Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 926-927
GGS:บทที่ 926 สุริยะบัพพา
หลังจากซูจิ้งได้ทำการตรวจสอบร่างกายของเจ้าหนูผู้หิวโหยด้วยกระแสจิตจนพบว่ามีแมลงสีขาวเพรียวเกาะอยู่ในช่องปากของหนู เขาก็ได้ใช้การสะกดจิตในทันที ไม่นานนักแมลงตัวนั้นก็ค่อยๆคลานออกมาจากปากของหนูแล้วลงมายืนนิ่งๆอยู่บนพื้น
“นี่?” ซูจิ้งประหลาดใจในทันทีที่เจ้าแมลงตัวหลังจากกินข้าวและข้าวโพดไปขนาดนั้นแต่ก็ยังตัวเท่าเดิม แต่กลับกัน ตัวมันนั้นใสกระจ่างมากขึ้นจนราวกับว่าเป็นก้อนแสงเลยก็ว่าได้จนราวกับว่ามันไม่เหมือนกับแมลงแม้แต่น้อย
ยิ่งไปว่านั้นตัวมันเองยังปล่อยพลังวิญญาณออกมาจนเขาจับได้เลยทีเดียว
“แมลงตัวนี้ ไม่ใช่ว่ามันดูดซับสารอาหารที่ได้จากหนูนี่หรอกนะ นี่คือมันโตขึ้นแล้วใช่รึเปล่า” ในตอนนี้ซูจิ้งเองก็พลางนึกไปถึงแมลงตัวอื่นหรือแม้แต่เจ้างูจิ๋วนั่นที่เทียบความแข็งแกร่งทางจิตกับตัวเขาแล้วช่างอ่อนแอนัก ทำให้เขานั้นสามารถสะกดจิตและยังฝึกได้
แต่กับเจ้าแมลงตัวนี้นั้นต่างกันออกไป ความแข็งแกร่งทางจิตของมันนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจนทำให้ซูจิ้งเองก็นึกกลัวขึ้นมาเหมือนกัน
ซูจิ้งได้ลองให้ข้าวเจ้าหนูที่โดนแมลงนี่เกาะกินอีกครั้งหนึ่ง เจ้าหนูนั่นก็กินไม่มากเท่าไหร่แล้วมันก็อิ่มจนพุงกาง ไม่เหมือนกับก่อนหน้าที่กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มสักที
เห็นดังนั้นซูจิ้งก็ได้ลองให้หนูตัวอื่นกินแมลงนี่ดู ทันใดนั้น เจ้าหนูที่กินแมลงตัวนี้เข้าไปก็ได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตจอมเขมือบในทันที
เจ้าหนูที่กินเจ้าหนูตัวเพรียวนี่เข้าไปนั้นพวกมันเพียงแค่ยากอาหารเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น และเหมือนจะไม่มีผลกระทบอื่นต่อร่างกายเลยแม้แต่น้อย
เจ้าแมลงนี่สมควรจะเป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกปรสิต แต่มันไม่เหมือนกับแมลงปรสิตทั่วไปเพราะว่าเจ้าตัวนี้ไม่ทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่
เมี่อมันพบว่าสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่กำลังจะขาดอาหาร มันก็จะหยุดดูดซับสารอาหารเพื่อให้สิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่นั้นฟื้นสภาพร่างกายขึ้นมา
เมื่อร่างกายของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่แข็งแรงดี ตัวมันก็จะส่งพลังบางอย่างไปกระตุ้นให้ร่างที่มันอาศัยอยากอาหารขึ้นมาในทันที หลังจากนั้นมันก็จะปล้นสารอาหารที่ร่างกายที่มันอาศัยมาอย่างง่ายดาย
ตัวมันนั้นเหมือนกับว่าไม่ได้ทำอะไรระบบการเผาผลาญของร่างกายแม้แต่น้อย แต่เพียงแค่เร่งกระบวนการย่อยและดูดซับสารอาหารเท่านั้น นี่เท่ากับว่าพวกมันบังคับให้ร่างที่มันอาศัยอยู่เป็นเครื่องมือที่ใช้หาอาหารให้มัน
“เจ้าแมลงตัวนี้น่าสนใจแหะ เสียอย่างเดียวมันไม่น่าใช้ปกป้องใครได้อย่างแน่นอน” ซูจิ้งไม่มีทางเลือกได้แต่โยนเจ้าแมลงตัวนี้เข้ากระเป๋ากักอสูรไป
