Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 938-941
GGS:บทที่ 938 เป็นฉันจริงๆนะ
ภายใต้ชื่อช่องสตรีมของกวนจูจิวนั้นได้มีชื่อวูจู่ต่อท้าย และช่องที่ว่ากวนจูจิวกำลังจะสตรีมนี้ได้สร้างเสียงฮือฮาในทันที
โดยปกตินั้นเขาจะทำการสตรีมตอนสองทุ่มในทุกคืน ไม่มีสักครั้งที่เขาจะสตรีมตอนกลางวัน ถึงแม้ว่าวันนี้ตัวเขานั้นจะสตรีมช้ากว่าปกติไปก็ตาม
เหตุผลนั่นก็เพราะว่ารูปลักษณ์เขาในตอนนี้เปลี่ยนไปแล้วทำให้เขานั้นยังทำใจที่จะต้องเจอเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ทั้งหลายไม่ได้จนถึงเมื่อครู่นี้เพราะเลือดขึ้นหน้า
ถึงแม้ช่องสตรีมของเขาในตอนนี้จะมีแฟนคลับติดตามมากมายขนาดไหนก็ตาม แต่นั่นก็เป็นเพราะรูปลักษณ์หล่อเหลาหลังแปลงโฉมมาแล้ว แต่ตอนนี้เขาอยู่ในรูปลักษณ์เดิมซึ่งก่อนหน้านี้มีผู้ติดตามเพียงแค่หยิบมือเท่านั้นเอง แถมเขาเองก็ไม่ได้ใช้รูปลักษณ์นี้สตรีมมาก็นานแล้วยิ่งทำให้คนที่ยังติดตามอยู่คงเหลือแค่นับหัวได้
แต่ตัวเขานั้นเมื่อได้เห็นสตรีมเมอร์ในสังกัดซูจิ้งอย่างหยินหนิงหนิงและจูซิวหนี่ได้รับความนิยมแบบสุดๆทั้งที่เขาเองก็ควรจะได้ความนิยมเท่านี้ไม่แพ้กันทำให้เขารับไม่ได้จริงๆจึงได้ทำการสตรีม
ตอนนี้เมื่อแฟนพันธุ์แท้ของช่องกวนจูจิวเห็นว่าคนที่กำลังสตรีมไม่ใช่สตรีมเมอร์หน้าหล่อของพวกเขาจึงได้ถามออกมาว่า
“คุณเป็นใคร แล้วพี่จูล่ะ”
“ไม่ใช่ว่านายขโมยช่องของเขามาใช่รึเปล่า นี่ได้เวลาที่พี่จูต้องสตรีมมานานแล้วนะ”
“ไอ้อ้วนหน้าด้าน เอาพี่จูของฉันกลับมาเดี๋ยวนี้นะ”
“อย่าพึ่งตื่นตูมไปสิ เขาอาจเป็นเพื่อนของพี่จูก็ได้นะ”
“ฮ่าฮ่า ฉันนี่แหล่ะพี่จูของพวกนาย” ซูจู่พูดออกมาด้วยความตื่นเต้นจนทำให้แก้มย้วยของเขาสะบัดจนเห็นได้ถนัดถนี่
สำหรับตัวเขานั้นถือว่าตัวเขาเองนั้นอ้วนแค่นิดหน่อยเท่านั้นจึงไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดรอบข้าง และพยายามยิ้มสู้เข้าไว้แต่ในความจริงแล้วคือเขาอ้วนจริงๆโดยเฉพาะหลังจากอยู่ดีกินอยู่ดีมาพักหนึ่ง
“แกจะบ้าเหรอ แกมันคือไอ้อ้วน หัดตักน้ำใส่กะโหลกแล้วชะโงกดูเงาหัวตัวเองซะบ้างว่าหน้าตาของแกเหมือนผีสางขนาดไหน จะเอาหน้าแบบนั้นมาเทียบกับลูกพี่จูของพวกเราเนี่ยนะ”
“แค่แกมองกล้องก็เหมือนโดนมองอยู่แบบนี้ก็ขนลุกแล้ว”
“นั่นน่ะสิ สมองของมันต้องป่วยแล้วแน่ๆ”
“ดูเหมือนว่าหมอนี่จะไม่ใช่เพื่อนของพี่จูของพวกเรา ฉันว่ามันน่าจะขโมยรหัสมาแน่ๆ”
“นี่แกขโมยรหัสมาแล้วยังกล้าเข้ามาสตรีมแบบนี้มันจะเกินไปแล้ว”
“ฟังฉันอธิบายก่อนสิ ฉันคือพี่จูจริงๆแต่ฉันเผลอกินเยอะไปหน่อยจนอ้วนขึ้นมานิดนึง” วูจู่อธิบายด้วยเหตุผลที่แม้แต่เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำพลางหัวเราะออกมา
“แกคิดว่าพวกเราโง่เหรอ ถ้าแกว่ามาอย่างนั้นฉันก็คงเป็น ฟานปิงปิงตอนอ้วนแล้วล่ะ”
“ฉันคงเป็นหลิวอี้เฟยตอนอ้วนเหมือนกัน”
“เดี๋ยวนี้ไอ้พวกขี้โกงนึกจะหลอกคนก็หลอกกันง่ายๆแบบนี้แล้วเหรอ”
“นี่ฉันพูดจริงๆนะ ฉันคือกวนจูจิวจริงๆ ที่พวกนายเห็นก่อนหน้านี้เป็นเพียงการทำศัลยกรรมด้วยเหตุผลบางอย่างเท่านั้นเอง ตอนนี้เรื่องพวกนั้นผ่านไปแล้วฉันเลยกลับมาอยู่ในหน้าตาแบบเดิมเท่านั้นเอง นี่สิถึงจะเป็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของฉัน
ถึงแม้ฉันจะดูรูปร่างหน้าตาไม่ดีนักแต่ฉันยังไงก็คือตัวฉันเองอยู่ดี ลองฟังเสียงของฉันดูสิ ลองฟังฉันร้องเพลงออกมาก่อนเถอะนะ” วูจู่พยายามพูดออกมาให้เหล่าแฟนๆของเขาในร่างกวนจูจิวสงบสติอารมณ์ก่อน
ด้วยการที่ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกอึดอัดใจต่อปฏิกิริยาของแฟนพันธุ์แท้จึงได้พูดความจริงออกมา พลางได้หยิบกีต้าร์ และเพื่อเป็นการยืนยันว่ากวนจูจิวเองก็คือตัวเขาจริงๆจึงได้พยายามทำให้ทุกอย่างนั้นยังคงเหมือนตอนที่เขายังอยู่ในรูปลักษร์หล่อเหลาทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงการพูดคุย เพลงที่ร้อง ความรู้สึกตอนพูดคุย และอื่นๆ
นี่ทำให้เหล่าแฟนพันธุ์แท้ของกวนจูจิวนั้นเริ่มรู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติ นั่นก็เพราะว่าเจ้าอ้วนหน้าด้านที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานั้นช่างคล้ายกับท่านพี่กวนจูจิวของพวกเขาอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียง ท่าทาง ลีลาการร้องเพลง จนราวกับว่าเห็นเงาของทั้งสองคนซ้อนทับกันได้เลย
ถึงแม้ว่าจะมีแฟนพันธุ์แท้ของเขาหลายๆคนคิดไปว่าคนตรงหน้านี้คือกวนจูจิวของพวกเขาก็จริง แต่ยังไงซะต่อให้เหมือนกันมากมายขนาดไหนแต่ก็ไม่อาจสามารถกลบทับความจริงไปได้
ความจริงที่ว่าก็คือคนตรงหน้าของพวกเขานั้นคือไอ้อ้วนสุดแสนน่าเกลียด
“ไอ้อ้วนนี่ทำฉันรู้สึกขยะแขยงสุดๆเลย”
“แกมันน่าเกลียดชนิดที่เทียบไม่ได้แม้แต่ปลายก้อยของพี่จูเลยนะ”
“ฉันรู้สึกขยะแขยงจริงๆที่ได้เห็นคนอ้วนน่าเกลียดแบบนี้ทำท่าทางเดียวกับพี่จู”
“หมอนี่น่าจะเป็นคนที่หลงใหลพี่จูมากๆจนอยากเป็นเขาเลยพยายามเลียนแบบทุกอย่างให้เหมือนเขาอย่างแน่นอน นี่เขาทำถึงขนาดขโมยตัวตนของพี่จูเลยเหรอ”
“หมอนี่ต้องป่วยยันสมองไปแล้วแน่ๆ แค่มองดูก็รู้ว่ายยังไงก็ไม่ใช่พี่จู”
ในโลกนี่มีหลายๆคนที่เชื่อว่าหากมีทักษะที่ดียังไงก็สามารถเป็นที่นิยมได้ต่อให้หน้าตาแย่ขนาดไหนก็ตาม ซึ่งวูจู่คนนี้เองก่อนหน้านี้ก็คิดและเป็นเช่นนั้นมาโดยตลอด
