Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 914-921

 GGS:บทที่ 914 หาสิ่งซ่อนเร้น


 


ซูจิ้งในตอนนี้สามารถใช้ความสามารถของเม็ดหินสีน้ำเงินให้เย่ปิงออกจากวงจรหากำไรจากปิระมิดอุบาทนี่ได้อย่างงายดาย แต่เขานั้นไม่สามารถทำแบบนี้ได้ตลอดไป


ถึงแม้เขาจะสามารถทำให้จิตใจคนสั่นคลอนได้อย่างง่ายๆอยู่แล้ว ต่อให้คนนั้นโดนล้างสมองแบบฝังลึกขนาดไหนก็ตาม


ด้วยการที่เย่ปิงนั้นเชื่อในสิ่งที่เขาเชื่อราวกับศาสนาประจำใจอย่างโง่งมเช่นนี้ การใช้พลังจากเม็ดหินสีน้ำเงินนั้นต่อให้ทำให้ฟังได้ในตอนนี้แต่ในอนาคตแล้วมีโอกาสหวนกลับไปอย่างแน่นอน จึงไม่ถือว่าเป็นการหลุดออกมาจากวงจรอุบาทนี้ได้อย่างแท้จริง


 


ซูจิ้งจึงเลือกที่จะใช้การเล่นกู่จิ้งบรรเลงเพลงเพื่อกล่อมเกลาจิตใจแทน บทเพลงแรกที่ซูจิ้งเล่นนั้นมีชื่อเพลงว่า “กว่าจะเป็นทองบริสุทธิ์” ที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯราชาแห่งพิณ


นี่เป็นเพลงที่ส่งพลังงานอันบริสุทธิ์ออกมาอย่างมหาศาล และมีผลในการชำระล้างความคิดด้านลบในจิตใจ ด้วยการที่ซูจิ้งในตอนนี้มีระดับพลังวิญญาณและความรู้ความเข้าใจในศิลปะแห่งศิลป์มากขึ้นในทุกๆวันที่ผ่านมา ส่งผลให้บทเพลงนี้ทรงพลังมากกว่าเดิม แม้แต่ซูจิ้งก็ยังรู้สึกได้เลยว่าอีกเพียงนิดเดียวเขาก็เล่นได้พอจะเทียบกับ ราชาแห่งพิณที่เป็นตัวเอกในห้วงเวลาฯราชาแห่งพิณได้แล้ว


 


ในตอนที่ซูจิ้งเล่นเพลงอยู่นั้น ไม่เพียงแต่เย่ปิงเท่านั้น ทุกคนที่นั่นไม่ว่าจะเป็นย่าของซูจิ้ง อา น้า และเย่หลิน รวมถึงกวนหยวนเองต่างก็ได้รับการชำระล้างจิตใจ ความรู้สึกไม่ดีทั้งหลายในจิตใจมลายหายสิ้นในทีเดียว


เมื่อจบเพลง เย่ปิงมีท่าทีสงบลงจนเห็นได้ชัดและคนอื่นๆเองก็ดูสงบนิ่งไม่ต่างกัน เมื่อเห็นดังนั้นซูจิ้งจึงได้เล่นเพลง “จงเชื่ออย่างมีเหตุผล” ซึ่งเป็นเพลงแรกที่ซูจิ้งได้เรียนรู้มาจากห้วงเวลาฯราชาแห่งพิณเช่นเดียวกัน


แน่นอนว่าการเล่นในครั้งนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนเช่นเดียวกัน ทุกๆคนที่ได้ยินแม้แต่เพื่อนบ้านของบ้านอาของเขาเองที่เผอิญได้ยินต่างก็ได้ประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียวในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของจิตใจ


 


หลังจากซูจิ้งเล่นเพลงนี้จบลง ดูเหมือนว่าเย่ปิงเองจะสงบใจได้สมบูรณ์แล้ว นี่จะทำให้ขั้นตอนต่อไปของเขาทำได้ง่ายยิ่งขึ้น


ความจริงแล้วไอ้ระบบวงจรปิระมิดอุบาทนี่นั้นมีช่องโหว่าอยู่เต็มไปหมด ตราบใดที่คนฟังนั้นมีสติสมบูรณ์และอารมณ์ที่สงบเมื่อฟังคำอธิบายก็จะเข้าใจได้ไม่ยากเย็น และง่ายที่จะตัดใจออกมา


เอาจริงๆไอ้ระบบปิระมิดอะไรนี่ก็แทบไม่ได้ต่างจากที่ออกมาแฉกันในอินเตอร์เน็ตเลยแม้แต่น้อย เอาจริงๆก็เหมือนกันแทบจะทุกกระเบียดนิ้วจนคล้ายกับเม็ดถั่วเลยทีเดียว


หากลองเอามาเทียบกันแล้วยังมองไม่ออกว่าธุรกิจนี้เป็นการหลอกลวง สมควรที่สมองจะมีปัญหาเป็นแน่แท้


 


หลังจากเย่ปิงได้คุยกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นซูจิ้ง เย่หลิน พ่อ แม่ และย่าของเขา แม้แต่เอาข้อมูลในเน็ตมาให้ดูกันจะจะ จนตอนนี้เขานั้นรู้สึกละอายใจจนยากจะแทรกแผ่นดินหนีเรียบร้อยแล้ว


ตอนแรกเขาเองก็มีความคิดที่ปฏิเสธแบบหัวชนฝาอยู่เหมือนกัน แต่ตัวเขานั้นก็เจอช่องโหว่ที่ใหญ่ที่สุดในแนวคิดนี้นั่นก็คือเขานั้นไม่มีเงินมากพอ


เป็นครั้งแรกเลยที่เขาต้องกลับมาขอเงินที่บ้านสาเหตุก็เพราะวงจรปิรามิตอุบาทนี้ ตอนแรกพ่อแม่ของเขาก็ให้ไปอยู่เหมือนกัน แต่พอซักไซ้ไล่เรียงดูจึงพบว่ามันแปลกๆเลยไม่ยอมให้เงินไปต่อและบอกเขาว่าเขานั้นจะโดนหลอกเงินอย่างแน่นอน


 


ถึงแม้ว่าซูจิ้งนั้นจะไม่ยอมเสียเวลามานั่งคำนวนดูว่าลูกพี่ลูกน้องของเขาผู้นี้จะโดนไปเท่าไหร่ แต่เขานั้นรู้แค่ว่าบริษัทMLMนั้นได้โกงญาติของเขา แค่นี้เขาก็เตรียมล้างผลาญบริษัทนี้เรียบร้อยแล้ว


“เฮ้ ปิงน้อย พาฉันไปบริษัทMLMนี่หน่อยสิ แล้วก็พาฉันเข้าเป็นสมาชิกด้วยนะ” ซูจิ้งพูดออกมา


“หลานอย่าลืมนะว่าต่อให้เรื่องนี้เป็นตำรวจก็ยังทำอะไรได้ยากเลย” อาของเขาพูดออกมา


“ใช่แล้วล่ะ แล้วนายไปจะไม่เป็นอันตรายเหรอ” น้าของซูจิ้งถามออกมาอย่างเป็นกังวล


“อย่ากังวลเลยครับ ผมจัดการได้ อีกอย่างผมไม่มีทางปล่อยให้ปิงน้อยเจ็บตัวหรอกน่า ไอ้พวกตำบอนพวกนั้นเกือบทำให้ปิงน้อยต้องเจ็บปวดไปชั่วชีวิตเลยนะ หากไม่เอาคืนเลยก็ดีเกินไปสำหรับพวกมัน หากปล่อยพวกนี้ไปเดี๋ยวก็ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นอีก” ซูจิ้งพูดออกมา


 


“งั้นก็ระวังตัวด้วยล่ะ” น้าและอาของซูจิ้งต่างก็คิดว่าซูจิ้งในตอนนี้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนแล้ว ไม่เพียงความสามารถที่ก้าวไกลกว่าแต่ก่อน แถมเขาเองในตอนนี้ก็ถือได้ว่าเป็นคนมีอำนาจคนหนึ่ง หากว่าเขาสามารถกวาดล้างธุรกิจเครือข่ายอย่างMLMแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ดี


