Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 930-931
GGS:บทที่ 930 ส่งดอกไม้
ซูจิ้งตรงไปยังร้านเสื้อผ้าหลงเต็ง เมื่อเขาไปถึงก็ได้ยินเสียงตงเจี๋ยและพนักงานคนอื่นๆกำลังหัวเราะร่วนกันอย่างสนุกสนาน ตอนนี้ที่หน้าร้านเต็มไปด้วยดอกกุหลาบที่ส่งกลิ่นหอมโชยไปทั่วทั้งร้าน
“คุยอะไรกันอยู่เหรอ” ซูจิ้งถามออกมา
ตงเจี๋ยและพนักงานคนอื่นๆเองหยุดหัวเราะกันในทันที ก่อนที่จะงุ้มหัวลงเล็กน้อยพลางแลบลิ้นออกมากันทุกคน บ่งบอกได้เลยว่ากำลังเผาซูจิ้งกันอยู่
“ไม่มีอะไรหรอกน่า แค่คุยกันเล่นเฉยๆ” ฉือชิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“โอ้… แต่ทำไมฉันได้ยินแว่วๆเกี่ยวกับเรื่องแฟนหรือผู้ชายหล่อๆอะไรแบบนั้นล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ได้ยินด้วยอ่ะ” ชิฉิงไป๋จ้องยังซูจิ้งราวกับโดนจับได้ ต่อให้เขาไม่ได้ตั้งใจฟังนักแต่เสียงนั้นได้ยังตั้งแต่ยังไม่เข้าร้านเลย ดูเหมือนว่ากุหลาบพวกนี้จะมีหนุ่มหล่อนำมามอบให้ฉือชิงนะ
“คุณซู มีหนุ่มหล่อมาตกหลุมรักพี่ชิงด้วยล่ะ เขานั้นดูดีมากเลยนะ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังส่งดอกกุหลายมาให้ 9,999 ดอก เขายังบอกว่าจะส่งรถสปอร์ตมาให้ที่บ้านด้วยนะ แต่พิ่ชิงปฏิเสธไป” ตงเจี๋ยพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“แล้วหนุ่มหล่อคนนั้นคือ?” ซูจิ้งถามออกมา
“เขาชื่อฮัวหยุนชู ลูกชายของตระกูลฮัว หนึ่งในสี่คุณชายเหมือนคุณเลย” ตงเจี๋ยพูดออกมา
“โอ้” หัวใจเต้นของซูจิ้งเต้นแรงในทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ ความจริงแล้วมีน้อยคนนักในประเทศที่จะไม่เคยได้ยินชื่อนี้ นั่นก็เพราะว่าพ่อของฮัวหยุนชูคนนี้เป็นหนึ่งในคนที่รวยที่สุดของประเทศ แน่นอนว่านายน้อยอย่างฮัวหยุนชูเองก็ต้องรู้จักตามไปด้วย
อีกทั้งเขานั้นยังได้ชื่อว่าเป็นคุณชายสี่ที่ทรงอิทธิพลและรวยที่สุดในประเทศ นอกจากนั้นฮัวหยุนชูยังมีอำนาจของตระกูลหนุนหลังอย่างหนักแน่น ต่างจากซูจิ้งที่พึ่งจะมีชื่อเสียงทีหลัง
อีกทั้งพึ่งจะเริ่มพัฒนาธุรกิจของตัวเองจึงถือได้ว่าเบื้องหลังของซูจิ้งนั้นยังไม่หนักแน่นพอต่อให้เขานั้นมีอำนาจอยู่ล้นพ้นมือก็ตาม
ต่อให้เขานั้นเริ่มเป็นที่เบื่อหน่ายของชาวเน็ตอยู่บ้านแต่ก็ยังถือได้ว่ามีฐานะของคุณชายสี่อยู่ดี
