่องของเขานั้นถูกด่าทอมากเกินไป พอนึกถึงเรื่องที่เขาเปิดโซนวีไอพีเพื่อที่จะหาเงินนี่ ต่อให้เขานั้นเป็นคนดังยังไงอย่างมากคนที่ไปรักษาก็เป็นพวกที่มีสัมพันธ์อันดีกับหมอนั่นแค่นั้นแหล่ะ


ใครจะไปรู้นี่ต่างหากที่เป็นแผนการที่แท้จริงของหมอนั่นที่จะได้หลอกให้ใครบางคนไปรักษา ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าหลังจากเรื่องในวันนี้แล้วใครจะเป็นคนโง่ที่ไปรักษากันนะ” ชายหน้าเหลี่ยมได้พูดตอบชายร่างท้วมออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


มู่ติงเหล่ตามองไปยังชายหน้าเหลี่ยมอย่างไม่เห็นด้วย ต่อให้เธอจะไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมซูจิ้งถึงได้ทำเรื่องแบบนี้ แต่เธอก็ไม่คิดว่าซูจิ้งจะหาเงินโดยการล่อลวงคนแบบที่สองคนนี้ว่า


เขานั้นได้เงินมามากมายจากธุรกิจของเขาจนเรียกได้ว่าต่อให้ไม่ทำอะไรก็อยู่ได้อีกหลายร้อยปี ในเมื่อเขานั้นรวยขนาดนั้นแล้วจะเป็นต้องมาหลอกลวงคนอย่างที่ชายหน้าเหลี่ยมว่ามาแต่อย่างใด


ถึงแม้ชายหน้าเหลี่ยมจะพูดออกมาอย่างองอาจว่าจะไม่ยอมให้วงการแพทย์ต้องแปดเปื้อน แต่เธอรู้ดีว่าความจริงแล้วหมอนี่ก็แค่อิจฉาและจ้องหาโอกาสทำลายซูจิ้งมาตลอด


 


ทุกคนที่กำลังกินข้าวด้วยกันนี้ล้วนแล้วแต่จบจากมหาวิทยาลัยเทียนหยาง ฉิวจิงหรือก็คือชายหน้าเหลี่ยมคนนี้เป็นหมอปริญญาเอก


ในสมัยที่ยังเรียนด้วยกันนั้นเขาเป็นคนที่โดดเด่น และหลังจากที่เรียนจบเขารู้จักกันดีในฐานะหมอที่มีอนาคตไกล มีภรรยาที่สวยและเป็นที่รักใคร่ของทุกคน


แต่เดิมแล้วเขานั้นสมควรที่จะเป็นเป้าหมายที่ทุกคนนั้นต้องอิจฉาและเป็นที่พูดถึงจากเพื่อนๆ แต่ด้วยในสองปีมานี้ซูจิ้งได้สร้างชื่อเสียงไว้มากมายจนทำให้หมอนี่ไม่ได้มีค่าอะไรให้พูดถึงเลย


การที่ซูจิ้งดึงดูดสายตาของผู้คนไปแบบนี้ทำให้ซิวจิงไม่ได้มีความสุขเลยแม้แต่น้อย


“ว่าแต่พี่สะใภ้นี่ใกล้จะหายรึยังน่ะ” ชายร่างท้วมอยู่ๆก็ได้ถามเรื่องนี้กับชายหน้าเหลี่ยมออกมา


“ก็ใกล้แล้วล่ะ” หน้าตาของซิวจิงจากตอนแรกรู้สึกสะใจในตอนนี้กลับมาสู่โลกแห่งความจริงกลายเป็นดูซึมลงเล็กน้อยแต่ก็ยังตอบออกมาด้วยรอยยิ้มอย่างรวดเร็ว


ภรรยาของเขานั้นจริงๆแล้วก็ไม่ได้ป่วยหนักอะไรแต่เธออยู่ในภาวะมีบุตรยากเท่านั้น ต่อให้เขาเป็นหมอแต่ก็ยังทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้ นี่ถือว่าเป็นขวากหนามในจิตใจเขาอย่างหนึ่ง


