Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 924-925

 GGS:บทที่ 924 ฆ่าเพื่อเตือน


 


โจรลักพาตัวถูกหวังเสี่ยวพาตัวไปยังสถานีตำรวจ ซูจิ้งและเหมาจิ้งหยูได้ส่งเสี่ยวรุยไปยังโรงพยาบาลเพื่อตรวจสอบร่างกายทั่วไป แน่นอนว่าซูจิ้งเองก่อนหน้านี้ทำการรักษาเสี่ยวรุยด้วยเวทย์ใบไม้ฯไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่เพื่อให้แน่ใจยังไงซะก็ควรให้โรงพยาบาลตรวจสอบอีกทีดีกว่า


เพราะยังไงซะเวทมนต์ใบไม้ของเขานั้นรักษาได้เพียงร่างกายเท่านั้น มีพวกโรคต่างๆที่เขานั้นไม่สามารถรักษาได้อยู่ หรือจะพูดได้อีกอย่างว่าเวทมนต์ใบไม้ของเขานั้นยังไม่สมบูรณ์นั่นเอง


ซูจิ้งและเจ้าหน้าที่คนอื่นก็ได้อยู่รอจนผลตรวจออกมา เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นพวกเขาจึงแยกออกจากเสี่ยวรุย


 


แต่ก่อนที่จะจากกันซูจิ้งได้มอบดอกไม้จากเถาวัลย์กินคนและบอลเถาวัลย์กินคนอีกห้าลูกให้เสี่ยวรุยและกำชับให้เขานั้นต้มดอกไม้ของเถาวัลย์กินคนดื่ม


และบอกวิธีใช้บอลเถาวัลย์กินคนให้ฟังว่าเมื่อเกิดอันตรายให้เขานั้นทำการบีบให้แตกแล้วเขวี้ยงไปข้างหน้า ถึงแม้ว่าเสี่ยวรุยจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร


แต่ตอนนี้เขาจำทุกคำของซูจิ้งเอาไว้และแน่นอนว่าคราวนี้เขาจะไม่พลาดอีกแล้ว


 


ในเรื่องที่เลือดของเสี่ยวรุยที่ถูกดูดออกไป พร้อมทั้งข้อมูลการตรวจสอบสภาพร่างกายของเสี่ยวรุยที่ถูกปล่อยออกไปขายนี้ เอาจริงๆหากพวกนั้นได้อะไรไปจริงๆมันก็ถือว่าดีต่อเสี่ยวรุยนั่นก็เพราะว่านี่จะทำให้เสี่ยวรุยไม่เป็นที่ต้องการตัวอีกต่อไป


แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนสนใจในตัวของเสี่ยวรุยอีก หรือคนที่ได้ข้อมูลไปอาจจะไม่ได้อะไรเลยสักนิดก็เป็นได้


หากเกิดเหตุการณ์นั้นก็เป็นไปได้ว่าคนพวกนั้นอาจจะเลือกที่จะจับตัวเสี่ยวรุยไปอีกครั้ง แน่นอนว่ายังไงก็ต้องป้องกันไว้ก่อนเป็นดี


 


หลังจากออกจากโรงพยาบาล ซูจิ้งได้โทรศัพท์ออกไปสองครั้ง สายหนึ่งโทรไปยังไป๋ฮิตูและอีกสายหนึ่งโทรไปยังหลัวฉือหลินเพื่อจะคุยเรื่องของตลาดมืดที่โจรลักพาตัวเอาข้อมูลไปขาย


ทั้งสองได้เคลื่อนไหวในเรื่องนี้ทันที ทั้งสองได้แสดงตัวว่ามีข้อมูลที่ได้จากการตรวจสอบร่างกายของเสี่ยวรุยอย่างมาก ไม่เพียงแต่นั้นยังรวมถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์ใหม่ของซูจิ้งด้วย ไม่ว่าจะเป็นความลับของดอกไม้ไฟเวทมนต์ เมล็ดพันธุ์ใบยาสูบ และเมล็ดพันธุ์ข้าวสีน้ำเงิน


