Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 942-949
GGS:บทที่ 942 เปลี่ยนตัวเจ้าบ่าว
ซูจิ้งและหวังซือหยาได้คุยกันเกี่ยวกับแนวทางในการเตรียมตัวให้หยินหนิงหนิงฝึกฝนเพื่อที่จะได้กลายเป็นสุดยอดนักร้องในอนาคต
ตอนนี้ถึงแม้ว่าเสียงของเธอจะดีพร้อมอยู่แล้ว แต่ตัวเธอเองก็ยังต้องพัฒนาทักษะในการร้องเพลงด้านอื่นอยู่ดี อย่างพวกการจับจังหวะหรือการเล่นเสียง
หลังจากหนึ่งเดือนผ่านไป เธอนั้นถูกส่งให้ไปร่วมงานในรายการทีวีโชว์ที่มีชื่อว่า “เสียงดี” ซึ่งแน่นอนว่านี่จะเป็นหนึ่งการเริ่มสู่หนทางการเป็นนักร้องของเธอเท่านั้น
ด้วยการที่รายการนี้มีการทำมาแล้วหลายซีซั่น นั่นแสดงให้เห็นว่ารายการนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก รายการมีรูปแบบคือการให้คนที่จะเป็นคนชี้แนะ(ติวเตอร์)ในการร้องเพลงนั้นนั่งหันหลังให้
เมื่อนักร้องที่ลงแข่งร้องเพลงให้ทั้งสี่ฟัง หากพวกเขาชอบคนไหนก็จะกดปุ่มแล้วเก้าอี้ก็จะหันมาให้เห็นใบหน้าของคนที่ร้องเพลงนั้นอยู่
หากมีติวเตอร์หลายคนที่ชอบนักร้องคนเดียวกัน นักร้องก็มีสิทธิที่จะเลือกใครก็ได้ให้เป็นติวเตอร์ นี่ถือได้ว่าเป็นความยุติธรรมกับผู้ลงแข่งที่มีเสียงดีแต่หน้าตาไม่ดี
แต่ในเรื่องนี้นั้นซูจิ้งและหวังซือหยาจะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ พวกเขานั้นอยากให้ผู้ชมนั้นประทับใจในตัวหยินหนิงหนิงตั้งแต่แรกเห็นมากกว่า และทำให้ทุกคนรู้ว่าหยินหนิงหนิงนั้นไม่ใช่เพียงแค่ไม้ประดับเท่านั้น
ทั้งสองอยากจะให้แม้แต่ผู้ชมก็ต้องฟังได้แต่เสียงของเธออย่างเดียว นี่ถึงจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาอย่างที่สุด
นั่นก็เพราะเอาจริงๆแล้วไอ้การแข่งขันนั้นไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย แต่การได้แสดงความสามารถแบบนี้สิถึงจะทำให้หยินหนิงหนิงดังกว่าเข้าร่วมแข่งซะอีก
หลังจากคุยกันเรื่องแนวทางด้านการร้องเพลงเสร็จแล้ว หวังซือหยายังไม่ทิ้งโอกาสที่จะผลักดันให้หยินหนิงหนิงเข้าสู่วงการบันเทิงในฐานะนักแสดงแต่อย่างใด เพราะว่าเธอเสียดายความสวยของหนิงหนิงโดยเธอได้พูดออกมาว่า
“ตอนนี้นะคนในวงการนักแสดงดีๆนั้นเหลืออยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้นเอง ส่วนใหญ่นักแสดงระดับสุดยอดก็แก่กันไปจะหมดแล้ว
นักแสดงที่ยังรุ่นๆหน่อยก็เป็นได้แค่นักแสดงระดับสองไม่ระดับสามเท่านั้นเอง แถมพวกนั้นยังไม่มีความสามารถพอในการดึงดูดนักลงทุนให้สร้างหนังให้ด้วยซ้ำ
ดาราพวกนี้นั้นถือได้ว่าห่างไกลจากความสำเร็จอย่างสิ้นเชิง นี่ยังไม่ต้องพูดถึงพวกคลื่อนลูกใหม่ที่ยังหนุ่มยังสาวแต่ไร้ซึ่งทักษะในการแสดงอีกนะ
ส่วนพวกที่มีทักษะแต่ก็หน้าตาธรรมดาๆเท่านั้นเอง บางคนถึงกับไม่สามารถรับงานเองไม่ได้ด้วยซ้ำ แถมยังรับงานได้แค่การแสดงอย่างเดียวด้วย
ที่พอเข้าตาพวกเราเองก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เหมาะจะเป็นดาราจริงๆ” หวังซือหยาพูดออกมา
“ใครอ่ะ” ซูจิ้งถามออกมาด้วยสายตาเปล่งประกาย
“เอ้า นายจำไม่ได้เหรอตอนที่นายลบรอยแผลเป็นให้ชิเหยาน่ะ หลังจากนั้นก็มีชายคนหนึ่งติดต่อเข้ามาว่าต้องการผงลบรอยแผลเป็นแต่นายดันบอกว่าไม่ต้องการขายเขาก็ทำได้เพียงแค่ถอดใจไป
ตอนหลังเขาก็ได้เห็นนายทำศัลยกรรมขั้นละเอียดยิบแล้วเขาก็ติดต่อนายแต่นายก็ไม่สนใจ คนๆนั้นนะถือได้ว่าเป็นนักแสดงชั้นยอดของโรงเรียนการละครเลยนะ
น่าเสียดายที่เขานับประสบอุบัติเหตุทำให้ใบหน้าของเขาเสียโฉมไปเลยก็ว่าได้ เพื่อเป็นการโปรโมทบริษัทของเราฉันก็เลยให้เขานั้นมาเป็นคนทดสอบผลิตภัณฑ์ซึ่งมันก็พอจะได้ผลดีอยู่บ้าง แต่ยังไงซะรอยแผลของเขาก็ไม่ได้หายไปอย่างหมดจดยังเหลือร่องรอยอยู่
จนตอนนี้เขาเริ่มที่จะปลงตกแล้วก็เลยปล่อยวางไปเข้าร่วมแสดงกับบริษัทยักษ์ใหญ่เพื่อฝึกปรือฝีมือจนได้รับรางวัลนักแสดงสมทบเลยนะ แต่ถึงอย่างนั้นนั่นก็ยังไม่ใช่สิ่งที่เขามุ่งหวังไว้ในใจอยู่ดี”
หวังซือหยาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงกระจ่างใส
“อ๋อ ฉันจำได้ เจ๊หมายถึงหลูจิงยี่ใช่รึเปล่า” ซิ้งเริ่มจำได้ขึ้นมาแล้วพลางนึกไปถึงผงลบรอยแผลเป็นที่จริงๆแล้วนั้นคือสุดยอดยารักษาที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯจูเซียน
หลังจากที่เขานั้นได้เห็นผลของยานั่นแล้วก็ไม่อยากจะนำมาใช้พร่ำเพรื่อเพราะว่ามันดีมากเลยอยากจะเก็บไว้ใช้รักษาชีวิตมากกว่านำมารักษาแค่รอยแผลเป็นแบบนี้
โดยเฉพาะกับหลูจิงยี่ที่เกือบทั้งหน้านั้นเป็นแผลเป็นด้วยแล้ว เขายังไม่อยากจะนึกถึงเลยว่าเขาต้องเสียผงยารักษาชีพนั่นไปเท่าไหร่
ส่วนวิธีการศัลยกรรมเชิงลึกตามแบบฉบับของเขานั้นต้องบอกว่าเป็นการใช้ผงแปลงโฉมที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจมากกว่า
เจ้าผงแป้งนั้นใช้ได้สองแบบนั่นก็คือกินเพื่อเปลี่ยนรูปร่างไปอย่างที่ใจปรารถนา อีกหนึ่งคือการทาเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอก เมื่อผนวกรวมกับเทคนิคของเขาแล้วนับประสาอะไรกับแค่รอยแผลเป็นกัน
“ใช่ๆ ฉันหมายถึงหลูจิงยี่นั่นแหล่ะ” หวังซือหยาพยักหน้าตอบ
“เจ๊ลองเรียกเขามาอีกทีสิ คราวนี้ฉันจะทำให้เขาเป็นมังกรในหมู่ดาราเลยยทีเดียว” ซูจิ้งพูดออกมานี่ทำให้หวังซือหยาตาแทบจะฉายแสงได้ในทันที
โจวซิวและเชิงชิเหยาเองที่ได้เห็นความสามารถของผงลบเลือนริ้วรอยมาแล้วรวมถึงความมหัศจรรย์ของการศัลยกรรมขั้นสุดของซูจิ้งมาแล้วก็พลางคิดไปว่าซูจิ้งยอมช่วยหมอนี่สักที
แต่กับหยินหนิงหนิงนั้นกลับใจเต้นในทันทีพร้อมหันไปมองซูจิ้งตาไม่กระพริบราวกับคาดการณ์อะไรได้บางอย่าง
“พอดีเลย เขาอยู่ในบริษัทเราเลยตอนนี้ แต่ว่าหากผงลบเลือนริ้วรอยของนายมีจำกัดล่ะก็ ต่อให้มันใช้ดีขนาดไหนก็ลืมเรื่องนี้ไปก็ได้นะ” หวังซือหยากระซิบที่ข้างหูของซูจิ้ง
เธอรู้ดีว่าถึงแม้ว่าความสามารถของหลูจิงยี่จะดีต่อบริษัทมากขนาดไหนและเธอด็รู้ว่าเขานั้นทำงานหนักอย่างมากในฐานะนักแสดง
เธอเองก็อยากจะช่วยเหลือเขาจริงๆแต่ส่วนหนึ่งเองก็เป็นเพราะถ้าเขาดังได้ล่ะก็แน่นอนว่าย่อมทำเงินให้บริษัทอย่างมหาศาล
แต่เมื่อเทียบกับน้องชายต่างเลือดคนนี้ เมื่อเทียบหลูจิงยี่ที่เป็นเพียงดาราน้อยๆภายใต้บริษัทของเธอย่อมเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว ยังไงซะเธอก็ต้องเลือกซูจิ้งอย่างแน่นอน
“ไม่เป็นไรน่า ฉันคิดเรื่องนี้ไว้แล้ว” ซูจิ้งยิ้มออกมา
เมื่อได้ยินดังนั้นหวังซือหยาจึงได้เรียกหลูจิงยี่ให้มาหา เขานั้นสูง 1.8 เมตร และมีร่างกายที่เรียกได้ว่ากำยกเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าเขาจะดูผอมไปหน่อยแต่ก็ถือได้ว่าสมส่วนอย่างมาก
อย่างไรก็ตามใบหน้าของเขาในตอนนี้นั้นดูไม่ดีนัก ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่เขาต้องเมคอัพเพื่อกลบรอยแผลเป็นถึงแม้จะลบได้ไม่หมดทั้งๆที่ผ่านการศัลยกรรมมามากมายแล้วก็ตาม
ถึงแม้จะดูดีแล้วแต่เมื่อเทียบกับคนธรรมดาแล้วก็ไม่ได้ทำให้เขานั้นดูโดดเด่นแต่อย่างใด
ถึงแม้ว่าในวงการภาพยนต์จะมีราชานักแสดงที่มีต่อตาธรรมดาอย่างฮวงป๋อ(หงจินเป่า) แต่กว่าเขาจะไปถึงขั้นนั้นได้ก็ต้องฟันฟ่าอุปสรรคมากมายแบบสุดกว่าจนเป็นที่ยอมรับของผู้คน
หลูจิงยี่ในตอนนี้เมื่อเห็นซูจิ้งได้แสดงออกถึงความตื่นเต้นจนจะเรียกว่าตื้นตันเลยก็ว่าได้ เขานั้นพยายามขอร้องซูจิ้งมาสองครั้งแล้วแต่ซูจิ้งก็ไม่สนใจเขาเลยสักนิด
ตอนนี้ในที่สุดเขาก็ยอมพบเขาเพื่อที่จะช่วยผ่าตัดให้เขาสักทีจะไม่ตื่นเต้นได้ยังไง ความจริงเขาเองก็เป็นคนหล่อคนหนึ่ง ถึงแม้อุบัติเหตุครั้งนั้นจะไม่ถึงขั้นจะทำให้เขาต้องสูญเสียอาชีพนี้ไป แต่นั่นก็เป็นเพราะความดื้อดึงของเขาเท่านั้นไม่ใช่เขาถอดใจจากความหวังในหน้าตาที่กลับมาเป็นปกติของเขาได้
“ขอบคุณครับคุณซูที่ยอมช่วยผม ขอบคุณมากๆเลยครับ” หลูจิงยี่พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“เดี๋ยวก่อนเลยคุณยังไม่ต้องรีบแสดงท่าทางมีความสุขออกมาดีกว่า ที่ผมจะช่วยคุณนั้นแน่นอนว่าไม่ได้ช่วยเพื่อการกุศลอย่างแน่นอน ผมมีข้อเสนอที่ต้องคุยกับคุณก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะผ่าตัดให้คุณหรือไม่
คุณก็คงพอรู้แล้วว่าการศัลยกรรมของผมนั้นมันล้ำค่าเกินกว่าการผ่าตัดศัลยกรรมทั่วไป หากเราตกลงกันได้แล้วคุณยอมรับข้อเสนอของผมผมถึงจะยินยอมผ่าตัดให้คุณ หากคุณคิดว่าไม่มียุติธรรมเราก็แค่ลืมเรื่องนี้ไปก็พอ”
“คุณซู ผมไม่มีทางขอร้องคุณโดยไม่ให้อะไรตอบแทนคุณอยู่แล้ว ผมเข้าใจความเรื่องนี้ดีว่าหากคนเราจะได้อะไรสักอย่างก็ต้องยอมแลกอะไรไปเหมือนกัน” หลูจิงยี่พยักหน้ารับ
“เจ๊ซือหยา เดี๋ยวผมขอไปคุยกับหลูจิงยี่ที่อื่นแบบส่วนตัวหน่อยนะ” ซูจิ้งหันไปคุยกับหวังซือหยา
“ได้เลย” หวังซือหยาพยักหน้ารับ
ซูจิ้งปล่อยหยินหนิงหนิงให้อยู่ที่บริษัทหยุนหยินอินเตอร์เทนเมนต์และพาตัวลู่จิงยี่ไป
หนึ่งวันผ่านไปก็ได้มีหนุ่มหล่อขั้นสุดคนหนึ่งเข้ามายังบริษัทของหวังซือหยา
“คุณหวังคะ มีหนุ่มหล่อคนหนึ่งต้องการเข้าพบคุณค่ะ” เลขาของหวังซือหยารีบพุ่งเข้ามาในห้องหวังซือหยาแทบจะพุ่งทะลุประตูมาเลยก็ว่าได้
“หืม หนุ่มหล่อที่ไหนกัน ฉันว่าฉันไม่รู้จักนะ รีบๆไล่ไปซะ” หวังซือหยาหยุดมือจากงานพลางนึกว่าพอจะเป็นใครได้บ้าง แต่นึกไม่ออกเลยส่ายหัวและผายมือเชิงให้ไล่ไปซะให้พ้นๆ
“แต่เขาหล่อมากเลยนะคะ เขาน่าจะเป็นอัญมณีของเราได้เลยนะ” เลขาพูดออกมาด้วยท่าทีกระตือลือล้น
“ก็ได้ก็ได้ พาเขาเข้ามา” หวังซือหยาทำท่ารำคาญเล็กน้อยก่อนที่จะอนุญาตให้คนๆนั้นเข้ามาได้
ในเวลานั้นเธอก็ได้เห็นเลขาของเธอพ่อหนุ่มหล่อคนหนึ่งเข้ามา เขาหล่อมากชนิดที่ทำให้เธอเองก็ต้องตะลึงนิ่งอึ้งไปด้วยเหมือนกันพลางคิดไปว่า นี่คืออัญมณีสำหรับเธอจริงๆด้วย
หวังซือหยาได้ยิ้มออกมาบนใบหน้าก่อนที่จะชี้ไปยังเก้าอี้ที่อยู่ตรงหน้าแล้วพูดออกมาว่า “คุณสุภาพบุรุษ เชิญนั่งค่ะ”
“คุณหวัง ผมหลูจิงยี่ครับ” หนุ่มหล่อพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
หวังซือหยาตกตะลึงในทันทีพร้อมทั้งโดยตาที่เบิกโพลง เธอยื่นนิ้งอึ้งจนปากกาในมือตกลงพื้นโดยที่เธอไม่รู้ตัว หลังจากนั้นทั้งโจวซิวและเชิงชิเหยาเองที่ได้มาเห็นหลูจิงยี่กับตาก็ยังไม่เชื่อสายตาตัวเอง พลางพึมพำออกมาว่า ไม่จริง ไม่จริง ไม่จริง อยู่หลายครั้งหลายหน
ขนาดหยินหนิงหนิงเองก็มีสภาพไม่ต่างกัน ตอนนี้หลูจิงยี่นั้นหน้าตาราวกับคนที่เธอเคยรู้จักอย่างกับแกะ มันเหมือนกับว่าซูจิ้งนั้นไม่ได้ทำศัลยกรรมแต่เป็นการสร้างพี่น้องของคนๆหนึ่งขึ้นมาอีกคน
ก็ไม่แปลกที่ทั้งสามคนนั้นไม่เชื่อนั่นก็เพราะว่าในตอนนี้ หลูจิงยี่นั้นมีหน้าตาละม้ายคล้ายกับคนที่เธอทั้งสามติดตามและรู้จักในช่องชาร์คทีวีนั่นก็คือกงจูจิวหรือวูจู่นั่นเอง
หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็แน่นอนว่าแฟนคลับของวูจู่ที่เคยสตรีมก่อนหน้านี้ไปนั้นไม่มีทางแยกออกอย่างแน่นอน มันเหมือนกับว่าที่วูจู่ออกมาสตรีมก่อนหน้านี้เป็นการเตรียมตัวให้กับหลูจิงยี่ไปโดยปริยาย ราวกับว่าเตรียมตัวแต่งงานเอาไว้แต่ถูกเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวในงานไปแทน
GGS:บทที่ 943 ตกใจ
หลังจากวางแนวทางเส้นทางการเป็นดาราให้กับจูซิวหนี่ หยินหนิงหนิง และหลูจิงยี่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซูจิ้งก็ได้เตรียมตัวที่จะกลับเข้าไปยังสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศของเขาต่อ
