Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 964-967
GGS:บทที่ 964 การแสดงสุดแสนจะมหัศจรรย์
เมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ในมือของเสี่ยวรุย ทั้งเซียงหลงและคนอื่นๆที่อยู่ในที่นั้นเกือบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่ นั่นก็เพราะสิ่งที่อยู่ในมือของเสี่ยวรุยก็คือเศษกระดาษสีแดงอยู่เต็มมือซ้าย แต่พอดีๆมันเหมือนจะเป็นกระดาษที่พับเอาไว้แบบง่ายๆ มายากลอะไรกันที่ใช้แค่กระดาษพับแบบนี้เนี่ย
เสี่ยวรุยเองในตอนนี้ก็รับรู้ถึงท่าทางเหยียดๆของทุกคนในงานแต่เขาก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใดเพราะเขาทำอะไรไม่ได้แล้ว
ในทันทีทันใดเขาก็ได้โยนกระดาษขึ้นไปให้กระจายไปโดยรอบ กระดาษที่ถูกโยนไว้ในตอนนี้ค่อยๆหมุนเคว้งคว้างอยู่กลางกระดาษระยิบระยับและค่อยๆลอยลงมาที่พื้นอย่างช้าๆ นี่ทำให้ทุกคนที่ดูนึกอายแทนและคิดเยาะเย้ยอยู่ในใจว่าแค่โปรยกระดาษนี่เขาก็เรียกว่ามายากลด้วยหรอ
เสี่ยวรุยเองในตอนนี้รู้สึกปวดใจขึ้นมาในทันทีราวกับว่าเขากำลังเป็นกระสอบทรายที่กำลังสายตาของผู้คนที่เปรียบได้ดั่งหมัดกระหน่ำต่อยเขาอย่างไม่ยั้ง พลางคิดอยู่ในใจว่านี่เขาทำอะไรพลาดไปรึเปล่าหรือว่าซูจิ้งจะแกล้งเขาจริงๆกันแน่
อย่างไรก็ตาม กระดาษที่กำลังปลิวไสวลอยลงต่ำอย่างสวยงามนั้น อยู่ๆพวกมันก็ลอยตัวขึ้นมาราวกับลูกบอลลูนเล็กๆค้างไว้อยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะมีเสียงดังปังเล็กๆเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
กระดาษที่อยู่ตรงหน้าของเสี่ยวรุยชิ้นหนึ่งได้กลายสภาพป็นกระดาษรูปหัวใจสีแดงพองโตอยู่ข้างหน้า หลังจากที่ทุกคนทำการจ้องไปยังหัวใจอันนั้น
รอบตัวเสี่ยวรุยก็ค่อยมีเสียงดังปังๆๆเบาๆแบบถี่ยิบ และรอบตัวเขาในตอนนี้กระดาษที่กำลังปลิวไสวรอบตัวนั้นค่อยๆกลายเป็นกระดาษรูปหัวใจดวงน้อยๆที่พองโตสีแดงสดอยู่รอบตัวในทันทีก่อนที่จะค่อยๆลอยขึ้นอย่างช้าๆ
ทุกคนในงานตอนนี้นั้นนอกจากตกตะลึงแล้วพวกเขายังมีความรู้สึกประหลาดใจอยู่เต็มหัวใจ ฉากที่พึ่งจะเกิดต่อหน้าพวกเขานั้น
ถึงแม้จะไม่ได้ดีเด่มากนักแต่ก็ยังทำให้รู้สึกว่าเสี่ยวรุยนั้นมีฝีมืออยู่ดี ถึงแม้จะไม่ใช่ระดับมืออาชีพแต่ก็ดีกว่าคนทั่วไปมากโขนัก
“โอ้ น่าสนใจ” ลูฉินหมิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“กลนี่น่าจะใช้เหล็กคืนรูปนะ” เซียงหลงได้พูดออกมาอย่างอวดภูมิ นี่ทำให้คนที่มากับเขาถึงกับยิ้มออกมาในความเก่งของลูกพี่ของพวกเขา
“อะไรคือเหล็กคืนรูปอ่ะ” สาวน้อยคนหนึ่งถามออกมา
“เอาง่ายๆก็คือเหล็กที่จะคืนสู่สภาพก่อนที่จะมีการบิดงอได้เองโดยแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลยน่ะ เหล็กที่ว่าน่าจะถูกทำเป็นรูปหัวใจเอาไว้แล้วก่อนที่จะถูกสอดเข้าไปในกระดาษโปรย เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะโยนขึ้นไปหรือเขวี้ยงไปตรงไหนก็ตาม ไม่นานมันก็จะไปดันให้กระดาษอยู่ในรูปหัวใจ” ชายหนุ่มพวกของเซียงหลงคนหนึ่งอธิบายออกมา
“แล้วทำไมมันลอยได้ล่ะ”
“น่าจะเติมไฮโดรเจนไว้นะ เรื่องแค่นี้เอง”
“อ้อ เป็นแบบนี้นี่เอง” แต่เดิมกลนี้ก็ไม่ได้ดูหวือหวาอะไรอยู่แล้ว แน่นอนว่าคำอธิบายง่ายๆพวกนี้ยิ่งทำให้กลของเสี่ยวรุยดูน่าเบื่อเข้าไปอีก นี่ทำให้สาวน้อยคนนี้เลิกสนใจไปในทันที
เสี่ยวรุยเองในตอนนี้ที่ได้เห็นกระดาษที่โปรยออกไปนั้นกลายเป็นหัวใจสีแดงสดลอยอยู่รอบตัวเข้าก็ทำได้เพียงทำตาปริบๆไปสองที
ตอนนี้เขารู้สึกตัวได้ในทันทีว่ากลที่เขาเล่นนั้นถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำได้ยังไงแต่มันก็ถือว่าสำเร็จแล้วตามที่ซูจิ้งได้บอกเอาไว้ แต่เมื่อได้เห็นเซียงหลงและเพื่อนของเขาทำอวดดีเปิดเผยกลของเขานี่ทำให้เขาเกลียดเซียงหลงและลูกน้องของหมอนี่เต็มหัวใจ
แต่ยังไงซะ กลของเขาก็พึ่งจะแสดงออกไปได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เขาจะยังถอดใจไม่ได้ในตอนนี้ เขายินดีที่จะเสี่ยงให้ถึงที่สุดดีกว่าปล่อยให้คนอื่นดูถูกเขาได้โดยไม่ได้ตอบโต้อะไร
คิดได้ดังนั้นเขาก็ไม่รอช้าได้ยื่นมือขวามาข้างหน้าก่อนที่จะโยนขึ้นไป ภาพที่ทุกคนเห็นอยู่ตอนนี้ก็คือกระดาษได้ถูกเขวี้ยงออกมาจากมือขวาของเสี่ยวรุยและได้กระจายไปทั่วรอบตัวของเขาเล่นเดิม ทุกคนที่เริ่มจะคิดว่ากลนี้หน้าเบื่อ อยู่ๆก็ได้เห็นสิ่งที่พวกเขาไม่ได้คาดคิดขึ้นมาตรงหน้า
สิ่งที่ทุกคนเห็นอยู่ในตอนนี้ก็คือกระดาษที่เปลี่ยนรูปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้พวกมันไม่ได้เปลี่ยนเป็นรูปหัวใจ พัด หรืออะไรที่มันดูง่ายๆอีกตัวไป กระดาษได้กลายเป็นเด็กทารกที่มีปีกสีขาวติดอยู่ที่หลัง พร้อมกับถือคันธนูและลูกศรอยู่ในมือ มันดูสมจริงมากจนทำให้ทุกคนคิดไปว่ามีเด็กที่มีปีกกำลังบินอยู่ตรงหน้าจริงๆ
และมีสิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือปีกของเด็กน้อยกำลังกระพรือปีกโบกสะบัดไปมาอย่างสวยงามให้ตัวเองลอยยอยู่ ถึงแม้ตอนแรกจะพอดูออกว่าเป็นเพียงกระดาษพับ แต่ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนจริงอย่างมาก
นี่ทำให้หลายๆคนคิดอยู่ในใจว่าหากนี่ทำมาจากเหล็กคืนรูปจริงล่ะก็มันทำได้อย่างนี้ด้วยเหรอ ต่อให้ทุ่มเงินมากมายมหาศาลก็ตาม ไม่มีทางที่จะหาเทคนิคอะไรที่จะควบคุมพวกมันได้เสมือนจริงแบบนี้แน่นอน
ยิ่งเหล็กคืนรูปที่ว่ามายิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ ต่อให้ไฮโดรเจนสามารถทำให้มันบินได้จริง แต่มันก็ควรจะลอยขึ้นไปเลย แต่นี่กลับมีแรงลมออกมาจากการกระพือปีกแบบนี้ กระดาษนี่กำลังพยุงตัวเองอยู่บนอากาศชัดๆ
หลังจากที่ทุกคนกำลังตะลึงงันพลางคิดหาเคล็ดของกลที่ซ่อนอยู่นี้ เทวดาตัวน้อยที่กำลังลอยอยู่ในอากาศอยู่ๆก็ได้ทำการดึงธนูที่อยู่ในมือของตัวเอง ก่อนที่จะปล่อยลูกศรที่มีหัวเป็นรูปหัวใจให้บินออกไปอย่างช้าๆ และแน่นอนว่าเทวดาตัวน้อยที่มีลูกศรรูปหัวใจอยู่ในมือนั่นก็คือคิวปิด (กามเทพ) นั่นเอง
