Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 958-963

 GGS:บทที่ 958 มีหน้าที่ปกป้อง


เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศในตอนนี้ต่างก็ได้ทำการตรวจสอบรูปปั้นใหม่ทั้งสี่ชิ้นและวัตถุอื่นๆที่ซูจิ้งได้เพิ่มเข้ามา ของทั้งหมดนี้มีอายุอยู่ที่หนึ่งหมื่นสองพันปีเช่นเดียวกับรูปปั้นเทพธิดาทำให้พวกมันถูกถือว่าเป็นวัตถุจากเมืองแอตแลนติสไปโดยปริยาย

สำหรับซากศพโบราณที่ซูจิ้งได้แจงรายละเอียดไว้ว่าอายุห้าพันปีนั้น พวกเขาสามารถตรวจสอบแล้วก็ได้พบว่าศพนี่มีอายุราวๆห้าพันแปดร้อยปีนี่ทำให้โลกนี้สั่นสะเทือนได้เช่นเดียวกันอย่างไม่ยากเย็น ช่วงเวลานี้จะตรงกับเรื่องเล่าตามตำนานของจีนเกี่ยวกับยุคอันสุดแสนจะลึกลับของจีนที่มีชื่อว่าสามราชาห้าจักรพรรดิ์


โดยเฉพาะกับชาวต่างชาติที่ถึงแม้จะไม่เชื่อแต่พวกเขาเองก็ได้ตรวจสอบซ้ำหลายรอบแล้วแต่ผลออกมาก็ยังเหมือนเดิมอยู่ดี ต่อให้พวกเขาไม่เชื่อก็ไม่รู้ว่าจะแย้งยังไงเหมือนกัน เรื่องนี้ทำให้ทั่วทั้งโลกจะเป็นต้องหันกลับมาคิดเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณของจีนใหม่อีกครั้ง

เรื่องทั้งสองนี้ทำให้พิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์ของซูจิ้งที่พึ่งจะเปิดตัวแต่กลับกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่โด่งดังไปทั่วโลกในทันที เพียงแค่วัตถุโบราณจากเมืองแอตแลนติสและศพอายุมากกว่าห้าพันแปดร้อยปีนี้ก็ทำให้โด่งดังได้แล้ว นี่ยังไม่รวมกับสมบัติอันสุดแสนจะน่ามหัศจรรย์อย่างอื่นของซูจิ้งเลยด้วยซ้ำ

แน่นอนว่ากับซูจิ้งแล้วเรื่องพวกนี้ไม่ได้ทำให้เขานั้นสะทกสะท้านแต่อย่างใด ต่อให้โลกนี้จะเล่าลือเกี่ยวกับเขามากมายราวดั่งพายุขนาดไหนเขาก็หาสนใจไม่


ในตอนนี้เขาสนใจเพียงหยิบเหรียญตราเทวฑูตออกมาและดูดซับพลังวิญญาณจำนวนมากที่เหรียญตรานี้เก็บสะสมไว้เข้ไปเท่านั้น แต่ความจริงแล้วสิ่งที่เขาหวังไว้มากที่สุดนั่นก็คือค่าการใช้ประโยชน์ที่กำลังไหลรินเข้ามายังสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศของเขาเสียมากกว่า

“พี่จิ้ง พี่สุดยอดจริงๆเลยครับ” ฉินซูหลานที่โทรหาซูจิ้งได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้นในทันที

“ใจเย็นๆก่อนไอ้น้อง จะตื่นเต้นไปทำไมเนี่ย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“จะไปสงบเยือกเย็นได้ยังไงกันเล่าก็พี่เล่นปล่อยสมบัติออกมาให้ยลโฉมทีนึงมากมายขนาดนี้ ตอนนี้ชื่อเสียงของพี่พุ่งขึ้นสูงมากเลยนะจากเรื่องสมบัติของพี่เนี่ย จะไม่ให้ผมตื่นเต้น อิจฉา ริษยา และก็ชิงชังพี่ได้ยังไงกัน

พี่นี่ทำให้วงการสมบัติยกระดับได้เลยในคราวนี้ ผมเองเสียดายจริงๆที่ไม่สามารถไปงานเปิดตัวในรอบแรกได้ เอ้อพี่จิ้งพี่พอจะหาบัตรให้ผมสักสองใบได้ไหมอ่ะ” ฉินซูหลานถามออกมาอย่างตื่นเต้นและหน้าไม่อายที่จะขอจากซูจิ้งตรงๆ

“ซื้อเองสิเฟ้ย”

“โถ่พี่ ไม่ใช่ว่าผมจะไม่ยากนะ แต่พิพิธภัณฑ์ของพี่นี่น่ะสิดันขายบัตรแบบจำกัดจำนวนต่อวัน แถมบัตรของวันพรุ่งนี้ก็หมดแล้วด้วย ผมไม่อยากจะรอไปอีกวันนึงอ่ะอีกอย่างผมว่างแค่พรุ่งนี้เท่านั้นเอง พี่หาบัตรวันพรุ่งนี้ให้ผมสักสองใบไม่ได้เหรอ”

“ก็ได้ก็ได้ เดี๋ยวฉันจะดูให้แล้วกัน” เมื่อได้ยินเหตุผลซูจิ้งเลยตกปากรับคำในทันที


หลังจากวางสายไป ซูหยาก็ได้โทรหาซูจิ้งในทันที “พี่ชายสุดที่รักขา…. พี่ไปหาเด็กๆ(สมบัติ)พวกนี้มาจากไหนกันถึงได้มามากมายขนาดนี้อ่ะ”

“ช่องทางลับน่ะ เรื่องอะไรจะบอกล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ขี้เหนียวอ่ะ บอกน้องสาวคนดีคนนี้หน่อยไม่ได้รึไงกัน ช่างมันเถอะ หนูไม่ถามแล้วก็ได้ ว่าแต่วันมะรืนนี้เป็นวันหยุดโรงเรียนหนูอยากได้ตั๋วไปดูพิพิธภัณฑ์ของพี่อ่า….”

“กี่ใบล่ะนั่น”

“ได้สิบใบเลยก็ดีนะ”

“ห้ะ เอาไปทำไมเยอะแยะเนี่ย”

“พอดีว่าน้องพี่อ่ะสวยไงก็เลยมีเพื่อนผู้หญิงเยอะหน่อย แถมเรื่องนี้หนูก็ปฏิเสธพวกเธอไม่ได้ด้วยเพราะราคาบัตรของพี่อ่ะแพงหูฉี่เลย แถมบัตรวันมะรืนนี้ก็ขายหมดไปแล้วด้วย ต่อให้เพื่อนของหนูอยากซื้อก็ซื้อไม่ได้อ่ะ”

“เอาเป็นว่าเดี๋ยวพี่จะบอกคนของพี่ไว้แทนก็แล้วกันว่าเธอสามารถนำคนเข้าไปด้วยสักกี่คนกี่ครั้งกี่หนก็ได้โดยไม่ต้องมีบัตรก็แล้วกัน”

“พี่นี่ใจดีที่สุดเลย”

หลังจากวางสายไป สักพัก หวังจ้าวก็ได้โทรหาซูจิ้งในทันที “อาจิ้ง ไอ้เด็กนี่ จะขี้อวดไปไหนกันเนี่ย”

“ห้ะ นี่ผมไปอวดอะไรตอนไหนกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ตอนนี้ทั่วทั้งประเทศ….ไม่สิทั่วทั้งโลกต่างก็พูดถึงพิพิธภัณฑ์สุดแสนจะมหัศจรรย์ของนายกันทั้งนั้น และจะให้บอกว่าไม่ได้ขี้อวดอีกรึไง”


“ก็ไม่ใช่ผมสักหน่อยที่ตีข่าว เป็นคนอื่นต่างหากที่เอาไปพูดกันเองให้เวอร์วังไปก็เท่านั้น”

“เออสิ ทั้งวัตถุโบราณจากแอตแลนติส ซากศพสมบูรณ์อายุห้าพันแปดร้อยปี หัวผักกาดหยกขนาดเกือบสี่เมตร ของที่ชวนตกตะลึงแบบนี้ถ้าไม่เอาไปพูดกันนี่สิแปลก

ของล้ำค่าขนาดนี้เนี่ยนะที่นายจะบอกว่าเขาเอาไปพูดให้เวอร์วังกันไปเอง เอาเถอะฉันขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าต่อให้นายมีปูมหลังดีขนาดไหนก็ตามแต่ตอนนี้นายโคตรจะเด่นเลย นายต้องระวังพิพิธภัณฑ์ของนายให้มากๆก็แล้วกันเพราะว่ามีหลายฝ่ายเพ่งเล็งอยู่”

“ฉันรู้น่า ฉันเตรียมตัวเรื่องนี้ไว้แล้ว”

“อ้อแล้วก็ขอบัตรสักสองใบสิ”

“พี่สามที่เคารพ แค่พี่ก้าวเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ อย่าว่าแต่พวกเขาจะกล้ามาขอดูตั๋วจากพี่เลย คนของฉันแทบจะปูพรมแดงให้พี่ซะด้วยซ้ำ”


หลังจากนั้นซูจิ้งยังคงวนเวียนกับการรับโทรศัพท์จากเพื่อนๆและคนที่เขามีสายสัมพันธ์อันดีด้วย และทุกคนที่โทรมาล้วนแล้วแต่มาขอบัตรเข้าพิพิฑภัณฑ์แห่งนี้กันทุกคน

ถึงแม้ซูจิ้งจะรู้สึกแปลกๆกับเรื่องนี้แต่เขานั้นแน่นอนว่าย่อมจะให้บัตรพวกเขาฟรีอยู่แล้ว เพราะยังไงซะเขาเองก็เป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ต่อให้บัตรขายหมดไปแล้วก็ตามแต่บัตรก็สมควรจะมีสำรองไว้อยู่แล้ว

อีกอย่างถึงแม้ว่าตั๋วในการเข้าพิพิธภัณฑ์นี้จะจำกัดเพียงแค่พันใบต่อวัน แต่หากต้องเพิ่มอีกสักโหลนึงหรือร้อยใบก็ไม่ได้เสียหายอะไรสักนิด

มีอีกคำถามยอดฮิตที่เกือบจะทุกคนถามซูจิ้งนั่นก็คือซูจิ้งไปหาสมบัติพวกนี้มาจากไหนกันไม่ก็สอบถามช่องทางที่พอจะทำให้พวกเขาได้ครอบครองสมบัติประเภทนี้ไว้ได้บ้างก็ยังดี

แน่นอนว่าซูจิ้งนั้นขี้เกียจอธิบายเลยตัดบทไปโดยบอกไปว่าเดินๆแล้วก็เจอมาก็เท่านั้น นี่ทำให้ทุกคนที่ถามถึงกับพูดไม่ออก

แต่ทุกคนต่างก็ไม่รู้ว่าที่ซูจิ้งพูดนั้นเป็นความจริง เพราะซูจิ้งเองก็เพียงแค่เดินไล่ดูและขุดคุ้ยแล้วเก็บมาจากกองขยะห้วงเวลาฯของเขาก็เท่านั้น


หม้อสามสีและภาพเขียนพู่กันจีนสมัยราชวงศ์ถังนั้นซูจิ้งได้มาจากขยะห้วงเวลาฯไซอิ๋ว ในตอนแรกที่เขาได้ของเหล่านี้มานั้นพวกมันไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ขนาดนี้

หลายชื้นแตกหักและฉีกขาด เขาเองก็เคยพยายามหาคนมาซ่อมแล้วแต่ก็ไม่ได้สมบูรณ์มากมายนัก แต่หลังจากที่เขาได้เสวี่ยไป๋มาทำการซ่อมให้ ของเหล่านั้นก็ถูกซ่อมโดยสมบูรณ์ที่สุดตราบเท่าที่จะมีชิ้นส่วนหลงเหลืออยู่

สำหรับแพะหยกเลือดและแมลงหยกเลือดนั้นเขาก็ได้มาจากการใช้ผงวิเศษที่ได้มาจากขยะห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ คราวนี้เขาได้ใช้ผงดังกล่าวจนหมดเลยทีเดียว

สำหรับรูปปั้นเสมือนมีชีวิตนั่นเขาเองก็ได้มาจากขยะห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจเช่นเดียวกัน รวมถึงภาพวาดเขียนพู่กันจีนราชวังและบีงในสระนั้นเขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯอภินิหารกระบี่สามภพ

สำหรับปะการังแดงนั้นเขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯล่าลี้ลับตำนานจีน ส่วนของอย่างอื่นเขาก็ได้มาจากห้วงเวลาต่างๆนั่นเอง

ในส่วนของหัวผักกาดหยกนั่นเขาพึ่งจะให้เสี่ยวไป๋ซ่อมเสร็จเมื่อไม่กี่วันมานี่เอง เขาได้มันมาจากขยะห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบเทพธิดา ตอนนี้แรกที่เขาได้เห็นมันตอนสมบูรณ์ก็ตกตะลึงไม่น้อยเหมือนกัน

สำหรับศพห้าพันแปดร้อยปีนี่เขาก็เพิ่งจะได้มาเหมือนกัน ตอนแรกเขาเองก็เสียดายชุดหยกไหมทองคำนั่นไม่น้อยเลย แต่พอมาคิดๆดูเขาก็คิดว่าเอาไว้อย่างนี้น่าจะได้ผลดีกว่าเขาเอาไปใช้เอง


หลังจากโทรคุยกับบรรดาเพื่อนพ้องและคนที่เขามีสัมพันธ์อันดีจนเสร็จสิ้นแล้ว เฉินฮงก็ได้โทรเข้ามาหาพร้อมพูดออกมาว่า “หัวหน้าครับ มีชาวต่างชาติบางคนต้องการจะขอเช่าสมบัติแอตแลนติสและศพในตำนานครับ” ศพในตำนานที่ว่าก็คือศพโบราณที่คาดว่าจะอยู่ในช่วงยุคสมัยที่เปรียบได้ดั่งตำนานเรื่องเล่าของจีน ตอนนี้คนทั่วไปจึงเรียกมันว่าศพในตำนาน

