Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 928-929
GGS:บทที่ 928 พลังของปีศาจดอกไม้
ซูจิ้งลองนำเกสรของปีศาจดอกไม้ที่ให้ฉิงหยุนเก็บไว้มาทดสอบดู เกสรดอกไม้นี้ผลในการหลอนประสาทอย่างรุนแรง หนูทดลองที่โดนเจ้าเกสรนี้เหมือนจะตกอยู่ในมนต์สะกดทันทีแม้จะสูดเข้าไปนิดหน่อยก็ตาม
ถึงแม้เขาเองจะเห็นผลจากยาเสน่ห์พวกนี้มามากมายแล้วก็ตาม แต่ยาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีผลข้างเคียงเท่านั้น แต่กับเจ้าเกสรนี่ดูเหมือนว่ามันจะดูดีอยู่หลังจากยาหมดฤทธิ์และเหมือนจะไม่เกิดผลค้างเคียงแม้แต่น้อย ถึงแม้จะยังไม่ได้ลองกับคนแต่ก็น่าจะมีผลไม่ต่างกัน
“แม้จะน่าเสียดายที่ต้องฆ่าปีศาจดอกไม้เจ๋งๆแบบนี้ แต่ฉันเองก็ปล่อยมันไว้ไม่ได้ คงจะดีนะถ้าสามารถทำสัญญากับมันและทำให้เป็นมือขวาของฉันได้
แต่ก็อีกล่ะนะตอนที่สู้กันเมื่อกี้ฉันรู้ได้เลยว่าเธอนั้นมีกำลังใจสุดแสนจะแข็งแกร่ง ไม่ง่ายเลยที่จะสะกดจิตได้โดยเธอไม่แข็งขืน แถมน่าจะต้องเป็นสะกดจิตแบบสมบูรณ์สะด้วยสิ”
ซูจิ้งคิดพลางกำลังมองไปยังปีศาจดอกไม้ที่กำลังพยายามพังกำแพงมิติออกมาจากพื้นที่ทั่วไป ดูเหมือนว่าเธอจะคลั่งโดยสมบูรณ์เกินกว่าที่จะคุยได้ด้วยสิ
“โอ้ะ ลองวิธีนี้ดีกว่า น่าจะใช้ได้อยู่แหะ” ซูจิ้งพูดออกมาเมื่อคิดอะไรได้บางอย่าง ซูจิ้งนำพระธาตุออกมา เขาเคยอ่านมาว่าพระพุทธเจ้านั้นใช้บทสวดมนต์ในการกล่อมเกลาสรรพชีวิต
ต่อให้อีกฝั่งเป็นภูติผีปีศาจก็น่าจะได้ผลไม่มากก็น้อย ดีไม่ดีจะมากกว่าสิ่งมีชีวิตปกติซะด้วย เพราะว่าในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้านั้นมีปีศาจบางตัวสามารถเรียนรู้เวทมนต์ทางพุทธ
พวกมันสามารถทำให้ทั้งสัตว์ประหลาดทั้งหลายและมนุษย์เชื่อฟังจนยอมหาอาหารให้มันกินได้แต่โดยดี เจ้าพระธาตุอันนี้เองก็สมควรจะใช้แบบนั้นได้เช่นเดยวกัน
“ลองดูละกัน” ซูจิ้งได้ไปปรากฎตัวต่อหน้าปีศาจดอกไม้ในพื้นที่ทั่วไปของสถานีฯ เมื่อเธอเห็นซูจิ้งเธอเองก็ปล่อยรังสีฆ่าฟันออกมาราวกับจะพุ่งไปเล่นงานซูจิ้งในทันที
ซูจิ้งเห็นดังนั้นจึงพูดออกมาว่า “ฉันสามารถไปไหนมาที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้ เธอแน่ใจนะว่าอยากจะโจมตีฉันอีก เรามานั่งคุยกันหน่อยไม่ดีกว่าเหรอ”
“ที่นี่ที่ไหนแล้วทำไมฉันถึงได้ติดอยู่ที่นี่ได้” น้ำเสียงของปีศาจดอกไม้แสดงออกมาไม่สู้ดีนัก
“น่า น่า น่า อย่าพึ่งจะกังวลไป เดี๋ยวฉันจะอธิบายช้าๆละกัน” ซูจิ้งนั่งลงช้าๆและเริ่มทำการอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้ปีศาจดอกไม้ฟังด้วยท่าทางใจดี แต่เขาเองก็ได้แอบใช้พระธาตุไปด้วย