“ดึ๋ง ดึ๋ง” เสียงของคันธนูที่ได้ปล่อยลูกศรออกไปจำนวนศรดอกได้ดังชัดจนทุกคนได้ยินถึงแม้จะไม่ได้ดังนัก และตัวลูกศรนั่นเอง
ลูกหนึ่งก็ได้ค่อยๆลอยไปหาลูลู่ที่ในขณะนี้กำลังตกตะลึงเลยไม่ได้ขยับตัวไปไหน อีกลูกหนึ่งก็ได้ลอยไปยังเสี่ยวรุยที่กำลังยืนนิ่งเพราะตกตะลึงไม่ต่างกัน
และนั่นเองทำให้ลูกศรทั้งสองก็ได้ไปจิ้มอยู่ที่หน้าอกของคนทั้งคู่แทบจะพร้อมๆกันโดยไม่มีอะไรขวางกั้น เมื่อเป็นดังนั้น บรรดากระดาษที่ลอยอยู่ก็ได้มีเสียงดังฟึ่บไปแทบจะพร้อมกันก่อนที่จะกลับกลายเป็นกระดาษดังเดิม นี่เป็นการบ่งบอกว่ากลของเสี่ยวรุยนั้นเสร็จสิ้นแล้ว
“น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ” ลูฉินหมิงได้พูดออกมาด้วยท่าทีสนุกสนาน
“นี่มัน…ใช้วิธีอะไรกันเนี่ย” ลูมู่เองที่พยายามจะจับผิดกลเช่นเดียวกันได้แต่พูดออกมาด้วยท่าทีตะลึงงัน
“ทำได้ยังไงอ่ะ” ลูลู่ มู่ติง และคนอื่นๆเองก็ได้แต่พูดออกมาอย่างตกตะลึงไม่ต่างกัน
“เหล็กคืนรูป เหล็กคืนรูปทำอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ” สาวน้อยที่เคยฟังคำอธิบายจากลูกน้องของเซียงหลงก่อนหน้านี้ได้ถามออกมาอย่างดูถูก
“นี่…” ชายหนุ่มลูกน้องของเซียงหลงที่ทำท่าอวดภูมิก่อนหน้านี้ถึงกับพูดไม่ออกและพยายามหาคำตอบไปในคราวเดียวกัน เขาเองก็คิดได้แล้วว่าไม่ว่าจะดูยังไงก็ไม่ใช่เหล็กคืนรูปอย่างแน่นอน
“พี่เซียง มันทำได้ยังไงกัน” ชายหนุ่มอีกคนได้แอบกระซิบถามเซียงหลง
“อย่าเพิ่งมาถาม ขอฉันคิดก่อน” เซียงหลงเองก็ได้หันไปกระซิบตอบแบบอารมณ์เสียไม่น้อย ตอนนี้หัวสมองของเขากำลังแล่นแบบสุดกำลังเพื่อจะหาคำตอบให้ได้ว่าเสี่ยวรุยใช้ทริคอะไรกับมายากลนี้
แต่ไม่ว่าเขาจะคิดยังไงก็คิดไม่ออกเพราะมายากลเมื่อครู่ไม่ได้มีร่องรอยอะไรเลยแม้แต่น้อยแถมแม้แต่เขาเองก็ยังตะลึงไปไม่น้อยเหมือนกัน
เหตุผลนั่นก็ผลว่าหากว่าคนๆนั้นเมื่ออยู่ในวงการมายากลแล้วหากมองแวบแรกก็จะคิดเพียงว่านี่เป็นกลกระจอกที่ใช้เล่นเวลาเปิดงานทั่วไป
แต่เมื่อดูจนจบแล้วพวกเขาจะตระหนักได้ในทันทีว่ามายากลเมื่อครู่นี้สามารถเป็นดาวเด่นของงานเลี้ยงของคนรวยในฤดูใบไม้ผลได้เลย
แม้แต่เอาออกไปแสดงให้ชาวต่างชาติดูก็ยังได้ ต่อให้เอาไปประกวดแข่งขันที่ไหนก็ไม่มีทางแพ้ได้อย่างแน่นอน
แต่คำถามคือคนอย่างเสี่ยวรุยสามารถแสดงกลที่ทรงพลังแบบนี้ได้ยังไงกัน นี่ทำให้เซียงหลงนั้นว้าวุ่นใจอย่างมากในตอนนี้
อย่าว่าแต่เซียงหลงและคนอื่นๆเลย แม้แต่เสี่ยวรุยเองในตอนนี้ก็ยังยืนอึ้งนิ่งอยู่ที่เดิมเมื่อได้เห็นฉากการแสดงครึ่งหลังนี้ไป
เขาไม่คิดเลยจริงๆว่ากระดาษทีเขาเขวี้ยงออกไปนั้นจะกลายเป็นกามเทพและยิงลูกศรออกมา แน่นอนว่าเรื่องนี้เขารู้ดีว่าไม่ใช่ฝีมือเขาอย่างแน่นอน
ตอนนี้เขาไม่นึกแปลกใจอีกต่อไปว่าทำไมซูจิ้งถึงบอกว่าเขาสามารถจะแสดงกลได้ในทันที นั่นเป็นเพราะซูจิ้งจัดเตรียมทุกอย่างไว้ให้เขาเรียบร้อยแล้วนี่เอง
“คุณพี่รุยแสดงกลได้สุดยอดไปเลย” ลูลู่ได้แสดงท่าทางประหลาดใจและสนุกออกมาอย่างน่าจับใจ
“คุณพี่รุยสุดยอดดดด” สาวๆคนอื่นเองก็อดที่จะพูดเยินยอเสี่ยวรุยไม่ได้เช่นเดียวกัน
“ไอ้หนุ่มนี่สุดยอดไปเลยแหะ” ลูฉินหมิงและลูมู่เองก็กล่าวชมเชยออกมา
“ฮี่ฮี่ฮี่ แค่พอใช้ได้แหล่ะครับ” เสี่ยวรุยได้หัวเราะออกมาเล็กน้อยอย่างเอียงอายออกมา พลางคิดไปว่ากลที่เขาพึ่งจะเล่นไปนั้นเป็นพี่สามของเขาเตรียมไว้เล่นให้พี่สะใภ้ดูจริงๆ ถึงว่าทำมันมันดูโรแมนติกขนาดนี้ การที่เขายอมปล่อยให้เขาเล่นแบบนี้ช่างเป็นพี่ที่ห่วงน้องเสียเหลือเกินเลยจริงๆ
เซียงหลงและลูกน้อง(เพื่อนๆ)ได้รีบพุ่งเข้าไปหยิบกระดาษที่ใช้ในการแสดงของเสี่ยวรุยขึ้นมาเพื่อทำการศึกษาหาเคล็ดลับ แต่พวกเขาก็ต้องประหลาดใจนั่นก็เพราะว่าอย่าว่าแต่จะมีเหล็กคืนรูปอย่างที่เขาคาดไว้เลย กระดาษที่ใช้อยู่นี้เป็นเพียงกระดาษจริงๆเท่านั้น อย่างดีที่สุดที่พวกเขาพอจะสังเกตุได้คือพวกมันเป็นกระดาษที่มีการวาดอะไรบางอย่างลงไป
“ไหนบอกว่าเป็นเหล็กคืนรูปไม่ใช่เหรอ” สาวน้อยคนนั้นยังถามออกมาด้วยน้ำเสียงกระแซะ
“นี่…” ชายหนุ่มคนที่อวดภูมิถึงกับอายจนพูดอะไรไม่ออก
“คุณพี่รุยคะ พี่ใช้ทริคอะไรถึงได้แสดงกลระดับนี้ได้ยังไงอ่ะ” สาวน้อยอีกคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“ความลับสวรรค์ยังไม่อาจเปิดผลได้ หากมายากลเผยเคล็ดลับมันก็ไม่ใช่กลน่ะสิ” เสี่ยวรุยได้พูดออกมาอย่างได้ใจ แต่ในใจของเขานั้นอยากจะบอกออกไปอย่างสุดเสียงว่า “….ไม่รู้โว๊….ย….ดังๆ” สงสัยเขาคงต้องหาเวลาไปถามพี่สามของเขาทีหลังซะแล้วสิ
มู่ติงในตอนนี้ได้หันหน้าไปมองซูจิ้งในทันที เธอนั้นเป็นสาวที่ฉลาดและชอบสังเกต ก่อนหน้านี้เธอได้แอบเห็นเสี่ยวรุยได้ถูกผลักและถีบออกมาโดยซูจิ้ง
และก่อนที่จะเริ่มการแสดงเสี่ยวรุยยังหันไปมองซูจิ้งราวกับจะขอความกล้าก็ไม่ปานแบบนี้ นี่แสดงให้เห็นว่าเป็นซูจิ้งที่เตรียมการแสดงไว้ให้เสี่ยวรุยอย่างแน่นอน
แต่ประเด็นคือเขาทำได้ยังไง เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยสักนิดว่าซูจิ้งเล่นมายากลได้ด้วย แถมยังเป็นกลที่วิเศษขนาดนี้อีก นี่ยิ่งทำให้เพื่อนของอดีตแฟนของซูจิ้งคนนี้ยิ่งรู้สึกว่าซูจิ้งนั้นลึกลับมากยิ่งขึ้น
GGS:บทที่ 965 พิสูจน์ตำราแพทย์โบราณกาล
“พ่อหนุ่ม กลที่แสนวิเศษแบบนี้บอกกันหน่อยไม่ได้เหรอ” ลูฉินหมิงถามออกมา
“เรื่องนั้นผมว่าน่าจะไม่ดีนะครับ ผมขอปล่อยไว้ให้สงสัยอย่างนี้ดีกว่าหากรู้ปล่อยจะกลายเป็นหน้าเบื่อไปเปล่าๆ” เสี่ยวรุยยังคงแสร้งว่ากลนี้เป็นเขาเตรียมจริงๆต่อไปทั้งๆที่เขาอยากจะตะโกนจอบออกมาอยู่เต็มอกว่าเขาเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน เข้าใจกันบ้างสิ
“ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลในมายากลของนายแน่ๆ” เซียงหลงพูดออกมาราวกับจะพยายามคาดคั้นให้รู้ให้ได้