ในตอนนั้นเอง เฉิงหนานก็ได้ก็ได้โทรเขามาหาซูจิ้ง เห็นดังนั้นเขาเลยรีบรับในทันที
“หัวหน้าคะ พิพิธภัณฑ์ของเรานั้นเสร็จสมบูรณ์พร้อมเปิดได้ทุกเมื่อเลยค่ะ” เฉิงหนานพูดออกมา
“ดีมาก เริ่มประชาสัมพันธ์เรื่องพิพิธภัณฑ์ของเราได้เลยนะ วันเปิดก็เอาเป็นวันอาทิตย์นี้ก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมา
เขาได้มีแนวคิดที่จะเปิดพิพิธภัณฑ์ของตัวเองนี้ก็ตอนที่เขาได้นำรูปปั้นเทพธิดาไปตั้งไว้ตรงลานกิจกรรมของเมืองแล้วกลายเป็นรูปปั้นแห่งเมืองแอตแลนติสไปในตอนนั้น
ความคิดนี้ก็ได้แล่นเข้ามาในหัวทันที เขาเองก็ลองแค่ถามเฉิงหนานดูเฉยๆ แต่ด้วยการที่เธอนั้นเป็นสุดยอดเลขาฯทำให้คำพูดของเขาเป็นจริงได้ด้วยระยะเวลาเพียงแค่เดือนกว่าๆเท่านั้น
“แต่ว่าพวกสมบัติอย่างพวกวัตถุโบราณและของแปลกอย่างอื่นเองตอนนี้เรายังไม่ได้นำเข้าไปเลยนะคะ ถ้าจะมีที่พร้อมก็แค่เพียงรูปปั้นจากแอตแลนติสเท่านั้น หากมีแค่นั้นฉันเกรงว่ามันจะไม่เพียงพอ ถ้ายังไงเราไม่รออีกสักพักจนกว่าจะมีของเยอะกว่านี้ค่อยเปิดจะไม่ดีกว่าหรือคะ” เฉิงหนานถามออกมา
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกน่า ฉันพร้อมจะยัดเด็กๆของฉันไว้ในพิพิธภัณฑ์มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” ซูจิ้งพูดออกมา นี่ทำให้เฉิงหนานนั้นหัวใจเต้นจนแทบจะกระโดดออกมาเลยทีเดียว
ทุกครั้งที่มีการจัดประมูลที่โรงประมูลห้วงเวลาฯนั้น ของส่วนใหญ่ที่ประมูลเองนั้นเกินครึ่งเป็นของซูจิ้งเอง ขนาดประมูลออกไปขนาดนั้นแล้วเด็กๆของเขายังไม่หมดอีกหรอ
นี่เขายังแบ่งเอาไว้สำหรับจัดแสดงพิพิธภัณฑ์นี่จะมากมายขนาดไหนกันนะ เพียงฟังคำพูดนี้ของซูจิ้งเฉิงหนานเองก็รู้สึกขัดใจขึ้นมาเหมือนกัน แต่ในเหมือนซูจิ้งที่เป็นหัวหน้าของเธอพูดออกมาแบบนั้นก็ต้องว่าไปตามนั้น
“ว่าไปแล้วเดี๋ยวฉันจะส่งรายชื่อคนที่เราจะส่งเทียบเชิญไปให้นะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ได้ค่ะ” เฉิงหนานรับคำ
หลังจากวางสายไปแล้ว ซูจิ้งได้ทำการเปิดมิติเก็บของของสถานีฯเพื่อดูว่ามีอะไรเหลืออยู่บ้าง หลังจากคัดเลือกแล้วเขาก็ได้เตรียมแพ็คเพื่อจะรอส่งไปยังพิพิธภัณฑ์อีกทีหนึ่ง
หลังจากจัดการเสร็จแล้ว ซูจิ้งก็ได้ถามฉิงหยุนเกี่ยวกับค่าการใช้ประโยชน์ในปัจจุบันว่าได้เท่าไหร่แล้วก็พบว่าค่าการใช้ประโชยน์ในตอนนี้เพิ่มขึ้นมาเป็น 32,000 หน่วย มากกว่าเดิม 15,000 หน่วย ซึ่งเพิ่งจะผ่านมาจากค่าสุดท้ายที่เขารู้เพียงเดือนเดียวเท่านั้น และดูเหมือนว่านับวันค่าการใช้ประโยชน์เองก็จะยิ่งมากขึ้นเป็นระดับ ราวกับบอลน้ำแข็งเลยทีเดียว
สิ่งที่มีผลต่อค่าการใช้ประโยชน์ในตอนนี้นั้นโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นของที่เขาเพิ่งจะได้มาจากขยะห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้า
ของที่ว่านั้นประกอบด้วยความประทับใจที่คนมีต่อเขาตอนที่มีการจัดการสัมนาทางพุทธศาสนาและตอนที่เขาไปจัดการธุรกิจเครือข่าย MLM
นอกจากนั้นยังมีการให้คนสวมหนังแปลงโฉมไปสตรีม การสตรีมกินจุที่ใช้แมลงพุงโต และการเผยแพร่เสียงที่เกิดจากเม็ดเสียงของปีศาจไซเรน และของอย่างอื่นอีก
สมบัติเหล่านี้ได้ให้ค่าการใช้ประโยชน์ที่มากที่สุดแล้วในตอนนี้ และหลังจากที่ทั้งจูซิวหนี่ หยินหนิงหนิง และหลูจิงยี่ ได้เดินทางไปบนเส้นทางดาราจนมีชื่อเสียงขึ้นมาแล้วล่ะก็ แน่นอนค่าการใช้ประโยชน์ที่เขาจะได้รับนั้นย่อมมากกว่านี้ยิ่งๆขึ้นไปอย่างแน่นอน
ในส่วน่าพลังงานในตอนนี้นั้นอยู่ที่ 15,600 หน่วย หรือก็คือตอนนี้เขานั้นมีปฏิสสารสำลองไว้อยู่ที่ 1.56 กรัม ตอนนี้สถาบบันวิจัยห้วงเวลาฯของเขา สามารถผลิตปฏิสสารได้อยู่ที่ 0.6 กรัมต่อเดือน และนั่นสูบเงินของเขาไปถึงเดือนละ หนึ่งหมื่นพันล้านหยวนเลยทีเดียว
พอนึกว่าเขานั้นยังต้องพัฒนาธุรกิจอีกหลายๆอย่างนี่ ให้เขารู้สึกเซ็งๆไปเล็กน้อย เพราะต่อให้เขานั้นมีเงินที่ได้รับจากการซื้อสายพันธุ์ใบยาสูบแห่งไชร์อยู่ 5 หมี่นล้านหยวนแล้วแต่ก็ไม่สามารถนำมันมาใช้ในการขยายกำลังการผลิตปฏิสสารได้
“ไม่ว่าจะเป็นค่าการใช้ประโยชน์หรือพลังงานสำรองขอสถานีก็ตาม ตอนนี้ทั้งสองค่ามีอัตราเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆและจะเร็วกว่านี้ในอนาคตอย่างแน่นอน ค่าการใช้ประโยชน์ทีต้องใช้กว่าอย่างละล้านหน่วยคงอีกไม่นานนัก” ซูจิ้งยิ้มออกมาพร้อมกับภูมิใจที่เขานั้นคิดถูกแล้วที่เลือกพัฒนาสิ่งต่างๆมาถึงตอนนี้
ซูจิ้งกลับไปจัดการขยะห้วงเวลาฯของเขาต่อ เขายังคงต้องจัดการขยะกองหินที่เขายังทำค้างไว้ หลังจากจัดการไปสักพักเขาก็ได้พบกับหยกก้อนหนึ่งที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ
ดูเหมือนเจ้าหยกนี้เองก็น่าจะเป็นหยกที่มีคุณภาพสูงเหมือนกัน และราคาของมันบนโลกนี้ก็ไม่น่าจะใช่น้อยๆเลย แต่นี่ก็ไม่ได้ทำให้เขานั้นแปลกใจแต่อย่างใด เพราะยังไงแล้วขยะห้วงเวลาฯกองนี้ก็มาจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบเทพธิดา
และก่อนหน้านี้เองตัวเขาก็ยังได้พบหยกอีกจำนวนหนึ่ง รวมถึงเสาร์ฝังเพชร และก้อนอิฐสีทองด้วย ด้วยการที่ห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบเทพธิดานั้นเป็นโลกที่อุดมไปด้วยเซียน
แน่นอนว่าเมื่อขึ้นชื่อว่าเซียนนั้นย่อมมีชีวิตที่ยืนยาวจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นอมตะ หากมีชีวิตแบบนั้นแล้วไม่จำเป็นเลยที่จะต้องรีบหาเงินแม้แต่น้อย แถมเซียนบางองค์เองก็ยังเปลี่ยนหินให้เป็นทองได้ด้วยซ้ำ ทองแบบนี้จึงไม่ได้มีค่ามากกว่าของประดับบ้านสักเท่าไหร่
อย่างไรก็ตามเมื่อซูจิ้งสังเกตหยกนี้ใกล้ๆก็พบว่าหยกนี้ชิ้นเป็นเพียงชิ้นส่วนหนึ่งเท่านั้น แถมพอดูดีๆรอบก็เหมือนจะมีเศษหยกกระจายอยู่อีก
เมื่อเห็นดังนั้นซูจิ้งจึงให้เสี่ยวไป๋ใช้สแตนด์ซ่อมแซมหยกนี้ในทันที เสี่ยวไป๋เองที่กำลังซ่อมแซมขยะห้วงเวลาฯกองกระดาษอยู่แต่มันก็ไม่ได้มีท่าทีกระด้างกระเดื่องอะไรแม้แต่น้อย
หลังจากที่มันใช้ความสามารถของสแตนด์แล้ว เศษหยกทั้งหลายก็ได้ลอยเข้ามาประกอบกับหยกที่ขนาดเท่าฝ่ามือในมือซูจิ้งก่อนหน้านี้ หยกก้อนนี้มีทั้งขาวบ้าง เขียวบ้าง ปนๆคละๆกันไป
จนในที่สุดแล้วหยกทั้งหมดก็ได้หลอมรวมกันจนกลายเป็นหยกก้อนใหญ่ ใหญ่ชนิดที่ว่าทำให้ซูจิ้งนั้นอึ้งได้เลยทีเดียว
เขาเองก็ว่าเห็นสมบัติมานักต่อนัก แต่เขาเองยังอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจกับสมบัติชิ้นนี้ ถึงแม้เขานั้นจะลองดูแล้วและไม่พบว่ามันมีความวิเศษ หรือเวทย์มนต์อะไรก็ตาม แต่ยังไงซะมันก็ถือได้ว่าเป็นสมบัติที่เกิดจากธรรมชาติอยู่ดี
“เอาเจ้านี่ไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์ดีกว่าแหะ” ซูจิ้งคิดได้ดังนั้นจึงได้นำหยกใส่กระเป๋ามิติของตนก่อนที่จะจัดการขยะห้วงเวลาฯต่อไป หลังจากที่เขากำลังจะจัดการขยะกองหินเสร็จหมดแล้ว ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากขยะกองไม้ที่อยู่ข้างหลังเขา
แถมขยะทั้งกองก็เหมือนจะสั่นจนสังเกตเห็นได้ชัด ฉิงหยุนจึงได้รีบเปิดสนามพลังเพื่อทำการตรวจสอบในทันที ขยะกองไม้ทั้งหมดได้ลอยอยู่ในอากาศ และค่อยล่วงลงมายังพื้นที่ละชิ้นทีละชิ้นแบบนี่มนวล
“มันก็แค่ไม้ทั้งหมดเลยนี่นา แล้วทำไมเมื่อกี้มันถึงขยับได้กัน” ซูจิ้งบ่นพึมพำออกมา
หลังจากที่ขยะกองไม้ทั้งหมดได้ลอยลงมากองกับพื้น ซูจิ้งเองก็ได้รอสักพักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาจึงได้จัดการขยะกองหินต่อ
แต่ไม่นานนัก ในขยะกองไม้เองก็ได้มีเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ถึงขนาดทำให้ไม้กระเพิ่มจนกระเด็นออกจากกองของพวกมันเลยทีเดียว
“อะไรฟะเนี่ย” ซูจิ้งเผลออุทานออกมาก่อนจะอยู่ในโหมดพร้อมสู้ในทันทีพร้อมกับปล่อยกระแสจิตออกไปเพื่อตรวจสอบกองไม้ทั้งกองในทันที
เขาในตอนนี้ตกใจจนถึงกับใจเต้นตุ้มๆต่อมๆขึ้นมาเลยทีเดียว ตอนนี้เขากำลังนึกถึงกระบวนการแยกแยะอัตโนมัติของฉิงหยิงดูอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ก็เห็นคัดแยกได้เป็นอย่างดีนี่นา สิ่งมีชีวิตก็ส่วนสิ่งมีชีวิต สิ่งไม่มีชีวิตก็ส่วนสิ่งไม่มีชีวิต แถมเขาเองก็เป็นคนกำกับเองด้วยซ้ำทำไมมันถึงจะผิดพลาดได้กัน
หลังจากที่ปล่อยกระแสจิตของตัวเองสำรวจอย่างหนักหน่วงแล้ว แต่เขาเองก็ไม่ได้พบอะไรเลยจริงๆจากขยะกองนี้ ไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตหรือแม้แระทั่งร่องรอยพลังวิญญาณเลยแม้แต่น้อย
ถึงจะอย่างนั้นแต่ขยะกองนี้กับเคลื่อนไหวได้เองราวกับว่ามีอะไรอยู่ใต้มัน นี่หมายความว่ายังไงกันแน่
“ในเมื่อขยะกองนี้มาจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้าก็สมควรจะต้องระวังเป็นพิเศษสินะ
ฉิงหยุน ตรวจสอบหาที่มาของแรงสั่นสะเทือน” ซูจิ้งเริ่มใส่ใจกับเหตุการณ์นี้ในทันทีก่อนที่จะบอกให้ฉิงหยุนรีบดำเนินการตรวจสอบ
ฉิงหยุนเองได้ยินดังนั้นก็ได้รีบจัดการตามคำสั่งของซูจิ้งอีกครั้งในทันที เธอได้ปล่อยสนามพลังให้ขยะกองไม้รอยขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะทำการตรวจสอบแบบระเอียดยิบ
จนในที่สุดเธอก็พบต้นตอของแรงสั่นสะเทือนนี้ เธอบังคับให้มันมาลอยอยู่ตรงหน้าซูจิ้งห่างออกไปประมาณห้าเมตร วัตถุต้นเหตุนี้มันคือโลงศพสีดำขนาดใหญ่โลงหนึ่ง
“ต้นเหตุของการสั่นสะเทือนคือเจ้าโลงนี่อย่างนั้นรึ” ซูจิ้งจ้องมองโลงสีดำที่ลอยอยู่ตรงหน้าอย่างตาไม่กะพริบ
“สมควรเป็นเช่นนั้นค่ะ” ฉิงหยุนตอบกลับมา และในขณะที่ยังไม่ทันสิ้นคำพูดของฉิงหยุนดี โลงศพก็เกิดเสียงดังโครมขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับที่ตัวโลงสั่นชนิดที่ว่าเป็นเจ้าเข้าเลยก็ว่าได้
เพียงเท่านี้ก็ไม่มีอะไรต้องสงสัยอีกต่อไป เป็นเจ้าโลงนี้จริงๆอย่างไม่ต้องสงสัย
ซูจิ้งไม่รอช้ารีบทำการส่งกระแสจิตเข้าไปในโลงนี้ทันที เขาพบว่าข้างในนั้นเป็นร่างกายของมนุษย์อย่างแน่นอน และเท่าๆที่ดูแล้วเขาก็ว่านี่น่าจะเป็นร่างของคนตายอย่างแน่นอนเพราะว่าไม่มีคลื่นพลังชีวิตเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าเจ้าร่างนี้ตายแล้วจริงๆมีแต่เพียงร่างอย่างเดียวเท่านั้น
“ปังงงงง” โลงศพได้เกิดเสียงดังและสั่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ซูจิ้งนับสัมผัสได้ว่ามีพลังบางอย่างที่น่าจะเป็นจิตวิญญาณอยู่ในร่างนี้คอยบังคับให้ร่างนี้เคลื่อนไหวอยู่ และในตอนนี้มันก็พยายามจะพังฝาโลงโดยการสั่งให้เจ้าร่างนี้ถีบฝาโลงออกมา
“นี่มันผีดิบ(ซอมบี้)งั้นเหรอ” ซึ้งถึงกับขนลุกในทันที เจ้านี่คือผีดิบในเรื่องเล่าเหล่านั้นจริงๆอย่างนั้นเหรอเนี่ย
“ปัง ปัง ปัง” ผีดิบที่อยู่ข้างในยังคงถีบฝาโลงอย่างต่อเนื่อง และโลงก็ยังคงสั่นอยู่อย่างนั้นจนเกิดเสียงดังลั่นและสะเทือนจนทำให้โลงนั้นตั้งขึ้นมาได้เลยทีเดียว ซูจิ้งจึงรีบตะโกนบอกฉิงหยยุนว่า “รีบเอาไปไว้ตรงที่โล่งๆเร็วๆเข้า”
GGS:บทที่ 944 ผีดิบ
หลังจากเกิดเสียงดังลั่น มีซากร่างสูงแห้งราวกับกิ่งไม้ร่างหนึ่งยืนขึ้นมาจากโลงศพ นัยน์ตาของมันเรืองแสงและเกราะหยกอยู่บนร่างกาย การแต่งกายของมันนั้นดูราวกับนักรบโบราณ
หลังจากมันยืนนิ่งพักหนึ่งทันใดนั้นมันก็ได้หันหน้าหาซูจิ้งก่อนจะกระโดดออกมาจากโรงแล้วพุ่งเข้าไปหาซูจิ้งในทันที
สายตาของซูจิ้งนั้นเบิกโพลงอย่างกับไข่ห่านเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่าผีดิบตามเรื่องเล่าแบบนี้ ผีดิบตัวนี้แค่มองก็ทำให้เขาหลอนได้เลยทีเดียว
แต่ตัวเขาในตอนนี้นั้นก็ได้เตรียมใจไว้อยู่แล้วตั้งแต่ใช้กระแสจิตสัมผัสเจอว่าในโลงคือสิ่งใดและนี่เองไม่ได้ทำให้เขาประมาทแต่อย่างใด