 


“ฉันจะเผยแพร่เรื่องนี้แบบสตรีมเลยเพื่อจะให้ทุกคนรู้ว่าธุรกิจเครือข่ายอย่างMLMเป็นอันตรายแค่ไหน” เย่หลินพูดออกมา


“หืม เว็บไหนที่คุณจะสตรีมหรือครับ” เมื่อได้ฟังว่าจะมีการสตรีมแล้ว ในฐานะที่กวงหยวนผู้นี้เป็นหัวหน้าของช่องสตรีมชาร์คลีฟเนตเวิรค์ก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา


“ชาร์คทีวีค่ะ” เย่หลินพูดออกมา


“โอ้…” กวงหยวนถึงกับสายตาเป็นประกายในทันที ก่อนหน้านี้เขานั้นอยากจะหาโอกาสเสนอตัวรับใช้ซูจิ้งอยู่แล้ว ยิ่งเขาได้ยินแบบนี้แล้วยิ่งเข้าทางเขาไปกันใหญ่


ด้วยคนระดับซูจิ้งนั้นแน่นอนว่าทั้งเงินทองและเส้นสายของเขานั้นล้วนไร้ความหมาย แต่ในที่สุดเขาก็พบหนทองที่จะสร้างความดีความชอบได้สักที


ในครั้งนี้หากเขานั้นดูแลครอบครัวของเย่หลินในเรื่องนี้หรือทำให้เย่หลินพึงพอใจได้ แน่นอนว่าอย่างน้อยๆซูจิ้งก็คงจะจดจำเขาได้ในฐานะที่มีประโยชน์ด้านนี้อยู่บ้าง เพราะดูๆไปแล้วซูจิ้งนั้นเป็นคนที่รักและดูแลญาติพี่น้องและมิตรสหายอย่างดียิ่ง


“งั้นก็ไปกันเลยดีกว่า” ซูจิ้งเองก็พอรู้อยู่บ้างว่าเย่หลินนั้นมีช่องสตรีมอยู่บนชาร์คทีวีแต่เธอเองก็ทำเป็นงานอดิเรกเท่านั้น


ด้วยอุปนิสัยของเธอ รอยยิ้มอันแสนละไม และทักษะในการพูดและขายของกระจุกกระจิกนั้น ทำให้เธอเป็นที่นิยมระดับหนึ่งและสร้างรายได้พอสมควรเลยทีเดียว


เขาเองก็พอจะเห็นท่าทางของกวงหยวนแล้วและพอจะเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้หยุดกวงหยวนแต่อย่างใดนั่นก็เพราะว่าเขานั้นไม่อยากจะเตะตัดขาชายคนนี้ไปซะทุกเรื่อง อย่างน้อยก็เหลือช่องทางให้กวงหยวนสร้างความดีความชอบบ้างก็ดีไม่น้อย


 


ซูจิ้ง เย่ปิง และกวงหยวนได้ตรงไปยังบริษัทลูกของธุรกิจเครือข่ายMLMซึ่งอยู่ใกล้ๆ เมื่อตอนที่เขาไปถึงนั้น ดูเหมือนว่าบริษัทลูกนี้จะย้ายออกไปแล้ว


เมื่อสอบถามคนแถวๆนั้นดูก็พบว่าบริษัทเหมือนจะได้กำไรพอสมควรจึงย้ายเพื่อทำการขยับขยาย แต่เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าย้ายไปที่ไหน


เย่ปิงจึงได้โทรหาเพื่อนของเขาคนที่แนะนำให้เข้าร่วมกับMLM หลังจากคุยได้สองสามประโยคก็ดูเหมือนกับว่าบริษัทจะไหวตัวเรื่องเย่ปิงที่ถูกขังไว้ที่บ้านเป็นเวลาสองวันจึงย้ายที่เพื่อตัดปัญหา


 


“เอาไงล่ะเนี่ย นายยังจะตามเรื่องนี้ต่อรึเปล่า” เย่ปิงถามพลางถอนหายใจ


“แน่นอนสิ” ซูจิ้งพูดออกมา ตอนนี้เขาพยายามนึกวิธีค้นหาบริษัทเครือข่ายMLMนี้ยังไงดี เขาเชื่อว่าปกติบริษัทพวกนี้ไม่สมควรจะย้ายได้เร็วขนาดนี้ หากเขาคิดไม่ผิดแถวๆนี้เองสมควรจะมีบริษัทย่อยหรือสาขารองอะไรพวกนั้นเพราะยังซะถือได้ว่าบริษัทเครือข่ายนี้ใหญ่พอสมควรเลย


นั่นก็เพราะว่าคนของบริษัทนี้กระจายอยู่แทบจะทุกหัวมุมซอย หรือไปอยู่ในจุดท่องเที่ยวอย่างพิพิธภัณธ์หรือสนามกีฬาที่มีคนพลุกพล่าน


ในที่พวกนั้นพวกเขาจะใช้การล่อลวงที่เรียกว่าการสอนเรื่องการหาเงินอย่างง่าย ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาหาคนของMLMได้ไม่ยากนัก และนั่นเองพวกเขาก็พบบริษัทลูกของMLMที่อยู่ประจำเขตนี้


แต่ซูจิ้งก็ไม่ได้หุนหันแต่อย่างใด เขาเองก็กำลังประเมินสถานการณ์ก่อนที่จะเข้าไป ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เมื่อซูจิ้งดูเบอร์ก็พบว่าเป็นเบอร์ที่เขานั้นไม่รู้จักแต่เขาก็ยอมรับสาย


เมื่อซูจิ้งรับสาย เสียงของคนแปลกหน้าได้พูดออกมาว่า “สวัสดีครับ นี่ใช่เบอร์คุณซูรึเปล่า”


“ใช่ แล้วคุณเป็นใคร” ซูจิ้งถามออกมา”


“ผมชื่อผู่หุยครับ ผมเป็นปรมาจารย์อาวุโสสูงสุดของกลุ่มเมตตาและโชคนำพา ผมได้ยินมาว่าลูกพี่ลูกน้องของคุณได้เข้าร่วมธุรกิจเครือข่ายMLM ผมว่าผมพอจะช่วยเรื่องนี้ได้ครับ”


 


“หืม! คุณรู้ได้ยังไงว่าลูกพี่ลูกน้องของผมนั้นเข้าร่วมกับMLM และคุณจะช่วยผมได้ยังไง” ซูจิ้งถึงกับต้องถามกลับไปในทันทีพลางขมวดคิ้วไปด้วย เขานั้นรู้สึกได้ในทันทีเลยว่าสายที่โทรเข้ามานี่มีความไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน


“เพราะว่าผมเป็นหนึ่งในผู้นำของบริษัทMLMสาขาย่อยหรือก็คือเป็นหนึ่งในแม่ข่ายของบริษัทที่ลูกพี่ลูกน้องของคุณเข้าร่วมครับ”


เมื่อซูจิ้งได้ยินดังนั้นเขาถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออกในทันที เขาเองก็ตะขิดตะขวงใจมาก่อนหน้านี้แล้วว่ากลุ่มศาสนาอย่างกลุ่มผู้เมตตาและโชคนำพานั้นได้หลอกเงินมากมายของเหล่าสาวกไปจนเกิดปัญหากับตัวสาวกเองแต่ทำไมผู้นำนิกายไม่ได้ดูฟุ้งเฟ้อเลิศหรูแต่กลับดูอยู่ในศีลในธรรมและแสวงหาความสงบอย่างแท้จริงได้


 


ไม่คิดเลยว่าจริงๆแล้วปรมาจารย์ชั้นสูงสุดของนิกายกลับกลายเป็นหนึ่งในแม่ข่ายของธุรกิจเครือข่ายแบบนี้