“ห้ะ ขอยืม” ซูจิ้งถามออกมาพร้อมกับอดหัวเราะเสียไม่ได้

“ใช่ครับ พวกเธอต้องการจะขอยืมไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์นานาชาติเพื่อจัดแสดง ชาวต่างชาติคนนี้เองก็สวยซะด้วยสิ เอ่อ… จะให้ผมปฏิเสธไปเลยรึเปล่าครับ” เฉินฮงถามออกมา

“รอแป๊บนึงนะ ศพในตำนานนั่นแน่นอนว่าไม่มีทางให้ยืม แต่รูปปั้นแอตแลนติสนั่นยังพอเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน

รูปปั้นแอตแลนติสนั้นพึ่งจะจัดแสดงได้ไม่นานและพิพิธภัณธ์ของเราเองยังไม่ขึ้นถึงขีดสุดเลย ตอนนี้แน่นอนว่ายังไม่สามารถให้ยืมได้แต่ในอนาคตนั้นก็ยังไม่แน่ บอกพวกเขาไปว่าในอนาคตนั้นหากใครเสนอเงินสูงสุดฉันก็จะให้ยืมไป หากว่าพวกนั้นบอกว่าต้องการเดี๋ยวนี้ล่ะก็ให้บอกไปว่า หากรอไม่ได้ก็ไปแขวนคอตายซะ”

“ได้ครับ” เฉินฮงพยักหน้ารับคำก่อนจะถามออกไปว่า “อ้อ ผมจะถามอีกเรื่องว่าเราควรจะเพิ่มการป้องกันของพิพิธภัณฑ์ให้แน่หนาขึ้นอีกดีรึเปล่าครับ

ผมกลัวว่าการที่เราจัดแสดงสมบัติมากมายขนาดนี้จะเป็นการล่อโจรมาปล้นได้ง่ายๆ โดยเฉพาะกับศพในตำนานนั่น ไอ้พวกชาวต่างชาตินี่จ้องแทบจะตาเป็นมันกันอย่างแน่นอน”


“ฮ่าฮ่าฮ่า เรื่องนี้นายวางใจได้เลย ฉันเตรียมการป้องกันไว้ตั้งแต่แรกแล้ว” ซูจิ้งยิ้มออกมา หากเป็นพิพิธภัณฑ์ทั่วไปนั้นก็คงทำได้เพียงหวังเพิ่งเทคโนโลยีในการป้องกัน

อย่างไรก็ตามกับซูจิ้งนั้นไม่เหมือนกัน เขามีสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆน่ารักของเขาคอยป้องกันพิพิธภัณฑ์อยู่แล้ว ต่อให้หัวขโมยจะตัวโตเป็นยักษ์ แค่เหยียบเข้าไปก็จะไม่ได้กลับออกมาอย่างแน่นอน

ในส่วนที่เฉินฮงกังวลเป็นพิเศษนั่นคือศพในตำนานนั้นเขาเองก็เข้าใจดีว่าทำไมเขาถึงได้กังวลนัก แต่กับเรื่องนี้เขาก็อยากจะบอกไปตรงๆจริงๆว่าไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด

ผีดิบตัวนี้ถูกควบคุมโดยสมบูรณ์ด้วยซูจิ้งเอาไว้แล้ว เขาได้สั่งมันไว้ว่าหากเป็นยามปกติอย่าได้เคลื่อนไหวแต่อย่างใด

แต่หากมีใครต้องการที่จะพามันออกมาจากพิพิธภัณฑ์ล่ะก็แน่นอนว่าไม่จะเป็นต้องเกรงใจที่จะจัดการได้ ด้วยการที่มันนั้นแข็งแรงกว่าคนทั่วไป

หากมีโชคหน่อยก็คงจะทำให้มันออกมาได้เล็กน้อย หลังจากนั้นก็รอดูผลงานของผีดิบตัวนี้ก็พอ


GGS:บทที่ 959 วิธีรักษาแห่งห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯ


ไม่ว่าข้างนอกจะวุ่นวายขนาดไหนก็ตาม ซูจิ้งไว้ใจพอที่จะให้เฉินฮงจัดการเรื่องทุกอย่างของพิพิธภัณฑ์แล้วทำการจัดการขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศของเขาต่อไป

ตอนนี้เขาได้เริ่มจัดการขยะกองผ้าแล้ว และในกองนี้เต็มไปด้วยเสื้อผ้าสวยๆในยุคก่อนและเศษผ้ามากมาย เขานั้นหวังเพียงว่าจะพบวัตถุดิบที่พอจะใช้ทำอาวุธวิเศษได้เท่านั้น ไม่ว่าของพวกนี้จะสวยขนาดไหนก็ตาม ยังไงซะก็เทียบไม่ได้กับอาวุธวิเศษอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามหลังจากเขาจัดการไปเกินกว่าครึ่งกองแล้วแต่เขาก็ยังไม่เจออะไรดีๆเลยสักอย่าง ที่เจอก็มีเพียงเศษผ้าที่มากมายและหาประโยชน์ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

หลังจากจัดการไปได้สักพัก เขาก็ได้เจอถุงผ้าใบหนึ่ง เขาได้เปิดมันออกดู และในทันทีที่เปิดเขาก็พบกลิ่นเหม็นเน่า ข้างในนั้นคืออาหารที่เน่าเสียจนราขึ้นแล้ว

ซูจิ้งได้โยนของข้างในที่เจอทิ้งไปในทันที แต่ทันใดนั้นเขาก็พบเจอขวดเล็กๆที่แตกออกอยู่ตรงมุมของถุงผ้า ตอนนี้หัวใจของเขาเต้นแรงในทันที


ซูจิ้งได้ปลดปล่อยพลังจิตของเขาเพื่อทำการแยกเอาอาหารที่แห้งกรังในถุงออกไป หลังจากนั้นเขาได้ลองเปิดขวดแตกนี้ดูก็พบกับอะไรสักอย่างที่มันดูหยึยๆสี่ชิ้นและมันก็เน่าแล้วอย่างแน่นอนเพราะมันนั้นมีราที่กำลังฟูฟ่องจนมองไม่ออกว่ามันคืออะไรกันแน่

“อืมมมมม นี่มันเม็ดยารึเปล่าหว่า” หัวใจของซูจิ้งในตอนนี้รู้สึกเสียดาย ถ้านี่เป็นเม็ดยาของห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯจริงล่ะก็หากได้ทดลองใช้ดูก็คงดีไม่น้อยเช่นเดียวกัน เขาพลางนึกถึงว่าการที่มีขวดยาในถุงผ้าแบบนี้สมควรจะเป็นของใช้พื้นฐานของนักบวชที่แห่งห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯ

ที่นั่นนักบวชจะได้รับถุงผ้าพร้อมของใช้ประจำตัว ของในถุงนั้นประกอบด้วยถุงดำห้าชิ้น น้ำเต้าเก็บของ กระเป๋าเก็บดาบ และเครื่องมือที่จัดเก็บของ

หากพวกเขานั้นเอาของพวกนี้ใส่ไว้ในกระเป๋าธรรมดาล่ะก็แน่นอนว่าของข้างในคงไม่ได้มีค่าอะไรนัก แต่ยังซะของนี้ก็มาจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯ แต่ให้เป็นยาที่โยนทิ้งเป็นว่าเล่นก็สมควรจะเป็นสุดยอดแห่งยาเมื่ออยู่บนโลกนี้

“เสี่ยวไป๋ ซ่อมเจ้านี่ทีสิ” ซูจิ้งพูดออกมา

“ฮอว์” เสี่ยวไป๋รีบวิ่งมาหาในทันทีที่ไม่ได้ยินซูจิ้งบอก เมื่อมาถึงเสี่ยวไป๋ได้ปลดปล่อยสแตนด์เพื่อทำการซ่อมของตามที่ซูจิ้งสั่งในทันที

ครั้งนี้ความเร็วในการซ่อมแซมอยู่ในระดับที่เร็วพอจนตาเปล่าเห็นได้ถึงการเปลี่ยนแปลง และขนราทั้งสี่ในขวดนี้ค่อยหดลงไปอย่างรวดเร็ว และเม็ดยาก็ได้ก่อรูปขึ้นใหม่อีกครั้งและค่อนข้างจะดูเงางามมากขึ้น ในขั้นตอนนี้ค่อนข้างจะใช้เวลาฟื้นคืนสภาพพอสมควร

หลังจากเวลาผ่านไปค่อนข้างนาน เสี่ยวไป๋ก็ได้หยุดการซ่อมแซมและตรงหน้ามันในตอนนี้ก็ได้มีขวดยาที่ข้างในมีเม็ดยาสีแดงสีเม็ดอยู่ในขวด


ซูจิ้งได้เปิดปากขวดดูแล้วใช้จมูกเขาดมมันใกล้ๆ และทันใดนั้นเขาก็ได้กลิ่นของตัวยาสมุนไพรในทันที

“นี่สมควรจะเป็นเม็ดยาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ประเด็นคือมันเป็นยาสำหรับใช้ทำอะไรนี่แหล่ะ” ซูจิ้งแน่นอนว่าไม่ยอมลองยานี่ด้วยตัวเอง หากว่ามันเป็นยาพิษขึ้นมาอาจจะตายเลยก็ได้

ต่อให้ไม่ใช่ยาพิษยังไงซะก็ไม่รู้ว่าจะส่งอะไรกับร่างกายบ้าง หากกินไปสุ่มสี่สุ่มห้าอาจมีปัญหาตามมาได้

ดังเช่นทุกครั้ง ซูจิ้งต้องการหนูสักตัวมาทดลองยาตัวนี้ แต่ปัญหาคือยานี้มีเพียงสี่เม็ดเท่านั้น และโดยปกติแล้วเขาเองก็จำเป็นต้องลองยาหลายๆครั้งเพื่อที่จะได้รู้ผลของยาว่ามันมีผลที่แท้จริงแบบไหนกันแน่ ด้วยเม็ดยาที่น้อยขนาดนี้เขาคงลองอะไรได้ไม่มากนัก ดีไม่ดีลองทั้งสี่เม็ดนี้แล้วเขาอาจจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเม็ดยาชุดนี้เอาไว้ทำอะไรกันแน่

“….หรือจะใช้มดดีล่ะ” ซูจิ้งคิดได้ดังนั้นก็ได้ลองดูในทันที ถึงแม้เขานั้นจะไม่เคยใช้มดในการทดลองยามาก่อน มันทั้งข้อดีและข้อเสีย

ข้อดีของมันคือด้วยการที่มดนั้นตัวเล็ก ลองให้กินยานิดหน่อยแน่นอนว่าไม่นานก็รู้ผล

แต่มันก็มีข้อเสียตรงที่โครงสร้างร่างกายของมดนั้นต่างกับมนุษย์เกินไป

แน่นอนว่าผลที่ได้อาจจะไม่เหมือนกับมนุษย์ซะทีเดียว ไม่เหมือนกับหนูที่มีความใกล้เคียงกับร่างกายมนุษย์

มากกว่า

แต่ยังไงซะตอนนี้เขาก็มีเม็ดยาอยู่เพียงสี่เม็ดเท่านั้นและไม่มีทางอื่นที่ดีกว่านี้แล้วก็คงได้แต่ลองให้มดทดลองดูก่อน

คิดได้ดังนั้นซูจิ้งก็ได้ปล่อยมดออกมาจากกระเป๋ากักอสูรในทันที เขาได้ลองให้มดนั้นกินเศษยาที่มีอยู่ก้นขวดไปเล็กน้อย หลังจากรอดูผลแล้วไม่พบว่ามดตัวนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขาเลยลองเปลี่ยนวิธีการทดลองโดยการให้มดนั้นกินพิษไปก่อนแล้วลองให้กินยาดู

แต่ดูเหมือนว่ายานี้จะไม่ได้ผลแต่อย่างใดเพราะไม่นานมดตัวนี้ก็ตายด้วยพิษที่มันกินเข้าไป เมื่อเห็นดังนนั้นซูจิ้งจึงได้ปล่อยมดมาอีกตัวหนึ่งแล้วทำการบี้มดตัวนี้ให้อยู่ในสภาพสาหัสในทันที

เจ้ามดที่มีสภาพปางตายในตอนนี้ได้กินเศษยาเข้าไปเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นานก็ปรากฎภาพอันน่ามหัศจรรย์ขึ้น นั่นก็คือเจ้ามดที่เกือบตายด้วยการบี้แบนของซูจิ้ง เพียงไม่กี่นาทีที่กินยามันก็ได้ฟื้นคืนสภาพกลับมาปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

อย่างไรก็ตามซูจิ้งเองก็ยังไม่อาจแน่ใจในฤทธิ์ยาได้อยู่ดี ด้วยการที่มดตัวนี้อาจไม่เหมือนกับมดทั่วไป หากเป็นมดทั่วไปเมื่อถึงจุดที่มันเกือบตายแต่ทิ้งไว้สักพักมันก็อาจจะฟื้นคืนสภาพตัวเองได้

บางตัวถึงขนาดที่ว่าต่อให้ล่างขาดครึ่งก็ยังเคลื่อนที่ต่อไปได้ นี่คือความสุดยอดของมดในความอึดชนิดที่ไม่ว่าหนูหรือมนุษย์ก็เทียบไม่ได้แม้แต่น้อย

ด้วยเหตุนี้เขาจึงยังแน่ใจไม่ได้ว่าความอึดนี้ของมดตัวนี้เป็นผลของยาหรือเป็นความอึดของตัวมันเองกันแน่

