Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 954-955
GGS:บทที่ 954 ชุดของผีดิบ
ทั้งแกะหยกเลือด แมลงหยกเลือด รูปปั้นเสมือนมีชีวิต ภาพเขียนพู่กันจีนหายาก ตำราพระพุทธ์ ปะการังแดงทะเลน้ำลึก และของต่างๆในตอนนี้ที่เหล่าผู้ชมได้ยลโฉมอยู่ในตอนนี้ไม่สามารถให้พวกเขาสามารถสงบจิตใจลงได้
“เดี๋ยวนะ เป็นไปไม่ได้…” เอี้ยป๋อหยุดอยู่ที่หน้าตู้กระจกตู้หนึ่ง
“ชุดเกราะหยกไหมทองคำ?” โจวฉือเซียนเองที่หยุดยืนดูอยู่ข้างๆก็จ้องมองของในตู้กระจกด้วยสายตาเบิกโพลง
ภายใจนตู้กระจกนี้ข้างในนั้นคือร่างของมนุษย์ที่นอนนิ่งอยู่เฉยๆ ทั้งตัวของร่างนั้นได้สวมใส่ชุดเกราะหยกเอาไว้ ร่างทั้งร่างนั้นราวกับถูกประดับเอาไว้ด้วยหยกขาวและไหมทองคำ ยิ่งทั้งสองมองร่างนี้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกขนลุกมากขึ้นเท่านั้น
ชุดหยกไหมทองคำแบบนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในแต่สมัยโบราณ แต่ให้คนที่ไม่รู้เรื่องวัตถุโบราณเลยก็คงจะเคยได้ยินเรื่องแนวนี้มาอยู่บ้าง
เคยมีข่าวอยู่หลายครั้งที่มีใครบางคนนำชุดหยกไหมทองคำแบบนี้มาออกวางขายในราคาเพียงหมื่นหยวน นี่จึงทำให้เป็นคนบอกกล่าวกันว่าชุดแบบนี้นั้นเก้าชุดในสิบชุดมักเป็นของปลอม
“ชุดหยกนี่มันดูค่อนข้างสมบูรณ์แหะ” โจวฉือเซียนพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ค่อนข้างสมบูรณ์? ลองดูดีๆสิ ไม่มีรอยซ่อมแซมอยู่บนชุดเลยนะ” เอี้ยป๋อพูดออกมาในขณะที่เพ่งมองอย่างตาไม่กระพริบ
“เป็นไปได้ยังไงกัน” โจวฉือเซียนเองที่ได้ยินและจ้องดูดีๆอีกครั้งถึงกับยักคิ้วขึ้นด้วยความตกใจในทันที ไม่ว่าจะมองยังไงเขาก็ไม่เห็นร่องรอยการซ่อมแซมอยู่จริงๆ
“ยิ่งไปกว่านั้น หยกนั่นก็สมควรเป็ยหยกชั้นเลิศด้วย” เอี้ยป๋อยังพูดออกมาต่อ
“ไม่จริงน่า เป็นของเลียนแบบรึเปล่า” โจวฉือเซียนพูดออกมา
ชุดหยกไหมทองคำแบบนี้นั้นหากถูกพบในยุคปัจจุบันส่วนใหญ่ก็อยู่ในสภาพทรุดโทรมไปแล้ว ชุดหยกไหมทองคำที่ดีที่สุดนั้นถูกพบอยู่ภายในสุสานจักรดิพรรด์ชู ที่เมืองซูโจว จังหวัดเจียงซู
ชุดนั้นถือได้ว่าเป็นชุดหยกทั้งตัวที่ถูกสร้างขึ้นโดยช่างฝีมือโบราณ ชุดหยกนั่นประกอบไปด้วยหยกจำนวนกว่า 4300 ชิ้น โดยมีขนาดหลากหลายและแตกต่างกันไป ไหมทองที่ใช้เองก็มีน้ำหนักกว่า 1500 กรัม
หยกที่นำมาใช้นั้นประเมินดูแล้วพบว่าเป็นหยกจากเมืองโฮตันเมืองฉือนเจียง ชุดหยกทั้งตัวนั้นเป็นการออกแบบอย่างประณีตและพิถีพิถันอย่างที่สุดและทำชุดได้อย่างไร้รอยต่อ
อย่างไรก็ตามเมื่อนำชุดที่พบในสุสานจักรพรรดิ์ชูมาเทียบกันกับชุดที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้วนั้นชุดที่อยู่ตรงหน้านี้ดีกว่ามากนี่ทำให้โจวฉือเซียนไม่อาจจะเชื่อได้ว่านี่คือของจริง ด้วยสภาพชุดหยกไหมทองคำนี้หากว่าเป็นของจริงล่ะก็ไม่มีทางประเมินคุณค่าเป็นตัวเงินได้อย่างแน่นอน
“ทำไมมีแต่ตรงหน้านั่นที่ไม่มีอะไรเลยล่ะ” เอี้ยป๋อนั้นได้พบว่ามีบางชิ้นส่วนหายไป ด้วยการที่ไฟพื้นที่นี้ส่องเอาไว้ด้วยแสงอ่อนเขาจึงต้องเพ่งดูดีๆ เขาเพ่งอยู่นานจึงเห็นได้ชัดขึ้นและตอนนั้นเองเขาก็ได้เห็นว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ข้างในจนอุทานออกมาว่า “ศพ!!!!!”