“ผู่หุยเป็นหนึ่งในผู้นำของธุรกิจเครือข่ายMLMงั้นเหรอ” เมื่อกวงหยวนได้ยินเรื่องนี้ถึงกับหน้าตาไม่สู้ดีเลยทีเดียว ผู่หุยเองก็นับได้ว่าเป็นสาวกที่ศรัทธาในนิกายนี้แทบจะหมดใจ และถือได้ว่าเป็นสาวกอันดับหนึ่งของนิกายเลยก็ว่าได้


การที่สาวกอันดับหนึ่งนั้นมีเบื้องหลังอีกอย่างหนึ่งคือการเป็นหนึ่งในผู้นำของธุรกิจเครือข่ายMLMแบบนี้และยังใช้วิธีเดียวการเดียวกันนี้ในการบริหารนิกายนี่ทำให้เขานึกคำด่าไม่ถูกเลยจริงๆ


อย่างไรก็ตามในตอนนี้ผู่หุ่ยเองก็เหมือนจะไม่ต่างกับเขา เขานั้นละทิ้งความมืดในใจและได้รับคำตอบจากสิ่งที่เขาแสวงหาจากการคำพูดของซูจิ้งในงานเสวนาพระพุทธศาสนาที่ผ่านมา พร้อมทั้งรู้สึกผิดในสิ่งที่ตัวเองได้ก่อไว้จึงได้เสนอตัวช่วยเองแบบนี้


ซูจิ้งได้พูดออกมาว่า “มันเป็นเรื่องที่ดีหากคุณต้องการจะช่วยจริงๆ นำลูกข่ายของนายทุกคนมาหาฉันซะ”


“ได้ครับ” ผู่หุยรีบรับคำในทันที


ด้วยการที่เขานั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บริหารระดับสูงของMLMแน่นอนว่าตัวเขาต้องมีลูกข่ายจำนวนมากเป็นแน่ ในคืนนั้นได้มีการจัดงานประชุมเสวนาของบริษัทขึ้นโดยสมาชิกส่วนใหญ่ได้เข้าร่วมด้วย


ซูจิ้งได้ปลดปล่อยพลังของเม็ดหินสีน้ำเงินและได้ทำการชำระล้างจิตใจพวกเขาด้วยคำพูด แน่นอนว่าเขานั้นไม่ได้อยากทำแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่การที่จะปล่อยให้มีคนถูกหลอกลวงโดยธุรกิจเครือข่ายMLMแบบนี้สู้เขานำคนพวกนี้มาเป็นสาวกซะยังดีกว่า


GGS:บทที่ 915 ช่องสตรีมของเย่หลิน


 


คืนนั้น เหล่าสมาชิกธุรกิจเครือข่ายMLMในเขตที่ก่อปัญหาให้กับลูกพี่ลูกน้องของซูจิ้งได้สวามิภักดิ์และเป็นสาวกของซูจิ้งเรียบร้อยแล้ว


พวกเขาได้ทำการยกเลิกธุรกิจทกอย่างภายในเขต และทำการคืนเงินที่หลอกลวงมาอย่างแข็งขันแม้แต่คนที่โดนหลอกลวงไปไม่กี่ร้อยหยวนก็ไม่เว้น


แน่นอนว่าพวกเขานั้นคืนได้ไม่หมดเพราะมีเงินบางส่วนถูกใช้ไปแล้ว แต่ก็ถือได้ว่าคืนให้กับทุกคนได้เลยทีเดียว บางคนที่สูญเสียเงินไปกับธุรกิจเครือข่ายอุบาทนี้ที่ตกอยู่ในสภาพตายทั้งเป็นได้โผเข้ากอดคนที่นำเงินไปคืนในทันที


 


ซูหลายเองที่ได้เงินนี้กลับคืนไปก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมายนัก ถึงแม้เขาจะไม่ได้รู้สึกติดใจอะไรจากที่นี่แต่เขาเองก็รู้สึกได้ว่าดีแล้วที่ไม่ได้เสียอะไรให้กับบริษัทแบบนี้ไปมากมายนัก


การสูญเสียสาขาหนึ่งในชั่วข้ามคืนนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆกับคนทั่วไปอย่างแน่นอน นี่เป็นเรื่องใหญ่จนทำให้เป็นข่าวในโลกอินเตอร์เน็ตกันเลยทีเดียว


ทุกคนที่ประสบปัญหาที่เกิดจากการลงทุนในธุรกิจเครือข่ายต่างก็ออกตัวมาร่วมผสมโรงพร้อมทั้งกล่าวสรรเสริญซูจิ้งไปตามๆกัน


ชาวเน็ตเองที่พึ่งจะอึ้งกับเรื่องงานเสวนาทางพุทธศาสนาระหว่างซูจิ้งกับวัดซาช่าเมื่อวันก่อนก็ต้องตกตะลึงจนทำหน้าโง่งมกันไปหมดเมื่อเห็นข่าวนี้


 


พวกเขารู้สึกได้ทันทีเลยว่าซูจิ้งนั้นต้องเป็นเทพเซียนกลับชาติมาเกิดอย่างแน่นอน นอกจากจะทำการโปรดสัตว์ได้แล้ว เขายังเปิดโปงบริษัทที่ประกอบธุรกิจเครือข่ายระดับโลกอย่างMLMได้อย่างง่ายดาย และนี่ทำให้ธุรกิจเครือข่ายทั้งหลายต่างเกรงกลัวเขาไปจนหมด


“ต้องขอบคุณนายจริงๆ ฉันขอคารวะนายเลย ถ้าไม่ใช่นายละก็ฉันติดอยู่กับดักวงจรอุบาทอย่างถอนตัวไม่ขึ้นอย่างแน่นอน” ที่โต๊ะอาหารบ้านของเย่ปิง


เย่ปิงได้ทำการโก้งโค้งขอบคุณซูจิ้งอย่างใจจริงแม้แต่กวงหยวนเองที่ได้เห็นภาพนี้ต่างก็ปลื้มและเทิดทูนในตัวซูจิ้งยิ่งกว่าเดิม


 


กวงหยวนนั้นได้ติดตามซูจิ้งมาทั้งวันและแน่นอนว่าเขาได้ถูกเชิญเข้ามาด้วยไปโดยปริยาย ถึงแม้ว่าเขาต้องเหนื่อยกับการขับรถทั้งวันให้กับซูจิ้งในวันนี้ แต่การที่ได้เห็นซูจิ้งขับเคลื่อนผู้คนให้ทำสิ่งที่ถูกต้อง สำหรับเขานั้นถือว่าคุ้มค่าแล้ว ต่อให้ไม่โดนชวนมาร่วมโต๊ะอาหารแบบนี้ก็ไม่ได้คิดอะไรมากเลยแม้แต่น้อย


อีกอย่างเรื่องในวันนี้ทำให้เขาได้เรียนรู้แล้วว่าสิ่งที่อดีตผู้นำนิกายที่เขาเคยศรัทธาทำนั้นไม่ได้ต่างอะไรจากที่ผู้นำของบริษัทที่ประกอบธุรกิจอย่างMLMกระทำเลยแม้แต่น้อย


 


นี่เปรียบได้ดั่งหมัดหนักที่ทำให้ตัวเขานั้นได้คืนสติอย่างแท้จริง และนี่ยิ่งทำให้ตัวเขานั้นต้องหาวิธีถอนตัวจากนิกายอุบาทนั่นและกลายเป็นสาวกของซูจิ้งอย่างแท้จริงให้เร็วที่สุด


หากว่าเขายังดื้อดึงฝืนติดตามไอ้เจ้านิกายอุบาทอย่างเหรินซินจิต่อไปล่ะก็ หากเป็นข่าวเป็นคราวขึ้นมาชีวิตเขาได้ย่อยยับของจริงอย่างแน่นอน