“ดูเหมือนว่าเขานั้นจะรู้จักฉันตอนที่ดูเรื่องกระบี่เทพธิดานะ เขามาที่นี่เพื่อซื้อเสื้อผ้าตั้งสองรอบแน่ะ” ฉือชิงอธิบาย
“เป็นเขานี่เอง ก็ว่าอยู่ว่าหนุ่มหล่อที่ไหนกันถึงกล้าทุ่มทุนสร้างขนาดนี้” ซูจิ้งพูดออกมาและเขาก็ไม่แปลกใจอะไรเลยสักนิดที่จะมีใครบางคนมาตามจีบฉือชิง
ฉือชิงนั้นถ้าจะพูดตามจริงแล้วเรียกได้ว่าสวยวันสวยคืนแถมยังเรียบร้อยเป็นกุลสตรีซะอีก ถ้าไม่มีคนมาจีบนี่สิแปลก หากคนนั้นไม่ได้ตาบอด ถ้าคนพวกนั้นไม่ได้กลัวเขาล่ะก็ สมควรที่คนพวกนั้นจะมาเข้าแถวกันจีบยาวเป็นหางมังกรกีดขวางทางทำมาหากินร้านอื่นเรียบร้อยไปแล้ว
ฉือชิงนั้นถึงแม้ว่าเขาจะมั่นใจได้ว่าไม่มีวันแปรเปลี่ยน แต่พอมีคนอื่นเข้ามาจีบแฟนของเขาแบบนี้ก็อดหึงเสียไม่ได้เหมือนกัน
การที่ได้มาเห็นกุหลาบที่ถูกนำมาจีบแฟนตัวเองอย่างนี้แน่นอนว่าเขานั้นต้องขุ่นเคืองใจ
“ฉันบอกเด็กๆในร้านไปแล้วนะว่าให้เอาไปทิ้ง แต่พวกนี้ไม่ยอมท่าเดียว” ฉือชิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“ก็มันน่าเสียดายนี่นา” สาวน้อยคนหนึ่งที่เป็นพนักงานในร้านพูดออกมาและปวดใจแทนหนุ่มหล่อคนนั้น
“นี่เธอไม่เคยได้ดอกกุหลาบจากแฟนของเธอรึไงกัน” ฉือชิงพูดออกมา
สาวน้อย ตงเจี๋ย และพนักงานคนอื่นๆเองต่างก็ไม่อยากจะสร้างความขุ่นเคืองให้กับซูจิ้งอย่างแน่นอนถึงแม้พวกเธอจะรู้ว่าซูจิ้งไม่มีทางเล่นงานพวกเธอแน่ๆ
แต่การที่จะให้นำดอกกุหลาตั้งมากมายราวกับยกมาทั้งสวนแบบนี้เอาไปทิ้งมันก็น่าเสียดาย อีกอย่างนั้น ดอกไม้ 9,999 ดอกนั้นมีความหมายที่ดีมากๆสำหรับพวกเธอ แต่สำหรับฉือชิงนั้นมันไม่ได้มีค่าอะไรเลย
ฉือชิงนั้นไม่ใส่ใจและรู้สึกเสียดายเวลาที่จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้จริงๆ การที่เธอนั้นเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอนั้นสนใจรับกุหลาบนี้อย่างเต็มใจ
หรือจะทำนิสัยแบบคนเมืองหลวงที่หมุนเวียนเปลี่ยนคนไปเรื่อยๆแต่อย่างใด ขนาดซูจิ้งให้เงินในบัญชีไปหมื่นล้านหยวนฉือชิงยังไม่อยากจะใช้เลยแม้แต่น้อยทั้งๆที่ถ้าเป็นคนอื่นก็คงถลุงไปจนหมดแล้ว นับประสากับแค่รถสปอร์ตคันเดียว
ถึงแม้ตัวเธอนั้นจะไม่ได้ปฏิเสธหรือพูดออกมาให้ชัดเจนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นแบบไหนเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นราวกับว่าทั้งคู่นั้นไม่ได้ใส่ใจกันมากนัก