ปีศาจดอกไม้เมื่อเห็นว่าซูจิ้งไม่มีท่าทีว่าจะทำอะไรจริงๆจึงได้ฟังแบบเงียบๆ ยิ่งเธอฟังมากเท่าไหร่เธอก็ยังตั้งใจฟังมากขึ้นเรื่อยๆจนในตอนนี้เธอยอมนั่งลงและรับฟังแต่โดยดีโดยไม่มีท่าทีดุร้ายแบบก่อนหน้านี้แต่อย่างใด
แม้แต่ตอนนี้เธอก็ยังไม่รู้ตัวว่าทำไมเธอถึงมีท่าทีแบบนี้ กว่าเธอจะรู้ตัวว่าเธอทำอะไรอยู่ ซูจิ้งก็ได้เลิกอธิบายและได้สวดมนต์ออกมา
ซูจิ้งท่องบทสวดมนต์ทุกอย่างที่เขารู้จนทำให้ปีศาจดอกไม้ในตอนนี้มีความคิดที่สับสนและนิ่งไปในทันที
ในตอนนี้เมื่อซูจิ้งเห็นเป็นโอกาสเหมาะ เขาจึงได้ค่อยๆปล่อยกระแสจิตของเขาออกมาอย่างช้าๆในขณะที่สวดมนต์ไปด้วย
เมื่อสามารถส่งกระแสจิตเข้าไปยังร่างของปีศาจดอกไม้ได้เขาก็ได้หยุดปากลงเพื่อตั้งสติในการส่งกระแสจิตเข้าไปยังห้วงสติของปีศาจดอกไม้
ดูเหมือนว่าปีศาจดอกไม้มีกระแสจิตอันแข็งแกร่งจริงตามที่เขาคิดไว้ เมื่อเธอรู้สึกได้ว่ามีพลังบางอย่างเข้ามาก่อกวนในจิตใจก็ได้ทำการขัดขืนต่อพลังนั้นทันที
เธอตกใจจนเกือบออกท่าทางออกมาเมื่อรับรู้ถึงกระแสจิตของซูจิ้ง ความแข็งแกร่งของจิตสำนึกของเธอนั้นไม่สามารถเทียบได้เลยกับซูจิ้ง แต่ยังไงซะก็ยังถือได้ว่าเธอนั้นได้เปรียบเพราะในจิตสำนึกนี้ยังไงก็เป็นของเธอ
แต่ด้วยการที่เธอนั้นตกอยู่ในมนต์สะกดจากบทสวดมนต์ของซูจิ้งอย่างสมบูรณ์ ถึงแม้ว่าเธอจะป้องกันตัวเองในจิตใจดีขนาดไหนก็ตามยังไงซะก็ยังไม่อาจหยุดยั้งการรุกรานจากกระแสจิตของซูจิ้งได้
กระแสจิตของซูจิ้งนั้นค่อยๆทำการรุกรานเข้าในห้วงจิตสำนักของปีศาจดอกไม้อย่างช้าๆ ช้าๆ จนในที่สุดแล้วเธอก็ตกอยู่ในอำนาจการสะกดของซูจิ้งจนได้
ผ่านไปกว่าสามชั่วโมง ความพยายามของซูจิ้งในที่สุดก็สำเร็จ และเขาก็ได้ทำพันธสัญญากับเธอในทันที ปีศาจดอกไม้มองซูจิ้งด้วยสายตาที่เปลี่ยนแปลงไปจากก่อนหน้านี้อย่างมาก ตอนนี้เธอมองซูจิ้งด้วยสายตาเคารพนับถืออย่างหมดใจ
“พระธาตุนี้ดูเหมือนจะได้ผลดีต่อสัตว์ประหลาดอย่างมากเลยแหะ” ที่ซูจิ้งมั่นใจเรื่องนี้ก็เพราะว่าเขานั้นเคยเจอคนที่มีความแข็งแกร่งทางจิตใจพอๆกับเธอยังไม่สำเร็จเลย ขนาดที่ว่าต่อให้ตายก็ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อซูจิ้ง นี่ถือว่าเป็นความสำเร็จในความสำเร็จจริงๆ
“ปีศาจดอกไม้ เธอฝึกฝนวิชาไหนมาอย่างนั้นเหรอ” ซูจิ้งถามออกมา
“ฉันไม่รู้จักวิชายุทธพวกนั้น ฉันเพียงแค่ดูดซับแก่นแห่งสวรรค์และโลกเท่านั้นเอง” ปีศาจดอกไม้ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าเธอไม่เคยรู้จักวิชายุทธหรือวิธีบ่มเพาะแต่อย่างใด
