Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 956-957
GGS:บทที่ 956 โลกสั่นสะเทือน
ในที่สุด ผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ก็ได้พบกับเทพธิดาแห่งนครที่สาบสูญแอตแลนติสจนได้ ถึงแม้ในตอนนี้พวกเขาจะมีความตื่นเต้นอยู่เช่นเดิมแต่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นมากดั่งที่ทุกคนคิดเอาไว้นี่คือสิ่งที่เรียกว่าตื่นเต้นจนชินชา
หลายๆคนเองเคยได้เห็นรูปปั้นนี้มาแล้วทำให้พวกเขานั้นต่างคิดไปว่าสมบัติอื่นของซูจิ้งมีค่ามากกว่า หลายๆคนถึงกับเอาแต่คิดถึงสมบัติที่อื่นที่เจอมาก่อนหน้านี้เลยก็มี
ผู้เข้าชมจำนวนมากที่ได้เดินเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้โดยไม่ได้คาดหวังอะไรมากเพียงอยากเห็นรูปปั้นเทพธิดาแห่งแอตแลนติสสักครั้ง
แต่เมื่อพวกเขานั้นเดินออกมา หัวใจของพวกเขาต่างก็เต็มไปด้วยความรู้สึกมหัศจรรย์เต็มหัวใจ ข่าวเกี่ยวกับสิ่งของสุดแสนมหัศจรรย์ที่ซูจิ้งเก็บสะสมเอาไว้ในพิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์ของซูจิ้งได้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วในอินเตอร์เนต
ถึงแม้ว่าภายนพิพิธภัณฑ์นั้นจะห้ามถ่ายรูป แต่ในที่สุดแล้วก็ได้มีรูปของข้างในนั้นหลุดไปจนได้ถึงแม้จะเล็กน้อยก็ตาม โดยพวกนั้นอ้างว่าเอาไว้ใช้ประกอบการรีวิวเฉยๆ และแน่นอนว่าเมื่อทุกคนได้เห็นภาพเหล่านั้นต่างก็ทำให้ชาวเน็ตนั้นถึงกับอึ้งกันไปหมด
“ห้ะ หม้อสามสีสมัยราชวงศ์ถังนับร้อยใบ ภาพเขียนพู่กันจีนสมัยราชวงศ์ถังแถมยังเป็นงานของปราชญ์โอหยางฉุนแบบครบชุด เป็นไปได้ยังไงกัน” นักเก็บสะสมวัตถุโบราณคนหนึ่งที่ได้เห็นข่าวถึงกับพูดออกมาดังลั่น
“จริงเหรอ นายโกหกรึเปล่า”
“ถ้าเป็นเรื่องจริงล่ะก็ฉันจะไปดูด้วยตาตัวเอง”
“พี่ติง ฉันพึ่งจะมาถึงพิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์ตะกี้นี้เอง ฉันตะลึงไปเลยเมื่อเข้ามาที่นี่ ยังไงพี่ก็ต้องมาให้ได้นะ” หลังจากชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามาไม่นานนัก เขาได้รีบโทรหาใครคนหนึ่งทันที
“พิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์เหรอ ใช่ที่ซูจิ้งเปิดรึเปล่า เห็นเขาว่าหมอนั่นรีบเปิดโดยไม่สนใจที่จะหาสมบัติจากแอตแลนติสเพิ่มอาศัยแต่สมบัติตัวเองแบบนี้จะไปน่าสนสักเท่าไหร่กัน
ถึงแม้รูปปั้นเทพธิดาแห่งแอตแลนติสนั่นจะน่าสนก็จริงแต่ฉันไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เอาไว้ว่างๆฉันค่อยไปดูแล้วกัน” ชายวัยกลางคนตัวสูงค่อนข่างสูงพูดออกมา โดยคนที่อยู่ข้างๆเขาเองก็ได้หัวเราะออกมา
“นอกจากรูปปั้นแอตแลนติสนั่นแล้วยังมีสมบัติอีกหลายชิ้นเลยนะ ในสมบัติเหล่านั้นมีภาพเขียนพู่กันจีนที่พี่ชอบอยู่ด้วย พวกมันมีต้องโหลนึง ที่สำคัญที่สุดคือพวกมันมาจากสมัยราชวงศ์ถัง แถมยังมีอีกสองภาพที่แฝงไว้ด้วยปรัชญาอันสูงล้ำอีกด้วย”