เอาจริงๆต่อให้ทั้งคู่หวานแหววกันขนาดไหนแต่คนมันจะจีบยังไงก็คงหาทางจีบอยู่ดี
กับคนที่มาจีบฉือชิงนั้นเขาก็ยังเห็นตระกูลฮัวที่สุดแสนจะมั่นใจในความร่ำรวยนั้นยังใช้เพียงสมุดธนาคารแบบธรรมดาเท่านั้น แถมบัญชีที่ใช้นั่นส่วนใหญ่ก็อยู่ในชื่อพ่อของเขาทั้งนั้นเลย
จึงบอกได้เลยว่าหากไอ้เจ้าฮัวหยุนซูนั้นคิดจะจีบฉือชิงด้วยเงินล่ะก็ เป็นเพียงแค่ฝันลมๆแล้งๆเท่านั้นเอง
หลังจากที่ตงเจี๋ยและพนักงานคนอื่นๆได้โยนดอกกุหลาบทิ้งไป บรรดาคนไร้บ้านที่เห็นต่างก็เข้ามาแย่งกันเก็บไปในทันที
ด้วยการที่มันยังสดและสภาพดีมาก พวกเขานั้นถึงกับดีใจจนโหวกเหวกโวยวายเพราะว่าต้องสามารถขายได้ราคาดีอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามก็ได้มีใครบางคนผ่านมา ตรงเข้ามาทำร้าย และได้แย่งดอกไม้พวกนั้นไปจนหมด
“ที่รักจ๋า ฉันนำดอกไม้มามอบให้เธอด้วยล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาก่อนที่เขานั้นจะนำดอกไม้สีแดงออกมาจากกระเป๋า สีของมันช่างสดใสและมีกลิ่นที่หอมเย้ายวนอย่างมาก
ซูจิ้งนำดอกไม้ดอกนั้นไปวางลงบนหัวของฉือชิง รากนั้นค่อยๆฝังเข้าไปในเส้นผมอย่างช้าๆจนดูเหมือนว่ามันโตอยู่บนหัวฉือชิงมานานมากแล้ว
และด้วยการที่เธอนั้นไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรเลยแม้แต่น้อยทำให้เธอไม่ได้รู้สึกเลยสักนิดว่ามีอะไรกำลังแทรกซึมไปตามผมของเธอ
“มันคนจะเด่นดีไม่น้อยล่ะนะถ้าฉันมีดอกไม้ใหญ่ขนาดนี้บานอยู่บนหัวน่ะ” ฉือชิงพูดออกมาแต่เธอก้ไม่ได้มีท่าทีจะปัดออกแต่อย่างใด ใบหน้าของเธอนั้นยิ้มออกมาอย่างน่าเย้ายวน แสดงให้เห็นว่ามีความสุขอย่างมาก
“ไม่หรอกน่า เหมาะกับที่รักดีออก” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ตงเจี๋ย สาวน้อยก่อนหน้านี้และพนักงานคนอื่นๆเองที่เห็นฉากนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ความรักนี่ทำให้คนตาบอดได้จริงๆ
เมื่อเทียบกับดอกกุหลาบกว่า 9,999 ดอกก่อนหน้านี้แล้ว ก็อีแค่ดอกไม้สีแดงดอกเดียวเนี่ยนะ ฉือชิงถึงกับยอมทิ้งดอกกุหลาบพวกนนั้นไปจนหมด ไม่เพียงเท่านั้นยังมีท่าทีชอบมากๆเลยซะอีก
แต่กับเรื่องนี้ก็โทษคนพวกนี้ไม่ได้เพราะไม่ใครคิดอย่างแน่นอนว่าดอกไม้นี้ไม่ใช่ดอกไม้ธรรมดา