“ห้ะ คุณซูเล่นอะไรกัน ทำไมเขาถึงได้ใช้ศพจริงๆล่ะ” โจวฉือเซียนเองที่ได้เห็นก็ตกใจไม่แพ้กัน
“เดี๋ยวนะ ต้องมีบางอย่างผิดพลาดแน่ คุณซูไม่มีเหตุผลที่จะนำศพมาจัดแสดงโดยไม่มีเหตุผลหรอก” เอี้ยป๋อเองก็ได้พูดออกมา และนี่เองทำให้โจวฉือเซียนที่เป็นนักธรนีวิทยาที่กำลังตื่นตกใจอยู่รีบสงบจิตสงบใจลงในทันที
เมื่อเขาสงบจิตใจลงได้แล้วเขาก็ได้ลองเพ่งดูใกล้ๆอีกครั้ง เมื่อเขานั้นได้เห็นศพข้างในชัดๆแล้วก็ต้องประหลาดใจ ข้างในนั้นเป็นศพก็จริงแต่ศพนั้นดูแห้งผาดราวกับเป็นศพที่ตายมานานมากเพียงแต่ว่าหน้าตายังดูสมบูรณ์ราวกับมีชีวิตอยู่เท่านั้น
“โอ้ะ ตรงนั้นมีแผ่นข้อมูลด้วยแหะ ขออ่านก่อนนะว่าตอนนี้เรากำลังดูอะไรกันแน่” โจวฉือเซียนได้พูดออกมาในขณะที่ชี้ไปยังแผ่นกระดานข้อมูลที่อยู่ข้างๆ หลังจากที่เขาได้อ่านข้อมูลไปก็ทำได้เพียงอยู่ในสภาพตกตะลึง
“อายุห้าพันปี…เป็นได้ได้เหรอ” เอี้ยป๋อเองที่ยืนอ่านข้อมูลก็ได้เปยออกมาเบาๆ
“เป็นไปไม่ได้น่า ฉันไม่เชื่อหรอก ชุดหยกไหมทองที่สมบูรณ์ขนาดนี้ไม่มีทางที่จะมีอายุกว่าห้าพันปีได้อย่างแน่นอน” โจวฉือเซียนส่ายหัวที่ยิบในขณะที่พูดออกมา ก็ไม่แปลกที่เขาจะไม่เชื่อ เพราะมันช่างต่างกับสิ่งที่เขาเคยเห็นมาอย่างสิ้นเชิง
เขานั้นเคยได้เห็นศพโบราณมาก่อนแล้ว ศพที่เขาเคยเห็นนั้นเป็นศพผู้หญิงที่รู้จักกันในนามโลวหลัน ตอนที่พบร่างของเธอนั้น เธอถูกห่อหุ้มไว้ด้วยผงแป้งและถูกพันไว้ด้วยผ้าเก่าทั่วทั้งตัว
ด้วยการที่เวลาผ่านไปนานทำให้ผ้าที่ห่อหุ้มไว้บางส่วนฉีกขาดและนั่นทำให้ศพส่วนนั้นสลายกลายเป็นผง มีเพียงเฉพาะส่วนที่ผ้ายังไม่ฉีกขาดและบริเวณใบหน้าเท่านั้นที่ยังอยู่ดี
ร่างของโลวหลันนั้นเป็นหญิงสาวที่สวยงาม ตอนที่เจอนั้นดูเหมือนเป็นร่างของสาวน้อยที่กำลังหลับ ริมฝีปากของเธอยังเผยอราวยิ้มอยู่ ราวกับว่ากำลังนอนหลับและฝันดีอยู่เท่านั้นเอง
มีการกล่าวเอาไว้ว่าเธอนั้นเป็นเจ้าหญิงของราชวงศ์หนึ่ง เธอมีส่วนสูงเพียง 1.585 เมตร และนอนหลับอยู่ในทะเลทรายแห่งนั้นกว่า 3800 ปีมาแล้ว
ใช่แล้ว ขนาดศพของโหลวหลันนั้นยังมีอายุเพียง 3800 ปีเท่านั้น การที่อยู่ๆมีศพที่อายุมากกว่า 5 พันปีแบบนี้โผล่ออกมาแบบนี้จะหมายความว่ายังไงกัน
