Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 922-923

 GGS:บทที่ 922 ตามหาความจริง


 


หนูตัวหนึ่งได้วิ่งกลับพร้อมเศษผ้าผืนหนึ่งในปากหลังจากที่อีกตัวได้นำมา ที่ทำให้ซูจิ้งถึงกับต้องขมวดคิ้วในทันที


เขาให้หนูตัวที่ทำหน้าที่ดมกลิ่นลองดมดูหลังจากนั้นเจ้าตัวที่ดมกลิ่นเกาที่เขาสองทีนั่นหมายความว่าเสี่ยวรุยน่าจะยังปลอดภัยดีอยู่ นี่คือการได้ร่องรอยที่เร็วกว่าที่เขาคิดมากนัก


“พวกนายได้ผ้านี่มาจากไหน” ซูจิ้งถามออกมา


“จากทางนั้น” หนูตัวแรกชี้ไปทางตะวันออก


“จากทางนั้น” หนูตัวที่สองชี้ไปทางใต้


ถึงแม้เจ้าหนูสองตัวนี้จะรายงานแข็งขันยังไงแต่ในเมื่อมันรายงานมาจากคนละทิศทางนี่ทำให้ซูจิ้งรู้สึกตะงิดใจขึ้นมาในทันที ตอนนี้เข้ารู้สึกลางไม่ดีเลยสักนิด


หนูอีกหลายๆตัวกลับมาพร้อมด้วยเศษผ้าในปาก ซูจิ้งจึงให้เสี่ยวไป๋ทำการซ่อมแซมผ้าพวกนั้นดู และเป็นอย่างที่คิดเสื้อตัวนั้นคือเสื้อเสว็ตเตอร์ของเสี่ยวรุย


 


“ดูเหมือนว่าเสี่ยวรุยจะตกอยู่ในอันตรายซะแล้ว” ซูจิ้งตอนนี้ถึงกับทำหน้าคิ้วชนกัน เจ้าพวกนี้ไม่มีทางดมกลิ่นของเสี่ยวรุยผิดอย่างแน่นอน และในเมื่อนี่เป็นเสื้อของเสี่ยวรุยแสดงว่ามีปัญหาใหญ่แล้ว


นี่หมายความว่าเสี่ยวรุยนั้นถูกจับตัวไปจริงๆ และอีกฝ่ายเองก็ดูเหมือนว่าจะสืบเรื่องของเขามาด้วย


อย่างน้อยก็ต้องรู้ความสามารถของสัตว์ของในการติดตามร่องรอยอย่างดีจึงได้ใช้วิธีนี้พลางร่องรอยกลิ่นของเสี่ยวรุยกระจายไปทุกที่รอบบริเวณนี้


 


“เอาไงต่อดี ต่อให้นำหมาป่าสงครามออกมาในตอนนี้ก็ไม่สามารถตามรอยได้เป็นแน่ เสี่ยวรุยถูกจับไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ตอนนี้ฉันรอต่อไปไม่ได้แล้ว”


ซูจิ้งคิดหาวิธีอย่างหนักจนเผลอกัดฟันเลยทีเดียว เขาได้นำกระจกบรอนซ์ออกมาอีกครั้งก่อนที่จะหายใจเข้าลึกๆและทำการส่งผ่านพลังภายในของเขาไปในกระจกอีกครั้ง


โดยหวังว่าคราวนี้จะย้อนภาพฉายได้มากกว่าเดิมแต่ก็เหมือนกับว่าจะพบกับความล้มเหลวอีกครั้ง แต่คราวนี้เขากลับจับอะไรได้บางอย่างจากกระจกนี่


ตัวเขานั้นในตอนแรกที่มาที่นี่และได้ใช้กระจกภาพก็ย้อนกลับไปสิบวินาทีก่อน หลังจากนั้นเขาก็ให้เหมาจิ้งหยูแยกออกไปค้นหาซึ่งนั่นก็ผ่านมาเกือบสิบนาทีแล้ว


แต่เจ้าภาพที่ฉายนี่กลับไม่ได้ฉายภาพตัวเขาที่ยืนอยู่ที่นี่ หรือว่ามันจะย้อนภาพเกินสิบวินาทีแล้วกันนะ