ซูจิ้งได้ทดลองซ้ำๆกับมดอีกหลายๆตัว หลายวิธีๆ หลายๆรูปแบบอาการบาดเจ็บ ทั้งหักแขน แยกชิ้นส่วน และทำอย่างอื่นอีกราวกับว่าสนุกไปกับมัน

ในทุกๆกลุ่มนั้นเพียงได้เศษยานี้ไปเล็กน้อยเท่านั้น พวกมันก็ได้ฟื้นคืนสภาพสู่สภาพเดิมในทันทีเหมือนกันหมด

“ดูเหมือนว่ายานี้จะเป็นยารักษาจริงๆแหะ” หลังจากแน่ใจแล้วซูจิ้งได้ปล่อยหนูที่อยู่ในถุงกักอสูรตัวหนึ่งออกมาแล้วทำให้มันเจ็บหนัก หลังจากนั้นเขาก็ให้มันลองกินยานี้ไปครึ่งเม็ด

เหมือนเจ้าหนูตัวที่เจ็บหนักนี่กินยาเข้าไป ไม่นานนักจากหนูที่สภาพเกือบตายก็ได้กลับสู่สภาพเดิมเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ไม่เหลือรอยแผลเป็นไว้เลยแม้แต่น้อย


“ผลของยานี่มันน่าเหลือเชื่อเลยจริงๆ” ซูจิ้งได้เปรยออกมาด้วยความประหลาดใจ ถึงแม้ว่าผลจากการทดลองยากับมดนั้นจะพอที่จะบ่งบอกได้ว่ายานี่คือยารักษาจริงๆ แต่ยังไงซะการทดลองกับหนูก็ทำให้เขามั่นใจได้มากกว่าอยู่ดี


ก่อนหน้านี้ซูจิ้งเคยได้รับยารักษามาจากกองขยะห้วงเวลาฯจูเซียนมาแล้ว แต่ผลของมันนั้นทำได้เพียงสมานแผลภายนอกเท่านั้น แต่กับเม็ดยาดูเหมือนว่านอกจากจะรักษาบาดแผลภายนอกแล้วมันยังมีผลในการรักษาอาการบาดเจ็บภายในอีกด้วย ผลของยานี่สุดยอดเลยจริงๆ

“เดี๋ยวนะ…เหมือนฉันจะจำได้อยู่นา…ยาเม็ดสีแดงที่มีผลในการรักษาชั้นเลิศ….ยาโลหิตเหรอ” ซูจิ้งนึกชื่อนี้ได้ในทันที ในห้วงเวลาฯสุสานฯนั้นมียาวิเศษตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า เม็ดยาโลหิต

ตัวยานี้มีส่วนประกอบหลักคือหญ้าเลือดกวาง ยามีผลต่อการรักษาอาการบาดเจ็บได้อย่างดีเยี่ยม แต่ถึงจะอย่างนั้น มันก็เป็นเพียงยาระดับต่ำเท่านั้นแน่นอนว่าไม่ได้มีค่าอะไรเมื่ออยู่ในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯ

“ถึงแม้จะเป็นยาระดับต่ำก็ผลของมันก็ยังวิเศษเมื่ออยู่ที่นี่อยู่ดี หากว่ามียาระดับสูงหลุดออกมาอย่างยากยกระดับขั้น ยาศักดิ์สิทธิ์ หรือไม่ก็ยาแห่งภูติผี หรือยาเทพเซียนอมตะหลุดมาพร้อมขยะกองนี้ก็คงจะดีล่ะนะ”


ซูจิ้งในตอนนี้รู้สึกแบบนี้จริงๆ แต่พอคิดไปคิดมาเขานั้นก็ทำได้เพียงแค่ปล่อยวางและถอนหายใจเท่านั้น

พลางคิดต่อว่าพวกยาระดับสูงแบบนั้นจะมาอยู่กับกองขยะแบบนี้ได้ยังไง แค่ได้เจ้านี่มาก็ดีมากแล้ว ต้องขอบคุณเสี่ยวไป๋ล่ะนะที่ช่วยฟื้นฟูยานี้ห้กับเขาไม่งั้นก็คงต้องปล่อยให้มันเน่าไปเสียอย่างนั้น


ซูจิ้งได้โยนยาทั้งสามเม็ดที่เหลือใส่ในกระเป๋ามิติของเขาอย่างสุขใจ หลังจากนั้นเขาก็ได้ทำการจัดการขยะของเขาแต่โดยมีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่าจะเจอของดีๆอีก

หลังจากค้นไปได้สักพักเขาก็ได้พบกับตำราชุดหนึ่ง ตัวของตำรานี้เต็มไปด้วยอักษรที่ใช้มือวาด ดูเหมือนตัวตำราจะทำมาจากผ้าไม่ก็หนังสัตว์เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันแต่ก็ไม่แปลกใจเท่าที่ไหร่ที่เจอตำรานี้ในขยะกองผ้านี้

ซูจิ้งได้ให้เสี่ยวไป๋ทำการซ่อมแซมในทันที หลังจากเสร็จแล้วเขาก็ได้รีบอ่านดูและเพียงแค่เขาเปิดได้เพียงไม่กี่หน้าก็พยว่านี่คือตำรา “การรักษาทั่วไป” ที่ดูเหมือนจะมีเนื้อสมบูรณ์จบในเล่มเดียว

ซูจิ้งจ้องตำรานี้ด้วยตาเป็นมันพักใหญ่ก่อนที่จะทำการไล่เปิดตำรานี้ดูอีกครั้ง เนื้อหาตำรานี้เต็มไปด้วยวิธีการรักษามากมายหลายแขนงและหลายโรคภัย มีแม้กระทั่งการผสมยาด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตามส่วนผสมของยาในตำรานี้เขาเองก็เคยแค่ได้ยินเพียงบางตัวเท่านั้น ตัวยาส่วนใหญ่เขานั้นไม่เคยได้ยินเลยไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะบนโลกนี้ไม่มีหรือว่าโลกนี้ยังไม่รู้จักรึอย่างไร

เจียวเฟยที่เป็นตัวเอกของห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯเองก็มีตำราชุดคัดลอกของตำราการรักษาทั่วไปนี่เหมือนกัน เขาได้ใช้เนื้อหาในตำรานี้ในการหลอมเม็ดยากระหายเลือด ยาทะลวงระดับขั้น และยาปรับเสถียร

แต่เรื่องการหลอมเม็ดยานี้ซูจิ้งเองก็ไม่ได้หวังอะไรมากนัก สิ่งที่สนใจมากที่สุดคือวิธีการรักษา หลังจากเขาอ่านตำราเล่มนี้ไปจนหมดก็พบว่าโรคภัยต่างๆที่มีบันทึกวิธีการรักษาในตำรานี้ค่อนข้างจากเหมือนกับโรคภัยบนโลกนี้ และสมควรที่จะใช้ในการรักษาได้เช่นเดียวกัน

แต่เขาเองก็ไม่ได้มีความรู้ในสายการแพทย์นี้โดยตรง ดูเหมือนเขาจะต้องให้ใครสักคนที่เขาไว้ใจได้มาช่วยดูตำรานี้ให้แน่ใจอีกครั้ง


“โลกนี้ถึงแม้จะไม่มีคลื่นพลังแบบเดียวกับในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯแต่เม็ดยาโลหิตกลับได้ผลดีขนาดนี้ เจ้าตำราการรักษาทั่วไปเล่มนี้ก็สมควรจะได้ผลดีไม่ต่างกันอย่างแน่นอน หากได้ศึกษาไว้ย่อมดีกว่าโยนทิ้งไว้เปล่าๆ”

คิดได้ดังนั้น ซูจิ้งจึงได้ทำการเก็บตำราการรักษาทั่วไปไว้ในกระเป๋ามิติโดยเขาตั้งใจว่าจะหาโอกาสเรียนรู้เพิ่มเติมในภายหลัง


GGS:บทที่ 960 ตำราปลอม


ซูจิ้งยังคงทำการรื้อค้นขยะกองผ้าต่อไปด้วยความเหนื่อยหน่าย ทันทีเขากำลังหยิบกองผ้ามาตรวจสอบและโยนทิ้งไปด้านหลังของเขา เขาก็ได้สังเกตุเห็นเศษผ้ากองหนึ่งที่เป็นผ้าไหมสีเหลืองและน่าเป็นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่ง

ซูจิ้งรู้สึกประหลาดใจในทันทีเพราะว่าเศษผ้าชิ้นนี้มีกลิ่นอายของพลังภายในหลงเหลือเอาไว้ เขาได้ให้เสี่ยวไป๋ทำการซ่อมแซมมันในทันที แต่ผ้าชิ้นนี้ดูเหมือนจะเหมือนกับพระธาตุที่เจอก่อนหน้านี้ ผ้าผืนนี้ค่อยฟื้นฟูสภาพอย่างช้าๆ

หลังจากผ่านไปสองชั่วโมงเห็นจะได้ผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมสีเหลืองนี้ก็ไร้รอยขาดแม้แต่น้อย มันยังเป็นผ้าไหมที่นุ่มมาก เหมือนกับว่าวัตถุดิบที่ใช้จะดีมากทีเดียว นอกจากนี้ผ้าเช็ดหน้าผืนยังมีอักขระอะไรบางอย่างปักเอาไว้

ซูจิ้งกางผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือออกแล้วทำการตรวจสอบดูอยู่นาน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่รู้ว่าผ้าผืนนี้ใช้ทำอะไรกันแน่


เขาได้ลองถ่ายทอดทั้งพลังภายในและพลังวิญญาณลงไปในผ้าเช็ดหน้าผืนนี้แต่ก็เหมือนกับว่ามันไม่ตอบสนองแต่อย่างใด

เขาอาจจะยังใช้งานผ้าผืนนี้ได้ไม่ถูกวิธีก็เป็นได้แต่ถ้าดูจากพลังงานที่ผ้าผืนนี้ปล่อยออกมารวมถึงอักขระที่ปักเอาไว้แล้ว หากผ้าผืนนี้ไม่ใช่อาวุธวิเศษอย่างหนึ่งก็สมควรจะเป็นเครื่องรางอะไรบางอย่าง

ถึงแม้จะยังไม่เข้าใจวิธีใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้แต่เขาก็ไม่ได้รีบเร่งแต่อย่างใด ซูจิ้งเก็บผ้าเช็ดหน้าไหมสีเหลืองนี้เข้าไปไว้ในกระเป๋ามิติแล้วจัดการขยะกองผ้าต่อไป


หลังจากจัดการขยะกองผ้านี้จนหมด เขาได้ทำการตรวจสอบขยะห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯทั้งหมดดูอีกครั้ง หลังจากคัดเลือกของที่พอใจใช้ได้เพิ่มเติมไปเก็บไว้ในมิติเก็บของของสถานีเขาก็ได้ตรวจสอบดูอีกรอบหนึ่ง

เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรมีค่าเขาก็ได้ให้ฉิงหยุนเผาและย่อยขยะเหล่านี้ และในตอนนี้ลานกองขยะห้วงเวลาฯก็ได้โล่งเตียนลงอีกครั้ง

หลังจากกำจัดขยะห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯเสร็จสิ้น ซูจิ้งก็ใช้เวลาไปสองสามวันกับการฝึกตำราวิถีแห่งใต้หล้า วิถีแห่งมังกร ตำราจ้าวแห่งสายน้ำ ตำรากระดาษการสงคราม ตำรารักษาโรคทั่วไป ศึกษาอักขระบนผ้าเช็ดไหมสีเหลือง และตำราอื่นๆทั้งหมด

ในตอนนี้ที่โลกภายนอกต่างก็มีการพูดคุยเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์ของซูจิ้งกันอย่างบ้าคลั่ง แต่นั่นก็หาได้ทำให้เขานั้นสนใจได้ไม่


เช้าวันถัดมา เสียงโทรศัพท์ของซูจิ้งก็ได้ดังขึ้น เป็นเสี่ยวรุยที่โทรหาเขา เขาได้รีบรับโทรศัพท์ในทันทีและพูดออกไปว่า “โย่ว เสี่ยวรุยว่าไง ช่วงนี้มีใครก่อกวนนายอีกรึไงกัน”

“ไม่ไม่ ผมยังอยู่ดีอยู่” เสี่ยวรุยหัวเราะออกมา เขาเป็นคนแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวและมีนิสัยยังคล้ายกับเด็กๆอยู่ ถึงแม้ว่าจะผ่านเรื่องเฉียดตายอย่างการลักพาตัวมาแล้วก็ตาม แต่ตอนนี้เขากลับลืมเรื่องแย่ๆแบบนั้นไปจนเกือบจะหมดสิ้นและไม่ได้ใส่ใจมันอีกต่อไป

“ถ้าไม่เป็นไรแล้วทำไมวันนี้โทรมาหาแต่เช้าได้ล่ะเนี่ย”

“ก็ไม่เชิงอ่ะ พอดีผมมีเรื่องจะกวนพี่แต่ถ้าพี่ไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะ คือวันพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของคนที่ผมไล่จีบอยู่ ผมเลยอยากจะให้พี่ช่วยผมเกี่ยวกับเรื่องของขวัญหน่อยน่ะ”

“หืม ปกติของแบบนี้นายเองเตรียมเองจะไม่ดีกว่าเหรอ เรื่องแบบนี้ไม่ควรจะยืมมือคนอื่นเลยนา…”


“ก็ผมไม่รู้นี่นาว่าจะเตรียมอะไรให้เธอดี ทั้งหมดก็เป็นเพราะพี่นั่นแหล่ะ หลังจากเข้าไปดูพิพิธภัณฑ์ของพี่แล้วทำให้ผมรู้สึกว่าของภายนอกนั้นไม่มีอะไรเหมาะกับการเป็นของขวัญเลยแม้แต่น้อย

