Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 950-951
GGS:บทที่ 950 ใครกันที่ช่วย
ในที่สุดทีมเก็บกู้ใต้น้ำจากจีนก็รอดปลอดภัยกลับไปได้ แต่การเดินทางของพวกเขาในครั้งนี้เก็บเกี่ยวได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น จะบอกว่าเสียเปล่าก็ว่าได้
ถึงจะเป็นแบบนั้น ฮัวหยุนซูเองก็รวยพอที่จะไม่ได้เสียดายเงินก้อนนี้ และเขาก็ไม่ได้กล่าวโทษต่อเอี้ยป๋อ โจวฉือเซียน และนักเก็บกู้คนอื่นๆแม้แต่น้อยหลังจากได้ยินเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ราวกับว่าเขาไม่ได้ใส่ใจกับการเก็บกู้ครั้งนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
แต่ก็ยังมีเรื่องที่ต้องทำให้เขานั้นประหลาดใจอยู่นั่นก็เพราะว่าอีกสองวันต่อมาทางญี่ปุ่นได้กล่าวหาพวกเขา พวกญี่ปุ่นต้องการให้ทีมเก็บกู้ของจีนนั้นขึ้นศาลโลกด้วยข้อกล่าวหาที่ว่าได้ทำการปล้นและฆ่าทีมเก็บกู้จากจีน
ขนาดพวกเขานั้นบอกความจริงไปแล้วต่อทางรัฐบาลญี่ปุ่นเองไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย พวกนั้นเชื่อแบบฝังใจเลยว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะทีมเก็บกู้จากจีน
เป็นไปได้ว่าทางรัฐบาลญี่ปุ่นรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าทีมเก็บกู้จากจีนนั้นเป็นผู้พบซากเรือใต้น้ำเป็นทีมแรกและนี่อาจเป็นชนวนเหตุให้ทั้งสองทีมเกิดการปะทะกันขึ้น
“ไอ้พวกญี่ปุ่นนี่กัดไม่ปล่อยจริงๆเว้ย” โจวฉือเซียนในตอนนี้โกรธจัดจนสบถออกมา เขารู้สึกได้เลยว่าการยุ่งเกี่ยวกับทีมเก็บกู้จากญี่ปุ่นในครั้งนี้ไม่สิต้องบอกว่าการไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกญี่ปุ่นนั้นไม่เคยมีอะไรดีเลย
นอกจากสมบัติจะโดนพวกนั้นขโมยไปแล้วแถมไอ้พวกนั้นยังจะพยายามขโมยพวกเขาซ้ำอีก ถึงแม้พวกเขาจะถูกหมึกยักษ์ช่วยไว้ก็ตามแต่ตอนนี้พวกเขาก็โดนตราหน้าเป็นโจรสลัดไปเรียบร้อยแล้ว
“ไอ้พวกนั้นมันชอบกัดไม่ปล่อยอยู่แล้วล่ะนะ” เอี้ยป๋อถอนหายใจสั้นๆก่อนหัวเราะออกมา
“เอาไงต่อล่ะ” โจวฉือเซียนพูดออกมา
“เอาเป็นไปขึ้นศาลก่อนก็แล้วกัน พวกเราไม่มีอะไรต้องกลัวอยู่แล้วนี่” เอี้ยป๋อพูดออกมา
ด้วยการร้องขอของญี่ปุ่นในครั้งนี้นั้น ในฐานะที่ญี่ปุ่นอยู่ในการควบคุมดูแลของอเมริกาจึงทำให้ไม่สามารถปฎิเสธได้ แน่นอนว่าพวกเขาเองก็จะร่วมการสืบสวนในครั้งนี้ด้วย