ทันทีที่เห็นผีดิบพุ่งเข้ามา ขนของซุนหงอคงทั้งสามของเขาก็ได้ส่องประกายและในมือของเขาเองก็ได้ปรากฎมีดเล่มหนึ่งปรากฎอยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้
ซูจิ้งไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใด เขาเตรียมตัวป้องกันตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก เขาผมว่าผีดิบตนนี้ไม่ได้เคลื่อนที่เร็วนัก เพียงแต่มันแข็งแกร่งกว่าคนทั่วๆไปก็เท่านั้นเอง ดูๆไปแล้วความสามารถของมันนั้นไม่สามารถทำอะไรเขาได้เขาจึงเลือกวิธีป้องกันพลางถอยพลางเพื่อเรียนรู้ผีดิบตัวนี้ไปก่อน
ระหว่างที่เรียนรู้ผีดิบเขาก็ตรวจสอบมันด้วยกระแสจิตของเขาซ้ำอีกครั้ง เขาพบว่าไม่เจอพลังชีวิตและพลังวิญญาณไหลออกมาจากร่างนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือผีดิบอย่างแน่นอน ความเร็วของมันเองก็ช้ากว่าคนธรรมดาวิ่ง เมื่อเห็นดังนั้นเขาเองก็เลยไม่ได้เร่งรีบแต่อย่างใด
“ฉันจำได้ว่าห้วงเวลาและกาลอวกาศสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้านั้นมีการบ่มเพาะอยู่ด้วยสินะ” ซูจิ้งที่นึกขึ้นได้แบบนั้นหัวใจก็ได้เต้นแรงในทันที
เมื่อเขาคิดถึงเรื่องการบ่มเพาะศพที่อยู่ในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้านั้นจะถือว่าศพเองก็เป็นวัตถุเวทย์อย่างหนึ่งพวกเขาสามารถบังคับให้พวกมันนั้นคอยโจมตีหรือป้องกันก็ได้
หากเป็นผีดิบจากพลังธรรมชาติจะไม่สามารถขยับร่างกายของตัวเองได้แบบอิสระนัก ไม่สามารถสู้แสงแดดและลืมตาตื่นเพื่อเห็นดวงตะวันได้แบบนี้
ร่างของผีดิบที่ผ่านการบ่มเพาะนั้นจะไม่เกรงกลัวของแสงอาทิตย์แต่อย่างใด แม้แต่ข้อต่อเองก็บิดหมุนได้อย่างอิสระ การบ่มเพาะศพนั้นมีด้วยกันสี่ระดับได้แก่ ทอง เงิน ทองแดง และเหล็ก
ระดับที่ต่ำสุดนั้นก็คือเหล็กระดับนี้จะเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกฝนที่เพิ่งจะเริ่มก่อร่างพลังภายในของสำนักเต๋าซวนเหมิน
ระดับทองแดงจะเปรียบได้กับระดับก่อรูปในสำนักเต๋าฯ ระดับเงินจะเปรียบได้ดั่งระดับแข็งแกร่ง และสุดท้ายระดับทองจะเทียบได้ดั่งระดับกายทองคำของสำนักเต๋าฯ
เพียงแค่ระดับเงินนี่ก็เป็นอะไรที่เขานั้นต่อกรไม่ได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงระดับทองเลย เขานั้นไม่สามารถต่อกรได้อย่างแน่นอน
ผีดิบที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นค่อนข้างจะอ่อนแอแทบจะไม่คิดว่าจะอยู่ในระดับเหล็กซะด้วยซ้ำไป แต่อย่างน้อยๆก็ไม่น่าจะใช่ผีดิบแต่กำเหนิดเพราะเจ้าร่างนี้นั้นสามารถอยู่ท่ามกลางแสงแดดและบิดข้อต่อได้แบบอิสระแบบนี้
หลังจากทำความเข้าใจกับร่างนี้แล้ว และพอจะรับรู้ได้ว่าผีดิบตนนี้ไม่น่าจะก่ออันตรายต่อเขาได้ ซูจิ้งจึงเลือกที่จะหยุดหนีและเลือกที่จะเผชิญหน้ากับผีดิบตนนี้แทน
เขาก้าวเดินหน้าเข้าหาผีดิบก่อนที่จะเริ่มสวดบทสวดแห่งวิถีมังกรออกมา มันทรงพลังพอที่จะให้บรรยากาศโดยรอบสั่นไหวได้เลย และทันใดนั้นเขาก็ได้พูดออกมาเสียงดังว่า “ตราประทับมังกร”
มือของซูจิ้งได้มีเงาของกรงเล็บมังกรมาซ้อนทับแล้วเขายกมือขี้นมาราวกับปางห้ามญาติแล้วก็ยื่นออกไปด้านหน้า นั่นทำให้เงาของกรงเล็บมังกรในมือพุ่งตรงออกไปด้านหน้าของเขา
ผีดิบเองก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังของซูจิ้งและมันก็ได้ร้องออกมาด้วยเสียงแปลกประหลาดและมีท่าทีหวาดกลัวในทันที ตอนนี้มันได้หยุดตัวเองอยู่นิ่งๆ
ทันใดนั้นซูจิ้งก็คว้าคอของผีดิบกดลงไปบนพื้นราวกับไก่ที่รอโดนเชือดก็ไม่ปาน
“ผีดิบนี่เองก็กลัวเป็นเหมือนกันแหะ ดูเหมือนว่าวิถีแห่งมังกรเองจะมีผลต่อผีดิบอย่างดีเลยทีเดียว” ซูจิ้งคิดขึ้นมาในใจทันทีหลังจากกดผีดิบไว้กับพื้นแล้ว
ตราประทับมังกรนี้เป็นรูปแบบแรกที่ปรากฎขึ้นมาในวิถีแห่งมังกร หลังจากที่เขาได้กินข้าวสีน้ำเงินเข้าไปทำให้เขานั้นสามารถบ่มเพาะได้ดีขึ้นอย่างมาก
และตอนนี้เขาเองก็สามารถใช้ตราประทับมังกรนี้ได้สักทีหนึ่ง ตำราวิถีมังกรนี้สมควรจะเป็นตำรารับที่มีอยู่ในวัดพุทธใหญ่ในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจจริงๆ
ด้วยการที่มันนั้นทรงพลังมากชนิดที่ว่าเพลงหมัดวัวคลั่งเทียบไม่ติดได้เลย นี่เพียงแค่เขาสำเร็จแค่บทแรกเท่านั้นก็ยังทำให้ความสามารถในการต่อสู้ของเขานั้นพัฒนาขึ้นอย่างมาก
หลังจากซูจิ้งจับผีดิบได้แล้ว ถึงแม้มันจะดิ้นยังไงแต่ก็ยังกดลงพื้นอยู่ดีราวกับไก่ที่พยายามดิ้นหนี้จากการโดนเฉือดที่ดิ้นยังไงก็ไม่มีทางหลุดพ้น
ยิ่งเจ้านี้เป็นผีดิบขั้นต่ำที่มีพลังมากกว่าคนทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นไม่มีทางเลยที่จะหลุดออกไปได้อย่างแน่นอน
ตอนนี้ซูจิ้งไม่ได้คิดว่าผีดิบตนนี้หน้ากลัวอีกต่อไปต่างกับก่อนหน้านี้นั่นก็เพราะเขานั้นไม่เคยเผชิญหน้ากับผีดิบแบบนี้มาก่อน
ดูเหมือนว่าวิถีแห่งมังกรนี้จะมีผลกับสิ่งมีชีวิตอย่างผีดิบจริงๆเพราะมันก็ดูเหมือนจะกลัววิชานี้ไม่น้อยเลย เห็นดังนั้นซูจิ้งก็ได้คิดสักพักก่อนที่จะหยิบเหรียญตราเทวฑูตออกมาแล้วทำการปล่อยพลังออกมานิดหน่อย
ผีดิบเองในตอนนี้ได้ดิ้นพล่านในทันทีเมื่อได้สัมผัสแสงที่เริ่มแผ่ออกมาจากเหรียญตราจนมันต้องร้องโหยหวนราวกับขอความเมตตา
ไม่นานนักร่างกายของมันก็ถึงกับมีควันขึ้นออกมา นี่ทำให้ซูจิ้งรีบเก็บเหรียญตราเทวฑูตในทันที
“แน่นอนแล้วว่าเหรียญตราเทวฑูตมีผลต่อร่างผีดิบนี้อย่างแรงกล้า กับผีดิบที่ยังไม่ผ่านการบ่มเพาะมันไม่สามารถทานต้านได้เลยแม้แต่น้อย
สำหรับผีดับระดับเหล็กและทองแดงเองก็ควรจะได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน” ซูจิ้งคิดเกี่ยวกับผลในการกล่อมเกลาปีศาจของวิถีมังกรและเหรียญตราเทวฑูตมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ล่ะนี่เองจะเป็นการยืนยันผลลัพท์ของทั้งสองสิ่งนี้ได้แล้ว
ซูจิ้งยังคงได้ลองทดสอบหลายๆอย่างกับผีดิบตนนี้ เขาพบว่ามันนั้นค่อนข้างจะทนทานเลยทีเดียว ผิวหนังของมันสามารถตัดได้ง่ายๆ นี่ขนาดยังไม่ผ่านการบ่มเพาะนะ หากบ่มเพาะแล้วเจ้านี่น่าจะกลายเป็นหนังทองแดงกระดูกเหล็กได้จริงๆอย่างแน่นอน
ซูจิ้งยังพบอีกว่าเขาสามารถควบคุมร่างกายและเฉือดเฉือนผีดิบตนนี้ได้ด้วยกระแสจิตของเขาราวกับว่าควบคุมสิ่งของธรรมดาเท่านั้น
หากเป็นสิ่งมีชีวิตแล้วซูจิ้งนั้นจะไม่สามารถควบคุมได้แบบนี้นั่นก็เพราะว่าสิ่งมีชีวิตนั้นมีพลังวิญญาณและพลังชีวิตของตัวเอง แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตจะต่อต้านโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ต่างกับผีดิบที่เหมือนจะไม่นับเป็นสิ่งมีชีวิตแต่อย่างใด
“เดี๋ยวนะนี่มัน?” หลังจากซูจิ้งทำการสำรวจร่างกายของผีดิบตนนี้ก็พบว่ามันมีพลังวิญญาณอยู่นี่ถึงกับทำให้เขานั้นนิ่งอึ้งไปในทันที
ผีดิบตนนี้ไม่มีพลังชีวิตแต่กลับมีร่องรอยแห่งชีวิตอยู่แบบนี้อยู่ในหัวสมอง ถึงแม้แจะไม่สามารถถือได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตแต่สมองของมันนั้นกับยังทำงานอยู่ราวกับว่ามันนั้นมีชีวิตหลังความตายได้แบบนี้
แถมมันยังตอบสนองกับการกระทำของเขาอยู่แบบนี้แสดงให้เห็นว่าเจ้านี่มีความคิดและเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเองเหมือนกับผีดิบตนนี้ได้ผ่านการบ่มเพราะมาแล้วเป็นอย่างดีทีเดียว
“ความรู้สึกนี้มัน?” ซูจิ้งยังคงสำรวจสิ่งที่เขาพบเจอลึกลงไปอีก ทันใดนั้นสายตาของเขาก็เปล่งประกายในทันที นั่นก็เพราะว่าผีดิบตนนี้นั้นทำให้เขาต้องรู้สึกประหลาดใจจนใจเต้นขึ้นมาเลยทีเดียว ร่างกายของผีดิบตนนี้เขยื่อนตามที่ซูจิ้งคิดไว้
การควบคุมร่างกายแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะสำนักบางสำนักในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้าที่มีการบ่มเพาะศพนั้น แน่นอนว่าพวกนั้นย่อมมีวิธีการทำศพอย่างไม่ต้องสงสัย
ในแต่ละสำนักเองก็มีวิธีการควบคุมศพหรือผีดิบแตกต่างกันออกไป และจากการที่ซูจิ้งสามารถใช้เพียงพระแสจิตควบคุมศพได้แบบนี้นั้นก็จะคล้ายๆกับวิธีการที่หยานเชินใช้ควบคุมร่างแยกของตนเอง
ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่ซูจิ้งสามารถแทรกซึมกระแสจิตเข้าไปในจิตใต้สำนึกของผีดิบตัวนี้ได้แล้ว พลังวิญญาณของผีดิบตนนี้ก็เหมือนกลายเป็นของซูจิ้งไปโดยปริยาย
ตอนนี้ผีดิบตนนี้ไม่ได้โจมตีซูจิ้งอีกต่อไป กลับกันมันยังมีท่าทีสวามิภักดิ์และเทิดทูนซูจิ้งพร้อมทั้งยอมทำตามแต่โดยดี
“อืมมมม เจ้าผีดิบตนนี้น่าจะยังไม่ได้รับการบ่มเพาะสำเร็จดีเลยทำให้มันถูกควบคุมได้ง่ายๆสินะ” ซูจิ้งคิดอยู่เงียบๆพลางใช้ความคิดเกี่ยวกับผีดิบตนนี้
ในที่สุดแล้วเขาก็คิดที่จะให้เจ้านี่กลายเป็นมือขวาของเขา เขายังสร้างห้องเฉพาะที่จะให้ผีดิบตนนี้บ่มเพาะอีกด้วย หากมันสามารถไปอยู่ในระดับเหล็กได้จริงล่ะก็ เขาสามารถใช้ผีดิบตนนี้ในการต่อสู้ได้อย่างแน่นอน
แค่ระดับเหล็กนี่ก็สามารถพาไปสู้แนวหน้ากับคนทั่วไปได้แล้ว นี่ไม่ต้องพูดถึงระดับทองแดง เงิน และทองเลยสักนิด
“จะว่าไปแล้ว เจ้านี่คงยังไม่ได้ผ่านการบ่มเพาะจริงๆล่ะนะ ถึงแม้ในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้าเจ้านี่จะไม่ต่างอะไรกับลมตด แต่มันก็ยังเจ๋งอยู่ดีล่ะนะ”
ซูจิ้งยังคงสาละวนอยู่ผีดิบตนนี้ เขาเองก็ได้พบว่าชุดของเจ้านี่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ชุดเกราะนี้ไม่ได้ทำจากเหล็กแต่เป็นหยกและทองคำ ดูสุดยอดยังไงก็ไม่รู้
หลังจากซูจิ้งได้สำรวจดีแล้วๆเขาก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมา “เดี๋ยวนะ ชุดนี่หรือว่าจะเป็นของตามที่เคย…”
GGS:บทที่ 945 ค้นพบ
ซูจิ้งทำการตรวจสอบเกาะของผีดิบอย่างละเอียดละออ ยิ่งเขาเห็นก็ยิ่งชอบชุดเกราะนี่มากขึ้น เขาได้ลองขอให้ผีดิบถอดเกราะหยกออกมาแล้วเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าธรรมดาที่เขาเอามาแทน นั่นก็เพราะว่าเจ้าชุดเกราะหยกนี้มันดูเจ๋งเกินกว่าที่จะให้ผีดิบนี้สวม มันน่าเสียดายเกินไป
ซูจิ้งได้กลับไปจัดการกับขยะที่เหลือต่อ เขาเสียเวลาไปหลายชั่วโมงในการจัดการขยะกองหินและขยะกองไม้ ถึงแม้เขาจะไม่ได้เจออะไรที่มันดูพิเศษเพิ่มเติมอีก แต่เขาก็เจอไม้ที่พอจะมีค่าและเขาชอบอยู่เหมือนกัน แต่นอกจากนั้นก็ไม่ได้เจออะไรเพิ่มติมแต่อย่างใด
“ฮอว์” เสี่ยวไป๋ได้ร้องออกมาดังลั่นจนต้องทำให้ซูจิ้งหันไปดูที่ขยะกองกระดาษในทันที เหมือนเขาหันไปดูก็พบว่าขยะกองกระดาษได้ซ่อมแซมเสร็จจนหมดแล้ว
ตอนแรกที่เขาต้องการนั้นคือให้เสี่ยวไป๋ซ่อมกระดาษเฉพาะชิ้นที่น่าสนใจเท่านั้น แต่กลายเป็นว่ากระดาษกองนี้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้วทั้งหมด
เหตุผลหลักก็มีอยู่สองอย่างนั่นก็คือ อย่างแรก ขยะกองกระดาษถือได้ว่าเป็นขยะที่ซ่อมแซมได้เร็วที่สุดและการซ่อมกระดาษเหล่านี้ก็ไม่ได้เปลืองพลังของเสี่ยวไป๋สักเท่าไหร่นัก
อย่างที่สอง กระดาษ ถือได้ว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่มีค่าสำหรับเขาในการรู้เรื่องราวต่างๆของห้วงเวลาฯที่พวกมันจากมา และแน่นอนว่าบางชิ้นนั้นมีประโยชน์เกินกว่าที่เขาจะคาดคิดได้มาก็หลายหนแล้ว
เมื่อซูจิ้งเห็นดังนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องรีบมาแยกกระดาษออกอีกทีหนึ่ง ก่อนหน้านี้กระดาษที่ได้จากขยะกองนี้นั้นบ่งบอกได้แค่ว่าพวกมันมาจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้าเท่านั้น แต่เขาก็ยังไม่ได้เจออะไรน่าสนใจเลยแม้แต่น้อย นี่ทำให้เขานั้นยังไม่ตัดใจจากขยะกองกระดาษกองนี้อยู่ดี