และก็จริงดังคาดนั่นก็เพราะภาพที่ฉายในตอนนี้เป็นภาพที่เขาและเหมาจิ้งยู่เพิ่งจะเข้ามา แต่ไม่นานนักภาพก็ได้หายไปและตอนนี้พลังของซูจิ้งก็แทบจะเฮือดแห้งแล้วเพียงเพื่อฉายภาพเพียงไม่กี่วินาทีนี่เท่านั้น


 


“….ไม่ใช่ว่าฉันทำอะไรผิดไปหรอกนะ ตอนที่ฉันใช้กระจกนี่ตอนแรกฉันก็ว่าฉันเห็นภาพนานกว่านี้นี่นา มีเพียงภาพที่ย้อนกลับไปเท่านั้นที่อยู่ในช่วงสิบวินาที หรือว่าในช่วงสิบวินาทีนี้ฉันสามารถควบคุมห้วงเวลาฉายได้ด้วย?” ซูจิ้งประหลาดใจในทันที


ซูจิ้งรีบนั่งลงและทำการฟื้นฟูพลังงานของตัวเองอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาได้ทดลองดูและก็จริงดังคาด ด้วยพลังของเขาในตอนนี้สามารถแลกเปลี่ยนช่วงเวลาการฉายภาพด้วยเวลาที่สามารถฉายภาพออกมาได้ในอัตราส่วนคคือลดเวลาฉายภาพหนึ่งวินาทีต่อการย้อนภาพได้หนึ่งชั่วโมง


“เสี่ยวรุยมาวิ่งตอนเช้าน่าจะอยู่ประมาณเจ็ดโมงกว่า และเขาต้องออกไปทำงานในช่วงเก้าโมง ถ้าอย่างนั้นเหตุการณ์ก็น่าจะอยู่ในช่วงประมาณสิบชั่วโมงที่แล้วถึงแปดชั่วโมงที่แล้ว อืมมมมม ลองย้อนกลับไปดูตอนสิบชั่วโมงที่แล้วก่อนก็แล้วกัน” ซูจิ้งได้รีบทำการใช้กระจกบรอนซ์ในทันที ภาพที่ฉายอยู่ตอนนี้ยังไม่มีใครปรากฎในกระจก และจากแสงดูๆไปแล้วก็น่าจะเป็นรุ่งเช้าจริงๆ


“ฉันสามารถเร่งเวลาฉายภาพโดยการร่นเวลาการฉายภาพอีกห้าวินาทีสินะ” ซูจิ้งได้ทำการเร่งภาพฉายในทันที ภาพที่สะท้อนออกมาจากในกระจกเองก็เร่งเร็วขึ้น ตอนนี้เขาชักจะเริ่มชำนาญวิธีใช้กระจกนี่แล้ว


 


หลังจากที่กระจกเร่งการฉายภาพให้เร็วขึ้นจนสูบพลังภายในของซูจิ้งไปจนเกือบหมดนั้น หาเป็นคนธรรมดามาเห็นในตอนนี้ก้เห็นเพียงแค่แสงและเงาที่ฉายออกมาเพราะว่ามันเร็ว แต่ด้วยการตอบสนองของซูจิ้งนั้นแน่นอนว่าเห็นได้ชัดเจนทุกการกระทำที่เกิดขึ้น


“หยุด” หัวใจของซูจิ้งเต้นแรงขึ้นมา ภาพฉายในกระจกตอนนี้หยุดเร่งความเร็วแล้ว และในภาพตอนนี้ก็เป็นภาพของเสี่ยวรุยที่อยู่ในสภาพเหงื่อโทรมกาย กำลังวิ่งกลับไปยังโรงแรม


ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาน่าจะวิ่งเสร็จแล้ว อยู่ๆรถตู้ที่อยู่ข้างๆก็ได้เปิดประตูออกมาและได้มีชายใส่หน้ากากวิ่งกรูกันออกมาและทำการอุ้มเสี่ยวรุยขึ้นรถไปในทันที หลังจากนั้นภาพก็ได้หายไป


พลังภายในของซูจิ้งในตอนนี้หมดอีกแล้วเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น แต่ตอนนี้ซูจิ้งไม่ได้รีบแต่อย่างใด เขาได้ใช้เวทมนต์ลมหายใจฯดูดซับพลังภายในจากต้นไทรที่อยู่ตรงนั้นเพื่อฟื้นฟู หลังจากนั้นเขาได้ทำการใช้กระจกอีกครั้ง