“จะเป็นไปได้ไง ไม่มีทาง”
“ถ้าไม่เชื่อเดี๋ยวฉันส่งรูปไปให้ดูแล้วกัน”
ชายวัยกลางคนร่างสูงรีบเปิดภาพดูในทันทีที่เขาได้รับภาพถ่ายมา และนั่นทำให้ทุกคนที่อยู่ครงนั้นถึงกับนิ่งอึ้งไปหมด ยิ่งมองดูยิ่งตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
ภาพเขียนพู่กันจีนสมัยราชวงศ์ถังจำนวนโหลนึงนี่ถือได้ว่าน่ามหัศจรรย์มากแล้ว แต่ภาพอีกสองภาพนี่สิทำให้พวกเขานั้นตื่นตะลึงมากกว่า มันเป็นภาพวาดไร้นามที่สวยงามและแฝงเอาไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งศิลป์ราวกับมาจากศิลปินชั้นยอด นี่ขนาดใช้กล้องถ่ายออกมายังรู้สึกได้ราวกับว่าภาพนั้นเป็นภาพวาดในแดนเซียนก็ไม่ปาน
“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” ชายร่างสูงได้หยิบอะไรบางอย่างไปก่อนที่จะรุดตรงไปยังพิพิธภัณฑ์ของซูจิ้งในทันที
“ท่านประทาน ประธานถังคะ” เสียงของเลขาสาวที่สวมใส่รองเท้าส้นสูงได้เรียกเขาในขณะเดินเข้ามาในห้องประเมิน
“ว่าไง” ถังฮ่าวที่กำลังตรวจประเมินเครื่องประดับอยู่ได้เงยขึ้นมาในทันที เขานั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในการประเมินหยก และกำลังประเมินหยกอยู่ โดยมีหญิงอาจะประมาณ 50-60 อยู่ข้างๆ เลขาของเขาได้ยื่นแทบเล็ตมาให้และนั่นทำให้เขาได้เห็นข่าวๆหนึ่ง ทำให้ทั้งคู่ต่างก็เดินเข้ามาดูข่าวนั้นในทันที
ทันทีที่ทั้งคู่ได้เห็นแมลงหยกเลือดก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ เมื่อพวกเขาได้แกะหยกเลือดก็อดไม่ได้ที่จะใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น และเมื่อเขาได้เห็นหัวผักกาดหยกเขานั้นแถมจะกระอักเลือดออกมาในทันที
“พระเจ้า หยกนั่นสุดยอดไปเลย” หญิงวัยกลางคนพูดออกมา
“ฉันไม่เคยเห็นหยกเลือดก้อนใหญ่แบบนี้มาก่อนเลย ไหนจะหัวผักกาดหยกนั่นอีก นั่นมันใสมากเลยนะแสดงว่าส่วนสีเขียวนั่นจะต้องเป็นหยกเขียวจักรพรรดิ์แน่ๆ นี่มันบ้าไปแล้ว” ผู้อาวุโสได้แสดงออกมาด้วยความตื่นเต้นจนโรคหัวใจเกือบจะกำเริบเลยทีเดียว
“ซูจิ้ง นายกลัวจะไม่ได้ขึ้นสวรรค์รึไงเนี่ย” ถังฮ่าวเองก็ตื่นเต้นยิ่งกว่าก็ว่าได้ เขาเองก็รู้ว่าซูจิ้งนั้นได้เปิดพิพิธภัณฑ์ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขานั้นยังไม่สามารถไปได้
เขาวางแผนว่าจะหาโอกาสไปที่นั่นทีหลัง เพราะเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าครั้งนี้ซูจิ้งจะสร้างแรงกระเพื่อมอะไรในวงการอีก ตอนนี้แค่หัวผักกาดหยกนั่นก็ทำให้วงการเครื่องประดับโกลาหลได้แล้ว
“หยกนั่นหักแล้วนำมาทำเป็นเครื่องประดับ คุณคิดว่าวงการเครื่องประดับที่วโลกจะสั่นสะเทือนได้รึเปล่า หากเป็นเช่นนั้นจริงเครื่องประดับของพวกเราจะเป็นยังไงเหรอ” หญิงวัยกลางคนถามออกมา