ถึงแม้ว่าจะเป็นที่รู้กันดีว่าประเทศจีนนั้นมีประวัติศาสตร์อันยาวนอนมากกว่า 5 พันปี แต่ยังไงซะเรื่องนี้ก็ยังขาดหลักฐานทางประวัติศาตร์ที่มากพอเกินกว่าจะทำให้ชาวต่างชาติยอมรับได้
พวกเขานั้นแค่ยอมรับเพียงแค่ว่าชนชาติจีนนั้นคงอยู่เพียงแค่สามพันกว่าปีเท่านั้น ซึ่งนั่นอยู่ในช่วงสมัยราชวงศ์ชางตอนปลาย หากมีศพที่มีอายุมากกว่าห้าพันปีออกมาแบบนี้นี่จะเป็นหลักฐานยืนยันว่าชนชาติจีนนั้นมีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาอย่างแท้จริง
“นักประเมินอย่างคุณซ่งและคุณเฉินนั้นทั้งสองเองก็เป็นนักโบราณคดีนะ แถมเขานั้นมีชื่อเสียงและเป็นที่นับถือในวงการนักประเมินเลยนะ พวกเขาไม่มีทางเขียนผิดอย่างแน่นอน” เอี้ยป๋อพูดออกมา
“ฉันไม่เชื่ออย่างแน่นอน ฉันต้องไปถามพวกเขาด้วยตัวเอง” โจวฉือเซียนพูดออกมา
เมื่อทั้งสองไปพบเฉินฮงและผู่อาวุโสซ่งก็รีบถามเรื่องนี้ในทันที นี่เองก็ทำให้ผู้อาวุโสซู่ ผู้อาวุโสซี่ อลัน แอนนา หนุ่มใส่แว่นและคนอื่นๆที่ได้ยินที่สองคนถามต่างก็รีบเดินมาที่ตู้กระจกตัวต้นเรื่องในทันที
ทันที่ได้เห็นชุดหยกไหมทองคำนั้นทุกคนต่างก็ตกตะลึงในความสวยงามและความสมบูรณ์ของชุด และยิ่งได้เห็นศพที่ยังดูดีราวกับมีชีวิตและแผ่นบรรยายที่บอกว่าศพนี้มีอายุกว่าห้าพันปีก็ทำได้เพียงแค่นิ่งอึ้งไป
“พระเจ้า ไม่มีทางเป็นไปได้” อลันได้พูดออกมาพร้อมแสดงออกมาด้วยท่าทางตื่นเต้นจนออกนอกหน้ารู้ได้เลยว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
“ห้าพันปีเหรอ นั่นไม่ใช่ยุคสามกษัตริย์ห้าจักรพรรดิ์(สามราชาห้าจักรพรรดิ)ในตำนานเรื่องเล่าของจีนไม่ใช่เหรอ” แอนนาผู้ที่ศึกษาตำนานเรื่องราวจีนมาอยู่บ้างได้ทักออกมา
ยุคสามราชาห้าจักรพรรดิที่ว่านั้นปรากฎอยู่ในเอกสารที่มาจากยุคราชวงศ์เซี่ย ถือได้ว่ายุคสามราชาฯนี้ถือได้ว่าเป็นยุคที่ยังไม่มีตัวอักษรทำให้ไม่มีหลักฐานจารึกเอาไว้อย่างเป็นทางการ แน่นอนว่าชาวต่างประเทศนั้นไม่มีการยอมรับเรื่องนี้อย่างแน่นอน
หากศพที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานั้นได้รับการยืนยันแล้วว่ามีอายุมากกว่าห้าพันปีล่ะก็ แน่นอนว่าเรื่องนี้เท่ากับตบหน้าชาวต่างประเทศที่คัดค้านเรื่องนี้กันอย่างถ้วนหน้า
ความจริงแล้วอย่าว่าแต่ศพนี้จะมีอายุกว่าห้าพันปีเลย แค่บอกว่าอายุสามพันปีน้อยคนนักที่อยากจะเชื่อเรื่องนี้ แต่ที่นี่คือพิพิธภัณฑ์ของซูจิ้งเลยนะ คนอย่างเขาจำเป็นทำของปลอมด้วยเหรอ