ตอนนี้เขาตั้งชื่อให้แมลงสองตัวนี้ตามลักษณะและพิษของมัน ตัวหนึ่งเรียกว่ากู่ชิ(แมลงพิษงู/แมลงงู) ส่วนอีกตัวเรียกว่า กู่ดาเว่ย (แมลงพิษพุงโต/แมลงพุงโต)
ซูจิ้งได้ปล่อยกระแสจิตออกมาเพื่อตรวจสอบหนูทดลองของเขาที่ได้กินแมลงไปก่อนหน้านี้อีกครั้งเพื่อดูว่าจะมีตัวไหนมีอาการผิดปกติอีกรึเปล่า แต่ก็ดูเหมือนว่าแมลงถึงตัวที่ถูกกินไปนั้นจะตายและถูกย่อยไปหมดแล้ว
แบบนี้พอจะตีไปได้แล้วว่าแมลงเหล่านี้เป็นเพียงแมลงธรรมดาเท่านั้น ต่อให้ไม่มีพิษอะไรแต่เขาก็ยังไม่วางใจจึงได้ลองให้แมลงที่เหลือกับหนูที่ยังไม่ได้กลายเป็นตัวทดลองอีกครั้ง
เมื่อมั่นใจได้ว่าเป็นแมลงธรรมดาเขาก็จะนำเข้าระบบกำจัดต่อไป นั่นก็เพราะหากปล่อยทิ้งไว้แล้วเผลอจนพวกมันแพร่กระจายออกไป โลกนี้อาจเกิดวิกฤตสูญพันธุ์ได้อย่างง่ายดายทีเดียว
“อืมมมมม คงต้องให้หลัวฉือหลินและไป๋ฮิตูทำหน้าที่บอดี้การ์ดไปอีกสักพักเลยแหะจนกว่าฉันจะหาวิธีเหมาะๆได้ เดี๋ยวเรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลังก็แล้วกัน” ซูจิ้งพลางนึกถึงเรื่องนี้ในขณะที่กำลังกำจัดขยะห้วงเวลาฯที่เหือต่อ
ขยะห้วงเวลาฯกองกระดาษนั้นส่วนไหนที่ดีๆซูจิ้งก็อ่านไปหมดแล้ว อีกบางส่วนเองเสี่ยวไป๋ก็กำลังซ่อมแซมอยู่
แน่นอนว่าเมื่อเขาได้รู้แล้วว่าขยะห้วงเวลาฯกองนี้มาจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าในทะเลสาบนางฟ้า กระดาษพวกนี้สำหรับเขาแล้วถือได้ว่ามีค่าอันดับต้นๆเลยทีเดียว มีเพียงขยะกองนี้เท่านั้นที่เขาจะไม่รีบร้อนแต่อย่างใด
ในระหว่างที่รอเสี่ยวไป๋ซ่อมเอกสารต่างๆอยู่นั้น ซูจิ้งได้ตรงไปยังขยะห้วงเวลาฯกองโลหะแล้วเริ่มจัดการพวกมันในทันที ซูจิ้งได้จัดการแยกเอาดาบหักขึ้นสนิมเก็บเอาไว้ก่อน
ดูเหมือนว่าในขยะห้วงเวลาฯกองนี้จะไม่มีพวกเครื่องรางของขลังที่มีค่าพอที่จะเสียเวลาซ่อมแซมแต่อย่างใด เอาจริงๆต่อให้เจอก็เท่านั้น เพราะเขาเชื่อว่าด้วยพลังของเสี่ยวไป๋ในตอนนี้น่าจะยังไม่สามารถซ่อมแซมเครื่องของขลังพวกนี้ได้ง่ายๆ
เมื่อซูจิ้งพลางคิดไปอย่างนั้นเขาก็พลันย้อนนึกไปก่อนหน้านี้ที่เขาได้เจอกับพัดที่ดูเข้าท่าเข้าทางอยู่อันหนึ่งเขาจึงลองให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมดู
หลังจากซ่อมแซมแล้วเจ้าของขลังชิ้นนี้ได้กลายเป็นของธรรมดาไป ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ไม่มีความสามารถเสริม เหลือเพียงแค่ลวดลายบนพัดที่คล้ายกับลวดลายบนด้ามของกระจกบรอนซ์ย้อนเวลานั่น
สี่งที่ต่างกันอีกอย่างก็คือเรื่องของพลัง พัดนี่ไม่เหมือนกับกระจกที่ก่อนหน้านี้ยังมีพลังงานบางอย่างเหลืออยู่ มันเหมือนกับว่าเจ้าพัดนี่ไม่เพียงแค่เสียหาย แต่มันนั้นสูญเสียพลังของมันไปแล้ว ตัวพลังที่ว่ามานี้อยู่นอกเหนือจากความสามารถสแตนด์ของเสี่ยวไป๋จะสามารถฟื้นฟูกลับมาได้