ความจริงแล้วตัวเขานั้นได้เตรียมใจเรื่องนี้มานานแล้วและก็ยอมรับสภาพได้หากเขาจะไร้ทายาทสืบสกุล แต่พ่อแม่ของเขานั้นไม่ยอม


และยังบอกกับเขาด้วยว่าหากภรรยาของเขายังไม่ยอมท้องล่ะก็จะไล่ออกจากตระกูลไปในอีกไม่นานนี้


“ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีแล้ว เราเลิกพูดเรื่องนั้นกันดีกว่า มา ดื่ม” ชายร่างท้วมพูดออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะยกแก้วชนแล้วดื่ม


 


ณ ภัตตาคารแห่งหนึ่ง เสี่ยวรุยกำลังกินข้าวเย็นร่วมกับลูลู่


ในที่สุดเขาก็ชวนลูลู่ออกมาเดตจนได้เป็นครั้งแรก ในขณะที่ลูลู่ขอตัวไปห้องน้ำ เสี่ยวรุยได้นำโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเพื่อฆ่าเวลา


ทันทีที่เขาได้เห็นข่าวของซูจิ้งเขาก็ทำได้แต่นิ่งอึ้งไปเท่านั้น เมื่อลูลู่กลับมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาว่า “ลูลู่ นี่เป็นโรงพยาบาลของพ่อเธอไม่ใช่เหรอ”


“ก็ใช่นะ นี่ซู….” ลูลู่ที่เห็นข่าวก็ได้แต่อ่านข่าวแบบเงียบๆ พลางนึกถึงตำราแพทย์โบราณที่ซูจิ้งนำออกมาในวันนั้น กลายเป็นว่าตำราโบราณเล่มนั้นเป็นของจริงและซูจิ้งก็ชนะ แต่เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเรื่องที่กลายเป็นว่าเขาไปซื้อโรงพยาบาลกังเฟิงได้กันล่ะ


ยิ่งไปกว่านั้นเขาเข้าไปตัดสินใจเรื่องสำคัญของโรงพยาบาลสองเรื่องและหนึ่งในนั้นคือค่ารักษาที่แพงถึงหนึ่งล้านหยวนนี่อีก


 


“ดูเหมือนพี่สามจะโดนด่าไม่น้อยเลยแหะ” เสี่ยวรุยเองก็ทำเป็นปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปไม่ได้ เขาได้ส่งข้อความเพื่อเข้าไปเป็นกำลังใจให้กับซูจิ้ง


ผลก็คือคำนินทาว่าร้ายต่างๆแทบจะหายไปในทันทีและนี่ไม่ใช่เพียงเพราะชื่อเสียงของเสี่ยวรุย แต่แฟนคลับของซูจิ้งเองก็ได้เคลื่อนไหวทำให้เรื่องเงียบลงไปบ้าง แต่การกระทำของซูจิ้งนั้นมันไร้เหตุผลเกินกว่าที่ชาวเน็ตจะเงียบเสียงไว้ได้นาน ไม่นานพวกเขาก็หยิบเรื่องนี้มาพูดกันอีกอยู่ดี


 


ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง หมอหลายๆคนกำลังจะกลุ่มคุยกันอยู่


“เฮ้ นายได้ยินรึเปล่าว่าซูจิ้งก้าวเข้ามาทำธุรกิจด้านการแพทย์แล้วน่ะ”


“ฮี่ฮี่ ฉันได้ยินมาว่าเขาเพียงได้ตำราแพทย์โบราณจากสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออกมาจนเขาคิดว่าตัวเองเป็นหมอเทวดาน่ะ”


“ฉันว่าเขาแค่อยากจะลองหาเงินทางนี้ดูบ้างก็เท่านั้นแหล่ะ แต่การกระทำของเขานี่ก็เท่ากับหยามแพทย์แผนปัจจุบันจริงๆ”


 


“เรื่องนั้นก็อาจจะไม่จริงซะทีเดียวนะ อย่างเพิ่งด่วนตัดสินใจไปดีกว่า” ลิ่วเว่ยได้พูดตัดบทในทันที ตัวเขานั้นได้เสียเวลาในการรักษาลูกของหวังจ้าวอยู่นานก็ไม่หายสักที