แต่ว่านั่นก็คือคนที่ชื่นชอบตัวตนของเขาจริงๆไม่ใช่กับแฟนพันธุ์แท้ของเขาในคราบกวนจูจิวที่ชื่นชอบทั้งทักษะและรูปร่างหน้าตา เอาจริงๆส่วนใหญ่ชื่นชอบรูปร่างหน้าตามากกว่าทักษะที่เขามาสตรีมให้ดูซะอีก
นี่คือเหตุผลที่แฟนพันธุ์แท้ของเขาส่วนใหญ่เพียงแค่เห็นหน้าของไอ้อ้วนที่ต่อให้มีทักษะแบบเดียวกัน แล้วยังไงล่ะคนที่พวกเขาต้องการนั้นก็คือกวนจูจิวที่หน้าตาหล่อเหลาไม่ใช่ไอ้อ้วนหน้าด้านที่มาทำได้ทุกอย่างแบบเดียวกับพี่จูที่พวกรัก
วูจู่ที่ตอนนี้กำลังจ้องมองไปยังคำด่าทออันหยาบโลนของเหล่าแฟนพันธุ์แท้ของเขาตอนที่เคยอยู่ในคราบของกวนจูจิวนั้นแทบจะอยากร้องไห้ออกมา
เขาที่อยู่ในคราบของกวนจูจิวนั้นหากเจอผู้ชมที่เข้ามาดูและเข้ามาทักทาย แต่มีใบหน้าที่อัปลักษณ์ ดูไม่ได้ หน้าตาไม่ดี เขาก็ทำเป็นเฉยเมย
หากพวกนั้นกวนเขามากๆเขาก็เตะคนพวกนั้นออกจากห้องไป โดยไม่สนว่าคนๆนั้นจะเป็นใครมาจากไหนหรือจะโวยวายผ่านช่องทางสื่อสารกลางแค่ไหนก็ตาม
แต่กับในตอนนี้ ตัวเขาที่พยายามแทบจะทุกหนทางเพื่ออธิบายให้เหล่าแฟนพันธุ์แท้ของตัวเขาในคราบกวนจูจิวฟังมากมายขนาดไหนพวกเขาก็ไม่ได้สนใจ
นั่นก็เพราะว่าต่อให้เหมือนขนาดไหนแต่รูปลักษณ์ของเขาก็ไม่ได้เหมือนก่อนหน้านี้ ราวกับว่าสิ่งที่เขาทำมาก่อนหน้านี้ทิ่มแทงตัวเองจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว ยิ่งเขานิ่งอึ้งไปก็ยิ่งถูกด่าทอมากกว่าเดิมอีก
ตอนนี้มีแฟนพันธุ์แท้บางคนถึงกับติดต่อผู้ดูแลของเว็บไซต์เพื่อรายงานเรื่องที่วูจู่ขโมยรหัสของกวนจูจิวมาใช้ ไม่นานนักกวงหยวนเองก็ได้รู้เรื่องนี้เข้า
หลังจากที่กวงหยวนตรวจสอบสถานการณ์แล้วเขาจึงได้ถามออกมาว่า “เกิดอะไรขึ้น หมอนี่มันสตรีมเมอร์คนนที่คุณซูซื้อช่องมาไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเขาถึงใช้รหัสของกวนจูจิวได้กัน”
“คุณซูบอกว่าไม่เป็นไรค่ะ ฉันเองก็ได้เช็คสัญญาของทั้งสองคนแล้วก็พบว่าทั้งสองคือคนเดียวกัน” เลขาสาวพูดออกมาก่อนที่จะยื่นสัญญาให้ดู
“ว่าไงนะ” กวงหยวนถึงกับนิ่งอึ้งไปในทันทีที่ได้ยิน เขาเองก็ได้ตรวจสัญญาที่ว่าทั้งสองฉบับแล้ว อันหนึ่งเป็นของซูจิ้งที่ได้ทำเอาไว้กับสตรีมเมอร์อ้วนมือกีตาร์
อีกอันหนึ่งคือของกวนจูจิวที่เป็นสตรีมเมอร์รูปหล่อมากความสามารถ แต่ชื่อที่ลงนามของทั้งสองสัญญานั้นกลับเป็นชื่อเดียวกัน แม้แต่เลขบัตรประจำตัวก็ยังเหมือนกันเลย
เอาจริงๆเจ้าอ้วนมือกีตาร์นั่นเขาจำชื่อช่องของหมอนั่นไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ ยิ่งชื่อจริงนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเข้าไปใหญ่ เขาไม่รู้จักแม้แต่หน้าตาของเจ้าอ้วนด้วยซ้ำไป
เขานั้นจำได้เพียงแต่กวนจูจิวที่ซูจิ้งแนะนำมาให้รู้จักเท่านั้น แน่นอนว่าด้วยการที่ซูจิ้งไม่ได้ตั้งใจให้เขามาจบลงแค่ที่นี่เลยไม่ได้ให้มาเซ็นสัญญา จึงทำให้เขานั้นไม่รู้จักชื่อจริงของกวนจูจิวแต่อย่างใด นี่ยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ว่าทำไมกวนจูจิวถึงได้เซ็นต์ลายเซ็นต์ว่าวูจู่
“เดี๋ยวนะ แล้วสตรีมเมอร์สาวอีกคนที่ชื่อว่าหนิงหนิงนั่นล่ะ” เพียงคิดได้ดังนี้กวนหยวนก็ได้ถึงกับใจเต้นแรงในทันที เมื่อเห็นท่าทางของบอสของตัวเองเลขาสาวก็ได้รีบไปนำข้อมูลมาให้ในทันที
และนี่ก็เป็นไปอย่างที่กวนหยวนคาดไว้ ที่อยู่ของหนิงหนิงและหยินหนิงหนิงนั้นคือที่เดียวกัน
“พระเจ้า สตรีมเมอร์ที่คุณซูเลือกเอาไว้ก่อนหน้านี้ไม่ได้หายไปไหนแต่กับแปลงโฉมทั้งสองคนจนเป็นหนิงหนิงและกวนจูจิว แต่ไอ้วูจู่นั่นดันทำเรื่องไม่เข้าเรื่องเลยโดนยกเลิกสัญญาจึงทำให้คุณซูคืนสภาพเดิมให้หมอนั่นสินะ” กวงหยวนคิดได้ดังนั้นถึงกับนิ่งอึ้งไป
“เป็นไปได้ยังไงกัน ไม่มีทางเป็นไปได้” เลขาเองก็ประหลาดใจไม่ต่างกัน เธอพลางคิดไปว่าการทำศัลยกรรมจะทำให้สองคนนี้จะเปลี่ยนโฉมไปได้มากขนาดนี้ได้ยังไงกัน มันยากที่จะเชื่อได้เพราะตัวเธอเองก็เห็นและผ่านการศัลยกรรมมาบ้างก็ไม่เห็นว่าจะมีเทคโนโลยีหรือวิธีการใดที่จะทำได้ถึงขนาดนี้ ถ้าเธอต้องไปทำเองล่ะก็แน่นอนว่าต้องเสียเงินไปจำนวนมากกว่าจะได้สวยหล่อขนาดนี้ได้
“คุณซูนี่คือพระเจ้าในร่างมนุษย์โดยแท้ เธออย่าเอาเรื่องนี้ไปแพร่งพรายที่ไหนล่ะ” กวนหยวนพูดออกมา
“เข้าใจแล้วค่ะ” เลขาพยักหน้าและรู้ดีว่าเรื่องนี้อ่อนไหวมากแค่ไหน
“วูจู่มันฆ่าตัวเองแท้ๆ” หลังจากเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องสตรีมของวูจู่ในตอนนี้กวงหยวนเองก็อดที่จะสบถออกมาไม่ได้ เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าไอ้คนแบบนี้จะดิ้นต่อไปได้อีกกี่น้ำกัน
GGS:บทที่ 939 เปลี่ยนใจ
การสตรีมของสตรีมเมอร์หนิงหนิงและชีเน่(ชื่อสตรีมของจูซิวหนี่)ได้รับความนิยมอย่างถล่มทลายในทันทีที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำนวนคนดูในช่องของจูซิวหนี่นั้นขึ้นสูงสุดก็ตอนที่เธอนั้นกินแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นที่ 30 เสร็จสิ้นไป แน่นอนว่าการกินจุของเธอในครั้งนี้นั้นสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้ชมอย่างมาก
แม้แต่ผู้ชมที่เป็นแฟนพันธุ์แท้หรือแฟนคลับเองก็ยังส่งของรางวัลให้เธออย่างมหาศาลชนิดที่ว่านำหน้าหนิงหนิงไปไกลเลยทีเดียว