โดยทั่วไปแล้ว การที่หยกจะถูกป้อนให้กับอุตสาหกรรมเครื่องประดับนั้นเป็นเรื่องที่เป็นได้เพียงแค่ความฝันเท่านั้น
ไม่สิควรจะบอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้มากกว่าไม่ว่าจะเป็นหยกคุณภาพไหนก็ตามจะไม่มีบริษัทไหนที่จะสนใจลงทุนอย่างแน่นอน แต่กับหัวผักกาดหยกนี่ก็ถือได้ว่าเป็นข้อยกเว้น
นอกจากคุณภาพของหยกที่ใช้แกะหัวผักกาดนี้จะสูงล้ำมากแล้ว ขนาดของมันยังใหญ่มาก หากบอกว่าใหญ่จนเสียดฟ้าก็ว่าได้เหมือนกัน หยกเขียวจักรพรรดิ์นี้แน่นอนว่าจะทำให้วงการเครื่องประดับต้องสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน
“แล้วใครจะอยากไปแยกส่วนหัวผักกาดหยกนี่กัน หึ นั่นเป็นความคิดที่โง่งมอย่างมาก หากมีคนที่อยากจะแยกส่วนหัวผักกาดหยกนี่จริงแล้วฉันรู้ล่ะก็ ฉันเนี่ยแหล่ะจะเป็นคนแรกที่จะเล่นงานมัน” ผู้อาวุโสหวู่พูดออกมาอย่างตื่นเต้น
ถังห่าวเองในตอนนี้อยู่ในอารมณ์เดียวกันเมื่อได้ยินคำพูดนี้แต่เขานั้นก็แอบคิดไปอีกทางอยู่เหมือนกัน หากผักกาดหยกนี้ถูกแยกส่วนจริงๆล่ะก็แน่นอนว่าคนผู้นั้นย่อมไม่สมควรจะเป็นคนอย่างแน่นอน แต่หากไม่แยกส่วนออกมาล่ะก็แน่นอนว่ามันก็ทำได้เพียงตั้งเฉิดฉายเล่นๆอยู่แบบนี้เท่านั้น
ต่อให้เขานั้นต้องสูญเสียหนทางในอนาคตไปก็ไม่ทางได้หัวผักกาดนี้มาไว้ในครอบครอง แต่หากมันแตกหักออกมาสักกลีบ ด้วยความสัมพันธ์อันดีของเขากับซูจิ้งก็อาจพอจะได้มาสักชิ้นสองชิ้นก็ยังดี
“ลืมเรื่องนั้นไปซะ เดี๋ยวฉันจะไปดูด้วยตาตัวเอง” ถังฮ่าวพูดออกมาในทันทีโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก ตอนนี้สิ่งที่เขาอยากจะเห็นแมลงหยกเลือด แกะหยกเลือด และหัวผักกาดหยกด้วยตาตัวเอง
“ฉันจะไปด้วย” ผู้อาวุโสหวู่และหญิงวัยกลางคนเองก็ได้พูดออกมาเช่นเดียวกัน พวกเขาตื่นเต้นจนออกนอกหน้าในทันที อีกอย่างวันนี้ที่ร้านก็ไม่ได้วุ่นอะไรแล้ว ทั้งสามจึงพากันไปพิพิธภัณธ์ของซูจิ้งในทันที
“จะไปมีศพอายุกว่าห้าพันปีหลงเหลืออยู่ในโลกได้ยังไงกัน” นักโบราณคดีคนหนึ่งของสถาบันวิจัยทางโบราณคดีพูดออกมา เขานั้นได้ยินข่าวนี้ถึงกับตกใจในทันทีและไม่อาจเชื่อเรื่องนี้ได้ลง
“พวกเขาได้ให้ผู้เชี่ยวชาญสองคนแล้วก็นักโบราณคดีสองคนตรวจสอบไปแล้วนะ คนพวกนั้นไม่ยอมเอาชื่อเสียงมาเสี่ยงกับเรื่องแบบนี้หรอกน่า” หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งพูดออกมา
“หากว่ามีศพโบราณที่มีอายุมากกว่าห้าพันปีอยู่จริงล่ะก็ แน่นอนว่าเรื่องนี้สำคัญมากๆเลยนะ”
“ฉันได้ข่าวมาว่าเอี้ยป๋อและโจวฉือเซียนให้ทีมของตัวเองเตรียมตัวตรวจสอบซ้ำแล้วนะ”
“จริงดิ เราจะยอมไม่ได้ เราต้องเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว”