“ครั้งนี้ถือว่าลูกโชคดีนะที่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกได้โดยที่ไม่สายเกินไป” น้าและอาของซูจิ้งพูดออกมาด้วยท่าทางหวาดกลัวและใจชื้นไปพร้อมกันที่เห็นลูกตัวเองไม่ได้เผลอทำอะไรผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงในชีวิตของเขา


 


“ที่นี่นายรู้รึยังว่าก่อนหน้านี้นั้นทำอะไรโง่ๆไปมากมายแค่ไหน” เย่หลินเองก็ได้ทำการเขกหัวน้องชายของเธอด้วยความห่วงใยแบบกึ่งๆเต็มแรงไปหนึ่งทีพลางน้ำตาคลอเบ้าออกมมา เย่ปิงเองที่รู้ตัวว่าผิดอยู่แล้วเมื่อเห็นใบหน้าของพี่สาวของเขาก็แทบจะร้องไห้ออกมา


“น่าๆในเมื่อเรื่องมันจบด้วยดีแล้วก็อย่าไปว่าปิงน้อยมากนักเลย ใครบ้างที่ไม่เคยทำผิดพลาดกัน” คุณย่าเองก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มและน้ำตาที่คลออย่างดีใจ


 


หลังจากปัญหาใหญ่ได้จบลงไปแล้ว ทุกคนที่ตอนนี้อยู่ในอารมณ์ที่ได้จึงได้กินข้าวร่วมกันอย่างเป็นกันเอง นี่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ผ่านมา


 


เย่หลินเองก็ได้รีบกินข้าวก่อนที่จะวิ่งกลับไปห้องของตัวเองก่อนที่จะเริ่มทำการสตรีมเพราะว่านี่เป็นช่วงเวลาที่เธอถูกกำหนดเอาไว้แล้ว โดยเธอนั้นต้องสตรีมแบบนี้เป็นประจำในช่วงสองทุ่มเพื่อให้เหล่าแฟนคลับของเธอนั้นติดตามเธอได้ง่ายขึ้นนั่นเอง


ซูจิ้งเองก็ได้นั่งกินข้าวและพูดคุยกับคนในบ้านตระกูลเย่จนไปถึงช่วงสามทุ่มจึงได้ขอตัวกลับไป เขานั้นยังมีขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศที่ต้องจัดการอยู่อีก เขาได้เดินลงบันไดมาชั้นล่างเพื่อจะไปยังรถที่เขาได้นั่งมา ที่นั่นกวงหยวนที่กำลังอารมณ์เสียอยู่ในตอนนี้เมื่อเห็นซูจิ้งเขาได้รีบเขาไปหาพร้อมกับโทรสัพท์มือถือและพูดขึ้นว่า “ดูนี่สิครับบคุณซู ตอนนี้ลูกพี่ลูกน้องของคุณกำลังโดนรังแกในสตรีมอยู่”


 


“ห้ะ เดี๋ยวนะ ตอนที่สตรีมนี่ถูกแกล้งกันได้ด้วยเหรอ” ซูจิ้งเองที่ได้ยินอย่างนั้นก็ถามออกมาแบบขำๆ แต่เมื่อได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วเขานั้นได้เข้าใจในทันที


เย่หลินนั้นตอนนี้อย่างในอันดับที่ 101 ของรายการสตรีมยอดนิยมของเว็บไซต์ชาร์คทีวีนี้ และเธอเองก็มุ่งหวังที่จะขึ้นไปอยู่ในร้อยอันดับแรกให้ได้ในวันนี้ซึ่งมีเจ้าของช่องที่ชื่อเฉียนเฉียนครองตำแหน่งนี้อยู่และเป็นอย่างนี้เสมอมาในทุกๆครั้งที่เธอเกือบจะไต่อันดับขึ้นร้อยช่องยอดนิยมนี้ได้


เย่หลินนั้นมีฐานผู้ติดตามมากกว่าและยังประกอบกิจกรรมหลากหลายอย่างการวาดรูป ซื้อขายของกิฟท์ช็อป และทำอื่นๆอีกมากมาย


แต่กับคู่แข็งของเธอคนนี้นั้นเขาได้ทำกิจกรรมเพียงอย่างเดียวแต่ก็อาศัยทุนของแฟนคลับของเขาเข้าว่าทำให้กลายเป็นศัตรูที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่งในช่องเว็บไซต์นี้เลยทีเดียว


 


หากมองในเรื่องทุนนี่บอกได้เลยว่าเย่หลินนั้นถือได้ว่าด้อยกว่าอย่างมาก


นอกจากนี้ศัตรูของเธอนั้นไม่เพียงจะใช้อำนาจเงินข่มแล้ว เฉียนเฉียนผู้นี้ยังพูดถึงการสตรีมของเย่หลินอย่างเสียๆหายๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธอเปิดการสตรีมของเย่หลินในขณะที่เธอกำลังสตรีมอยู่ แล้วทำการวิพากษ์วิจารณ์อย่างสนุกสนาน แฟนคลับของเฉียนเฉียนก็คล้อยตามผสมโรงไปด้วย


มีหลายครั้งที่แฟนคลับของเย่หลินมาบอกเรื่องนี้ก็ทำให้เธอถึงกับน้ำตาซึมและโกรธจนผลักดันให้เธอขึ้นอยู่ในอันดับ100ให้ได้ หากวันนี้เธอทำไม่ได้เธอจะยอมถอนตัว นี่ก็ถือได้ว่าเป็นการเดิมพันในอาชีพอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน


 


“หลินหลิน อย่าร้องไห้ไปเลยนะ” แฟนคลับของเย่หลินคนหนึ่งที่ใช้ชื่อว่าเจ้าชายน้อยของหลินหลินได้ส่งของขวัญเป็นจรวดหกลำให้ นี่เทียบได้กับเงินมูลค่าสามพันหยวน


แฟนคลับอีกคนหนึ่งที่ใช้ชื่อว่าเจ้าชายสวมมงกุฎของหลินหลินได้ส่งของขวัญเป็นเครื่องบิน20ลำให้หลินหลินคิดเป็นเงินมูลค่าสองพันหยวนเพื่อช่วยผลักให้เย่หลินขึ้นสู่อันดับที่หนึ่งร้อยได้อีกครั้งพร้อมทั้งได้พิมออกมาว่า “อยู่ที่ร้อยแล้วเย้”


อย่างไรก็ตาม ในฝั่งคู่ต่อสู้ของเย่หลินนั้น ได้มีแฟนคลับคนหนึ่งที่ใช้ชื่อว่าบิงโกได้ทำการส่งจรวดให้กับเฉียนเฉียนในทันทีหลายสิบแถว และยังมีคนอื่นๆที่ทำตามแบบเดียวกันหลายคนด้วย


ถึงแม้ว่าแฟนคลับของเย่หลินนั้นจะแสนดีแค่ไหนแต่ยังไงซะพวกเขาก็สู้อำนาจเงินไม่ได้หรอก


 


ซูจิ้งเองที่ได้เห็นเหตุการณ์นี้ก็อดถอนหายใจเสียไม่ได้ ยิ่งการแข่งขันแบบนี้สูงมากขึ้นเท่าไหร่ เจ้าของธุรกิจการสตรีมนี้ก็ยังได้กำไรมากขึ้นเท่านั้น


ถึงแม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้จะไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกวัน แต่ยังไงซะเมื่อเห็นคู่แข่งเย่หลินที่มีฐานแฟนคลับยินดีที่จะจ่ายเงินเพียงเพื่อการรักษาอันดับอย่างบ้าคลั่งแบบนี้แน่นอนว่าสู้ได้อย่างยากเย็นนัก


อีกอย่างช่องของเย่หลินเองนั้นก็ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรนัก เมื่อเทียบกับช่องใหญ่ๆที่มีผู้สนับสนุนเป็นประจำแล้วแน่นอนว่าคนพวกนั้นต้องสนับสนุนให้ตัวเองมีชื่อเสียงไปด้วยอย่างแน่นอน ไม่ว่าคนทั่วไปจะมองว่างี่เง่าแค่ไหนก็ตาม