เธอกลายมาเป็นปีศาจตั้งแต่ตอนไหนเธอก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ เธอจำได้เพียงว่าเธอนั้นหลังจากเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีวิญญาณ เธอก็อยู่ใกล้กับกองขยะกองหนึ่งแล้ว
กองขยะแบบนั้นเป็นเรื่องปกติที่จะช่วยให้ต้นไม้แบบเธอนั้นพัฒนาขึ้นมาได้ และเธอเองก็ทำเพียงแค่การดูดซับพลังงานของสวรรค์และโลกจนสามารถก่อรูปพลังงานภายในที่แท้จริงขึ้นมาได้
โดยปกติแล้วการก่อตัวของพลังภายในด้วยวิธีนี้จะเป็นวิธีที่ช้าอย่างมากและน้อยสำนักนักที่จะฝึกด้วยวิธีการนี้
ในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้ามีสำนักต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็นสำนักเต๋าหยวนเหมิน สำนักเวทมนต์เชินจ้ง โรงเรียนพุทธ อย่าว่าแต่สำนักใหญ่เลยต่อให้เป็นสำนักที่เล็กขนาดไหนก็มีวิธีบ่มเพราะของตัวเองที่ดีกว่าการดูดซับแก่นพลังงานแบบนี้
ถึงแม้ว่าจะมีสัตว์ประหลาดบางตัวที่มีโอกาสได้รับการฝึกฝนบ่มเพาะหรือแม้แต่ได้รับพลังมาจากสมบัติต่างๆก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าปีศาจดอกไม้ตนนี้จะไม่โชคดีแบบนั้นจึงทำได้เพียงพึ่งพาตัวเองเท่านั้น
ถึงแม้ว่าจะเป็นการบ่มเพาะโดยที่ไม่มีวิถีการบ่มเพาะนั้นแล้วอาศัยเพียงการดูดซับแก่นแห่งสวรรค์และโลกเพียงอย่างเดียวมันจะไม่ค่อยได้ผลนัก แต่ซูจิ้งนั้นก็ยังต้องการที่จะเรียนรู้อยู่ดี แต่ประเด็นคือเขานั้นไม่สามารถเรียนได้ต่อให้อยากขนาดนั้นเพราะเขานั้นไม่ใช่ต้นไม้
“เจ้านาย น่าเสียดายที่เจ้านายไม่ใช่ผู้หญิง ไม่อย่างนั้นฉันคงสามารถปล่อยชิ้นส่วนของฉันไว้บนเจ้านายและช่วยให้เจ้านายฝึกฝนด้วยวิธีการดูดซับแก่นแห่งสวรรค์และโลกได้เหมือนฉัน แถมยังทำให้เจ้านายเข้าใจวิธีการดูดซับวิธีนี้ได้โดยตรงอีกด้วย” ปีศาจดอกไม้พูดออกมา
“หืม ปล่อยชิ้นส่วนเหรอ เธอทำอย่างนั้นได้ด้วยเหรอ” ซูจิ้งถามออกมาอย่างงงๆ
“ใช่ค่ะ” ปีศาจดอกไม้พูดจบก็ได้ปรับเปลี่ยนร่างกายการเป็นลูกบอลสีเขียวกลมๆขนาดไม่ใหญ่มากนัก หลังจากนั้นลูกบอลนั้นก็สั่นไหวจนมีดอกไม้ออกมา ดอกไม้นั้นได้สั่นอีกครั้งก่อนที่จะมีดอกไม้อีกดอกงอกออกมา
ดอกไม้นี้มีขนาดเท่ากับฝ่ามือและเธอก็ได้ปล่อยดอกไม้นั้นไปบนมือของซูจิ้ง ทันใดนั้นก็ได้มีรากของต้นไม้ไชเข้าไปยังผิวหนังของซูจิ้งโดยที่ดอกไม้นั้นโตบนมือของซูจิ้งไปเลย
ซูจิ้งไม่รู้สึกเจ็บปวดในกระบวนการนี้แม้แต่น้อย แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงกระแสบางอย่างที่ไหลรินออกจากร่าง มันทำให้รู้สึกอึดอัดราวกับว่าร่างกายของเขา ตอนนี้เขารู้สึกว่ากินอะไรบางอย่างผิดสำแดงจนชอนไชอยู่ในกระเพาะของเขา