หลังจากซูจิ้งได้วุ่นอยู่กับการจัดการขยะห้วงเวลาฯโลหะอยู่พักใหญ่นั้น เขาก็ได้พบดาบที่มีขนาดใหญ่มาก รูปร่างของมันแปลกตา ขนาดของมันใหญ่พอๆกับม้าป่าเลยทีเดียว นอกจากน้ำหนักของมันจะมากแล้ว มันยังขึ้นสนิมและและดูๆไปแล้วก็ไม่น่ามีอาคมอะไรพวกนั้นอยู่ที่ดาบ
ซูจิ้งเองก็เกือบจะโยนดาบนี้ทิ้งไปแล้วเหมือนกัน แต่ในขณะที่โยนนั้น เขาได้เห็นภาษาสันสกฤตทั้งหมดเก้าตัวอยู่ที่สันดาบและเปล่งแสงสีขาวอยู่
ซูจิ้งได้มองจ้องไปยังตัวอักษรภาษาสันสกฤตทั้งเก้าคำนิ่งไปสักพัก จนกระทั่งอยู่ๆหนังตาของซูจิ้งก็ได้กระตุกถี่ยิบในทันทีก่อนที่เขาจะพูดออกมาว่า
“อักษรภาษาสันสกฤตเก้าคำนี่ ไม่ใช่ว่านี่คือบทสวดของสุริยะบัพพาหรอกนะ” อักษรภาษาสันสกฤตทั้งเก้านี้จริงๆแล้วก็ไม่ได้มีความพิเศษอะไรเลย ต้องบอกว่าสำหรับในห้วงเวลาฯที่มันจากมา ถือได้ว่าไร้ค่าแบบสุดๆ
ถึงแม้ว่าจะแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งเต๋า แต่ก็ถือได้ว่าน้อยนิดมากจนสามารถเพิ่มการบ่มเพาะพลังวิญญาณของตนเอง และกดข่มพลังวิญญาณของสัตว์ประหลาดได้เท่านั้น
ซูจิ้งนั้นไม่ได้ลองการที่จะกดข่ม หรือเลี้ยงสัตว์ประหลาดแต่อย่างใด ตอนนี้เขาเพียงต้องการใช้ในการบ่มเพาะพลังวิญญาณของเขาเท่านั้นเอง และเจ้าตัวอักษรทั้งเก้าคำนี้เองก็มีความเหมาะสมอย่างมากกับเขาในตอนนี้
“เดี๋ยวนะ ก่อนที่ฉันจะดีใจไปเก้อๆ ฉันต้องลองใช้มันดูก่อนสิ”
ซูจิ้งคิดได้ดังนั้นเขาก็ได้จัดการท่องคำสันสกฤตทั้งเก้าในทันที และจดจำพวกมันเอาไว้ในจิตใจ และเริ่มทำการบ่มเพาะในห้วงจิตสำนึกของเขาในทันที
อาจเป็นเพราะว่าเขานั้นได้บ่มเพาะวิถีแห่งใต้หล้า พระสูตรหัวใจและพระพุทธ วิถีแห่งมังกร และตำราต่างๆทำให้เขานั้นสามารถเข้าถึงคาถาสุริยะบัพพานี้ได้ในทันที
หลังจากทำการบ่มเพาะไปสักพัก เขาสามารถรู้สึกได้ทันทีเลยว่าจิตใจของเขาราวกับมีแสงสว่างอยู่ภายในใจ กำลังภายในที่แท้จริงเองก็เหมือนจะก่อรูปขึ้นมามากกว่าแต่ก่อน ในขณะที่ตัวซูจิ้งในตอนนี้บังเกิดแสงส่องสว่างขึ้นมา
ถึงแม้ว่าแสงที่ฉาบร่างของซูจิ้งนี้จะไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยสักนิดก็ตาม แต่กับสายตาของผู้คนบนโลกนั้นแสงที่ฉาบตัวซูจิ้งราวกับว่าเขานั้นเป็นหลอดไฟที่ให้แสงจ้าหลอดหนึ่ง
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ก่อให้เกิดสิ่งใดต่อซูจิ้งอยู่ดี หากว่าเขาต้องการจะลองใช้คาถานี้จริงๆล่ะก็ เขาต้องยัดเยียดให้สัตว์เลี้ยงของเขานั้นท่องจำคาถานี้ให้ได้เช่นเดียวกัน
ตอนนี้ซูจิ้งนั้นมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการฝึกพลังของเขาหลักๆด้วยกันสามอย่าง นั่นก็คือเหรียญตราเทวทูต พระธาตุ เวทมนต์ฯและคาถาสุริยะบัพพาส่วนเวทฯสัมผัสแห่งใบไม้นั้นไม่ได้ช่วยเขาฝึกฝนสักเท่าไหร่จึงไม่ได้นับรวมไว้ด้วย
อุปกรณ์ทั้งสามอย่างนี้ถึงแม้ว่าจะมีผลต่อการฝึกฝนของเขาเหมือนกันแต่วิธีการใช้งานของพวกมันนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เหรียญตราเทวฑูตก่อนที่เขาจะใช้ได้จะต้องปล่อยให้เหรียญตราดูดซับแรงศรัทธาและความประทับใจที่คนอื่นมีต่อเขา