ซูจิ้งนั้นไม่ได้สนใจเรื่องการสตรีมนี่อะไรนักแต่เขาเองก็ไม่อยากเห็นลูกพี่ลูกน้องของเขาต้องร้องไห้จากสิ่งที่เธอชอบทำ


 


อีกอย่างครอบบครัวของน้าและอาของเขาเองต่อให้ไม่สู้ดีขนาดไหนก็ตาม ต่อให้เป็นอย่างนั้นหากเขาให้เงินไปตรงๆก็ไม่มีทางที่เขาจะยอมรับอย่างแน่นอน นี่เองก็ถือได้ว่าเป็นโอกาสสำหรับเขาที่จะช่วยเหลือได้เหมาะสมที่สุดแล้ว


“ถ้าจะเข้าไปใช้งานเว็บไซต์ชาร์คทีวีนี่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่เหรอ” ซูจิ้งถามออกมา


“หืม… ไม่ต้องหรอกครับ ผมเองเป็นเจ้าของช่องสตรีมนี้นะครับ ผมจะไปกล้ารับเงินจากคุณซูได้ยังไง เดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องนี้ให้เองดีกว่าครับ” กวงหยวนหัวเราะออกมา เขาได้ส่งข้อความให้ลูกน้องจัดการเรื่องชื่อผู้ใช้และรหัสการเข้าของซูจิ้ง แต่กลายเป็นว่าเหมือนซูจิ้งจะมีชื่อผู้ใช้ที่เว็บไซต์ของเขาอยู่แล้ว แล้วในชื่อผู้ใช้นี้เองก็มีเงินอยู่แล้วจำนวนกว่าหนึ่งล้านดอลลาร์อีกด้วย กวงหยวนที่เห็นดังนั้นจึงรีบแจ้งให้ซูจิ้งทราบทันที


“ห้ะ มีเงินในชื่อผู้ใช้ของฉันอยู่แล้วหนึ่งล้านดอลลาห์เนี่ยนะ” ซูจิ้งถามออกมาอย่างงงๆ


“ใช่ครับ ผมลองนับดูดีแล้ว” กวงหยวนพยักหน้ารับ


หลังจากซูจิ้งนิ่งคิดอะไรไปซักพัก เขานั้นก็ไม่ได้อยากสืบสาวที่มาของเงินจำนวนนี้สักเท่าไหร่เพราะรู้ว่าเรื่องนี้เสียเวลาแน่ๆ


เขาได้ทำการเปลี่ยนชื่อที่แสดงในเว็บไซต์ให้เป็นลูกแมวน้อยของหลินๆแล้วทำการเข้าไปในช่องสตรีมของเย่หลินในทันที พร้อมทั้งได้ทำการกระหน่ำยิงจรวดไปชุดหนึ่ง เมื่อเย่หลินเห็นดังนั้นก็ได้ทำการส่งจรวดกลับมาให้ลำหนึ่งแล้วพูดออกมาในระหว่างการสตรีมว่า


 


“ว้าว ขอบคุณแมวน้อยของฉันมากเลยที่ส่งฝนจรวดมาให้ฉันนะคะ” เย่หลินเองก็ประหลาดใจในทันทีที่เห็น เพราะตัวเธอนั้นจำได้ว่าไม่เคยมีแฟนคลับระดับสัตว์ประหลาดแบบนี้มาก่อนเลย


ถึงแม้เธอจะเรียกชื่อตามชื่อที่แสดงอยู่ที่หน้าจอว่าชื่อแมวน้อย แค่เธอเองได้ทำการค้นหาความเป็นไปได้อยู่ในใจว่าคนๆนี้อาจเป็นใครที่เธอรู้จักอยู่รึเปล่า ทำไมเธอนั้นถึงไม่รู้สึกคุ้นเคยเลย หรือว่านี่คือแฟนคลับคนใหม่ของเธอจริงๆ


“คุณพี่แมวน้อย สุดยอดดดดด” เจ้าชายของหลินหลินแสดงความคิดเห็นออกมา


“ขอบคุณนะแมวน้อย” เจ้าชายแห่งราชวงศ์หลินหลินเองก็แสดงความคิดเห็นออกมาในเชิงเดียวกัน


“เดี๋ยวนะ นี่ฉันดูอะไรผิดไปรึเปล่า แมวน้อยของหลินหลินเพิ่งจะอยู่ระดับหนึ่งเองนะ เหมือนเขาเองพึ่งจะขึ้นเป็นอันดับยี่สิบด้วยเมื่อกี้เอง”


“แมวน้อยคนนี้เป็นใครกัน ทำไมฉันไม่คุ้นเลย”


 


ในขณะที่ห้องสตรีมของเย่หลินกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานนั้น อีกฝั่งหนึ่งช่องสตรีมของเฉียนเฉียนในตอนนี้ราวกับจะลุกเป็นไฟ นั่นก็เพราะว่าแฟนคลับของเฉียนเฉียนได้รายงานสถานการณ์ของช่องสตรีมของหลินหลินแทบจะทุกเวลาที่มีการส่งของขวัญ


และผู้สนับสนุนของเฉียนเฉียนคนหนึ่งได้เปิดไปดูช่องสตรีมของหลินหลินเพื่อดูสถานการณ์ เมื่อเขาเห็นในห้องสตรีมของเย่หลินว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วจึงได้พูดออกมาว่า


“ดูเหมือนว่าฝั่งตรงข้ามจะได้แฟนคลับระดับเทพมาแล้วนะ หนึ่งในพันเลยนะเนี่ย เห็นที เราคงต้องเริ่มอีกรอบสินะ” ผู้สนับสนุนของช่องสตรีมของเฉียนเฉียนพูดออกมาอย่างไม่แยแส และได้ทำการทำสิ่งที่ทำมาแบบก่อนหน้านี้นั่นก็คือส่งจรวดไปให้เฉียนเฉียนอีกครั้งจนกระทั่งอันดับของเฉียนเฉียนขึ้นไปอยู่ที่100แทนที่ห้องสตรีมของเย่หลิน


“โอ้ บิงโก666”


“เพียงบิงโกมาถึง แต่ให้อีกฝั่งเป็นใครก็ไม่กลัวแล้ว…”


“บิงโกนี่สิของจริงยิ่งกว่าสิบเท่าเลย”


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่บิงโกได้ทำการดันช่องให้เฉียนเฉียน และเขาเองในตอนนี้ก็ลงเงินไปในห้องของเฉียนเฉียนแล้วกว่าหกแสนหยวนเลยทีเดียว


นี่แสดงให้เห็นว่าเขานั้นเป็นแฟนคลับของเฉียนเฉียนหนักแน่นขนาดไหน และเขานั้นเป็นแฟนพันธุ์แท้ของเฉียนเฉียนมากมายเพียงใด


เพียงเขาปรากฏตัวก็ทำให้เหล่ายูสเซอร์ในเว็บไซต์ชาร์คทีวีรับรู้ได้ว่าต่างชั้นกันขนาดไหน และในวันนี้เขานั้นต้องผลักดันให้ช่องที่เขาสนับสนุนอยู่ในอันดับ 100 ให้ได้


GGS:บทที่ 916 การวิวาทระหว่างแฟนคลับพันธุ์แท้


 


ในที่สุดแล้วนั้นเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้คนกล่าวถึงจนได้ นั่นก็คือในช่องสตรีมของเย่หลินนั้น เหล่าแฟนคลับได้พยายามเพื่อเธอด้วยการกระหน่ำส่งของขวัญเพื่อจะยกระดับให้เย่หลินขึ้นเป็นอันดับที่ 100 ของเว็บไซต์ชาร์คทีวีให้ได้


เธอนั้นมีแฟนคลับหลักๆอยู่สองคนก็คือเจ้าชายของหลินหลินและเจ้าชายแห่งราชวงศ์หลินหลินที่สนับสนุนเธอมาตั้งแต่ต้น ความจริงทั้งสองต่างก็แข่งขันกันเองไปในตัวด้วยเหมือนกัน