นอกจากพี่จะเป็นพี่สามของผมแล้วพี่ยังเป็นจ้าวแห่งของขวัญอีกด้วยนา ถึงแม้พี่จะบอกว่าไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้พี่ก็ควรจะจริงจังได้แล้ว

พี่สาม ช่วยผมหน่อยเถอะนะ ไม่ต้องให้ของชิ้นใหญ่โตก็ได้ ขอของชิ้นเล็กๆเท่านิ้วก้อยก็ยังดี ยังไงซะของชิ้นเท่านี้ของพี่ก็ยังดีกว่าของที่ผมหาได้ทั่วไปอยู่ดี”

“ก็ได้ก็ได้ นายมานี่ก็แล้วกันเดี๋ยวฉันหาไว้ให้” ซูจิ้งพูดตัดบทพลางยิ้มออกมา ดูเหมือนว่ากับคนๆนี้เสี่ยวรุยจะเอาจริงแหะ ขนาดพยายามทำตัวให้สูงเพื่อจะได้มีความมั่นใจในการจีบแถมยังอยากหาของขวัญดีๆให้เสียอีก

ถ้าไม่ติดว่าหมอนี่นับถือเขาเป็นพี่จริงๆนี่ให้ตายเขาก็ไม่ช่วยให้เสียเวลาหรอกนะ ถ้าเป็นเขาล่ะก็คงจะทำของทำมือให้แค่นั้นก็พอละ


“พี่สาม ถ้าพี่ไปงานเลี้ยงของเธอกับผมได้นี่ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ยังไงซะพรุ่งนี้ผมก็ต้องไปเอาของที่พี่อยู่แล้ว เอาเป็นพี่ก็ไปงานเลี้ยงวันเกิดของเธอเป็นเพื่อนผมหน่อยก็แล้วกัน”

“เดี๋ยวนะ นายจะให้ฉันไปงานเลี้ยงของเธอทำไมล่ะนั่น”

“น่าๆไปกับผมหน่อยก็แล้วกัน ผมเองก็ไม่ได้อยากไปนักหรอก แต่ว่าคู่แข่งของผมนี่สิมีเพื่อนของเธอคอยยุส่งอยู่ หากผมไม่ไปร่วมงานแน่นอนว่าต้องเสียโอกาสทำคะแนนไปเปล่าๆเลย

อีกอย่างพี่ใหญ่กับพี่รองไม่อยู่ที่เมืองจงหยุน ตอนนี้ผมก็มีแต่พี่นี่แหล่ะ เธอเองก็จบจากมหาวิทยาลับเทียนหยางเหมือนพวกเราด้วยนา และในงานนี้ก็มีเพื่อนเก่าบางคนของเราไปร่วมงานด้วย พี่ก็คิดซะว่าเป็นงานเลี้ยงรุ่นก็ได้”

“ห้ะ นางแบบ…เพื่อนเก่า… เพื่อนเก่าของเรามีคนเป็นนางแบบด้วยเรอะ” เมื่อซูจิ้งได้ยินก็นิ่งเงียบไปในทันที เขาพยายามนึกว่าเป็นใครแต่ก็นึกไม่ออก


“ช่ายยยย เธอเองเรียนอยู่รุ่นหลังเราปีนึง แต่ตอนเรียนเธอไม่ได้พักอยู่ที่หอพักก็เลยไม่ได้เจอกันน่ะ พ่อของเธอมีชื่อว่าหลูฉิงหมิง เขานั้นเป็นหมอชื่อดังและถือได้ว่าเป็นปรมาจารย์ในวงการแพทย์ของเมืองจงหยุนเลยนะ ผมไม่รู้ว่าพี่จะเคยได้ยินรึเปล่า”

“อืมมมม ไม่เคยได้ยินชื่อแหะ” ซูจิ้งตอบกลับไป แต่หลังจากได้ยินเกี่ยวกับชื่อหมอแล้วซูจิ้งนึกอะไรได้บางอย่างในทันที

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ว่าแต่พ่อของเธอที่ชื่อหลูฉิงหมิงนี่จะไปงานรึเปล่า”

“ก็น่าจะไปนะ เขารักลูกยังกับเด็กน้อยแน่ะ เล่นซะผมเห็นแล้วอยากจะถะนุถนอมตามไปด้วยเลย” เสี่ยวรุยพูดออกมา


“โอ้…งั้นเอาเป็นฉันจะไปร่วมงานเลี้ยงกับนายวันพรุ่งนี้ด้วยก็แล้วกัน” ซูจิ้งตกปากรับคำในทันทีโดยไม่ได้คิดอะไรมากอีกต่อไป

หลังจากวางสาย เขาได้หยิบตำราการรักษาโรคทั่วไปที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯออกมา ก่อนที่จะจ้องมองพลางนึกอะไรบางอย่างอย่างหนัก


ในช่วงสองวันที่ผ่านมาเขาได้ศึกษาตำรานี้อย่างถี่ถ้วน แถมเขายังอ่านตำราแพทย์ของโลกเพิ่มเติมอีกด้วย ต้องขอบคุณทักษะในการอ่าน จำ และเข้าใจของเขาทำให้เขานั้นศึกษาตำราต่างๆได้ดีกว่าคนทั่วไปได้ไกลมากนัก

และเขานั้นแทบจะไม่เคยรีบเรียนรู้เนื้อหาเลย ต่อให้เขาจะคิดว่ามันไม่จำเป็นก็ตาม

หลังจากใช้เวลาศึกษาไปกว่าสองวัน ในตอนนี้เขาก็มีความรู้เกี่ยวกับตัวยาไม่ได้ด้อยไปกว่าแพทย์ที่จบป.ตรีในสาขาการรักษาโรคทั่วไปแม้แต่น้อย


ถึงแม้เขาจะเข้าใจในตำราการรักษาโรคทั่วไปนี่ได้อย่างดีแล้วแต่ยังไงซะเขาไม่ใช่มืออาชีพเรื่องการรักษา เขาเองก็กลัวว่าการแพทย์ในห้วงเวลาฯที่ตำรานี้จากมาจะไม่สามารถนำมาใช้บนโลกได้อยู่ดี

ตอนนี้เขาก็หวังเพียงแค่ว่าจะมีหมอดีๆสักคนที่อ่านตำรานี้รู้เรื่องและพร้อมที่จะทำการศึกษาตำรานี้ไปพร้อมกับเขา เพื่อว่าดีไม่ดีอาจจะได้กำไรมาอย่างคาดไม่ถึงเลยก็ได้ สิ่งเรื่องนี้มีแต่ได้กับได้เท่านั้นเอง


“วิธีการรักษาที่ฉันได้เรียนรู้กับตำรานี้น่าจะพอที่จะทำให้ฉันคุยกับคนอื่นเขาเรื่องเรื่องมั่งล่ะนะ ต่อให้เรื่องนี้จะเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยต่อสาธารณะชนอยู่บ้าง

แต่ยังไงซะดูๆไปแล้วก็น่าจะได้มากกว่าเก็บไว้เฉยๆอยู่ดี แต่….อืม…ส่วนวิธีการทำยานี่ยังไงก็เปิดเผยให้ใครรู้ไม่ได้แหะ”

ซูจิ้งคิดอู่พักใหญ่ก่อนที่จะตัดสินใจคัดลอกตำรานี้ก่อนที่จะเอาไปคุยกับคนอื่นเขาได้ ด้วยการที่ข้อมูลในตำรานี้ล้ำค่ามาก ไม่มีทางที่เขาจะนำไปเผยแพร่ให้คนอื่นเห็นได้อย่างแน่นอน

“ว่าแต่ ฉันควรจะเอาส่วนไหนไปคุยกับคนอื่นดีหล่ะ แถมฉันเองก็ไม่สามารถใช้ลายมือตัวเองเขียนตำรานี้ได้อีกด้วยย เพราะคงไม่มีใครเชื่อแน่นอนอยู่แล้วว่านี่จะเป็นตำราแพทย์สมัยโบราณจริงๆ


เอาจริงๆต่อให้เชื่อฉันแต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่สนตำราแพทย์โบราณกันอยู่แล้วล่ะนะไม่ว่าจะบอกว่ามันเป็นตำราแพทย์โบราณที่ลองใช้แล้วรักษาโรคได้ชะงักงันก็ตาม

ดีไม่ดีพอรู้ว่าเป็นของโบราณจะโดนเอาไปขายเสียมากกว่า” ซูจิ้งพูดออกมาพลางนึกไปถึงตำราแพทย์แผนจีนสมัยโบราณเล่มต่างๆที่เขารู้จักอย่าง ตำรารักษาภายนอกของฮวงตี้ ตำราการรักษาภายในของฮวงตี้ ตำราบำรุงร่างกาย และตำราอื่นๆ ที่ไม่ได้มีคนใส่ใจจะศึกษามากมายนัก


ความจริงตำราแพทย์ที่สาบสูญไปอย่างตำรารักษารักษาโรคของฮวงตี้และตำราบำรุงร่างกายที่ว่า หากมีใครสักคนหาตำราฉบับเต็มของทั้งสองตำรานี้ได้ล่ะก็ แน่นอนว่าต้องทำให้คนทั้งประเทศต้องประหลาดใจกันไปหมดอย่างแน่นอน

ตำราแพทย์แผนจีนสมันโบราณแบบนี้ ต่อให้ไม่ได้รับความนิยมเท่ากับตำราสมุนไพรจีนของหลี่ซือเซินและ

ตำราสมุนไพรของเชิงหนงก็ตาม แต่อย่างน้อยๆก็คงจะดึงดูดความสนใจได้บ้างไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน

“……ไหนๆจะทำของปลอมแล้วก็ปลอมให้มันสุดๆไปเลยก็แล้วกัน หึหึหึ” ซูจิ้งคิดได้ดังนั้นเขาก็ไม่รอช้าได้รีบทำการปลอมเนื้อหาในส่วนที่เขาพอที่จะยอมเผยแพร่ในทันที

หลังจากนั้นเขาก็ได้ใช้หัวกระโหลกกาลเวลาทำการเร่งอายุของหนังสือนี้ให้อยู่ในช่วงเดียวกับตำนานที่ได้เล่าลือกัน


GGS:บทที่ 961 ของขวัญ


ในช่วงเย็นวันถัดมา เสี่ยวรุยได้มาที่บ้านของซูจิ้งตามนัด หลังจากได้นั้นเขาก็ได้พาซูจิ้งไปยัง KTV ห้องคาราโอเกะกลางเมืองจงหยุน

เมื่อพวกเขาไปถึงก็พบว่าได้มีคนอยู่ในงานแล้วหลายคน เมื่อทุกคนได้เห็นซูจิ้งพวกเขาก็ทำได้เพียงจ้องกันตาค้างไปเป็นแถบ นั่นก็เป็นเพราะว่าไม่มีใครคาดคิดว่าซูจิ้งจะมางานนี้ด้วย

เมื่อหญิงสาวร่างสูงเพรียวคนหนึ่งได้เห็นซูจิ้งก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง เมื่อเธอคืนสติก็ได้รีบเดินมาเพื่อต้อนรับในทันที นี่ทำให้สาวๆที่ร่างสูงพอๆกับเธออีกหลายคนได้เดินตามมาติดๆ ถึงแม้ว่าเธอจะเดินมาต้อนรับอย่างไว แต่เธอเองก็เดินมาด้วยความสง่างาม


“พี่สาม ให้ผมแนะนำให้พี่ได้รู้จัดก่อนแล้วกัน นี่คือลูลู่ เจ้าของงานวันเกิดในวันนี้” เสี่ยวรุยได้ผายมือไปยังหญิงสาวร่างสูงและหน้าสวยสง่าคนหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็หันไปหญิงสาวคนนี้พร้อมพูดว่า “ลู่น้อย นี่คือเพื่อนร่วมหอของฉัน…”

“ฮิฮิ นายไม่ต้องแนะนำตัวเขาหรอกน่า จะมีใครที่ไม่รู้จักซูจิ้งกัน หรือจะให้เรียกว่าท่านเทพซูดีล่ะ” ลูลู่พูดออกมาพลางหัวเราะต่อกระซิก

“สวัสดีค่ะท่านเทพซู” สาวน้อยทั้งหลายที่น่าจะเป็นเพื่อนของลูลู่ได้ทักทายซูจิ้ง บางคนถึงกับตื่นเต้นและหน้าแดงกันหลายคนทีเดียว


พวกเธอนั้นไม่เพียงจะรู้จักซูจิ้งแต่ยังบูชาเขาไว้บนหิ้งได้เลย จนในตอนนี้ ซูจิ้งมีแฟนคลับเป็นหญิงสาวมากเกินกว่าครึ่งของแฟนคลับของเขาทั้งหมด

บ้างก็หลงใหลเขาเพราะความสามารถด้านกู่จิ้ง บ้างก็หลังใหลในฝีมือการทำอาหาร บ้างก็หลังใหลเพราะฝีมือการเลี้ยงสัตว์และบรรดาสัตว์เลี้ยงของเขา และหลายๆคนก็หลงใหลในฝีมือวาดรูปของเขา

ด้วยความสามารถที่มากมายหลายแขนงเหล่านี้ แน่นอนว่าย่อมไม่แปลกที่เขาจะเดินไปไหนก็เจอแฟนคลับอยู่เกล่อไปหมด แม้แต่ที่นี่ก็ตาม


“สวัสดี” ซูจิ้งพูดออกมาเพียงคำสั้นๆและพร้อมรอยยิ้มละไม เพียงเท่านี้ก็ทำให้สาวๆกว่าครึ่งถึงกับตื่นเต้นวืดว้ายและเป็นลมล้มพับไปเลยทีเดียว พวกเธอในตอนนี้ต่างก็อยากจะขอลายเซ็นซูจิ้ง หากไม่ได้อย่างน้อยๆก็ขอถ่ายรูปหมู่ก็ยังดี คงมีเพียงลูลู่เท่านั้นที่มีท่าทีสงบกว่าใคร แต่ภายในเธอนั้นมีความสุขแบบสุดๆที่เขามาที่นี่