ปีศาจดอกไม้ได้ถอนรากออกมาจากซูจิ้ง ดอกไม้ที่อยู่บนมือเขาส่ายไปมาราวกับบ่งบอกว่าไม่สามารถจริงๆ หลังจากนั้นก็มีเสียงขึ้นมาว่า
“พลังงานหยางของเจ้านายนั้นแข็งแกร่งส่วนตัวฉันนั้นมีพลังงานหยินจึงถือได้ว่าไม่สอดคล้องกัน การที่ฉันเข้าไปแทรกแทรงยังร่างกายแบบนี้จึงทำให้เกิดความอึดอัด และตัวฉันเองก็รู้สึกอึดอัดด้วยเช่นกัน
แต่หากว่าร่างของคนที่ฉันแทรกแซงเข้าไปนั้นเป็นผู้หญิงจะยิ่งทำให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกดีอย่างมากค่ะ”
“น่าเสียดายจริงๆ” ซูจิ้งนั้นอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ ถ้าเขานั้นสามารถบ่มเพาะพลังแบบเดียวกับปีศาจดอกไม้ได้ล่ะก็ ยังไงซะพลังภายในที่แท้จริงของเขาก็ต้องเพิ่มขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย
หากต้องใช้กระจกบรอนซ์นั่นจะไม่ต้องลำบากอีกต่อไป แถมเวลาที่เขาใช้เวทมนต์สัมผัสแห่งใบไม้ฯประสิทธิภาพของมันก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นไปด้วย
“หืมมมม เดี๋ยวนะ ต่อให้ฉันใช้ไม่ได้แต่ก็ให้คนอื่นใช้ก็ได้นี่นะ” ซูจิ้งเมื่อนึกได้ใจของเขาก็เต้นแรงในทันที ก่อนหน้านี้เขานั้นกังวลความปลอดภัยของครอบครัวเขามากไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ น้องสาว และฉือชิงด้วย
ถึงแม้เขาจะส่งผึ้งของเขาไปคอยระวังภัยแล้วก็จริง แต่การที่จะมีไพ่ในมืออีกใบก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่เลวร้ายนัก
ยิ่งไปกว่านั้นฉือชิงไม่ได้เรียนเฉพาะท่าเท้าในเพลงหมัดวัวคลั่งไปแล้ว ตัวเธอนั้นจริงๆแล้วสามารถเรียนเพลงหมัดวัวคลั่งได้ครบทุกกระบวนท่าแล้ว แถมเธอเองเอาจริงๆก็ถือได้ว่ามีความสามารถด้านการต่อสู้เลยทีเดียว
หากเธอได้เรียนวิถีการบ่มเพาะจากปีศาจดอกไม้ได้ล่ะก็ เธอนั้นจะมีความแข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเองได้ หากว่าต้องเจอกับพวกอันธพาลข้างทางล่ะก็ แค่เธอใช้เพลงหมัดวัวคลั่งก็สามารถสยบพวกนั้นได้อย่างสบาย
อย่างไรก็ตามคนที่มุ่งร้ายนั้นไม่ได้มีเพียงแค่กำลังคน แต่พวกนั้นมีอาวุธยุทโธปกรณ์แบบครบมือแน่นอนว่าเพียงเพลงหมัดนั้นไม่พอแต่อย่างใด
แต่หากฉือชิงได้บ่มเพาะจนเข้าใจการมีอยู่ของพลังวิญญาณได้ล่ะก็ ต่อให้อีกฝ่ายมีอาวุธก็ไม่สามารถจัดการเธอได้อย่างง่ายๆ