“แหงซิ ไม่อย่างงั้นเขาจะเรียกมันว่ามายากลได้อย่างไร ว่าแต่นายไม่รู้เหรอว่ามันทำได้ยังไง” เสี่ยวรุยถามออกมาด้วยรอยยิ้ม ทันใดนั้นเขาก็เห็นกระดาษในมือของเซียงหลงจึงได้บอกออกมาต่อว่า “อ้อ เอากระดาษของฉันคืนมาด้วยล่ะ”
“ทำไม กลัวว่าฉันจะเจออะไรรึไง” เซียงหลงที่เห็นเสี่ยวรุยมีท่าทีหวั่นไหวเมื่อเห็นกระดาษที่อยู่ในมือเขาจึงได้รีบขยับมือหนีในทันที เมื่อเขาได้เห็นท่าทีของเสี่ยวรุยแบบนี้แล้วไม่มีทางที่เขาจะคืนกระดาษในมือนี่ให้เข้าไปใหญ่
ซูจิ้งเมื่อเห็นดังนั้นเขาได้รีบขยับตาให้เสี่ยวรุยในทันที เมื่อเสี่ยวรุยแอบมองกลับมาที่เขาเขาก็ทำท่าส่ายหน้านิดหน่อยเพื่อจะสื่อว่าไม่ต้องสนใจ หมอนี่เอาไปก็เท่านั้นเพราะมันคือเวทย์มนต์ของจริงไม่ใช่มายากล เอาไปก็เท่านั้น
มายากลที่พึ่งจะแสดงออกไปนี้เป็นเวทย์กระดาษการสงครามที่เขาพึ่งจะได้เรียนรู้มาเมื่อไม่กี่วันก่อนจากตำราที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯ
ถึงแม้มันจะไม่ใช่เวทมนต์ที่ทรงพลังแต่ด้วยการที่มันเรียนรู้ได้ง่ายทำให้ตำรานี้มักจะไม่ได้รับความสนใจจากศิษย์สำนักดาบเตียนเหอมากนัก เพราะสำหรับพวกเขามันถือว่าเสียเวลาที่จะเรียนรู้
ด้วยการที่เขานั้นยังมีพลังภายในที่ต่ำและพึ่งจะเรียนได้เพียงแค่ไม่กี่วัน หากเขามีพลังภายในที่แกร่งกว่านี้เมื่อไหร่ล่ะก็ อย่าว่าแต่ปีศาจเลย แม้แต่ประตูแห่งพระเจ้าเขาก็สามารถสร้างขึ้นมาได้อย่างแน่นอน
พอนึกว่ากระดาษที่ดูอ่อนแอแบบนี้กลายไปเป็นสิ่งที่เข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปได้ ด้วยกระดาษที่เขาใช้เวทมนต์ของตัวเองสร้างขึ้นมานี้ช่างห่างไกลกับพลังที่แท้จริงของมันจริงๆ
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังนึกสนใจเกี่ยวกับการใช้วิชาในตำรานี้อยู่ดี เอาจริงๆสิ่งแรกที่เขาคิดได้ก็จะคล้ายๆตามที่บอกเสี่ยวรุยไว้นั่นก็คือเอาไปแสดงให้ฉือชิงดู
แน่นอนว่าสิ่งที่เขามุ่งหวังในวิชาของตำรานี้อย่างน้อยก็ตอนนี้นั่นก็คือเอาไว้สร้างสายสัมพันธ์ แต่ดูเหมือนว่าจะต้องฝึกฝนอีกนิดหน่อยก็ตาม
แต่ด้วยสถานการณ์ในวันนี้เป็นเสี่ยวรุยที่ต้องการอย่างมาก เขาจึงยอมมอบให้เสี่ยวรุยไปใช้ก่อน แน่นอนว่าเขาเองก็ต้องเปลี่ยนเคล็ดอะไรนิดหน่อยก่อนที่จะมอบให้เสี่ยวรุยไปแสดง
การแสดงเวทย์มนต์ที่เขาเตรียมเอาไว้ให้ฉือชิงได้ถูกนำไปแสดงแล้ว แน่นอนว่ากระดาษที่ใช้นั้นเป็นเพียงกระดาษที่ตัดมาจากกระดาษธรรมดาเท่านั้น ต่อให้เซียงหลงเอาไปศึกษาก็ไร้ค่า นี่จึงเป็นเหตุให้ซูจิ้งส่งสัญญาณให้เสี่ยวรุยว่าให้มันเอาไปเถอะ
เสี่ยวรุยเห็นดังนั้นก็เลิกสนใจกระดาษในมือของเซียงหลงในทันที เขาจึงทำท่าใช้เท้าโกยกระดาษที่พื้นให้กองรวมกันราวกับจะท้าทายให้เขาเอาไปทั้งกอง
เมื่อเซียงหลงได้เห็นเสี่ยวรุยไม่ได้กระวนกระวายอย่างที่คิดแถมทำท่าจะเอากระดาษที่พื้นให้เขามากกว่าเดิมนี่ทำให้เขาคิดว่าเสี่ยวรุยแกล้งทำเป็นไม่สนใจ
เขาจึงรีบเก็บกระดาษในมือลงกระเป๋าไปในทันทีโดยไม่สนกระดาษที่เสี่ยวรุยกำลังจะโกยให้เขาแม้แต่น้อย เขาจะต้องนำกระดาษนี่ไปศึกษาเพื่อหาเคล็ดกลนี้ให้ได้
“พ่อหนุ่ม มายากลนี้ช่างวิเศษนัก หากวิเศษขนาดนี้แล้วยังไม่ใช่การแสดงของมืออาชีพแล้วล่ะก็ อย่างน้อยๆฝีมือระดับนี้ก็ต้องเป็นฝีมือของคนที่หลงใหลในมายากลอย่างแน่นอน
คนที่หลงใหลแต่ไม่คิดว่าตัวเองเป็นมืออาชีพแบบนี้ หนุ่มน้อยคงจะเสียเป้าหมายในฐานะมายากลไปแล้วงั้นเหรอ” คำพูดของลูฉิงหมิงที่พูดออกมานี้ราวกับเขาเองก็เคยผ่านประสบการณ์นี้มาก่อน
“คุณลุงครับ ผมรู้ดีว่าตัวผมนั้นชื่นชอบการเล่นบิลเลียดและแน่นอนว่าผมเองสามารถเรียกตัวเองว่าเป็นนักเล่นบิลเลียดได้ แต่กับมายากลนี้ผมแค่ฝึกและเล่นเป็นงานอดิเรกจริงๆครับ” เสี่ยวรุยเองในตอนนี้กล้าพูดออกมาได้อย่างไม่อายปากแม้แต่น้อย
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่ายังเป็นเรื่องที่ดี เอาล่ะเรามาจุดเค้กเป่าเทียนกันดีกว่า ไม่งั้นเค้กนี่คงได้ละลายจริงๆแน่” ลูฉิงหมิงได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง เขานั้นรู้สึกว่ามายากลที่พึ่งจะได้ดูไปนี้สุดยอดจริงๆและรู้สึกโชคดีที่ได้มาทันดูการแสดงนี้ ต้องขอบคุณลูลู่ของเขาที่ทำให้เขาได้มีโอกาสได้เจอสิ่งดีๆแบบนี้
เทียนได้ถูกปัดไปบนเค้กอย่างบรรจงและได้ถูกจุดขึ้น หลังจากลูลู่ขอพรแล้วก็ได้ทำการเป่าเทียนหลังจากขอพรเสร็จ เสียงเป่าเทียนและตัดเค้กนี้ได้ทำให้เกิดเสียงเพลงอันอบอุ่นของงานเลี้ยงนี่อย่างง่ายดาย
หลังจากได้กินเค้กกันเสร็จสิ้น ลูฉินหมิงกับภรรยาของเขาก็ทำท่าจะเตรียมตัวกลับแล้ว ยังไงซะงานเลี้ยงแบบนี้ก็ไม่เหมาะกับพวกเขาทั้งคู่อยู่ดี
“คุณลุงลูครับ ผมขอเวลาลุงสักครู่จะได้รึเปล่าครับ” เมื่อซูจิ้งได้เห็นทั้งสองกำลังจะกลับก็ได้รีบเข้ามาทันที
“โอ้ จะให้ฉันทำอะไรให้คุณอย่างนั้นเหรอ คุณซู” ลูฉินหมิงเองก็รู้จักซูจิ้งดีพอสมควรทำให้เขานั้นค่อนข้างที่จะวางท่าทีไว้บ้าง
เพราะถึงแม้ว่าตัวเขาจะมีอายุมากกว่าแต่กับซูจิ้งที่มีปูมหลังยากสุดยั่งนั้นทำให้เขาเองก็ไม่อาจอาศัยความเป็นผู้อาวุโสมีกดข่มได้ง่ายๆ อีกอย่างเขาเองก็ไม่ใช่คนแบบนั้นอยู่แล้วเหมือนกัน
“พอดีผมพึ่งจะได้ตำราการแพทย์แผนจีนโบราณมากๆมาเล่มหนึ่งน่ะครับ เลยไม่แน่ใจว่ามันจะพอมีค่ารึเปล่า ถ้ายังไงผมจะขอรบกวนคุณลุงช่วยดูให้ผมนิดหน่อยน่ะครับ”
“หืม ตำราแพทย์จีนโบราณเหรอ รีบเอามันออกมาให้ดูหน่อยสิ” ลูฉินหมิงสนใจขึ้นมาในทันที เขาเองในฐานะที่เป็นปรมาจารย์ด้านการแพทย์แน่นอนว่าทำให้เขาชื่นชอบการศึกษาตำราแพทย์เป็นธรรมดาอยู่แล้ว
ตัวอย่างเช่นตำรารักษาโรคตำหรับจักรพรรดิ์ เขาเองก็ได้มีโอกาสอ่านมาแล้ว และแน่นอนว่าตัวเขาเองก็ได้มีโอกาสศึกษาตำราแพทย์มามากมายหลายแขนงแล้วเช่นเดียวกัน
ซูจิ้งเมื่อเห็นท่าทีของลูฉินหมิงก็ไม่ได้อิดออดที่จะนำตำราของเขาออกมาแต่อย่างใด เขาได้ล้วงเข้าไปในกระเป๋าแล้วนำตำราที่มีสภาพเก่าแก่ออกมาเล่มหนึ่ง
มันดูเก่าแก่มากซะจนจะเรียกว่าหลุดลุ่ยเลยก็ว่าได้นี่ทำให้ลูฉินหมิงนั้นมีความรู้สึกว่าต้องค่อยๆเปิดอ่านไม่งั้นคำรานี้จะเสียหายอย่างแน่นอน