เสี่ยวรุยที่เห็นสาวๆรุมล้อมซูจิ้งในตอนนี้ถึงกับอิจฉา ริษยา และอยากจะเกลียดพี่ชายนอกเลือดของเขาคนนี้เสียจริงๆ นี่ก็ไม่แปลกเพราะตัวเขานั้นยังไม่เคยสัมผัสความรู้สึกแบบนี้มาก่อนในชีวิต

จนในตอนนี้รู้สึกเสียใจจริงๆที่ขอให้ซูจิ้งมาเป็นเพื่อนเขา เขาลืมไปว่าพี่ชายนอกเลือดของเขาคนนี้มีชื่อเสียงแบบสุดๆ จนในตอนนี้เหมือนความโด่งดังของซูจิ้ง จะกลบความเด่นของเขาไปเรียบร้อยแล้ว


“ท่านเทพซู ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” สาวที่ดูเฉลียวฉลาดคนหนึ่งได้เดินแทรกฝ่าวงล้อมเพื่อนขึ้นมายืนข้างๆกับลูลู่ ตัวเธอนั้นใส่ชุดเดรสสีดำ เธอทักออกมาด้วยรอยยิ้มเย็นเฉียบบ่งบอกว่าเธอนั้นไม่ได้หลงใหลในตัวซูจิ้งแม้แต่น้อย สายตาของเธอทีจ้องมองซูจิ้งนั้นเหมือนกับกำลังมองสัตว์อสูรโบราณก็ว่าได้

“โอ้ มู่ติง ไม่คิดเลยว่าเธอจะอยู่ที่นี่เหมือนกัน เธอนี่ทำให้ฉันนึกละอายใจจนไม่ยากจะทักเลยจริงๆ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยเสียงกระจ่างชัดแม้จะมีเสียงเพลงเปิดอยู่ดังลั่นก็ตาม

เขาเองก็ประหลาดใจจริงๆที่เจอมู่ติงที่นี่ เธอเป็นเพื่อนที่ดีของหวังหยานแน่นอนว่าเขานั้นพบเจออยู่บ่อยครั้ง เอาจริงเขาก็เจอเธอบ่อยๆตั้งแต่ตอนอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว

ตอนที่พบหวังหยานนั้นเป็นครั้งแรก เธอก็อยู่กับหวังหยานอยู่แล้ว และทุกครั้งที่หวังหยานไปกับเขา เธอก็จะตามไปด้วยเช่นเดียวกัน

หลังจากจบมหาวิทยาลัยมา เขาเคยเจอเธออยู่หนหนึ่งตอนที่แข่งเทพเจ้าโรงครัวรอบสุดท้าย หลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยเจอกับเธออีกเลยเป็นการส่วนตัว


มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เกือบจะเจอกันก็ตอนที่เขานั้นไปซัดหน้าคิมูระคนที่เป็นปรมาจารย์คาราเต้ เธอกับหวังหยานเองก็ไปด้วยเช่นเดียวกันเพียงแต่รอดูผลการปะลองอยู่ในรถที่หน้าหอประลองทำให้ไม่ได้เจอกัน ไม่คิดเลยว่าอยู่จะได้มาเจอกันแบบนี้


“ลู่น้อยเป็นรุ่นน้องของฉันน่ะ ไม่แปลกหรอกที่ฉันจะมางานวันเกิดของเธอ ฉันต่างหากที่ไม่คิดว่านายจะมาที่นี่ด้วย โลกนี่มันแคบจริงๆ” มู่ติงเองก็พูดตอบซูจิ้งอย่างชัดถ้อยชัดคำเช่นเดียวกัน

“ฉันมากับเสี่ยวรุยนะ อืมมมม โลกนี้ช่างแคบจริงๆนั่นแหล่ะ” ความจริงซูจิ้งก็อยากจะพูดอะไรออกมาอีกซะหน่อย ต่อพอนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างมู่ติงกับหวังหยานแล้ว ทำให้เขาเองก็รู้สึกอึดอัดที่จะพูดคุยกับมู่ติงเลยไม่คุยอะไรต่อ


ลูลู่นั้นเคยได้ยินเรื่องราวระหว่างซูจิ้งกับหวังหยานมานานแล้ว และก็รู้ดีว่าหวังหยานและมู่ติงเป็นอย่างดี นี่จึงไม่แปลกที่ซูจิ้งและมู่ติงจะรู้จักกัน เธอรู้แม้แต่เรื่องเหตุผลที่ทั้งสามต้องปั้นปึ่งใส่กันแบบนี้แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา


ด้วยการนำของสาวๆ ซูจิ้งและเสี่ยวรุยได้เดินไปยังที่นั่งที่หนึ่งของงาน หลังจากที่ซูจิ้งและเสี่ยวรุยได้นั่งลง สาวๆต่างก็แย่งกันนั่งลงข้างซูจิ้งจนวุ่นกันไปหมด ฉากนี้ทำให้ชายหนุ่มหลายๆคนต่างก็อิจฉาจนเกลียดซูจิ้งกันไปในทันที

อีกด้านหนึ่งในงานได้มีมุมที่มีแต่หนุ่มนั่งอยู่ในงาน ที่นั่นมีชายหนุ่มหล่อคนหนึ่งจ้องมองมายังซูจิ้งและเสี่ยวรุยอย่างกินเลือดกินเนิ้อก่อนจะพึมพำออกมาว่า “ไอ้จิ้งจอกตัวนี้ ทำอีท่าไหนมันถึงจำแลงกายเป็นเสือได้กินวะ”

ชายหนุ่มบางคนที่นั่งอยู่ข้างๆหนุ่มหล่อคนนี้เองก็ได้พูดออกมาว่า “ไม่คิดว่าเสี่ยวรุยจะเรียกซูจิ้งมาที่นี่เหมือนกัน”

“ดูเหมือนว่าเสี่ยวรุยกับซูจิ้งจะมีสัมพันธ์อันดีล่ะนะ”

“ที่เสี่ยวรุยมันสูงแบบไม่น่าเชื่อมาจนถึงขนาดนี้ได้เห็นมันบอกว่าซูจิ้งช่วยเหลือมันนะ”

“ตอนนี้พิพิธภัณฑ์ของหมอนั่นร้อนแรงเป็นพายุเพลิงเลยนะ นอกจากจะสร้างความตื่นตะลึงให้คนทั้งโลกแล้วที่นั่นมีผู้เชี่ยวชาญต่างชาติหลายคนเลยที่เข้ามาติดต่อเกี่ยวกับสมบัติในนั้น แต่ซูจิ้งไม่ได้สนใจ เรื่องพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อหมอนี่มาที่นี่แล้วทำไมเรามาหาเรื่องสนุกๆทำซะหน่อยล่ะ

“ในเมื่อซูจิ้งหนุนหลังเสี่ยวรุย ถ้างั้นเราเล่นงานหมอนี่เอาไหมล่ะ”

เอาจริงๆทุกคนในคนกลุ่มนี้ล้วนแล้วแต่เกรงกลัวซูจิ้งกันไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินหรืออำนาจซูจิ้งเหนือกว่าพวกเขาในทุกๆด้านเลยก็ว่าได้

การมางานเลี้ยงของซูจิ้งในที่นี้นั้นสร้างแรงกดดันให้พวกเขาอย่างมาก และในเมื่อพวกเขานั้นเลือกที่จะหนุนหลังหนุ่มหล่อคนนี้ให้จีบสาวแข่งกับเสี่ยวรุย แน่นอนว่าพวกเขาต้องแข่งกับเสี่ยวรุยไปโดยปริยาย แต่ยังไงพวกเขาก็ไม่อยากจะหาเรื่องซูจิ้งอยู่ดี


“ของอย่างนี้ไม่ลองก็ไม่รู้น่า ซูจิ้งก็คือซูจิ้ง เสี่ยวรุยก็คือเสี่ยวรุย ถึงแม้เราจะไปก่อกวนสองคนนี้ไม่ได้ แต่กับเรื่องของลูลู่นี่ก็อีกเรื่องนึง ใครจะจีบเธอได้มันก็อยู่ที่ความสามารถส่วนตัวของคนๆนั้น ต่อให้ซูจิ้งแข็งแกร่งไปก็เท่านั้น” หนุ่มหล่อที่คนกลุ่มนี้หนุนหลังอยู่ได้พูดออกมา

“ช่าย ใช่เลย นี่แหล่ะถูกต้องที่สุดแล้ว” คนกลุ่มนี้แสดงท่าทีเห็นด้วยในทันที


ทุกคนในที่นี่ยังไปหนุ่มสาวกันอยู่ แน่นอนว่าในงานเลี้ยงวันเกิดแบบนี้พวกเขาก็ต้องจับกลุ่มร้องเพลง เล่นเกม และคุยกันอย่างสนุกสนาน

บรรยากาศในงานตอนนี้มีชีวิตชีวากันไปหมด พอถึงจุดๆหนึ่งก็เริ่มมีคนมอบของขวัญวันเกิดให้กับลูลู่ แต่บางคนก็ไม่ได้เอามาเหมือนกัน เอาจริงๆเจ้าของงานวันเกิดในวันนี้ไม่ได้ใส่ใจเรื่องของขวัญนี่สักเท่าไหร่นัก


เซียงหลงหรือก็คือชายหนุ่มหล่อที่จีบลูลู่แข่งกับเสี่ยวรุยได้เริ่มเคลื่อนไหว เขาได้สั่งให้ใครบางคนไปกดเพลงรักเพลงหนึ่ง ก่อนที่จะร้องเพลงให้กับลูลู่ เมื่อร้องจบ เขาก็ได้มอบของขวัญชิ้นหนึ่ง

ข้างในกล่องนั้นเป็นกล่องที่ดูหรูหรา ข้างในนั้นเป็นสร้อยคอที่สวยงามเส้นหนึ่ง บรรยากาศในตอนนี้ช่างดูหวานหยาดเยิ้มราวกับทั้งคู่เป็นคนรักกันไปแล้ว

“ลู่น้อย ให้ฉันเป็นคนใส่สร้อยเส้นนี้ให้เธอนะ” เซียงหลงพูดจบได้ทำท่าทางเตรียมจะหยิบสร้อยคอออกจากกล่องเพื่อใส่ให้ลูลู่ในทันที

“มันแพงไปนะ ฉันรับไม่ได้หรอก” ลูลู่พูดออกมาในขณะที่ถอยหลังพลางยกมือห้ามเป็นปางห้ามญาติในทันที

“ไม่แพงหรอกน่า ก็แค่ของเล็กๆน้อยๆเอง ฉันอยากให้เธอด้วยใจจริงๆนะ สร้อยเส้นนี้ต้องเหมาะกับคอของเธออย่างแน่นอน อีกอย่างฉันให้เธอไปแล้วฉันไม่คิดจะเอาคืนหรอกนะ” เซียงหลงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


ลูลู่ในตอนนี้รู้สึกอึดอัดใจไปเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นเธอไม่ได้อยากจะรับสร้อยคอเส้นนี้แม้แต่นิดเดียว แต่ด้วยบรรยากาศในงานที่ราวกับว่าถูกจัดฉากไว้แบบนี้ แถมหลายๆคนในงานเองก็สนับสนุนเซียงหลงให้จีบเธออยู่แล้วอีก หากเธอยืนยันที่จะปฏิเสธรับของ เซียงหลงเองคงเจ็บใจไม่น้อยเลยทีเดียว


ในตอนนี้เอง เสี่ยวรุยได้ยืนขึ้นมาแล้วพูดออกมาว่า “โห่ เซียงหลง นี่นายจะกินนิ่มโดยไม่คิดจะแข่งกันเลยสินะ ในเมื่อลู่น้อยไม่ต้องการมัน นายก็ควรจะเอากลับไปซะ นี่นายไม่เห็นรึไงว่าราคาของของนี่ทำให้ลู่น้อยอึดอัดแล้วน่ะ อย่างนี้ไม่ต่างจากการกดดันลู่น้อยเลยสักนิด เป็นลูกผู้ชายรึเปล่าเนี่ย”

เมื่อพูดดังนั้นออกมา เสี่ยวรุยก็จัดชุดและท่าทางก่อนที่จะหันไปหาลูลู่และพูดออกมาว่า

“ลู่น้อย ฉันเองก็เตรียมของขวัญมาให้เธอเหมือนกันนะ ดูสิว่าเธอจะชอบรึเปล่า”

เซียงหลงขมวดคิ้วในทันทีพลางจ้องเสี่ยวรุยราวกับจะกินเลือดกินเนื้อให้ได้ ทุกคนในตอนนี้รู้ในทันทีแล้วว่าดินปืนได้ถูกบรรจุจนเต็มกระบอกปืนแล้ว ที่เหลือก็แค่รอเชื้อไฟมาจุดชนวนเพื่อให้เรื่องสนุกๆสำหรับพวกเขาได้เริ่มขึ้นมาก็เท่านั้น

ลูลู่เองที่กำลังหาวิธีเปลี่ยนหัวข้อคุยกับเสี่ยวรุยอยู่แล้ว เธอได้หันเหความสนใจไปที่เสี่ยวรุยในทันที เสี่ยวรุยเองที่เห็นดังนั้นก็ได้ยิ้มละไปรับออกมา

“พี่รุย ฉันนึกว่าพี่ลืมของขวัญให้ฉันแล้วนะเนี่ย”