แต่ยังไงซะ โจวฉือเซียน เอี้ยป๋อ และคนอื่นๆในทีมเองไม่ได้ทำอะไรแม้แต่น้อย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเป็นผู้ถูกกระทำฝั่งเดียวอีกแน่นอนว่าพวกเขานั้นไม่มีอะไรต้องกลัว หากจะกลัวก็มีเพียงเรื่องเดียวนั่นก็คือการที่ญี่ปุ่นจะสร้างหลักฐานเท็จจนทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศจีนนั้นดูไม่ดีต่อสายตาชาวโลก
ถึงจะบอกด่ารัฐบาลญี่ปุ่นนั้นไม่สามารถหาหลักฐานได้มากพอที่จะยืนยันได้ว่าทีมเก็บกู้จากจีนเป็นผู้สังหารทีมเก็บกู้จากญี่ปุ่น แต่ในทางกลับกันพวกเขาเองก็ไม่สามารถหาหลักฐานยืนยันได้เหมือนกันว่าพวกเขานั้นเป็นเพียงผู้ถูกกระทำเท่านั้น แน่นอนว่าเรื่องนี้จะต้องการเป็นคดีความที่ยาวนานอย่างไร้สาระอย่างแน่นอน
“ว่าแต่ตอนนี้ทีมเก็บกู้จากอเมริกาก็อยู่ไม่ไกลนี่นะ พวกนั้นก็น่าจะช่วยเป็นพยายานได้ว่าเกิดอะไรขึ้นนี่” โจวฉือเซียนพูดออกมาและพูดต่อว่า
“ตอนที่พวกเราออกมาจากจุดเก็บกู้นั้น ฉันจำได้ว่าพวกอเมริกานั่นก็ตามเรามาเหมือนกัน พวกนั้นควรจะเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี่ นี่จะเป็นพยานของพวกเรา”
ในตอนนี้นั้นต่อให้ทีมนักเก็บกู้จากจีนพูดอะไรออกมามันก็เป็นเพียงการแก้ตัวเท่านั้น แต่หากทีมเก็บกู้จากอเมริกามาช่วยยืนยันล่ะก็ แน่นอนว่าเรื่องนี้จะจบได้โดยไว
“จริงด้วย เราให้พวกนั้นเป็นพยานให้พวกเราได้นี่นา” เอี้ยป๋อพูดออกมาด้วยสายตาที่มีความหวัง
คิดได้ดังนั้น ทั้งคู่ได้ลองใช้เส้นสายของตัวเองติดต่อกับทีมเก็บกู้จากอเมริการอยู่นานจนสามารถติดต่อได้
คิดไม่ถึงว่าเมื่อติดต่อได้แล้วจะได้รับคำตอบกลับมาว่าพวกเขานั้นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย ไอ้เรื่องที่ว่าทีมเก็บกู้จากญี่ปุ่นปล้นทีมเก็บกู้จากจีนแต่ถูกหมึกยักษ์เล่นงานนั่นพวกเขาเองก็ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
แถมยังยื่นข้อเสนอกลับมาว่าหากอยากให้พวกเขาเป็นพยานล่ะก็ จงนำสมบัติที่ได้มาแบ่งครึ่งกับทีมเก็บกู้จากอเมริกาซะ
ถึงแม้เอี้ยป๋อและโจวฉือเซียนเองถึงแม้นะมีชื่อเสียงในระดับโลกอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับทีมเก็บกู้จากอเมริกานั้นก็ยังถือว่าห่างไกลนัก ยังซะพวกเขานั้นไม่ได้อะไรกลับมาเลยในครั้งนี้ ต่อให้พวกเขาอยากจะแบ่งเพื่อให้มันจบๆไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังรู้สึกมืดแปดด้านอยู่นั้น อยู่ๆก็ได้มีวิดีโอหนึ่งได้ถูกเผยแพร่ไปทั่วอินเตอร์เน็ต วิดีโอที่ว่านั่นมีความยาวหลายนาที และความคมชัดนั้นราวกับใช้กล้องและช่างภาพมืออาชีพเลยก็ว่าได้