“ศพโบราณที่อายุมากกว่าห้าพันปี หากว่านี่เป็นความจริงล่ะก็ ศพนี้ต้องอยู่มาตั้งแต่ยุคโบราณที่เรียกว่าสามราชาห้ากษัตริย์ตามเรื่องเล่าของจีนนั่นเลยนะ” ผู้เชี่ยวชาญชาวต่างชาติคนหนึ่งที่ได้ยินข่าวนี้ถึงกับตกตะลึงในทันที หากศพนี้อายุเพียงไม่กี่ร้อยไม่ก็สักพันปีเขาก็คงจะไม่ตกใจขนาดนี้
หัวกะโหลกนุษย์ปักกิ่งที่เคยเจอกันนั้นอายุมากกว่าหกแสนปี ประวัติศาสตร์ของมนุษย์เท่าที่คาดการณ์กันไว้นั้นอยู่ที่หนึ่งล้านปี แต่นั่นก็ถือว่าเป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์และยังไม่นับว่าเป็นชนชาติด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามหากศพโบราณนี้เป็นศพที่มีอายุเกินกว่าห้าพันปีจริงล่ะก็ ศพนี้จะมีความสำคัญในอีกแง่มุมหนึ่งไปเลย โดยเฉพาะเจ้าศพนี้มีลักษณะที่ค่อนข้างสมบูรณ์แม้จะล่วงเลยมาถึงยุคปัจจุบันได้แบบนี้แน่นอนว่าตั้งเป็นหลักฐานการคงอยู่ของอารยธรรมอย่างแน่นอน
ประเทศที่มีร่องรอยอารยธรรมโบราณที่ยอมรับกันนั้นมีอยู่ด้วยกันสี่ประเทศ ประกอบด้วยจีน อินเดีย อียิปต์โบราณ และบาบิโลน แถมหลักฐานที่พอจะยืนยันการคงอยู่ของอารยธรรมโบราณเหล่านี้นั้นที่พอจะหลังเหลือมาถึงในปัจจุบันก็มีอายุเพียงหกพันปีเท่านั้นนั่น
แอตแลนติสเองก็อาจจะถือได้ว่าเป็นหนึ่งในนั้นถึงแม้ว่าจะมีอายุมากกว่าก็ตาม ด้วยการที่มีจาริกและรูปปั้นออกมาแล้วก็อาจจะถือได้ว่ามีอยู่จริงได้ แต่หลักฐานที่ว่ามันก็ช่างน้อยนิดจนแทบจะไม่สามารถเชื่อได้ว่ามีอยู่จริงได้เหมือนกัน
ยุคสมัยสามราชาห้าจักรพรรดิ์นั้นเรียกอีกชื่อว่ายุคราชวงศ์เซี่ย ยุคนี้เป็นยุคที่มีบันทึกไว้ว่าอยู่ก่อนยุคราชวงศ์ชางแต่ไม่ได้เป็นที่ยอมรับจากต่างประเทศ ประเทศเหล่านั้นได้ยึดถือเพียงแค่ว่าอารยธรรมของมนุษย์นั้นเริ่มต้นในช่วงสามพันปีก่อนเท่านั้น ห้าพันปีก่อนกับแค่คำกล่าวอ้างทางเอกสารโบราณนั้นเป็นเพียงเรื่องไร้สาระเท่านั้น
อย่างไรก็ตามหากว่าศพโบราณนี้มีการยืนยันได้ว่ามีอายุเกินกว่าห้าพันปีจริงๆล่ะก็จะถือได้ว่าเป็นหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญและจะไม่สามารถมีใครคัดค้านหลักฐานชิ้นนี้ได้ง่ายๆอย่างแน่นอน
“หากว่านี่เป็นของจริงล่ะก็จะแสดงให้เห็นว่าชนชาตฺจีนเองก็มีอารยธรรมโบราณเทียบเท่ากับอียิปต์โบราณเลยไม่ใช่เหรอ
ไม่สิ การที่ศพมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์แบบนี้ เป็นไปได้ว่าอารยธรรมอาจจะมีนานกว่าอารยธรรมอียิปต์โบราณซะอีก”
“ไม่มีทาง ศพนี้ต้องเป็นของปลอมแน่นอน”
ข่าวการพบซากศพโบราณนี้ได้แพร่ไปทั่วโลกยังกับไฟลามทุ่งจนทำให้โลกนี้สั่นสะท้านกันเลยทีเดียว
GGS:บทที่ 957 ติดตามชมสิ่งที่น่าสนใจ