แต่ว่านี่คือฮัวเหยาหรือก็ปีศาจดอกไม้ที่ซูจิ้งพึ่งจะได้มาเป็นลูกน้อง ต่อให้ดอกกุหลาบทั้งโลกเอามารวมกันก็ยังไม่มีค่าเท่าปลายนิ้วของเธอไปได้
ฉือชิงนั้นไม่สนใจหรอกว่าคนอื่นนั้นจะคิดอะไร แต่เธอนั้นชอบเจ้าดอกไม้ที่อยู่บนหัวของเธอมากๆเท่านั้นเอง ยิ่งไกว่านั้นเธอเองก็ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่หลังจากที่เธอสวมเจ้าดอกไม้นี่วางไว้บนหัวแล้วรู้สึกได้เลยว่าตัวเธอนั้นผ่อนคลายมากขึ้น
ที่เธอยังไม่รู้ก็คือตัวเธอในตอนนี้นั้นมีส่วนหนึ่งของฮัวเหยาอยู่ในร่างกายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ถึงแม้ซูจิ้งจะยังไม่รู้ว่าเธอนั้นจะมีท่าทียังไงเมื่อรู้ว่าตัวเธอเองมีชิ้นส่วนของปีศาจดอกไม้ฝังไว้ในตัวก็ตาม แต่ซูจิ้งเองก็ไม่ได้กังวลเรื่องนี้แต่อย่างใด ตัวเขานั่งลงในพื้นที่รับรอง และทำการนั่งดื่มชาเพื่อรอดูผลลัพท์
แต่ผลที่เขาไม่เคยได้คิดไว้ก็คือลูกค้าที่เข้ามาซื้อของที่ร้านแทบจะทุกคนนั้นต่างก็เข้ามาขอถ่ายรูปกับเขาเป็นการใหญ่ นี่เองก็เป็นสิ่งที่ทำให้ซูจิ้งนั้นถึงกับพูดไม่ออก
หลังจากนั้นสักพัก ดูเหมือนว่าฉือชิงนั้นจะเริ่มรับมือไม่ไหวแล้วเหมือนกันเพราะบางคนนั้นไม่ใช่ลูกค้าแต่ก็ยังเข้ามา ซูจิ้งเองก็ได้เพียงแค่กำลังจะตัดใจกลับไปก่อนเท่านนั้น
แต่ตอนที่เขากำลังจะออกไปนั้นก็ได้มีเด็กสาวอายุ17-18ปีกำลังเดินเข้ามาที่ประตูร้าน เธอนั้นใส่ชุดขาดๆ ร่างกายดูผอมโซ ใบหน้าของเธอนั้นดูเหลืองเล็กน้อย ดูเหมือนจะเป็นคนไร้บ้าน
ฉือชิงเห็นดังนั้นเขาก็อดสงสารไม่ได้จึงได้หยิบแบงค์ร้อยให้กับเธอ แต่สาวน้อยคนนี้ไม่ได้รับเงินแต่อย่างใด เธอทำการคุกเข่าคำนับฉือชิงพร้อมทั้งมีน้ำตาที่ไหลรินออกมาแต่ก็ไม่ได้ร้องไห้ออกมาแต่อย่างใด
“อย่าทำอย่างนี้สิสาวน้อยเกิดอะไรขึ้น” ฉือชิงรีบเข้าไปประครองเธอขึ้นมาในทันที ส่วนคนอื่นๆเองทั้งพนักงานและลูกค้าต่างก็เริ่มออเข้ามาดูเหตุการณ์
หลายๆคนนั้นได้บ่นกันเบาๆว่าขอทานนั้นเป็นพวกเกียจคร้าน บางคนก็ทำท่าขยะแขยง หลายๆคนไม่แม้แต่จะเฉียดเข้าไปใกล้
เอาจริงๆพวกเขานั้นไม่อยากถูกหลอกเพราะคิดว่าขอทานเองก็เป็นธุรกิจอย่างหนึ่ง นี่จึงเป็นเหตุผลให้ธุรกิจขอทานนี้ซบซานกันไปเลยทีเดียว
แต่กับเด็กสาวที่มาคุกเข่าตรงหน้าของเขานั้นได้ก้มหัวคำนับจนแทบจะทำให้หัวแตกเลยก็ว่าได้ และดูเธอนั้นก็ไม่ได้มีท่าที่จะโกหกแม้แต่น้อย