เนื้อหาในวิดีโอเป็นเรื่องราวที่ทีมเก็บกู้จากญี่ปุ่นนั้นได้ทำการข่มเหงทีมเก็บกู้จากจีนอย่างหน้าด้านๆ และไม่นานนักพวกนั้นก็ถูกหมึกยักษ์โจมตีและฆ่าตายไปทีละคน ทีละคน
ทันทีที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้เห็นวิดีโอนี้ก็ทำได้เพียงเงียบปากไปเท่านั้น นี่ราวกับว่าพวกรัฐบาลญี่ปุ่นถูกตบหน้าโดยตรงจนเลือดกลบปากแต่ก็ไม่กล้าอ้าปากเถียงอีกต่อไป และนี่เองก็ทำให้ชาวเน็ตทั่วทั้งโลกต่างตกตะลึงไปกันหมด
“แม่… เอ๊ย พวกญี่ปุ่นนี่มันเลวชาติกันจริงๆ”
“เวลาที่พวกมันกลัวตายนั้นโคตรขี้ขลาดเลยนะเห็นรึเปล่า”
“ฉันละอายจนไม่อยากไปเจอหน้าคนจีนแล้ว”
“ฉันเองก็ละอายจนพูดอะไรไม่ถูกจนอยากจะดำดินหนีแล้ว”
“โว่ ตัวอะไรวะนั่น”
“หมึกยักษ์ นั่นมันหมึกโคตรยักษ์”
“เรือแตกเลยนะ มันสามารถแยกเรือได้เลย”
“มันโคตรเท่เลย เลือกฆ่าเฉพาะพวกเลวชาติซะด้วย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า พวกนั้นเลวขนาดที่ว่าหมึกยักษ์ยังไม่อยากจะปล่อยให้มีชีวิตอยู่เลยแหะ”
“โอ้ นรกมาเยือนจ้า”
“ฉันรักหมึกยักษ์ตัวจัง ตกหลุมรักษ์เลยดีกว่า”
“เฮ้เฮ้เฮ้ กลับเข้ามาในโลกแห่งความจริงกันหน่อย ฉันเป็นคนเดียวรึเปล่าที่คิดว่าหมึกยักษ์นั่นมันประหลาด มันตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่ปรากฎบนโลกนี้เลยนะ แถมมันยังทรงพลังมากด้วยถึงขนาดกระชากเรือแตกได้เลยนะ”
ชาวเน็ตในประเทศจีนนั้นต่างก็คุยเกี่ยวกับวิดีโอนี้กันไปทั่ว และนี่ทำให้วิดีโอแพร่กระจายไปทั่วโลกราวกับไฟลามทุ่ง
เรื่องราวที่ว่าทีมเก็บกู้จากญี่ปุ่นระรานทีมเก็บกู้จากจีนแล้วโดนหมึกยักษ์กวาดล้างสิ้นนี้ เพียงแค่สองหัวข้อนี้ก็มากพอที่จะทำให้ทั่วทั้งประเทศสนใจแล้ว
นี่ยังไม่รวมกับที่มีชาวเน็ตรู้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นคิดจะทำอะไรอีก พอรู้เท่านั้น ชาวเน็ตในจีนราวกับโดนสาดด้วยเลือดไก่ พวกเขานั้นได้ส่งต่อวิดีโอกันต่อไปเรื่อยจนทำให้แม้แต่คนที่ไม่ได้เล่นเน็ตก็ยังหยิบยกประเด็นนี้มาคุยกันที่ข้างถนน
ไม่เพียงเท่านั้นวิดีโอนี้ไม่เพียงจะเป็นที่พูดถึงกันทั่วทั้งในประเทศ แม้แต่ต่างประเทศอย่างอเมริกา รัสเซีย อังกฤษ และประเทศต่างๆ ต่างก็พูดคุยเรื่องนี้กันอย่างบ้าคลั่ง