แถมมันยังช่วยให้เขานั้นได้รับความรู้สึกศรัทธาและประทับใจแบบถาวรในกรณีเขานั้นดูดซับพลังจากเหรียญตราต่อหน้าคนอื่นจนต้องคุกเข่าแสดงท่าทางศรัทธาไปตามๆกัน
ถึงแม้เมื่อเขาเสร็จสิ้นกระบวนการดูดซับจนทำให้คนๆนั้นกลับมาสู่สภาพปกติแล้ว แต่ในใจลึกๆของคนพวกนั้นก็ยังมีเขาอยู่ในใจอยู่ดี
อย่างที่สอง พระธาตุ พระธาตุนี้ถึงแม้จะเป็นวัตถุทางพุทธศาสนาอย่างแท้จริง แต่ตัวมันเองนั้นก็ทำให้ผู้คนรอบข้างได้รับผลจากการที่เขาใช้มันเหมือนกัน
และอย่างที่สามนั่นก็คือคาถาสุริยะบัพพาที่เขาเพิ่งจะได้รับมานี้ แน่นอนว่าเจ้านี้ก็ช่วยให้เขาฝึกฝนพลังภายในแท้จริงได้ และต่อจากนี้เขาเองก็จะฝึกเวทมนต์นี้ให้บ่อยยิ่งขึ้น
และอย่างที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าหากซูจิ้งนั้นอยากได้สัตว์เลี้ยงที่มีภูมิปัญญาสูง เขาเองก็ต้องทำให้สัตว์เลี้ยงนั้นเข้าร่วมฝึกฝนกับเขาด้วยเช่นเดียวกัน
“ลองดูอีกทีแล้วกัน”
ซูจิ้งได้กลับไปยังระบบนิเวศเสมือนอีกครั้ง อย่างแรกที่เขาทำนั้นคือการเข้าไปสะกดจิตผึ้งเหล่านั้น หลังจากนั้นได้ปลดปล่อยพลังวิญญาณของตัวเองเพี่อกล่อมเกลาจิตใจของพวกมัน ตามด้วยการใช้คาถาสุริยะบัพพา
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เขาได้หยุดท่องคาถา และปลดปล่อยผึ้งออกจากการสะกดจิต ตอนนี้เหล่าผึ้งนั้นยังไม่ไปไหน เหมือนกับว่าพวกมันนั้นยังอยู่ในภวังค์จากคาถาสุริยะบัพพา พระธาตุ จนทำให้สมองพวกมันนั้นเริ่มเข้าใจสิ่งง่ายๆได้แล้ว
“ฉันไม่เชื่อว่าฉันจะทำไม่ได้หรอกโว้ย”
ซูจิ้งได้ลองใช้อย่างอื่นต่อไป เขาได้นำพระธาตุและทำการท่องคาถาสุริยะบัพพาจนเกิดเป็นรัศมีแห่งพระพุทธเจ้าขึ้นมา และนี่เองก็ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในการกล่อมเกลาจิตใจของผึ้งพวกนี้ด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นยั่งทำให้พวกมันรู้จักความสงบในใจอีกด้วย
ซูจิ้งใช้เวลาหมดไปกว่าหนึ่งวัน เขาลองทำซ้ำไปซ้ำมาวนไปวนมาตั้งแต่เช้าจรดเย็น พาลไปจนค่ำ ทำจนกระทั่งเขาเผลอง่วงจนหลับไปอยู่ตรงนั้น
จนในที่สุดเหมือนจิตใจของผึ้งเหล่านี้จะตอบรับความหวังของซูจิ้งจนได้ นั่นก็เพราะในตอนนี้ ตัวของมันเกิดแสงขึ้นมาแล้ว
GGS:บทที่ 927 ดอกไม้เวิเศษ
ดั่งคำที่คนโบราณกล่าวไว้ว่าการฝึกศิลปะการต่อสู้นั้นต้องลึกล้ำ ฝนทั้งให้เป็นเข็ม เหล่าฝูงผึ้งที่ไร้ซึ่งสติปัญญา ภายใต้การชี้นำของซูจิ้ง ในที่สุด พวกมันก็สามารถจดจำคาถาพระสุริยะบัพพาจนได้ในที่สุด เมื่อถึงขั้นตอนนี้ก็เป็นเรื่องง่ายของซูจิ้งแล้ว
เขาได้สอนวิธีการใช้คริสตัลฝึกตนให้พวกมันฟัง หลังจากนั้นพวกมันทุกตัวก็ได้เข้าไปในมิติที่อยู่ในคริสตัลฝึกตนในทันที
นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าฉงนงงงวยเสียจริงๆ นั่นก็เพราะว่าเพียงสองวันนั้น ระดับสติปัญญาของพวกผึ้งนั้น ได้สูงกว่าหมาบ้านธรรมดาทั่วไปเล็กน้อย