หลังจากได้เห็นสมบัติมากมายของเขาแล้วล่ะก็ต่อให้จะไม่เชื่อจริงๆแต่ก็ต้องทึ่งในความน่าอัศจรรย์ของศพนี้อยู่ดี
“พี่เฉิน พี่ซ่ง พี่ทั้งสองลองให้เราสองคนตรวจสอบศพนี่ได้รึเปล่าครับ” โจวฉือเซียนได้ถามออกมาด้วยความตื่นเต้น ในฐานนะนักโบราณดีนั้นแน่นอนว่าทั้งคู่ต้องชำนาญด้านกรตรวจสอบมากกว่าเฉินฮองกับผู้อาวุโสซ่งอย่างแน่นอน
“ไม่มีปัญหานะ คุณซูเองก็บอกไว้แล้วเหมือนกันว่าหากมีผู้เชี่ยวชาญต้องการจะตรวจสอบก็สามารถทำได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ว่าพิพิธภัณฑ์ยังเปิดอยู่แบบนี้เกรงว่าจะไม่สะดวกเท่าไหร่ เอาเป็นรอหลังจากพิพิธภัณฑ์ก่อนก็แล้วกัน” ผู้อาวุโสซ่งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มราวกับเข้าใจดีว่าทำไมคนพวกนี้ถึงได้มีท่าทีตื่นเต้นนัก
พวกเขาเองก็ตื่นเต้นแบบนี้เหมือนกันตอนที่รู้และพึ่งจะสงบอารมณ์ของตัวเองได้เมื่อไม่นานนี้เอง
ความจริงแล้วทั้งโจวฉือเซียนและเอี้ยป๋อนั้นอยากจะทำการตรวจประเมินศพนี้เสียตอนนี้เลยด้วยซ้ำ แต่ยังไงซะที่นี่ก็เป็นพิพิธภัณฑ์ของคนอื่น
แน่นอนว่าการกระทำของพวกเขานั้นแม้จะมีเหตุผลแต่ก็ไม่ควรจะไปรบกวนผู้อื่น อีกอย่างการประเมินเมื่อทำอยู่ต่อหน้าผู้อื่นนั้นแน่นอนว่าย่อมเกิดความกดดันและนั่นอาจทำให้การประเมินอายุนั้นผิดพลาดไปได้
แต่ทั้งสองเองก็ไม่ได้อยากจะเสียเวลาแม้แต่น้อย พวกเขานั้นได้โทรกลับไปบอกกับคนของพวกเขาที่อยู่ที่สถาบันตรวจประเมินให้เตรียมพร้อมเอาไว้
“แหม่ หากอายุที่ออกมาเกินห้าพันปีล่ะก็คงมีฮาแน่ๆ” ผู้อาวุโสพูดออกมาและผู้อาวุโสเซี่ยได้พยักหน้าเห็นด้วยในทันที ถึงแม้ว่าศพนี้อาจจะไม่ได้สร้างชื่อเสียงได้เท่ากับวัตถุจากเมืองที่สาบสูญแอตแลนติส แต่นี่คือหน้าตาของเมืองจีนของพวกเขาเลยทีเดียว
“….” ชายเจาะหูและชายใส่แว่นในตอนนี้ได้แต่ยืนนิ่งๆ พวกเขานั้นไม่ได้พูดคุยกันแม้แต่น้อยอย่างที่ผ่านมาว่าศพนี้มีมูลค่าเท่าไหร่
ไม่ว่าทั้งสองจะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือไม่ ตราบใดที่ยังมีสมองอยู่บ้างย่อมรู้ดีว่าศพนี้นั้นไม่สามารถประเมินค่าได้
GGS:บทที่ 955หัวผักกาดหนึ่งหัว
“พระเจ้า นี่มัน….”