ลูลู่ มูติง เสี่ยวรุย และคนอื่นๆที่เห็นความเก่าแก่ของตำรานี้ก็ยังรู้สึกสนใจไม่น้อยเหมือนกัน แน่นอนว่าพวกเขาทำได้เพียงแค่ดูอยู่ห่างๆและไม่กล้าเข้าใกล้สักเท่าไหร่นัก
“….ละเอียดจริงๆ….” นี่เป็นสิ่งแรกที่ลูฉินหมิงรับรู้ได้เมื่อเขาได้อ่านตำรานี้ ยิ่งอ่านมากเท่าไหร่ดวงตาของ
เขาก็ยิ่งเปล่งประกายในความละเอียดของเนื้อหา
หลังจากเขาเปิดไปอีกเพียงไม่กี่หน้า เขาก็ได้พูดออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “วิธีการรักษานี้ส่วนใหญ่แล้วค่อนข้างละเอียดมากกว่าที่ฉันเคยรู้จักมา และในส่วนที่ฉันรู้จักนี้ถือได้ว่ามันถูกต้องเป็นส่วนใหญ่แล้ว แต่ปัญหาคือสมุนไพรในนี้หลายๆตัวฉันเองก็ไม่รู้จัก”
“ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกับครับว่าชื่อที่อยู่ในตำราเล่มนี้ที่เราไม่รู้จักเป็นเพราะว่ามันเป็นชื่อโบราณที่เขาเลิกเรียกกันไปแล้วหรือว่าเป็นเพราะมันสูญพันธุ์ไปแล้วทำให้ไม่มีใครเรียกชื่อพวกมันให้ได้ยินอีก”
ซูจิ้งได้พูดออกมานั่นก็เพราะว่าตัวเขาเองก็ว่าศึกษาตำราสมุนไพรในโลกนี้จริงๆมาแล้วเมื่อตอนเขาได้ตำราแพทย์จีนโบราณมาจากขยะห้วงเวลาฯกระบี่สามภพ
แน่นอนว่าในตอนนั้นเองก็มีตัวยาหลายตัวที่เขาหาไม่เจอบนตำราสมุนไพรของโลกนี้เช่นเดียวกัน
“เดี๋ยวนะ นี่ไม่ใช่ตำราโบราณนี่นา” ลูฉิงหมิงได้พูดออกมาในทันที
“หืม ไม่ใช่ตำราโบราณอย่างนั้นเหรอ” ซูจิ้งเองก็อิ้งเหมือนกันที่ได้ยิน นี่ช่างเป็นคำพูดที่ไม่เป็นเหตุผลเอาซะเลย เขานั้นปลอมแปลงอายุของตำรานี่ด้วยกระโหลกกาลเวลามาแล้ว อย่าว่าแต่ใช้ตาเปล่าแบบที่ลูฉินหมิงกำลังทำอยู่เลย แม้แต่ใช้เทคนิคตรวจสอบของฌลกนี้ก็ไม่มีทางตรวจสอบได้ นี่ทำให้ซูจิ้งอยากรู้จริงๆว่าลูฉินหมิงรู้ได้ยังไง
“พ่อ หนูก็ดูว่ามันเก่าแก่มากเลยนะ” ลูลู่พูดออกมา
“ของเลียนแบบเหรอ ผมเองก็ดูๆไปแล้วไม่น่าจะทำเลียนแบบได้เลยนะครับ” เสี่ยวรุยเองก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาเหมือนกัน
“ในส่วนของการเป็นของโบราณอะไรนั่นฉันไม่รู้เรื่องหรอกนะ หากมองในเชิงนั้นฉันเองก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นของเลียนแบบแต่อย่างใด
แต่สิ่งที่ฉันสังเกตได้ว่าตำรานี้ไม่ใช่ของโบราณนั้นมันมาจากมุมมองทางการแพทย์น่ะ” ลูฉินหมิงพูดออกมา
“แล้วจากมุมมองทางการแพทย์นี่เห็นว่าเป็นยังไงเหรอครับ” ซูจิ้งถามออกมาอย่างสนใจ
“คุณลองดูตรงนี้สิ เนื้อหาส่วนนี้เป็นวิธีการป้องกันและรักษาโรคเรื้อนซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ถูกต้องอย่างมากในทางทฤษฎี และนี่ยังเป็นวิธีการรักษาที่ปัจจุบันเราใช้กันอยู่
แต่ในความเป็นจริงแล้วโรคนี้ในอดีตนั้นยังไม่มีวิธีการรักษา หลังจากป่วยเป็นโรคเรื้อนนี่แล้วในสมัยนั้นที่ทำได้ก็เพียงแต่ปล่อยไปตามยถากรรมเท่านั้น กว่าโรคนี้จะพบวิธีการป้องกันและรักษาก็ตอนที่ประเทศของเรานั้นจัดตั้งเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีนไปแล้วถึงได้ควบคุมและรักษาโรคนี้ได้” ลูฉินหมิงได้อธิบายออกมาอย่างมั่นใจ
ซูจิ้งเองก็เริ่มรู้สึกตัวเหมือนกันและไม่ได้แปลกใจเลยสักนิดว่าทำไมเขาไม่ได้สังเกต แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้อยู่ดี
ยังไงซะเรื่องนี้ก็ยังอยู่ในเหตุที่เขาคาดไว้แล้วเหมือนกัน เขาวางแผนการแก้ปัญหาไว้ล่วงหน้าแล้ว เขานั้นอาจจะบอกความจริงไปเลยว่าตำรานี้อาจเป็นตำราปลอมจริงๆแต่ปลอมในสมัยโบราณ
ต่อให้มันถูกถือว่าเป็นตำราปลอม แต่ด้วยอายุของตำราเองยังไงก็ถือว่าเป็นตำราโบราณอยู่ดี อีกอย่างหนึ่งนี่แสดงให้เห็นว่าตำรานี้ใช้ได้จริงหมายความว่าตำรานี้มีค่าอย่างมาก ในมุมมองทางการแพทย์นี่ถือได้ว่าเป็นตำราชั้นสูงได้เลยทีเดียว
“คุณลุงลูครับ ผมเองก็ยอมรับนะว่าสิ่งที่คุณพูดออกมานั้นมีเหตุผล แต่ในมุมของนักสะสมของเก่านั้นผมบอกได้เหมือนกันว่าตำรานี้เป็นตำราโบราณจริงๆ และมันไม่ได้เป็นตำราปลอมแต่อย่างใด” ซูจิ้งพูดออกมา
“เป็นไปไม่ได้” ลูฉินหมิงที่ได้ยินคำพูดนี้ออกมาถึงกับต้องเถียงออกมาในทันที
“ดูเหมือนว่าในเรื่องนี้เราสองคนจะไม่มีใครยอมใครนะครับ เอาอย่างนี้ดีรึเปล่าครับ เรามาพนันกันดีกว่า ผมจะนำตำรานี้ไปตรวจสอบกับสถาบันโบราณคดีเพื่อทำการตรวจสอบ หากคุณลุงแพ้คุณลุงต้องสอนวิชาการแพทย์ผมแบบหมดเปลือก”
“ดี ถ้าคุณแพ้ล่ะก็ ฉันไม่ขออะไรมากเอาเป็นซื้อโรงพยาบาลของผมโดยราคาอย่างน้อยสิบล้านหยวนก็พอ”
“ตกลงครับ” ซูจิ้งพูดออกมาพร้อมทั้งพยักหน้ารับในทันที แต่ลูฉินหมิงนั้นกับยืนอึ้งไปในทันที ที่เขาพูดออกไปเมื่อครู่นี้หวังเพียงจะขู่ซูจิ้งเล่นๆเท่านั้น
เขาไม่คิดว่าซูจิ้งจะจริงจังด้วย นี่เขาไม่ได้สนใจกับเงินสิบล้านหยวนเลยรึไงกัน หรือว่าเขานั้นมั่นใจจริงๆว่าตำรานี้คือตำราโบราณกันแน่ แต่เขาก็ยังมั่นใจอยู่ว่าตำรานี้ไม่ใช่ตำราโบราณแต่อย่างใด เป็นเพียงของเลียนแบบเท่านั้น
GGS:บทที่ 966 ตกตะลึง
“นี่ผมไม่ได้พูดเล่นๆกับคุณนะ โรงพยาบาลของผมเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองนี้ มีบางอย่างเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อนทำให้มันเกือบจะต้องปิดตัวลง แม้แต่ตอนนี้เองผมก็ทำได้เพียงยื้อเอาไว้ไม่ให้ตกไปอยู่ในเงื้อมมือภาครัฐเท่านั้น
เมื่อเกิดเรื่องแล้วทำให้หุ้นของโรงพยาบาลตกลงจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยนะ หากคุณแพ้แล้วคุณยังคิดจะซื้อหุ้นโรงพยาบาลของผมอีกเหรอ” ลูฉินหมิงได้ทำการอธิบายเรื่องราวความจริงทั้งหมดออกมา จะว่าลองเชิงก็ไม่ใช่ จะว่ากวนกลับก็ไม่เชิง ประหนึ่งดังไม่เชื่อในหูของตัวเองเสียมากกว่า
“ถ้างั้นล่ะก็ผมขอเปลี่ยนเป็นถ้าผมแพ้ผมขอซื้อโรงพยาบาลพร้อมทั้งหุ้นส่วนทั้งหมดก็แล้วกัน”
“เยี่ยม หากคุณว่ามาอย่างนี้ผมจะพนันกับคุณ” ลูฉินหมิงที่เห็นซูจิ้งดูไม่ค่อยแยแสกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่จึงได้ตอบรับการพนันแบบจริงจังในทันทีต่อให้ซูจิ้งเปลี่ยนของพนันเขาก็ไม่เชื่ออยู่ดีว่าซูจิ้งจะไม่ทำตาม