“ฉันจะไปลืมของขวัญให้เธอได้ยังไงกันล่ะ” เสี่ยวรุยพูดออกมาด้วยรอยยิ้มที่มากกว่าเดิม เขาได้นำกล่องเล็กๆกล่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋าและมอบมันเอาไว้ในมือลูลู่ชนิดที่ส่งจากมือสู่มืออย่างสนิทชิดใกล้

ลูลู่เองเมื่อได้กล่องมาอยู่ในมือแล้วก็ได้จ้องกล่องในมือด้วยตาที่กลมโตขึ้นมาในทันที

“พระเจ้า เป็นไปไม่ได้” มู่ติงและสาวๆคนอื่นเองที่เห็นกล่องก็มีตาที่เปล่งประกายในทันที ราวกับได้เห็นของมีค่าจนทำให้เลือดลมสูบฉีดเลยทีเดียว


GGS:บทที่ 962 เก็บซ่อนไม่ได้


ลูลู่ มู่ติง และสาวๆเองเมื่อได้เห็นกล่องต่างก็ตื่นเต้นจนจ้องกันด้วยสายตาอันลุกวาว แค่มองดูก็รู้ว่าสาวๆในตอนนี้ต่างก็ตื่นเต้นกันไปหมด

ตื่นเต้นออกนอกหน้าจนเซียงหลงที่เห็นของในกล่องแล้ว มองซ้ายมองขวาก็แล้วยังดูไม่ออกว่ามันมีอะไรน่าตื่นเต้นตรงไหน

มีสาวคนหนึ่งได้หยิบกล่องของขวัญที่อยู่ในมือของลูลู่ก่อนที่จะพลิกแผลงตะแคงหงายกล่องดูราวกับกำลังดูของโบราณล้ำค่าก่อนจะพูดออกมาว่า


“พระเจ้า นี่มันผงเสริมความงามของบริษัทซือหยาจริงๆด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นกับตาตัวเองเลยนะ”

มีสาวอีกคนหนึ่งได้นำโทรศัพท์ออกมาก่อนที่จะทำการแสกนโค้ดที่ติดไว้ข้างกล่องในทันที หลังจากที่กดนู่นนี่ในโทรศัพท์อยู่พักหนึ่ง อยู่ๆเธอก็ได้พูดออกมาว่า “ของจริงด้วยอ่ะ”

มู่ติงหันหัวของเธอไปยังซูจิ้งแล้วทำการจ้องมองพักใหญ่ก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ของปลอมก็แปลกแล้วล่ะ”

กับของชิ้นนี้หากคนอื่นนำมามอบให้แน่นอนว่าอาจมีปลอมได้บ้าง แต่ในเมื่อเจ้าของบริษัทมาพร้อมเสี่ยวรุยแบบนี้ล่ะก็ ไม่มีทางที่เขาจะยอมให้เพื่อนของเขาต้องขายหน้าอย่างแน่นอน


อีกอย่าง ของชิ้นนี้นั้นหาได้ยากยิ่งนักสำหรับคนทั่วไปเพราะไม่ได้ผลิตขาย แต่กับซูจิ้งนั้นมีพร้อมอยู่ในกระเป๋าทุกเมื่ออยู่แล้ว

“ผงเสริมความงามที่ไม่ได้เอาไว้ขาย?” เซียงหลงและคนอื่นๆในกลุ่มของเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะจ้องไปยังผงเสริมความงามกล่องนึ้

สำหรับพวกเขาแล้ว ผงเสริมความงามแบบนี้มันเป็นของใช้ของผู้หญิง แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่เคยใช้

แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ได้ยินเรื่องเล่าของผงเสริมความงามนี้มาอยู่บ้างว่าผงเสริมความงามนี้ขายดีแบบเทน้ำเทท่าชนิดที่ผลิดออกมาขายไม่ทัน

ไม่เพียงแค่ดาราในประเทศเท่านั้นที่ชอบใช้ผงเสริมความงามนี้ ดาราต่างประเทศก็นิยมใช้ไม่น้อยไปกว่ากัน จนตอนนี้แบรนด์ของซือหยานั้นได้ก้าวไกลไปในระดับโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพวกเธอยังกระหน่ำโหมให้ชื่อของบริษัทเธออยู่ในโฆษณาอยู่บ่อยครั้ง


เครื่องสำอางของซือหยาในตอนนี้เปรียบได้ดั่งสินค้ายี่ห้อสุพรีมที่ล่ำลือกัน สินค้าของสุพรีมนั้นไม่ได้มีไว้ขาย หากแต่มีไว้เพื่อเจาะกลุ่มการตลาดหรือไม่ก็โฆษณาสินค้าอื่นต่ออีกทีหนึ่ง

พวกเขานั้นจะใช้วิธีการผลิตออกมาเพื่อขายในจำนวนน้อย หลังจากนั้นใช้วิธีการขายด้วยวิธีประมูลแทน และกล่องที่อยู่ตรงหน้าทุกคนที่อยู่ในงานในตอนนี้นั้นเป็นกล่องเครื่องสำอางที่มีราคาสูงสุดเคยขึ้นไปหยุดอยู่ที่สามแสน และแน่นอนว่าด้วยการที่กล่องผงเสริมความงามนี้ไม่ได้มีขายทั่วไป การจะได้มาสักกล่องหนึ่งถือได้ว่ายากเย็นแสนเข็ญนัก

คนที่อยู่นอกวงการนั้นย่อมไม่รู้ว่าสิ่งนี้เปรียบได้ดั่งของยี่ห้อสุพรีมที่ไม่ได้มีขายอีกต่อไป แน่นอนว่าสำหรับซูจิ้งแล้วผงเสริมความงามของบริษัทซือหยาไม่ได้หายากเย็นอะไรเลย

นั่นก็เพราะว่าของชิ้นนี้คือของที่ซูจิ้งทำขึ้นมาเองและแน่นอนว่าเขาได้คัดสรรสมุนไพรที่ใช้ในการทำอย่างดี แม้แต่บรรจุภัณฑ์เองเขาก็สั่งไว้สำหรับงานนี้เป็นพิเศษ

แน่นอนว่าสาวๆหลายๆคนไม่เคยรู้เรื่องนี้ พวกเธอรู้เพียงแต่ว่าผงเสริมความงามเม่ยหยานของบริษัทซือหยานั้นคือสุดยอดของผลิตภัณฑ์เสริมความงาม

และเซ็ตนี้คือผลิตภัณฑ์ที่มีผลดีกว่าผลิตภัณฑ์เสริมความงามรุ่นทั่วไปที่บริษัทวางขาย เซ็ตผงเสริมความงามนี้สำหรับสาวๆแล้วเปรียบได้ดั่งสมบัติในตำนานที่พวกเธอทำได้เพียงแค่ใฝ่ฝันถึงเท่านั้น


ทันทีที่เซียงหลงได้เห็นของขวัญชิ้นนี้ เขารู้ในทันทีว่าตัวเขานั้นได้แพ้อย่างสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว

อย่างแรกหากมองในเรื่องของมูลค่านั้นของขวัญที่เสี่ยวรุยนำมานั้นแทบจะประเมินค่าไม่ได้เพราะว่าต่อให้มีเงินมันก็ไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป

เทียบกับสร้อยของเขานั้นถือได้ว่าเซ็ตผงเสริมความงามนี้มาค่ากว่ามาก เพราะก่อนหน้านี้ที่มีการขายออกมา 30 ล้านชุดนั้นได้หมดอย่างไว และก็ไม่มีท่าทีว่าจะทำขายอีก

มีหลายๆคนที่เสนอราคาซื้อกว่าหนึ่งล้านหยวนต่อให้มีการใช้ไปแล้วก็ตามแต่ก็ไม่มีใครคิดจะขายเลยแม้แต่น้อย นี่แสดงให้เห็นว่าเซ็ตผงเสริมความงามนี้มีค่าแค่ไหน

อย่างที่สอง เขาเองก็ได้สังเกตุเห็นท่าทางของลูลู่เหมือนกันในตอนที่เขานั้นมอบสร้อยคอของเขาให้ เมื่อเทียบกับท่าทีของลูลู่ที่เพียงแรกเห็นเซ็ตผงเสริมความงามนี้มันช่างต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ตาของเธอจับจ้องที่เซ็ตของขวัญนี้ชนิดไม่วางตาแม้แต่ตอนที่เพื่อนของเธอหยิบไปเล่นราวกับว่ากลัวจนโดนเพื่อนของเธอจกไปใช้หรือทำหล่น

ต่อให้มันแพงขนาดไหนแต่ดูท่าทีแล้วยังไงเธอก็ต้องรับมันมาใช้อย่างแน่นอน


“พี่รุย ผงเสริมความงามนี้หาซื้อไม่ได้แล้วนะ พี่จะให้ฉันจริงๆเหรอ” ลูลู่เองนั้นอยากจะเก็บเซ็ตผงเสริมความงามนี้เก็บไปโดยเร็ว แต่เธอเองก็อดวางท่าไม่ได้อยู่ดีจึงถามออกมา

ตอนที่ถามเธอก็ได้มองไปที่ซูจิ้งไปด้วยเพราะเธอรู้ดีว่าของชิ้นนี้เสี่ยวรุยเอามาจากใคร ซูจิ้งนั้นก็หาได้สนใจไม่เพียงสนใจกับเครื่องดื่มที่อยู่ตรงหน้าราวกับขี้เกียจวุ่นวาย หากเธอไม่รับไว้ก็ดีเขาจะได้เอาคืนมา

“แน่นอนสิคะคนดี” เสี่ยวรุยพูดออกมาพลางพยักหน้าเสริมความตั้งใจของเขา

“แต่มันล้ำค่ามากนะ” ลูลู่เองยังคงไว้ท่าอีกเล็กน้อย แต่ใจเธอตอนนี้บอกกับตัวเองไว้ว่าต่อให้เสี่ยวรุยจะขอคืนเธอก็ไม่ยืมคืนให้เป็นแน่

เพราะเธอเองก็ทุ่มเงินไปมหาศาลเพื่อควานหาต่อก็ยังไม่ได้มาเลยสักชิ้น การที่อยู่ๆของที่เธออยากได้ที่สุดมาอยู่ในเงื้อมมือแบบนี้ราวกับความฝันของเธอเป็นจริงเลยทีเดียว

“ลู่น้อย รับไว้เถอะน่า” สาวๆหลายๆคนในงานในตอนนี้พยายามยุยงลูลู่อย่างเต็มที่ พวกเธอนั้นเป็นเพื่อนในวงการนางแบบไม่ก็เพื่อนร่วมบริษัทของเธอทั้งนั้น


ในกลุ่มของพวกเธอมีเพียงคนเดียวที่ได้มีโอกาสได้ผงเสริมความงามของซือหยามา ด้วยการที่ผงนี้ใช้ง่ายมากๆและดูดีได้ตั้งแต่แรกเห็นจนมีคนทักในทันที

นี่ทำให้ทุกคนในกลุ่มเพื่อนของเธอนั้นหลงรักผงเสริมความงามนี้กันไปเลย และทุกคนต่างก็ได้มีโอกาสใช้กันไปอย่างน้อยๆก็คนละครั้ง

ด้วยการที่ผงเสริมความงามนี้ใช้แนวคิดเดียวกับผลิตภัณฑ์ของสุพรีมทำให้พวกเธอไม่มีโอกาสได้ซื้อมันมาครอบครองอีก การได้มันมาไว้อย่างนี้ราวกับความฝันไป

การที่เพื่อนของพวกเธอได้มาอยู่ในมือแบบนี้แล้วมีท่าทีจะปล่อยให้หลุดมือไป ถ้าเสี่ยวรุยดันจะเอากลับไปจริงๆล่ะก็ พวกเธอพร้อมจะสู้ตายถวายชีวิตในทันทีเพื่อให้ได้มันมาครองแทน

“ลู่น้อย ความจริงแล้วราคาของเซ็ตผงเสริมความงามนี้ไม่ได้แพงอะไรเลยนะ เพียงแค่มันนั้นไม่ได้ทำมาขายบ่อยก็เท่านั้นเอง ด้วยการที่ในตลาดมีพวกมันเพียงน้อยนิดทำให้ราคาสูงเกินจริงไปก็เท่านั้น

พี่เองก็หาซื้ออยู่พักใหญ่แต่หาไม่ได้ก็เลยทำได้เพียงขอให้พี่สามของพี่หามาให้ก็เท่านั้นเอง หากลู่น้อยไม่ต้องการจริงๆพี่ก็คงมีแต่ต้องให้คนอื่นแล้วล่ะ” เสี่ยวรุยในตอนนี้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงราวกับเริ่มตัดใจจริงๆ

“ห้ะ ถ้าน้องไม่ได้ไปแล้วพี่จะเอาไปให้สาวที่ไหนกัน” ลูลู่ถามออกมาอย่างสงสัยในทันที

“ฮ่าฮ่า หากลู่น้อยไม่รับไปพี่ก็คงนำไปให้แม่ของพี่ล่ะนะ” เสี่ยวรุยที่เห็นท่าทีของลูลู่ก็แสดงความดีใจขึ้นมาในทันทีแล้วตอบออกไปอย่างจริงใจพร้อมรอยยิ้มละไม


ลูลู่หัวเราะคิกคักในทันทีที่ได้ยินคำพูดของเสี่ยวรุย เธอเองก็ถึ่งจะรู้ว่าเสี่ยวรุยเป็นคนตลกแบบนี้เหมือนกัน แต่เพียงเท่านี้ลูลู่ก็ประทับใจในนิสัยของเสี่ยวรุยไปเรียบร้อยแล้ว

และนี่ทำให้เธอเลิกเกรงใจเสี่ยวรุยอีกต่อไป เธอได้แย่งเซ็ตผงเสริมของงามกลับมาจากมือเพื่อนของเธอในทันทีก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ขอบคุณค่ะ”