ในตอนนี้เหล่าผู้คนในงานที่กำลังล้อมวงดูชุดเกราะหยกไหมทองคำและซากศพอายุกว่าห้าพันปีหันไปทางต้นเสียงที่อยู่ไม่ไกลในทันที
พวกเขาได้เห็นชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเสียความเป็นตัวเองและทำการเม้มปากไว้นั่นทำให้คำพูดที่เขาเกือบจะพูดออกมานั้นไม่ได้หลุดออกมาจากปาก แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะเรียกให้คนอื่นสนใจได้แล้ว
“อะไรล่ะนั่น” ผู้อาวุโสหวู่พูดออกมาอย่างสงสัย จากจุดที่เขายืนอยู่ตอนนี้ สิ่งที่เขาเห็นนั้นเป็นเพียงกล่องกระจกขนาดใหญ่มากๆโดยมีของบางอย่างอยู่ช้างใน แต่หลังจากที่เพ่งอยู่เพียงพักหนึ่ง สายตาของเขาก็เบิกโพลงพร้อมอุทานออกมาดังลั่นว่า “ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ พระเจ้า”
หากมองผ่านๆนั้น สิ่งที่อยู่กล่องกระจกอันใหญ่นั้นมันก็เป็นเพียงหัวผักกาดที่ดูใหญ่มากเท่านั้น ความสูงของมันอยู่ที่สามไม่ก็สี่เมตรเลยทีเดียว แต่เมื่อลองดูดีๆจะพบว่าสิ่งที่เห็นมันคือหัวผักกาดที่แกะมาจากหยก มันดูสดใสราวกับหัวผักกาดจริงๆ ดูจากสีขาวและสีเขียวที่ทำให้มันดูสดได้ขนาดนี้ แน่นอนว่าช่างผู้แกะสลักมันนั้นย่อมต้องไม่ใช่ช่างฝีมือธรรมดา
“พระเจ้า หัวผักกาดหยกที่ดูเหมือนจริง…ใหญ่โคตร……………..” ผู้อาวุโสเซี่ยอุทานออกมาอุทานออกมายาวๆจนแทบจะหมดลมหายใจของเขา
สิ่งเนี่ยเรียกกันโดยทั่วไปว่าหัวผักกาดหยก ประเมินจากสีสันที่ดูสดใหม่นี้หยกที่ใช้ต้องเป็นหยกสองสีครึ่งเขียวและครึ่งขาวเป็นวัตถุดิบอย่างแน่นอน
เมื่อพูดถึงหัวผักกาดหยกนี้คนส่วนใหญ่จะนึกถึงหัวผักกาดหยกที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหัวผักกาดหยกที่ดีที่สุดสองหัว
หัวหนึ่งนั้นเป็นหัวผักกาดหยกที่เกาะสลักตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฉิง มันมีความยาว 18.7 เซนติเมตร กว้าง 9.1 เซนติเมตร และหนา 5.07 เซนติเมตร
หัวผักกาดหัวนี้นั้นแกะสลักได้ราวกับว่ามันคือหัวผักกาดจริงๆทั้งๆที่จริงๆแล้วมันคือหยกก้อนหนึ่ง หยกก้อนหนึ่งที่สีเขียวเข้าราวกับผักกาดและสีขาวสะอาดราวกับก้านผักกาด จนทำให้ทุกคนที่มองผ่านๆต่างก็นึกว่าเป็นผักกาดจริงๆ
บนใบของหัวผักกาดหยกใบหนึ่งยังได้มีตั้กแตนและจิ้งหรีดอยู่บนใบราวกับว่าเป็นเด็กๆกำลังนั่งรอปู่นั่งเล่านิทานอยู่
อีกหนึ่งหัวถูกรู้จักกันในนามหัวผักกาดหยกสามตัน ในช่วงปี 2012 บริษัทคุนหมิงอินเตอร์เนชั่นแนลได้จัดแสดงหัวผักกาดหยกที่มีความความกว่า 1.8 เมตรและหนักถึง 3 ตัน ส่วนน้ำหนักของหยกดิบที่นำมาใช้เองนั้นมีน้ำหนักกว่า 7 ตัน