แต่ซูจิ้งนั้นกับรักษาหายได้เพียงให้เขากินอาหารที่มีสรรพคุณทางยาเท่านั้น นี่คือเหตุผลที่ทำให้เขานั้นจดจำซูจิ้งได้เป็นอย่างดี


นอกจากนี้เขาได้ยินมาว่าปันฉาง คนที่ป่วยจนกลายเป็นมนุษย์ผักที่ยากจะรักษาได้ อยู่ๆเขาก็ได้ตื่นขึ้นมาหลังจากซูจิ้งเข้าไปเยี่ยมเพียงวันเดียว


นอกจากนี้เขายังได้ยินข่าวลือมากมายเกี่ยวกับการรักษาของซูจิ้งในเคสที่อยากจะรักษา บางโรคนี่ต่อให้สุมหัวหมอกันไปรักษาก็ยังเป็นเรื่องยาก แต่เพียงซูจิ้งเดินผ่านไปไม่นานก็หายดีกันถ้วนหน้า


 


นี่จึงเป็นเหตุผลที่ลิ่วเว่ยไม่กล้าสบประมาทซูจิ้งแม้แต่น้อย


“มันเป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ในทันทีอยู่แล้วแล้วจะหาว่าพวกเราด่วนตัดสินใจไปได้ยังไง นี่นายคิดว่าค้วยตำราแพทย์โบราณแบบนั้นจะช่วยให้เขากลายเป็นหมอเทวดาที่เก็บค่ารักษาได้ล้านหยวนอ่ะนะ


ฉันว่าเราสมควรจะรีบรวบรวมแพทย์แล้วทำการประณามการกระทำของเขาเสียมากกว่า การที่การกระทำของเขาจะทำให้หมออย่างพวกเราเสียชื่อเสียงไปด้วย” หมออีกคนหนึ่งพูดออกมาอย่างใส่อารมณ์ แต่ลิ่วเว่ยเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดีเขาจึงเลือกที่จะไม่พูดอีก


 


ฉิวจิงและหมออีกจำนวนมากต่างก็รวมตัวกันเพื่อโจมตีซูจิ้ง พร้อมประณามราคาค่ารักษาของซูจิ้งที่มันสูงเกินจริง และทุกคนเองต่างก็ไม่เชื่อว่าซูจิ้งจะมีความสามารถทางการแพทย์จริง และกล่าวหาว่าซูจิ้งทำเพื่อจะหลอกลวงเงินจากผู้คน


แม้แต่หมอที่เป็นแพทย์แผนจีนคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงในวงการการแพทย์ก็ได้รับการสัมภาษณ์จากนักข่าวเพื่อขอความเห็นในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน


“ดอกเตอร์หวังคะ คุณมีความเห็นยังไงเกี่ยวข่าวที่กำลังพูดถึงกันทั่วอินเตอร์เน็ตใจตอนนี้เกี่ยวค่ารักษาพยาบาลของซูจิ้งที่มีการเก็บราคาชั้นต่ำที่หนึ่งล้านหยวนคะ”


“อย่างแรก โรงพยาบาลสมควรจะเก็บค่าใช้จ่ายตามความจริงและนี่เป็นสิ่งที่เรียกว่าระบบการเก็บเงิน การที่เริ่มเก็บค่ารักษาขั้นต่ำที่หนึ่งล้านหยวนนี่ช่างไร้สาระจริงๆ


 


อย่างที่สอง ผมไม่เคยรู้จักคนที่ชื่อซูจิ้งผู้นี้ หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือคนๆนี้ไม่ได้จบจากการร่ำเรียนแพทย์มาตามระบบ และเท่าที่ผมได้รู้มาเขานั้นเพิ่งจะได้ใบรับรองแพทย์มาเท่านี้น นี่เขาจะไปมีความรู้ในการรกัษาแค่ไหนกันล่ะ


สำหรับหมอใหม่นั้น สมควรจะฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เรียนรู้เคสผู้ป่วยมาอย่างหนัก และทำการเพิ่มพูนฝีมือจากเคสการรักษาเหล่านั้น