หากฝ่ายใดส่งของขวัญสนับสนุน อีกฝั่งก็จะพยายามส่งข่มตาม หากมีคนหนึ่งส่งจรวด อีกคนจะส่งรถสปอร์ต หลังจากนั้นก็จะเว้นช่วงไปเป็นพรรค


เพราะยังไงซะหากนับมูลค่าแล้วของขวัญที่ส่งในสตรีมนี้ชิ้นๆหนึ่งก็ไม่ได้ถูกเลยเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็ยังหาโอกาสส่งของขวัญให้เป็นจังหวะอย่างต่อเนื่องอยู่ดี


 


แต่ในวันนี้และตอนนี้ อยู่ๆก็มีภาพเรือยอร์ชแล่นเต็มหน้าจอสตรีมกว่าสิบลำ ราคาของขวัญที่ถูกส่งในสตรีมนี้หากเป็นจรวดจะอยู่ที่500หยวนต่อลำ รถสปอร์ตอยู่ที่ 888 หยวนต่อลำ และเรือยอร์ชจะอยู่ที่ 1,314 หยวนต่อลำ นั่นก็หมายความว่าเรือยอร์ชสิบลำนี่มีมูลค่า 13,140 หยวนเลยทีเดียว


“ขอบคุณเรือยอร์ชทั้งสิบจากแมวน้อยของหลินหลินนะคะ” เย่หลินพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น


“พี่แมวน้อยนี่ที่สุดเลยจริงๆแหะ” เจ้าชายแห่งราชวงศ์หลินหลินได้พิมพ์ออกมากล่าวสรรเสริญในช่องแชท


“พี่แมวน้อยเคยมาดำดิ่ง(ดูสตรีม)อยู่ที่เว็บนี้รึเปล่า ทำไมพวกเราไม่เคยเห็นชื่อพี่มาก่อนเลย” เจ้าชายแห่งราชวงศ์หลินหลินได้พิมพ์ถามออกมา


แมวน้อยของหลินๆคนนี้ทำให้พวกเขาประทับใจอย่างมาก นั่นก็เพราะว่าถึงแม้ทั้งสองจะบอกว่าสนับสนุนเย่หลินเต็มที่แต่ก็ไม่ได้ดูแต่ช่องของเย่หลินเพียงช่องเดียว


แต่ด้วยเหตุการณ์ที่เย่หลินเอาอาชีพของตัวเองมาพนันในครั้งนี้ทำให้ทั้งสองยอมทุ่มเทเพราะไม่อยากให้ช่องดีๆต้องหายไปอย่างไม่ควรจะเป็น


ถึงจะพุดอย่างนั้นแต่การที่ทั้งคู่ทำการส่งของขวัญอยู่แบบนี้ก็ถือได้ว่าเต็มกลืนจนบอกได้ว่าแทบจะกระอักเลือดอยู่แล้ว


ด้วยการที่ช่องของเย่หลินนั้นยังไม่มีแฟนคลับพันธุ์แท้ที่มีแต้มคะแนนเกินหมื่นแต้ม ต่อให้พวกเขารวมเงินกันทั้งหมดแล้วอาจจะได้แต่ก็ถือได้ว่าเจ็บตัวอยู่ดี


“สุดยอดค่า….”


“แฟนพันธุ์แท้”


“พี่แมวน้อยคนนี้จ่ายเงินทีเดียวถึงหมื่นหยวนเลยเหรอ”


ในตอนนี้มีคนที่สตรีมหลายๆคนต่างก็อิจฉาเย่หลิน บางคนอิจฉามากจนเกลียดเย่หลินไปแล้ว


“แมวน้อยมาคุยกันหน่อยสิ” เย่หลินพูดออกมาด้วยรอยยิ้มละไม


“พี่เย่หลินสวยจุง” แมวน้อยของหลินหลินพิมตอบมา


“ฮ่าฮ่า ขอบคุณสำหรับคำชมนะ ฉันชอบคำชมของเธอจริงๆ” เย่หลินพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


ในขณะเดียวกันที่ห้องสตรีมของเฉียนเฉียนนั้นไม่ได้บรรยากาศครื้นเครงแบบห้องสตรีมของเย่หลินแต่อย่างใด ตอนนี้แฟนพันธุ์แท้ของเฉียนเฉียนอย่างบิงโกเริ่มรู้สึกกดดัน


ก่อนหน้านี้เขาได้ส่งเครื่องบินจำนวนมากให้กับเฉียนเฉียนจนคิดว่าทิ้งระยะห่างของคะแนนได้พอสมควรแล้ว แม้แต่แฟนคลับของเฉียนเฉียนคนอื่นเองก็สนับสนุนส่งของขวัญสนับสนุนกันอย่างเนืองๆ


และต่อท้ายด้วยบิงโกทำการส่งรถสปอร์ตให้เฉียนเฉียนหลายสิบคันจนนำเย่หลินไปได้พอสมควร


แต่เพียงเท่านี้ก็ไม่ได้ทำให้ช่องสตรีมของเฉียนเฉียนมีเวลาหายใจหายคอได้แต่อย่างใด


เจ้าชายแห่งราชวงศ์หลินหลินและเจ้าชายของหลินหลินได้ทยอยส่งของขวัญให้เท่าที่จะส่งได้ และในทันใดนั้น ห้องสตรีมของหลินหลินก็เต็มไปด้วยเรือยอร์ชนิดที่เต็มหน้าจอเลยทีเดียว แถมยังนานพอสมควร


“ขอบคุณนะแมวน้อย ว้าววววววว” เย่หลินเองได้เผลอวี้ดว้ายออกมาอย่างตื่นเต้นยินดี


ทุกคนในห้องสตรีมของเย่หลินนั้นคิดเพียงว่าแมวน้อยของหลินหลินนั้นแค่อยากจะทิ้งห่างช่วงคะแนนเฉยๆ


แต่กลายเป็นว่าทุกคนต่างก็ต้องมองหน้าจอด้วยสายตาตื่นตะลึงนั่นก็เพราะว่าห้องสตรีมของเย่หลินนั้นได้มีเรือยอร์ชแล่นอย่างต่อเนื่องและไม่มีท่าทีว่าจะหยุดแม้แต่น้อยชนิดที่ว่าทุกคนในห้องสตรีมไม่สามารถรู้ได้เลยว่าแมวน้อยของหลินหลินนั้นส่งมากี่ลำกันแน่


 


เมื่อลองไปคลิ๊กดูรายการรางวัลประจำวันที่สตรีมเมอร์ได้รับในแต่ละวันว่าได้อะไรบ้างทุกคนก็พบว่าแมวน้อยของหลินหลินได้ส่งรางวัลมาคิดเป็นจำนวนเงินหนึ่งแสนหยวนเข้าไปแล้วและยังเพิ่มสูงขึ้นไปอีก


เย่หลินเองที่เห็นถึงกับพูดไม่ออก แม้แต่เจ้าชายแห่งราชวงศ์หลินหลินและเจ้าชายน้อยของหลินหลินเองก็ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน


“พี่บิงคะ ช่วยแสดงพลังของพี่หน่อยค่ะ ช่วยดันหนูหน่อยให้ทิ้งระยะสักนิด หรือทิ้งระยะห่างให้ได้เยอะๆเลยก็ยิ่งดี” สตรีมเมอร์ที่ชื่อเฉียนเฉียนคนที่คอยหาเรื่องและตั้งตนเป็นศัตรูกับเย่หลินมาโดยตลอดนั้น


เธอเองก็นึกไม่ออกจริงๆว่าอีกฝ่ายเป็นใครแต่ก็ยังพยายามจะสู้กับเย่หลินอยู่ดี เธอพยายามหาทางเพิ่มจำนวนเงินของรางวัลให้ทิ้งห่างเย่หลินให้ได้