“นี่คือสิ่งที่ผมพบทั้งหมดครับนายน้อยฮัว” ในลานจอดรถของพิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์มีชายหนุ่มสี่คนอยู่บนรถบีเอ็มดับบิว ชายหนุ่มเหล่านี้นั่งรับฟังรายงานอันละเอียดยิบของสิ่งที่อยู่ข้างในพิพิธภัณฑ์แบบอึ้งๆ
“ฉันเห็นแล้วว่าตอนนี้ผู้คนในอินเตอร์เน็ตต่างก็พูดคุยเกี่ยวกับของในพิพิธภํณฑ์อย่างบ้าคลั่ง ตอนแรกฉันเองแค่คิดว่าของข้างในมันแค่ของแปลกเฉยๆ ไม่คิดว่ามันจะสุดยอดขนาดนั้น นี่หมอนั่นไปหาสมบัติมากมายมาจากไหนกันเนี่ย” เสียงหนึ่งในรถพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตกตะลึง
“ซูจิ้งนี่มันปีศาจชัดๆ” ชายคนหนึ่งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มแหยๆ
“ของข้างในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีค่ารวมแล้วประมาณเท่าไหร่กัน”
“นายน้อยครับ ผมขอบอกได้เลยว่าประเมินได้ยากจริงๆหากเป็นเรื่องของมูลค่า ของทุกอย่างที่อยู่ที่นี่ไม่มีทางประเมินค่าของพวกมันได้เลย สมบัติหลายๆชิ้นเองที่พอจะประเมินค่าได้ก็มีเอกลักษณ์แบบสุดๆจนยากที่จะประเมินค่าได้เช่นเดียวกัน”
“คร่าวๆก็ได้”
“เอ่อ…. หากให้ประเมินโดยคร่าวๆล่ะก็อย่างน้อยๆของทั้งหมดนี้ขั้นต่ำควรจะมีค่ารวมกันอยู่ที่สามหมื่นล้านหยวนครับ หากนายน้อยคิดว่ามากเกินไปก็อย่าว่าผมเลยก็แล้วกัน เพราะนี่เป็นเพียงราคาขั้นต่ำที่ผมประเมินไว้ได้จากหัวผักกาดหยกนั่นเท่านั้น
แค่หัวผักกาดนั่นหัวเดียวผมคิดไว้เลยว่าราคาของมันนั้นมากกว่าสามหมื่นล้านหยวนอย่างแน่นอน แต่ราคานี้เป็นราคาที่ผมคำนวนไว้ว่าเป็นราคาที่คนจะยอมซื้อเท่านั้นแม้แต่จะอิดออดบางก็ตาม แน่นอนว่าต่อให้มีคนเสนอราคานี้ไป ซูจิ้งก็ไม่มีทางยอมขายอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินดังนั้นฮัวหยุนชูที่ได้ยินจากอีกฝั่งของโทรศัพท์ก็ได้นื่งอึ้งไป แม้แต่คนอื่นที่นั่งรออยู่ในรถเองก็นิ่งอึ้งไม่ต่างกัน ทุกคนในที่นี้เป็นคนรวยและฮัวหยุนชูคนนี้ก็เป็นคนที่รวยที่สุดในกลุ่ม
แต่ถึงกระนั้นในตอนนี้พวกเขาราวกับถูกตบหน้าด้วยสิ่งที่เขามีดีที่สุดก็ไม่ปาน
“คุณหวังคะ สมบัติที่ถูกเก็บสะสมเอาไว้ในพิพิธพัณธ์สุดแสนมหัศจรรย์ถูกเปิดเผยออกมาแล้วค่ะ” หญิงสาวคนหนึ่งที่มีตำแหน่งเป็นเลขา ได้เดินเข้าในห้องทำงาน
“เอามาดูสิ” หวังหยานคือคนที่ทำงานอยู่ที่นี่ เธอเองนั้นก็ไม่ได้อยากจะสนใจเรื่องของซูจิ้งสักเท่าไหร่นัก อย่างไรก็ตามเธอเองก็ยังตัดใจจากเขาไม่ได้อยู่ดี และซูจิ้งเองก็ชอบมีข่าวออกมาอยู่เรื่อยๆนี่ทำให้เธอนั้นอดสนใจเขาไม่ได้ซะที
“ดิฉันได้ทำการจัดเรียงข้อมูลไว้แล้ว อยู่ในนี้ทั้งหมดแล้วค่ะ” หญิงสาวในตำแหน่งเลขาได้ส่งแทบเล็ตให้กับหวังหยาน หลังจากที่เธอได้ดูไปที่ข้อมูลนี้ยิ่งเธอดูมากเท่าไหร่สายตาของเธอก็ยิ่งเบิกกว้าง