“ถ้างั้นก็เหลือเพียงปัญหาเดียวสินะ นั่นก็คือเธอที่เป็นปีศาจดอกไม้ แน่นอนว่าเธอนั้นมีพลังวิญญาณที่ชั่วร้ายอยู่ ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็จริงแต่ก็ไม่ใช่เรื่องดีแต่อย่างใด หากเธอสามารถจดจำบทสวดสุริยะบัพพานี้ไว้ได้ นอกจากจะช่วยชำระล้างพลังชั่วร้ายในร่างได้แล้ว ตัวเธอจะสามารถเพิ่มพลังวิญญาณได้ด้วยนะ”
พูดจบซูจิ้งก็ได้ท่องบทสวดสุริยะบัพพาออกมาในทันที ปีศาจดอกไม้ได้ดำดิ่งอยู่ในความคิดและจดจำบทสวดทั้งเก้าคำนี้ฝังไว้ในจิตสำนึก และทำเพียงรอให้เจ้านายของเธอนำเธอไปมอบให้ฉือชิงเท่านั้น
GGS:บทที่ 929 เม็ดประหลาด
ซูจิ้งได้สอนบทสวดสุริยะบัพพาให้กับปีศาจดอกไม้และตั้งชื่อเธอว่าฮัวเหยา
กองขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศของห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้ากองนี้เขาได้พบสมบัติมากมายไม่ว่าจะเป็นพระธาตุ หนังแปลงโฉม แมลงงู แมลงตัวรีบ ปีศาจดอกไม้ และของอย่างอื่นอีก
เอาจริงๆเขานั้นยังเจอของอีกหลายอย่างเลยที่น่าสนใจจนเขาในตอนนี้สุขใจแบบสุดๆ ราวกับว่าปลื้มปลิ่มที่ได้เจอสมบัติมากมายอย่างนี้ ถึงแม้เขานั้นจะมีสมบัติดีๆเยอะอยู่แล้วแต่ยังไงซะมีเยอะไว้ก่อนยังไงก็ดีกว่า
เขาบอกได้เลยว่าขยะห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้าแห่งนี้เต็มไปด้วยของวิเศษจริงๆ นี่ขนาดยังเหลือขยะอีกตั้งครึ่งกองนะเนี่ย กองที่เหลือเชื่อได้เลยว่าต้องทำให้เขาประหลาดใจได้อย่างแน่นอน
ซูจิ้งได้จัดการขยะฯกองเหล็กอย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่เจออะไรที่ดูมีค่าแม้แต่น้อย ต่อจากนั้นเขาก็เลือกที่จะจัดการขยะฯกองหินที่อยู่ใกล้ๆต่อในทันที
หลังจากจัดการไปได้สักพักเขาก็ได้เจอกับอะไรบางอย่างที่มันกลมๆสีออกเงินๆวาวๆ มันมีขนาดพอๆกับพระธาตุที่เจอก่อนหน้านี้เล็กน้อย มันแวววาวจนแทบจะจ้องนานไม่ได้เลย เมื่อเทียบกับหินทั่วไปแล้วมันดูใสเหมือนหยกมากกว่า
ถึงจะบอกว่าหยกนั้นคือหินที่มีคุณภาพดีก็ตาม แต่ยังไงซะมันก็ยังคือหินอยู่วันยันค่ำ การที่สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้จะแยกหยกเอาไว้ในหินก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ของอย่างอื่นที่มีลักษณะกายภาพคล้ายกันจะถูกจัดจำแนกเอาไว้ให้อยู่ในจำพวกเดียวกันอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ
อย่างเช่นขยะกองไม้ก็ใช้วิธีการนี้เหมือนกัน ในนั้นจะมีเฉพาะของที่มีลักษณะเป็นไม้หากแยกตามลักษณะยิบย่อยไปด้วยคงได้หลายกองมากๆจนนับไม่ถ้วนเป็นแน่