แต่นี่เขากลับไม่ทำตามระบบเลยสักอย่าง ไหนจะเรื่องที่เปิดโซนวีไอพีอะไรนั่นอีก หากการรักษาของเขานั้นมีราคาเริ่มต้นที่หนึ่งล้านหยวน นี่ไม่ใช่หมายความว่าหมอที่มีฝีมือดีกว่าเขาจะเรียกเก็บค่ารักษาได้สิบล้านหยวนเลยรึไงกัน นี่จะทำให้วงการการแพทย์ต้องเกิดความโกลาหลอย่างแน่นอน” ดอกเตอร์หวังพูดออกมาเชิงดูถูก


เขานั้นเป็นชายแก่อายุอานามปาเข้าไปกว่า50ปีจนตอนนี้มีผมหงอกไปครึ่งหัวแล้ว


 


หลังจากดอกเตอร์หวังได้พูดจบลงนี่ยิ่งทำให้มีอีกหลายๆคนที่เริ่มจะด่าทอสาบส่งซูจิ้งมากยิ่งขึ้น


นี่ทำให้เหล่าผู้คนที่ซูจิ้งเคยช่วยรักษาต่างก็ออกมาพูดกับซูจิ้งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นเจียงหนานที่มีภาวะมีบุตรยาก คุณนายซุนที่ป่วยเป็นโรคไข้เย็น ป้าของหลินชิหยูที่ป่วยเป็นโรคกลัวความเย็น และลูกชายของเหยาชินจิ้งที่ถูกพิษจนแสนสาหัส


แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเหล่าคนพวกนี้ที่เปรียบได้ดั่งทหารกล้าของผู้มีความสัมพันธ์อันดีของซูจิ้ง นอกจากจะไม่ได้ช่วยให้ซูจิ้งเปลี่ยนความคิดแล้ว พวกเขานั้นไม่ได้ทำให้ซูจิ้งนึกจะเปลี่ยนความคิดของเขาเลยเสียด้วยซ้ำ


 


ภายในวันเดียว ซูจิ้งได้กลายเป็นเป้าโจมตีจากสาธารณะชนอย่างบ้าคลั่ง และแน่นอนว่าที่ทุกคนโจมตีนั้นเป็นเพราะเรื่องการเปิดการรักษาแบบวีไอพี


แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่คิดว่าการกระทำของซูจิ้งนั้นเป็นเรื่องที่ดีและกล่าวสรรเสริญจากใจจริง นั่นก็เพราะว่าซูจิ้งนั้นได้ลดค่าใช้จ่ายจากการรักษาโรคแบบทั่วไปชนิดที่แทบจะฟรีเลยด้วยซ้ำ


คนพวกนี้ยังกล่าวอีกว่าซูจิ้งไม่ได้บังคับให้ทุกคนต้องเข้าไปรักษาที่โซนวีไอพีสักหน่อย และพวกเขาก็คงไม่คิดว่าจะมีคนที่โง่พอที่จะหาเรื่องซูจิ้งโดยการเข้าไปเสียค่ารักษากว่าล้านหยวนเพื่อหาเรื่องฟ้องร้องการรักษาของซูจิ้งอย่างแน่นอน


GGS:บทที่ 971 คนไข้รายแรก


 


ณ โรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุน ลูฉินหมิงที่ตอนนี้กำลังวุ่นอยู่กับการรักษาในคลินิกประจำโรงพยาบาล โดยที่ในส่วนคลินิคที่ดีที่สุดของโรงพยาบาลนี้จะถูกเรียกว่าโซนวีไอพีโดยมีซูจิ้งเป็นผู้ดูแลแต่เพียงผู้เดียว


“รองประธานตั้งใจจะใช้ห้องนี้เป็นคลินิกพิเศษ(โซนวีไอพี)จริงๆหรือครับ” หมอคนหนึ่งที่เห็นเครื่องไม้เครื่องมือสุดแสนจะธรรมดาก็อดจะถอนหายใจและถามออกมาอย่างสงสัยเสียไม่ได้


 