ยังไงซะซูจิ้งนั้นคือคนรวย ไม่สิ เขาเป็นสุดยอดคนรวยของเมืองนี้ อย่าว่าแต่เงินสิบล้านหยวนเลย ร้อยล้านหยวนขนหน้าแข้งของเขาก็ไม่ล่วงอย่างแน่นอน
หากเขาได้เงินก้อนนี้มาล่ะก็ อย่าว่าแต่จะแก้ปัญหาทางการเงินของโรงพยาบาลเลย แม้แต่การพัฒนาโรงพยาบาลของเขาให้ดีขึ้นกว่าเดิมก็ยังทำได้อย่างง่ายดาย และต่อให้ซูจิ้งแพ้เขาจริงเขาก็คิดว่าจะต้องสอนการแพทย์ให้กับซูจิ้งให้ได้อยู่ดี
ลูลู่ เสี่ยวรุย มู่ติง และคนอื่นๆเองเมื่อได้ยินต่างก็พูดอะไรกันไม่ออก ทำไมการตรวจสอบตำราแพทย์โบราณถึงกลายเป็นการพนันด้วยทรัพย์สินจำนวนหลายล้านหยวนกับการสอนการแพทย์ให้คนๆหนึ่งได้กัน และดูเหมือนจะหยุดไม่อยู่ทังคู่แล้วด้วย
“งั้นเราไปที่สถาบันโบราณคดีกันเลยดีไหมครับ” ซูจิ้งถามออกมา
“หืม เลยเวลาทำการมาขนาดนี้แล้วพวกเขาจะยังทำงานอยู่อีกรึ” ลูฉินหมิงถามออกมาอย่างสงสัย
“อยู่ครับ ผมเพิ่งจะส่งข้อความไปถามคุณโจวที่ทำงานอยู่ที่สถาบันวิจัยทางโบราณคดีเมื่อกี้นี้เอง” ซูจิ้งถามออกมา
“เยี่ยม งั้นไปกัน” ลูฉินหมิงเองก็ไม่ต่อความยาวสาวความยืดอีกต่อไป
ซูจิ้งได้นำลูฉินหมิงและภรรยาไปยังสถาบันวิจัยทางโบราณคดี ลูลู่ มู่ติง เสี่ยวรุย เซียงหลงและคนอื่นๆเองก็เลือกที่จะอยู่เล่นกันในงานต่อไป
เมื่อถึงเวลาสองทุ่มถึงแม้ทุกคนจะยังสนุกกันอยู่ แต่ในใจก็ยังรู้สึกสงสัยว่าผลการพนันของสุดยอดคนรวยแห่งเมืองกับเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนใหญ่แห่งเมืองจะเป็นอย่างไร
ในที่สุดทุกคนต่างก็ทนความอยากรู้ไม่ไหวจึงได้โทรหาซูจิ้งและลูฉินหมิงเพื่อสอบถามผลการพนัน
ในตอนที่ทั้งซูจิ้ง ลูฉินหมิงและภรรยาไปถึงสถาบันวิจัยโบราณคดีนั้น โจวฉือเซียนที่คอยอยู่ก็แทบจะไปเปิดประตูรถให้เลยซะด้วยซ้ำ พร้อมถามออกมาว่า “คุณซู แล้วตำราแพทย์โบราณที่ว่านั่นล่ะ”
เอี๋ยป๋อที่ยังทำงานอยู่ที่นี่เองเมื่อได้ทราบข่าวจากคนอื่นในทีมที่กำลังยุ่งกับเตรียมตัวก็ได้รีบออกมารับเช่นเดียวกัน
หากเป็นสถานการณ์โดยทั่วไปแล้วเขาเองก็ไม่ได้สนใจตำราเล่มนี้อย่างแน่นอน
แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ พวกเขามีวัตถุโบราณมากมายที่ต้องตรวจสอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศพห้าพันแปดร้อยปีและรูปปั้นแห่งเมืองแอตแลนติส จึงไม่แปลกที่เขาจะคาดหวังว่าซูจิ้งจะมีของสุดยอดโบราณมาให้พวกเขาตรวจสอบอีก
“นี่ครับ ช่วยผมตรวจสอบและยืนยันอายุของตำราเล่มนี้ให้ที่ว่ามีจากปีอะไรกันแน่ ตรวจสอบให้ถึ่ถ้วนนะครับเพราะว่าลุงลูเขาไม่เชื่อว่าตำราเล่มนี้เป็นของโบราณจริงๆ และคิดว่าคำพูดของผมอาจมีอะไรผิดพลาดไป”
ซูจิ้งพูดพลางหัวเราะออกมาก่อนจะหยิบตำราโบราณออกมาจากกระเป๋า
“นั่นก็พูดเกินไป แน่นอนว่าผมต้องเชื่อถือในตัวคุณโจวและคุณเอี้ยอยู่แล้ว” ลูฉินหมิงได้พูดออกมาอย่างหนักแน่เพระว่าเขาเองก็ได้ยินชื่อเสียงของโจวฉือเซียนและเอี้ยป๋อมานานแล้ว และนี่ก็ทำให้เขาเองรู้สึกเป็นเกียรติเหมือนกันที่ได้พบทั้งสองนี้ แน่นอนว่าเขาต้องเชื่อถือสองคนนี้มากกว่าซูจิ้งอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังเชื่ออยุ่ดีว่าการตรวจสอบในครั้งนี้จะกลายเป็นหลักฐานที่ช่วยให้เขาชนะพนันมากกว่า
“งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ” โจวฉือเซียนรับตำราโบราณมาอย่างเบามือด้วยมือถือสวมถึงมือป้องกันไว้อย่างดี เขาถือตำราเล่มนี้ราวกับว่าเป็นสมบัติล้ำค่าตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ และนำมันไปตรวจสอบในทันที
และในทันทีที่ผลการทดสอบออกมาทำให้ทุกคนที่รอดูผลการตรวจสอบเป็นบ้ากันไปหมด
“เป็นไปไม่ได้ ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ” โจวฉือเซียนพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“จริง ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ เป็นไปไม่ได้เป็นอันขาด” เอี้ยป๋อเองก็พูดออกมาด้วยความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นเดียวกัน
“คุณโจวครับ คุณเอี้ยครับ อย่าว่าแต่คุณจะไม่อยากเชื่อเลย แม้แต่พวกผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน ผมเองเข้าใจความรู้สึกของคุณดีนะตอนที่รู้ผลทดสอบในตอนแรก พวกผมก็เพิ่งจะพูดเหมือนคุณไปนี่แหล่ะ”
เหล่าผู้ช่วยที่ได้ร่วมตรวจสอบเองก็ได้พูดออกมาด้วยสายตาที่แปลกประหลาด
โจวฉือเซียนและเอี้ยป๋อเองนั้น ทั้งสองตกใจจนไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าคำพูดของทั้งคู่ที่อุทานออกมาเหมือนกันกับตอนที่ได้รับผลตวจสอบรูปปั้นแอตแลนติสและศพอายุห้าพันแปดร้อยปีไม่มีผิด
และในตอนนั้นเองพวกเขาก็ไม่เชื่อผลการทดสอบแบบนี้เหมือนกันในทีแรก แต่ไม่ว่าทดสอบซ้ำไปเท่าไหร่ผลก็ยังออกมาเหมือนเดิมอยู่ดี
และวิธีการทดสอบของสองสิ่งนั้นไม่ว่าจะเป็นชาติไหนมาตรวจสอบก็ได้ผลไม่ต่างกัน นี่แสดงว่าไม่ใช่วิธีการทดสอบที่มีปัญหา
จนในที่สุดแล้วพวกเขาก็ต้องยอมรับผลการทดสอบของรูปปั้นแอตแลนติสและศำห้าพันแปดร้อยปีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โจวฉือเซียนและเอี้ยป๋อนิ่งเงียบไปพักหนุ่งก่อนที่ทั้งคู่จะทดการทดสอบซ้ำ แต่ไม่ว่าจะทดสองซ้ำกี่ครั้ง หรือแม้แต่จะเปลี่ยนวิธีทดสอบ ผลการทดสอบนั้นล้วนออกมาที่จำนวนเพียงจำนวนเดียว และเป็นจำนวนที่โคตรจะไม่น่าเชื่อแม้แต่น้อย
“ตกลงว่านี่คือตำราแพทย์โบราณจริงๆเหรอ” ลูฉินหมิงที่เห็นทั้งคู่หน้าประหลาดใจออกมาเพื่อบอกผลนั้นได้รีบถามออกไปในทันทีอย่างไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิด
“….อย่าเรียกว่าโบราณดีกว่าครับ หากเรียกให้เหมาะสมควรจะเป็นยุคบรรพกาลมากกว่า หากว่าพวกเราไม่ได้ตรวจสอบผิดอะไรล่ะก็ตำรานี้สมควรจะอยู่ช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นหรือไม่ก็ต้นยุคของช่วงสามราชันย์ห้ากษัตริย์เป็นแน่” โจวฉือเซียนพูดออกมาโดยพยายามเก็บอาการตื่นเต้นของตัวเอง
แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนตัวเขาก็ยังสั่นไปมาด้วยความตื่นเต้นอยู่ดี
“เป็น….ไปได้ยังไง การที่ในทางโบราณคดีมีของอายุมากขนาดนั้นอยู่ได้ ต่อให้ฉันเป็นคนนอกฉันก็ไม่มีทางยอมรับมันได้หรอก” ลูฉินหมิงพูดออกมาหลังจากนิ่งอึ้งไปนาน
ในทางวงการแพทย์นั้นถึงจะยืนยันว่าตำรานี้ไม่ใช่ตำราโบราณ แต่กับทางโบราณคดีกับที่ว่านี่คือสุดยอดของโบราณชิ้นหนึ่งได้ยังไง
ต้องรู้ก่อนว่าต่อให้เป็นภาพเขียนพู่กันจีนหรือแม้แต่ตำราทั่วไปจากสมัยราชวงศ์ถังที่ถือได้ว่านับปีย้อนไปน้อยกว่ามากแต่ก็ยังแทบจะไม่มีหลักฐานหลงเหลือมาถึงปัจจุบัน ไม่ต้องพูดถึงการนับย้อนไปหลายพันปีเลย ขนาดแค่ของโบราณอายุหลักร้อยปีก็หาได้ยากแล้ว
และที่สำคัญที่สุดก็คือของที่หลงเหลือมาจากสมัยราชวงศ์ฮั่นนั้นที่พอจะหลงเหลือมายังปัจจุบันได้มีเพียงแผ่นแกะสลักหิน จี้หยก และงานแกะสลักไม้ไผ่เท่านั้น ไม่เคยมีครั้งใดที่มีกระดาษปรากฎขึ้นเลยสักครั้ง
การที่อยู่มีตำราเล่มสมบูรณ์เช่นนี้ปรากฎขึ้นมาได้ไม่รู้ว่ามีวิธีการเก็บรักษายังไงกันแน่ ช่างมหัศจรรย์จริงๆ
ยิ่งมองในความรู้การแพทย์แล้วด้วย ตำราเล่มนี้เองก็สมควรจะเป็นไปได้เข้าไปใหญ่ ในยุคสมัยต้นยุคของช่วงสามราชันย์ห้ากษัตริย์จะไปมีวิธีการป้องกันและรักษาโรคเรื้อนที่ดีและถูกต้องแบบนี้ได้ยังไงกัน
“คุณโจว คุณเอี้ย คุณน่าจะลองตรวจสอบซ้ำดูก่อนนะ ผมว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน คุณเองก็ได้เห็นวิธีการป้องกันและรักษาโรคเรื้อนนั่นนี่นา วิธีการเหล่านั้นล้วนถูกต้อง และได้ผลเป็นอย่างดีอีกด้วย นี่ช่างไม่เหมาะกับยุคสมัยของตำรานี่เอาเสียเลย
ในยุคนั้นโรคแบบนี้สมควรที่จะกลายเป็นโรคที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งกลายเป็นโรคระบาดที่ทำให้คนตายกันเป็นเบือด้วยซ้ำนะ” ลูฉินหมิงพูดออกมาโดยไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะนับถือชายแก่ทั้งสองคนนี้อย่างมาก แต่กับตอนนี้เขากลับไม่เชื่อถือคนตรงหน้าของเขาเลยแม้แต่น้อย เหตุก็เพราะสิ่งที่เขาบอกนั้นมันขัดกับสามัญสำนึกของเขาอย่างมากนั่นเอง
โจวฉือเซียนและเอี้ยป๋อเองเอาจริงๆก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน พวกเขายินยอมที่จะกลับไปทำการตรวจประเมินซ้ำอีกครั้งแต่ไม่ว่าพวกเขาจะตรวจสอบซ้ำสักเท่าไหร่ ผลการทดสอบก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ดูเหมือนว่าตำรานี้จะมาจากช่วงปลายของยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออกจริงๆ
“แม่…เอ๊ย ฉันจะบ้าตายอยู่แล้วเนี่ย” โจวฉือเซียนแสดงท่าทางตื่นเต้นออกมาในขณะที่ทำมือเป็นกำปั้นเคาะกับหัวตัวเองเบาๆซ้ำๆ
“ตำรานี่มีค่าต่องานวิจัยของพวกเรามากนัก” เอี้ยป๋อเองก็พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“หากว่านี่เป็นตำราจากช่วงยุคปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออกจริงล่ะก็นี่ก็หมายความว่าประวัติศาสตร์ของการแพทย์แผนจีนเองก็ต้องเขียนใหม่ด้วยเหมือนกัน” ลูฉินหมิงเองที่เริ่มจะเชื่อความเก่าแก่ของตำรานี้เองก็ได้แสดงความตื่นเต้นออกมาอย่างออกนอกหน้าเสียยิ่งกว่าชายแก่นักโบราณคดีสองคนตรงหน้านั่นก็เพราะวิธีการรักษาของตำรานี้เขาเชื่อว่าจะได้ผลอย่างน่าตกตะลึงอย่างแน่นอน
เขาเองก่อนหน้านี้ก็ได้เห็นการรักษาโรคอื่นที่อยู่ในตำรานี้แล้วด้วยเหมือนกันว่ามันถูกต้องและได้ผลดีเช่นเดียวกับการรักษาโรคเรื้อน นี่ทำให้ตอนแรกเขาไม่อยากจะเชื่อตำราเล่มนี้ว่าเป็นตำราโบราณ
ถึงแม้จะมีบางส่วนที่เขานั้นยังไม่ทำความเข้าใจไม่ได้เพราะมีสมุนไพรบางตัวและวิธีการรักษาบางอย่างที่เขาไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย
แต่นี่กลับทำให้ตำรานี้มีค่าทางการแพทย์มากยิ่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะหากเนื้อหาบางส่วนที่เขาเข้าใจนั้นถูกต้องและได้ผลดีจริง ย่อมมีโอกาสที่เนื้อหาส่วนที่ยังคลุมเคลืออยู่นี้จะใช้ในการรักษาได้อย่างดีไม่แพ้กัน
“ตำรานี่แสดงให้เห็นว่าทักษะทางการแพทย์ของหมอในสมัยนั้นก้าวล้ำอย่างมากเลยนะ แต่ทำไมความรู้เหล่านี้ถึงได้สาบสูญไปกันล่ะ หรือจะเป็นเพราะว่าการแพทย์สมัยนั้นแบ่งแยกเป็นสาขาด้วยเหมือนกัน”
“ไม่ควรจะเป็นอย่างนั้นนะ หากจะบอกว่าแบ่งแยกเป็นสาขาเลยหายสาบสูญนี่ก็ไม่น่าเข้าเค้าเลยแม้แต่น้อย ฉันคิดว่าความจริงแล้วการแพทย์สมัยนั้นสมควรที่จะล้าหลังจริงๆ
เพียงแต่ว่าในยุคนั้นเองก็สมควรจะมีสุดยอดหมอรักษาเหมือนกัน เป็นหมอที่เข้าใจการแพทย์ได้อย่างถ่องแท้ราวกับเป็นแพทย์สมัยใหม่และฝีมือการรักษาที่ลึกล้ำไม่ต่างกัน
แต่มันอาจจะลึกล้ำเกินไปจนไม่มีใครเข้าใจหรือเชื่อถือเลยขาดผู้สืบทอดที่เหมาะสมจึงทำให้องค์ความรู้ขาดช่วงไป”
“เอาเถอะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ตำรานี้มีค่าอย่างประเมินค่าไม่ได้”
หลังจากที่เห็นทุกคนแสดงความตื่นเต้นออกมาอย่างบ้าคลั่ง ซูจิ้งในตอนนี้กลับเกิดความรู้สึกผิดจนรอบกลืนน้ำลายดังเอื๊อกไปหลายหนและเริ่มรู้สึกว่าตัวเองนั้นทำเกินไปหน่อย
ทั้งเรื่องรูปปั้นเมืองแอตแลนติส ศพโบราณห้าพันแปดร้อยปี และไหนจะตำราจากช่วงปลายยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออกนี่อีก ของเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดการสั่นคลอนของวงการโบราณคดีเลยจริงๆนั่นแหล่ะ
ต่อพอดูๆแล้วก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีอะไรแย่…………….ก็ดีแล้วล่ะนะ
GGS:บทที่ 967 การเสวนาทางการแพทย์
“คุณซูครับ ตำรานี้นั้นล้ำค่ามากๆ” โจวฉือเซียนพูดออกมา
“ใช่แล้วล่ะ ผมว่าคุณไม่ควรทำเพียงแค่หยิบตำรานี้กลับใส่เข้าไปในกระเป๋าเฉยๆหรอกนะ” เอี้ยป๋อพูดออกมา
ผู้คนที่อยู่โดยรอบในตอนนั้นเมื่อเห็นที่ซูจิ้งทำถึงกับพูดไม่ออก ตำรานี้มีค่ามากอย่างสุดใหญ่แต่เจ้าของตำรากับทำเพียงแค่ล้วงเข้าล้วงออกกระเป๋าราวกับว่ามันเป็นเพียงตำราเรียนธรรมดาสามัญ นี่หรือคือการเห็นค่าของตำรานี้ แต่ในเมื่อมันไม่ใช่ของพวกเขา พวกเขาก็ไม่ได้มีสิทธิ์ทักท้วงอะไรได้มากนัก