“หรือว่าเจ้านี่จะเป็นพระธาตุอีกชึ้นหนึ่งกันนะ” หัวใจของซูจิ้งเต้นแรงในทันที ถึงแม้ว่าเจ้าเม็ดนี้จะเล็กกว่าพระธาตุที่เขาเจอไปก่อนหน้านี้ แต่ลักษณะของมันก็แตกต่างกัน
เขาได้รีบให้เสี่ยวไป๋มาซ่อมแซมเจ้าเม็ดสีเงินเม็ดนี้ หลังจากที่ซ่อมเสร็จแล้วนั้นมันไม่ส่องประกายแวววาวแต่อย่างใด แต่ตัวมันนั้นกลับส่องสว่างออกมา แสงนั้นกระจ่างใสและละมุนต่อสายตามากๆ
อย่างไรนั้นตัวมันก็ไม่ได้มีพลังงานไหลเวียนอยู่ แม้แต่พลังภายในที่แท้จริงเองก็ไม่มี มันดูเหมือนหยกธรรมดาไม่ใช่พระธาตุหรือของขลังแต่อย่างใด
ถึงจะว่ามาอย่างนั้นแต่ตัวของมันนั้นมีกลิ่นหอมจางๆ ถึงแม้จะไม่แรงนักแต่ก็ถือได้ว่าเป็นกลิ่นที่ทำให้รู้สึกสบายมากๆ ยิ่งดมเข้าไปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกสบายถึงขั้นสบายตัวเลยทีเดียวจนทำให้ซูจิ้งแทบจะอดใจไม่ไหวที่กลินกินมันลงไปเลยจริงๆ
“หืม กลิ่นแบบนี้ไม่ใช่ว่ามันคือเป๋าหยู่หรอกเหรอ แต่ยาข้างในนั่นมันคืออะไรกันเนี่ย” ซูจิ้งหรี่ตามอง ถึงแม้ว่าตัวเขาเองจะยังไม่แน่ใจก็ตามแถมเขาเองจะยังไม่เคยเห็นภาชนะบรรจุน้ำยาวิเศษมาก่อน แต่จากกลิ่นที่แสนยั่วยวนนี้ค่อนข้างทำให้เขานั้นมั่นใจ
ซูจิ้งยังไม่คิดที่จะกลืนกินมันลงไปด้วยตัวเองเพราะมันอาจจะเป็นพิษหรืออะไรที่มันร้ายแรงกว่านั้น หากใช่จริงล่ะก็การกลืนลงไปเลยย่อมเกิดปัญหาอย่างแน่นอน แต่หากว่ามันคือยาเวทมนต์จริงๆก็คือว่ามันดีต่อร่างกายอย่างแน่นอน
แต่การที่จะให้หนูมาลองก็น่าจะยาก แถมถ้าให้หนูกลืนไปจริง หากเขาจะต้องกลืนต่อจากหนูก็น่าขยะแขยงไปหน่อยเหมือนกัน
เอาจริงแค่นึกถึงว่าเจ้าเป๋าหยู่นี้ลงมาจมอยู่ในกองขยะแบบนี้เขาเองก็ขยะแขยงพอแล้ว เขาไม่อยากเพิ่มความรู้สึกนั้นเข้าไปอีก
ซูจิ้งนิ่งคิดไปพักหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็นำแก้วน้ำออกมาก่อนที่จะหย่อนเม็ดสีเงินนี้ลงไป หลังจากที่ทิ้งเอาไว้สักพักเขาตั้งใจว่าจะให้หนูสักตัวลองดื่มน้ำนั้น แต่เขาเองก็ไม่นึกว่าเจ้าเม็ดนี้เมื่อแช่ลงไปในน้ำกลับทำให้ตัวมันนั้นใสและแวววาวยิ่งกว่าเดิม
ซูจิ้งมองความแวววาวนี้สักพักก่อนที่เขาจะนำมันขึ้นมาจากน้ำ หลังจากน้ำส่งน้ำให้หนูดิ่ม เจ้าหนูเองเมื่อดื่มไปแล้วมันก็เหมือนกับไม่มีอะไรราวกับว่ามันดื่มน้ำเปล่าธรรมดาเท่านั้น ซูจิ้งจึงรอดูอีกสักพัก
หลังจากที่ค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าไม่น่าจะไม่มีอันตราย เขาได้ให้ฮัวเหยาลองดู เธอนั้นรู้ว่าอะไรคือการบ่มเพาะและน่าจะรู้เกี่ยวกับยาวิเศษมากกว่าซูจิ้งจึงเหมาะสมที่จะลองดู