คืนนั้นก็ได้มีใครบางคนติดต่อไป๋ฮิตูและนัดพบกันในทันที


“มีอะไรมาเสนอ”  หนึ่งในชายท่าทางกำยำสี่คนที่นัดพบถามออกมา


“ไม่ใช่ว่าพวกแกต้องข้อมูลของเสี่ยวรุยไม่ใช่รึ” ไป๋ฮิตูถามออกมา


“ก็จริง เอาออกมาดูซะ หากแกตุกติกล่ะก็แกโดนแน่” ชายอีกคนหนึ่งพูดออกมาอย่างเยือกเย็น


ไป๋ฮิตูได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาได้ก้าวเข้าไปหาคนกลุ่มนั้นในทันที


“รนหาที่ตาย” หน้าของชายทั้งสี่คนเปลี่ยนสีในทันที พวกเขาได้หยิบปืนออกมาแล้วรีบยิงออกไปในทันที


แต่นั่นก็เปรียบได้ดั่งการเร่งเวลาไปสู่แม่น้ำยมโลกของทั้งสี่คนให้เร็วขึ้น ไป๋ฮิตูได้พุ่งตัวเขาไปในทันที พร้อมทั้งสแตนด์ของเขาเองก็ได้แสดงตัวออกมาและแน่นอนว่าทั้งสี่คนนั้นมองไม่เห็นอย่างแน่นอน


 


หอกของแสตนด์เองก็ได้ถูกสร้างขึ้นมาในทันทีจนเกิดเป็นแสงสว่างที่อยู่ด้านหลังไป๋ฮิตู


ชายกำยำทั้งสี่เองก็ได้เห็นฉากที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นตรงหน้าเหมือนกัน นั่นก็คือลูกกระสุนที่สมควรจะเข้าเป้าแต่เหมือนกลับพวกมันได้ชนกับกำแพงเหล็กจนเกิดประกายแสงและกระเด็นกระดอนไปคนละทิศคนละทาง


โดยที่ไป๋ฮิตูนั้นทำเพียงแค่พุ่งเข้ามาโดยไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นแม้แต่น้อย และก่อนที่ทั้งสี่จะรู้ตัวก็ได้มีความรู้สึกเจ็บปวดเกิดที่มือของทั้งสี่จนทำให้ปืนหล่นลงไปที่พื้นพร้อมมีมือพวกนั้นติดไปด้วย


และในขณะที่กำลังยืนอึ้งอยู่นั้น พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่คอพร้อมภาพแปลกราวกับว่าโลกกำลังพลิกกลับด้านก่อนที่ทุกสิ่งอย่างจะมืดลง


 


อีกฝาก ณ โรงงานผลิตก๊าซจากของเสีย ที่นั่น หลัวฉือหลินได้อยู่กับคนอีกกลุ่มหนึ่ง คนกลุ่มนี้มีท่าทีระแวงอย่างเห็นได้ชัดและพยายามอยู่ห่างหลัวฉือหลินเอาไว้ห่างๆสักสองถึงสามเมตรและพวกเขานั้นได้บอกให้หลัวฉือหลินนำเอาตัวอย่างที่พวกเขาต้องการออกมา


“พวกแกต้องการเมล็ดพันธุ์ข้าวสีน้ำเงินสินะ” หลัวฉือหลินถามออกมา


“แกเอามาด้วยรึเปล่าล่ะ” ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆชายท่าทางลุกลี้ลุกลนถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา


“ไม่ได้นำมา” หลัวฉือหลินส่ายหัวปฏิเสธในทันที


ตอนนี้ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีในทันที และเตรียมตัวที่จะเข้าเล่นงานหลัวฉือหลิน แต่ก็เท่านั้น สแตนด์ของหลัวฉือหลินได้ปรากฎออกมาและได้กลายเป็นสายฟ้าพุ่งทะลุผ่านทุกคนไปในทันทีจนทั้งหมดนั้นหมดสติไปโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยแม้แต่น้อย