นี่ขนาดซูจิ้งเป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์ที่มีแต่ของสุดยอดสมบัติอยู่ในนั้นเลยนะ นี่เขาไม่ได้กังวลเรื่องที่มันจะเสียหายเลยรึไงกัน
“มันเป็นไรหรอกครับ ผมจะระวังเรื่องนั้นไว้” ซูจิ้งพูดออกมา
“…………………….” คนที่เห็นเหตุการณ์ในตอนนี้ได้แต่นิ่งเงียบไปพลางคิดด่าทอในใจว่า แค่หยิบใส่กระเป๋าเนี่ยนะก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
ความจริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่ซูจิ้งจะไม่สนใจความปลอดภัยของตำรานี้สักเท่าไหร่นัก
อย่างแรก เขารู้ดีว่าตำรานี้ไม่ใช่ตำราสมัยบรรพการตามที่ทุกคนคิด
อย่างที่สอง เขามือเสี่ยวไป๋ที่คอยซ่อมแซมของให้เขาอยู่แล้ว ต่อให้ฉีกเป็นชิ้นๆจนโดนเผาเขาก็ไม่กลัว
“คุณซู ตำรานี้มีค่าในการศึกษาอย่างมาก พอจะเป็นไปได้ไหมที่ผมจะขอมันไปศึกษา” ลูฉินหมิงถามออกมา
นี่ทำให้เอี้ยป๋อและโจวฉือเซียนถึงกับคิดจะห้ามปรามในทันที ทั้งสองอยากจะแนะนำออกมาว่าหากจะศึกษาสมควรจะเป็นการถ่ายรูปพวกมันไปจะดีกว่า เพราะหากมีเหตุที่ทำให้ลูฉินหมิงนั้นพลาดทำเอกสารเสียหายไป จะกลายเป็นว่าทำให้จิดตกกันเสียเปล่าๆ
“ผมเกรงว่าจะไม่ได้ครับ ตอนนี้ผมยังไม่คิดที่จะเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องตำราการแพทย์โบราณนี้ให้สาธารณชนได้รับรู้ แต่เรื่องการศึกษานี้คุณลุงลูวางใจได้เลย ผมได้ถ่ายรูปพวกมันไว้แล้วแน่นอนว่าอย่างน้อยๆองค์ความรู้พวกนี้จะไม่เสียหายไปโดยง่ายอย่างแน่นอน
ว่าแต่ นี่ลุงลืมแล้วใช่รึเปล่าครับว่าเราพนันกันไว้ว่าถ้าคุณลุงแพ้ต้องสอนการแพทย์ผม แน่นอนว่าที่ผมการการเรียนการแพทย์นั่นก็เป็นเพราะตำราเล่มนี้ แน่นอนว่าตอนที่ผมไปเรียนกับลุงผมต้องนำตำรานี้ไปใช้เป็นหลักอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นเราค่อยมาทำการศึกษาตำรานี้ด้วยกันก็แล้วกันนะครับ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ดี ดี ….. แต่ในเมื่อคุณซูไม่ได้เป็นคนจากวงการแพทย์ล่ะก็ ผมคิดว่าคุณซูควรจะเริ่มจากพื้นฐานก่อนดีกว่านะ” ลูฉินหมิงในตอนนี้ยอมรับความพ่ายแพ้ในการพนันครั้งนี้อย่างแท้จริง
แต่เขานั้นก็ไม่อยากปวดหัวที่จะต้องสอนซูจิ้งเกี่ยวกับการแพทย์ตั้งแต่เริ่มเหมือนกัน เพราะด้วยประสบการณ์ของเขาแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสอนคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยให้เข้าใจเกี่ยวการแพทย์ได้โดยง่าย
นี่ทำให้เขานั้นแทบจะรู้สึกเลยว่าเขาเผลอติดกับของซูจิ้งเสียด้วยซ้ำ แต่นี่ก็โทษใครไม่ได้อีกเหมือนกันนอกจากตัวเองที่ตื่นเต้นจนเผลอตกปากรับคำไปในตอนแรก
“เกี่ยวกับเรื่องนั้นผมก็ขอบอกไว้เลยแล้วกันครับว่าถึงแม้ผมจะไม่ได้ศึกษาเรื่องการแพทย์ไปลึกนักแต่ผมเองก็ได้ศึกษาไว้แล้วไม่น้อยเหมือนกัน
ด้วยความรู้ของผมในตอนนี้ผมก็เชื่อว่าอย่างน้อยๆผมมีไม่น้อยกว่าคนที่เรียนจบมาในสายนี้ แต่ที่ผมขาดจริงๆและอยากจะฝึกฝนก็คือเรื่องประสบการณ์การรักษาน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ดี งั้นขอทดสอบหน่อยแล้วกัน” ลูฉินหมิงพูดออกมาด้วยความไม่เชื่อในตัวซูจิ้งอย่างแรงกล้าว่าชายคนนี้จะมีความรู้ด้านการแพทย์แม้แต่น้อย
นั่นก็เพราะซูจิ้งไม่ได้เรียนมาทางด้านการแพทย์ อีกทั้งเขายังสมญาและความสามารถมากมายหลากหลายไม่ว่าจะเป็นฝึกสัตว์ กู่จิ้ง วาดรูป ศิลปะการต่อสู้ ทำอาหาร และอย่างอื่นมากมายจนเขานั้นเชื่อว่าไม่มีทางที่ชายคนนี้จะหาเวลาไปร่ำเรียนวิชาการแพทย์ได้อย่างแน่นอน
ลูฉินหมิงเริ่มถามคำถามเกี่ยวกับการแพทย์กับซูจิ้งในทันที แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด ซูจิ้งกลับสามารถตอบได้ชนิดที่ถูกหมดทุกข้อโดยไม่มียืดเยื้อด้วยซ้ำ แม้แต่คำถามที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงเขาก็ยังตอบได้
ยิ่งลูฉินหมิงถามคำถามมากเท่าไหร่เขาก็ต้องยิ่งตกตะลึงในความรู้ทางการแพทย์ที่ซูจิ้งมีมากขึ้นเท่านั้น
ความรู้ทางด้านการแพทย์ในตอนนี้เท่าที่เขาประเมินดูไม่ได้ด้อยไปกว่านักศึกษาแพทย์ในระดับป.ตรีอย่างแน่นอนแล้ว
นี่หากเขาได้รู้ว่าซูจิ้งได้แตกฉานด้วยการศึกษาเพียงการอ่านตำราด้วยเวลาเพียงสองสามวันล่ะก็ ไม่รู้เหมือนกันว่าลูฉินหมิงจะทำหน้ายังไงออกมา
ลูฉินหมิงในตอนนี้ได้ลองตั้งคำถามทางการแพทย์ที่ลึกซึ้งมากขึ้นเพื่อลองดูว่าซูจิ้งจะเข้าใจได้มากแค่ไหน แต่กลายเป็นว่าเขาเองกลับต้องเป็นฝ่ายประหลาดใจ
ซูจิ้งได้ทำการเรียนรู้คำถามอย่างรวดเร็วและตอบออกมาได้อย่างถูกต้อง ขนาดเขาตั้งคำถามที่ไม่ได้อยู่ในตำราแต่มาจากประสบการณ์รักษาของเขา ซูจิ้งเองก็ไม่ได้มีท่าทีมึนงง เขาทำเพียงถามเพิ่มเติมเล็กน้อยและก็ตอบได้อย่างถูกต้อง นี่แสดงให้เห็นว่าซูจิ้งนั้นมีความรู้ที่ดีเยี่ยมเลยทีเดียว
“อัจฉริยะ คุณซูนี่สมกับคำว่าอัจฉริยะจริงๆ” ลูฉินหมิงอดไม่ได้ที่ต้องกล่าวชมออกมาด้วยความตกตะลึง เขาเองก็ได้สอนนักศึกษาแพทย์มามากมายหลากหลาย
ถึงแม้จะมีใครบางคนที่ทำให้เขาพูดคำนี้ออกมา แต่นี่เองก็เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกได้เลยว่าคำๆนี้เหมาะกับซูจิ้งมากกว่าคนอื่นเหล่านั้นที่เขาเคยเรียกมาทั้งหมดชนิดที่เทียบกันไม่ได้เลยสักนิด
นี่ทำให้เขาเข้าใจในตัวของซูจิ้งในทันทีเลยว่า เหตุผมที่ซูจิ้งนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็สำเร็จไปหมดนั้น สิ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จได้ เหตุผลก็เพราะความทรงจำชั้นเลิศและทักษะในการเรียนรู้ขั้นสูงนี่เอง แน่นอนว่าซูจิ้งนั้นมีทักษะในด้านนี้เหนือล้ำกว่าคนทั่วไปมากมายนัก
เอี้ยป๋อและโจวฉือเซียนเองที่ได้นั่งฟังอยู่แบบไม่ค่อยอยากก็ทำได้เพียงแต่ยืนนิ่งอึ้งเงียบๆ ถึงแม้ทั้งสองจะไม่รู้เรื่องการแพทย์แต่อย่างใด