นี่ขนาดเธอนั้นยังเตรียมใจไว้บ้างแล้วแต่เธอก็ยังต้องตกตะลึงในสุดยอดสมบัติที่ซูจิ้งครอบครองเอาไว้อยู่ดี หวังหยานไม่รู้จริงๆว่าซูจิ้งนั้นไปได้สมบัติพวกนี้มาจากไหนตั้งมากมายขนาดนี้
ท่าที่เธอรู้มาเขานั้นวุ่นอยู่กับการพัฒนาธุรกิจของตัวเองแทบจะตลอดเวลา และดูแล้วไม่มีทางที่จะไปหาเวลาออกตามล่าสมบัติมาได้อย่างแน่นอน หากจะมีก็มีอยู่อย่างเดียวคือเขานั้นต้องแยกร่างไป
ยิ่งไปกว่านั้นสมบัติทั้งหมดล้วนแล้วแต่ยากต่อการซื้อมาได้ด้วยเงิน แค่ชิ้นเดียวในรายการนี้ก็ยากแล้วแต่นี่คือมันเป็นของแบบนี้ทั้งพิพิธภัณฑ์เลยนะ
หากว่าเธอไม่ได้รู้มาก่อนว่าซูจิ้งนั้นมาจากบ้านนอกและเกิดจากตระกูลธรรมดาสามัญล่ะก็ เธอเองต้องคิดว่าซูจิ้งนั้นมาจากตระกูลนักล่าสมบัติหรือไม่ก็เป็นนักล่าสมบัติอัจฉริยะอะไรพวกนั้นเป็นแน่
“คุณหวังคะ มีข่าวใหญ่เกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ของคุณซูค่ะ” ในห้องทำงานของหวังซือหยา หวังซือหยา หยินหนิงหนิง เชิงชิเหยา และคนอื่นๆกำลังลองเสื้อผ้าพร้อมทั้งคุยกันเกี่ยวกับแนวคิดของเสื้อผ้าชุดนี้กันอย่างเข้มข้น และเลขาของเธอก็ได้เข้ามาและพูดเรื่องของซูจิ้งขึ้นมา
“โอ้ วันนี้เขาเปิดพิพิธภัณฑ์นี่เนาะ ก็ไม่แปลกที่จะเป็นข่าวล่ะนะ” หวังซือหยาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“แต่ว่าข่าวที่ออกมามัน…มากเกินไปนะคะ” เลขาของเธอพูดออกมา
“ฮืม ขอดูก่อนนะ” หวังซือหยาได้นำโทรศัพท์ของเธอออกมาและก็พบข่าวของซูจิ้งอย่างไว หยินหนิงหนิงและเชิงชิเหยาเองก็เข้ามาดูข่าวบนมือถือของซือหยาใกล้ๆ เพียงพวกเธอเห็นเนื้อหาข่าวเท่านั้นต่างก็อึ้งจนนิ่งเงียบกันไปหมด
และข่าวเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ของซูจิ้งยังเพื่มมากขึ้นเรื่อยๆและเผยแพร่ไปทั่วอินเตอร์เน็ตไปหมด ตอนนี้วงการต่างๆตั้งแต่ในระดับตำบลยันระดับประเทศต่างก็ตื่นเต้นเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ของซูจิ้งกันไปหมด
“พระเจ้า นี่ฉันดูไม่ผิดไปใช่รึเปล่า หม้อสามสีนับร้อยใบ ภาพเขียนพู่กันจีนสมัยราชวงศ์ถังนี่อีก”
“ฉันไม่คิดเลยว่านอกจากหนูหยกเลือดและกระต่ายหยกเลือดแล้ว ซูจิ้งยังแพะหยกเลือดอีก”
“ปะการังแดงน้ำลึกนั่นใหญ่ยังกับเป็นกับแพงเลยนะ สุดยอดไปเลย”
“ดูหัวผักกาดหยกอันยักษ์นั่นสิ แถมยังใสอีกต่างหาก นี่จะไม่ทำให้วงการหยกจักรพรรดิ์ต้องสั่นสะเทือนเหรอ”
“นี่นี่ ศพที่ยังดูราวกับมีชีวิตที่มีอายุกว่าห้าพันปีนี่ของจริงรึเปล่า”
ในตอนนี้อย่าว่าเหล่าผู้เชื่ยวชาญในสาขาต่างๆไม่ว่าจะเป็นจากวงการวัตถุโบราณ เครื่องประดับ หรือนักโบราณคดีเลย แม้แต่คนธรรมดาและชาวเน็ตเองก็อยากจะเห็นสมบัติล้ำค่าพวกนี้ด้วยตาตัวเองแล้ว
“พระเจ้า ซูจิ้งมีสมบัติมากมายขนาดไหนกันเนี่ย”
“หมอนี่ทั้งน่าอิจฉาและริษยาจริงๆ”
“ไม่แปลกใจเลยที่เขาได้ฉายาจ้าวแห่งของขวัญมา เขานั้นมีของสุดยอดตั้งหลายอย่างแน่ะ”