มีอีกกลุ่มที่ซ่อนตัวอยู่ในรถก็ได้หยิบปืนออกมาโจมตีโดยที่หลัวฉือหลินเองก็ไม่ได้ระวังตัว ถึงจะเป็นอย่างนั้นหลัวฉือหลินเองก็มีความสามารถพอที่จะแก้ปัญหานี้ได้


ถึงตัวเขานั้นจะไม่ได้มีร่างกายที่แข็งแกร่งเท่าไป๋ฮิตูก็ตาม แต่ถ้าสู้กันจริงๆไป๋ฮิตูก็สู้กับเขาไม่ได้ นั่นก็เพราะว่าบนโลกใบนี้ต่อให้เป็นศิลปะการต่อสู้ที่เน้นความเร็วที่สุดก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับสายฟ้าแล้วยังไงก็ต้องสยบให้ต่อเขาอยู่ดี


 


เรื่องนี้เขานั้นรู้ดี แต่ยังไงซะร่างกายของเขาเองก็ไม่ได้ทนทานแต่อย่างใด ปกติเขานั้นได้จะใช้การหลบซ่อนในความมืดมิด และใช้สแตนด์ของเขาในการโจมตีแบบระยะไกล หากร่างกายของเขาโดนโจมตีเข้าล่ะก็ยังไงก็ตายได้เหมือนกัน


แต่กับกลุ่มคนที่เรียกได้ว่าไก่ที่อ่อนแอแบบนี้ ต่อให้เขายืนเฉยๆก็ไม่มีทางโดนยิงแม้แต่น้อย เพียงสแตนด์ของเขานั้นสามารถจัดการได้ก่อนที่พวกนั้นจะทำอะไร ต่อให้พวกนั้นยิงมาได้ สแตนด์ของเขาก็สามารถปัดป้องได้หมดอยู่ดี เต็มที่ก็แค่โดนถากๆเท่านั้น


 


ไป๋ฮิตูและหลัวฉือหลินไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น พวกเขายังคงทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนทำให้บางกลุ่มเริ่มระวังตัวมากขึ้นและไม่ยอมกินเหยื่อง่ายๆอีก


แต่สำหรับเหล่าผู้ที่ถูกลวงไปแล้วต่างนิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูกและถูกจับกันไปเป็นแพ แน่นอนว่าถึงแม้คนพวกนี้จะโดนจับแต่ก็เป็นเพียงแค่ลูกกระจ๊อกที่มาทำหน้าที่แทนเฉยๆ พวกมันไม่รู้สักนิดว่าใครเป็นเจ้าของเงินทุนที่พวกมันนำมาใช้ดำเนินการซื้อขาย หรือที่เขาเรียกกันว่าตัวตายตัวแทนนั่นเอง


 


คราวนี้ซูจิ้งลงมือด้วยตัวเอง วิธีของเขาก็ง่ายๆเพียงแค่ใช้ความสามารถของพระธาตุผนวกเข้ากับความสามารถของหัวในพระสูตรและพระพุทธเพื่อให้คนเหล่านี้ลดการป้องกันทางจิตใจของตัวเองลง


หลังจากนั้นซูจิ้งจึงได้ใช้พลังวิญญาณและกระทำการสะกดจิตจนสำเร็จได้อย่างง่ายดาย หลังจากทุกคนได้ยอมสวามิภักดิ์ต่อซูจิ้ง พวกเขาก็ได้แนะนำเรื่องต่างๆเกี่ยวกับตลาดมืดตลาดนี้ในทันที แทบจะเรียกได้ว่าพาไปทัวร์ได้เลยด้วยซ้ำ


พวกเขาแน่นอนว่าย่อมทรยศเพราะโดนสะกดจิตสมบูรณ์ไปแล้ว นอกจากว่าคนพวกนี้จะถูกคลายสะกดจิตด้วยคนที่มีระดับเดียวกับซูจิ้ง ไม่งั้นล่ะก็ คนพวกนี้จำเป็นข้ารับใช้ของซูจิ้งไปตอลดชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย


 


หลังจากทำการสะกดจิตสมบูรณ์ครบทุกคนและได้รับข้อมูลเกี่ยวกับตลาดมืดนี้มาจนเต็มไม้เต็มมือมาแล้ว ซูจิ้งก็ไม่ได้ต้องการใช้คนแบบนี้ เขาได้ใช้ท่วงทำนองแห่งความสงบและการสะกดจิตอีกครั้ง