“นี่คือ?” ซูจิ้งได้หยิบปึกหนังสือขึ้นมาดู ถึงแม้มันจะยังมีร่องรอยฉีกขาดอยู่บ้างแม้จะผ่านการซ่อมแซมไปแล้ว แต่นี่ก็พอที่จะทำให้เขานั้นตาเป็นประกายในทันทีเมื่อเห็นว่าหนังสือมีชื่อว่า “ตำรากระดาษการสงคราม”
ซูจิ้งไม่รอช้ารีบเปิดอ่านในทันที วิชานี้ถือได้ว่าเป็นไสยเวทย์อย่างหนึ่ง เมื่อได้ฝึกตำรานี้จะทำให้สามารถตัดกระดาษออกมาเป็นรูปอะไรก็ได้ เพียงแต่โยนกระดาษนั้นออกไปจากกลายเป็นทุกสิ่งอย่างตามที่ผู้เรียนรู้ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นภูตผีปีศาจ เทวฑูต นางฟ้า ประตูวาร์ป หรืออะไรก็ได้ตามใจปรารถนา
ด้วยการที่กระดาษสามารถสอดแทรกตัวเองลงไปได้ในช่องว่างแคบๆเพื่อโจมตีใครก็ได้ที่ต้องการ ถึงแม้พลังของมันจะแค่ดีกว่ากำลังของคนทั่วไปนิดหน่อย แต่หากเมื่อเจอจริงๆล่ะก็คงต้องเปิดช่องให้โดนรอบข้างกันบ้างอยู่ ต่อให้เจอคนแกร่งๆก็ยังมีพลาดท่ากันเลยทีเดียว แต่ให้ไม่ได้เด็ดดวงแบบกระสุนเงินตัดหัวใจ แต่ก็ต้องมีล้มทั้งยืนกันบ้าง
“ฉันจำได้ว่าในสำนักดาบเตียนเฮอนั้นมีห้องสมุดเวทมนต์อยู่ มันเป็นห้องสมุดหอนอก ด้วยการที่เจ้าวิชานี้นั้นเป็นไสยเวทย์ระดับต่ำแถมยังพลังต่ำกว่าไสยเวทไหนๆในสถาบันทำให้มันต้องไปอยู่ที่นั่น
อย่าว่าแต่เหล่าลูกศิษย์ของสำนักเลย แม้แต่คนธรรมดาก็ไม่อยากจะเหลียวแลแม้แต่น้อย”
ซูจิ้งเองก็คิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกันแต่ถึงวิชานี้มันจะพลังอ่อนดอยจนาดไหนก็ตาม แต่ยังไงซะในโลกที่เต็มไปด้วยคนทั่วไปแบบนี้ ยังไงซะวิชากระดาษการสงครามนี้ก็ยังทรงพลังอยู่ดี
แต่เอาจริงๆแล้วสิ่งที่สนใจที่จะเรียนรู้จากตำรานี้มากที่สุดคือวิธีการตัดกระดาษให้การเป็น วิญญาณดี วิญญาณร้าย และประตูวาร์ป หากใช้ดีๆล่ะก็ ยังไงซะก็ต้องได้ผลลัพท์ดีๆอย่างแน่นอนอยู่แล้ว
หลังจากที่ซูจิ้งได้อ่านตำรากระดาษการสงครามนี้ดูก็พบว่าใจตอนนี้นั้นเขายังไม่สามารถเรียนตำรานี้ได้ นั่นก็เพราะระดับพลังภายในที่ถือได้ว่าเป็นเกณฑ์ขั้นต่ำในการเรียนรู้ตำรานี้ถึงจะไม่สูงมาก แต่ก็ยังสูงกว่าระดับพลังภายในของเขาในตอนนี้อยู่ดี
เขาเองก็ไม่ได้มีทางเลือกอื่นเพียงได้แค่ต้องเก็บตำรานี้ไว้ก่อน เขานั้นได้หาตำราที่จะฝึกกำลังภายในมานานมากแล้ว ภาวนาทุกครั้งที่ขยะห้วงเวลาฯชุดใหม่มาแต่ก็ยังไม่เจอเลยสักที ได้แต่หวังว่าครั้งนี้จะได้เจอสักหน
ทันใดนั้นซูจิ้งก็ได้หยิบตำราหนึ่งขึ้นมาดู หน้าปกของมันนั้นมีเพียงตัวอักษรตัวใหญ่ๆตัวหนึ่งเท่านั้น แต่เหมือนเห็นคำนี้เท่านั้น หัวใจของเขาก็เต้นระรัวในทันที เหตุผลก็เพราะสิ่งที่เขาใฝ่หามานานปรากฎอยู่ตรงหน้าแล้ว
ยิ่งซูจิ้งมองตัวอักษรที่อยู่บนหน้าปกตำรานี้นานเท่าไหร่ อาการของเขาก็ยิ่งดูตื่นเต้นมากขึ้น จนในที่สุดแล้วตัวเขานั้นก็แสดงท่าทางตื่นเต้นจนแทบจะกระโดดดีใจออมาเลยทีเดียว
หากตำรานี้เป็นอย่างที่เขาจำได้ล่ะก็ นี่คือวิธีการบ่มเพราะพลังภายในของธาตุน้ำ ถึงแม้ชื่อของมันจะมีแค่เพียงคำๆเดียวซึ่งแตกต่างจากตำราน้ำทมิฬที่เจียวเฟยที่เป็นตัวเอกของห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้าฝึกฝน แต่ตำรานี้ถือได้ว่าดีกว่าแบบสุดลูกหูลูกตา
ตำราน้ำทมิฬที่ว่ามานั้นคือตำราของสำนักมารที่ยอมให้เฉพาะผู้สืบทอดและสิทธิ์ภายในเท่านั้นที่จะสามารถฝึกได้ ด้วยการที่วิธีการฝึกของตำรานี้เรียกได้ว่าสุดเหวี่ยงเพื่อจะให้ไปได้ในจุดสูงสุด ถึงขนาดที่ว่าควบคุมสายน้ำทุกที่ที่อยู่บนโลกได้ดั่งใจปรารถนา แม้แต่หิมะ หมอก น้ำแข็ง ก้อนเมฆ สายฝน และลูกเห็บ ก็สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ดังใจนึก แถมยังสามารถหลอมรวมไปกับพลังให้ธาตุน้ำ คืนชีพได้ดั่งมังกรดำ บินทะลุผ่านเวลา ควบคุมได้แม้แต่สายฟ้าด้วยการสร้างเมฆและฝน หายใจออกมาเป็นสายลมแรง และดื่มกินคลื่นลมทะเล แค่นี้ก็แทบจะบอกได้ว่ามีพลังไม่สิ้นสุดและไม่หยุดยั้งราวกับว่าเป็นมังกรโบราณเลยก็ว่าได้
ตำรา “ราชันย์แห่งสายน้ำ” ที่ซูจิ้งถืออยู่นี้ไม่ใช่เพียงตำราที่จะสอนให้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสายน้ำ ในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบเทพธิดานั้น ตำราเล่มนี้แทบจะถือได้ว่าเป็นตำราที่อยู่นอกสารบบของตำราบ่มเพาะทั้งมวลจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นตำราในตำนานที่ทุกคนขยาดและมีเพียงแค่การกล่าวถึงเท่านั้น
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นมันก็ถือได้ว่าเป็นตำราบ่มเพาะพลังภายในที่แท้จริงเล่มหนึ่ง เป็นตำราที่เน้นการบ่มเพาะจริงๆ ไม่เหมือนกับตำราสัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่เน้นไปการบ่มเพาะเพื่อการรักษา นี่ถือได้ว่าเป็นสมบัติของซูจิ้งอย่างแท้จริงเลยทีเดียว
“อืมมมมม ลองดูอีกทีแล้วกัน อาจเจอวิถีการฝีกพลังภายในที่ดีกว่านี้ก็ได้” ไม่ใช่ว่าซูจิ้งนั้นไม่ถูกใจตำราเล่มนี้แต่อย่างใด เพียงแต่ว่าเขาเองก็ยังหวังอยู่นิดหน่อยว่าอาจจะเจอตำราที่ดีกว่านี้เท่านั้นเอง
ดังที่มีคำกล่าวที่ว่าเริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ยิ่งเริ่มต้นดีเท่าไหร่ยิ่งอนาคตสดใส
แต่ซูจิ้งก็ได้แต่เพียงหวังไปเท่านั้น หลังจากเขารื้อค้นขยะกองกระดาษที่ผ่านการซ่อมแซมแล้วดูเขาก็ไม่พบวิธีการบ่มเพาะที่ดีกว่าตำรา “ราชันย์แห่งสายน้ำ” เลยแม้แต่น้อย เอาจริงๆเขาเองไม่พบตำราหรือข้อมูลที่มีค่าอีกเลยด้วยซ้ำ
ในที่สุดซูจิ้งก็ทำได้แค่เพียงตัดใจเท่านั้น เขาได้ตรงไปยังสวนและนั่งลงข้างๆสระน้ำและเริ่มทำการฝึกตำราจ้าวแห่งสายน้ำในทันที
อาจเป็นเพราะว่าเขาเองได้ฝึกตำราวิถีแห่งใต้หล้ามาก่อนทำให้นั้นเข้าใจวิธีการบ่มเพาะของตำราจ้าวแห่งสายน้ำไม่ยากนัก
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง รอบตัวซูจิ้งก็ได้มีกระแสลมหมุนวน ทั่วทั้งร่างของเขานั้นเต็มไปด้วยไอน้ำ ดอกไม้และพืชต่างๆที่อยู่ใกล้ๆเต็มไปด้วยหยาดน้ำค้าง และผืนหญ้าที่เขานั่งทับนั้นเปียกชุ่มไปหมด
หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน ไอหมอกก็พวยพุ่งในระยะสามเมตรโดยรอบ พอมาถึงตอนนี้ซูจิ้งได้หยุดการบ่มเพาะและได้ทำการยกมือขวาขึ้นมาข้างหน้าและนั่นทำให้ไอน้ำที่อยู่รอบๆก่อตัวออกมาเป็นมือข้างหนึ่ง
ด้วยการควบคุมของซูจิ้งทำให้มือนั้นลอยไปมาหมุนวนโดยรอบได้ดั่งใจปรารถนาโดยในการควบคุมครั้งนี้นั้น ซูจิ้งไม่ได้ใช้กระแสจิตแต่อย่างใด เขาใช้เพียงวิชาที่เขาได้เรียนรู้มาจากตำราจ้าวแห่งสายน้ำเท่านั้น
เขารู้สึกได้ว่าพลังภายในของเขานั้นเพิ่มสูงมาพอสมควร และนี่ก็พึ่งจะผ่านไปเพียงวันเดียวเท่านั้นแต่กลับเพิ่มขึ้นราวกับตอนที่เขาฝึกตำราสัมผัสแห่งใบไม้ฯอยู่ร่วมเดือน หากเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็ไม่นานเขาจะสามารถฝึกในขั้นกลางได้อย่างแน่นอน
“เพียงแค่ฝึกตำรานี้วันเดียวฉันก็เพิ่มพลังภายในได้ขนาดนี้เลยหรือเนี่ย ฉันนี่อัจฉริยะจริงๆ” ซูจิ้งใจตอนนี้นั้นมีใจที่เปี่ยมสุขอย่างมาก
เมื่อเทียบกับเฉียวเฟยที่ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนในการฝึกตำราน้ำทมิฬได้อย่างถ่องแท้ในหนึ่งเดือนแล้ว ตัวเขานั้นถือได้ว่าล้ำกว่าเป็นร้อยเท่า
นั่นก็เพราะว่าเฉียวเฟยนั้นตั้งใช้เวลาเดือนกว่าเพื่อที่จะควบคุมเมฆหมอกไอน้ำได้ แต่กับซูจิ้งแล้วนั้นเพียงวันเดียวก็สามารถทำได้ หากเทียบกันแล้วซูจิ้งนั้นถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะก็ยังได้
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ตัวดีอยู่แล้วว่าตัวเขานั้นไม่ใช่อัจฉริยะอะไรพวกนั้นหรอก เพียงแค่ตัวเขานั้นมีองค์ประกอบต่างๆที่ดีกว่าก็เท่านั้นเอง
องค์ประกอบที่ว่านั้นหลักๆก็จะเป็นสภาพร่างกายและระดับของจิตใจที่ดีเยี่ยมทั้งคู่ อีกทั้งเขานั้นได้ฝึกฝนตำราวิถีแห่งใต้หล้าที่ได้มาจากห้วงเวลาฯไซอิ๋วมานานกว่าสองปี
เอาจริงๆหากว่าอยู่ๆเขาต้องไปนั่งบ่มเพาะตำราต่างๆในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลทราบเทพธิดาล่ะก็ เอาค่าระดับกลางเขาก็ไปไม่รอดแล้ว
เมื่อเทียบกับเฉียวเฟยที่ฝึกตำราน้ำทมิฬด้วยสภาพแคะแกนตัวเหลืองเซียวเพราะขาดสารอาหารแบบนั้น เขาเทียบไม่ได้เลยสักนิด
ซูจิ้งนั้นที่รู้สึกว่าฝึกเพียงพอแล้วในตอนนี้ก็ได้ลึกขึ้นยืนและก็ได้พบเรื่องประหลาดใจในทันที เขาได้พบว่าเสื้อผ่าที่เปียกโชกไปด้วยน้ำจากหมอกก่อนหน้านี้อยู่ๆก็แห้งในทันที อีกทั้งร่างกายของเขาก็เหมือนจะแข็งแรงขึ้นแบบฉับพลันอีกด้วย
หลังจากนิ่งคิดไปสักพักเขาก็เลิกใส่ใจไปก่อนและคิดว่าจะกลับเข้าไปในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯนั้น ในตอนนั้นเองก็ได้มีเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้นมา และก็พบว่าเป็นโจวฉือเซียนที่โทรหาเขา
เขาได้รับสายและถามออกไปว่า “คุณโจว กลับมาจากออกทะเลแล้วหรือครับ ผมบอกไปแล้วนี่ครับว่าพื้นทะเลที่ผมเจอของจากแอตแลนติสนั่นไม่น่าจะมีอะไรเหลือแล้ว คุณถอดใจซะดีกว่า อย่าเสียเวลาอีกเลย”
หลังจากตอนที่เขากุเรื่องสมบัติจากนครที่สาบสูญแอตแลนติสไปนั้น ทำให้มีเหล่านักธรณีวิทยา นักบรรพชีวินพร้อม พร้อมทั้งนักกู้ซากทั้งหลาย ได้ตั้งทีมขึ้นและแทบจะยึดบ้านเขาเป็นฐานที่มั่นในการค้นหาร่องรอยแห่งแอตแลนติส
ซูจึ้งรู้สึกรำคาญก็ได้จิ้มจุดที่คิดว่ามีโอกาสจะเป็นที่ตั้งของตำนานนั้นไปบนแผนที่แทบจะแบบส่งเดชเลยด้วยซ้ำไปเพื่อทำให้คนพวกนี้ยอมย้ายออกไปจากบ้านเขาสักที
ส่วนพวกเขานั้นจะไปดำกันยังไง วิธีการไหนนั้น ด้วยตัวเขาเองก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวอยู่แล้วเลยไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่ในตอนนี้เขาเองก็เริ่มรู้สึกนึกละอายในตัวเองเหมือนกันที่ต้องให้โจวฉือเซียนและเอี้ยป๋อไปเสียเวลาควานหาของลมๆแล้งๆแบบนั้น
“ไม่ใช่หรอก จริงๆแล้วเราพบอะไรบางอย่างแล้วน่ะ” โจวซิเซียนพูดออกมา
“นั่นไงผมก็บอก….ห้ะ เดี๋ยว คุณว่าไงนะ” ซูจิ้งนิ่งอึ้งไปในทันที พลางคิดถึงที่โจวฉือเซียนพูดออกมาเมื่อกี้ว่าพบอะไรบางอย่าง นั่นเขาแค่จิ้มส่งๆไปเองไม่ใช่เหรอ จะโชคดีเกินไปแล้ว
“ใช่แล้ว เราพบเรือจบอยู่จำนวนหนึ่ง และเราก็พบสมบัติจำนวนมากในเรือด้วย แต่ด้วยการที่น้ำลึกมาก อย่าว่าแต่เรื่องที่พวกมันเกี่ยวข้องกับแอตแลนติสหรือเปล่า เราก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นของช่วงเวลาไหนด้วยซ้ำ หลังจากที่เราเจอไม่นานนักไอ้พวกญี่ปุ่นก็ได้เข้ามาและอ้างตัวเป็นเจ้าของและทำการเก็บกูซากในทันที
พวกมันทำงานกันเร็วมากแถมเทคโนโลยีการเก็บกู้ซากยังดีกว่าพวกเราเสียอีก
ด้วยเหตุนี้พวกมันเลยถือโอกาสอ้างกรรมสิทธิ์กึ่งบังคับ แถมยังมีกองกำลังมาสนับสนุนพวกมันจนพวกเราฝืนไม่ได้แม้แต่น้อย
คุณซู ได้โปรดช่วยพวกเราด้วยเถอะ ผมขอให้คุณสนับพวกเราเรื่องเงินและกองกำลังทางทำหารจากรัฐบาลได้รึเปล่าครับ
เรื่องนี้จะช้าไม่ได้ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ไม่งั้นสิ่งที่เราทุ่มเทลงไปจะสูญเปล่าแน่นอน” โจวฉือเซียนพูดออกมาแบบละล่ำละลักอย่างเร็วและเต็มไปด้วยความโกรธ
พวกเขานั้นพบสมบัติพวกนั้นก่อนแต่โดนญี่ปุ่นชุบมือเปิบไปแบบหน้าด้านๆ ถึงแม้จะบอกว่าในน่านน้ำเปิดแบบนั้นไร้ซึ่งกฏหมาย หากมือใครยาวสาวได้สาวเอาก็ตาม แต่เขานั้นโกรธมากจริงๆ
GGS:บทที่ 946 หยิบก่อนก็ได้ก่อนสิ