“นี่จะเป็นไปได้จริงๆเหรอที่เขาจะใช้เครื่องมือเพียงเท่านี้แล้วได้รับค่ารักษาหลักล้านมาน่ะ” หมออีกคนถามออกมาด้วยความสงสัยไม่ต่างกัน


“คุณซูตัดสินใจที่จะลดค่ารักษาในส่วนคลินิกรักษาทั่วไปเพื่อให้โรงพยาบาลของเรามีชื่อเสียงคืนมาอันนี้ฉันก็เห็นด้วยนะ แต่การที่จัดต้องการรักษาแบบพิเศษนี่….นี่มันไม่ใช่ว่าจะยิ่งบั่นทอนชื่อเสียงของพวกเราหรอกเหรอ”


“หยุดพูดเรื่องนี้กันได้แล้วน่า เดี๋ยวประธานซูก็เข้ามาได้ยินหรอก”


 


ลูฉินหมิงถอนหายในออกมาเบาเมื่อได้ยินบุคลากรของตัวเองพูดถึงแต่เรื่องนี้กันถึงแม้จะเป็นเสียงเบาๆแต่ก็ทำให้เขาต้องถอดถอนหายใจอยู่ดี


ความคิดของซูจิ้งนั้นเอาจริงๆก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเพียงแต่เขากลัวแต่ว่าความคิดของเขาจะหวังผลไว้สูงเกินไป เอาจริงๆเขากลัวว่าไอ้ความคิดเรื่องคลีนิกพิเศษที่เริ่มค่าใช้จ่ายเริ่มที่หนึ่งล้านหยวนนี้จะเป็นเพียงการหาเรื่องว่างงานของซูจิ้งด้วยซ้ำ


 


“รองประธานลูครับ รองประธาน” ทันใดนั้น มีเสียงนางพยาบาลสาวคนหนึ่งได้รีบเข้ามาหาลูฉินหมิงอย่างร้อนรน


“เกิดอะไรขึ้น” ลูฉินหมิงถามออกมาด้วยความสงสัย


“มีคนข้าคนหนึ่งเข้ามาเพื่อขอเข้ารับการรักษาจากประธานซูค่ะ เขาบอกว่าพร้อมที่จะรับเงื่อนไขการรักษาในคลีนิกพิเศษ” นางพยาบาลพูดออกมา


“ว่าไงนะ” ลูฉินหมิงถามออกมาก่อนที่จะนิ่งอึ้งไป


“คนคนนั้นเขารู้ใช่รึเปล่าว่าค่าใช้จ่ายขั้นต่ำอยู่ที่หนึ่งล้านหยวน” หมอที่เมื่อสักครู่กำลังเผาซูจิ้งอยู่ได้ถามออกมา


“ใช่ค่ะ เขาวางเงินจำนวนหนึ่งล้านหยวนไว้แล้วด้วย” นางพยาบาลพูดออกมา


 


ลูฉินหมิงในตอนนี้ได้แต่ทำท่าทางโง่งม แม้แต่หมอที่กำลังนินทาซูจิ้งก่อนหน้านี้ก็มีท่าทางไม่ต่างกัน พลางนึกถึงว่าคลีนิกพิเศษในตอนนี้ที่ไม่ค่อยจะมีเครื่องมืออะไรเลยด้วยซ้ำจะพร้อมรักษาได้ยังไง


ยิ่งไปกว่านั้นคนๆนี้ยังวางเงินไว้แล้วหนึ่งล้านหยวนพลางนึกไปว่าโรคที่ต้องยอมเสียเงินกว่าล้านหยวนเพื่อรักษานี่ต้องเป็นโรคร้ายแรงแค่ไหนกันแน่ นี่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายหลังการรักษาอีกนะ


และที่สำคัญที่สุดคือซูจิ้งคือหมอชนิดที่ว่าใหม่ๆสดๆซิงๆเลยนะ นี่เขาน่าเชื่อถือขนาดนั้นเลยเหรอ


 


“ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วก็ให้เขาเข้ามาก่อนก็แล้วกัน” ลูฉินหมิงพูดออกมากับพยาบาลสาวคนที่เข้ามาแจ้งข่าว