เธอเองก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใดและทำการกลืนกินเม็ดนี้ลงไปตามคำบอกของซูจิ้งในทันที ถึงแม้ว่าความจริงนั้นไม่ว่าจะให้ฮัวเหยากลืนหรือให้หนูกลืนจะไม่ต่างกันก็จริง แต่สำหรับซูจิ้งนั้นเขาเห็นฮัวเหยาเป็นเพียงดอกไม้ไม่ก็เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นเอง
“เป็นยังไงบ้าง” ซูจิ้งถามออกมา
“ไม่รู้สึกอะไรเลยค่ะ เหมือนว่าจะไม่ใช่ยาวิเศษนะ” ฮัวเหยาพูดพลางส่ายหัวออกมา
“ไม่เลยสักนิดเหรอ” ซูจิ้งถามออกมาอีกครั้ง
เมื่อได้ยินดังนั้นฮัวเหยาได้ลองตรวจสอบร่างกายของตัวเองดีๆอีกครั้ง แต่เธอก็ส่ายหัวออกมาก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงที่เสนาะหูมากกว่าเดิมว่า “ไม่ค่ะ”
ซูจิ้งเองก็ทำได้เพียงแต่ถอดใจแต่เขานั้นก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติในทันที “นี่เธอเปลี่ยนเสียงตัวเองเหรอ”
“”เสียงเปลี่ยนเหรอ”” แม้แต่ฮัวเหยาเองก็ยังรู้สึกแปลกใจ พอลองส่งเสียงตัวเองออกมาดูอีกทีก็รู้สึกได้ว่าเสียงของเธอเปลี่ยนไปจริงๆ
ตอนแรกนั้นเสียงของฮัวเหยานั้นเป็นเสียงออกแนวเล็กๆหวานๆเหมือนเด็กสาวเท่านั้น แต่ในตอนนี้เสียงของเธอนั้นดูมีน้ำหนัก เต็มไปด้วยพลัง และรู้สึกเสนาะหูมาก หากฟังเสียงเพียงอย่างเดียวล่ะก็ต้องคิดว่าเป็นสาวงามอย่างแน่นอน
“ไหนลองพูดต่ออีกหน่อยสิ” ซูจิ้งเองก็ประหลาดใจไม่น้อยเหมือนกัน
“ได้ค่ะ …” ฮัวเหยาได้พูดออกมาอีกสองสามประโยค ซูจิ้งเองก็อดไม่ได้ที่จะหลับตาเพื่อที่จะฟังเสียงได้อย่างถนัดถนี่
เสียงของฮัวเหยาในตอนนี้นี้เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยพลังดูสดใส ด้วยตัวเสยงแฝงเอาไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งเวทย์มนต์ เป็นน้ำเสียงที่ดึงดูดผู้คนทำให้ผู้คนยากจะปล่อยผ่านเลยไปได้
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงจะต่างจากตอนที่เขาใช้พระธาตุที่เป็นการทะลวงผ่านกำแพงทางจิตใจได้นั้นถือว่ามีผลที่ด้อยกว่าแต่ถ้าวัดจากผลลัพท์เฉยๆนั้นถือว่าไม่ต่างกัน
“ถ้าใช้เจ้าเสียงนี้ในการร้องเพลงล่ะ” ซูจิ้งพลางนึกออกมา เมื่อได้ฟังเสียงที่ไพเราะเสนาะหูเช่นทำให้เขาอดนึกเช่นนั้นออกมาไม่ได้ว่าหากเขาใช้เสียงแบบนี้ร้องเพลงจะเป็นยังไงกัน
ซูจิ้งได้ขอให้ฮัวเหยาร้องเพลงดูแต่ตัวเธอนั้นร้องเพลงไม่ได้เพราะไม่รู้จักว่าเพลงคืออะไร ซูจิ้งนำเอาโทรศัพท์ออกมาแล้วทำการเปิดเพลงถั่วแดงให้เธอฟัง
ฮัวเหยาลองฟังสองสามรอบก็จำได้เธอจึงได้ร้องเพลงออกมา ถึงแม้ว่าจะมีเนื้อเพลงและน้ำเสียงที่ผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่ก็ยังถือว่าร้องได้ดีอยู่ดี