“ฉันไม่อยากจะพูดคำนี้ออกมาเลยจริงๆ ความจริงฉันต้องอิจฉาจนเกลียดเธอไปแล้วนะ แต่ชีเน่นี่สร้างความประหลาดในให้ฉันจริงๆ ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะทำได้ดีขนาดนี้”
“แฮมเบอร์เกอร์ 30 ลูก โอ้แม่เจ้า”
“ท้องน้อยๆลูกนั้นจุเข้าไปได้ยังไงกัน”
“เธอยังดูสบายๆอยู่เลยนะ แถมยังทำท่าอยากจะกินต่อด้วยอ่ะ”
“กลายเป็นว่าพี่จิ้งนั้นไม่ใช่ไปเพียงแค่ช่วยเหลือเธอ แต่กลับพบคนมีสามารถจริงๆซะได้”
“…..” ทำไมถึงคิดว่าเธอมีความสามารถน่ะเหรอนั่นก็เพราะว่าต่อให้สาวๆที่ร่างกายสมส่วนก็ยังไม่สามารถกินได้ครึ่งหนึ่งของสาวน้อยคนนี้เลยนั่นเอง
แต่เดิมแล้วคนที่เข้ามาดูช่องสตรีมของจูซิวหนี่นั้นเพียงต้องการเข้ามาเพื่อช่วยเหลือเท่านั้น เย่หลินนี่ถึงกับพูดไม่ออกในทันที นี่เธอตั้งใจเข้ามาดูสตรีมเพื่อต้องการช่วยเธอจริง แต่เมื่อเห็นยอดคนดูที่นำเธอพร้อมทั้งของขวัญที่หลั่งไหลไม่หยุดยั้งแบบนี้เธอเลยไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรอีกต่อไป
“วันนี้ขอจบการสตรีมเพียงเท่านี้นะคะ พรุ่งนี้เราค่อยมาพบกันใหม่เวลาเดิม อ้อ แล้วก็ในอีกครึ่งเดือนจะมีการแข่งขันที่มีชื่อว่า “ราชันนักกินจุ” และฉันเองก็วางแผนที่จะเข้าร่วมด้วย
โดยคิดไว้ว่าในระหว่างแข่งก็จะทำการสตรีมไปด้วย ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยนะคะ ส่วนเพื่อนๆของฉันเองก็ฝากติดตามไปเชียร์กันด้วยน้า…..” จูซิวหนี่พูดออกมาด้วยท่าทางอายๆเล็กน้อยแต่นั่นกลับทำให้ผู้ชมประทับใจและตื่นเต้นอย่างมาก
“โว้ววววว ฉันจะเข้าร่วมงานแข่งนั้นด้วย”
“ฉันอยากเห็นจริงๆเลยการแข่งนั้นนะ”
“แต่ฉันกลัวว่าเธอจะสู้ไม่ไหวนี่สิ เพราะได้ข่าวว่ามีนักกินจุหลายคนเลยที่ลงแข่งนะ จะไหวจริงๆเหรอ”
“แล้วยังไงล่ะ ชีเน่ของเรานั้นถึงแม้ว่าจะดูอ่อนแอแต่เธอเองก็กินอย่างดุดันเลยนะ เธอไม่มีทางแพ้ให้กับนักกินพวกนั้นอย่างแน่นอน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ฉันอยากเห็นพวกนั้นหงายหลังจริงๆ”
จูซิวหนี่เองนั้นไม่ได้สนใจว่าการสตรีมในครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่แต่อย่างใด ความจริงแล้วเธอนั้นไม่อยากให้ใครไปดูเลยด้วยซ้ำ แต่นี่เองก็เป็นเรื่องที่เธอนั้นได้พูดคุยกับซูจิ้งแล้ว
เธอนั้นไม่เพียงแค่ต้องลงแข่งในงานกินจุระดับชาติแบบนี้เท่านั้น หากในอนาคตเธอมีโอกาสล่ะก็เธอต้องไปงานแข่งกินจุรอบโลกเลยทีเดียว
วูจู่ที่พยายามจะสตรีมแข่งกับหนิงหนิงและซิวหนี่นั้น นอกจากจะไม่เทียบไม่ได้แม้แต่น้อยแล้วแถมยังต้องเจ็บตัวจนแทบกระอักเลือดออกมาด้วยซ้ำ
ตอนนี้มีหลายๆคนได้ส่งข้อความส่วนตัวมาสาปแช่งเขา ตอนนี้เขาร้องไห้ออกมาอย่างต่อเนื่อง เขานั้นปิดชีวิตตัวเองในฐานะสตรีมเมอร์แล้วจริงๆ
ตัวเขาในตอนนี้นั้นพลางนึกถึงเหตุการณ์ในวันคืนเก่าๆในช่วงที่เขาแปลงโฉมมาแล้วจนอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งในความโง่งมและละโมบของตัวเองจนอยากจะตายๆไปให้ซะพ้นๆ
ตอนนี้เขาเข้าใจเป็นอย่างดีว่าการสตรีมของเขาในฐานะของกวนจูจิวนั้นเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป ต่อให้ในตอนที่เขาแปลงโฉมนั้นจะมีแฟนคลับพันธุ์แท้มากมายขนาดไหนก็ตาม แต่ตอนนี้ก็ถือได้ว่าเปล่าประโยชน์
ต่อให้เขาจะสตรีมในช่องของกวนจูจิวได้อยู่ก็จริงแต่พวกแฟนพันธุ์แท้พวกนั้นไม่มีทางที่จะให้ของขวัญเขาอย่างแน่นอน
ไม่เพียงเท่านั้น ตัวเขาเองก็น่าจะถูกคำพูดทิ่มแทงและเหยียดหยามเสียยิ่งกว่าเดิม ดีไม่ดีอาจถึงขั้นถูกดักทำร้ายเลยก็ได้
นั่นก็เพราะว่าเมื่อดูจากกำลังทรัพย์ของเหล่าแฟนพันธุ์แท้พวกนี้แล้วบอกได้เลยว่าหากคนพวกนี้อยากจะหาที่อยู่ของเขาจริงๆล่ะก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างได
ตอนนี้วูจู่ได้รับรู้ในสิ่งที่คนทั่วไปรู้จักกันว่าเป็นประสบการณ์อันเจ็บปวดและได้กลับไปใช้ห้องสตรีมที่เรียกว่า “พี่น้องนักดนตรี” ซึ่งเขานั้นเคยใช้ก่อนที่จะแปลงโฉม
ที่นี่มีเพียงแฟนคลับของเขาอยู่เพียงไม่กี่คน และก็มีจำนวนผู้ชมเข้ามาดูเพียงทีละคนทีละคนเท่านั้นเอง บรรยากาศในช่องข้อความนั้นก็ช่างเงียบเหงา
ผู้ชมเองก็เพียงแค่คุยกันเองซะเป็นส่วนใหญ่ ช่างเป็นบรรยากาศที่จืดชืดแบบสุดทำให้ตัววูจู่เองต้องยอมแพ้ที่จะสตรีมต่อไป ถึงจะบอกแบบนั้นแต่เขานั้นก็ยังมีคนส่งของขวัญให้เขาอยู่บ้าง ทำให้เขานั้นนึกถึงบรรยากาศเก่าๆขึ้นมา
แต่ในระหว่างที่กำลังรำลึกความหลังอยู่นั้นก็ได้มีผู้ชมจำนวนกว่าห้าสิบคนเข้ามาดูเขานี่ทำให้เขานั้นถึงกับตาเป็นประกายในทันที แต่เมื่อเห็นรายชื่อของคนที่พึ่งจะเข้ามาก็ทำให้เขานั้นถึงกับต้องหน้าถอดสี
นั่นก็เพราะว่าคนทีเพิ่งจะเข้ามาใหม่นั้นเป็นแฟนพันธุ์แท้ของเขาตอนที่เป็นกวนจูจิว และคนที่ดูรวยที่สุดในกลุ่มก็พิมพ์ข้อความออกมาว่า “ไอ้อ้วนนี่มีช่องสตรีมของมันอยู่ที่นี่ รีบคืนรหัสของพี่จูมาเดี๋ยวนี้”
คนที่พิมพ์ออกมานั้นคือสุดยอดในหมู่สุดยอดแฟนพันธุ์แท้ของกวนจูจิว นี่ทำให้วูจู่ถึงกับลืมเตะคนนี้ออกจากห้องในทันที
แต่ในทันทีที่เขาทำอย่างนั้น แฟนคลับของเขาในตอนที่เป็นกวนจูจิวก็ได้เข้ามาที่นี่แทบจะทุกคน ก่อนที่จะถล่มใส่เขายับเยินด้วยคำด่าที่หยาบโลนแบบสุดๆ
จนทำให้ในตอนนี้ภาพในการสตรีมนั้นคือวูจู่นั้นกำลังนั่งจิ้มเอาคนออกจากห้องแชทชนิดมือเป็นระวิง แต่ก็ดูเหมือนไม่ได้ช่วยอะไรแม้แต่น้อย