ไม่เพียงจะพูดเกี่ยวกับความหน้าไม่อายของชาวญี่ปุ่นแล้ว พวกเขานั้นต่างตกตะลึงกับสัตว์ประหลาดอย่างหมึกยักษืที่ปรากฏมาเพียงในตำนานเท่านั้น
บางคนถึงกับตั้งทีมขึ้นมาเพื่อที่จะพยายามจับมันมาเพื่อมาศึกษา และเมื่อวิดีโอนี้ได้ถูกนำไปเผยแพร่ในประเทศญี่ปุ่น นี่ทำให้ชาวญี่ปุ่นถึงกับพูดไม่ออก
การที่หมึกยักษ์เป็นผู้ลงมือสังหารชนชาติตัวเองแบบนี้ก็เปรียบได้ดั่งผ้าที่ถูกรอยเปื้อนแล้วซักไม่ออก เพราะพวกเขานั้นไม่รู้จะเอาความโกรธแค้นก่อนหน้านี้ไปลงที่ไหนได้
ทันทีที่เอี้ยป๋อและโจวซิเซียนเองได้เห็นวิดีโอนี้ต่างก็ประหลาดใจและพยายามหาคำตอบว่าใครกันที่เป็นคนถ่ายวิดีโอนี้
วิดีโอนี้ไม่ใช่คนในทีมเก็บกู้ของเขาถ่ายเอาไว้อย่างแน่นอน ด้วยสถานการณ์ที่เกือบจะตายแบบนั้นใครจะไปมีอารมณ์ถ่ายวิดีโอแบบนี้ได้ อีกอย่างมุมกลอ้งนี่ถ่ายค่อนข้างจะห่างจากเรือมากนัก ห่างถึงขนาดที่ว่าถ่ายให้เห็นเรือของพวกเขาและเรือของพวกเลวชาตินั้นไว้ได้ทั้งสองลำเลยทีเดียว
ทั้งสองคนตอนแรกต่างก็คิดว่าเป็นทีมเก็บกู้จากอเมริการถ่ายไว้ แต่ก็ต้องล้างความคิดนั้นไปเพราะว่าในวิดีโอนั้นกลับปรากฎเรืออีกลำที่น่าจะเป็นเรือของอเมริกาลอยอยู่ไกลๆเป็นหลังฉาก
ไม่มีทางที่พวกนั้นจะถ่ายเอาไว้ได้อย่างแน่นอน แถมเมื่อคิดเรื่องที่พวกนั้นกดดันพวกเขาที่จะส่งสมบัติไปก่อนหน้านี้ ต่อให้ถ่ายไว้จริงก็ไม่มีทางปล่อยออกมาง่ายๆแบบนี้อย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้นี้พวกเขาเองก็ได้ตรวจสอบเพิ่มเติมเพื่อหลักฐานเพื่อเตรียมสู้คดีไว้ก็พบว่าตอนนี้ไม่มีใครผ่านไปแถวนั้นเลย นี่จึงทำให้วิดีโอนี้นั้นกลายเป็นเรื่องประหลาดเกินไป
“เหมือนกับว่าจะมีคนช่วยเหลือพวกเราไว้นะ” เอี้ยป๋อพูดออกมาตอนที่คิดในเรื่องที่ว่าอยู่ๆก็มีปมึกยักษ์ปรากฏออกมาและเล่นงานคนญี่ป่นุอย่างโกรธแค้นอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับปล่อยเรือของพวกเขาไว้ทั้งๆที่ควรจะโจมตีไม่เลือกตามสัญชาติญาณสัตว์ป่าแบบนี้ แถมยังถ่ายวิดีโอเพื่อเอาไว้เวลาแบบนี้อีก จะว่าโชคดีก็ไม่ใช่ จะว่าบังเอิญก็ไม่เชิง มันเหมือนกับว่าทุกอย่างอยู่ในมือใครบางคนไว้แล้ว
“เป็นไปไม่ได้น่า จะมีใครที่สามารถสั่งหมึกยักษ์แบบนี้ได้กัน ต้องเป็นเรื่องบังเอิญแน่ๆที่เรือของเราผ่านไปเขตของมันโดยไม่รู้ตัว” โจวฉือเซียนพูดออกมา