“ได้ค่ะ” พยาบาลสาวรีบวิ่งออกไปในทันที


ลูฉินหมิงได้หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาก่อนที่จะโทรหาซูจิ้ง เมื่อซูจิ้งรับสายปรากฏว่าตัวเขานั้นยังอยู่บ้าน ต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่งกว่าจะถึง


สักพักหนึ่ง พยาบาลสาวก็ได้พาคู่สามีภรรยาวัยกลางคนพร้อมกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งเข้ามา เด็กผู้ชายคนนี้เข้ามาโดยเขาอยู่ตรงกลางระหว่างคู่สามีภรรยาที่จูงมือเขาอย่างทะนุถนอม สายตาของเด็กผู้ชายค่อนข้างฉายแววคุ้มคลั่งผิดกับท่าทางนี่ทำให้ลูฉินหมิงรีบเข้าไปต้อนรับเป็นการส่วนตัวในทันที


 


ทั้งสองได้อธิบายสถานการณ์ของลูกเขาให้ฟังพร้อมทั้งผลการตรวจร่างกายที่เคยผ่านมา และนี่ทำให้เขานั้นรู้เหตุผลทันทีว่าทำไมเด็กน้อยถึงมีท่าทีแบบนี้


นั่นเป็นเพราะว่าเขาพึ่งจะผ่านการตรวจสอบปัสสาวะผ่านการเจาะเก็บปัสสาวะผ่านทางหน้าท้องมา


นี่เป็นเทคนิคการตรวจของแพทย์ตะวันตกสมัยใหม่ที่นิยมใช้ในการตรวจหาโรคที่เกี่ยวข้องเลนส์ตาหรือก็คือต้อกระจกนั่นเอง


โรคต้อกระจกนี้เป็นโรคที่ก่อให้เกิดการสูญเสียทัศนวิสัยน์ทางการมองเห็นจนนำพาไปถึงขั้นตาบอดได้เลย โดยเด็กน้อยคนนี้มีอาการที่หนักมากจนถึงขั้นสูญเสียทัศนวิสัย์ในการมองเห็นจนตาพล่ามัวไปแล้ว ต่อให้จะยังไม่ถึงกับบอดแต่ก็ถือว่าหนักมากอยู่ดี


คู่สามีภรรยานี้เองก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สายตาลูกชายของเขาแย่ลง พวกเขาไม่มีเวลาดูแลลูกโดยทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ไปกับหาเงิน


 


ตอนแรกนั้นพวกเขาเองก็ไม่รู้เรื่องที่ลูกชายตัวเองมีปัญหาด้านสายตาแม้แต่น้อย ตอนที่พวกเขาสังเกตเห็นก็เพียงนึกว่าเป็นเพราะไม่เคยดุด่าไม่ให้ลูกของเขาใช้สายตามากเวลาดูทีวีเท่านั้น


กว่าจะพบว่าลูกตัวเองมีสายตาปัญหาจริงๆก็เรียกได้ว่าสายเกินแก้แล้ว กว่าทั้งคู่จะพาเด็กชายคนนี้ไปโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาจริงจังก็ทำได้เพียงรักษาตามอาการเล็กๆน้อยๆเท่านั้น แถมยังมีท่าทีที่ต่อกระจกตาจะเสื่อมเร็วขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ


 


“อาการหนักแล้วนะครับ พวกเราต้องรีบรักษาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้” ถึงลูฉินหมินจะพูดออกมาแบบนั้นแต่ตัวเขาเองก็รู้ดีว่าอาการของเด็กน้อยสายเกินแก้แล้ว


“ที่เรามาหาคุณซูในวันนี้เป็นเพราะพวกเราเคยได้ยินมาว่าคุณซูนั้นไม่เพียงจะรักษาอาการนี้ได้ แต่คนที่เขาเคยรักษายังมีสายตาที่ดีขึ้นจนถึงขั้น 5.3 เลยด้วยซ้ำ” แม่ของเด็กผู้ชายได้พูดออกมา