ตอนนี้เขาเหนื่อยจนเริ่มร้องไห้ออกมาแล้ว เขาไม่อยากจะเสียช่องสตรีมนี้ไปอีกหลังจากตัดสินใจผิดพลาดมาก่อนหน้านี้ และนี่ทำให้บรรยากาศในช่องสตรีมของเขายิ่งเงียบสงัดกว่าเดิมและของรางวัลที่เขาได้เองก็น้อยลงด้วยเช่นเดียวกัน
วูจู่ที่น้ำตานองหน้าอยู่ในตอนนี้เขาพลันนึกถึงฉากในวันสุดท้ายที่เขายังสตรีมในคราบของกวงจูจิวอยู่ ในตอนนั้นของรางวัลหลั่งไหลมาอย่างกับสายน้ำ ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งร้องไห้ออกมามากกว่าเดิม
เขาได้ทำการปิดสตรีมลงในทันทีก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อที่จะโทรหาซูจิ้งแต่เขาก็ยังโทรหาซูจิ้งไม่ได้
เขารีบวิ่งออกจากห้องเพื่อไปตามหาโทรศัพท์สาธารณะที่แทบจะหาได้ยากยิ่งแล้วทำการโทรหาซูจิ้งในทันที ในคราวนี้ซูจิ้งรับสาย วูจู่ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ เขาได้รีบพูดออกไปทั้งๆที่ยังสะอึกสะอื้นอยู่ว่า
“คุณซู ฮึกๆ ผมรู้ว่าผมผิด ผมผิดไปแล้วจริงๆ ฮึก โปรดให้โอกาสผมอีกครั้ง ผมขอเซ็นสัญญาแบบเดิมก็ได้ผมจะ ฮึก ผมจะไม่เรียกร้องส่วนแบ่งเพิ่มจากคุณอีกเลย”
“ความร่วมมือของเรานั้นจบไปแล้ว ฉันไม่ชอบให้โอกาสครั้งที่สองกับใครหรอกนะ อย่ามาโทรหาแล้วพูดจาไม่รู้เรื่องไร้มารยาทแบบนี้อีก” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างเย็นชา
“ได้โปรดเถอะครับคุณซู ให้โอกาสผมอีกที คราวนี้ผมจะพูดดีๆแล้วครับ อ่ะ แฮ่ม อย่างแรกผมต้องสวัสดีก่อนสินะ สวัสดีครับ คุณซูาครับ” วูจู่ในขณะนี้ถึงแม้จะร้องไห้และพยายามพูดขอร้องแบบสุภาพที่สุด แต่ในขณะที่พูดนั้น ซูจิ้งก็ได้วางสายไปกลางคัน วูจู่ก็ยังพยายามโทรหาซูจิ้ง แต่ครั้งนี้ซูจิ้งไม่ได้รับสายแต่อย่างใด วูจู่เองก็ยังพยายามดึงดันโทรอยู่แบบนั้นแต่เขาก็ไม่รับสายอยู่ดี
“เฮ้ เป็นอะไรรึเปล่า นายเข้าไปนานแล้วนะ” ที่ข้างนอกตู้โทรศัพท์นั่นมีเด็กสาวคนหนึ่งที่ใส่ชุดเดรสออกแนวแฟชั่นร่วมสมัยยืนคอยอยู่ก็ได้ตะโกนถามเข้ามา
ถึงแม้จะดูแปลกตาไปบ้างที่ใครๆเดี๋ยวนี้ก็น่าจะมีโทรศัพท์มือถือใช้กันหมดแล้ว เธอเองก็มีเหมือนกันแต่หน้าจะของเธอนั้นดำสนิท นั่นหมายความว่าโทรศัพท์ของเธอนั้นแบตหมด และตัวเธอเองก็แสดงสีหน้าเป็นกังวลออกมา
“รอเดี๋ยวได้รึเปล่า อีกฝั่งยังไม่รับโทรศัพท์ของฉันเลย” วูจู่ละล่ำละลักออกมา แต่ทันทีที่เห็นใบหน้าของสาวน้อยในชุดแฟชั่นร่วมสมัยแล้วทำให้เขาเองก็หลงใหลจนไม่เป็นตัวของตัวเองไปพักหนึ่งเหมือนกัน แต่ไม่นานนักเขาก็ได้สติเหมือนฟองสบู่ที่พองจนสุดแล้วก็แตกในทันใด
คนบางคนนั้นถึงแม้จะรูปร่างธรรมดาแต่ความสามารถดีก็มีเยอะแยะ แต่กับเขาแล้วหน้าตายังไม่สามารถเทียบได้กับคนธรรมดา
“ฉันรอนานแล้วนะแล้วก็จะโทรเพียงไม่นานหรอก ขอฉันโทรก่อนทีหนึ่งแล้วกัน” สาวน้อยพูดออกมา
“ก็ได้” วูจู่ยอมออกมาจากตู้โทรศัพท์แต่โดยดีและสาวน้อยเองก็ไม่ได้มีท่าทีแปลกๆต่อเขาแต่อย่างใด
ยิ่งเมื่อวูจู่ได้เห็นสาวน้อยคนนี้ก็ยิ่งทำให้เขานั้นยิ่งเศร้าหมองลง หากเขานั้นยังหล่อเหลาแบบก่อนหน้านี้ สาวน้อยคนนี้คงไม่แคล้วที่จะอึ้งไปกับความหล่อเหลาจนต้องยากคุยกับเขามากกว่าโทรศัพท์อย่างแน่นอน ยิ่งเขาคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งเศร้าแบบสุดกู่ เศร้าจนเขาต้องลงไปนั่งกองกับพื้นแล้วร้องไห้ออกมา
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ เกิดอะไรขึ้นกับคุณเหรอ” สาวน้อยที่เห็นวูจู่ลงไปกองกับพื้นก็ได้ถามออกมาด้วยความสงสัย เธออยากรู้จริงๆว่าชายคนนี้เศร้าอะไรนักหนา
ถึงแม้เขาจะดูหน้าตาหื่นกามแต่พอสังเกตเห็นรอยคราบน้ำตาที่ติดอยู่กับโทรศัพท์ ถึงแม้จะรู้สึกขยะแขยงอยู่บ้างแต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา แล้วเธอก็ได้พูดต่อว่า “อย่าร้องไปเลยน่า ฉันยอมให้นายโทรก่อนก็ได้”
วูจู่ที่ได้ยินดังนั้นก็ยิ่งร้องไห้ออกมาหนักมากกว่าเดิมราวกับใจของเขาได้แตกสลายไป
เมื่อสาวน้อยได้เห็นวูจู่ที่ร้องไห้ออกมาอย่างหนักก็ถึงก็หน้าเปลี่ยนสีในทันที นี่มันพื้นที่สาธารณะนะ หากมาร้องไห้แบบนี้มันก็เหมือนกับว่าเธอรังแกเขาอยู่น่ะสิ
ถึงแม้จะยังดูขยะแขยงไปบ้างแต่สถานการณ์ของเธอในตอนนี้เองก็ทำให้ไม่สามารถใส่ใจวูจู่ได้เช่นเดียวกัน ดูเหมือนว่าเธอจะต้องหาโทรศัพท์สาธารณะตู้อื่นซะแล้ว
GGS:บทที่ 940 ว่าที่สุดยอดดารา(1)
หลังจากทำการสตรีมไปแล้ว หยินหนิงหนิงก็เก็บกวาดห้องของเธอในทันทีและได้ออกจากตึก ที่นั่นมีรถเปอร์เช่คันหนึ่งจอดรอเธออยู่ เมื่อเธออยู่ต่อหน้าแฟนๆของเธอนั้นเธอนั้นสวย สง่า และงดงาม ราวกับว่าเป็นนางฟ้านางสวรรค์ แต่ตอนนี้สำหรับคนที่อยู่ต่อหน้าเธอนั้นคือคนที่เธอให้ความเคารพอย่างที่สุด
“คุณซูคะ”
หยินหนิงหนิงเมื่ออยู่ต่อหน้าของซูจิ้งนั้นไม่ได้แสดงท่าทางถือตัวแต่อย่างใดนั่นก็เพราะว่า หนึ่ง เธอเองก็เป็นหนึ่งในแฟนคลับที่เทิดทูนซูจิ้งแบบสุดหัวใจ
สอง ที่เธอมีชีวิตแบบทุกวันนี้ได้นั้นก็เป็นเพราะว่าซูจิ้งให้โอกาสเธอจนทำให้มีทุกวันนี้ทำให้เธอนั้นเคารพนับถือซูจิ้งราวกับว่าเป็นเจ้าชีวิต
และสาม เธอได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นกับวูจู่มาแล้วและเข้าใจได้ทันทีว่าหากซูจิ้งนั้นรู้สึกไม่พอใจเธอขึ้นมา เธอเองก็คงต้องกลับไปอยู่ในรูปลักษณ์เดิม และนั่นก็คงทำให้เธอตกอยู่ในสภาพไม่ต่างจากวูจู่แน่นอน
“ไปเลยนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มและได้สตาร์ทรถและขับออกไป