“…..ก็คงจริงล่ะนะ ใครกันที่จะไปสั่งหมึกยักษ์ได้” เอี้ยป๋อเองก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้เหมือนกัน หมึกยักษ์แบบนั้นแถมยังกลางทะเลแบบนั้นอีก ใครจะไปสั่งมันได้
GGS:บทที่ 951 พิพิธภัณฑ์เปิดแล้ว
เป็นซูจิ้งที่ถ่ายวิดีโอเหตุการณ์ปล้นเรือและนรกกลางทะเลนี้และปล่อยขึ้นไปบนอินเตอร์เน็ต ในตอนนั้นเขาได้คิดไว้แล้วอาจจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจึงได้ถ่ายวิดีโอเก็บเอาไว้เป็นหลักฐานตั้งแต่ต้นจนจบ
เอาจริงๆเขาก็ไม่ยากจะอัพโหลดวิดีโอนี้ขึ้นอินเตอร์เน็ตสักเท่าไหร่ เพราะนั่นจะเป็นการเปิดเผยการคงอยู่ของหมึกยักษ์หัวกลมต่อสาธารณชน
แต่ในเมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นนั้นคิดจะทำเรื่องหน้าไม่อายอย่างกล่าวหาทีมเก็บกู้จากจีนและคิดจะทำให้ชนชาติจีนขายหน้าต่อชาวโลกแบบนี้ แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่สามารถนิ่งนอนใจได้อย่างแน่นอน
ซูจิ้งได้ลองให้ใครบางคนวิเคราะห์สมบัติที่เขานำกลับมาจากก้นทะเล สมบัติทั้งหมดหลังจากประเมินแล้วนั้นมีมูลค่าประมาณสองพันล้านหยวน แน่นอนว่าสมบัติมูลค่าขนาดนี้ไม่ว่าประเทศไหนที่ได้ไปแน่นอนว่าย่อมกลายเป็นข่าวดังได้อย่างแน่นอน
ซูจิ้งเองตั้งใจว่าจะเก็บสมบัติพวกนี้ไว้ก่อน รอให้เรื่องซาลงแล้วค่อยว่ากันอีกทีว่าจะทำยังไงกับพวกนี้ต่อ เพราะไม่ว่าจะขายมันหรือมอบให้คนอื่นก็มีสิทธิ์ที่จะเชื่อมโยงมายังตัวเขาได้ เพราะเขาขี้เกียจมานั่งตอบคำถามเรื่องหมึกยักษ์และวิธีการที่เขาได้นำสมบัติพวกนี้มา
วันถัดมาเป็นวันอาทิตย์ “พิพิธภัณฑ์สุดมหัศจรรย์ฯ” ของเขาก็ถึงเวลาเปิดตัว เขานั้นเลือกที่จะไม่ไปและเลือกที่จะอยู่จัดการขยะของเขาต่อ โดยมอบหมายให้เฉินฮงไปทำหน้าที่เป็นคนเปิดงานและจัดการเรื่องต่างๆแทน
ซูจิ้งในตอนนี้นั้นได้ก้าวเข้าไปอยู่ในรายการผู้มีชื่อเสียงระดับที่หนึ่งเรียบร้อยแล้ว และฉายาจ้าวแห่งของขวัญของเขาเองก็เป็นที่รู้กันจนทั่ว
ด้วยการที่ว่าตัวเขานั้นถือครองสมบัติของนครที่สาบสูญแอตแลนติสนี้เองทำให้เขากลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงในระดับโลก
แน่นอนว่าพิพิธภัณฑ์สุดมหัศจรรย์ของเขานั้นต้องเป็นที่จับตามองอย่างแน่นอน
ในช่วงเช้าตรู่ก่อนที่พิพิธภัณฑ์สุดมหัศจรรย์นี้จะเปิดก่อนประมาณชั่วโมงครึ่งก็ได้มีผู้คนต่อแถวกันอยู่หน้ประตูชนิดที่ยาวสุดลูกหูลูกตา แน่นอนว่าทุกคนนั้นมีท่าทีตื่นเต้นกันไปหมด แม้แต่ชาวเน็ตเองก็ยังพูดถึงเรื่องนี้กัน