“คุณพี่รุยคะ โคตรลำเอียงเลยอ่ะ ลู่น้อยได้ไปแล้วไม่เห็นมีให้พวกเราบ้างเลย” สาวๆบางคนเริ่มค่อนขอดเพราะความอิจฉาและริษยาที่เห็นลูลู่ได้สมบัติสำหรับพวกเธอไปอย่างง่ายดาย

“นี่มันวันเกิดของลู่น้อยนี่ ไม่ใช่วันเกิดของพวกเธอซะหน่อย” เสี่ยวรุยพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“งั้นก็หมายความว่าหากถึงวันเกิดของพวกเราคุณพี่จะมอบผงเหมยหยานนี้ให้พวกเราใช่ไหม” สาวๆหลายคนก็เริ่มคุยกับเสี่ยวรุยอย่างหัวร่อต่อกระซิก


“ไม่มีทางน่า ฉันมีเซ็ตนี้แต่เซ็ตเดียวเท่านั้นแหล่ะ มีเพียงหนึ่งไม่มีชิ้นที่สอง” เสี่ยวรุยเองก็พูดออกมาอย่างอายๆเล็กน้อย เขาก็รู้ดีว่าสาวๆเหล่านี้คือเพื่อนสนิทของลูลู่

แน่นอนว่าเขาเองก็มีความจำเป็นต้องเอาใจคนพวกนี้อยู่เหมือนกัน เขาจึงเลือกที่จะใช้สายตาตอบคำถามแทนด้วยการขยิบตาให้สาวๆก่อนที่จะพยักหน้าไปทางซูจิ้งในทันที

เขานั้นยอมแก้ปัญหาเรื่องนี้โดยการยอมขายซูจิ้งเลยทีเดียว

เมื่อเห็นดังนั้น สาวๆหลายๆคนก็เข้าใจในทันทีก่อนที่จะรีบไปแย่งกันนั่งข้างซูจิ้งก่อนจะอ้อนซูจิ้งในทันที และด้วยเหตุนี้เองพวกเธอก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะกีดกันเสี่ยวรุยในการจีบลูลู่อีกต่อไป


พวกเธอนั้นก็อยากจะขอเซ็ตผงเสริมความงามชุดพิเศษนี้กับซูจิ้งเหมือนกัน แต่พวกเธอเองก็อายเกินกว่าที่จะถามตรงๆจึงได้แค่ออดอ้อนเรียบเรียงเตียงถามเขาเท่านั้น

แน่นอนว่าซูจิ้งนั้นแสดงท่าทีไม่รู้ไม่เห็นราวกับเขานั้นอยู่คนละโลกกับพวกเธอ ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าพวกเธอพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่


ในระหว่างนี้ เซียงหลงได้เก็บสร้อยคอที่เขานำมากลับไปด้วยอย่างเงียบๆ พร้อมด้วยใบหน้าที่ราวกับบิดงอและรู้สึกอับอายอย่างที่สุด ถึงแม้ของขวัญของเขาจะเป็นที่ยอมรับแต่ตัวเขาก็ไม่ได้คิดว่าเขาพ่ายแพ้ต่อเสี่ยวรุยแต่อย่างใด

เรื่องนี้ทำให้เซียงหลงนั้นขุ่นเคืองใจไม่น้อย เขามีความคิดอยู่เหมือนกันว่าจะหาของขวัญที่ทำให้ลูลู่ดีใจและยอมรับมันไว้โดยไม่อาจปฏิเสธได้แบบนี้แล้วเขาจะได้มีแต้มต่อในการจีบเธอเหมือนกัน

แต่ทันทีที่เขาหันไปมองซูจิ้งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เขาเองก็ได้เห็นซูจิ้งมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมเหมือนกัน นี่ทำให้เซียงหลงตกใจจนขนลุกในทันทีราวกับว่าเขากำลังเป็นสัตว์ตัวน้อยที่ถูกจับจ้องด้วยสัตว์นักล่าเลยก็ว่าได้


นี่ทำให้เซียงหลงพลันนึกขึ้นมาได้ถึงฉายาจ้าวแห่งของขวัญของซูจิ้ง นอกจากจะได้ยินเขาเองก็ยังได้เคยเห็นฉากอันน่ามหัศจรรย์ที่ซูจิ้งได้นำของขวัญของเขามอบให้คนอื่นอยู่หลายหน

โดยเฉพาะในตอนนี้พิพิธภัณฑ์ของซูจิ้งที่เพิ่งเปิดเองก็ล้วนแล้วแต่มีสมบัติล้ำค่าอันประเมินค่าไม่ได้จนทำให้ทั่วทั้งโลกต้องจับตามอง เขาตระหนักได้ทันทีว่าไม่ว่าเขาจะเอาอะไรออกมาแต่เมื่อเทียบกับของขวัญที่ซูจิ้งหามาได้คงไม่ต่างจากของเล่นธรรมดาสามัญเท่านั้น

ต่อให้ไม่คิดถึงเรื่องนั้นเพียงแค่เซ็ตผงเสริมความงามชุดพิเศษที่เสี่ยวรุยเอามานี้ เขากลัวว่าต่อให้เขาไปเหมาเครื่องประดับมาทั้งวงการก็ไม่อาจจะทำให้ลูลู่สนใจเขาได้

ในตอนนี้เขาคงได้แต่อยู่เฉยๆไม่เอาตัวเองไปขวางทางปืนสินะ


เมื่อนานมาแล้วมีใครสักคนสบประมาทไว้ว่าการที่ซูจิ้งไปงานเลี้ยงต่างๆแบบนี้เขาไม่เคยขาดของขวัญที่จะมอบให้เจ้าของงาน และที่เขาทำแบบนั้นเป็นเพราะเขาเองแค่จะโอ้อวดสมบัติที่เขามีไว้ก็เท่านั้น แถมเขายังเคยบอกเองว่าหากเขาไม่มอบอะไรให้เลยก็จะรู้สึกไม่สบายใจที่เข้าไปร่วมงานเลี้ยงเฉยๆ

หากอยู่ๆเขายังคิดจะก่อกวนซูจิ้งล่ะก็ ไม่เพียงจะไม่ได้มอบของขวัญแล้ว เขาอาจต้องหน้าแตกละเอียดยับจากของขวัญที่ซูจิ้งนำมามอบให้ก็เป็นไปได้


เมื่อคิดได้ดังนี้ เซียงหลงก็เลือกที่จะตัดใจเรื่องของขวัญในทันที แต่เขาเองก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้ง่ายๆเช่นเดียวกัน นี่ทำให้เขาตัดสินใจพูดออกมาว่า “ลู่น้อย ในเมื่อเธอไม่รับของขวัญของฉันก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยก็ขอให้ฉันแสดงอะไรบางอย่างให้เธอแทนก็แล้วกัน

ฉันจะแสดงมายากลเล็กน้อยให้เธอชม แต่ด้วยความสามารถอันเล็กน้อยของฉันก็ได้แต่หวังว่าเธอจะสนุกกับมันเท่านั้นล่ะนะ”


GGS:บทที่ 963 มายากล


 


“มายากลอะไรอ่ะ” สาวๆหลายๆคนได้เข้ามาอ้อมล้อมอยู่หน้าเซียงหลงทันทีด้วยความสนใจ


“เฮ้ๆ ไม่ต้องรีบร้อนน่า เดี๋ยวก็ได้เห็นกันเอง คอยดูดีๆก็แล้วกัน” เซียงหลงได้ล้วงเข้าไปในอกเสื้อด้านในก่อนที่จะนำเอาไพ่ออกมาคู่หนึ่งและเริ่มจัดท่าทางของตัวเองก่อนที่จะทำการสับไพ่ในทันที ดูจากท่าทางในการสับไพ่ของเขานั้นดูออกได้เลยว่าตัวเขานั้นฝึกมาพอสมควร ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นมืออาชีพแต่ก็ถือได้ว่าดีกว่าคนธรรมดามากนัก


 


เขาได้เตรียมที่จะแสดงมายากลที่เรียกว่ากลอ่านใจ เมื่อเขาสับไพ่เสร็จเขาได้ขอให้ลูลู่เลือกไพ่ขึ้นมาใบหนึ่ง แล้วเขานั้นทำทีเป็นอ่านใจของลูลู่โดยจะบอกว่าไพ่นี้คือไพ่อะไรโดยไม่ดูไพ่นี้แม้แต่น้อย


เมื่อเสร็จสิ้นการแสดง เขานั้นก็ได้บอกได้ถูกต้องว่าไพ่ที่ลูลู่เลือกไว้คือไพ่อะไรได้อย่างถูกต้อง นี่ทำให้ลูลู่และสาวๆต่างก็ประหลาดใจกันไปหมด


เมื่อเสร็จสิ้นกลอ่านใจแล้ว เซียงหลงยังคนทำการแสดงต่ออีกเล็กน้อยด้วยการเป่าลมใส่ไพ่หัวใจใบหนึ่ง หลังจากนั้นเขาได้ทำการถูกมันราวกับเซียนเกาจิ้งประหนึ่งอยากจะเสกอะไรบางอย่างขึ้นมา


จนในที่สุดแล้วจากลายไพ่รูปหัวใจนั้น อยู่ๆก็ได้กลายเป็นหัวใจดวงน้อยๆขึ้นมาหนึ่งดวง เมื่อมันปรากฎออกมาแล้ว เซียงหลงก็ได้หยิบยื่นหัวใจนี้ให้กับลูลู่ในทันที


ด้วยกลหลอกเด็กนี้ถึงแม้จะไม่ได้มากมายอะไรแต่ก็ดูเหมือนว่าทำให้เซียงหลงได้แต้มในการจีบลูลู่ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าจะมีสาวๆบางคนเท่านั้นที่รู้สึกกรี๊ดกร๊าดไปกับการทำของเซียงหลง


แต่ยังไงซะการเสกหัวใจออกมาจากหัวใจแบบนี้ยังไงซะมันก็ทำให้เกิดความรู้สึกดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสาวรุ่นๆแบบนี้


 


“มันก็แค่การแสดงนิดๆหน่อยๆเอง จะกรี๊ดกร๊าดไปทำไมนัก” เสี่ยวรุยได้แอบบ่นพึมพำออกมาเบาๆในขณะที่จ้องไปการแสดงนี้อย่างดูแคลน แต่เมื่อเห็นท่าทีของลูลู่ที่ดูอายหน่อยๆแล้วเขาก็รู้ได้ทันทีว่าการกระทำของเซียงหลงนี้ไม่ได้เสียเปล่าแม้แต่น้อย


ถึงแม้ลูลู่จะไม่ใช่คนที่หลงใหลไปกับเพียงกลเล็กๆแบบนี้ก็ตาม ต่อด้วยการอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ก็ทำให้เธอเองยากที่จะหลบเลี่ยงไม่ให้หัวใจของเธอถูกขโมยไปได้ง่ายๆเหมือนกัน


“โห่ เสี่ยวรุย นายไม่คิดที่อยากจะเตะตัดขาไอ้หมอนี่หน่อยเหรอ” ซูจิ้งถามออกมาในขณะที่มองไปยังน้องต่างเลือดของเขาที่กำลังนั่งกระสับกระส่ายด้วยเสียงเบาๆ


“ไม่ใช่ว่าผมจะไม่อยากนะ ผมอยากให้ไอ้หมอนี้แค่เห็นหน้าผมก็วิ่งหางจุกตูดไปเลยด้วยซ้ำ แต่ผมจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไงกัน ผมก็แค่นักบิลเลียดไม่ใช่นักมายากลนี่นา แถมที่นี่ไม่มีโต๊ะบิลเลียดให้ผมแสดงความสามารถซะด้วยสิ” เสี่ยวรุยพูดออกมาอย่างหมดอาลัยตายอยาก


 


“ห้ะ นายจะแสดงบิลเลียดทำไมนี่ไม่ได้อยู่ในเวลางานของนายซะหน่อย อีกอย่าง ฉันขอแนะนำนายเอาไว้เลยนะว่าหากจะข่มคนน่ะนะ มันจะไร้ค่าถ้านายไปข่มคนนั้นในเรื่องที่เขาไม่เก่ง


ถ้านายคิดจะข่มจริงๆล่ะก็จะต้องข่มคนด้วยทักษะที่คนคนนั้นคิดว่าดีที่สุดต่างหาก” ซูจิ้งพูดออกาด้วยรอยยิ้ม


“ห้ะ แล้วผมจะไปขิงกับไอ้หมอนี่ได้ยังไงกันล่ะ” เสี่ยวรุยได้หันมาคุยกับซูจิ้งแบบจริงจังในทันทีเมื่อได้ยินน้ำเสียงซูจิ้งเมื่อครู่นี้


 


“ฉันจะสอนมายากลให้นายกลหนึ่ง แน่นอนว่าฉันเชื่อว่านายจะเรียนรู้กลนี้ได้ในทันที ตอนแรกฉันก็ว่าจะเอากลนี้ไว้เล่นให้ชิงชิงดู แต่เห็นแก่ว่านายยังโสดนะเนี่ยฉันเลยจะยอมให้นายไปเล่นก่อนเลย”


ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้างก่อนที่จะค่อยอธิบายกลของเขาด้วยน้ำเสียงเบาๆให้แก่เสี่ยวรุยฟังก่อนที่เขาจะส่งบางสิ่งเข้าไปในมือของเสี่ยวรุยแบบไม่ให้มีใครจับสังเกตได้


เสี่ยวรุยที่ได้ยินกลของซูจิ้งนั้นก็รู้สึกอัศจรรย์ในตัวซูจิ้งทันทีที่ได้ยินพลางคิดไปว่านี่จะไม่ง่ายไปหน่อยรึเปล่า กลแบบนี้น่าจะหลอกไม่ได้แม้แต่เด็กสามขวบด้วยซ้ำ