การแกะสลักหยกนี้ได้ใช้ช่างแกะสลักหยกสองคนและใช้เวลาไปกว่าสามปีเพื่อที่จะทำให้มันสำเร็จ และนี่เองทำให้ราคาของมันนั้นพุ่งสูงไปถึง 480 ล้านหยวน
ถึงแม้จะราคาของมันจะขึ้นไปสูงขนาดนั้นแต่รายละเอียดของหัวผักกาดที่แกะสลักเองก็ดูธรรมดาไม่ได้ดูเหมือนจริงแต่อย่างใด มีเพียงขนาดเท่านั้นที่พอจะเทียบกับชิ้นแรกที่ว่ามาได้
เหนือสิ่งอื่นใดแล้ว หัวผักกาดหยกที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขานั้นนอกจากจะมีรายละเอียดที่ดีราวกับเป็นหัวผักกาดจริงๆและเหมือนจริงเสียยิ่งกว่าหัวที่แกะในสมัยราชวงศ์ฉิงเสียอีก
ยิ่งไปกว่านั้นขนาดของมันยังใหญ่มากชนิดที่ไม่มีงานหัวผักกาดหยกชิ้นไหนที่เขาเห็นเทียบได้ จึงไม่แปลกที่ผู้อาวุโสหวู่และผู้อาวุโสเซี่ยตกใจจนอุทานออกมา
“ไม่เพียงจะดูเหมือนหัวผักกาดจริงๆ มันยังใหญ่ยักษ์อีกด้วย ลองดูที่รายละเอียดการแกะสลักนี่สิ” ผู้อาวุโสหวู่ได้แสดงท่าทางตื่นเต้นออกมา
“เดี๋ยวนะ” ผู้อาวุโสซี่ได้ลองเข้าไปดูใกล้ๆจนหน้าแทบจะแนบกับกระจก ยิ่งเขาจ้องหัวผักกาดนี่นานเท่าไหร่ ดวงตาของเขาก็ยิ่งเบิกกว้างเมื่อถึงที่สุดเขาก็ได้พูดออกมาด้วยความตกใจว่า “พระเจ้า หยกนี่มันใส ส่วนสีเขียวนี่มันคือหยกเขียวจักรพรรดิ์ บ้าไปแล้ว เป็นไปได้ยังไงกัน ไม่มีทางเป็นไปได้แน่ๆ”
ถึงจะเรียกว่าหยกเหมือนกันแต่เมื่อคุณภาพต่างกันแล้วยังไงราคาย่อมต่างกันเป็นธรรมดา หยกที่มีความแวววาวประดุจแก้วนั้นจะเรียกว่าหยกจักรพรรดิ์ยิ่งมันกระจ่างใสมากเท่าไหร่ก็ยิ่งถือว่าคุณภาพดีเท่านั้น ความกระจ่างใสนี่ก็อีกเรื่องหนึ่งนั่นก็เพราะหยกจักรพรรดิ์ยังมีการแบ่งตามสีและสีที่เป็นที่นิยมมากที่สุดนั่นก็คือสีเขียวจักรพรรดิ์
สีเขียวจักรพรรดิ์เป็นสีที่หาได้ยากยิ่ง แน่นอนว่ามันเป็นเพราะสีของหยกประเภทนี้หาได้ยาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากว่าเพียงกำไลหยกจักรพรรดิ์ที่ดีๆหนึ่งวงจะราคาพุ่งสูงถึงสิบล้านหยวนและนี่ก็ยังถือว่าเป็นเพียงราคาขั้นต่ำอีกด้วย
และในตรงหน้าของเขาตอนนี้นั้นก็คือหยกจักรพรรดิ์ขนาดสูงเกือบจะสี่เมตรซึ่งมันเป็นหยกที่ใหญ่ราวกับยักษ์ แน่นอนว่าต่อให้ไม่ได้แกะออกมาเป็นหัวผักกาดแบบนี้แค่ตัวมันเองราคาก็น่าสะพรึงแล้ว
ลองคิดดูสิว่าหยกก้อนขนาดนี้จะทำกำไลหยกหรือไม่ก็ลูกประคำได้มากมายขนาดไหน หากเป็นช่างฝีมือทั่วไปแล้วบอกได้เลยว่าไม่มีทางที่จะเสี่ยงแกะสลักหยกก้อนนี้ให้กลายเป็นหัวผักกาดยักษ์สูงเสียดฟ้าแบบนี้ได้อย่างแน่นอน