“ห้ะ นี่คุณไปได้ยินมาจากไหนกัน” เมื่อได้ยินดังนั้น ลูฉินหมิงก็ได้แต่นิ่งอึ้งไป แม้แต่หมอที่อยู่ใกล้ๆกันที่ได้ยินดังนั้นก็มีสภาพไม่ต่างกัน


ต้องรู้กันก่อนว่าโรคที่เกี่ยวกับกระจกตานั้นถือได้ว่าเป็นโรคทางระบบประสาทอย่างหนึ่ง นั่นหมายความว่าเมื่อกระจกตาได้รับความเสียหายจะเป็นความเสียหายแบบถาวรเนื่องจากระบบประสาทจะไม่มีความสามารถในการฟื้นฟูสภาพตัวเอง


การรักษาและการซ่อมแซมระบบประสาทนั้นโดยทั่วไปแล้วเป็นเพียงการหลอกระบบประสาทไม่ให้เกิดอาการรุกลามเท่านั้น


นั่นหมายความว่าเมื่อป่วยเป็นโรคนี้แล้วจะไม่มีวันหายอย่างแน่นอน หากว่ารู้ตัวช้าไปมากเท่าไหร่ยิ่งส่งผลต่อระดับการรักษาได้ยากมากขึ้นเท่านั้น แต่กว่าโรคจะแสดงอาการจนสามารถตรวจพบได้โดยส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่สายเกินแก้ไปแล้วทั้งสิ้น


 


ตอนนี้เด็กตรงหน้าพวกเขานั้นมีอาการที่เรียกได้ว่าหนักมาก ต่อให้มีการรักษาดีขนาดไหน ระดับการมองเห็นไม่มีทางฟื้นฟูมาสภาพเดิมได้ นับประสาอะไรกับการเพิ่มระดับการมองเห็นเป็น 5.3 เลย นั่นเป็นเพียงการฝันลมๆแล้งๆชัดๆ


นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเมื่อลูฉินหมิงและหมอคนอื่นๆได้ยินก็ต้องถึงกับเหวอกันไปหมด ต่อให้ไม่ต้องพูดถึงการรักษาโรคต้อกระจกนี่เลย เรื่องการฟื้นฟูระดับการมองเห็นเพียงเรื่องเดียวนี่ยังยากเย็นนัก


ขนาดคนที่ผ่านการทำเลสิกมาแล้วก็ยังมีปัญหาตามมาอยู่เรื่อยๆ ดังที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ว่าหากระบบประสาทได้รับความเสียหายย่อมต้องไม่มีทางฟื้นฟู ดังนั้นคนที่จะทำเลสิกได้จึงจะต้องเป็นคนที่ไม่มีโรคทางระบบประสาทตาเท่านั้น ไม่อย่างนั้นไม่เพียงระยะสายตาจะไม่ได้ดีขึ้น แต่จะทำให้โรคต้อกระจกจะยิ่งแสดงอาการมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย


แต่ดูเหมือนว่าคู่สามีภรรยาคู่นี้จะเชื่อเรื่องที่ซูจิ้งสามารถรักษาโรคกระจกนี้อย่างหมดใจ นี่เป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าข่าวลวงฆ่าคนได้


 


ซูจิ้งต้องแก้ตัวเรื่องนี้ให้ดีๆซะแล้ว ไม่อย่างนั้นนี่จะค่อนข้างจะกลายเป็นปัญหาสำหรับการเป็นหมอของเขาในอนาคต


“เอ่ออออ เรื่องการเพิ่มสมรรถนะการมองเห็นเป็น 5.3 หลังการรักษานั้นคงจะเป็นไปไม่ได้หรอกครับ และการฟื้นฟูระดับการมองเห็นได้นั้นก็อาจจะไม่เท่ากับระดับปกติ


แต่ไม่ว่ายังไงพวกเราก็จะทำให้เต็มที่เพื่อปกป้องการมองเห็นของลูกชายคุณเอาไว้ให้สุดความสามารถ” ลูฉินหมิงได้พูดออกมา