หยินหนิงหนิงพยักหน้าเห็นด้วยและยังดูประหม่าไม่น้อยเลยทีเดียว ซูจิ้งพาเธอตรงไปยังบริษัทหยุนหยินเอนเตอร์เทนเมนต์เพื่อที่จะทำให้หยินหนิงหนิงเป็นดารา นี่เองที่ทำให้เธอนั้นตื่นเต้นจนประหม่าอย่างเห็นได้ชัด
ตัวเธอนั้นนอกจากร้องเพลงแล้วยังสามารถเล่นเปียโนได้ก็จริง ถึงแม้จะทำได้ดีในฐานะสตรีมเมอร์ก็ตาม แต่กับการเป็นนักร้องหรือนักเปียโนนั้นถือได้ว่าห่างไกลมากนัก
และเธอนั้นก็รู้ดีว่ามีอีกอย่างหนึ่งที่สตรีมเมอร์อย่างเธอนั้นขาดไปนั่นก็คือการแสดง เธอรู้ดีว่าการเป็นดารานั้นจะตั้งมีทักษะการแสดงได้หลายบทบาท ถึงแม้ว่าเธอจะพอทำได้บ้างแต่มันก็ยังขัดตาอยู่ดี
แค่ความสวยเพียงอย่างเดียวนั้นในวงการดาราก็เปรียบได้เพียงแค่เป็นแจกันที่สวยงามแต่ก็ได้แค่วางประดับไว้เท่านั้น เธอจึงกลัวว่าจะทำได้ไม่ดีกับเรื่องนี้จนซูจิ้งไม่พอใจขึ้นมา
“อ้อใช่แล้วล่ะ” ทันใดนั้นซูจิ้งหยุดรถก่อนที่จะนำขวดเล็กๆออกมาจากกระเป๋าก่อนจะส่งให้หยินหนิงหนิงแล้วพูดขึ้นว่า “ดื่มนี่ซะ”
“นี่คืออะไรเหรอคะ” หยินหนิงหนิงถามออกมาอย่างงงๆ เธอเองได้ลองเปิดดูก็เห็นเม็ดกลมๆสีน้ำเงินอยู่ข้างใน มันกลมเกลี้ยงและเงางาม กลิ่นของมันก็เย้ายวนจนทำให้ต้องกลืนน้ำลายในทันที
“มันเป็นยาจีนโบราณน่ะ เจ้ายานี่ดีต่อหลอดลมและเส้นเสียง มันจะทำให้น้ำเสียงของเธอนั้นก้องกังวาลและละมุนหูยิ่งขึ้น” ซูจิ้งพูดออกมา
หยินหนิงหนิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจต่อคำพูดของซูจิ้งแม้แต่น้อย เธอเทขวดให้เม็ดสีน้ำเงินนี้ออกมาแล้วนำมันวางไว้ในปากก่อนที่จะกลืนลงไปอย่างว่าง่าย
ถึงแม้ว่าเจ้าเม็ดสีน้ำเงินนี้จะใหญ่ไปหน่อยแต่มันก็ไหลลื่นผ่านลำคอราวกับเธอได้กินหยกที่กลมเกลี้ยงลงไปทำให้เธอกลืนลงไปได้อย่างง่ายดาย
เหตุผลที่เธอกลินลงไปโดยไม่ถามอะไรเลยนั้นก็เป็นเพราะว่าเธอนั้นเชื่อซูจิ้งแบบหมดใจและมั่นใจในตัวซูจิ้งว่าจะไม่ทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อเธอ
เธอเองก็ได้ยินข่าวลือของซูจิ้งมามากมายหลากหลายเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมบัติมหัศจรรย์ลึกสุดหยั่งที่เขานั้นมีไว้ครอบครอง
ที่เธอรู้ว่าสุดมหัศจรรย์แน่ๆอย่างน้อยก็คือวิธีการศัลยกรรมเรือนร่างที่ทำให้เธอมีรูปลักษณ์แบบทุกวันนี้ หากโลกนี้รู้ว่ามีเทคนิคแบบนี้อยู่ล่ะก็แน่นอนว่าต้องทำให้ทั้งโลกต้องสั่นสะเทือน
อีกข่าวหนึ่งที่เธอได้ยินมาก็คือยาที่ทำให้เพื่อนเก่าของเขาสูงขึ้นได้ร่วมสิบเซนติเมตร
“เอาล่า คราวนี้เธอก็แค่รอไปอีกสักพักไม่ต้องพูดอะไรนะ รอให้ผลของมันออกมาก่อนแล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมา
“ค่ะ” หยินหนิงหนิงพยักหน้าและทำเสียงตอบรับออกมาเล็กน้อย แต่แค่เพียงเสียงตอบรับเล็กน้อยนี้ก้ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจแล้วเหมือนกัน
นั่นก็เพราะเสียงของเธอในตอนนี้นั้นช่างนุ่มนวล เย้ายวน และมีเสน่ห์ยิ่งกว่าเดิม จนขนาดที่ว่าตัวเธอเองก็ยังรู้สึกไปว่าหูฝาดไปรึเปล่า
แต่ในเมื่อซูจิ้งบอกมาว่าให้เงียบไว้ก่อนเธอก็เลยไม่อยากจะลองอะไรมาก กลัวว่าจะเกิดผลเสียต่อเสียงของเธอ เธอยอมนั่งเงียบไปนานจนรถมาหยุดอยู่ที่ประตูของยริษัทหยุนหยินเอนเตอร์เทนเมนต์
เอาจริงๆรถปอร์เช่ของซูจิ้งคันนี้นั้นไม่ได้เหมาะสมกับฐานะของซูจิ้งเลยสักนิด ขนาดรถออร์ดี้ที่เขาให้ฉือชิงไปนั้นยังดีซะกว่า
ก่อนหน้านี้ซูจิ้งเองก็รู้สึกอยากจะเปลี่ยนรถให้หรูกว่านี้เหมือนกันอย่างเช่นรถ ปอร์เช่918ที่มีราคากว่าสิบล้านหยวน หรืออย่างรถโรลสลอยด์ก็ดูสวยดี
แต่เมื่อเขานั้นคิดอีกทีก็รู้สึกไม่อยากเปลี่ยน นั่นก็เพราะว่าต่อให้รถมันจะหรูสักขนาดไหนแต่มันก็แค่เพียงเพิ่มลูกเล่นนิดๆหน่อยๆให้อยู่บนรถให้มีความสุขมากขึ้นเท่านั้น
หากเทียบกับการได้ขี่อินทรีย์ทองของเขาแล้วรถพวกนี้ไม่มีอะไรที่เทียบได้เลยสักคัน ไม่ว่าจะเป็นความเร็ว ความรู้สึกที่ได้สัมผัสสายลม
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พวกมันยังต้องแล่นอยู่บนถนนเท่านั้น ไหนจะเรื่องรถติดอีก เขาสามารถขี่เสี่ยวจินไปยังที่ไหนบบนโลกก็ได้แถมยังสบายกว่านั่งบนรถเป็นไหนๆ
ถึงแม้ในความจริงแล้วเขาจะไม่สามารถขี่เสี่ยวจินไปได้ทุกเวลาก็ตาม แต่ยังไงซะการที่ต้องจ่ายเงินแพงๆเพียงเพื่อความสบายเล็กน้อยแบบนั้นเขาไม่ต้องการ อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่บนรถอยู่แล้วจึงขี้เกียจเปลี่ยน แค่เจ้าปอร์เช่911คันนี้ก็เพียงพอต่อเขาแล้ว
ซูจิ้งนำหยินหนิงหนิงเข้าไปในตึกและพาเข้าไปคุยกับหวังซือหยา โจวซิวและเชิงชิเหยาในทันที หยินหนิงหนิงในตอนนี้อยู่ในชุดเดรสสีน้ำเงินและกระโปรงยาวราวกับว่าเป็นนางแบบเลยทีเดียว ที่ว่ามาอย่างนั้นนั่นก็เพราะว่าชุดแบบนี้น้อยคนนักที่จะใส่แล้วดูดีได้
เมื่อทุกคนได้เห็นหยินหนิงหนิงนั้นอดไม่ได้ที่จะรุมล้อมเข้ามาดูใกล้ๆและเดินดูรอบตัวจนหยินหนิงหนิงเขินไปเลยทีเดียว
ทุกคนในที่นี้ได้เข้าไปดูการสตรีมของหยินหนิงหนิงมาแล้ว แต่เมื่อได้เห็นตัวเป็นๆแล้วเธอได้ทำให้ทุกคนต้องยืนขึ้นมาและเดินมาชมความงามใกล้ๆ ถึงกับมีช่างภาพมาถ่ายรูปของเธอในตอนนี้ด้วยซ้ำทำให้เธอประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก
ถึงแม้ว่าหวังซือหยาและเชิงชิเหยาจะเป็นสาวงาม แต่ทั้งสองรู้ได้ทันทีว่ายังเทียบไม่ได้กับหยินหนิงหนิงในตอนนี้