ในเมื่อคราวนี้เขารู้เวลาที่เกิดเหตุแล้ว เขาก็สามารถเข้าไปดูเหตุการณ์ดังกล่าวได้ในทันทีโดยไม่ต้องเสียพลังในการหว่านแหอีกต่อไป


ภาพที่ฉายออกมาในตอนนี้เป็นภาพชายใส่หน้ากากกำลังกรูเข้าไปหาเสี่ยวรุย เสี่ยวรุยเองที่ได้ยินก็หันหัวกลับไปมอง แต่กว่าเขาจะรู้ตัวก็สายเกินไปเสียแล้ว


เสี่ยวรุยถูกจับถอดเสื้อและถูกมัดปาก มือ และเท้าในทันที ในระหว่างขัดขืน เสี่ยวรุยได้ไปแตะต้นไม้ที่ล้มอยู่กับพื้นเพื่อดึงตัวเองออกจากสถานการณ์นี้ให้ได้


แต่เหมือนว่าที่ผ้าปิดปากนั้นจะมียาอยู่ทำให้ไม่นานตัวเขาก็อ่อนเปลี่ยนเพลียแรงและถูกอุ้มขึ้นรถไปอย่างง่ายดาย ช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเองก็จบลงเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น แน่นอนว่าด้วยช่วงเวลานี้มีผู้คนอยู่น้อยมากทำให้ไม่มีใครสังเกตเห็นได้เลย


ในเมื่อซูจิ้งรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในตอนนี้แถมเขาเองยังเห็นทิศทางที่รถคันนั้นวิ่งออกไปอีกด้วย แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้นก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะสามารถติดตามได้


และแน่นอนว่าเขานั้นไม่สามารถใช้กระจกบรอนซ์ในการติดตามรถตู้คันนั้นได้ตลอดทาง ไม่งั้นเขาคงต้องเหนื่อยตายซะก่อน


นั่นก็เพราะเขานั้นไม่ใช่เซียนที่จะมีพลังงานภายในมากมายมหาศาลพอที่จะใช้กระจกนี้ได้อย่างง่ายดาย


ซูจิ้งได้ใช้ความคิดสักพัก ก่อนที่จะก้มลงมามองยังเสื้อของเสี่ยวรุยที่อยู่ตรงพื้น เขาเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้จึงหันไปหาหนูตัวที่นำเศษผ้ากลับมาในตอนแรกแล้วพูดออกไปว่า “พาฉันไปตรงที่แกเจอเศษผ้าหน่อยสิ”


 


ตอนนี้เหมาจิ้งหยูที่ซูจิ้งสั่งให้ไปตรวจสอบบริเวณใกล้เคียงได้กลับมาแล้ว แน่นอนว่าเขานั้นไม่ได้ร่องรอยอะไรกลับมาเลยแม้แต่น้อย เมื่อมาถึงซูจิ้งก็ไม่ได้ว่าอะไร แถมเขายังตามพวกหนูไปโดยไม่พาเขาไปด้วยอีกทำให้เขางงหนักมาก


“นี่เขาสืบสวนวิธีไหนกันนี่ ทำไมฉันไม่ยอมโทรหาตำรวจแต่แรกนะ” เหมาจิ้งหยูในตอนนี้รู้สึกหมดความเชื่อมั่นในตัวซูจิ้งแล้ว


ไม่ว่ามองอีท่าไหนเขาก็ไม่เห็นว่าจะสืบสวนอะไรเลยสักนิด คนแบบนี้ยังเรียกว่าพระเจ้าได้อีกรึไงกัน นี่มันเสียเวลาชัดๆ เมื่อคิดดังนี้แล้ว เหมาจิ้งหยูเองก็ได้ทำการโทรหาตำรวจในทันที


อีกฝากหนึ่ง ซูจิ้งได้ติดตามหนูของเขาไป ระยะห่างจากตรงนี้อยู่ห่างจากจุดลักพาตัวประมาณหนึ่งกิโลเมตรเห็นจะได้ ตอนนั้นเองเจ้าหนูก็ได้หยุดเท่าลงและทำการชึ้ไปยังมุมตึกแห่งหนึ่งแล้วทำท่าเกาพื้นตรงนั้น