และเมื่อเสี่ยวรุยเห็นของที่ซูจิ้งส่งมาให้เขาแล้วก็ถึงกลับพูดไม่ออกเลยสักนิด ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกว่าซูจิ้งกำลังหลอกเขาให้ทำอะไรแปลกๆแหงๆ


 


ถึงแม้เสี่ยวรุยถึงแม้จะยังไม่เข้าใจนักแต่เขาก็โดนซูจึ้งผลักให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะถีบส่งออกมาในทันทีที่การแสดงมายากลของเซียงหลงเกือบจะจบลง


และในทันทีที่เซียงหลงจบการแสดงของเขาด้วยความภาคภูมิใจ ทุกคนก็เพิ่งจะสังเกตุเห็นว่าเสี่ยวรุยได้มายืนอยู่ต่อหน้าทุกคนแล้วนี่ทำให้เซียงหลงถึงกับหัวเราะออกมาอย่างน่าเกลียดก่อนจะพูดออกมาว่า “ทำไมนายไม่ลองมาแสดงอะไรให้พวกเราดูสักหน่อยล่ะ”


ที่เซียงหลงพูดออกมาแบบนี้ได้อย่างเต็มปากนั้นเป็นเพราะเขารู้ดีว่าเสี่ยวรุยเป็นศัตรูความรักของเขา และเขายังรู้อีกว่าตัวเสี่ยวรุยนั้นนอกจากทักษะในการเล่นบิลเลียดที่ยอดเยี่ยมแล้ว ตัวเขาไม่ได้มีความสามารถอะไรอย่างอื่นเลยแม้แต่น้อย เขาจึงกล้าท้าทายเสี่ยวรุยต่อหน้าสาธารณะชนแบบนี้อย่างองอาจ


 


“….เฮ้อ ในเมื่อนายท้ามาแบบนี้ฉันก็คงจะอยู่เฉยๆไม่ได้สินะ ฉันเองการมีมายากลเล็กๆน้อยมาแสดงให้ทุกคนดูเหมือนกัน” เสี่ยวรุยพูดออกมาได้ทำการจัดท่าทางของตนเองเพื่อเป็นการสงบจิตใจของตัวเองลง


ถึงแม้ในใจของเขาในตอนนี้จะตื่นเต้นแบบสุดๆก็ตามแต่เขาเองก็ไม่สามารถถอยหลังกลับได้อีกแล้ว พลางนึกถึงกลที่ซูจิ้งอธิบายให้เขาฟังอย่างตั้งอกตั้งใจก่อนหน้านี้ ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่ามันจะออกมาแบบไหนแต่เขาก็เชื่อมั่นในตัวพี่ชายต่างเลือดของเขาคนนี้อยู่ดี จนในที่สุดเขาก็คิดออกมาอีกครั้งว่า เอาวะ ลองดูสักตั้ง


“คุณพี่รุยก็เล่นกลเป็นด้วยเหรอ” สาวน้อยคนหนึ่งจ้องออกมาอย่างสงสัย


“อื้ม แต่ก็ได้แค่อย่างสองอย่างล่ะนะ ฉันเองก็เพิ่งจะเริ่มฝึกเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่ดีมากมายอะไรแต่ในเมื่อโดนท้าทายมาอย่างนี้แล้วก็ทนๆดูกันหน่อยแล้วกันนะ” เสี่ยวรุยพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“ฉันจะรอชมนะ” ลูลู่เองก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มหวานให้กับเสี่ยวรุย แน่นอนว่าเธอเองต้องสนใจอย่างแน่นอนเพราะเธอประทับใจในตัวของเสี่ยวรุยพอสมควรเลยกับเรื่องก่อนหน้านี้


เมื่อได้ยินแบบนั้นพร้อมทั้งเห็นท่าทีของสาวที่ตัวเองชอบนี่ยิ่งทำให้เขานั้นถึงกับหนักใจในทันที พลางคิดในใจว่าเมื่อเป็นแบบนี้นอกจากไม่มีทางให้ถอยแล้วยังพลาดไม่ได้อีกด้วยสินะ ไม่งั้นเขาคงทำให้ลูลู่ต้องผิดหวังแล้ว


 


เซียงหลงที่เห็นท่าทางของลูลู่ที่มีต่อเสี่ยวรุยก็ได้แต่นิ่งไปเล็กน้อย ส่วนคนอื่นๆนั้นได้ทำการกระซิบกระซาบนินทากันในทันที


“ไอ้เด็กนี่เล่นกลได้ด้วยเหรอ ดูเหมือนหมอนี่ตั้งใจแข่งกับพี่เซียงจริงๆสินะ”


“ก็นะ เดี๋ยวนี้กลหลอกเด็กก็มีสอนกันทั่วแล้วนี่นา หากเขาได้เรียนไว้บ้างก็ไม่ได้แปลกอะไร”


“ฉันว่าแม้แต่กลระดับเด็กประถมหมอนี่ก็ทำไม่ได้หรอก เขาออกมาทำให้ตัวเองขายหน้าจริงๆ”


“เอาอย่างนี้ดีกว่า พอเขาแสดงกลจบเราออกไปเฉลยกลของเขากันไหม”


“ก็ดีนะ งั้นเราต้องจับดูเขาดีๆกันดีกว่า พอกลเด็กๆของหมอนี่จบลง เมื่อถึงเวลานั้นเราจะได้เห็นหมอนี่อายจนร้องไห้ออกมาแน่ๆ”


“หึหึหึ เรื่องนั้นอย่าไปสนใจเลยน่า ใครจะไปรู้กลของหมอนี่อาจจะดีก็ได้ล่ะนะ” เซียงหลงพูดออกมาอย่างยิ้มเยาะส่วนในใจของแข็งนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยคำดูถูกที่พร้อมจะถากถางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


เขาเองก็คิดที่จะเปิดเผยวิธีเล่นกลของเสี่ยวรุยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพียงแต่แสดงท่าทีให้ดูดีไปเท่านั้นเอง


 


ณ ตอนนั้นเอง ประตูของห้องที่มีการจัดงานเลี้ยงวันเกิดอยู่นี้ก็ได้ถูกเปิดออก ชายวัยกลางคนตัวสูงคนหนึ่งได้เดินเข้ามาพร้อมกับหญิงสาววัยกลางคนผมสั้นอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับประคองเค้กก้อนใหญ่เข้ามาด้วย


“พ่อ แม่ แปลกจังทำไมมากันได้เร็วนักอ่ะ” ลูลู่แสดงความยินดีออกมาในทันทีพร้อมรอยยิ้มราวกับสาวน้อยที่ดีใจเมื่อจเอขนมหวาน


“ฮ่าฮ่า วันเกิดลูกสาวทั้งทีจะไม่ให้พวกเรามากันเร็วได้ยังไงกันล่ะ ลูกต่างหากล่ะที่แปลก เห็นตอนแรกว่าจะจัดงานที่บ้าน ทำไมอยู่ๆถึงได้มาจัดงานแบบนี้ได้กัน” ลูฉินหมิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่เขาจะวางเค้กแล้วใช้นิ้วจิ้มไปที่น่าผากของหญิงสาวอย่างเอ็นดู


“นี่คุณ ลูกก็โตป่านนี้แล้วยังจะไปหวงไว้ทำไมเนี่ย ดีแล้วน่าที่ปล่อยให้ลูกออกมาฉลองวันเกิดกับเพื่อนข้างนอกแบบนี้ เรามาตัดเค้กกันเลยดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลาให้หนุ่มๆสาวๆได้เล่นสนุกกันบ้าง” ลูมู่หรือก็คือแม่ของลูลู่ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“อย่าพึ่งทิ้งหนูไปกันซี่ อยู่เล่นกับหนูก่อนน้า….” ลูลู่ได้ทำการออดอ้อนในทันที


“นั่นสิคะคุณลุงคุณป้า อยู่ร่วมงานกับเรากันดีกว่า” สาวๆเพื่อนของลูลู่ๆต่างก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม พร้อมทั้งขยั้นขยอให้ทั้งสองอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน


 


ในตอนนี้ลูลู่ได้ทำการแนะนำพ่อแม่ของเธอให้ทุกคนรู้จักกันอย่างเป็นกันเองนี่ทำให้ทั้งสองคนถึงกับยิ้มออกมาด้วยความน่ารักของลูกสาว


ถึงแม้ทั้งสองจะพูดจากันอย่างห้วนๆและดูแล้วไม่ได้สนิทอะไรกับลูกสาวมากนัก แต่สิ่งที่ทั้งสองแสดงออกมาด้วยภาษากายนั้นแสดงให้เห็นว่าทั้งสองมีความสุขจริงๆที่ได้มางานนี้


“แล้วนี่พวกลูกกำลังทำอะไรกันอยู่ล่ะ ต่อได้เลยนะอย่าให้การมาของพ่อกับแม่ขัดจังหวะเลยแล้วกัน” ลูมู่ได้พูดออกมา


“อ้อ พวกเราพึ่งจะดูการแสดงมายากลของพี่ชายของหนูไปกันน่ะค่ะ มันยอดมากเลย ตอนนี้คุณพี่รุยเองก็กำลังจะแสดงมายากลให้เราดูเหมือนกัน” หญิงสาวคนหนึ่งพูดออกมาพลางแนะนำพี่ชายของเธอและเสี่ยวรุยให้ทั้งสองได้รู้จัก


“คุณลุงครับคุณป้าครับ อย่าไปฟังคำพูดไร้สาระของน้องผมเลยดีกว่า ที่ผมแสดงออกมาก็เพียงกลเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง” เซียงหลงเองได้พูดออกมาด้วยท่าทีอันแสนถ่อมตนจนหน้าเหยียบ


 


“เอ่ออออ ไหนๆเค้กก็มาแล้วล่ะก็ การแสดงของผมไม่ต้องแล้วก็ได้นะครับ เรามาตัดเค้กกันก่อนดีกว่า ถึงไว้นานเดี๋ยวมันจะละลายซะก่อน” เมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อแม่ของลูลู่แบบนี้ นี่ยิ่งทำให้เสี่ยวรุยนั้นรู้สึกกดดันมากขึ้นจนรู้สึกเริ่มจะไม่อยากแสดงอะไรออกมาพร้อมทั้งหาทางถอยแบบดีๆอยู่


หากว่าเขาพลาดต่อหน้าพ่อแม่ของลูลู่แบบนี้ นี่จะยิ่งทำให้เขาเข้าหน้าของลูลู่ได้ยากกว่าเดิมหากเกิดพลาดขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอทั้งคู่เช่นเดียวกัน แน่นอนว่าเขาก็อยากจะสร้างความรู้สึกดีๆให้ทั้งคู่ประทับใจมากกว่าจะเป็นตัวตลกในสายตาของคนทั้งคู่ไปตลอดชีวิต


“หึหึ ไม่เอาน่า อย่ากังวลเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนั้นไปเลย เค้กนี่ไม่ละลายเร็วอะไรขนาดนั้นหรอก ต่อให้เธอแสดงเสร็จแล้วค่อยตัดเค้กยังไม่สาย พ่อหนุ่ม ไหน ลองแสดงให้ฉันดูหน่อยสิว่าเธอจะแสดงกลแบบไหนออกมา ฉันเองก็เคยเล่นกลมาอยู่บ้างเมื่อตอนยังหนุ่ม แต่ตอนนี้ก็ลืมๆมันไปหมดแล้ว ขอดูหน่อยแล้วกันว่ามายากลเดี๋ยวนี้ไปถึงไหนกันแล้ว” ลูฉินหมิงพูดออกมาด้วยท่าทีที่สนใจมากกว่าใครเพื่อนเลย


เสี่ยวรุยที่ได้ยินดังนั้นแทบจะร้องไห้ในทันทีอยู่ในใจ ตอนนี้ทั้งลูฉินหมิง ลูมู่ ลูลู่ เซียงหลง และคนอื่นๆต่างก็เริ่มจ้องเขาอย่างไม่วางตา


 


ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้อย่าว่าแต่ถอยเลย แม้แต่ทางหนีก็โดนปิดไปโดยปริยายแล้ว เสี่ยวรุยได้ลอบมองไปยังซูจิ้งเพื่อขอให้เขาช่วยหาทางลงให้หน่อย


แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือซูจิ้งแสดงท่ามือโดยการชูมือโดยหันด้านหลังมือให้เขาก่อนจะกำเป็นกำปั้นแน่นเชิงบอกเป็นนัยว่า สู้ๆ


“….ช่างแม่…งเถอะ เอาวะ ยังไงพี่สามก็ไม่มีทางเล่นตลกกับฉันอยู่แล้ว อย่างน้อยๆมายากลที่พี่สอนให้ฉันมาคงไม่ทำให้ฉันต้องขายหน้ามากนัก แสดงให้ดูแล้วเผชิญหน้ารับผลตรงๆก็ยังดีกว่าหนีไปแบบยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม”


เสี่ยวรุยได้คิดขึ้นมาแบบนี้ในใจพลางกัดฟันไว้แน่นก่อนที่จะตัดสินใจว่าไม่ว่าจะดีหรือร้าย ยังไงซะเขาก็ต้องแสดงกลนี้ให้สำเร็จให้จงได้ ส่วนจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นค่อยวัดดวงกันไป


“คุณลุงครับ คุณป้าครับ งั้นผมขอเริ่มเลยก็แล้วกัน แต่บอกไว้ก่อนนะครับว่ากลของผมก็ไม่ได้ดีเด่อะไรนัก อย่ามาหัวเราะเยาะผมทีหลังก็แล้วกัน” เสียวรุยในตอนนี้พยายามยิ้มออกมาเพื่อข่มในตัวเอง ก่อนที่เขาจะภายมือซ้อยออกเพิ่มจะแสดงให้เห็นว่าในมือของตนนั้นมีอะไรอยู่ข้างใน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)