GGS:บทที่ 931 ขอทานตัวน้อย
“พี่สาว หนูรู้ว่าพี่สาวเป็นคนดี พี่พอจะช่วยให้หนูยืมเงินสักหมื่นหยวนได้รึเปล่าคะ แล้วหนูจะหาทางคืนให้ได้ในอนาคต” ขอทานน้อยอายุ 17 ปี คนนั้นพูดในขณะที่กำลังทำการคุกเข่าคำนับขอร้องโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาดูแต่อย่างใด
เมื่อได้ยินคำว่าหมื่นหยวน ทุกคนในที่นั้นต่างก็ขมวดคิ้วกันไปหมดและต่างก็ตั้งข้อสงสัยจนเกิดเสียงอื้ออึงกันไปทั่ว
อย่างแรก พวกเธอนั้นได้เห็นเด็กสาวที่คุกเข่าคำนับจนร้องไห้ออกมาด้วยใบหน้าที่เศร้าศร้อยน่าเชื่อว่าไม่ได้โกหกหรือหลอกลวงแต่อย่างใด นั่นก็เพราะไม่มีคนเจ้าเล่ห์ที่ไหนที่จะมาทำแบบนี้เพื่อเงินเพียงหมื่นหยวนเท่านั้น พวกเขาหลอกคนสบายๆง่ายกว่านี้เยอะ ไม่มานั่งคำนับโขกหัวจนหัวแตกแบบนี้หรอก
แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่พูดยากอีกเหมือนกันที่จะให้เงินคนที่ไม่รู้จักไปเลยหนึ่งหมื่นหยวนต่อให้มาขอร้องชนิดที่โขกหัวกับพื้นจนหัวแตกแบบนี้ก้ตาม
ต่อให้ไม่ได้โกหกแต่การที่มาทำอย่างนี้เพียงเพื่อเงินเท่านี้มันก็อาจจะดูเกินไปหน่อยเช่นเดียวกัน
“สาวน้อย เธอลุกขึ้นก่อนนะ เรามานั่งคุยกันดีๆดีกว่าอย่ามาทำอย่างนี้เลยนะ” ฉือชิงนั้นต้องชักเท้าถอยหลังในทันทีพร้อมกับปวดใจในภาพที่ต้องเห็นอยู่ในขณะนี้
“พี่สาวช่วยหนูหน่อยเถอะนะ แล้วหนูจะหาวิธีคืนเงินให้ทีหลัง” สาวน้อยเริ่มร้องไห้ออกมาจริงๆ
ฉือชิง ตงเจี๋ย และคนอื่นๆเองถึงแม้จะไม่ได้มีท่าทีเข้าใกล้ แต่การที่ได้เห็นเด็กสาววัยนี้มีสภาพแร้นแค้นและต้องมาทำท่าแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความหดหู่ออกมาด้วยเช่นเดียวกัน และสาวน้อยคนนี้ก็ยังงร้องไห้ไม่หยุดและไม่ยอมลุกไปไหน
“เกิดอะไรขึ้น” ซูจิ้งที่อยู่ในพื้นที่พักผ่อนเมื่อครู่ได้เดินมาถามเหตุการณ์ในทันทีเมื่อเริ่มเห็นคนมุงกัน
“สาวน้อยคนนี้มาแถวนี้เมื่อไม่กี่วันก่อน เธอเป็นขอทานและขอแบบนี้กับคนอื่นไปทั่ว มีไม่กี่คนหรอกที่ให้เงินเธอไป
ตอนนั้นฉือชิงเห็นเธอแล้วสงสารเลยให้เธอไป 100 หยวน หลังจากนั้นเธอก็มาขอเงินแบบนี้ทุกวันวันละหลายๆรอบ แต่คราวนี้เธอนั้นมาถึงก็พูดโพร่งออกมาเลยว่าขอเงินหนึ่งหมื่นหยวน” ตงเจี๋ยพูดออกมา