พวกมันในตอนนี้นั้นสามารถจดจำเจ้าของพวกมันได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้มันยังรู้วิธีการปกป้องเจ้านายของมัน แม้แต่การจดจำรูปขบวนที่ซูจิ้งสอนเอาไว้ อีกในไม่ช้าผึ้งพวกนี้ก็จะพร้อมที่จะกลายเป็นบอดี้การ์ดของซูจิ้งแล้วจริงๆ
ซูจิ้งได้นำผึ้งจำนวนหนึ่งออกไปยังเมืองจงหยุนเพื่อจะให้พวกมันได้รู้จักพ่อ แม่ และน้องสาวของเขา ก่อนที่จะแบ่งฝูงผึ้งออกเป็นสามส่วนแล้วให้กลุ่มหนึ่งดูพ่อแม่และอีกกลุ่มหนึ่งดูน้องสาวของเขา
เจ้าผึ้งพวกนี้ได้รับการฝึกสอนมาอย่างดีแม้แต่การบินหลบหลีกมนุษย์ที่เดินขวักไขว่ยิ่งกว่าแมลงซะอีก
ที่เหลือกลุ่มสุดท้ายนั้นแน่นอนว่าเขานั้นต้องให้คอยเฝ้าฉือชิงไว้อยู่แล้ว ตอนนี้ต่อให้เกิดเรื่องจริงๆ อย่างน้อยๆต่อให้ต้องเจอแก๊งอันธพาลนักสิบคนก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป
นอกจากนี้ซูจิ้งยังได้ใช้ชุดการเพิ่มสติปัญญาของเขานี้กับสัตว์ตัวอื่นๆจนทำให้พวกมันนั้นมีภูมิปัญญามากขึ้นจนตอนนี้บรรดาสัตว์เลี้ยงของเขานั้นที่ก่อนหน้านี้เทียบได้กับเด็กเล็กๆจนตอนนี้เทียบได้กับผู้ใหญ่เรียบร้อยแล้ว
เอาจริงๆพวกมันในตอนนี้นั้นมีสติปัญญาราวกับปีศาจน้อยที่มีเล่ห์เลี่ยมได้เลยทีเดียว แถมพวกมันยังรู้จักอำพรางร่องรอยแล้ว ทำให้พวกมันในตอนนี้ยากที่จะตรวจจับได้หากพวกมันต้องเผชิญหน้ากับคนภายนอก
ซูจิ้งในตอนนี้เตรียมที่จะกลับเข้าไปยังลานขยะห้วงเวลาฯอีกครั้งเพื่อที่จะได้จัดการขยะห้วงเวลาฯที่เหลือต่อ
แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงดังตึงสองครั้งติดต่อกันมาจากพื้นที่ระบบนิเวศเสมือน
ถึงแม้ว่าสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้จะมีการแบ่งพื้นที่เอาไว้มากมาย และกำแพงมิติที่ใช้กั้นกำแพงพวกนี้ก็สมควรจะกั้นได้ทุกอย่างแม้แต่เสียงก็ยังทำได้
สำหรับซูจิ้ง ในฐานะเจ้าของสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้ เขาสามารถไปที่ไหนก็ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเสียเวลาฝ่ากำแพงแบบเสียงที่กำลังได้ยินอยู่นี้
“เกิดอะไรขึ้น” ซูจิ้งได้รีบตรงกลับเข้าไปยังพื้นที่ระบบนิเวศเสมือนในทันที ตอนนี้เขาได้เห็นเงาหนึ่งของดอกไม้ยักษ์ที่เขาพึ่งจะได้มาขยับไปมาอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อมองดูดีๆเขากลับเห็นว่าดอกไม้ยักษ์ต้นนี้อยู่นึ่งๆไม่ไหวติงแต่อย่างใด แต่ตัวพื้นนั้นเต็มไปด้วยปลักโคลนที่ดูสกปรกมากๆ นี่แสดงว่าเจ้าดอกไม้นี่ดอกขยับออกมาตอนที่เขาออกไปและรีบหลบกลับเข้าที่ในตอนที่เขารีบมาที่นี่ แถมเจ้านั่นยังพยายามกลบเกลื่อนร่องรอยอีกด้วย
“ฉิงหยุน เกิดอะไรขึ้น” ซูจิ้งถามออกมา
“เจ้าดอกไม้นี่เหมือนอยากจะออกไปข้างนอกค่ะ” ฉิงหยุนพูดออกมา
“ห้ะ เจ้านี่เคลื่อนที่ได้เหรอ” ซูจิ้งนิ่งอึ้งไปในทันทีที่ได้ยิน พลางจ้องมองไปยังเจ้าดอกไม้ยักษ์นี่แบบตาไม่กระพริบ แสดงว่าที่เขาสงสัยก่อนหน้านี้เป็นเรื่องจริง