“เรื่องนี้…” ซูจิ้งถึงกับขมวดคิ้วในทันที ตอนนี้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าสมบัติที่พบนี้เป็นของจากดินแดนที่สาบสูญแอตแลนติสใช่รึเปล่า
แต่ปัญหาคือใครเป็นเจ้าของสมบัติเหล่านั้น ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เป็นผู้ครอบครองเรือสมบัติพวกนั้นไปล่ะก็ แน่นอนว่าจะเป็นที่กล่าวถึงจากทั่วทั้งโลกนี้ไปอีกนานเลยทีเดียว
และในเรื่องการเก็บกู้โบราณวัตถุเองนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างมาก และปัญหาหลักๆก็คือเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายในประเทศที่ส่วนใหญ่นั้นมักมีข้อคัดแย้งกัน
นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องโบราณวัตถุเหล่านั้นมาจากประเทศไหนด้วยซ้ำ หากเอาเรื่องนี้พิจารณาด้วยแล้วจะยิ่งทำให้กลายเป็นหาที่ซับซ้อนมากเข้าไปอีก
โดยทั่วไปปัญหาเหล่านี้นั้นมันจะจบลงที่ใครเป็นผู้เก็บกู้ขึ้นมาก็เป็นคนที่ได้รับมันไป ต่อให้เรือนั้นเป็นซากเรือจากเมืองจีนและต่อให้อยู่ในน่านน้ำจีนด้วยก็ตาม
แต่หากประเทศที่มีเทคโนโลยีเก็บกู้สูงๆอย่างญี่ปุ่นเก็บกู้ไปได้ ศาลโลกก็มักจะตัดสินให้กรณีแบบนี้เป็นของฝ่ายเก็บกู้ด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงการที่ซากเรือพวกนี้อยู่ในเขตน่านน้ำสากลและยังไม่รู้ว่าเป็นของจากที่ไหนหรือยุคใดด้วยซ้ำ
“ไม่ใช่แค่ญี่ปุ่นนะครับ อีกไม่นานนักประเทศอื่นก็น่าจะรู้เรื่องนี้แล้ว หากช้าเกินไปล่ะก็เราจะไม่ได้อะไรเลยสักนิด” โจวฉือเซียนได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูปกติมากขึ้น ออกไปเชิงเสียดายเสียมากกว่าด้วยซ้ำ
ปกติปัญหาเรื่องการเก็บกู้เรืออัปปางแบบนี้ส่วนใหญ่จะเกิดปัญหาระหว่างประเทศไม่สองก็สามประเทศ แต่ในตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้วเพราะว่าทุกประเทศต่างก็ควานหาดินแดนที่สาบสูญ
แน่นอนว่าข้อมูลแบบนี้ไม่นานต้องเล็ดรอดไปเข้าพวกนั้นอย่างแน่นอน
“ในเรื่องนี้นั้น ผมเองก็กลัวว่าพวกรัฐบาลจะเคลื่อนไหวไม่ทันการอย่างแน่นอน ทางที่ดีที่สุดคือการต้องหาสปอนเซอร์จากภาคเอกชน
แต่ก็อีกนั่นแหล่ะครับ ต่อให้เก็บกู้ได้ ยังไงซะพวกนั้นก็คงจะถือครองกรรมสิทธิ์สมบัติพวกนั้นอยู่ดีนั่นแหล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“เรื่องนั้นพวกเราไม่สนหรอกครับ เอาจริงๆก่อนหน้านี้ก็มีหลายบริษัทที่สนใจจะร่วมลงทุนเหมือนกัน แต่พวกนั้นกลัวที่จะคว้าน้ำเหลวมากกว่าจะได้สมบัติมาครอบครองเลยไม่มีใครกล้าออกตัวแต่อย่างใด
พวกนั้นอยากจะดูท่าทีและประเมินว่าคุ้มค่าในการลงทุนรึเปล่า แต่การที่พวกนั้นมัวแต่รอดูท่าทีแบบนี้ กว่าจะเริ่มเคลื่อนไหวล่ะก็ กว่าจะไปถึงดอกไม้งามที่เราคาดหวังไว้มันก็เฉาตายหมดกันพอดี
จะว่าไปคุณซูไม่สนใจที่จะเก็บกู้ซากเรือพวกนั้นหรือครับ” ถึงแม้โจวฉือเซียนจะบอกอกมาว่าการเก็บกู้ซากเรือในทะเลน้ำลึกแบบนี้นั้นต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล
แต่เท่าที่เขารู้นั้นจำนวนเงินที่ใช้แทบจะไม่ได้มีผลอะไรเลยกับซูจิ้ง ซูจิ้งนั้นหาเงินได้นับร้อยล้านหยวนด้วยการปล่อยประมูลสมบัติเพียงชิ้นเดียว
ไหนจะมีผลกำไรที่ได้จากธุรกิจและอุตสาหกรรมมากมายที่เขาสร้างเอาไว้อีก เพียงเท่านั้นก็บอกได้เลยว่าซูจิ้งสมควรจะมีเงินอยู่ในมือไม่น้อยกว่าหมื่นล้านหยวนเป็นแน่
“ผมเองมีเรื่องอื่นต้องทำน่ะ อีกอย่างผมตอนนี้เอาจริงๆแล้วเงินยังอยู่แค่ในดุลหมุนเวียนเท่านั้น ผมเองคงร่วมลงเงินไม่ได้หรอก” ซูจิ้งพูดออกมา
“งั้น… ไม่เป็นไรครับ ผมจะลองหาคนอื่นดูแล้วกันครับ” โจวฉือเซียนไม่มีทางเลือกได้แต่วางสายไป เขาเองก็หวังเพียงว่าซูจิ้งนั้นจะพอทำอะไรกับเรื่องนี้ได้บ้าง
เพราะยังไงซะของพวกนั้นเจอในตำแหน่งที่ซูจิ้งเจอสมบัติจากแอตแลนติสก็อาจจะเจอเพิ่มได้เหมือนกัน ต่อให้ไม่ใช่แต่ยังไงซะพวกมันก็เป็นสมบัติอยู่ดี แต่คิดไม่ถึงว่าซูจิ้งจะไม่มีท่าทีว่าสนใจแม้แต่น้อย
แต่ที่โจวฉือเซียนคิดไม่ถึงนั่นก็คือซูจิ้งใช่ว่าจะไม่สนใจ แต่เขาแค่ไม่อยากเสียเงินไปกับเรื่องพวกนี้ก็เท่านั้นเอง
หลังจากโจวฉือเซียนได้วางสายไปแล้ว ซูจิ้งก็ได้บ่นพึมพำออกมาว่า “ถ้าให้ภาครัฐหรือเอกชนได้ไปล่ะก็ เขาขอลงมือเองเลยดีกว่า แต่นี่จะดูโหดร้ายกับโจวฉือเซียนและเอี้ยป๋อไปรึเปล่านะ”
ที่ซูจิ้งบอกปฏิเสธที่จะให้เงินช่วยเหลือไปนั้นเหตุผลหลักๆก็คือการเก็บกู้ซากโดยพวกเขานั้นช้ามากๆเมื่อเทียบกับญี่ปุ่นซึ่งมีเทคโนโลยีด้านการทะเลอันดับต้นๆของโลกแล้วไม่มีทางสู้ได้อย่างแน่นอน
ไหนจะประเทศอื่นอีก ต่อให้กู้มาได้ยังไงก็ถูกปล้นไปดื้อๆอยู่ดี ต่อให้เก็บกู้ได้จริงก็คงแต่ไม่กี่ชิ้นและนั่นก็ไม่เพียงพอต่อการสืบหาว่าสมบัติเหล่านั้นมาจากที่ใด
ระหว่างลงเงินเพื่อรอผลที่น่าจะแทบไม่ได้อะไรกลับมาเลยแบบนี้ สู้เขาลงมือกวาดเรียบคนเดียวซะยังจะดีกว่า ตัวเขานั้นไม่เพียงจะมีสัตว์ประหลาดใต้ทะเลลึกอย่างหมึกยักษ์หัวกลม ราชันย์หมึกกล้วย ปลาวาฬเพชฌฆาต ปลาตาน้ำเงิน และสัตว์ทะเลอย่างอื่นอีก
หากว่าเป็นทีมของเขาล่ะก็ แน่นอนว่าไม่ว่าทีมเก็บกู้ซากทะเลใดๆในโลกก็ไม่อาจทัดเทียมได้
ก่อนหน้านี้ตอนที่โจวฉือเซียนและเอี้ยป๋อจะดึงดันออกทะเลเพื่อควานหาสมบัติแห่งแอตแลนติสนั้น
ในตอนนั้น ซูจิ้งรู้สึกละอายใจในสิ่งที่เขาทำลงไปจริงๆที่ไปยกอ้างถึงเรื่องแอตแลนติสจนทำให้ทั้งสองต้องเสียเวลาแบบนั้นไป
แต่ในตอนนี้กลับต่างกันออกไปเพราะพวกเขานั้นดันโชคดีเจอเรือสมบัติจริงๆและเลือกที่จะเก็บกู้ซากเรือกันเองทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่ามีโอกาสจะโดนปล้นไปได้แบบนี้ ทั้งคู่ไม่กลัวกันเลยรึไงนะ
“หากฉันไม่เคลื่อนไหวเองล่ะก็ แน่นอนว่าไอ้พวกญี่ปุ่นนั่นสมควรจะได้สมบัติไป หึหึหึ อย่าว่าแต่สมบัติเลย ปลาสักตัวฉันก็ไม่ยอมให้พวกแกได้ไปหรอก”
เมื่อซูจิ้งคิดดังนั้นแล้ว เขาก็ได้รีบเตรียมตัวอย่างรวดเร็วและได้ขี่อินทรีย์ทองของเขาตรงไปยังพื้นที่ที่เจอซากเรือในทันที
เวลาผ่านไปพักใหญ่ โจวฉือเซียนและเอี้ยป๋อยังคงติดต่อหาคนสนับสนุนพวกเขาอย่างจ้าละหวั่น ซากเรือในพื้นที่ที่เคยเจอวัตถุโบราณจากเมืองแอตแลนติสนั้น
หากคนทั่วไปเพียงแค่ได้ยินคำพูดนี้ก็ทำให้คนที่ได้ฟังนั้นหวั่นไหวอย่างแน่นอนและพร้อมที่จะทุ่มเททุกอย่างอยู่แล้ว
แต่กับเหล่านักธุรกิจแล้วนั้น พวกเขาไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องอื่นใดนอกเสียจากเรื่องเงินเพียงอย่างเดียว พวกเขาสนเพียงว่าสมบัติจากแอตแลนติสจะทำให้พวกเขาได้เงินมหาศาลอย่างแน่นอน
แต่หากสมบัติพวกนี้ไม่ใช่อย่างที่คิดแล้วการเก็บกู้ครั้งนี้ก็จะเป็นเรื่องเสียงเงินเสียทองและเสียแรงเปล่าของพวกเขาไป แถมในครั้งนี้เองพวกเขานั้นก็ยังไม่เห็นหลักฐานที่พอจะยืนยันได้ว่าสมบัติเหล่านี้เป็นของยุคใดกันแน่ แน่นอนว่าหากพวกเขาเลือกที่จะไม่ช่วยเหลือก็ไม่ได้แปลกอะไร
“เฮ้อ ให้พูดตรงๆเลยนะ ฉันนั้นคิดว่าคุณซูควรจะสนใจเรื่องนี้มากกว่าใคร แต่ทำไมเขาดันปฏิเสธซะได้เนี่ย” เอี้ยป๋อบ่นออกมาพลางเหนื่อยที่จะโทรชนิดที่เกือบสิ้นความหวังแล้ว
“ไม่รู้เหมือนกัน เขาอาจจะไม่มั่นใจว่าสมบัติพวกนี้ว่าเป็นของจริง ไม่ก็เขาอาจจะพอใจกับรูปปั้นแอตแลนติสที่เขาได้มาแล้วก็ได้” โจวฉือเซียนพูดพลางถอนหายใจออกมา
“ถ้าซากเรือพวกนั้นมาจากแอตแลนติสจริงๆล่ะก็ จะไม่ได้มีค่ายิ่งกว่ารูปปั้นนั่นหรอกเหรอ” เอี้ยป๋อพูดออกมา
“แล้วจะบอกฉันไปทำไมกันเล่า ไปบอกคุณซูนู่นเลย บอกฉันไปก็เท่านั้น” โจวฉือเซียนในตอนนี้นั้นหมดหนทางจนเริ่มโมโหออกมาจนแทบจะร้องไห้แล้ว
ในตอนนั้นเองโทรศัพท์ของเอี้ยป๋อก็ได้ดังขึ้น พอเขามองดูก็พบว่ามันเป็นเบอร์ที่เขาไม่รู้จัก แต่เขาก็ยังรีบรับอยู่ดี ปลายสายได้พูดมาด้วยน้ำเสียงกระจ่างใสชนิดที่ว่าแม้แต่โจวฉือเซียนก็ยังได้ยิน เขาพูดออกมาว่า “ขอโทษครับ นั่นใช่ดอกเตอร์เอี้ยรึเปล่า”
“ใช่ครับ แล้วคุณคือ?” เอี้ยป๋อถามออกมา
“ชื่อของผมคือฮัวหยุนชู ผมได้ยินมาว่าดอกแตอร์เอี้ยพบซากเรือและกำลังหาใครสักคนในการสนับสนุนการกู้ซากเรือ พอได้ยินดังนั้นผมเลยสนใจที่จะเป็นผู้สนับบสนุนให้น่ะครับ”
“ฮัวหยุนชู” เอี้ยป๋อถึงกับนิ่งอึ้งไปในทันที และเขาก็จำได้ดีว่าใครคือฮัวหยุนชู จะมีใครบ้างล่ะที่ไม่รู้จักตระกูลฮัวได้กัน เขาเองรู้สึกประหลาดใจจนต้องพูดออกไปว่า “คุณฮัว หากคุณยินดีสนับสนุนเราล่ะก็นั่นเป็นเรื่องที่ดีเลยทีเดียว”
“เอาจริงๆเรื่องเงินนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมเลย แต่ประเด็นคือไอ้พวกญี่ปุ่นที่เริ่มทำการเก็บกู้ไปแล้วตามที่ผมได้ยินมา ผมกลัวแต่ว่าประเทศอื่นอีกไม่นานก็จะเริ่มดำเนินการเหมือนกัน
เราต้องรีบดำเนินการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดและผมเองก็เริ่มจัดการเรื่องนี้ไปแล้ว คุณและคุณโจวควรจะมาหาผมก่อนดีกว่า
ในเมื่อคุณเองเป็นผู้พบเรือนั่นยย่อมรู้สถานการณ์ในพื้นที่ดีกว่าใครอยู่แล้ว หากผมได้รับความช่วยเหลือจากคุณล่ะก็ แน่นอนว่าผมเองก็จะตอบแทนพวกคุณทั้งสองอย่างงามเลย”
“พวกเราไม่ต้องการเรื่องเงินทองอะไรนั่นหรอกครับ สิ่งที่พวกเราต้องการมีเพียงการได้ตรวจสอบและศึกษาพวกมันก็พอแล้ว” เอี้ยป๋อพดออกมา
“งั้นก็ดีเลยครับ อย่างนี้เราก็พูดกันได้ง่ายหน่อย ผมเองก็อยากได้มาเพื่อตรวจสอบและศึกษาเหมือนกัน ถ้าคุณกลัวว่าผมจะตุกติกล่ะก็ ยังไงก็เอาเป็นเรามาเซ็นสัญญาไว้ก่อนก็ได้นะ”
“คุณฮัวนี่สุดยอดจริงๆ พวกผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ครับ” เอี้ยป๋อและโจวฉือเซียนนั้นมีความสุขแบบสุดๆ นั่นก็เพราะว่าพ่อของฮัวหยุนซูนั้นเป็นหนึ่งในคนที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศ
เขานั้นมีเงินมากมายมหาศาล และกับคนที่มีเงินมากมายขนาดนั้นแล้ว แน่นอนว่าขุมกำลังของเขาเองก็ถือได้ว่าดูถูกไม่ได้เช่นเดียวกัน
หากเขาต้องการเข้าร่วมจริงๆแน่นอนว่าทั้งปัญหากำลังเงินและกำลังคนในการเก็บกู้ซากเรือนั้นแน่นอนว่าย่อมคลี่คลายได้อย่างง่ายดาย
ฮัวหยุนซูนั้นไม่ได้สนใจรอเอี้ยป๋อและโจวฉือเซียนแต่อย่างใด เขาได้รีบจัดตั้งทีมเก็บกู้ซากเรือพร้อมจัดเตรียมอุปกรณ์และคนที่มีความสามารถด้านการเก็บกู้ขึ้นมา
ทีมของเขานั้นเมื่อเตรียมตัวเสร็จแล้วก็ได้รีบออกทะเลตรงไปยังจุดพบซากเรือในทันที แต่ในตอนนั้นเองพวกเขาก็พบว่าไม่ใช่เพียงพวกเขาเท่านั้นที่เตรียมตัวเก็บกู เขาพบทีมเก็บกู้จากอเมริกา เกาหลีใต้ อังกฤษ และประเทศอื่นๆอีก และดูเหมือนว่าการเก็บกู้ในครั้งนี้คือศึกแย่งชิงอย่างแน่นอนแล้ว
ในเมื่อตอนนี้เรื่องนี้ทุกประเทศต่างรู้แล้ว ก็ไม่จะเป็นที่ต้องปิดบังกันอีกแต่ไป ไม่นานนักก็ได้มีข่าวนี้แพร่ออกไปอย่างรวดเร็วทั่วทั้งโลกอินเตอร์เน็ต
เหล่าชาวเน็ตที่เห็นข่าวนี้ต่างก็ตื่นเต้นในทันที เอาจริงในตอนแรกพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากเพราะเจ้าของโพสต์ข่าวนี้เป็นข้อคนไร้ชื่อเสียงคนหนึ่ง
แต่ทันทีที่พวกเขานั้นคลิ๊กเข้าไปดูต่างก็พบหัวข้อที่น่าตื่นตะลึงว่า “ช็อคโลก ร่องรอยแอตแลนติสโผล่ออกมาแล้ว”
GGS:บทที่ 947 หยิบก่อนก็ได้ก่อนสิ (2)
ทีมเก็บกู้ใต้น้ำจากทั่วทุกมุมโลกในตอนนี้ได้จับตามองไปยังจุดซากเรือที่เอี้ยป๋อได้ค้นพบและต่างก็พยายามฉกฉวยหยิบชิ้นปลามันนี้กัน
ทีมญี่ปุ่นนี่ยิ่งหน้าไม่อายเข้าไปใหญ่ พวกมันได้อ้างว่าเป็นคนกลุ่มแรกที่ได้ค้นพบ พวกมันแซะทีมที่มาจากจีนจนกลายเป็นว่าทีมของจีนนั้นเป็นพวกไม่อายมาอ้างสิทธิ์เสียแทน แน่นอนว่าเรื่องนี้ คนที่มาทีหลังย่อมไม่รู้อะไรเลยอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามไอ้เรื่องที่ว่าในตอนนี้นั้นไร้ค่าไปทันทีนั่นก็เพราะว่าประเทสที่ตามมาทีหลังนั้นไม่มีทางยอมแพ้อย่างแน่นอน