โดยคราวนี้ซูจิ้งให้คนพวกนี้กลับไปเล่นงานองค์กรของตัวเอง และให้ทำในทางลับ ค่อยๆทำธุรกิจและทำเงินไปเรื่อยๆ แต่หาช่องทางเอามาให้ซูจิ้งให้ได้


ถึงแม้ว่าในคนกลุ่มที่คลุกคลีอยู่ในตลาดมืดนั้นในตอนนี้จะยังไม่มีใครที่ถือได้ว่าเป็นคนรวยจริงๆเลยสักคน มีแต่คนที่เกือบๆจะรวย แต่คนพวกนี้ก็ได้มอบเงินของพวกเขาเองให้ซูจิ้งเป็นจำนวนหนึ่งร้อยล้านหยวนแล้ว


 


การกระทำของไป๋ฮิตูและหลัวฉือหลินนั้นยังถือได้ว่าเป็นปริศนาและไม่มีใครรู้เลยว่าคนที่ก่อเรื่องในตลาดมืดในครั้งนี้เป็นใครกันแน่


ทั้งคู่ยังก่อให้เกิดขั้วอำนาจใหม่ขึ้นและสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดมืด ทำให้หลายๆคนที่เกี่ยวข้องกับตลาดมืดแห่งนี้เกิดปัญหาขึ้น และกลายเป็นว่าคนที่เคยเกี่ยวข้องก่อนหน้านี้เริ่มระแวงว่าพวกเขาจะพลอยถูกลูกหลงไปด้วย


 


ในบ้านพักแห่งหนึ่ง ชายวัยกลางคนกำลังคุยกันเรื่องนี้อยู่


“ตลาดมืดคืนนี้คึกคักแบบสุดๆไปเลย วันนี้มีของดีๆปล่อยออกมาตั้งหกอย่างไปแล้ว แถมยังเป็นของที่เราต้องการมากที่สุดอีกด้วยนั่นก็คือเมล็ดพันธุ์ข้าวสีน้ำเงิน ฉันอยากได้มันมากๆแต่ก็รู้ได้เลยว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะได้มันมา”


“ฉันลองดูแล้วนะดูเหมือนว่าจะมีการแลกเปลี่ยนกันเสร็จแล้ว และไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย”


“แปลกแหะ การแลกเปลี่ยนในตลาดมืดตอนนี้มันง่ายไปรึเปล่า ของที่มีการลงขายนี่แม้แต่เจ้าเสือแห่งภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั่นก็ยังเคลื่อนไหวเองเลยนะ


ถึงแม้ว่าฉันไม่รู้ว่าหมอนั่นต้องการอะไรแต่คนอย่างหมอนั่นจะทำการแลกเปลี่ยนแบบดีๆนี่ทำเป็นด้วยเหรอนั่น”


“ก็จริง แถมในคืนนี้ของส่วนใหญ่ที่ทำการแลกเปลี่ยนกันเป็นของที่เกี่ยวกับซูจิ้งเสียด้วย พอนึกถึงว่ามีของอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับหมอนั่นหลุดออกมาแน่นอนว่าต้องมีหลายคนสนใจสุดๆแน่นอน


“คืนนี้เห็นว่ามีคนไปจับเพื่อนร่วมห้องตอนมหาวิทยาลัยของซูจิ้งมาขายนะ นายคิดว่าหมอนั่นจะจัดฉากรึเปล่า”


“ไม่แน่ใจเหมือนกัน เราลองปล่อยไปก่อนดีว่า ถ้าซูจิ้งออกมาลงมือเองล่ะก็จะกลายเป็นปัญหาแน่นอน”


 


ในขณะเดียวกันมีอีกหลายกลุ่มที่กำลังคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในคืนนั้นแทบจะเรียกได้ว่าทั้งตลาดมืดในตอนนี้นั้นวุ่นวายกันไปหมด


มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่กลัวความตาย ส่วนใหญ่นี่เรียกได้ว่าขับรถตรงไปหาความตายเองเลยด้วยซ้ำ ราวกับว่าคนพวกนั้นกลัวซูจิ้งแต่ไม่กลัวที่จะเหยียบเงาของซูจิ้งก็ว่าได้ ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้ตลาดมืดแห่งนี้ไม่ได้ปลอดภัยอีกแล้ว


GGS:บทที่ 925 หนูเจ้าปัญหา


 


ซูจิ้งไม่ได้ให้หลัวฉือหลินและไป๋ฮิตูเข้าสร้างปัญหาให้กับตลาดมืดนี้ต่อแต่อย่างใด เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็ยังไม่สามารถกวดล้างได้หมดอยู่แล้ว


หลังเสร็จเรื่อง เขาได้ให้หลัวฉือหลินไปยังโรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งแห่งเมืองจงหยุนเพื่อคอยดูแลพ่อ แม่ และน้องสาวของเขา และให้ไป๋ฮิตูไปคอยดูแลฉือชิง


ด้วยการที่คนนั้นมีความสำคัญกว่าเขาเสียยิ่งกว่าเสี่ยวรุย เรื่องแบบนี้เองก็อาจจะเกิดขึ้นได้กับคนที่เขารักเช่นเดียวกัน


ถึงแม้ว่าทุกคนจะมีลูกบอลต้นไม้กินคนของซูจิ้งอยู่แล้ว แต่ยังไงซะการที่ให้ไป๋ฮิตูและหลัวฉือหลินคอยปกป้องไว้ก็ยังให้เขาสบายใจกว่าอยู่ดี


ถึงแม้ว่าการที่ให้ทั้งสองคนมาทำหน้าที่เป็นบอดิการ์ดแบบนี้มันจะดูไร้ค่าไปหน่อยเพราะความสามารถของทั้งสองให้ไปทำอย่างอื่นจะดีกว่าก็ตาม


หลังจากเสร็จเรื่องแล้ว ซูจิ้งก็ได้ตรงกลับบ้านในทันที พร้อมกับความคิดที่ว่าจะหาวิธีป้องกันคนที่สนิทกับเขาด้วยได้ยังไงบ้าง


 


สิ่งแรกที่ซูจิ้งคิดได้นั้นก็คือการส่งสัตว์เลี้ยงของเขาไปอยู่ด้วย แต่นี่ไม่เพียงการส่งบรรดาหมาๆของเขาไปด้วยเท่านั้น


เขานั้นมีบิงบิงที่สามารถพ่นน้ำแข็งออกมาได้ เจ้านี้ให้ไปคอยดูแลฉือชิงก็ได้ตลอดเวลาหรือแม้แต่เล่นด้วยก็ยังได้ ถึงแม้ตัวเดียวจะยังไม่น่าจะพอก็ตาม เขาคงต้องหาสัตว์เลี้ยงเพิ่มโดยเฉพาะสัตว์ขนาดเล็กและพวกแมลงที่พาไปไหนมาไหนด้วยง่ายๆซะแล้ว


“เจ้าผึ้งที่ได้มาจากห้วงเวลาฯอภินิหารกระบี่สามภพ (Desolate Era)นี่น่าจะพอใช้ได้แหะ” ซูจิ้งนั้นชอบผึ้งที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯอภินิหารกระบี่สามภพนี้อย่างมาก


นั่นก็เพราะเจ้าผึ้งพวกนี้นั้นค่อนข้างจะร้ายกาจเลยทีเดียว หากเป็นผึ้งโดยทั่วไปนั้นพวกมันยังพอตกเป็นเป้าของผึ้งเพชรฆาตได้ก็จริง แต่เจ้าผึ้งที่เขาได้มานี้สามารถฆ่าผึ้งเพชรฆาตได้อย่างง่ายดายเลยทีเดียว


พิษของพวกมันนั้นร้ายแรงขนาดล้มผู้ใหญ่หนึ่งคนด้วยพวกมันเพียงตัวเดียว และยังไม่เหมือนผึ้งธรรมดาที่พอปล่อยเหล็กในออกไปแล้วจะร่วงลงมาตาย