นี่หมายความว่าเศษเสื้อนั้นได้มาจากที่ตรงนี้ ซูจึ้งจึงได้นำกระจกบรอนซ์ออกมาและทำการฉายภาพย้อนกลับไปในทันที


คราวนี้ง่ายกว่าครั้งแรกนั่นก็เพราะว่าเขารู้ช่วงเวลาเกิดเหตุแล้ว เศษผ้านี้เองก็สมควรจะถูกทั้งด้วยเวลาไม่ห่างกันมากนัก


ทันทีที่กระจกฉายภาพก็แสดงให้เห็นว่ามีหนุ่มคนหนึ่งเดินผ่านไป ในระหว่างนั้นเขาก็ได้ทิ้งเศษเสื้อออกจากกระเป๋าและโยนไปที่มุมตึกนั้นก่อนที่จะเดินจากไป


อย่างที่ซูจิ้งคาดไว้ คนที่นำมาทิ้งนั้นไม่ได้ใส่หน้ากากแล้ว นั่นก็เพราะการที่จะต้องนำเศษผ้าไปทิ้งไว้ยังที่ต่างๆ หากใส่หน้ากากก็จะเป็นจุดสังเกตเกินไป


และที่เขาทำนั้นก็แค่แค่ทิ้งเศษผ้าเท่านั้น เขาก็ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดปกติจึงไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากาก เพราะยังไงซะตรงนี้ก็ไม่มีกล้องแน่นอนว่าเขาก็ไม่ต้องอะไรเลยแม้แต่น้อย


“ได้หลักฐานสำคัญแล้วสินะ” ซูจิ้งได้นำโทรศัพท์ออกมาในทันทีเพื่อภ่ายภาพคนๆนี้เอาไว้การที่จะโทรหาซูฉือและหลัวฉือือหลินเพื่อให้ดำเนินการสืบสวนในทันที


GGS:บทที่ 923 ตลาดมืด


 


หากถามว่าแค่รู้หน้าแล้วจะทำอะไรได้ แน่นอนว่ามันทำการสืบสวนครั้งนี้ง่ายขึ้นอย่างมาก ด้วยการร่วมมือกันของแฮคเกอร์สาวอย่างซูฉือและความสามารถของสแตนด์สายฟ้าของหลัวฉือหลินหากเพ่งไปในเรื่องการสืบสวนแล้วแถบจะพูดได้ว่าไม่จำกัดเลยทีเดียวไม่ว่าระบบป้องกันจะดีแค่ไหนก็ตาม


อีกทั้งซูฉือนั้นรู้แหล่งข้อมูลเป็นอย่างดีว่าสมควรจะเริ่มต้นหาข้อมูลจากที่ไหน ส่วนหลัวฉือหลินเองก็สามารถเข้าไปได้ในทุกแหล่งข้อมูลนั้น แถมยังสามารถหาร่องรอยจากอุปกรณ์อิเลคทรอนิกได้ทุกชนิด ตราบใดที่มีไฟฟ้าไหลผ่านอยู่เขาสามารถไปปรากฏตัวอยู่ตรงนั้นได้ด้วยซ้ำ ยุคนี้มีที่ไหนบางที่ไม่มีอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้ากันล่ะ


หากให้ตำรวจเป็นฝ่ายสอบสวนนั้นจำเป็นต้องหาจากหลักฐานหลายๆอย่าง แถมยังต้องใช้เวลา เหมือนเทียบความเร็วระดับสายฟ้าของหลัวฉือหลินแล้วใครจะสามารถเทียบได้กัน ต่อให้ยกมาทั้งโรงพักเมืองจงหยุนก็เทียบกันไม่ได้


หลังจากผ่านไปได้ไม่ถึงครึ่งวันดี หลัวฉือหลินก็พบตัวคนที่ตามหา เขานั้นปฏิบัติตามคำสั่งของซูจิ้งเป็นอย่างดีนั่นก็คือต้องช่วยตัวประกันให้ได้ก่อน


 