จนในที่สุดแล้วเรื่องก็ลงเอยที่ว่าใครดีใครได้ไปแทน และแน่นอนว่าคนที่มีเทคโนโลยีในการเก็บกู้มากที่สุดนั้นย่อมได้มันไป
นั่นก็เพราะว่าด้วยการที่พื้นที่พบซากเรือนั้นอยู่ใต้น้ำลึกลงไปกว่า 200 เมตร แน่นอนว่าการเก็บกู้นั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างแน่นอน
ขนาดญี่ปุ่นที่อ้างว่าเป็นทีมแรกที่ค้นพบนั้น พวกนั้นยังแทบจะไม่เจอร่องรอยอะไรเลยสักนิด ถึงแม้จีนจะตามมาทีหลัง
แต่ด้วยการที่พวกเขานั้นเป็นกลุ่มที่เจออย่างแท้จริง และตอนนี้พวกเขามาด้วยความพร้อมแล้วแน่นอนว่าย่อมถือได้ว่านำหน้าไปมากกว่า
ส่วนทีมอื่นในตอนนี้ถึงแม้ว่าจะตามหลังเพียงเล็กน้อย แต่ก็อยู่ในระดับที่ไล่ตามทันไม่ยากนัก ในตอนนี้ผู้คนทั้งบนบกและใต้น้ำนั้นต่างก็วุ่นวายกันไปหมด
นี่ถือได้ว่าเป็นการประชันความสามารถในการเก็บกู้ของแต่ละประเทศเลยก็ว่าได้
ก่อนหน้านี้ประมาณชั่วโมงหนึ่ง ซูจิ้งได้ขี่อินทรีย์ทองจนมาถึงจุดที่มีการค้นพบซากเรือแล้ว ตอนที่เขามาถึงนั้นก็พบเพียงทีมเก็บกู้ของจีนทีมเดียวเท่านั้น
เมื่อเห็นดังนั้นเขาก็ได้ทำการลอบลงไปใต้น้ำในทันที แต่ทันทีที่เขาดำน้ำลงไปก็ต้องหยุดกลางคันไปพักหนึ่ง
นั่นก็เพราะเขาค้นพบว่าบรรยากาศโดยรอบตัวเขาภายใต้ผืนท้องทะเลอันกว้างใหญ่นี้รู้สึกเป็นมิตรแต่เขาอย่างมาก และแรงกดดันของน้ำที่ต้องเผชิญในระหว่างดำน้ำแทบจะไม่มีผลอะไรกับเขาเลย
ด้วยการที่ซูจิ้งนั้นจะมีร่างกายสุดยอดราวกับซุปเปอร์แมน แถมยังเคยกินชาร์ถังที่ได้มาจากห้วงเวลาฯจูเซียนมาจนถึงขีดสุด
ทำให้ในตอนนี้นั้นเขาสามารถเคลื่อนไหวในนั้นได้ราวกับปลาตัวหนึ่งเลยทีเดียว
ภายใต้การนำทางของปลาวาฬเพชฌฆาต เขาได้ดำดิ่งลงไปได้กว่า 400 เมตรเข้าไปแล้ว และจากที่ประเมินดูแล้วในตอนนี้นั้นเขาน่าอยู่ลึกลงไปได้เต็มที่แค่ 500 เมตร เท่านั้น เอาตรงๆหากว่าตัวเขานั้นพึ่งแต่ความแข็งแกร่งของร่างกายอย่างเดียวล่ะก็ร่างกายของเขาน่าจะทำน้ำลึกได้อยู่ที่ 300 เมตรเท่านั้นเอง
คนทั่วไปนั้นเมื่อไม่มีอุปกรณ์ป้องกันล่ะก็จะสามารถดำน้ำลึกได้เต็มที่อยู่ที่ 50 เมตรนั่นคือขีดสุดเท่าที่มีการบันทึกเอาไว้
ต่อให้มีอุปกรณ์ดำน้ำและเครื่องมือครบครัน เต็มที่ก็ได้เพียง 200 เมตรเท่านั้น แต่การที่ซูจิ้งสามารถดำน้ำลึกได้กว่า 500 เมตร โดยที่ไม่มีอุปกรณ์ป้องกันแบบนี้ หากไม่บอกว่าเขาคือสัตว์ประหลาดตนหนึ่งก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้วเหมือนกัน
“เจ้าวิชาในตำราจ้าวแห่งสายน้ำนั่นแน่นอนว่าตัวมันนั้นย่อมเป็นวิชาธาตุน้ำ นี่ทำให้ฉันอยู่ในน้ำได้อย่างสบายเลยนะเนี่ย ถ้าหากฉันนั้นฝึกแบบจริงจังก่อนหน้านี้ล่ะก็ แน่นอนว่าอยู่ในน้ำได้นานแบบสุดๆอย่างแน่นนอน
อีกทั้งวิชานี้เองก็สมควรที่จะดึงพลังในธรรมชาติของน้ำเข้ามาเก็บสะสมไว้ในร่างกายของฉัน ฉันว่าหากฉันได้บ่มเพราะที่นี่ล่ะก็จะต้องเพิ่มพลังภายในที่แท้จริงของฉันได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว “
เมื่อซูจิ้งคิดได้ดังนั้นเขาจึงได้ลองทำการบ่มเพราะอยู่ที่นี่ เขานั้นไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใดเพราะเมื่อเทียบกันระหว่างสมบัติและการฝึกฝนของเขาแล้ว แน่นอนว่าการฝึกฝนร่างกาย พลังวิญญาณ และพลังภายในนั้นถือได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
ในตอนแรกนั้นซูจิ้งเองก็กลัวว่าเวทย์มนต์ไฟของเขานั้นจะขัดกับพลังภายในที่เกิดจากการบ่มเพาะตามตำราจ้าวแห่งสายน้ำจนเกิดความขัดแย้งภายในพลังภายในของเขา
แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งเขานั้นได้ฝึกฝนบ่มเพาะตามตำราจ้าวแห่งสายน้ำมากขึ้นเท่าไหร่ พลังภายในของเขานั้นก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
และแน่นอนว่าพลังภายในก็คือพลังภายในไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเวทมนต์ที่เขาใช้แต่อย่างใด ทำให้เขานั้นมันต้องใส่ใจในเรื่องนี้อีกแล้ว
แต่เรื่องนี้เอาจริงๆแล้วก็ไม่ได้แปลกแต่อย่างใดนั่นก็เพราะผู้คนที่อยู่ในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบเทพธิดานั้นแต่ละคนต่างก็ฝึกฝนบ่มเพาะร่างกายและจิตใจด้วยวิธีการที่หลากหลายจนเรียกได้ว่าแทบจะไร้ข้อจำกัด
ถ้าไม่นับความต้องการบางอย่างของบางวิชาล่ะก็ บางคนเองก็ยังมีวิชาครบทั้งห้าธาตุเลยด้วยซ้ำ
“ฮูมมมมม……”
หลังจากที่ซูจิ้งดำต่อลงไปได้สักประมาณ 50 เมตร ก็ได้มีบางสิ่งที่ใหญ่โตพุ่งเข้ามาหาเขาในทันที วาฬเพชรฆาตได้เข้ามาถึงตัวเขาก่อนเป็นตนแรก ตามมาด้วยหมึกยักษ์หัวกลม หมึกกล้วยจักรพรรดิ ปลาตาสีน้ำเงิน และปลาชนิดอื่นต่างทยอยว่ายเข้ามาล้อมเขา
เมื่อเห็นดังนั้นซูจิ้งก็ไม่ได้รอช้าแต่อย่างใด เขารีบขึ้นไปขี่วาฬเพชฌฆาตและได้พอทีมเก็บกู้ของเขาทั้งหมดดำลึกลงไป ไม่นานก็ได้พบกับซากเรืออัปปางที่อยู่ลึกลงไปอีก 200 เมตร ซูจิ้งนั้นเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันมากขึ้นเล็กน้อยและกะดูคร่าวๆแล้วเขาสามารถอยู่ที่นี่ได้ประมาณชั่วโมงหนึ่ง
ในตอนนี้ซิ้งนั้นสามารถได้ยินเสียงต่างๆได้อย่างชัดเจน และดูเหมือนว่าพวกทีมเก็บกู้จากญี่ปุ่นนั้นนน่าจะกำลังพักกันอยู่ ด้วยการที่พื้นที่นี้เป็นช่วงน้ำลึกมาก แน่นอนว่าพวกนั้นไม่มีทางทำงานอย่างต่อเนื่องได้โดยไม่มีทางหยุดพักอย่างแน่นอน
ซูจิ้งไม่ได้สนใจพวกทีมญี่ปุ่นแต่อย่างใด เขาได้ใช้พลังจิตของเขาตรวจสอบซากเรืออัปปางที่อยู่ตรงหน้า ถึงแม้พื้นที่ตรงนี้จะมืดมากก็จริง แต่ด้วยกระแสจิตของซูจิ้งนั้นไม่ต่างกับเขาใช้ตาตัวเองจ้องมองแต่อย่างใด
เขานั้นยังมองเห็นสภาพพื้นทะเลโดยรอบได้อีกด้วย ในพื้นที่ที่ไม่ไกลจากตรงนี้นักเขาก็ได้พบซากเรือลำอื่นอีกสามซากที่จมลงอยู่ใต้ดิน แน่นอนว่าคนอื่นๆนั้นไม่มีทางที่จะรู้เรื่องนี้ได้เลย อย่าว่าแต่เอี้ยป๋อและโจวซิเซียนเลย ทีมเก็บกู้ทีมอื่นๆเองก็ไม่สามารถพบเจอได้อย่างแน่นอน
ซูจิ้งได้ตรวจสอบดูก็พบว่าของในเรือสองลำนั้นมีไม่มากนั้น ส่วนลำใหญ่สุดที่อยู่ตรงการนั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นจารึกต่างๆ และจากรูปร่างของพวกมันแล้วดูเหมือนว่าจะถูกประดับเอาไว้ด้วยทองและเงิน
หลังจากที่ซูจิ้งจ้องมองจาริกชนิดตาเขม็งอยู่พักใหญ่แล้ว เขาก็ได้บังคับให้วาฬเพชฌฆาตว่ายน้ำไปยังบริเวณที่เรือทั้งสามจมอยู่ใต้ดินและเขาได้ให้หมึกยักษ์ให้กลม และราชาหมึกกล้วยช่วยตีดินเลนบริเวณที่เรือจมให้ฟุ้งกระจายออกมา
หมึกยักษ์หัวกลม และราชาหมึกกล้วยได้รีบจัดการใช้หนวดของพวกมันพัดผ่านดินเลนบริเวณดังกล่าวอย่างขยันขันแข็งราวกับใบพัดพัดลมก็ไม่ปานจนกระทั่งเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่และนั่นเองก็ได้ปรากฎซากเรือขึ้นมา
ซูจิ้งได้สั่งให้ทั้งสองหยุดนวดลงก่อนที่จะเปิดไฟฉายขึ้น และทันทีที่เห็นภาพเบื้องหน้าตัวเขานั้นถึงกับริมฝีปากกระตุกไปเล็กน้อย
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเขาก็คือภูเขาเหรียญทองที่ไหลอออกมาจากรอยแตกของกล่อง นอกจากเหรียญทองแล้วข้างในนั้นยังเต็มไปด้วยทองแท่งและอัญมณีเม็ดโตเลยทีเดียว
ต่อให้ซูจิ้งนั้นเป็นเศรษฐีอยู่แล้วแต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะใจเต้นรั่วที่ได้เห็นภาพตรงหน้า
“เรือพวกนี้เต็มไปด้วยปืนใหญ่มากมายแถมยังมีเศษซากของชุดเกราะทหารชนิดเต็มสูบแบบนี้นี่ เรือลำนี้สมควรจะเป็นเรือขนส่งสินะ แถมยังเป็นเรือขนส่งสมบัติซะด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันถึงจมลงมาได้ อาจเป็นเพราะพายุเฮอริเคนก็ได้ เอาเถอะ สมบัติพวกนี้ฉันขอรับไปเองก็แล้วกัน”
ซูจิ้งในตอนนี้อดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทางดีใจออกมา เขานั้นได้นำถุงออกมาจากกระเป๋ามิติหลายใบก่อนที่จะให้หมึกยักษ์หัวกลมและราชันย์หมึกกล้วยจัดการโกยสมบัติใส่กระเป๋า พวกมันนั้นในงานแบบนี้ส่วนใหญ่จะรับหน้าที่ในการโยกย้ายสมบัติที่มีขนาดใหญ่และหนัก ส่วนของชิ้นเล็กๆจะตกเป็นหน้าที่ของปลาตาสีน้ำเงินไปแทน แน่นอนว่าทั้งหมดรู้หน้าที่ของตนเป็นอย่างดีเพราะเป็นสิ่งที่ทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว
ส่วนซูจิ้งในตอนนี้นั้นเขาได้ทำการปล่อยกระแสจิตบังคับให้เหรียญทอง เหรียญเงิน อัญมณี และของมีค่าอย่างอื่นใส่เข้าไปในในกระเป๋ามิติ ก่อนหน้านี้นั้นเขาได้เตรียมตัวโดยการเอาของที่ไม่จำเป็นไปไว้ในมิติเก็บของในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯไปหมดแล้ว แน่นอนว่าตอนนี้เขาเหลือที่ว่างอย่างเหลือเฟือ
ถึแม้กระเป๋ามิติของเขาลูกนี้นั้นจะไม่ได้ใหญ่มาก มันมีช่องมิติขนาดประมาณบ้านหลังเล็กโดยมีพื้นที่หน้าตัดอยู่ที่ 10 ตารางเมตร และปริมาตรอยู่ที่ 30 ลูกบาศก์เมตรเท่านั้น
แต่ถึงเขาจะบ่นออกมาว่ามันเล็ก แต่หากมันเก็บน้ำเอาไว้จนเต็มล่ะก็มันสามารถจุของได้ประมาณ 30 ตัน เลยทีเดียว
แน่นอนว่าหากเปลี่ยนเป็นทองแล้วล่ะก็มันสามารถบรรจุทองคำได้เกือบๆ 600 ตันเลยทีเดียว แน่นอนว่ากับทองคำและสมบัติอื่นๆพวกนี้นั้นไม่ได้มากมายอะไรเลยแม้แต่น้อย
นอกจากนี้ซูจิ้งยังใช้กระแสจิตของเขาตรวจสอบไปยังทุกซอกทุกมุมของเรือชนิดที่ว่าแต่ให้ไปซุกตรงซอกก็ยังไม่พ้น
ไม่นานนักสมบัติทั้งหมดก็ได้หายวับไปจากเลยเพียงชั่วพริบตา เขาได้ลองตรวจสอบเรืออีกสองลำด้วยแต่เหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษ เขาเองก็ได้ลงมือเดินสำรวจด้วยตัวเองซ้ำ แต่พอพบว่าไม่มีอะไรก็ได้เลิกสนใจไป
ด้วยกระบวนการที่เกิดขึ้นตั้งแต่การค้นหา สำรวจ เก็บกู้นี้ เอาจริงๆแล้วซูจิ้งใช้เวลาไปไม่ถึงชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ ต่อให้รวบรวมนักเก็บกู้ซากจากทั่วทั้งโลกมาทำงานแข่งกับซูจิ้งก็ยังเทียบไม่ได้กับเศษเสี้ยวที่เขาลงมือเองด้วยซ้ำในระยะเวลาเท่ากัน
ตอนนี้นักเก็บกู้จากจีนและประเทศต่างๆเองยังคงพึ่งจะถึงและเตรียมตัวที่จะดำลงมาสำรวจด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับซูจิ้งแล้วเห็นได้ชัดว่าพวกนี้ทำงานได้ช้าสุดๆ แต่ให้เร่งยังไงก็เทียบไม่ได้กับเขาอยู่ดี
แต่เอาจริงๆแล้วก็ไม่แปลกแต่อย่างใดนั่นก็เพราะว่าพวกเขานั้นไม่สามารถทำอะไรรีบเร่งได้แม้แต่น้อย หากพวกเขานั้นรีบเกินไปล่ะก็แน่นอนว่าความตายย่อมรออยู่เบื้องหน้าของพวกเขาอย่างแน่นอน
นอกจากนักเก็บกู้ซากจะทำอะไรรีบเร่งไม่ได้แล้ว พวกเขานั้นยังต้องทำการดำดิ่งลงไปด้วยความระมัดระวัง และต้องตื่นตัวในทุกสถานการณ์ ไม่งั้นล่ะก็นอกจากจะไม่สามารถเก็บกู้อะไรได้เลยแล้ว พวกเขาจะไปเฝ้ายมบาลใต้น้ำลึกอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เอาจริงๆตอนนี้ต่อให้รีบก็เท่านั้นเพราะใครจะไปคิดว่าเพียงแค่ช่วงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดี สมบัติทั้งหลายจะหายไปหมดแล้ว
“ฉันว่าฉันควรจะสำรวจช้าๆอีกรอบนะเพื่อว่าจะพลาดอะไรไป อีกอย่างไอ้พวกญี่ปุ่นเองก็ลงมือก่อนฉันไปแล้ว แน่นอนว่าพวกนั้นเองต้องได้ของไปแล้วบางส่วนอย่างแน่นอน และของพวกนั้นแองก็น่าจะเป็นสมบัติเหมือนกัน ต้องขอดูหน่อยล่ะนะว่าพวกมันเอาอะไรไปกันแน่”
เมื่อคิดได้ดังนั้นซูจิ้งได้ส่งกระแสจิตไปบอกให้อินทรีย์ทอง หมึกยักษ์หัวกลม และราชันย์หมึกกล้วยให้ไปซ่อนตัวไม่ไกลนัก
เหตุผลก็เพราะทั้งสามตัวนี้ตัวใหญ่มาก ดีหน่อยตรงที่ว่าในท้องทะเลแบบนี้มันมืดทำให้ง่ายต่อการหลบซ่อน ซูจิ้งเองในตอนนี้ก็ทำการแอบขึ้นไปสูดลมหายใจ ก่อนที่เขานั้นจะกลับลงไปก้นทะเลเพื่อหาที่ซ่อน