 


พวกมันสามารถต่อยได้โดยไม่เสียเหล็กในออกไปและปล่อยเพียงแต่พิษเข้าสู่ร่างกายเท่านั้น แถมเพียงแค่วันเดียวพิษของมันก็ฟื้นคืนกลับมาแล้ว


หากฉือชิงนำผึ้งฝูงนี้ไปด้วย แน่นอนว่าย่อมเพียงพอต่อการป้องกันตัวจากพวกอันธพาลทั่วไป


อย่างไรก็ตามปัญหาคือผึ้งพวกนี้มีสติปัญญาต่ำมาก ทำได้เพียงเก็บน้ำผึ้งได้นี่ก็ถือว่าเต็มกลืนแล้ว พวกมันนั้นสามารถจำคำสั่งได้เพียงคำสั่งเดียวเท่านั้น


ต่อให้เขาควบคุมพวกมันด้วยตัวเองโดยตรงก็ตามเขากลัวว่าพวกมันจะไม่สามารถทำหน้าที่ปกป้องฉือชิงได้อย่างสมบูรณ์


ถึงแม้ว่าก่อนหน้าที่จะยกระดับสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศของเขานั้น ซูจิ้งได้เก็บสะสมสัตว์อันตรายทั้งหลายเอาไว้ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นมดกระสุน แมงป่อง และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ แต่พวกมันทั้งหมดนั้นช่างจำนวนน้อยนิด แถมสติปัญญาของพวกมันต่ำเหลือหลาย นี่ขนาดเขาสามารถควบคุมตรงๆยังทำอะไรได้ไม่มาก หากปล่อยให้ช่วยดูแลฉือชิง ดีไม่ดีฉือชิงอาจจะอันตรายเสียเองมากกว่า


 


“….ถ้าจะไม่ผิดพระธาติมีความสามารถทำให้คนและสัตว์สงบใจลงได้อีกทั้งยังช่วยเพิ่มปัญญาให้กับสิ่งมีชีวิตนี่นา ถ้าฉันใช้พระธาตุกับผึ้งร่วมกับคริสตัลฝึกตนนั่นจะเป็นยังไงนะ”


ซูจิ้งใจเต้นตึกตักขึ้นมาทันทีที่คิดวิธีนี้ได้ เขาเองก่อนหน้านี้ก็ได้ลองใช้วิธีการนี้กับเหล่าหมาป่า อินทรีย์ทอง แมวบ้านและแมวจรมาก่อนแล้วเหมือนกัน และมันก็ใช้ได้จริง


เขาเชื่อมั่นได้ว่าสติปัญญาของพวกจะต้องเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ซึ่งแน่นอนว่าที่สำเร็จได้โดยง่ายนั้นเป็นเพราะสัตว์พวกนี้มีสติปัญญาในระดับที่ดีอยู่แล้ว


แม้แต่หมาแมวเองต่อให้ไม่ได้ฝึกพวกมันกันยังซื่อสัตว์ต่อเจ้าของได้เลย แค่ฝึกนิดหน่อยก็ย่อมทำได้เป็นธรรมดา


แต่กับพวกสิ่งมีชีวิตจำพวกแมลงนี้เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าสติปัญญาของพวกมันจะห่างไกลเกินกว่าที่พระธาตุจะกล่อมเกลาจิตใจได้รึเปล่าเหมือนกัน


 


“ลองดูแล้วกัน” ซูจิ้งได้เข้าสู่พื้นที่ระบบนิเวศเสมือนในทันที เขานั่งลงตรงหน้ารังผึ้ง ก่อนที่จะนำเอาพระธาตุออกมาแล้วทำการท่องบทสวดมนต์ในทันที


หลังจากผ่านไปสักพัก อย่างน้อยๆก็ดูเหมือนว่าเจ้าผึ้งพวกนี้จะได้รับผลจากพลังพระธาตุอยู่บ้าง


ตอนนี้แทนที่พวกมันจะบินไปรอบๆแบบก่อนหน้านี้ พวกมันไม่ได้ส่งเสียงหึ่งๆแต่อย่างใด พวกมันเงียบเสียงลงราวกับกำลังตั้งใจอยู่