“พี่จิ้งสุดยอดไปเลย เขาทรงพลังจริงๆ”
“พี่จิ้ง พี่อยากจะขึ้นสวรรค์ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
“นี่เขาไม่กร่างเกินไปหน่อยเหรอ เขาไม่กลัวถูกตรวจสอบเลยรึไงกัน”
“นั่นสิ ต่อให้เขามีภูมิหลังดีขนาดไหนแต่นี่ก็ยังต้องถูกจับตามองอยู่ดี”
“ฉันอยากจะไปขโมยสมบัติของเขาบางชิ้นเสียจริงๆ ฮ่าฮ่า ล้อเล่นนะ”
“ข่าวใหญ่ พิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์ของซูจิ้งนั้นได้จัดแสดงสมบัติชุดใหม่ออกมา” นี่คือข่าวที่ทำให้บรรยากาศในวงกรนั้นร้อนแรงและโกลาหลราวกับพายุเพลิงสายฟ้าเลยทีเดียว
แค่ข่าวที่ว่าซูจิ้งผู้ถือครองสมบัติแห่งแอตแลนติสได้เปิดพิพิธภัณฑ์ขึ้นมานี่ก็ร้อนแรงพอแล้ว แต่นี่นอกจากสมบัติแอตแลนติสแล้วยังมีสมบัติชิ้นอื่นอยู่อีก ไม่ใช่แค่ชิ้นเดียวแต่ยังมากมายหลายชิ้นอีกด้วย
“ผู้อาวุโสเอี้ย คุณทราบข่าวแล้วหรือครับ” ในรถแท็กซี่คันหนึ่ง โจวฉือเซียนได้รับสายคนๆหนึ่ง เขาถามออกไปด้วยน้ำเสียงอันตื่นเต้น
“อ้อ ตอนนี้ผมกำลังนั่งรถกลับไปยังสถาบันวิจัยของเราเพื่อเตรียมทีมเพื่อทำการพิสูจน์ในเรื่องนี้ ผมได้รับอนุญาตให้สามารถตรวจสอบศพนั่นได้แล้วน่ะครับ ผมคิดว่าจะนำทีมเข้าตรวจสอบหลังพิพิธภัณฑ์ปิดแล้ว” โจวฉือเซียนได้พูดออกมา
“ฉันไม่ได้จะพูดถึงเรื่องนั้น ฉันจะพูดถึงข่าวที่ออกมาหลังจากนายออกมาจากที่นั่นแล้วต่างหาก”
“ห้ะ ข่าวอะไรเหรอครับที่ออกมา”
“ก็ข้างๆรูปปั้นเทพธิดาแอตแลนติสในตอนนี้นั้นมีรูปปั้นเสมือนมีชีวิตอยู่อีกสี่ชิ้น ถึงแม้จะมีสภาพไม่สมบูรณ์นักแต่ก็ดูเหมือนว่าพวกมันเองก็มาจากแอตแลนติสเช่นเดียวกัน แถมดูเหมือนว่าจะมีของอย่างอื่นเพิ่มเติมมาอีกด้วยอย่างอ่างน้ำ ตำรา งานไม้แกะสลัก และของอย่างอื่นอีก และพวกนั้นเท่าที่ดูคร่าวๆแล้วก็น่าจะมาจากแอตแลนติสเช่นเดียวกัน”
“ว่าไงนะครับ” โจวฉือเซียนในตอนนี้สายตาเบิกโพลงในทันทีที่ได้ยิน เขานั้นทั้งโกรธและตื่นเต้นยินดีเช่นเดียวกัน “เยี่ยม ซูจิ้ง นายบอกว่านายบอกว่าไม่เจอของอย่างอื่น แต่ตอนนี้กับมีของเพิ่มมากกว่าเดิม พวกฉันนั้นต้องกุลีกุจอไปไปเก็บกู้ถึงกลางทะลึกแต่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย หมอนี่น่าจะเป็นคนไปเหมามาเรียบเลยสินะ ถึงว่าตอนบอกว่าพบซากเรือนั้นไม่มีท่าทีว่าจะสนเลย กลับรถ กลับรถเดี๋ยวนี้”
“ห้ะ” ในรถอีกคันหนึ่ง อลันที่ได้รับโทรศัพท์ก็ได้อุทานออกมาดังลั่นทันทีที่ได้ยินข้อมูลจากปลายสาย
“เกิออะไรขึ้น” แอนนาและคนอื่นๆที่ได้ยินคำอุทานของอลันหัวควับไปมองเป็นตาเดียวกันอย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