หยินหนิงหนิงในตอนนี้งดงามราวกับงานศิลป์ปูนปั้นเลยทีเดียว แทบจะบอกได้เลยว่าสวยงามในทุกมุมมองเลยแบบไร้ที่ติ ทั้งคู่ได้เห็นสาวงามมาก็มากแต่ไม่มีใครเลยที่เทียบกับหยินหนิงหนิง ถ้าไม่นับฉือชิงและมู่หรงเซียนเอ๋อล่ะนะ
“อาจิ้ง นายไปเจอสาวงามคนนี้ที่ไหนกัน” หวังซือหยาถามออกมาด้วยความตื่นเต้น สาวงามคนนี้เธอแทบจะบอกได้เลยว่าในยุคสมัยที่ทั่วทั้งโลกเชื่อมต่อกันด้วยอินเตอร์เนตแบบนี้สามารถทำให้เธอดังได้ไปอีกนานเลยทีเดียว
ตอนนี้ในสังกัดของเธอนั้นมีสาวงามอยู่มากมายแล้วก็ตามแต่กับหยินหนิงหนิงคนนี้ต่างออกไป นั่นก็เพราะว่าสาวงามเหล่านั้นยังต้องมีมุมมองที่ไม่สวยอยู่บ้าง เหล่าช่างภาพเองถึงกับต้องคอยออกแบบท่าทางให้เธอ
แต่กับหยินหนิงหนิงนั้นบอกได้เลยว่าแม้แต่มุมเงยก็ยังดูสวยเลยทีเดียว นี่ต้องทำให้อินเตอร์เนตต้องลุกเป็นไฟอย่างแน่นอน
แต่สาวงามแบบนี้แทนที่จะควรถูกพบเจอบ้างแล้ว แต่เธอก็ยังถูกซูจิ้งขุดเจอมาจนได้ นี่เธอไปอาศัยอยู่แถวตะเข็บชายแดนรึไงกันนะ
“เอ้า ได้เจอก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“มันไม่ใช่แค่ดี แต่ดีสุดๆต่างหาก”
“ขอบคุณค่ะคุณหวัง” หยินหนิงหนิงที่ได้ยินหวังซือหยาชมเธอแบบนั้นก็ทำให้เธอถึงกับมีความสุขอย่างมากเลยทีเดียว
แต่คำพูดนี้ทำให้ทุกคนที่นั้นไม่ว่าจะเป็นหวังซือหยา โจวซิว และเชิงชิเหยาถึงกับนิ่งอึ้งไปในทันที นั่นก็เพราะว่าเสียงของเธอนั้นมีเสน่ห์ที่แม้แต่ผู้หญิงก็ยังต้องอึ้ง แม้แต่หยินหนิงเองก็ยังอึ้งไม่ต่างไปจากทุกคน ก่อนหน้านี้ที่เธอคิดว่าเสียงดีขึ้นนั้นไม่ใช่ว่าหูฝาดไปจริงๆสินะ นี่เสียงของเธอเปลี่ยนไปจริงๆ ขนาดเธอพูดออกมาเองยังรู้สึกได้ถึงความต่างขนาดนี้ แน่นอนว่ากับคนอื่นเองล่ะก็ยิ่งกลายเป็นจับใจแบบสุดๆ เสียงนี้มีเสน่ห์มากชนิดที่เป็นเสียงที่ดีที่สุดเท่าที่เธอเองได้ยินมา ยาของซูจิ้งนี่มีเวทมนต์รึไงกันนะ
“ไม่คิดเลยว่าเสียงของหนิงหนิงจะเย้ายวนขนาดนี้” หวังซือหยากล่าวชมออกมาในทันทีเพราะนี่จะทำให้หยินหนิงหนิงดังง่ายกว่าเดิมเข้าไปอีก
หวังซือหยาและซูจิ้งได้พูดคุยกันพักใหญ่เกี่ยวกับเรื่องเส้นทางในวงการบันเทิงของหยินหนิงหนิง โดยปกติแล้วเส้นทางในวงการบันเทิงนั้นหลักๆจะมีสองอย่างนั่นก็คือการเป็นนักแสดง อีกอย่างคือการเป็นนักร้อง
หวังซือหยานั้นเชื่อว่าหยินหนิงหนิงนั้นจะเติบโตในเส้นทางนักแสดงมากที่สุดเพราะนั้นสวยมากๆ ถึงแม้เธอจะแสดงไม่เก่งแต่นั้นก็ยังฝึกกันได้
ส่วนการร้องเพลงเองแน่นอนว่าเดี๋ยวนี้สามารถใช้คอมพิวเตอร์ทำได้อยู่ก็จริงแต่นั่นมันก็เท่ากับเป็นการแสดงเสียงอย่างเดียวซึ่งนั่นมันน่าเสียดายมากๆ
แต่ซูจิ้งกลับเห็นต่างและก็ยังเชื่อว่าควรจะสร้างแนวทางให้เธอเป็นดาราโดยการเป็นนักร้องไปเลย
“ฉันได้เห็นเธอตอนสตรีมนะ ถึงแม้ว่าเธอจะร้องเพลงได้ดีอยู่แต่เมื่อเทียบกับนักร้องมืออาชีพแล้วยังถือว่าห่างกันมากเลยนะ ฉันว่าหากจะดังด้วยการเป็นนักร้องไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย” หวังซือหยาพูดออกมา
“อ่อ อันนั้นเหรอ ความจริงเธอร้องได้ดีกว่านั้นแต่ฉันรั้งไม่ให้เธอร้องสุดฝีมือเองนั่นแหล่ะ ลองให้หนิงหนิงร้องเพลงให้เจ๊ดูแล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
นี่ทำให้หวังซือหยา โจวซิว เชิงชิเหยา และคนอื่นๆอึ้งจนหันไปมองหยินหนิงหนิงกันเป็นตาเดียว จนทำให้เธอนั้นประหม่าแบบสุดๆในทันทีพลางนึกไปถึงตอนที่ตัวเองสตรีมแล้วก็คิดในใจว่า นั่นมันก็ที่สุดของเธอแล้วนะตัวเธอเองจะไม่รู้ได้ยังไง นี่ซูจิ้งอวยเธอเกินไปแล้ว
GGS:บทที่ 941 ว่าที่สุดยอดดารา (2)
“ฉัน ฉัน เอ่อออ…” หยินหนิงหนิงชำเลืองมองไปยังซูจิ้งด้วยท่าทีประดักประเดื่อ เธอนั้นอยากบอกมาจริงๆว่าทักษะการร้องเพลงของเธอนั้นมีเพียงเท่าที่เห็นตอนสตรีมจริงๆ ไม่ได้ซ่อนพลังเสียงหรืออะไรอย่างที่ว่ามาเลยแม้แต่น้อย แต่ในเมื่อซูจิ้งออกหน้าให้เธอซะขนาดนี้ต่อหน้าหวังซือหยา โจวซิ่ว และเจิ้งชิเหยาที่ต่างมองมาที่เธอนั้น เธอก็ทำได้แค่เพียงพูดไม่ออกเท่านั้นเอง
“เลือกเพลงที่ดีที่สุดของเธอได้เลย” ซูจิ้งพยักหน้าเมื่อจะสื่อว่าให้ทำให้เต็มที่ได้เลย
“งั้น ฉันจะลองพยายามดูแล้วกันค่ะ อย่าหัวเราะออกมาแล้วกันนะถ้าร้องได้ไม่ดีน่ะ” หยินหนิงหนิงพูดออกมา
“ก็ดีแล้วนี่นา เราจะได้รู้ว่าสำหรับในเรื่องร้องเพลงนั้นเธอควรฝึกหรือพัฒนาเพิ่มเติมด้านไหนในอนาคต งั้นเราไปที่ห้องอัดกันเลยดีกว่า” หวังซือหยาพูดออกมาก่อนที่จะนำทุกคนไปยังห้องอัดเสียงที่อยู่ข้างๆ ที่นั่นมีเครื่องดนตรีอยู่พร้อมและที่นั่นกำลังมีคนเล่นเพลงกันอยู่
“อาตู่ อัดเพลงให้สาวสวยคนนี้หน่อยนะ” หวังซือหยาหันไปบอกผู้คุมเสียงที่มีผมยาวปกบ่า
“ได้ครับคุณหวัง” ผู้คุมเสียงและคนอื่นๆเองที่เล่นดนตรีอยู่ก็ได้หยุดมือลงก่อนที่จะต่อปลั๊กเครื่องดนตรีเข้ากับลำโพง
หยินหนิงหนิงเองก็ได้เรียกที่จะร้องเพลงยอดนิยมอย่าง “ฉันต้องการคุณ” หลังจากนั้นไม่นาน เสียงดนตรีก็ได้บรรเลงขึ้น หยินหนิงหนิงก็ได้เผยอปากเล็กน้อยก่อนที่จะร้องเพลงออกมาผ่านไมโตรโฟน
ด้วยเพลงนี้เป็นเพลงลึกซึ้งกินใจอยู่แล้วทำให้ทันทีที่เธอร้องออกมาทำให้ตัวเพลงดูนุ่มนวล สวยงาม ราวกับว่าจับใจจนทำให้ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกสบายใจ
สายตาของหวังซือหยาในตอนนี้ตาเป็นประกายแบบสุดq ตอนที่เธอได้ยินซูจิ้งบอกว่าหยินหนิงหนิงยังไม่ได้ใช้พลังเต็มที่นั้น ตัวเธอไม่เชื่อแม้แต่น้อย