แต่ในขณะที่ซูจิ้งไม่ได้สนใจในทางอื่นนั้น เจ้าดอกไม้ใหญ่ที่เพิ่งจะเก็บได้มาก่อนหน้านี้ ได้มีดวงตาเปิดขึ้นและหลับอย่างช้าๆ


 


หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ ซูจิ้งได้ยกเลิกการปลดปล่อยกระแสจิตและเข้าไปบังคับพวกผึ้งเข้าไปฝึกตนในคริสตัลฝึกตนแบบเดียวกับหมาและแมวบ้านที่เขาเคยทำก่อนหน้านี้


หลังจากที่พวกมันได้เข้าไปยังคริสตัลฝึกตนแล้ว หลังจากผ่านไปนานพอสมควร แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลแต่อย่างใด


“ไอ้เราก็คิดว่าพระธาตุนี้จะได้ผลดีแล้วสิน้า… ดันไม่สำเร็จซะได้ อืมมม ดูเหมือนว่าพระธาตุนี่เองก็จะมีผลจำกัดอยู่เหมือนกัน เป็นไปได้ว่ามันอาจจะอยู่มานานจนอ่อนแรงลงไป


 


แต่ก็ยังเป็นไปได้หากฝึกพวกมันซ้ำๆ แต่การที่จะทำได้ในระเวลาอันสั้นนี่น่าจะไม่ไหวจริงๆแหะ” ซูจิ้งบ่นเสร็จก็ได้ถอนหายใจออกมา


ในภายภาคหน้าหากเขายังคงฝึกเจ้าผึ้งพวกนี้ต่อไปเขาเองก็เชื่อได้อย่างมั่นใจว่ายังไงก็สำเร็จ ประเด็นคือต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนมากกว่า เอาจริงๆเขาเองก็ไม่น่าจะมาหวังอะไรกับแมลงพวกนี้อยู่แล้วล่ะนะ


 


ซูจิ้งได้คิดอีกเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาว่า “ฉันหวังว่าเจ้าพวกนี้พอจะทำอะไรได้บ้างนะ” ซูจิ้งหันไปสนใจแมลงที่เขาเพิ่งจะได้มาจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าในทะเลสาบนางฟ้า


ในตอนที่เขาได้ให้หนูกินเจ้างูจิ๋วไปจนทำให้เจ้าหนูตัวแฟบไปในตอนนั้น เขาเองก็ค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับเจ้างูนี่เป็นพิเศษ


รวมถึงแมลงอย่างอื่นที่เขาเพิ่งจะได้มาด้วยเหมือนกัน เหตุผลก็เพราะพวกมันนั้นมีพิษที่ร้ายเสียงยิ่งกว่าฝูงผึ้งที่เขามี หากเขานั้นยังไม่แน่ใจในตัวพวกมันละก็ ไม่มีทางเลยที่เขาจะมอบให้ดูแลฉือชิงหรือคนอื่นได้แม้แต่น้อย


หลังจากทำการตรวจสอบเจ้างูจิ๋วอีกครั้ง เขาก็ได้ให้หลี่น้อยและอาลี่ไปจับหนูมา เขาให้แมลงที่ยังเป็นๆให้กับพวกมันเพื่อทดสอบ แต่ดูๆไปแล้วก็ยังไม่มีอาการอะไรแม้แต่น้อย เขาจึงปล่อยพวกมันไปเพื่อคอยดูอาการ


“ฮอว” มีเสียงหนูดังขึ้น หากแปลภาษาผ่านทางหยกหมื่นอสูรก็จะแปลได้ว่า “หิวแล้ว หิวแล้ว”


หนูพวกนี้คือสัตว์ทดลองที่ซูจิ้งเลี้ยงเอาไว้ แน่นอนว่าการที่จะเป็นสัตว์ทดลองได้นั้นจำเป็นที่พวกมันต้องมีสุขภาพที่ดี