ในฐานของพวกที่ลักพาตัวนั้น ที่นั่นมีเสี่ยวรุยที่กำลังนอนมึนงงอยู่ นอกจากนั้นยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่กำลังทำการแบ่งส่วนแบ่งกันพร้อมกับหน้าตาที่แสดงความตื่นเต้นที่ได้เห็นจำนวนเงิน


“งานนี้ช่างดีจริงๆ”


“ฉันไม่คิดเลยนะว่าเลือดของหมอนี่จะมีค่าขนาดนี้”


“เฮ้ๆ หากแกมีความกล้าพอล่ะก็ แน่นอนว่าแกย่อมหาทางรวยได้ง่ายๆ เห็นมะคราวนี้เราเลือกถูกจริงๆ”


“เราเองก็ดูดเลือดหมดนี่และขายไปยังพวกสถาบันต่างๆที่ต้องการหมดแล้ว หรือว่าเราจะจัดการเลยดี เสี่ยวรุยเป็นเพื่อนร่วมห้องของซูจิ้งในมหาวิทยาลัย หากหมอนั่นเจอเราเข้าล่ะก็พวกเราได้ซวยกันหมดแหงๆ”


“ซวยเซยอะไรกัน ไอ้หมอนั่นมันก็ทำได้แค่การใช้สัตว์ของมันติดตามเท่านั้น พวกเราเองก็ทำการกำจัดชุดของเขาไปแล้ว


แถมยังโยนเสื้อของไอ้หมอนี่กระจายไปจนทั่วอีก เรากำจัดกลิ่นของเสี่ยวรุยบนตัวเราไปหมดแล้วนะหมอนั่นจะตามมาได้ยังไง


พักซะหน่อยก็แล้วกันแล้วรอดูสถานการณ์ หากว่าไม่มีท่าทีอะไรแน่นอนว่าเราไม่มีทางปล่อยไอ้บ้านี่ไปง่ายๆอย่างแน่นอน


ร่างกายของหมอนี่มีค่ามาก เราควรที่จะตรวจเช็คอย่างละเอียดเพื่อว่าจะได้ทำอะไรเพิ่ม ก่อนที่เราจะขายหมอนี่ออกไป”


“ช่ายช่าย หากแกกลัวกับอีเรื่องแค่นี้จะไปทำงานใหญ่ได้ยังไงกันล่ะ”


“ว่าแต่ฉันเองก็ยังไม่เข้าใจว่ากับอีแค่ไอ้หมอนี่สูงขึ้นอีกไม่กี่เซนนี่มันน่าสนใจตรงไหนกัน”


“ห้ะ นี่แกไม่เข้าใจงั้นเหรอ แกคิดว่าคนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่กลับสูงขึ้นได้นับสิบเซ็นในเวลาอันสั้นเป็นเรื่องง่ายรึไงกัน ลองนึกดูนะโว้ยว่ามีสักกี่ล้านคนบนโลกที่อยากตัวสูงแบบนี้บ้าง


หากว่าเจ้านายของแกได้วิธีที่ทำให้สามารถสูงได้หลังโตเป็นผู้ใหญ่แต่ยังสูงได้ไปล่ะก็ นั่นคือสุดยอดแห่งวิธีการหาเงินจนนับเงินกันไม่หวาดไม่ไหว ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะเป็นการได้เจอความลับของซูจิ้งอีกด้วยนะ”


“ฉันเองก็อยากจะลากมันมาเหมือนกัน ตอนนี้ในตลาดมืดมีคนตั้งรางวัลที่เกี่ยวกับซูจิ้งมากมายนัก นี่ยังไม่รวมถึงค่าหัวของซูจิ้งที่มีที่คนอิจฉาและเกลียดหมอนั่นตั้งเอาไว้อีก”


ทันใดนั้นเองก็ได้มีเสียงดังเปรียะและกลิ่นไหม้ติดจมูกออกมาจากเต้ารับข้างกำแพง ก่อนที่ทุกคนในที่นี้จะรู้สึกตัวก็ได้มีประกายแสงพุ่งทะลวงร่างของทุกคนที่กำลังยืนคุยกันอยู่เมื่อครู่นี้ ทุกคนต่างก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกัน รู้เพีบงแค่ภาพสุดท้ายที่เห็นคือพื้นได้มาอยู่ตรงหน้าแล้ว


 