“นี่ก็ว่ามาเร็วแล้วนะ คนยังเยอะขนาดนี้อีก” โจวฉือเซียนที่ตื่นแต่เช้าเพื่อมาร่วมงานแต่เมื่อมาถึงแล้วพบว่ามีคนจำนวนมากมารออยู่ก่อนแล้วทำได้เพียงบ่นอุบออกมา
“ก็ไม่น่าแปลกล่ะนะ ยังไงซะนี่ก็เป็นพิพิธภัณฑ์ของคุณซูนี่นา” เอี้ยป๋อพูดออกมา
“เฮ้ออออ ยังไงซะฉันก็คิดว่าเขานั้นไม่น่าจะนำสมบัติอื่นนอกจากสมบัติจากแอตแลนติสนั่นออกมาจัดแสดงหรอกนะ
คุณซูไม่แม้กระทั่งสนใจสมบัติบนซากเรือที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับแอตแลนติสแบบนี้แล้วเขาจะมีสมบัติอย่างอื่นได้ยัง นอกจากนั้นเขาเองก็ยังจัดประมูลอยู่บ่อยขนาดนั้นไม่น่าจะมีอะไรเหลือแล้วนะ”
โจวฉือเซียนนั้นบ่นออกมาอย่างอารมณ์เสีย ก็ไม่น่าแปลกใจอะไรเพราะพึ่งจะเกิดเรื่องแย่ๆอย่างการหาสมบัติแล้วไม่ได้อะไรติดมือกลับมาเลย
แถมยังต้องเจอความน่ารังเกียจจากชาวญี่ปุ่นสองสามครั้งติดๆกันแบบนี้อีก ต่อให้ไม่ได้เสียอะไรไปแต่ต้องเจอเรื่องแย่ๆติดๆกันแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดีแต่อย่างใด ยิ่งคิดก็ยิ่งแย่ต่อความรู้สึกของตัวเอง
“น่าน่าอย่าไปว่าคุณซูเลย เขาอาจจะเจอปัญหาจริงๆจนไม่สามารถยื่นมือช่วยพวกเราก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้คุณซูยอมช่วยเราจริงล่ะก็ ตอนนั้นเราก็เคลื่อนไหวช้าไปแล้วล่ะนะ ยังไงผลก็ออกมาไม่ต่างกันหรอก” เอี้ยป๋อพูดออกมา
โจวฉือเซียนนิ่งคิดไปพักหนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าเห็นด้วยและไม่คิดจะพูดเรื่องนี้อีก ความจริงเขานั้นก็ไม่ได้อยากจะโทษซูจิ้งแต่อย่างใด
คนอื่นๆเองที่เขาไปขอความช่วยเหลือเองก็มีเหตุผลที่ช่วยพวกเขาไม่ได้เหมือนกัน เอาจริงๆเขานั้นเพียงหวังไว้อย่างเดียวคือว่าพิพิธภัณฑ์สุดมหัศจรรย์ของซูจิ้งนี้จะไม่ได้ด้อยกว่าพิพิธภัณฑ์อื่นๆล่ะนะ
“โอ้ว คุณมาด้วยเหรอ” คนอีกกลุ่มหนึ่งได้เข้ามาทักทายและเป็นผู้อาวุโสหวู่กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“งานเปิดตัวของคุณซูมีหรือที่ฉันจะพลาดได้ พิพิธภัณฑ์ของคุณซูต้องสุดยอดอย่างแน่นอน ยังไงซะพิพิธภัณฑ์ของคุณซูนี้สมควรจะเอาไว้จัดแสดงของที่ไม่อยากจะขาย คุณหวู่เองคงได้แต่มองเท่านั้นแหล่ะ” ผู้อาวุโสเซี่ยพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“แค่ได้เห็นก็บุญตาแล้วน่า ใครจะไปรู้คุณซูอาจจะอยากขายก็ได้ในอนาคต” ผู้อาวุโสหวู่หัวเราะออกมา คำพูดที่เขาพูดออกมานั้นล้วนแล้วแต่เป็นความจริงทุกคำ จะเพียงแค่เห็นก็ดี หากขายด้วยยิ่งดีเข้าไปใหญ่