“พระเจ้า นี่มันหัวผักกาดหยกไม่ใช่เหรอ” เอี้ยป๋อที่เดินตามมาทีหลังเมื่อเห็นหัวผักกาดนี้ก็ได้พูดออกมา
“นี่…มัน…ไม่ใหญ่ไปเหรอ” โจวฉือเซียนที่ตามมาติดตามก็ยืนอึ้งไม่ต่างกัน
“พระเจ้า” อลันเองที่สับเท้าเดินมาอย่างไวได้แต่อึ้งจนอุทานออกมา
“ตอนแรกที่เห็นฉันก็นึกว่ามันเป็นแค่หัวผักกาดอันใหญ่ยักษ์เท่านั้น ไม่นึกเลยว่าพอมองดูดีๆแล้วมันจะเป็นหยกแบบนี้ ช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ” แอนนาพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“หัวผักกาดนี่มันสุดยอด….” ชายเจาะหูเองก็แสดงอาการประหลาดใจออกมาอย่างเต็มที่ ขนาดเขานั้นไม่ใช่คนในวงการก็ยังคิดเลยว่าหัวผักกาดหยกนี่ช่างน่ามหัศจรรย์ มันดูเหมือนจริงจนเขาต้องถามออกมาว่า “พี่เฉิน หัวผักกาดนี่คงไม่ใช่สุดยอดสมบัติอีกนะ ราคามันเท่าไหร่กัน”
อย่างไรก็ตามเมื่อไม่ได้ยินคำตอบชายเจาะหูจึงได้หันไปหาว่าชายใส่แว่นกำลังทำอะไร ภาพที่เขาเห็นก็คือชายใส่แว่นยืนนิ่งอึ้งไปแบบจริงจัง มีอีกหลายๆคนเองก็ไม่ต่างกัน
“เฮ้ พี่ชาย” ชายเจาะหูได้สะกิดเรียกชายใส่แว่น
“ราคาเท่าไหร่…” หลังจากพูดออกมาเบาๆชายใส่แว่นก็ได้หัวเราะเล็กน้อยอย่างน่าสยดสยองก่อนจะพูดออกมาว่า “แกไม่ต้องมองฉันเลย และอย่าว่าแต่ฉันเลย นักประเมินหยกจากทั่วโลกเองก็ไม่มีทางประเมินค่ามันได้อย่างแน่นอน ต่อให้มันแตกหรือหัก ราคาของมันก็ยังประเมินไม่ได้อยู่ดี”
คำพูดของหนุ่มแว่นนี้ไม่ได้เกินเลยแต่อย่างใด หากใช้หยกก้อนใหญ่ขนาดนี้ไปผลิตเป็นสร้อยคอ กำไร หรือเครื่องประดับอื่นๆ ลองนึกดูสิว่ามันจะทำได้กี่ชิ้นกัน นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงประเมินค่าหยกก้อนนี้ไม่ได้
และยิ่งไปกว่านั้นหยกก้อนนี้ยังถูกนำมาแกะสลักเป็นหัวผักกาดหยกที่สมบูรณ์สุดๆ หากจะมีคนอยากจะแยกส่วนหยกหัวผักกาดนี้ไปทำเป็นเครื่องประดับ แน่นอนว่าคนๆนั้นจะต้องถูกตามล่าจากคนทั้งโลกอย่างแน่นอน
แต่ถ้าไม่ทำแบบนั้นแล้วนำออกขายแบบนี้ไปเลย จะมีสักกี่คนที่สามารถซื้อมันได้ ต่อให้เป็นสิบคนรวยที่สุดในโลกก็ต้องมีเข้าเนื้อกันบ้างล่ะ หากสมบัติชิ้นนี้ถูกนำไปขายแน่นอนว่าย่อมมีคนอยากได้ แต่ราคาของมันจะประเมินยังไง