เพียงคิดว่าซูจิ้งหวงเธอผู้นี้กลัวลำบากเท่านั้น เต็มที่ก็ทำให้เพลงดีขึ้นมาได้อีกนิดหน่อย ไม่คิดว่าจะต่างกันมากขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เธอเองก็คิดว่าหยินหนิงหนิงร้องเพลงได้ดีอยู่แล้วแต่ก็ไม่ได้ดีเด่นอะไร
กับตอนนี้เรียกได้ว่าทรงพลังต่างจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด เสียงของเธอทรงพลังขนาดที่ว่าไปจับเจาะผู้ฝังได้อย่างง่ายดายต่างกับตอนสตรีมจริงๆ ที่ซูจิ้งไม่ยอมให้แสดงเต็มที่นี่เพราะกลัวโดนแย่งตัวไปสินะ
เมื่ออาตู่และคนอื่นๆที่ได้ยินเสียงของหยินหนิงหนิงนั้น ทุกคนต่างก็รู้สึกลุ่มหลงในน้ำเสียงของหยินหนิงหนิงตั้งแต่ต้น
พวกเขาเองก็ไม่ได้คิดว่าเสียงของผู้หญิงคนนี้จะทำได้ดีสุดๆแบบนี้เพราะตอนแรกเห็นเธอประหม่ามากๆ ในฐานะนักดนตรีนั้นพวกเขารู้ได้แทบจะในทันทีที่ได้ยินเสียงของหยินหนิงหนิงว่าเสียงของเธอวิเศษแค่ไหน
อย่าว่าแต่คนอื่นๆเลย แม้แต่ตัวหยินหนิงหนิงก็ยังกลัวเสียงของตัวเองในตอนนี้เลยด้วยซ้ำ นี่ขนาดเธอแค่ร้องเพลงเฉยๆไม่ได้ร้องตามคีย์เสียงด้วยซ้ำยังไพเราะขนาดนี้ชนิดที่ว่าไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามเธอก็ปรับตัวได้ทันทีและรีบทำความเคยชินกับเสียงของเธอและร้องต่อไปโดยไม่เป็นที่ผิดสังเกตแต่อย่างใด
เมื่อเสียงของหยินหนิงหนิงนั้นทะลุออกจากห้องอัดไปข้างนอก คนที่ได้ยินแม้เสียงเบาๆแต่เขาเหล่านั้นก็อดไม่ได้ที่จะหยุดรับฟัง เพียงแค่ได้ยินน้ำเสียงของเธอก็รู้ได้เลยว่าเพลงที่เธอร้องนั้นต้องการสื่อถึงอะไร
ทุกคนที่ได้ยินถึงกับต้องหลับตาฟัง เพื่อรับรู้ความรู้สึกก่อนที่จะหันไปหาที่มาของเสียงด้วยความตื่นเต้นเพราะเพลงนี้ช่างเติมเต็มหัวใจของพวกเขาจริงๆ
ทุกคนดื่มด่ำไปกับเสียงร้องของหยินหนิงหนิงราวกับว่าเพลงนี้นั้นยาวนานมากๆ ทั้งที่เพลงนี้สั้นเพียงแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น
เมื่อเพลงบรรเลงตัวสุดท้ายได้เล่นออกมาและค่อยๆเงียบลงไป ทุกคนในที่นั้นอดไม่ได้ที่จะปรบมือจนดังลั่น หญิงสาวคนหนึ่งที่เป็นคนบรรเลงเปียโนเมื่อสักครู่ได้ล6กขึ้นมาและพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า
“คุณหวัง คนที่ร้องเพลงนี้เป็นใครกันคะ เธอร้องเพลงได้สุดยอดมากๆเลย”
“ยอดเสียยิ่งกว่ายอดซะอีก ราวกับว่านี่เป็นเสียงโดยธรรมชาติของเธอเลยจริงๆ” ชายหนุ่มอีกคนพูดเยินยอเข้าไปอีก
“กุญแจของความสุดยอดนี้คือสียงของเธอ เสียงของเธอนั้นเป็นเสียงที่หาได้ยากยิ่ง เพียงแค่เธอฮัมเพลงก็รู้ได้เลยว่าเสียงของเธอเพราะแบบสุดๆ” อาตู่ได้พูดออกมาด้วยความประหลาดใจปนอิจฉา ที่เขารู้เรื่องนี้เป็นอย่างดีนั่นก็เพราะว่าเขาเองก็เป็นนักร้องคนหนึ่ง
เสียงนั้นถือได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของนักร้อง ถึงแม้จะมีหลายๆคนแย้งออกมาว่ามันไม่สำคัญเพราะว่าสามารถดัดมันได้ก็จริง ตัวเนื้อเสียงนั้นควรจะทำให้เหมาะกับแนวเพลงที่ร้องถึงจะดีที่สุด และนั่นจะทำให้คนๆหนึ่งสามารถร้องเพลงได้หลากหลายแนว
แต่ในความจริงแล้วหากในตอนทดสอบการร้องเพลงใดๆนั้น หลายๆครั้งก็ได้มีการตัดสินกันตั้งแต่เสียงธรรมดาที่ใช้พูดคุยกันไปแล้ว
ไม่ได้มีโอกาสได้ใช้ความสามารถพวกนั้นอย่างแน่นอน อีกหนึ่งก็คือการดัดเสียงนั้นทำไม่ได้ทุกคน และแต่ละคนก็มีขีดจำกัดในการดัดเสียงของตัวเอง
ดังนั้นที่ดีที่สุดสำหรับนักร้องก็คือการที่มีเสียงดีโดยเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว คนที่มีเสียงแบบนี้ต่อให้ร้องเพลงแบบไหนก็การันตีได้ว่าไพเราะจับใจ
ต่อให้ทักษะการร้องไม่ได้ดีนัก แต่เสียงที่ไพเราะนี้จะทำให้ไม่มีใครใส่ใจเรื่องความสามารถในร้องเพลงแต่อย่างใด และหากคนที่เสียงเพราะมีทักษะในการร้องเพลงสักหน่อยล่ะก็ แน่นอนว่าสามารถจับใจผู้ฟังได้อย่างแน่นอน
และตามที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น หยินหนิงหนิงที่อยู่ต่อหน้าทุกคนนี้คือคนประเภทหลัง หรือก็คือเป็นคนที่เสียงไพเราะจับใจผู้ฟังโดยไม่ต้องทำอะไร แค่เธอฮัมเพลงก็เรียกความสนใจจากคนที่ได้ยินแล้ว เธอนั้นเหมาะกับการเป็นนักร้องเหนือเสียยิ่งกว่าใคร ต่อให้เจอคนที่ดัดเสียงได้ 108 เสียง ก็ไม่มีทางสู้ได้แม้แต่น้อย
“สุดยอดดดดด” แม้แต่หวังซือหยาเองนั้นยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวชมออกมาก่อนที่จะปลายตาไปหาซูจิ้งพลางนึกไปว่า เป็นอย่างที่ซูจิ้งว่าไว้จริงว่าเธอนั้นเหมาะกับการร้องเพลงที่สุด หมอนี่ไปหาสมบัติแบบนี้มาจากไหนกันนะ หยินหนิงหนิงนั้นนอกจากความสวยงามสุดยอดแล้วเธอยังเป็นนักร้องแต่กำเนิดอีกด้วย
กับบางคนที่สวยนั้นยังต้องมีจุดด่างพร้อยอยู่บ้าง กับนักร้องบางคนเองก็ยังต้องมีการปรับปรุงทักษะการร้องเพลงของตนเองอยู่ตลอดเวลา
แต่กับหยินหนิงหนิงคนนี้นั้นไม่มีส่วนใดในร่างกายเลยที่รู้สึกขัดหูขัดตาแม้แต่น้อย
“เพลงที่ฉันร้องออกไปนั้นยังมีบางส่วนที่ยังร้องได้ไม่ดี หากผิดเพี้ยนไปยังไงฉันก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ” หยินหนิงหนิงได้พูดออกมาด้วยความอายเล็กน้อย แต่เธอเองนั่นแหล่ะเป็นคนที่ตื่นเต้นที่สุด เธอนั้นถึงกับลอบหันไปมองซูจิ้งพลางยิ่งคิดไปในคำเล่าลือที่ว่าเขานั้นเป็นมนุษย์ที่เปรียบได้ดั่งเพราะเจ้า