เจ้านี่นอกจากจะยืนได้บนพื้นดิน มีอารมณ์ความรู้สึก และพยายามกลบเกลื่อนร่องรอยทั้งที่กลบยังไงก็ไม่มิดเพราะรากอันบ่ะเร่อเท่อของมันยังไงก็ขัดหูขัดตา นี่มันนิสัยเดียวกับเต็งเต็งชัดๆเลยนี่หว่า
“….คิดว่าเนียนแล้วเหรอนั่น” ซูจิ้งพูดพลางปลดปล่อยกระแสจิตออกมา ทันใดนั้นก็ได้มีมีดบินพุ่งออกจากกระเป๋ามิติของซูจิ้งและพุ่งไปยังดอกไม้ยักษ์อย่างรวดเร็ว
ทันทีที่มีดบินถูกยิงออกมา ใบไม้ของเจ้าดอกไม้ยักษ์ก็ได้ยกขึ้นมาเป็นเส้นตรงจนสามารถป้องกันมีดบินของซูจิ้งเอาไว้ได้
ดูเหมือนว่าเจ้าใบของดอกไม้ยักษ์นี้จะแข็งมากๆราวกับเหล็กเลยทีเดียวถึงจะเป็นแค่ชั่วขณะหนึ่งก็ตาม แถมเจ้านี่ยังสามารถปัดมีดบินของเขาได้ซะอีก
ทันใดนั้นก็ได้ปรากฏฉากที่ทำให้ซูจิ้งต้องตกตะลึง ตอนนี้เจ้าดอกไม้ยักษ์ได้ทำการยืนขึ้น แถมยังไม่ใช่การใช้รากยันตัวขึ้นออกจากพื้นแบบเต็งเต็ง
ทุกส่วนของดอกไม้ยักษ์ได้พันรวมกันราวกับเป็นกลุ่มก้อนเถาวัลย์ ทุกชิ้นส่วนเหล่านั้นพันกันแน่นจนก่อให้เกิดรูปร่างขึ้นมา
ส่วนดอกไม้ในตอนนี้ได้กลายเป็นหัว ลำต้นกลายเป็นลำตัว ใบของมันได้กลายเป็นมือ และขากลายเป็นราก จนทั้งหมดอัดแน่นจนกลายเป็นรูปร่างหนึ่งที่มีใบหน้า ดูไปดูมาก็เหมือนจะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน
เธอนั้นมีตา มีหู มีจมูก มีปาก เอาจริงๆดูๆไปแล้วหน้าตาของดอกไม้นี้ก็ดูดีอยู่เหมือนกัน เธอนั้นดูมีทรวดทรงองเอวเข้ารูป มีผมสีแดง และมีผิวสีเขียว ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนชุดแต่นั่นก็คือใบที่เร่งให้เจริญเติบโตขึ้นมาแทน
“โอ้… สัตว์ประหลาดงั้นเหรอ”
ซูจิ้งในตอนนี้สูดลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ เขานั้นอยู่กับสถานีกำจัดขยะแห่งนี้มาก็นานแสนนาน พบเจอสิ่งแปลกประหลาดมากมายหลายหนนัก แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ทำให้เขานั้นอดจะจ้องมองไปยังสิ่งมีชีวิตที่รากฏอยู่ตรงหน้าไม่ได้
ไม่รู้ว่าเธอนั้นใช่เผ่าปีศาจดอกไม้ในตำนานนั่นรึเปล่านะ หากใช่แล้วล่ะก็ถือได้ว่าเผ่าพันธุ์นี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ธรรมดาเลย ถึงแม้ว่าหากเป็นในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้าจะไม่ได้พบเจอได้ยากอะไร แต่นี่เองก็เป็นครั้งแรกที่ซูจิ้งต้องเจอสัตว์ประหลาดในระดับนี้
“ไม่แปลกใจเลยนะว่าทำไมเจ้าดอกไม้ยักษ์ถึงได้ฟื้นตัวเร็วขนาดนี้ ที่แท้ก็เป็นสัตว์ประหลาดนี่เอง”
ซูจิ้งพูดพลางสังเกตปีศาจดอกไม้นี่ไปด้วยในเวลาเดียวกัน
และปีศาจดอกไม้เองก็มองซูจิ้งด้วยท่าทีระมัดระวังตัวด้วยเช่นเดียวกัน ทันใดนั้น อยู่ๆเธอก็ได้กระโดดและพุ่งไปปะทะกับขอบของระบบนิเวศเสมือนด้วยความเร็วชนิดที่ว่าซูจิ้งเองก็ยังต้องตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี
หลังจากที่ปีศาจดอกไม้พุ่งชนไปแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น เธอได้ยกแขนที่ตอนนี้กลายเป็นแท่งหลายๆเส้น ก่อนที่จะพยายามเจาะทลวงกำแพงมิติออกไปจนเกิดเสียงดังลั่น จนทำให้ระบบป้องกันถึงสั่นกระเพื่อม แต่นั่นก็ไม่ได้สร้างร่องรอยอะไรเอาไว้แม้แต่น้อย
กลับกันมือของปีศาจดอกไม้ที่ใช้โจมตีเมื่อครู่นี้กลับโดดไฟฟ้าดูดจนไหม้เกรียมเป็นควันขึ้นมา แต่ไม่ช้าแขนของเธอก็ได้หายไปเป็นปลิดทิ้งอย่างรวดเร็ว
“ปล่อยฉันออกไป” ปีศาจดอกไม้หันมามองซูจิ้งด้วยเสียงอันใสกระจ่างและนุ่มนวลราวกับเด็กสาว
“คิดว่าเธออยากจะออกก็ออกไปได้ง่ายๆรึไงกัน ขืนปล่อยไปฉันก็เสียหน้าแย่สิ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“จะทำหรือไม่ทำ” ปีศาจดอกไม้ในตอนนี้พูดจบก็ได้ยกแขนไปข้างหลังทั้งสองข้าง ก่อนที่แขนอันอ่อนช้อยนั้นจะกลายเป็นแท่งแข็งๆเป็นแขนงและเหวี่ยงไปหาซูจิ้งในทันทีอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าของซูจิ้งเองก็กระตุกไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะถอยร่นออกมาอย่างไว
ด้วยความแข็งแกร่งของพลังจิตของซูจิ้ง ตอนนี้เขาสามรถป้องกันตัวเองได้ชนิดที่ว่า 360 องศาเลยทีเดียว ไม่ว่าจะถูกโจมตีมาจากทิศทางไหนก็ไม่มีจุดบอดแม้แต่น้อย
แต่เขาเองก็รู้สึกได้ว่าตัวเขานั้นเหมือนจะด้อยในเรื่องความเร็วทางกายเมื่อเทียบกับปีศาจดอกไม้นี้แล้ว ในตอนนี้เขาจึงต้องใช้สมาธินิดหน่อยในการกระโดดหลบการโจมตีให้ได้อย่างแม่นยำ
อย่างไรก็ตามด้วยความเร็วในการโจมตีของเผ่าดอกไม้ในตอนนี้เมื่อจะเริ่มเร่งความเร็วมากขึ้น จนตอนนี้เธอสามารถโจมตีเข้าไปยังระยะป้องกันตัวของซูจิ้งได้สักที
ซูจิ้งเองก็เริ่มรู้สึกแล้วเหมือนกันว่าเรื่องนี้น่าจะรับมือยากกว่าที่คิด แถมดูเหมือนว่าเธอเองก็จะเพิ่มความแข็งแกร่งกว่าตอนแรกด้วยเช่นเดียวกัน
นี่ทำให้เมื่อซูจิ้งถูกโจมตีจนต้องถอยหนีอีกครั้ง เขาได้กระโดดหลบก่อนที่จะเขวี้ยงขนทองคำของซุนหงอคงออกมาจากหลังหัวของเขาด้วยความเร็วราวสายฟ้าฟาด จนกระทั่งเข็มทั้งสามได้พุ่งไปปักยังแขนขาของปีศาจดอกไม้จนทำให้เธอนั้นขยับไม่ได้
“อ้า…” ปีศาจดอกไม้ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่นี่เองก็เหมือนจะหยุดเธอไว้ได้ไม่นานเหมือนกัน ตอนนี้ขาและขาของเธอที่ถูกเข็มขนทองคำของซูจิ้งพุ่งทะลุไปเมื่อครู่นี้ได้หายไปในพริบตาอีกครั้ง
คราวนี้เธอได้บิดพันแขนของตัวเองให้กลายเป็นแส้สีขาวที่แสนจะยืดยาว ก่อนที่จะทำการฟาดไปในทุกทิศทางของซูจิ้ง ราวกับว่าเป็นการโหมกระหน่ำฟาดไปยังลูกวัวให้เดินหนีไปมา
นอกจากนั้นดอกไม้ที่หัวของเธอก็ได้บานออกกว้างจนกลายดอกไม้บานมากๆในทันที
ด้วยการที่มีแส้เถาวัลย์จำนวนมากฟาดมายังเขาทำให้เขานั้นไม่มีที่จะหลบ จึงตัดสินใจใช้มือจับไปยังแส้สีเขียวที่อยู่ตรงหน้าอย่างแม่นยำ เผยให้เห็นเถาวัลย์สีเขียวที่ดิ้นส่ายไปมาราวกับหนวดปลาหมึก
ด้วยการที่ซูจิ้งได้กินข้าวสีน้ำเงินมาระยะหนึ่งแล้ว บวกกับการที่เขาได้ฝึกฝนวิถีแห่งมังกรอย่างสม่ำเสมอทำให้ตอนนี้นั้นทั่วทั้งร่างกายเพิ่มความทนทาน