ไม่นานนักที่ตึกที่ห่างไกลจากห้องที่เสี่ยวรุยอยู่ หลัวฉือหลินได้ลืมตาขึ้นในทันที เขาได้หยิบโทรศัพท์แล้วโทรไปหาซูจิ้งพร้อมทั้งรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในทันที เมื่อได้ยินดังนั้นซูจิ้งได้ตรงไปที่นั่นในทันที


หลังจากที่ซูจิ้งมาถึง เขาไม่ได้สนใจคนที่นอนกองอยู่บนพื้นแม้แต่น้อย เขาตรงไปยังเสี่ยวรุยก่อนที่จะตรวจสอบสภาพร่างกายในทันที


หลังจากตรวจสอบแล้วเขาก็ได้รู้สึกใจชื้นขึ้นมา ดูเหมือนว่าเสี่ยวรุยจะแค่อ่อนแรงและดูๆไปแล้วก็ยังไม่มีอะไรหายไปแม้แต่น้อย ซูจิ้งได้ให้ชุนเย่จื่อช่วยดูแลเสี่ยวรุยไปพลางๆก่อน


เขาได้การปลุกคนที่สภาพดีที่สุดขึ้นมาแล้วทำการสะกดจิตสมบูรณ์ในทันที แล้วได้ทำการสอบถามเหตุผลที่พวกนี้มาลักพาตัวเสี่ยวรุยในทันที พร้อมทั้งถามว่าได้ทำอะไรเสี่ยวรุยไปแล้วบ้าง หลังจากได้ยินเรื่องราวแล้วซูจิ้งก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก


 


กลายเป็นว่าในตลาดมืดในตอนนี้มีการตั้งรางวัลคนที่สืบสวนวิธีการที่เสี่ยวรุยสามารถเพิ่มความสูงหลายสิบเซ็นด้วยเวลาอันสั้น


แถมเสี่ยวรุยยังแสดงข้อความขอบคุณซูจิ้งในQQของเขานับครั้งไม่ถ้วนเลยทีเดียว แค่นี่หลายๆคนก็รู้แล้วว่าเขาเองที่เป็นต้นเหตุให้เสี่ยวรุยสูงขึ้นได้แบบนี้


ถึงแม้ว่าเรื่องนี้สำหรับบางคนอาจจะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ แต่กับบางคนแล้วเรื่องนี้คือช่องทางทางธุรกิจที่ใหญ่มากๆ ซูจิ้งเองก็ไม่คิดว่าการที่เขาช่วยเสี่ยวรุยในครั้งนั้นจะทำให้ตกเป็นอันตรายได้ถึงขนาดนี้


หากว่าเขานั้นไม่ไปอวดต่อใครว่าเขารู้จักซูจิ้งล่ะก็ เสี่ยวรุยเองก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพนี้อย่างแน่นอน


 


ในตอนนี้สิ่งที่ซูจิ้งกังวลที่สุดก็คือเรื่องค่าหัว เท่าที่ฟังดูเหมือนกับว่าในตอนนี้ในตลาดมืดมีคนต้องการรู้ความลับของผลิตภัณฑ์หลายๆอย่างของเขาไม่เพียงแค่ความสูงที่เพิ่มขึ้นของเสี่ยวรุย แต่ยังมีทั้งวิธีทำดอกไม้ไฟเวทมนต์ เมล็ดพันธุ์ต้นยาสูบ เมล็ดพันธุ์ข้าวสีน้ำเงิน


“ไอ้เวรที่ไหนเป็นคนตั้งรางวัลพวกนี้กัน” ซูจิ้งถามออกมา


“ผมไม่ทราบครับ แม้แต่เจ้าของตลาดมืดนี้เองก็เป็นความลับแทบจะเรียกได้ว่าล่องหนเหมือนกัน ด้วยการที่คุณมีสถานะที่สูงสุดหยั่งและความสามารถสุดคาดเดา นี่ทำให้ไม่มีใครกล้าจะเสี่ยงโดยตรง พวกเขานั้นล้วนแล้วซ่อนตัวตนของตัวเองและเสนองานให้คนอื่นเท่านั้น” ชายคนหนึ่งพูดออกมา


“แล้วไอ้คนที่แกแลกเปลี่ยนกับเงินที่ได้มานี่ล่ะ”