“เฉียนเฉียนโดนนำอีกแล้ว”


“อีกฝั่งมีแฟนคลับที่ชื่อแมวน้อยอ่ะ เขาโคตรบ้าพลังเลย”


“เพราะเจ้า นี่เขาส่งเรือยอร์ชให้หลินหลินเป็นว่าเล่นเลยนะ”


เฉียนเฉียนเห็นข้อความจากแฟนคลับของเธอจึงได้เป็นอันดับสตรีมเมอร์ประจำวันดูและอดไม่ได้ที่จะตกใจในทันทีที่เห็น


ของขวัญที่เย่หลินได้รับในตอนนี้ขึ้นไปเกือบสองแสนหยวนแล้ว และส่วนใหญ่มาจากคนดูที่เชื่อแมวน้อยของหลินหลิน


เมื่อเธอลองกดเข้าไปดูในช่องของเย่หลินดูก็พบว่าเรือยอร์ชบินกระจายว่อนเต็มไปหมด ของรางวัลที่แมวน้อยของหลินหลินมอบให้เย่หลินใจตอนนี้พุ่งไปถึงสองแสนสองหมื่นหยวนแล้วและยังพุ่งขึ้นไปอีก


ในตอนนี้ทั้งคนดูคนอื่นและทั้งแฟนคลับของเฉียนเฉียนเองต่างก็อึ้งไปตามๆกัน


เรือยอร์ชที่เย่หลินได้รับนั้นยังคงแล่นอย่างต่อเนื่อง และเงินที่เย่หลินได้ไต่ระดับไปเรื่อยๆ สองแสยห้าหมื่น สองแสนแปดหมื่น สามแสนหยวน ในที่สุดแล้วแมวน้อยของเย่หลินก็ได้หยุดส่งเรือยอร์ชให้เธอแล้ว


เมื่อเห็นจำนวนเงินรางวัลในช่องของเย่หลินในตอนนี้เฉียนเฉียนได้แต่ร้องไห้ออกมาอยู่ในใจ เธอนั้นอยากให้แฟนคลับของเธอช่วยมากๆแต่เธอเองก็รู้ตัวดีว่าไม่สามารถทำอะไรได้แล้วเพราะระยะห่างมันมากเกินไปจนต้องเงียบปากไว้


 


เธอรู้ดีว่าต่อให้เป็นบิงโกที่เป็นสุดยอดแฟนคลับของเธอก็ยังต้องกระอักเลือดแน่นอน เธอกลัวว่าคำขอในครั้งนี้จะมากเกินไป ต่อให้ได้แต่เขาก็อาจจะไม่สนับสนุนเธออีกแล้วในภายภาคหน้า


ในตอนนี้ในขณะที่เฉียนเฉียนกำลังคิดอยู่ว่าจะทำยังไงต่อดี เธอก็ได้เห็นแมวน้อยของหลินหลินพิมพ์ออกมาว่า “โทษที ฉันไปสะบัดมือมาน่ะ พอดีกดจนเมื่อยมือเลยไปพักมาหน่อยนึง เรามาต่อกันดีกว่า” เพียงสิ้นเสียงก็มีเรือยอร์ชแล่นเต็มช่องสตรีมของเย่หลินอีกครั้ง นี่ทำให้เฉียนเฉียนนั้นแทบจะเป็นลมในทันที


“แม่..เอ๊ย ไอ้เจ้านั่นยังส่งแบบเป็นชุดอีกหรอ หมอนี่ติดการส่งเป็นชุดรึไงกัน”


“ตอนนี้เขาส่งของรางวัลมากกว่าใครเลยนะแม้แต่ช่องอื่นก็ยังไม่ได้ขนาดนี้ ตอนนี้หากไม่ส่งของทีละเป็นชุดก็ตามเขาไม่ทันแล้วนะ”


“ยิ่งไปกว่าน้นตอนนี้ช่องของหลินหลินขึ้นไปที่อันดับ 99 แล้วนะ ไม่สิ 98 แล้ว”


“ไอ้บ้าแมวนั่นไม่เคยเห็นช่องเราอยู่ในสายตาเลยนี่หว่า เขาแค่กดส่งของขวัญรัวๆเท่านั้นเอง”


“แมวน้อย ข้าน้อยขอคารวะ” เจ้าชายแห่งราชวงศ์หลินหลินได้พิมพ์ออกมา


“เทียบกับท่านแล้ว พวกเราเป็นเพียงเศษธุลีจริงๆ” เจ้าชายน้อยของหลินๆได้พิมพ์ออกมาในทำนองเดียวกัน


หากเหล่าแฟนคลับขั้นเทพนั้นต้องการเข้าใกล้สตรีมเมอร์ที่ตนชอบสักนิดนึงล่ะก็ แฟนคลับเหล่านั้นจะต้องซื้อสิ่งที่เรียกของขวัญส่งมอบให้กับสตรีมเมอร์จากทางเว็บไซต์เจ้าของช่อง


ถึงแม้ว่ามันจะเหมือนกับการถูกบังคับอยู่กลายๆแต่แฟนคลับขั้นเทพก็เต็มใจที่จะยอมเสียเพราะถือได้ว่าเป็นการสนับสนุนสตรีมเมอร์ที่ดีที่สุดที่พวกเขาทำได้แล้ว


ซึ่งเรื่องนี้แฟนคลับขั้นกึ่งเทพอย่างเจ้าชายแห่งราชวงศ์หลินและเจ้าชายน้อยของหลินหลินก็รู้ดีแต่ก็ทำได้เพียงส่งใจให้ได้ซะมากกว่าเพราะทั้งสองมีทุนไม่มากแต่ก็ยังหาโอกาสสนับสนุนหลินหลินของพวกเขาอยู่เท่าที่เป็นไปได้และมากกว่าคนอื่นๆที่เขาติดตาม


“พระเจ้า ขอบคุณมากคะ แมวน้อย” เย่หลินเองในตอนนี้ตื่นเต้นจนน้ำตาจะไหลแล้ว เอาจริงๆเธอก็มีนั่นก็คือเจ้าชายแห่งราชวงศ์หลินหลินและเจ้าชายน้อยของหลินหลินเท่านั้นและเธอก็รู้ดีถึงขีดจำกัดของทั้งสองด้วยเช่นกัน เธอเองนั้นไม่เคยมีแฟนคลับพันธุ์แท้แบบนี้มาก่อนเลยนับตั้งแต่เปิดช่องสตรีมมา


และยังมีเรื่องที่ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องไปได้อีกนั่นก็คือแมวน้อยของหลินๆนั้นยังไม่ได้หยุดส่งเรือยอร์ชแต่อย่างใด เขาทำเหมือนไม่รับรู้เรื่องการพนันของเย่หลินที่เกิดขึ้น


ตอนนี้จำนวนเงินที่เย่หลินที่ได้รับนั้นยังคงพุ่งขึ้นอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุด สี่แสน ห้าแสน หกแสน … แปดแสน แปดแสนห้า เก้าแสน …….. ในที่สุดจำนวนก็หยุดเพิ่ม และหยุดที่หนึ่งล้านหยวนพอดี ด้วยเหตุนี้ทำให้ช่องของเย่หลินขึ้นไปอยู่ที่อันดับ 48 ส่วนเฉียนเฉียนนั้นไปอยู่ที่ 101 นี่สร้างความโง่งมให้กับคนที่เห็นในทันที นี่เรียกว่าทะลุเป้าที่เธอมุ่งหวังไว้เสียยิ่งกว่าทะลุซะอีก


ในตอนนี้ทำให้ผู้ใช้เว็บไซต์ทุกคนต่างโง่งมกันไปหมดและแม้แต่สตรีมเมอร์คนอื่นเองก็ถึงกับตกตะลึงชนิดที่คุยกันอย่างแตกตื่นในห้องสาธารณะของเว็บไซต์เลยทีเดียว