แน่นอนว่าเขานั้นไม่ปล่อยให้เวลาเดินหน้าไปอย่างเปล่าประโยชน์ เขาได้ทำการบ่มเพาะวิชาในตำราจ้าวแห่งสายน้ำที่ก้นทะเลนั่นเอง
GGS:บทที่ 948 จองหอง
ทีมนักเก็บกู้จากทั่วทั้งโลกได้ทำการดำดิ่งลงไปในบริเวณที่พบซากเรือด้วยความตื่นเต้น พวกเขาไม่รู้เลยว่าจะเจอเพียงเศษซากที่ซูจิ้งเหลือทิ้งไว้แค่เท่านั้น
หลังจากนักเก็บกู้ทั้งหลายทำการตรวจสอบพักใหญ่พวกเขาก็เริ่มพบอะไรแปลกๆ
อย่างแรก บนเรือไม่มีร่องรอยของอะไรเลยสักอย่างที่สามารถเชื่อมโยงกับนครที่สาบสูญแอตแลนติส
อย่างที่สอง มันว่างเปล่า จากร่องรอยแล้วพวกเขาพบว่ามีร่องรอยของสิ่งของพึ่งจะถูกเคลื่อนย้ายไปเมื่อไม่นานมานี้ และแน่นอนว่าหลุมที่ซูจิ้งให้หมึกยักษ์หัวกลมและราชาหมึกกล้วยขุดลงไปก่อนหน้านี้นั้น ซูจิ้งจัดการกลบลงไปเรียบร้อยแล้ว
“อะไรวะ สมบัติโดนรวบไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ไอ้พวกญิ่ปุ่นนี่ทำงานกันเร็วจนเอาไปแม้แต่สมบัติในเรือเลยเหรอ”
“ไม่มีทาง ต่อให้ไอ้พวกนั้นมีความชำนาญขนาดไหนก็ไม่มีทางเร็วขนาดนี้”
เหล่าทีมนักเก็บกู้จากแต่ละประเทศต่างก็มึนงงกับเหตุการณ์ที่พบเจอ อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่ทีมนักเก็บกู้จากญี่ปุ่นและจีนก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน
นั่นก็เพราะพวกเขานั้นมาถึงก่อนเพื่อนมารอบหนึ่งแล้วก่อนหน้านี้ และในตอนนั้นสมบัติบนซากเรืออัปปางก็ยังอยู่ไม่ได้มีร่องรอยการถูกปล้นแบบนี้ เพียงช่วงเวลาสั้นๆแบบนี้จะขนไปหมดได้ยังไงกัน
“ว่างเปล่า….ได้ยังไงกัน” เอี้ยป๋อสงสัยขึ้นมา
“จากข้อมูลที่บันทึกไว้ก่อนหน้านี้นั้นมีกล่องจำนวนมากอยู่ในเรือ มีเหรียญทองจำนวนหนึ่งบรรจุอยู่ข้างใน แล้วก็มีหีบเก็บเหรียญทองจำนวนหนึ่ง ดูเหมือนว่าไอ้ของที่ว่ามานี่โดนรวบไปแล้ว” โจวฉือเซียนแทบจะเป็นลมในทันที
“ไม่น่าจะเป็นพวกญี่ปุ่นนะพวกนั้นไม่น่าทำได้เร็วขนาดนี้” เอี้ยป๋อพูดออกมา
“ต้องเป็นไอ้พวกญี่ปุ่นนั่นเอาไปแล้วแน่ๆ ไม่งั้นแล้วจะเป็นใครไปได้” โจวฉือเซียนพูดพร้อมกับแสดงท่าทางโกรธออกมา ไอ้พวกลิงเผือกนั่นต้องได้ลิ้มรสความโกรธแค้นของเขา เขาไม่มีทางได้ของพวกนั้นไปได้ง่ายๆอย่างแน่นอน
แต่ที่ทั้งสองคนยังไม่รู้ก็คือนักเก็บกู้จากญี่ปุ่นก็มีท่าทีโกรธแค้นไม่ต่างกัน
ชายญี่ปุ่นวัยกลางคนที่มีหนวดเฟิ้มพูดออกมาโดยความโกรธว่า “อไรกันวะ ของในเรือเวรนั่นโดนเอาไปแล้ว ตอนที่แกลงไปตอนแรกแกบอกว่ายังมีสมบัติเหลืออยู่ในเรืออีกไม่ใช่เหรอ
จากตอนนั้นมาตอนนี้เราพักแค่ชั่วโมงเดียวเองนะเว้ย สมบัติพวกนั้นมันจะหายไปได้ยังไง มันมีครีบว่ายหายไปกันเองรึไงกัน”
“พวกเราไม่ทราบครับ แต่ดูเหมือนว่าคนที่ทำมันเพิ่งจะกลบดินลงไปไม่นานนี้เอง”
“มีคนแอบดำลงไปแล้วเอาสมบัติไปแล้วอย่างนั้นเหรอ”
นักเก็บกู้จากญี่ปุ่นรู้ดีว่าความจริงแล้วนักเก็บกู้จากจีนต่างหากที่เป็นพวกแรกที่พบซากเรือนี้ ตอนนี้พวกเขาเลยรีบตรงไปหานักเก็บกู้จากจีนเพื่อคุยกันให้รู้เรื่อง
นักเก็บกู้จากนานาประเทศยังไม่ลดละความหวัง พวกเขาได้ดำลงไปในซากเรืออีกครั้งหนึ่ง จนในที่สุดแล้วพวกเขาก็ไม่พบอะไรเลยจริงๆ ทำได้เพียงแค่ถอดใจเท่านั้นและยอมรับได้เพียงอย่างเดียวว่าในครั้งนี้พวกเขาไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปเลย
ทีมนักเก็บกู้จากจีนในตอนนี้เองก็รู้แล้วว่าพวกตนทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากจะกลับบ้านเพียงเท่านั้นถึงแม้จะไม่อยากก็ตาม
ในขณะที่กำลังจะหันเรือกลับบ้าน ทีมนักเก็บกู้จากญี่ปุ่นก็ตามพวกเขามาติดๆ ตอนแรกนักเก็บกู้จากจีนคิดเพียงว่าพวกมันได้ของไปหมดแล้วเลยจะตรงกลับบ้านเพราะยังไงซะจากจุดนี้ตรงกลับไปก็ถือได้ว่าเป็นทางเดียวกัน
เมื่อเวลาผ่านไปได้สักพัก อยู่ๆทีมนักเก็บกู้จากญี่ปุ่นก็ได้เร่งเครื่องและนำเรือมาจอดขวางหน้าทีมนักเก็บกู้จากจีน
จนตอนนี้ทีมนักเก็บกู้จากจีนก็รู้แล้วว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว
“หมายความว่ายังไงกัน” โจวฉือเซียนถามออกมา เอี้ยป๋อ และคนอื่นๆบนเรือตอนนี้กำลังโกรธจนหน้าดำคร่ำเคร่ง
“พวกแกเอาสมบัติจากซากเรือไปรึเปล่า” ชายญี่ปุ่นวับกลางคนได้ถามออกมาด้วยภาษาจีนตัวย่อ
“พวกเราเหรอ เหอะ เป็นแกไม่ใช่เหรอที่เอาไปตั้งต้น ฉันว่าแกต่างหากที่เป็นคนเอาไปทั้งหมด ถ้าพวกแกไม่ได้เอาไปแล้วจะเป็นใครกัน” โจวฉือเซียนพูดออกมาอย่างโกรธเกรี้ยวและแสดงออกมาในทันทีว่ารังเกียจคนญี่ปุ่นพวกนี้
พวกเขานั้นเป็นคนเจอซากเรือนั่นก่อนแต่ไอ้พวกนี้กลับกล้าประกาศออกไปว่าเป็นคนพบก่อน มาตอนนี้ยังคิดจะมาหาเรื่องและกล่าวหาว่าพวกเขานั้นเอาสมบัติไปอีก
“ทำเป็นปากดีไปเถอะ อย่าให้ฉันเจอก็แล้วกัน” กัปตันชายญี่ปุ่นได้พูดออกมาบ้าง
“อย่ามากล่าวหากันมั่วๆแบบนี้สิวะ ถ้าพวกเราเอาไปแล้วมันจะทำไม” เอี้ยป๋อถามกลับด้วยความโกรธ
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ถ้าพวกเราพบว่าพวกแกแอบลงไปเก็บสมบัติพวกนั้นมาไว้ทีมเดียวแล้วไม่ยอมแบ่งพวกเราล่ะก็ ในพื้นที่ที่ไม่มีกฏหมายแบบนี้พวกแกก็คงจะพอรู้สินะว่าจะเป็นยังไง”
เมื่อพูดจบกัปตันเรือญี่ปุ่นก็ได้ยกมือขึ้น นั่นเป็นสัญญาณทำให้ลูกเรือของพวกมันโผล่หน้าออกพร้อมทั้งยกปืนเล็งมายังเรือของทีมเก็บกู้จากจีน ตอนนี้ทีมเก็บกู้จากญี่ปุ่นไม่ได้ดู้เหมือนนักเก็บกู้แต่อย่างใด พวกมันมีท่าทางไม่ต่างจากโจรสลัดเลยสักนิด
โจวฉือเซียน เอี้ยป๋อ และคนอื่นๆในทีมเก็บกู้ของจีนเพียงได้ยินก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ได้ติดอาวุธมาแต่อย่างใด
แต่อาวุธของเขามันก็เป็นเพียงอาวุธป้องกันตัวเท่านั้น พวกเขานั้นไม่ได้ต้องการจะยิงใครจริงๆ และเหนือสิ่งอื่นใดดูจากสภาพแล้วสู้ไปก็เท่านั้น อีกอย่างหนึ่งพวกเขาเองนั้นไม่รู้จะสู้ไปทำไม เพราะยังไงซะไอ้คนพวกนี้ขนสมบัติไปหมดไม่มีอะไรเหลือให้พวกเขาอยู่แล้ว
แต่การมาตราหน้าว่าพวกเขาเอาของไปแล้วยังจะปล้นกันแบบนี้อีกนี่มันเกินไปแล้ว
“เกินไปแล้วโว้ย พวกเราไม่ยอมให้รังแกกันง่ายๆหรอกเว้ย” กัปตันเรือของทีมจีนตะคอกออกมาอย่างเหลืออด
“เฮ้เฮ้เฮ้ แกคิดจะยิงพวกเราจริงๆเหรอ พวกฉันก็ไม่รังเกียจหรอกนะที่จะบอกพวกแกไว้หน่อยว่าพวกเราฆ่าโจรสลัดมานักต่อนักแล้ว ทันทีที่พวกแกเริ่มยัง เรือของพวกแกจะจมลงไปในทะเลอย่างแน่นอน” กัปตันเรือทีมญี่ปุ่นพูดออกมาอย่างสบายอารมณ์
“แก…” เอี้ยป๋อในตอนนี้โกรธจนตัวสั่น
“แกอะไร เหอะ หุบปากแล้วคุกเข่าลงบนพื้น เอามือไว้เหนือหัว ปล่อยให้พวกฉันเข้าไปดูในเรือแต่โดยดีซะดีกว่าน่า หากไม่มีอะไรจริงๆฉันก็จะปล่อยแกไปแล้วกัน” กัปตันเรือญี่ปุ่นสั่งออกมาเสียงดังลั่น
แน่นอนว่าชนชาติจีนนั้นไม่อยากจะยอมแพ้แต่อย่างใด แต่พวกเขาก็เป็นเพียงนักเก็บกู้ใต้น้ำเท่านั้น ไม่ใช่โจรสลัด ก็เลยมีความกลัวตายอยู่บ้าง
ในขณะเดียวกันไม่ไกลนัก มีเรือลำหนึ่งได้แล่นขนานกันในระยะห่างๆ บนกาบเรือนั้นได้มีกลุ่มชาวยุโรปกลุ่มหนึ่งได้คอยสังเกตุการณ์และหนึ่งในนั้นคือคนอเมริกัน
นี่คือทีมนักเก็บกู้จากอเมริกา ชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังใช้กล้องส่องทางไกลส่องมองดูเหตุการณ์ที่ทีมเก็บกู้ของญี่ปุ่นขวางทางทีมเก็บกู้จากจีนอยู่อย่างสนใจ
“เฮ้อ ทีมจีนนี่ช่างโชคร้ายจริงๆ” ชายคนหนึ่งพูดออกมาด้วยยรอยยิ้ม
“คำกล่าวที่ว่าคนจีนหัวร้อนจนไม่ฟังคนนี่ไม่จริงสินะ” ชายอีกคนหนึ่งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกัน
ถึงแม้ว่าคนพวกนี้จะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าทีมนักเก็บกู้ใต้น้ำจากญี่ปุ่นนี้ไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน
เมื่อเทียบกับทีมจากจีนที่เป็นเพียงนักเก็บกู้ธรรมดเท่านั้นนี่ถือได้ว่าเป็นข้อเสียเปรียบของทีมจีนในการต้องออกมาอยู่ในพื้นที่ไร้ซึ่งกฏหมายแบบนี้ แน่นอนว่าทีมแบบจีนนั้นอยู่รอดได้ยากยิ่งนัก เพราะเนื่องจากที่นี่เป็นพื้นที่ไร้กฏหมาย แน่นอนว่าทำอะไรก็ย่อมได้
“ตอนนี้ก็ลองดูท่าทีไปก่อนแล้วกัน ดูสิว่าพวกนั้นจะเจอสมบัติบนเรือจีนรึเปล่า” หัวหน้าของชายอเมริกันได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ตอนนี้เหตุการณ์การปะทะคารมกันของทีมจีนและทีมญี่ปุ่นได้ถึงจุดปะทุ กัปตันเรือชาวญี่ปุ่นได้สบถออกมาว่า “ยัง ยัง พวกแกรีบๆคุกเข่าลงบนพื้นแล้วก็เอามือขึ้นไปไว้บนหลังหัวซะ อยากตายกันรึไง”
“แม่…เอ๊ย เราจะไม่ขัดขืนพวกมันจริงๆเหรอ”
“แต่ ถึงเราขัดขืนไปก็สู้ไม่ได้อยู่ดีนี่นา พวกนั้นมีปืนมากกว่านะ”
“ที่สำคัญที่สุดคือพวกเราไม่มีอะไรอยู่บนเรือเลยนะ สู้ไปก็เท่านั้น”
“ไอ้เรื่องนั้นน่ะฉันรู้ แต่ไอ้การที่ต้องมาคุกเข่าแบบนี้มันหยามหน้ากันเกินไป ฉันทนไม่ได้เว้ย ฉันจะสู้”
หากมองจากมุมมองของทีมเก็บกู้จากจีนแล้ว พวกเขาไม่ได้สู้เพื่อรักษาสิ่งของ แต่พวกเขานั้นสู้เพื่อรักษาหน้าตัวเองไว้เท่านั้น
ตอนเด็กๆพวกเขาเคยถูกรังแกโดยชาวญี่ปุ่น พอโตมาแล้วยังต้องโดนกดขี่แบบนี้ เป็นพวกเขาเองที่ผิดที่ไม่ยอมรอกองทัพแล้วรีบเร่งมาแบบนี้
หากเขายอมรอกองทัพล่ะก็กับอีแค่พวกลิงเผือกไม่คณามือเขาอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามเรื่องนี้จะมาเสียใจตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
ตอนนี้บางคนนั้นต้องการจะขัดขืนอยู่แล้ว แต่ก็มีอีกหลายคนที่ไม่อยากจะขัดขืน นั่นก็เพราะว่าพวกเขาหลายๆคนคือหนึ่งในเสาหลักของแวดวงเศรษฐกิจของจีน หากพวกเขาต้องตายแล้วตระกูลจะทำยังไงกัน
“แม่งเอ๊ย ไอ้พวกนี้พูดฟังกันไม่รู้เรื่องรึไง รีบคุกเข่าแล้วเอามือวางไว้หลังหัวซะ หรือจะให้ฉันต้องลงมือเอง”
กัปตันเรือของทีมญี่ปุ่นเริ่มเหลืออด เขาได้หยิบปืนขึ้นมาแล้วยิงขึ้นฟ้าไปจำนวนหนึ่ง นี่สำหรับเขาแล้วถือเป็นการเตือน
แต่ที่เขายังไม่รู้ก็คือตอนนี้ใต้น้ำได้มีเงาดำเงาหนึ่งได้เคลื่อนไหวอยู่และเสียงปืนนี้ได้ทำให้เงานั้นเร่งรีบขึ้นมาในทันที
GGS:บทที่ 949 กลับตาลปัต
ทันทีที่กัปตันเรือทีมญี่ปุ่นได้ยิงขึ้นฟ้าเพื่อเป็นการข่มขู่ทีมเก็บกู้จากจีนนั้น เงาดำใต้ท้องเรือก็ลอยตัวขึ้นมาจากใต้น้ำแล้วทำการจับไปที่เรือของทีมเก็บกู้จากญี่ปุ่นในทันที
เรือทั้งลำได้สั่นโคลงเคลงไปมาอย่างหนักจนทำให้คนบนเรือยืนเฉยๆไม่ได้ต้องหาที่เกาะอย่างจ้าละหวั่น บางคนหาที่เกาะไม่ทันก็ได้กระเด็นออกจากเรือไปก็มี
“เกิดอะไรขึ้น นี่เราชนโคดหินเหรอ”
“กลางทะเลลึกแบบนี้จะไปมีโคดหินแบบนั้นได้ยังไงกัน อีกอย่างเราจอดเฉยๆนะเว้ยจะไปชนของแบบนั้นได้ยังไง”
ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ในตอนนี้ต่างก็ตกตะลึงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทันใดนั้นก็ได้มีหนวดสีแดงเข้มอันใหญ่ยักษ์ชูขึ้นมาจากใต้น้ำ
หลังจากนั้นหนวดนั่นก็ได้จับไปยังกาบเรือทางด้านซ้ายและขวาของเรือญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่นสองคนเองที่เห็นถึงกับหน้าเสียราวกับตกไปอยู่ในดินดูด ตอนนี้เรือทั้งลำโยกคลอนไปมาราวกับกำลังแล่นฝ่ากับดักทุ่นระเบิดที่อยู่ในน้ำ
ทีมเก็บกู้ชาวญี่ปุ่นในตอนนี้ตกใจกันไปหมดจนทำอะไรไม่ถูก บางคนร้องลั่น บางคนเป็นลมไปเลยก็มี ด้วยสภาพตอนนี้นั่นพวกเขาเปรียบได้ดั่งหนูติดจั่น หนีไปไหนก็หนีไม่พ้น
ทีมเก็บกู้ชาวจีนเองที่เตรียมพร้อมจะต่อต้านนั้นถึงกับตกใจกันไปหมดทุกคน ช่างเป็นฉากที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ
“พระเจ้า เกิดนรกอะไรกันเนี่ย”
“หมึก!!!หมึกยักษ์ เป็นหมึกยักษ์….”