เธอนั้นไม่รู้จริงๆในตอนนั้นว่าเขานั้นเปรียบได้ดั่งพระเจ้ายังไง แต่กับตอนนี้ต่อให้เธออธิบายเหตุการณ์จริงๆที่เธอประสบมานี้ก็บอกได้อย่างเดียวว่าไม่มีทางที่คนบนโลกนี้จะเข้าใจอย่างแน่นอน
กับเธอ คนที่เปรียบได้ดั่งลูกเป็ดขี้เหล่คนนี้กับกลายเป็นหงส์ฟ้านางสวรรค์ไปได้ กับคนที่มีเสียงธรรมดาสามัญกลับกลายเป็นคนที่มีเสียงไพเราะราวกับกำเนิดมาด้วยกันในเวลาอันสั้น
เพียงแค่สองเรื่องนี้หากว่าคนทั่วทั้งโลกได้รับรู้นั้นนอกจากจะตกใจกันไปหมดอย่างแน่นอน กลัวแต่ว่าต่อให้คนพวกนั้นเห็นกับตาตัวเองก็ไม่มีทางเชื่อได้อยุ่ดี
“ถึงแม้จะร้องผิดคีย์ไปบ้างแต่ก็ยังไพเราะอยู่นะ” หวังซือหยาพูดออกมา
“ก่อนหน้านี้ขอโทษนะที่พูดแบบนั้นออกไป ตอนนี้เราควรจะให้หนิงหนิงเป็นนักร้องใช่รึเปล่า” โจวซิวนั้นอดไม่ได้ที่จะถามออกมา เชิงชิเหยานั้นได้พยักหน้าเห็นด้วยกับเรื่องนี้ นั่นก็เพราะหยินหนิงหนิงจะต้องกลายเป็นนักร้องที่สวยที่สุดและร้องเพลงได้ไพเราะที่สุดในวงการ ชนิดที่ว่านักร้องด้วยกันยังต้องอิจฉาทีเดียว
ความจริงแล้วเมื่อเทียบกับเชิงชิเหยาแล้วตัวเธอเองก็ดูดีไม่ด้อยไปกว่าหวังซือหยาเลยแม้แต่น้อย บางมุมมองนั้นเธอสวยกว่าด้วยซ้ำ เธอจึงเหมาะกับการเป็นดาราไม่ต่างกัน แต่ติดตรงที่ว่าเธอนั้นมีทักษะการแสดงที่แย่ยิ่ง แถมยังไม่ถูกโรคกับผู้ชายซะอีกทำให้แม้แต่ตอนนี้เธอเองก็ยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นคน
ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าจะเป็นนักแสดงเลยแม้แต่น้อย เธอเองนั้นชอบร้องเพลงและอยากเป็นนักร้องที่สุด แต่เธอนั้นรู้ตัวดีว่าเป็นไม่ได้นั่นก็เพราะว่าเธอไม่สามารถพัฒนาทักษะด้านนี้ได้อีกแล้ว
เธอยอมรับเรื่องนี้ได้หลังจากฝึกร้องเพลงได้สักพักหนึ่งแต่ก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย เธอเคยสตรีมและร้องเพลงและปล่อยในอินเตอร์เนตอยู่พักหนึ่งเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควรเธอจงเลิกไป
ตอนนี้เธอได้ยินเสียงร้องเพลงของหยินหนิงหนิงแล้วทำให้เธอนั้นรู้สึกได้ว่าคนๆนี้จะเป็นคนที่เธอช่วยผลักดันให้ทำตามความฝันแทนเธอได้อย่างแน่นอน
“ลองเปลี่ยนเพลงแล้วร้องอีกรอบสิ ฉันว่าคราวนี้เธอต้องทำได้ดีกว่าเดิมอย่างแน่นอน คราวนี้เธอเลือกได้ตามใจเลยนะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ค่ะคุณซู” ในคราวนี้นั้นหยินหนิงหนิงมีความมั่นใจยิ่งกว่าเดิม เธอนั้นเลือกที่จะร้องเพลงภาษาอังกฤษของ เคลินดิออน ที่มีชื่อว่า “มายด์ฮาร์ทวิลโกออน(My heart will Goon)” ที่เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ลำดับตำนานอย่างไททานิค
เหตุผลที่เธอเลือกเพลงนี้นั้นก็เพราะว่าหลังจากเธอได้ยินเสียงของตัวเองในตอนนี้ไปแล้วเธอมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าจะร้องเพลงนี้ได้ตามระดับที่เธอคาดหวังไว้ และนั่นทำให้ทุกคนในที่นี้ตะลึงกันไปหมด พลางคิดกันไปว่าเพลงนี้มันเป็นเพลงที่ยากเลยไม่ใช่เหรอ
อย่างไรก็ตามทันทีที่หยินหนิงหนิงได้เริ่มร้องเพลงออกมา ทุกคนอดไม่ได้ทีจะรู้สึกอัศจรรย์ภายในหัวใจของพวกเขา
ตลาดเวลาที่หยินหนิงหนิงร้องเพลงนี้ออกมานั้น ทุกคนต่างก็ลืมไปในทันทีว่าเพลงนี้คือเพลงที่คอยปราบเซียนานักต่อนัก
นั่นก็เป็นเพราะว่าหยินหนิงหนิงได้ร้องได้อย่างเป็นธรรมชาติและไม่ติดขัดเลยแม้แต่น้อยราวกับว่าเธอนั้นร้องเพลงนี้มาจนจำขึ้นใจได้ทีเดียว
แทบจะบอกได้ว่าพวกเขานั้นสามารถวางใจในน้ำเสียงของหยินหนิงหนิงในการร้องเพลงนี้โดยไม่ต้องจับผิดแต่อย่างใด
พวกเขาสามารถนั่งนิ่งๆดื่มด่ำไปกับเพลงที่หยินหนิงหนิงร้องได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องกลัวว่าจะผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย ถึงแม้จะมีบางช่วงบางตอนที่มีน้ำเสียงเกินเลยจากต้นฉบับไปบ้าง
แต่นั่นกลับทำให้เพลงนั้นสุดยอดมากกว่าเดิม ถึงแม้จะมีบางช่วงจะไม่ดีเท่าเคลินดิออนมาร้องเอง แต่ก็บอกได้ว่ามีบางช่วงที่สุดยอดกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือถึงแม้จะเสียงบางช่วยด้อยไปบ้างแต่เมื่อกลบทับไปกลับบางส่วนที่ดีกว่าก็ถือได้ว่าสมดุลดี เรียกได้ว่าทำให้พวกเขาดื่มด่ำไปกับตำนานเพลงในอีกรูปแบบหนึ่งก็ว่าได้
หลังจากทุกคนได้ฟังการร้องเพลงของหยินหนิงหนิงจนจบไปแล้วก็อดไม่ได้ที่จะตบมือกันเกรียวกราว หวังซือหยาได้ไปกระซิบที่ข้างหูของซูจิ้งว่า “อาจิ้ง ขอบคุณที่ส่งว่าที่สุดยอดซุปเปอร์สตาร์มาให้ฉันนะ”
คำพูดนี้ไม่ได้กล่าวเกินไปเลยแม้แต่น้อยที่ว่าหยินหนิงหนิงจะเป็นว่าที่ซุปเปอร์สตาร์ นั่นก็เพราะว่านอกจากความสวยอย่างที่สุดเมื่อเทียบกับคนในรุ่นเดียวกันแล้ว เธอนนั้นยังมีทักษะการร้องเพลงที่สามารถจับใจผู้ฟังได้
จะไม่ให้ดังแบบสุดๆไปได้ยังไง เพราะนอกจากซูจิ้งจะแปลงโฉมเธอคนนี้ด้วยหนังแปลงโฉมแล้ว เขานั้นยังให้เม็ดเสียงของปีศาจทะเลอย่างไซเรนที่ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดนักร้องในตำนานเสียอีก
เอาจริงๆต่อให้ซูจิ้งไม่ทำอะไรแค่เพียงให้เม็ดเสียงไซเรนนี้แก่หยินหนิงหนิงก็เพียงพอที่จะทำให้เธอเป็นสุดยอดดาราอยู่แล้ว
และเมื่อเธอนั้นใช้ของสองอย่างนี้แน่นอนว่าเธอสามารถขึ้นไปอยู่ในดาราชั้นสองระดับต้นๆได้อย่างสบายเลยทีเดียว ดีไม่ดีจะขึ้นไปชั้นหนึ่งเร็วกว่าเขาซะอีก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น