“เพียงแค่พวกคุณไม่สามารถ ไม่ใช่หมายความว่าคุณซูจะไม่สามารถนี่นา พวกเราไม่ได้จ่ายเงินหนึ่งล้านหยวนเพียงเพื่อแค่มาใช้พื้นที่วีไอพีนี่เท่านั้นนะ ไม่ใช่ว่านี่สมควรจะเป็นคุณซูที่มารักษาหรอกเหรอ เขาอยู่ไหนกัน” แม่ของเด็กชายได้ถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจกับหมอเหล่านี้


“ต่อให้คุณซูมาก็สมควรจะทำไม่ได้เหมือนกันนะครับ นี่เป็นปัญหาการรักษาที่อยู่ในระดับโลกเลยนะ ต่อให้ยกหมอทั้งโลกมาก็ไม่มีทางรักษาได้ ผมที่เป็นรองประธานคนนี้ไม่มีทางพูดจาไร้สาระเป็นอันขาด” ลูฉินหมิงได้พยายามอธิบายให้คนไข้ฟัง


 


“ฉันไม่พูดอะไรกับคุณแล้ว ฉันจะพูดกับคุณซูคนเดียวเท่านั้น” พ่อของเด็กชายได้ตัดบทพูดด้วยท่าทีไม่พอใจอย่างมาก ลูฉินหมิงเองก็พยายามที่จะอธิบายเพิ่มเติมแต่ทั้งคู่ก็ไม่ยอมฟังกันจนทำให้บรรยากาศรอบข้างในตอนนี้คุกรุ่นราวกับปืนที่เตรียมพร้อมจะยิงออกมาได้ทุกเมื่อ


ในตอนนี้เองที่ซูจิ้งได้เขามาถึง เขาเดินเข้ามาพร้อมพูดออกมาอย่างไม่พอใจเล็กน้อยว่า “คุณลู ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอว่าหากไม่ใช่เคสด่วนล่ะก็ คนไข้ในคลีนิกผู้ป่วยพิเศษนี้ผมจะเป็นคนรักษาเอง”


“ผมไม่ได้พยายามจะรักษา ผมแค่พยายามจะอธิบายให้พ่อแม่ของเด็กน้อยคนนี้ฟังเฉยๆว่าพวกเขากำลังเชื่อในสิ่งที่ผิดอยู่เท่านั้นเอง


พวกเขาคิดว่าหลังจากรักษาแล้ว ความสามารถในการมองเห็นของเด็กน้อยจะดีเหมือนเดิม เมื่อผมได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะอธิบายให้ทั้งสองเข้าใจก่อนเพราะผมกลัวว่าจะกลายเป็นปัญหาทีหลังน่ะ” ลูฉินหมิงพูดออกมา


“แล้วใครบอกว่าการมองเห็นของเด็กน้อยคนนี้จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมไม่ได้กัน อย่ามาด่วนสรุปก่อนที่ผมจะได้ดูอาการสิ” ซูจิ้งพูดออกมา เมื่อได้ยินดังนั้นทำให้ลูฉินหมิงและหมอคนอื่นๆเองได้แต่มองเขาแบบตาไม่กระพริบ


 


“คุณซู ในที่สุดคุณก็มาสักที คือ…ลูกชายผมมีอาการ…” หลังจากได้เห็นซูจิ้ง ชายวัยกลางคนก็ได้รีบยืนขึ้นแล้วก้าวเข้ามาหาซูจิ้งด้วยความยินดียิ่งก่อนที่จะเริ่มอธิบายอาการของลูกชายตัวเอง


“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะพยายามรักษาลูกของคุณอย่างสุดความสามารถ รับรองได้ว่าในไม่ช้าเขาจะกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำ


ลูฉินหมิงละหมอคนอื่นๆที่เห็นฉากนี้ต่างก็พูดกันไม่ออก การรักษาโรคทางดวงตานั้นสำหรับพวกเขาแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นี่ซูจิ้งไปเอาความกล้ามาจากไหนถึงได้ไปรับปากพ่อแม่ของเด็กน้อยนี่กัน


แถมเขายังพูดราวกับว่าเขาสามารถทำให้ระยะการมองเห็นดีในโดยเร็วได้เสียอีก พวกเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าซูจิ้งจะทำยังไงกันแน่ในการรักษานี้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)