“พวกเราไม่รู้จักกันครับ เขาจากไปทันทีที่แลกเปลี่ยนกันเสร็จ”


ซูจิ้งยังคงถามคำถามมากมายกับพวกโจรทุกคน ดูเหมือนว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าตลาดมืดนี่จะเป็นความลับมากๆ มันไม่ใช่ตลาดจริงๆที่มีที่ตั้งและสินค้าที่แน่นอน


ถึงแม้เจ้าพวกนี้จะเคยไปตลาดมืดที่ว่านี่จริง แต่ก็ได้เพียงเศษเสี้ยวข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด อย่างเช่นตอนที่เสี่ยวรุยถูกจับตัว พวกเขาเองก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะได้เงินรางวัลจริงๆรึเปล่าจนกว่าเขาจะได้เงินมาอยู่บนมือจริงๆนั่นแหล่ะ


แน่นอนว่าพวกเขานั้นไม่รู้แม้แต่จำนวนเงินและใครเป็นคนต้องการหรือขายสินค้าในตลาดนี้ด้วยซ้ำ แม้แต่จะได้ของมาแล้วก็ตาม


“ดูเหมือนว่าฉันต้องเสริมการป้องกันให้ทุกคนที่อยู่รอบตัวฉันแล้วสินะ แถมดูเหมือนฉันยังต้องสืบเรื่องตลาดมืดนี่ให้มากขึ้นอีกด้วยสิ”


ซูจิ้งในตอนนี้แววตาเต็มไปด้วยรังสีอำมหิต นั่นก็เพราะว่าได้มีคนเหยียบเส้นที่ไม่ควรก้าวข้ามมาแล้ว ตอนนี้เขาวางแผนเตรียมที่จะล้างบางเรียบร้อยแล้ว


 


ทันใดนั้นเองเสี่ยวรุยได้ฟื้นขึ้นมา


เขาจำได้ว่าตัวเองถูกจับตัวไปแล้วจากนั้นก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอีกเลย เมื่อเห็นสถานการณ์โดยรอบ เมื่อเขาเห็นซูจิ้งจึงได้ถามออกมาว่า “พี่สาม เกิดอะไรขึ้นครับ”


ซูจิ้งหันไปหาเสี่ยวรุยจึงได้พูดออกมาว่า “นายถูกจับน่ะ พวกมันเอาเลือดของนายไปตรวจสอบ ถ้าฉันหานายไม่เจอล่ะก็ นายคงโดนจับแยกส่วนไปแล้วล่ะ”


เสี่ยวรุยได้ยินถึงกับขนลุกเกลียวจนรู้สึกกลัวขึ้นมาในทันที เขานั้นสบสนจนถามออกมาว่า “เลือดของผมมันทำไมอ่ะ”


ซูจิ้งเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจออกมาแล้วพูดว่า “พวกนั้นต้องการรู้ว่านายสูงขึ้นได้ยังไงไงล่ะ”


เสี่ยวรุยนิ่งอึ้งไปในทันที เขาหยุดนิ่งไฟพักหนึ่งก่อนจะพูดออกมาว่า “ผมคงไม่ทำตัวเด่นขนาดนั้นแน่ๆถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้”


ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “นี่นายเสียใจที่ได้ดื่มยาของฉันไปรึเปล่า”


เสี่ยวรุยได้พูดออกมาในทันทีว่า “ไม่มีทางเสียใจหรอกครับ หลังจากสูงขึ้นแล้วผมรู้สึกเปลี่ยนไปราวกับจะจับนางฟ้าได้เลยนะ ผมแค่เสียใจที่แสดงออกเกินไปต่างหาก


ว่าแต่พี่สาม ผมเองก็ออกนอกหน้าไปซะเยอะจนเป็นที่เพ่งเล็งซะขนาดนี้ ตอนนี้ผมเองก็เหมือนมีอันตรายรายล้อมอยู่ตลอดเวลา พี่ไม่คิดจะมอบสัตว์เลี้ยงอย่างหมาป่าสงครามหรือไม่ก็อินทรีย์ทองให้ผมหน่อยเหรอ”


ซูจิ้งถึงกับพูดไม่ออก หมอนี่นึกว่าหมาป่าสงครามกับอินทรีย์ทองนี่หาง่ายตามข้างทางรึไงกัน