ปกติพวกมันก็ไม่ได้ทำท่าทางหิวต่อหน้าคนขนาดนี้หรอก แต่เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ซูจิ้งได้นำข้าวโพดและข้าวมาให้พวกมันกิน แน่นอนว่าหนูบ้านนั้นกินได้แทบจะทุกอย่าง แพร่พันธุ์ได้ดี แถมยังเลี้ยงง่ายยิ่งกว่าหนูพันธุ์ไหนๆอีกด้วย


แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับขนาดตัวแล้ว หนูบ้านพวกนี้นั้นเป็นจอมเขมือบ หลังจากผ่านไปเพียงชั่วครู่ ทั้งข้าวและและข้าวโพดที่ซูจิ้งนำออกมานั้นก็ได้หมดลง ซูจิ้งจึงเตรียมตัวออกไปจากระบบนิเวศเสมือน


ทันใดนั้น ซูจิ้งก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังว่า “ผมยังหิวอยู่เลย” ซูจิ้งหันไปมองทางเสียงของเจ้าหนูที่กำลังร้องโวกเวกอยู่ เขาเห็นเจ้าหนูตัวนั้นถึงกับประหลาดใจและพูดออกมาว่า


“แม่เ… ไอ้ตัวนี้ฉันก็ว่ามันกินเร็วแถมมากกว่าชาวบ้านนี่นา ทำไมมันถึงยังไม่อิ่มอีกล่ะ”


ถึงจะบ่นออกมาแบบนั้นแต่เมื่อซูจิ้งเห็นว่าท้องของมันนั้นแฟบราวกับไม่ได้กินอะไรมาเลย แต่กับตัวอื่นนั้นท้องป่องนอนแอ้งแม้งเพราะความอิ่มไปตามๆกัน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเห็นเจ้าหนูตัวนี้อึแบบบ่อยสุดๆอีกด้วย


“เกิดอะไรขึ้น” ซูจิ้งมีท่าทางสนใจในทันที เขานำข้าวออกมาอีกหนึ่งชั่งแล้วเทลงไปบนพื้น และเจ้าหนูตัวนี้เองก็ทำการกินข้าวหนึ่งชั่งหมดไปอย่างรวดเร็ว ชนิดที่ว่าหายวับไปกับตาเลยก็ว่าได้ แม้แต่ข้าวเปลือกเองก็ไม่เหลือแม้แต่น้อย


“ผมหิวอ่ะ” เจ้าหนูยังพยายามขอต่อ


“ได้ ได้ กินให้อร่อยล่ะ” ด้วยการที่ซูจิ้งขี้เกียจเทข้าวบ่อยๆ คราวนี้เขาจึงนำข้าวออกมาห้าชั่งแล้วเทลงพื้นลวดเดียว คราวนี้เจ้าหนูก็ยังหยิบเม็ดข้าวเข้าปากไปเรื่อยๆอย่างไม่หยุดพัก


เพียงชั่วขณะเดียวมันก็กินข้าวห้าชั่งหมดไป แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังร้องออกมาอีกว่า “หิว หิว หิว” เจ้าหนูที่กินข้าวขนาดที่กองท่วมหัวมันได้สองสามรอบนั้นยังบอกว่าหิวอยู่อีกนี่ไม่ใช่เรื่องปกติซะแล้ว


“แปลกๆแหะ หรือว่าเป็นเพราะแมลงที่มันกินไปกันนะ” ซูจิ้งคิดได้ดังนั้นจึงรีบปล่อยกระแสจิตของเขาออกมาแล้วทำการสะกดจิตหนูตัวที่ร้องโวยวายนี่ในทันที


หนูแต่ละตัวที่เขาทดลองไว้นั้นจะทำเครื่องหมายเอาไว้เพื่จะได้ไม่สับสนว่ากินอะไรเข้าไป แมลงที่เจ้าหนูนี่กินเข้าไปนั้นตัวมันเรียวๆ สีขาวๆ และดูบอบบาง


ลำตัวของมันนั้นผอมๆและยาวประมาณสี่ถึงห้าเซนติเมตร​ และดูแล้วไม่น่าจะส่งผลอะไรต่อมนุษย์และสัตว์มากที่สุดแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)