“มีรูปปั้นเมืองแอตแลนติสตั้งแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์เพิ่มเข้ามาอีกสี่ชิ้น” อลันพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“พระเจ้า กลับรถเดี๋ยวนี้ พวกเราต้องไปดูให้ได้”
“รูปปั้นแอตแลนติสอีกสี่ชิ้น?” หนุ่มเจาะหูนิ่งอึ้งยิ่งกว่าเดิมในทันทีที่ได้ยินข่าวนี้
“หมอนี่หามันพบจริงๆ” ชายใส่แว่นในตอนนี้ได้กัดฟันเล็กน้อยและแสดงท่าทีเกลียดชังไปชั่วเวลาหนึ่ง เขาเองเมื่อได้ยินข่าวก็อดไม่ได้ที่จะวกรถกลับไปในทันทีเช่นเดียวกัน
ในตอนนี้ผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ที่เขาชมเสร็จไปแล้วในช่วงเช้า ในตอนที่ได้ยินข่าวนี้ถึงกับพูดไม่ออกในทันที ถึงแม้พวกเขานั้จะเข้าไปดูรอบแรกฟรีก็จริงแต่ในรอบสองนี้ไม่ฟรีอย่างแน่นอน ที่สำคัญที่สุดคือค่าบัตรเข้าไม่ถูกๆเลย อย่างน้อยก็มากกว่าพิพิธภัณฑ์ทั่วไปสองสามเท่าเลยทีเดียว
ผู้เข้าชมในรอบเช้านี่ถึงกับกัดฟันกันทั่วหน้า ซูจิ้งคนนี้ที่ไม่ยอมนำรูปปั้นแอตแลนติสมาตั้งแสดงตั้งแต่แรกนั้นเป็นเพราะว่าอยากจะหาเงินจริงๆสินะ หรือไม่ก็เขานี้นอาจจะอยากได้ค่าตั๋วเพิ่มอีกซะหน่อย หรือไม่แกล้งเขาเล่นเป็นแน่ ถึงจะคิดแบบนั้นแต่ทุกคนนั้นก็อดไม่ได้ที่จะต้องกลับไปดูอยู่ดี
ทันทีที่ข่าวก่อนเพิ่มรูปปั้นแอตแลนติสอีกสี่ชิ้นไว้ในพิพิธภัณฑ์ของซูจิ้ง เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศต่างก็อยู่กันไม่สุขในทันที
เพียงแค่ซากศพอายุกว่าห้าพันปีและการมีโอกาศได้เห็นรูปปั้นแห่งแอตแลนติสนั้นเพียงแค่สองอย่างนี้ก็อยากจะทำให้พวกเขามุ่งหน้าไปยังพิพิธภัณฑ์ของซูจิ้งในจะขาดแล้ว แต่เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับเมืองที่สาบสูญแอตแลนติสเพิ่มเติมนี้ออกมา พวกเขาได้ตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวที่เร็วที่สุดเพื่อมาเมืองจีนในทันทีที่เป็นไปได้
ตอนนี้ข่าวของซูจิ้งนั้นร้อนแรงราวกับเปลวเพลิงในพายุ ถึงแม้จะมีเรื่องให้เขานั้นโดนก่นด่าไปบ้างแต่ชื่อเสียงของเขานั้นก็ยังเพิ่มขึ้นสูงอยู่ดี แถมเรื่องของเขาเองก็ถูกพูดถึงต่อไปอีกหลายๆวันเลยทีเดียว
ต้องรู้กันก่อนว่าในครั้งสุดท้ายที่มีข่าว ซูจิ้งก็ได้ขึ้นไปอยู่ในรายการคนมีชื่อเสียงของประเทศจีนในระดับหนึ่งอยู่แล้ว นี่ขนาดเขานั้นไม่ได้เป็นดาราด้วยซ้ำหากเขาเป็นจะขนาดไหน
ดาราบางคนใช้เวลามากกว่าสองปีถึงจะไต่อันดับกว่าสองปีถึงจะขึ้นมาได้ และหากไม่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องพวกเขาก็จะตกจากอันดับนี้อย่างงายดาย
และเมื่อซูจิ้งได้เปิดพิพิธภัณฑ์นี้ขึ้นมา ชื่อเสียงของเขานั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับว่าชื่อของเขานั้นเคยมีชื่อในระดับหนึ่งนี้อยู่เป็นประจำก็ว่าได้
นี่ทำให้คนทั้งวงการบันเทิงถึงกับต้องตกตะลึงอีกครั้ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น