“มัวทำอะไรกันอยู่วะ ฆ่ามันสิเว้ย”
ทีมเก็บกู้ชาวญี่ปุ่นในตอนนี้กำลังโกลาหลกันไปหมด มีเพียงกัปตันของเรือที่ยังพอควบคุมสติเอาไว้ได้และได้ทำการเปิดการโจมตีด้วยปืนกล
คนอื่นๆเองเมื่อได้ยินเสียงปืนก็เริ่มได้สติและเตรียมตัวที่จะยิงสนับสนุน แต่ในตอนนั้นเองเรือก็ได้สั่นแรงกว่าเดิมจนเกิดเสียงดังลั่น
เสียงนั้นคือเสียงเรือแตก เรือได้แตกออกเป็นสองท่อนตามแรงดึงของหนวดทั้งสองของหมึกยักษ์ นั่นทำให้เรือในตอนนี้แยกออกไปสองส่วน
หลังจากชิ้นส่วนนั้นถูกดึงออกไปแล้วในตอนนี้เหลือเพียงตรงการลำเรือเท่านั้นที่ยังพอยืนอยู่ได้ ทุกคนรีบตัดสินใจไถลร่างของตัวเองมาที่กลางลำเรือในทันทีไม่ได้สนใจเรื่องฆ่าหมึกยักษ์แต่อย่างใด
กัปตันเรือที่เป็นคนลั่นไกปืนกลก่อนหน้านี้เองก็พยายามที่จะควบคุมเรือไม่ให้ล่ม และแน่นอนว่านั่นมันไร้ประโยชน์ เรือทั้งลำได้จมลงไปใต้น้ำอย่างรวดเร็วกว่าปกติด้วยการดึงของหมึกยักษ์ที่กำลังกระชากเรือลงน้ำ
“หนีเร็วเข้า”
“สัตว์ประหลาด”
ทีมเก็บกู้ของญี่ปุ่นที่ตกลงไปในน้ำนั้นพวกเขาได้เห็นหนวดหมึกสีแดงฉานอันใหญ่ยักษ์ปรากฎอยู่ตรงหน้า พวกเขาได้กลัวตายในทันทีและพยายามว่ายน้ำหนึอย่างจ้าละหวั่น
แต่คราวนี้ถึงตาหมึกยักษ์เอาคืนบ้าง หมึกยักษ์ได้ฟาดลงไปยังคนที่พยายามว่ายหนี คนที่โดนฟาดไปส่วนใหญ่ก็ตายในทันที
หมึกยักษ์ยังคงไล่ฟาดคนญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง ทีละคน ทีละคนอย่างช้าๆ ชาวญี่ปุ่นเองก็ได้ตายแทบจะในทันทีทีละคนทีละคน ราวกับมันกำลังสนุกกับการไล่ตีสัตว์ตัวน้อย
ชาวญี่ป่นุจำนวนหนึ่งรวมถึงกัปตันเรือของทีมญี่ปุ่นเองได้ว่ายน้ำมายังเรือของทีมเก็บกู้ของจีน เขาตะโกนออกมาอย่างน่าไม่อายว่า “ช่วย ช่วยพวกเราด้วย”
กัปตันเรือของทีมเก็บกู้จากจีนที่ก่อนหน้านี้กำลังมองเหตุการณ์ด้วยความหวาดหวั่นเล็กน้อยนั่น ทันทีที่ได้ยินเสียง เขาหันไปมองกัปตันชาวญี่ปุ่นด้วยใบหน้ากระตุกและสีหน้าที่เฉยเมยก่อนที่จะรีบหันไปหัวเรือแล้วตะโกนออกมาว่า “ออกเรือ”
ไอ้กลุ่มชาวญี่ปุ่นนี่ก่อนหน้านี้ยังอยากจะปล้นพวกเขาจนยิงปืนขู่เขา ตอนนี้ยังมีหน้ามาขอความช่วยเหลือทั้งๆที่เรื่องเพิ่งจะผ่านไปแบบสดๆร้อนๆเนี่ยนะ
เขาคงจะไม่ใจดีขนาดนั้นอย่างแน่นอน แถมด้วยความน่ากลัวของหมึกยักษ์ที่เพิ่งจะเห็นไปจะๆกับตาแบบนี้แล้วถ้าเสียเวลาช่วยคงมีสภาพไม่ต่างกันอย่างแน่นอน
ทีมเก็บกู้จากจีนตอนนี้ได้ทำการออกเรือให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ แต่ด้วยการที่สถานการณ์ในตอนนี้อยู่ในระยะกระชั้นชิด แถมเรือก็ไม่เหมือนรถที่สามารถจะติดเครื่องเมื่อไหร่ก็ได้ ต่อให้เร็วยังไงก็ยังช้าอยู่ดี
นี่จึงเป็นโอกาสที่ชาวญี่ปุ่นที่เหลือรอดพยายามว่ายมาเกาะที่กาบเรือและพยายามจะดึงตัวเองขึ้นไป หมึกยักษ์เองก็เหมือนจะรู้ตัวเรื่องนี้และได้รีบใช้หนวดตัวเองพุ่งมายังเรือของทีมเก็บกู้จากจีน ฉากนี้ทำให้ทีมเก็บกู้จากจีนถึ
กับหน้าถอดสีจนทำอะไรไม่ถูก ดูเหมือนพวกเขาเองก็คงจะถูกลากติดไปกับไอ้นรกพวกนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามฉากที่เรือของนักเก็บกู้ชาวจีนแตกออกเป็นสองเสี่ยงไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด หนวดของหมึกยักษ์ทำเพียงแค่รัดพันชาวญี่ปุ่นสองคนที่เกาะเรือทีมจีนแล้วลากลงไปในน้ำเท่านั้น
เมื่อเห็นแบบนั้นกัปตันเรือญี่ปุ่นได้รีบดำน้ำว่ายลอดท้องเรือทีมเก็บกู้จากจีนในทันที นี่ทำให้ทุกคนบนเรือทีมเก็บกู้จากจีนที่กำลังมีความสุขที่รอดมาได้ต้องถึงกับโกรธสุดในทันที
เพราะรู้ดีว่าไอ้นรกนี่เอาพวกเขาทั้งหมดเป็นเพียงโล่ป้องกันแล้วเอาชีวิตรอดเท่านั้น ต่อให้เขาไม่รอดแต่ก็คิดจะลากพวกเขาลงเหวตามไปด้วยอย่างแน่นอน
แต่กัปตันชาวญี่ปุ่นไม่รู้ตัวเลยว่าเมื่อสักครู่เขาเพียงแค่โชคดีเท่านั้น และหนวดปลาหมึกเองก็ไม่ได้มีแค่สองข้าง ในตอนนี้หมึกยักษ์ได้ลอยตัวอยู่เหนือน้ำ พร้อมทั้งชูหนวดทั้งแปดอันใหญ่ยักษ์เหนือน้ำ มันพุ่งตรงมายังเรือทีมเก็บกู้จากจีนจนในตอนนี้หัวอันใหญ่โตของมันแทบจะชนเรือทีมเก็บกู้จากจีนอยู่แล้ว
แต่หมึกยักษ์นั่นหาได้สนใจเรือของทีมเก็บกู้จากจีนแม้แต่น้อย มันได้ตวัดหนวดข้างหนึ่งออกไปและนั่นเองทำให้ทุกคนในเรือต้องตื่นตะลึง
“บากะยาโล(บ้าไปแล้ว)” กัปตันเรือที่เห็นฉากนั้นถึงกับอุทานภาษาถิ่นของตัวเองออกมาดังลั่น เขาได้เห็นหนวดหมึกนั่นพุ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว เขาในตอนนี้ทำได้เพียงยิงปืนกลที่ยังสะพายเอาไว้ไปยังหมึกยักษ์
แต่ก็ทำได้เพียงแค่นั้นตอนนี้หนวดของหมึกยักษ์ได้รัดพันตัวเขาไว้แล้ว เขานั้นพยายามจับที่กาบเรือและดึงตัวเองขึ้นจากน้ำแต่ก็ไม่มีทางสู้แรงของหมึกยักษ์ได้อย่างแน่นอน
เขาถูกหนวดของหมึกยักษ์รัดจนตายและลากลงน้ำไปราวกับว่ามันไม่อยากให้คนเช่นนี้ต้องขึ้นเรือไปเดี๋ยวจะเป็นเสนียดเรือเสียเปล่าๆ
หลังจากมันมั่นใจว่าจัดการชาวญี่ปุ่นได้หมดแล้ว หมึกยักษ์ก็ทำเพียงดำดิ่งลงไปใต้น้ำเฉยๆโดยไม่ได้สนใจเรือนักเก็บกู้จากจีนแต่อย่างใด
“ไปเลย” กัปตันทีมเก็บกู้จากจีนที่เห็นว่าเหตุการณ์สงบแล้วเขาได้รีบสั่งให้เรือแล่นออกไปในทันที เพราะพวกเขายังไม่รู้ว่าหมึกยักษ์นี่จะกลับมาอีกรึเปล่า ตอนนี้หนวดของมันอาจจะแค่เต็มเลยยังไม่เล่นงานพวกเขาก็ได้
แค่การที่หมึกยักษ์นั่นเข้ามาใกล้เรือและไม่ได้สนใจพวกเขาเลยแม้แต่น้อยนั้นก็โชคดีมากพอแล้ว พวกเขาไม่มีทางจะอยู่รอเพื่อให้เกิดผลลัพท์อันเลวร้ายอย่างแน่นอน
ใครจะไปรู้ ที่มันหายไปอาจเป็นเพราะว่าเตรียมตัวจะพุ่งชนเรือของพวกเขาให้คว่ำในทีเดียวเลยก็ได้
ตอนนี้ทีมเก็บกู้จากจีนยังคงตกอยู่ในความหวาดกลัว แต่พวกเขาก็รู้สึกว่าโชคดีไปด้วยพร้อมๆกัน บางคนพลางคิดไปว่าหมึกยักษ์ตัวนี้เล่นงานแต่ชาวญี่ปุ่นราวกับว่าโดนสั่งมาฆ่าพวกนั้นโดยเฉพาะอย่างไงอย่างนั้น
ทีมเก็บกู้จากอเมริกาเองที่มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ห่างๆต่างก็ตกตะลึงในสิ่งที่เห็น
“ชิบ อะไรวะนั่น ไอ้นั่นมันหมึกใช่ไหม”
“หมึกยักษ์เหรอ ฉันว่ามันเป็นสัตว์ประหลาดนะ”
“…พวกเราควรจะไปดูหน่อยรึเปล่าว่ามีใครรอดบ้าง”
“สมองแกหายไปหมดแล้วรึไง ถ้าไอ้หมึกยักษ์นั่นมันยังอยู่ล่ะ เข้าไปก็หาที่ตายน่ะสิ แถมดูๆไปแล้วก็ไม่น่าจะมีใครรอดชีวิตนะ หมึกยักษ์นั่นสามารถฉีกเรือทิ้งได้สบายๆเลยนะ โดนของแบบนั้นฟาดไปยังไงก็ตายอยู่แล้ว”
“ฉันว่าพวกเราไม่ปลอดภัยนะ รีบไปกันดีกว่า”
ทีมอเมริกาที่ก่อนหน้านี้ที่สังเกตุการณ์ราวกับตั๊กแตนที่ยืนนิ่งรอดักจับจั๊กจั่นอยู่นั้น ในตอนนี้ความคิดแบบนั้นได้มอดไหม้ลงราวกับตะเกียงไร้น้ำมันในทันที
ตอนนี้พวกเขานั้นรู้สึกกลัวหมึกยักษ์ตัวนั้นแบบจับใจจนรีบออกเรือจากไปในทันที พวกเขาในตอนนี้ไม่ได้มีอารมณ์ที่จะไล่ตามทีมเก็บกู้จากจีนแต่อย่างใด
ตอนนี้ทั่วทั้งท้องทะเลในบริเวณนี้เหลือเพียงซากเรือและศพคนลอยอืดเพียงเท่านั้น มองซ้ายมองขวาก็มีแต่ศพลอยทั่วไปหมด
หมึกยักษ์ได้ดำน้ำลงไปหาซูจิ้งและได้ไปร่วมกลุ่มกับราชันย์หมึกกล้วยและวาฬเพชรฆาตในทันที ซูจิ้งเองที่เห็นดังนั้นก็ได้ใช้กระแสจิตของตัวเองตรวจสอบดูอีกครั้งว่ายังมีชาวญี่ปุ่นหน้าไหนเหลือรอดอีกหรือไม่
แน่นอนว่าเหตุการณ์การล้างบางทีมเก็บกู้จากญี่ปุ่นพวกนี้เป็นเขาเองที่เป็นคนสั่งการ เขาได้เห็นการกระทำเลวชาติของทีมเก็บกู้ทีมนี้ที่กล้ามากดขี่ชนชาติเดียวกันรู้สึกหงุดหงิดเลยให้หมึกยักษ์ไปเล่นงานฆ่าล้างบางไม่ให้เหลือ แน่นอนว่าด้วยฝีมือของสัตว์ประหลาดแบบนี้จะมีใครเหลือได้ยังไง
“ไป” ซูจิ้งที่กำลังขี่วาฬเพชรฆาตได้นำหมึกยักษ์หัวกลม ราชันย์หมึกกล้วย และฝูงปลาสีน้ำเงินดำดิ่งลงไปยังใต้ทะเล
ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่มีใครรู้ตัวเลยว่าเรื่องทั้งหมดนี่มีซูจิ้งอยู่เบื้องหลัง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น