“เธอไม่ได้แกล้งเป็นขอทานหรอกนะ” ฉือชิงพูดจบก็ได้ดึงซูจิ้งมายืนอยู่ข้างๆพร้อมทั้งถามซูจิ้งออกมาว่าพอจะมีวิธีพิสูจน์บ้างรึเปล่า
เธอนั้นอยากจะช่วยสาวน้อยคนนี้จริงๆ แต่ตัวเธอเองก็กลัวโดนหลอกเหมือนกัน ถึงแม้ใจตอนนี้ตัวเธอนั้นจะไม่ได้ขัดสนอะไรแล้วแต่การที่จะต้องยอมให้เงินไปหมื่นหยวนโดยที่เธอนั้นยังรู้สึกแบบนี้อยู่เธอก็ไม่ไหวเหมือนกัน
“สาวน้อยคนนี้น่าจะไม่ได้โกหกหรอก” ซูจิ้งพยักหน้าเป็นนับว่าสาวน้อยคนนี้คือขอทานจริงๆ นั่นก็เพราะตัวเขานั้นสามารถอ่านออร่าของผู้คนได้อย่างง่ายดาย
หากเป็นคนอื่นนั้น การที่จะพูดโกหกหรือหลอกลวงใครสักคน หากไม่ใช่คนที่ทำประจำ ออร่ารอบตัวจะสั่นกระเพิ่ม ไม่ได้เสถียรแบบนี้
แถมสาวน้อยคนนี้ยังร้องไห้ออกมาอีก หากโกหกก็จะยิ่งจับได้เข้าไปใหญ่ เขาจึงมั่นใจได้ว่าสาวน้อยคนนี้ไม่ได้โกหกแต่อย่างใด
“แล้วจะช่วยเธอรึเปล่า” ฉือชิงถามออกมา
“ช่วยสิ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ตกลงจ้ะ” ฉือชิงพยักหน้าพลางจูงมือซูจิ้งไปยังเด็กสาวเพื่อถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หลังจากสาวน้อยสงบสติอารมณ์เธอก็ได้เล่าออกมาว่าแม่ของเธอนั้นป่วยเป็นเนื้องอกเมื่อปีก่อน หลังจากนั้นเธอก็ไม่สามารถทำงานได้อีกเลย
เธอเองก็ได้ใช้เงินเก็บทั้งหมดจ่ายให้กับโรงพยาบาลแถมยังเหลือหนี้อีกหนึ่งหมื่นหยวนอีก ตอนแรกก็คิดว่าเมื่อแม่ของเธอพักฟื้นแล้วก็จะออกไปหางานทำ
กลายเป็นว่าหลังจากพักฟื้นจนทำงานได้ไปพักหนึ่ง เนื้องอกที่ว่ากลับมาอีกครั้ง พ่อของเธอเองก็รับภาระไม่ไหวและหนีหายไปจนไม่ได้ข่าวคราว
ตัวเธอเองก็ปฏิเสธที่จะตามพ่อของเธอไปเพื่อที่จะคอยดูแลแม่ของเธอ เธอนั้นเลิกไปเรียนและตัดสินใจทำงานหาเงินจนได้ทำงานที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งแต่ก็ได้เป็นเพียงงานชั่วคราวเท่านั้น
แถมนั่นยังไม่เพียงพออีกด้วย ตัวเธอเองนั้นเมื่อไม่มีงานจึงยอมออกมาขอทานอยู่ข้างถนนแบบนี้
แต่เมื่อวานนี้อยู่ๆแม่ของเธอก็อาการกำเริบ และเธอต้องการพาแม่ไปผ่าตัด ตอนนี้เธอนั้นนึกถึงใครไม่ออกแล้วจริงๆ เธอนึกได้เพียงแค่พี่สาวใจดีเจ้าของร้านเสื้อผ้าที่คอยช่วยเธอเป็นประจำหรือก็คือฉือชิงเท่านั้นเอง เพราะเธอเห็นว่าฉือชิงนั้นมีร้านและมีรถขับต้องรวยอย่างแน่นอนจึงได้ต้องบากหน้ามาขอเงินแบบนี้