ความแข็งแกร่งเองก็เพิ่มสูงขึ้นจากเดิมหมัดของเขาหนักอยู่ที่ 1,670 กิโลกรัมนั้น ในตอนนี้ หมัดของเขาหนักเพิ่มขึ้นไป 1,970 กิโลกรัม และยังเพิ่มสูงขึ้นที่เขากินและฝึกไปแบบนี้อยู่เรื่อยๆ
ด้วยเหตุนี้ ซูจิ้งจึงได้ทำการดึงมือของปีศาจดอกไม้เหวี่ยงไปรอบๆราวกับท่าไจแอ้นสวิงจนทำให้ปีศาจดอกไม้ลอยขึ้นอยู่เหนือพื้น ก่อนที่เขาจะปล่อยให้ปีศาจดอกไม้ลอยไปตามแรงกระแทกเข้ากับกำแพงมิติอย่างจัง
อย่างไรก็ตามปีศาจดอกไม้เองก็ไม่ได้นิ่งอยู่เฉยๆปล่อยให้ไฟดูดจนกลายเป็นไฟลุกโชนขึ้นมา เธอได้ใช้ใบไม้ที่มีรองรับตัวเธอไม่ให้โดนกระแทกเข้ากับกำแพงมิติมากนัก จนดูเหมือนเธอแทบจะไม่เจ็บอะไรเลยด้วยซ้ำ
ในตอนนี้ปีศาจดอกไม้ได้ปล่อยเกสรสีแดงออกมาฟุ้งกระจายทั่วระบบนิเวศ จนตอนนี้ราวกับภายในระบบนิเวศเสมือนแห่งนี้กลายเป็นพื้นที่ของเธอแล้ว
ซูจิ้งเห็นดังนั้นก็ได้คิดออกมาว่า “เกสรนี่ต้องมีพิษแน่ๆ ปีศาจดอกไม้ตนนี้แข็งแกร่งเลยทีเดียว แต่ฉันเองก็ไม่อยากจะทำอะไรเธอมากซะด้วยสิ แน่นอนว่าจะฆ่าก็ไม่อยาก แถมยังไม่รู้ด้วยว่าจะทำให้เธอรับใช้ฉันได้รึเปล่า แถมยังไม่รู้อีกว่าต้องสู้แบบนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหนกันแน่ ดีไม่ดีนี่พื้นที่บริเวณนี้พังหมดจะสู้กันจบรึเปล่าก็ไม่รู้”
ด้วยปัจจัยหลายๆอย่างก็ทำให้ซูจิ้งเองนั้นไม่แน่ใจว่าจะสามารถกำราบปีศาจดอกไม้ตนนี้ลงได้ เหตุผลก็เพราะเขานั้นรู้สึกว่าปีศาจต้นไม้ตัวนี้นั้นไม่มีท่าทีอ่อนแรงหรือเหนื่อยล้าเลยสักนิด อีกอย่างเขาเองก็ไม่อยากทำร้ายเธอหนักจริงๆ เฮ้อด้วยสภาพแวดล้อมแบบนี้นั้นทำให้เธอเป็นต่อจริงๆ…. เดี๋ยวนะถ้าเธอใช้สภาพแวดล้อมทำให้ได้เปรียบ ทำไมฉันไม่ทำให้เธอเสียเปรียบล่ะ แค่นี่ก็โคตรง่ายเลยนี่หว่า
“ฉิงหยุน ส่งเธอไปยังพื้นที่ทั่วไป เอาไอ้เกสรแดงนั่นไปกักไว้ด้วย” ซุจิ้งพูดออกมา
“ได้ค่ะ” ทันใดนั้น ปีศาจดอกไม้ได้หายไปจากพื้นที่สิ่งแวดล้อมเสมือนในทันทีแล้วไปปรากฏอยู่ตรงพื้นที่ทั่วไป ส่วนเกสรนั้นฉิงหยุนได้แยกแยะสารประกอบและแยกเก็บเอาไว้
ปีศาจดอกไม้ในตอนนี้ที่อยู่ๆเธอก็ถูกส่งมาที่ไหนก็ไม่รู้ในตอนนี้ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก ในตอนนี้เธอนั้นพยายามโหมกระหน่ำโจมตีไปยังกำแพงมิติอย่างบ้าคลั่ง
แต่ไม่ว่าเธอนั้นจะทุ่มสุดตัวขนาดไหกำแพงมิติก็ไม่ได้มีร่องรอยแม้แต่น้อย
“ดีจริงๆที่ฉันได้ยกระดับสถานีนี่เอาไว้ หากไม่ได้ยกระดับไว้ระก็มีหวังปีศาจดอกไม้คงหลุดออกจากที่นี่ไปนานแล้ว แถมฉันเองก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะหยุดเธอได้”
ซูจิ้งในตอนนี้กำลังสังเกตุพฤตกรรมของปีศาจดอกไม้อยู่ในมิติข้างๆโดยที่เธอก็ไม่รู้ว่าถูกจจับตามองอยู่ เขานั้นสังเกตุทุกวิธีการโจมตีของเธอในทุกท่วงท่าจนจำขึ้นใจพร้อมทั้งหาวิธีกำราบเธอผู้นี้ให้จงได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น