เรียกได้ว่าเป็นผลงานเพลงชั้นดีเลยก็ว่าได้ น้ำเสียงของเธอนั้นแถบจะทำให้หูของซูจิ้งงนั้นรู้สึกแดงไปตามชื่อเพลงเลยทีเดียว ขนาดเฟย์หว่องในตอนนี้ยังเทียบกันไม่ได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่าฮัวเหยานั้นจะร้องด้วยน้ำเสียงธรรมดา แต่ตัวระดับเสียงนั้นเหมือนกับปรับตามเนื้อเพลงได้อย่างอัตโนมัติ
เห็นดังนั้นคราวนี้ซูจิ้งจึงลองเปิดเพีงโอเปร่าหมายเลขสองให้เธอฟังและร้องตาม เสียงของเธอนั้นราวกับปลาโลมาที่สามารถสร้างตำนานเพลงได้อย่างง่ายๆเลย
คราวนี้ซูจิ้งลองให้ฮัวเหยาคายเป๋าหยูออกมาและร้องเพลงดูอีกครั้ง คราวนี้เสียงของเธอกลับมาเป็นเสียงปกตินั่นก็คือเสียงของสาวน้อยธรรมดา ถึงแม้จะร้องได้ไม่เลว แต่ถือได้ว่าต่างจากที่ร้องก่อนหน้านี้คนละโยชน์เลยทีเดียว เรียกได้ว่าคนละเรื่องเลยก็ว่าได้ ราวกับว่าเป็นเสียงของคนธรรมดาที่ไปร้องแข่งกับเสียงปลาโลมาเลยก็ว่าได้
ตอนนี้ซูจิ้งได้ล้างเป๋าหยูและลองอมไปด้วยตัวเองดูว่า กลายเป็นว่าเสียงของเขานั้นออกเป็นเสียงผู้หญิงๆหน่อยๆแทน
ถึงแม้น้ำเสียงจะแฝงไปด้วยพลังเวทมนต์ที่ดูน่าฟัง น่าติดตาม แถมยังก้องกังวานเหมือนเดิม แต่ยังไงซะมันก็ยังฟังดูแปลกๆอยู่ดี
หากว่าเป็นวงการแล้วมันก็มีพวกนักร้องชายเสียงเล็กๆคล้ายกับผู้หญิงเหมือนกัน แต่กับซูจิ้งแล้ว เขานั้นไม่ใช่นักร้อง แน่นอนว่าไม่ต้องการให้เสียงตัวเองเป็นแบบนี้อย่างแน่นอน
“เจ้านายคะ ฉันคุ้นๆว่าเจ้าเม็ดนี้น่าจะมาจากปีศาจแห่งทะเลค่ะ มันเป็นปีศาจที่สามารถร้องเพลงเพื่อล่อลวงผู้คนได้ เม็ดนี้สมควรมาจากปีศาจสาวไซเรน ฉันว่าเจ้านี่ไม่น่าจะเหมาะกับเจ้านายนะคะ” ฮัวเหยาพูดออกมา
“ปีศาจทะเล เป็นไปได้แหะ” ซูจิ้งได้นึกถึงภาพตอนที่เขานั้นนำเม็ดนี้ไปแช่น้ำแล้วทำให้มันดกระจ่างใสขึ้นมา เมื่อนึกถึงภาพในตอนนั้นทำให้เขาพยักหน้าเชิงเห็นด้วย
เขายังคงทดลองอีกหลายๆอย่างกับเจ้าเม็ดไข่มุกสีเงินนี้และผมว่ามันทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากจะทำให้เสียงไพเราะนุ่มนวลเท่านั้นเอง
“ว่าแต่เธอท่องบทสวดพระสุริยะบัพพาได้รึยังน่ะ” ซูจิ้งถามออกมา
“ฉันจำได้ขึ้นใจแล้วค่ะ แต่ฉันยังไม่เข้าใจมันเลย” ฮัวเหยาพูดออกมา
“ตอนนี้แค่จำได้ก็ดีมาแล้ว เอาไว้ค่อยฝึกทีหลังก็แล้วกัน ตอนนี้ตามแนมาก่อนก็แล้วกัน ฉันจะพาเธอไปแนะนำให้ใครรู้จัก แล้วเธอต้องติดตามและคอยปกป้องเธอคนนั้นนะ” ซูจิ้งพูดออกมา ก่อนที่เขาจะให้ฮัวเหยากลายร่างเป็นดอกไม้ดอกใหญ่และนำเธอไปยังร้านเสื้อผ้าหลงเต็ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น