“พี่ชาย พี่สาว หนูไม่ได้โกหกจริงๆ ถ้าพวกพี่ให้หนูยืมเงินล่ะก็ หนูจะยอมชดใช้ด้วยร่างกาย เป็นวัว เป็นม้า ทำอะไรหนูก็ยอม” เด็กสาวพูดออกมา
“เธอดูร้านไปแล้วกัน ตอนนี้ฉันว่างๆอยู่ เดี๋ยวเรื่องนี้ฉันจัดการเองก็แล้วกัน” ซูจิ้งหันไปพูดกับฉือชิง
“สาวน้อย คนคนนี้เป็นคู่หมั้นของฉันเอง เธอแค่พาเขาไปยังโรงพยาบาลก็พอ ที่เหลือนั้นเขาสามารถจัดการได้หมดทุกเรื่องไม่ว่าจะแพงแค่ไหนก็ตาม” ฉือชิงพูดออกมา เธอนั้นเห็นใจสาวน้อยคนนี้อย่างมาก ตอนนี้สาวน้อยมีดวงตาที่แดงกล่ำ
“ขอบคุณค่ะ พี่ชาย พี่สาว” เมื่อสาวน้อยได้ยินว่าซูจิ้งและฉือชิงจะยื่นมีเข้าช่วยเธอก็อดไม่ได้ที่น้ำตาจะไหลออกมาด้วยความสุขอีกครั้งหนึ่ง
“เลิกร้องไห้เถอะนะ เราไปกันดีกว่า” ซูจิ้งพูดออกมา
“ได้ค่ะพี่ชาย ทางนี้ค่ะ” สาวน้อยพยายามอดกลั้นบ่อน้ำตาของเธอและได้นำทางไปด้วยความดีใจ
“ฝากด้วยนะ” ฉือชิงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาพลางตบบ่าของซูจิ้งเบาๆ
“รู้แล้วน่า อย่าห่วงไปเลย” ซูจิ้งตอบรับแต่โดยดี
ซูจิ้งได้ออกไปโรงพยาบาลที่แม่ของสาวน้อยรักษาตัวอยู่ ตงเจี๋ยและคนอื่นๆเองที่เห็นดังนั้นต่างก็รู้สึกใจชื้นตามไปด้วย ดูท่าสาวน้อยคนนี้น่าจะไม่ได้โกหก
ซูจิ้งกับฉือชิงเองก็ถือได้ว่าฐานะดีอยู่แล้ว เงินหมื่นหยวนนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากเงินล้นถังของทั้งสองเท่านั้นเอง
เหล่าลูกค้าหลายๆคนเองที่มาที่นี่ก็เป็นแฟนคลับของซูจิ้งอยู่แล้ว เมื่อเห็นดังนั้นก็ต่างชื่นชมซูจิ้งกันนเป็นการใหญ่ มีอยู่สองคนที่รีบถ่ายรูปแล้วโพสต์บนโลกอินเตอร์เน็ตในทันที
ซูจิ้งได้ขับรถปอร์เช่พาเด็กสาวออกมา เด็กสาวได้นั่งหน้ากับซูจิ้งและคอยชี้ทางตลอดเวลา เธอนั้นราวกับว่าจะกลัวเบาะรถซูจิ้งเลอะเลยนั่งเพียงครึ่งเบาะเท่านั้น
เมื่อขับรถผ่านไปได้สักระยะซูจิ้งเริ่มขมวดคิ้วและถามขึ้นมาว่า “โรงพยาบาลอะไรถึงถนนแบบนี้กัน สาวน้อยฉันว่าเธอเลิกนำทางดีกว่านะ บอกฉันมาเลยดีกว่าว่าโรงพยาบาลชื่ออะไรเดี๋ยวฉันเปิดเครื่องนนำทางไปดีกว่า”
“แม่ของหนูไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ แม่แอบหนีจากโรงพยาบาลกลับมาอยู่บ้าน แม่บอกว่าอยู่ไปก็เท่านั้น” สาวน้อยพูดด้วยน้ำเสียงกระมิดกระเมี้ยนกลัวซูจิ้งจะไม่เชื่อ ตอนนี้สายตาของเธอดูกลัวหน่อยๆแล้ว
“ไม่เป็นไร บอกที่อยู่มาก็ได้” ซูจิ้งพูดออกมา