ไม่ไกลจากกลุ่มคนที่กำลังสนทนาอยู่นี้ก็ได้มีกลุ่มคนที่เป็นชาวต่างชาติจำนวนหนึ่งต่อแถวอยู่เช่นเดียวกัน และในนั้นก็ได้มีอลันและแอนนาที่เคยขอซื้อรูปปั้นเทพธิดาแห่งเมืองที่สาบสูญแอตแลนติสอยู่ในกลุ่มด้วย
“ในที่สุดก็จะได้ยลโฉมเทพธิดาตนนั้นอีกครั้งได้สักที” อลันเองได้พูดพร้อมทั้งแสดงท่าทีตื่นเต้นออกมาเล็กน้อย
“ถ้าฉันรู้ว่าเราไม่สามารถซื้อได้ในตอนนั้นล่ะก็ ฉันคงไม่เสียเวลาและเชยชมรูปปั้นนั้นให้หนำใจไปเลย” แอนนาบ่นออกมา
“เธอน่ะยังดีได้เห็นกับตาตัวเอง พวกเราได้แต่ดูผ่านรูปเองนะ คิดว่าเรารู้สึกยังไงล่ะ” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งในกลุ่มพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฉันได้ยินมาว่าคุณซูคนนี้มีฉายาว่าจ้าวแห่งของขวัญ นั่นก็เพราะเขานั้นมีสมบัติจำนวนมากอยู่ในมือ นอกจากรูปปั้นเทพธิดาแห่งแอตแลนติสแล้วคุณเองก็น่าจะได้เห็นสมบัติอย่างอื่นด้วยล่ะนะ เรามาลองสัมผัสบรรยากาศสมบัติของชาวจีนบ้างก็ไม่เลวหรอกนะ” หญิงวัยกลางคนอีกคนหนึ่งพูดออกมา
“สำหรับผม ผมสนใจแค่รูปปั้นเทพธิดาจากแอตแลนติสเท่านั่นแหล่ะ นั่นก็เพราะว่ามีเพียงซูจิ้งเท่านั้นที่มีพวกมันไว้ในครอบครองเท่านั้น
ต่อให้เขานั้นมั่นใจในรูปปั้นนั้นยังไงแต่การที่เขาสร้างพิพิธภัณฑ์ขึ้นมาเพื่อจัดแสดงสมบัติของตัวเองแบบนี้ ผมว่าเขาน่าจะใส่ของห่วยๆเข้ามาเท่านั้นแหล่ะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มพูดออกมา
นอกจากกลุ่มของอลันและแอนนาแล้วก็ยังมีชาวต่างชาติกลุ่มอื่นต่อแถวอยู่ด้วย แน่นอนว่าส่วนใหญ่นั้นมาที่พิพิธภัณฑ์สุดมหัศจรรย์ของซูจิ้งเพียงเพราะรูปปั้นเทพธิดาจากแอตแลนติสเท่านั้น
เพราะหลังจากเรื่องที่พบเจอรูปปั้นแห่งเมืองแอตแลนติสได้แพร่ออกไป เรื่องนี้ยังคงเป็นเรื่องที่พูดถึงกันอย่างแต่เนื่อง นี่ขนาดผ่านมาพักใหญ่แล้วเรื่องนี้ก็ยังเป็นประเด็นพูดคุยกันอยู่
แต่ถึงจะว่ามาแบบนั้นแต่ก็มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เห็นรูปปั้นกับตาตัวเอง ส่วนใหญ่แล้วจะเห็นเพียงจากภาพถ่ายเท่านั้น ด้วยความที่ที้งโลกนี้เพิ่งมีการพบเจอเพียงแค่สามชิ้นเท่านั้น แน่นอนว่าเหล่านักสะสมเองก็ได้ยกรูปปั้นนี้เป็นสิ่งที่ต้องนำมาครอบครองให้ได้โดยปริยาย ต่อให้ไม่ได้มาครอบครองขอเพียงได้เฉยชมก็ยังดี
“พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็ไม่ได้ดูดีอะไรเลยนี่นา” ชายหนุ่มในชุดแฟชั่นใส่ตุ้มหูคนหนึ่งได้พูดออกมาในขณะที่ยืนมองหน้าตึกอย่างดูถูก
“นั่นน่ะสิ ข้างนอกตึกห่วยขนาดนี้แล้วนับประสาอะไรกับข้างใน พวกเรามาก็แค่อยากจะรู้ว่าของข้างในมีค่าแค่ไหนจนทำให้ซูจิ้งกล้าดีมาเปิดพิพิธภัณฑ์แบบนี้ล่ะนะ” ชายหนุ่มอีกคนที่สวมแว่นตาพูดออกมา เขานั้นดูสุขุม แต่งตัวดูดีและใส่นาฬิกาโรเล็กซ์อีกด้วย
“เฮอะ ไม่ว่าแกจะมีดีขนาดไหนแต่ก็ไม่สู้นายน้อยฮัวของเราได้หรอก แล้วฉันจะสนทำไม”
“ซูจิ้งคนนี้ต่อให้ไม่สามารถเทียบได้กับนายน้อยฮัวแต่ก็ประมาทไม่ได้เหมือนกัน เขาถูกเรียกว่าคุณชายสี่จากชาวเน็ตน่าเบื่อบางกลุ่ม ถึงแม้เรื่องแค่นี้จะไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกับนายน้อยฮัวของเราก็ตาม
นายอาจจะไม่รู้แต่นายน้อยฮัวเองเขาก็ได้รับสมญาว่าคุณชายสี่เหมือนกัน ด้วยการที่ไอ้หมอนี่มาจากบ้านนอกแต่กลับได้รับสมญาแบบเดียวกับเขาแบบนี้ทำให้เขารู้สึกเซ็งไปเหมือนกัน
แถมตอนที่รู้มาว่าแฟนของซูจิ้งนั้นงามเลิศจนทำให้เขาหลงใหลและเสนอรถหรูพร้อมบ้านและที่ดินมูลค่ากว่าหลายสิบล้านหยวนให้เธอ
ผลที่ได้คือเธอปฏิเสธในทันที นี่ขนาดเธอรู้จักตัวตนของนายน้อยฮัวแล้วนะยังไม่สนใจเลย”
“แม่..เอ๊ย นี่หล่อนไม่รู้รึไงว่าเขานั้นเป็นลูกเศรษฐี มีผู้หญิงนับร้อยรอให้เขาควงและเขาเองก็ได้เปลี่ยนผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าหลายๆคนในแต่ละวัน บุญของยัยนั่นแล้วนะที่นายน้อยฮัวสนใจ”
“มันเป็นเพราะความสวยของฉือชิงนี่แหล่ะที่ทำให้นายน้อยฮัวลืมหล่อนไม่ลงและทำให้เกลียดขี้หน้าซูจิ้งมากยิ่งขี้น ตอนที่ว่าพบซากเรือนั่นเองก็เหมือนกัน
เขานั้นพอรู้ว่ามันอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเมืองแอตแลนติสก็ได้เสนอตัวสนับสนุนทีมเก็บกู้ในทันที เขาอยากได้สมบัติพวกนั้นมาเพื่อที่จะนำมาสู้กับซูจิ้งในเรื่องชื่อเสียง
ไม่คิดเลยว่าจะไม่ได้อะไรกลับมาเลย นี่แสดงให้เห็นว่านายน้อยฮัวนั้นจริงจังกับเรื่องนี้จริงๆ เอาเถอะยังเราก็ลองเข้าไปดูก่อนแล้วกัน แล้วเดี๋ยวเราค่อยไปบอกนายน้อยฮัวเปิดพิพิธภัณฑ์ที่หรูกว่านี้ นั่นจะได้เปิดหูเปิดตายัยคนไม่มีตานั่นสักหน่อย”
เมื่อถึงเวลาแปดโมงเช้า ในที่สุด ประตูของพิพิธภัณฑ์ก็ได้เปิดออกมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น