ผู้คนที่เข้ามาชมห้องนี้ในตอนนี้ต่างก็เป็นบ้ากันไปหมดแล้ว หากบอกกันตรงๆแล้วโดยปกติการเข้าไปยังพิพิธภัณฑ์นั้นจะมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าอาการชาชิน มันเป็นอาการของคนที่เห็นของสุดยอดติดๆกันจนไม่แสดงอาการอะไรหลังจากที่เห็นของอื่นในพิพิธภัณฑ์ช่วงท้ายๆ
แต่กับพิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์ของซูจิ้งแห่งนี้ พวกเขานั้นได้เห็นของสุดยอดมากมาย แต่กับไม่มีท่าทีชาชินเลยสักนิด อย่างน้อยๆเมื่อทุกคนได้เห็นหัวผักกาดหยกนี้ก็ตื่นตะลึงไปทั่วกันทุกคน
การใส่สร้อยคอหยกจักรพรรดิ์นั้นเพียงแค่นี้ก็สามารถเดินอวดโฉมในโลกได้แล้ว จะมีใครสักกี่คนกันที่ได้ครอบครองหยกจักรพรรดิ์ แต่ต่อหน้าฉันในตอนนี้กลับหยกจักรพรรดิ์ที่สูงและใหญ่ประหนึ่งดังจรวดแบบนี้ ต่อให้เอาทั้งหมดไปทำสร้อยคอก็ยังเอาไปโยนทับช้างให้ตายยังได้เลย
จะให้เปรียบเทียบง่ายๆหน่อยก็คงจะเรียกว่าคนละระดับกันก็ว่าได้ สำหรับคนอื่นนั้นหยกจักรพรรดิ์แบบนี้มีเพียงแต่ชั่งเป็นกรัมขาย แต่กับซูจิ้งนั้นมีเพียงชั่งเป็นตันขายเท่านั้น นี่คือสิ่งที่เรียกว่าคนละระดับกัน
“นี่ฉันแพ้อย่างราบคาบเลยสินะ” โจวฉือเซียนที่แทบจะคลั่งออกมาในทันทีที่เห็นหยกนี่ได้ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์แล้ว นี่เป็นสิ่งที่ต่างจากที่เขาคิดไว้มากนัก เขาคิดไว้ก่อนหน้านี้ว่าของที่ซูจิ้งจัดแสดงนั้นเป็นเพียงการนำของมาหลายๆชนิด ชนิดละอย่างสองอย่างเพื่อให้มันดูเยอะเท่านั้น ความจริงเขาก็คิดถูกครึ่งหนึ่งเพราะถ้าไม่นับเครื่องลายครามสมัยราชวงศ์ฉิงล่ะก็ ของๆซูจิ้งที่นำมาจัดแสดงมีเพียงชนิดละไม่กี่ชิ้นเท่านั้น
แต่ในทุกๆชิ้นนั้นกับสามารถสร้างความตื่นตะลึงและแรงกระเพื่อมให้กับวงการได้อย่างง่ายดาย บางชิ้นถึงขนาดที่ว่าสร้างแรงกระเพื่อมไปทั้งโลกได้
“…นายน้อยฮัวของเราจะเปิดพิพิธภัณฑ์ที่ดีกว่านี้สิบเท่าได้จริงๆเหรอ?” หนุ่มเจาะหูพูดออกมาก่อนที่จะพยายามกลืนน้ำลายที่แห้งผากลงคอ
“………” หนุ่มใส่แว่นเองที่ได้ยินคำถามนี้เหมือนเขายากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ทำได้เพียงแค่เม้มปากเอาไว้ แค่จะเปิดพิพิธภัณฑ์ให้ดีเท่านี้ก็ยากพอๆกับได้ขึ้นสวรรค์ ต่อให้คนที่รวยที่สุดในโลกมาเห็นก็ยังไม่กล้าพูดคำนี้ออกมาเลย
แล้วนายน้อยฮัวที่อยู่ห่างไกลจากคนที่รวยที่สุดในโลกนับพันเท่ายังจะบอกว่าเขาจะเปิดพิพิธภัณฑ์ที่ดีกว่านี้สิบเท่าเนี่ยนะอย่ามาถามเลยดีกว่า หากมีคนมาได้ยินล่ะก็คงถูกหัวเราะเยาะอย่างแน่นอน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น