“อยู่ในถนนดาเชิงค่ะ ที่….” สาวน้อยพูดที่อยู่ออกมา ซูจิ้งจึงใส่พิกัดในเครื่องนำทาง เส้นทางที่ว่าก็ตรงไปตามที่สาวน้อยคนนี้บอก โดยซูจิ้งได้แวะข้างทางสองที่ก่อนจะไปเจอแม่ของสาวน้อย
หลังจากที่ขับรถไปได้สักระยะ เขาก็ได้ขับไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในเมือง เขาจอดรถที่บ้านหลังหนึ่งที่มืดมาก เมื่อเข้าไป
เขาเปิดประตูออกและสาวน้อยได้นำไปยังห้องๆหนึ่ง ห้องนั้นมืดมากและมีกลิ่นอับและเหม็นเน่าคละคลุ้ง ทั้งบ้านนี้เหมือนจะมีห้องเดียวและเป็นห้องที่เล็กมากๆ แค่ยืนอยู่หน้าห้องก็เห็นได้ทั่วแล้วว่าของในมีอะไรบ้าง
ภายในห้องนั้นมีผู้หญิงผิวเหลืองวัยกลางคนท่าทางอ่อนแออยู่คนหนึ่งเหมือนกำลังเขียนอะไรบางอย่าง เมื่อเธอเห็นสาวน้อยก็ได้รีบเก็บกระดาษนั้นซุกในทันที
ด้วยการที่ห้องนั้นมืดมากสาวน้อยย่อมไม่เห็นอะไร แต่ก็หาได้หลบซ่อนจากสายตาซูจิ้งได้แต่อย่างใด
“พี่ชายคะ ที่นี่เล็กไปหน่อยนะอย่าว่ากันเลยนะคะ แม่คะ หนูขอแนะนำให้รู้จักค่ะ พี่ใหญ่คนนี้จะมาช่วยพวกเราคะ หนูเลยพาพี่เขามาที่นี่” สาวน้อยที่พาซูจิ้งมาที่นี่พยายามให้แม่เธอได้รู้ว่าเขามาทำไม
“พี่ใหญ่อะไรกัน” เมื่อหญิงวัยกลางคนคนนั้นแห็นซูจิ้งได้มีท่าทีระแวงในทันที เธอรีบดึงสาวน้อยเข้ามาหาและทำท่าสำรวจความเรียบร้อยของร่างกายแล้วรีบถามออกมาว่า “หนี่น้อยเขาทำอะไรลูกรึเปล่า”
แค่ดูก็รู้ว่าเธอนั้นระแวงในตัวซูจิ้งอย่างมากถึงแม้ว่าเขานั้นอยากจะมาช่วยจริงๆก็ตาม แต่ก็ว่าอะไรไม่ได้หรอกเพราะว่ามีน้อยคนนักที่อยากจะช่วยโดยไม่หวังอะไรตอบแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเงินกว่าหนึ่งหมื่นหยวน
เธอนั้นถึงแม้จะรู้ว่าลูกของเธอนั้นไม่สวยแต่ก็ถือว่าน่ารัก อีกอย่างเธอยังเป็นสาวรุ่นๆอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีเท่านั้นเอง
“พี่ใหญ่คนนี้เป็นคนดีจริงๆค่ะ เขานั้นยอมให้เรายืมเงินหนึ่งหมื่นหยวน” สาวน้อยอธิบายออกมา เหมือนเห็นท่าทีของลูกของเธอที่อายุเท่านี้แล้วแต่ยังต้องสวมเสื้อผ้าขาดๆแบบนี้พูดถึงเรื่องเงินจำนวนมากทำให้เธอนั้น อดไม่ได้ที่จะลูบหัวสาวน้อยด้วยความรักความเอ็นดู ก่อนที่จะหันไปพูดกับซูจิ้งว่า “ความคุณความใจดีของคุณค่ะ แต่พวกเราไม่ขอยืมเงินขอรับไว้เพียงความใจดีก็พอ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น