แต่จากการที่ได้เห็นซูจิ้งสามารถคุยเรื่องการแพทย์กับปรมาจารย์การแพทย์ได้อย่างแตกฉานแบบนี้ทำให้ทั้งคู่รู้สึกอัศจรรย์ในตัวซูจิ้งอย่างมาก หากพวกเขาไม่รู้จักซูจิ้งดีล่ะก็ต้องคิดไปแล้วว่าซูจิ้งเองอย่างน้อยๆต้องอยู่ระดับอาจารย์แพทย์ไปแล้ว
“คุณลุงลูก็กล่าวชมเกินไปแล้วครับ” ซูจิ้งยิ้มออกมาด้วยท่าทีสบายๆ
“ไม่ ไม่ ผมไม่ได้กล่าวเกินเลยแม้แต่น้อย ผมคิดว่าคุณซูเป็นแบบนั้นจริงๆ นี่ขนาดคุณศึกษาด้วยตัวเองยังเรียนรู้ได้เยี่ยมขนาดนี้เลย
แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ หากมีใครชี้แนะคนได้ล่ะก็ นี่จะทำให้คุณเรียนรู้ได้เร็วขึ้นได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการฝึกด้านการแพทย์ นี่ผมบอกตรงๆเลยนะว่าผมรู้สึกเป็นเกียรติจริงๆที่ได้มีโอกาสสอนคนแบบคุณได้ และผมยินดีจะแนะนำคุณในทุกเรื่องด้านการแพทย์” ลูฉินหมิงพูดออกมา
“ต้องขอบคุณมากจริงๆครับคุณลุงลู” ซูจิ้งกล่าวออกมาด้วยความยินดีก่อนที่จะเงียบไปสักพักแล้วถามออกมาต่อว่า “เอ่อ….ก่อนหน้านี้ผมได้ยินคุณลุงลูพูดออกมาว่าโรงพยาบาลของคุณลุงกำลังประสบปัญหาที่ยากลำบาก หากชนะพนันจะช่วยให้ผ่านสถานการณ์นั้นได้นี่….พอจะเล่าให้ฟังหน่อยได้รึเปล่าครับว่าเกิดอะไรขึ้น หากผมช่วยได้ก็ยินดีจะช่วยต่อให้ผมชนะการพนันในครั้งนี้ก็ตามแต่ผมก็อยากจะช่วยอยู่ดี”
ลูฉินหมิงได้ยินดังนั้นก็ได้ถอนหายใจออกมายาวๆ เหมือนจะนิ่งคิดไปสักพักก่อนที่จะเริ่มอธิบายสถานการณ์ออกมา
เขาอธิบายออกมาว่าโรงพยาบาลที่เขาสังกัดอยู่นั้นเป็นโรงพยาบาลเอกชน แน่นอนว่ามีประธานคนหนึ่งเป็นเจ้าของ
แต่เมื่อไม่นานมานี้ตำแหน่งประธานนี้ได้มีเจ้าของบริษัทยาสมุนไพรคนหนึ่งเข้ามาซื้อตำแหน่ง และเขานั้นเป็นคนที่ละโมบโลภมาก
เมื่อตอนที่ไม่มีใครสงสัยเขาได้แอบเปลี่ยนยาสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาให้เป็นยาราคาถูกและไม่ได้คุณภาพโดยยังคิดราคาเท่าเดิม
และนั่นทำให้การรักษาของโรงพยาบาลเกิดปัญหาขึ้นมา ถึงแม้ปัญหาในครั้งนี้จะไม่ส่งผลให้คนตายหรือเจ็บหนักแต่ในเมื่อที่นี่เป็นโรงพยาบาลที่ได้รับความนิยมไม่ช้าก็สมควรจะเกิดเรื่องร้ายแรงอย่างแน่นอน หากเกิดเหตุการณ์แบบนั้นจริงย่อมต้องสูญเสียอย่างแน่นอน
แต่ไม่ต้องรอให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นในตอนนี้คนไข้ แพทย์และพยาบาลหลายๆคนเองก็รับไม่ได้และหนีไปรักษาที่อื่นกันหมดแล้ว ตอนนี้ที่ยังเปิดโรงพยาบาลได้นี่ก็ถือว่าโชคดีแล้วล่ะ
“หากว่าเจ้าของโรงพยาบาลนั้นไม่ได้อยากจะได้ที่นี่จริงๆแล้วล่ะก็ผมสามารถซื้อได้อย่างไม่มีปัญหา แต่แน่นอนว่าหากผมนั้นเป็นเจ้าของคงต้องมีการจัดการกันใหม่ซะก่อน
เรื่องที่เกิดขึ้นมาตามที่คุณลุงเล่ามานี้ผมย่อมไม่ต้องการให้เกิดขึ้นอีก หากว่ามียาไร้คุณภาพผมจะสั่งกำจัดมันทั้งหมด หากมีหมอไร้คุณภาพผมก็จะไล่มันออกอย่างไม่แยแส” ซูจิ้งพูดออกมา
“ถ้าคุณคิดจะซื้อและจัดการอย่างนั้นจริงๆล่ะก็ผมจะดีใจอย่างมาก อย่างไรก็ตามหากไม่ได้มองเรื่องความผิดพลาดในครั้งนั้น
โรงพยาบาลนี้เองตัวอาคารก็ยังดูดีอยู่ เครื่องเครื่องมือหรือแม้แต่บุคลากรทางการแพทย์ก็ดีไม่น้อย โดยเฉพาะวัตถุดิบทางการแพทย์นั้นยิ่งสุดยอดเข้าไปใหญ่” ลูฉินหมิงในตอนนี้พูดออกมาด้วยความสุขอย่างหมดหัวใจเมื่อได้ยินว่าซูจิ้งต้องการเข้ามาเป็นเจ้าของโรงพยาบาลนี้จริงๆ
ซูจิ้งนั้นเป็นคนรวยแห่งเมืองนี้ แน่นอนว่าไม่มีทางที่คนแบบนี้จะหลงใหลไปกับเงินตาโดยการขายยาไร้คุณภาพเพียงเพื่อหวังกับผลกำไรเล็กน้อยๆที่ได้แบบนั้นอย่างแน่นอน
ดีไม่ดีหากว่าข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับซูจิ้งนั้นไม่ผิดพลาดไปและตัวเขานั้นดูคนไม่ผิด ซูจิ้งนั้นเป็นคนที่มีพื้นฐานทางจิตใจที่ดี คนแบบนี้ย่อมแน่นอนว่าต้องเห็นเรื่องชื่อเสียงมาเหนือกว่าเงินจำนวนเล็กน้อย
“เยี่ยม เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะคุยกับเจ้าของโรงพยาบาลทีหลังแล้วกัน หากไม่มีอะไรผิดพลาดล่ะก็ไม่นานนี้เจ้าของโรงพยาบาลจะถูกเปลี่ยนมืออย่างแน่นอน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
เขาเองก็ได้คิดเรื่องนี้ดีแล้วก่อนหน้านี้ว่าคงเป็นการดีไม่ด้วยนี่จะเปิดโรงพยาบาลขึ้นสักที่ เขานั้นไม่ได้ต้องการเงินจากการดำเนินกิจการโรงพยาบาลนี้แม้แต่น้อย
เอาจริงๆเขาวางแผนว่าจะไม่เก็บเงินจากการรักษากรณีตรวจโรคและรักษาทั่วไปด้วยซ้ำ ในส่วนนี้ต่อให้เขาไม่ได้แต่ก็ไม่ได้เสียอะไรอยู่แล้ว
แต่ที่เขาคิดหวังไว้มากที่สุดกับการตั้งโรงพยาบาลของตัวนั่นก็คือการหาเงินจากการใช้ความรู้จากทักษะการรักษาที่ได้มาจากตำรารักษาโรคทั่วไป(ครอบจักรวาล)ที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯเสียมากกว่า
โดยทั่วไปแล้วเหตุผลที่พวกเขานิยมรักษากับหมอทั่วไปนั่นก็เพราะมีราคาที่ถูกกว่าหมอเฉพาะทางมากนัก หมอเฉพาะทางบางสาขาต่อให้รักษาโรคเดียวกันแต่กับคิดราคารักษาแพงกว่าหลายเท่าตัว
ถึงขนาดที่ว่าคนรวยบางคนเองก็ยังไม่อยากหาหมอเฉพาะทางเลยด้วยซ้ำเพราะมันแพงมากจริงๆ
ถึงแม้ว่าซูจิ้งจะเชื่อมั่นในการรักษาของตัวเองอย่างมากแต่ยังไงซะตอนนี้ตัวเขาเองก็รู้ดีว่าเขายังขาดทักษะการรักษาจริงๆอยู่
ด้วยความสามารถในการเรียนรู้ของเขา แน่นอนว่าไม่นานต้องสามารถรักษาด้วยตัวเองและอาจจะเหนือกว่าหมอรักษาโรคทั่วไปพวกนี้ด้วยซ้ำ
อีกทั้งตัวเขานั้นมียามากมายหลากหลายที่คนทั่วไปไม่ได้มีโอกาสได้ครอบครองจากสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศของเขา ถึงแม้จะไม่ถึงกับกลายเป็นหมอมหัศจรรย์แต่ก็ต้องมีชื่อเสียงอย่างแน่นอน
ซูจิ้งและลูฉินหมิงยังคุยกันอีกพักหนึ่งก่อนจะแยกกันไป แม้แต่ตอนนี้ซูจิ้งก็ยังคงทำเพียงหยิบตำราบรรพกาลใส่กระเป๋าราวกับหนังสือเรียนธรรมดาอยู่เช่นเดิม นี่แทบจะทำให้โจวฉือเซียนและเอี้ยป่ออยากจะตรงเข้าไปบีบคอซูจิ้ง ณ เดี๋ยวนั้นเลยจริงๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น