ตอนนั้นเองโทรศัพท์ของซูจิ้งก็ได้ดังขึ้น เป็นหวังเสี่ยวโทรเข้ามา แน่นอนว่าซูจิ้งต้องรีบรับในทันที หวังเสี่ยวพูดออกมาด้วยเสียงสั่นๆว่า “อาจิ้ง ฉันพึ่งจะได้ยินมาว่าเพื่อนของนายที่ชื่อเสี่ยวรุยหายไป ฉันจะรีบกลับไปสืบสวนเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด แต่ตอนนี้ฉันยังไม่เจออะไรเลย นายเจออะไรมั่งรึเปล่า”


“ห้ะ พี่ใหญ่เสี่ยวรู้ได้ไงเนี่ย” ซูจิ้งถามออกมาอย่างสงสัย


“เหมาจิ้งหยูโทรมาที่สถานีตำรวจเมื่อวานนี้แต่คนของฉันไม่ได้รับเรื่องไว้ หากฉันรู้คงไปช่วยสืบหาแล้ว นี่ฉันช่วยอะไรนายได้บ้างเนี่ย” หวังเสี่ยวถามออกมา


“ขอบคุณพี่เสี่ยวมากครับ แต่เรื่องนี้ไม่ต้องแล้วล่ะ ผมเจอเสี่ยวรุยที่โดนลักพาตัวไปพร้อมทั้งช่วยเขาออกมาแล้ว แน่นอนว่าผมจับคนร้ายไว้ได้แล้วด้วย พี่ต้องการจัดการเรื่องนี้เองรึเปล่า ตอนนี้ผมอยู่ที่…” ซูจิ้งพูดออกมา


ตอนนี้หวังเสี่ยวบนพึมพำออกมา เขานั้นนอกจากจะไม่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์ลักพาตัวขึ้นแล้ว ตอนนี้เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซูจิ้งทำอีท่าไหนถึงจับตัวคนร้ายได้เร็วขนาดนี้


“เจ้าหน้าที่หวัง สถานการณ์เป็นยังไงบ้างครับ” เหมาจิ้งหยูเห็นหวังเสี่ยวถือสายค้างไปอยู่อย่างนั้นอยู่นานจนต้องถามออกมาเพราะคิด่าสถานการณ์ถึงขั้นเลวร้ายมาก หากรู้อย่างนี้เขาคงจะไม่เชื่อใจซูจิ้งแต่แรกและรีบโทรหาตำรวจในทันที เพราะยังไงซะถึงแม้ตำรวจจะทำงานช้าไปหน่อยแต่ก็มีกำลังคนในการหาร่องรอย


เมื่อวานตอนที่เขาเห็นซูจิ้งทำนู่นทำนี่อยู่นั้น มองยังไงก็ไม่น่าจะได้อะไรมาอย่างแน่นอน


“ไม่ต้องกังวลไป เสี่ยวรุยนั้นถูกลักพาตัวไปจริง แต่ว่าซูจิ้งจัดการเรื่องนี้แล้วน่ะ เขาเข้าไปช่วยเสี่ยวรุยไว้ได้แล้ว ” พูดจบ หวังเสี่ยวได้ส่งสัญญาณให้ทีมของเขาไปยังตำแหน่งที่ซูจิ้งบอกมาในทันที


“ห้ะ” เหมาจิ้งหยูตกใจในทันที ตอนนี้ตำรวจที่บอกมาว่ายังไม่เจออะไรเลย แต่กลายเป็นว่าซูจิ้งเจอตัวจนช่วยเสี่ยวรุยออกมาได้แล้วซะอย่างนั้น


เหมาจิ้งหยูเองก็ไม่ได้เชื่อเรื่องนี้สักเท่าไหร่ แต่เมื่อเขานั้นได้เห็นหน้าตาโจรที่ลักพาตัวเสี่ยวรุยแล้วเขาก็เชื่อในทันทีมองหน้าดูไม่ว่ายังก็เป็นคนร้ายๆแน่ๆ


แต่ที่เขาสงสัยก็คือซูจิ้งทำยังถึงได้สอบสวนได้เร็วขนาดนี้ด้วยตัวคนเดียว ทั้งๆที่ตำรวจยังหาอะไรกันไม่เจอเลย


*******


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)