นี่เท่ากับว่าการห้องของขวัญของแมวน้อยทำให้ช่องหลินหลินสตรีมเมอร์ดังจนกลายเป็นพลุแตกไปในทันที และเมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปช่องของเธอก็ยิ่งมีผู้ติดตามมากขึ้น


 


ในเว็บไซต์สตรีมเมอร์ของชาร์คทีวีนั้นมีผู้ชมเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถส่งของขวัญในจำนวนหลักล้านนี้ได้เพียงการดูสตรีมเพียงครั้งเดียว เอาจริงๆต้องบอกว่าคนที่สามารถส่งของรางวัลจำนวนเท่านี้ในสิบนาทีนั้นมีเพียงนับหัวคนได้


แมวน้อยของหลินหลินผู้นี้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน


“คู่แข่งในครั้งนี้แข็งแกร่งเกินไป เราสู้เขาไม่ได้เลยจริงๆ” บิงโกพูดออกมากับเฉียนเฉียนผ่านไมค์


“แต่นี้ก็ดีแล้วค่ะพี่บิงโก พี่ทำดีที่สุดแล้ว” เฉียนเฉียนเองก็พยายามจะยิ้มออกมาแต่เธอเองก็ยิ้มไม่ออก


เธอในตอนนี้นั้นอิจฉาเสียยิ่งกว่าอิจฉาจนกลัวเย่หลินไปแล้ว พลางคิดไปว่าหากว่าเงินหนึ่งล้านนี้เป็นของเธอล่ะก็เธอจะมีของนับร้อยอย่างที่จะเอาไปซื้อได้เลย


 


“แมวน้อย ขอบคุณจริงๆค่ะกับของขวัญมูลค่าหนึ่งล้านหยวนนี้ นี่เรารู้จักกันจริงๆรึเปล่าคะเนี่ย” เย่อหลินนั้นดีใจแต่เธอก็ไม่อยากจะถามเหตุผลมากนักว่าทำไมถึงให้เธอมากขนาดนี้


เธอเองก็รู้สึกได้ว่าไม่เคยเห็นชื่อผู้ใช้นี้มาก่อน และไม่เคยเห็นอยู่ในช่องอื่นเลยด้วยซ้ำ เธอนั้นรู้สึกแปลกใจจริงๆที่อยู่ๆก็มีคนห้องของรางวัลเธอมากขนาดนี้


“ผมก็แค่แมวน้อยของคุณก็แค่นั้นแหล่ะ” แมวน้อยของหลินหลินได้พิมพ์บอกไปก่อนที่เขานั้นจะส่งอย่างอื่นอย่างเพลงให้เพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย ละคนอื่นๆยังเข้ามาพยายามคุยกับเขาในห้องแชทส่วนตัวด้วย เพียงคืนเดียวก็ได้ทำให้ผู้ใช้คนหนึ่งในเว็บไซต์ชาร์คทีวีที่ชื่อว่าแมวน้อยของหลินหลินเป็นที่รู้จักกันไปทั่วเลยทีเดียว


GGS:บทที่ 917 หนังเวทมนต์


 


ในที่สุดแล้วซูจิ้งก็ไม่ได้แสดงตัวออกมา เขายังคงยืนพิมคุยกับเธอในฐานะแฟนคลับขั้นเทพที่ประทับใจตัวเธอในช่องสตรีมของเย่หลินทางช่องแชท


และเขาก็ไม่แสดงความต้องการอะไรที่เป็นพิเศษแม้แต่น้อยทั้งที่จ่ายเงินไปมากมายขนาดนั้นแล้วก็ตาม


 


เมื่อซูจิ้งกลับถึงบ้านเขาได้ตรงเข้าไปในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและอวกาศของเขาในทันที สิ่งแรกที่เขาทำคือการดูค่าการใช้ประโยชน์ขยะห้วงเวลาฯ


อย่างที่เขาคิดไว้ ในตอนที่เขาเข้าร่วมเสวนาทางพุทธศาสนากับวัดซาช่าและการที่เขาเข้าไปยึดสาขาของกลุ่มธุรกิจเครือข่ายMLM ได้นำพามาซึ่งค่าการใช้ประโยชน์มากกว่าเดิมสองเท่าโดยที่เขาแทบไม่ได้ลงแรงอะไรเลยสักนิด


 


หลังจากปลาบปลื้มในค่าการใช้ประโยชน์อยู่พักหนึ่ง ซูจิ้งก็ได้ไปหาเสี่ยวไป๋เพื่อดูผลงานการซ่อมที่เขาได้สั่งไว้ให้ซ่อมแซมเศษหนังสีขาวทั้งสามชิ้น เมื่อไปถึงเขาว่าเจ้าหนูได้ซ่อมหนังชิ้นหนึ่งเรียบร้อยแล้ว ส่วนอีกชึ้นน่าจะได้ประมาณ 77% และ 88% โดยประมาณ อีกไม่นานก็น่าจะเสร็จ


ซูจิ้งได้ทำการหยิบหนังสีขาวที่ซ่อมเสร็จแล้วขึ้นมา หลังจากเขามั่นใจว่าไม่มีอันตรายและซ่อมเสร็จแล้วจริงๆ แถมยังขาววิ้งสะอาดเอี่ยมอีกด้วย


ตอนที่เขาสัมผัสมันนั้นเขารู้สึกได้ถึงความนุ่มเนียนละมุนติดปลายนิ้วราวกับผิวของผู้หญิงก็ไม่ปานจนยากจะลืมได้ลง


แต่ไม่ว่าเขาจะลองดูยังไงก็ยังไม่พบความพิเศษของเจ้าหนังนี่อยู่ดีนอกจากพลังงานที่มันปล่อยออกมา แต่ยังไงซะเขาก็มั่นใจว่าของที่ซ่อมแซมได้อย่างยิ่งขนาดนี้จะไปเป็นของธรรมดาได้อย่างไร


ในระหว่างซูจิ้งได้ลองหมุนเจ้าแผ่นหนังนั้น มีอยู่ช่วงหนึ่งเขาได้ลองหยิบไปทาบกับส่วนต่างๆของร่างกาย อยู่ๆเจ้าแผ่นหนังสีขาวนี่ก็ได้ไปติดอยู่กับแขนของเขา


ซูจิ้งพยายามนำมันออกมาแต่เขาจับต้องมันไม่ได้อีกต่อไปราวกับมันนั้นได้เข้าแทนที่ผิวหนังของเขาไปที่เรียบร้อยแล้ว นี่เองก็ทำให้ซูจิ้งประหลาดใจไม่น้อยเหมือนกัน


 


แต่เขานั้นไม่อยากให้เจ้าหนังสีขาวนี่ติดตัวตอนไปไหนมาไหนแบบนี้ แต่เขาเองก็ไม่รู้จะเอามันออกมาได้ยังไงเหมือนกัน


“เดี๋ยวนะ ไอ้เจ้านี่มัน… ฉันว่าฉันคุ้นๆอยู่นะ” ซูจิ้งพลันได้นึกถึงใบหน้าแปลงโฉมที่อยู่ในห้วงเวลาฯจักรพรรดิ์แห่งดวงดาว


ใบหน้าที่ว่าสามารถเขาแนบกับผิวได้แบบนี้เช่นเดียวกัน แต่นั่นเองก็ถือได้ว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ชิ้นหนึ่ง ดูเหมือนว่าขยะห้วงเวลาฯกองนี้จะมาจากที่นั่นแหะ ว่าแต่ถ้าแผ่นนี้ยังติดได้ทั่วทั้งแขนแล้วเจ้าแผ่นใหญ่ที่ยังซ่อมอยู่นั่นไม่ใช่ว่าจะติดได้ทั้งตัวหรอกเหรอ


 


ซูจิ้งได้ลองหาวิธีในการเอาแผ่นหนังออกจากแขนอยู่สักพัก จนใจที่สุดเขาก็ได้ลองปล่องพลังภายในออกมาเล็กน้อยและนั่นดูเหมือนจะทำให้เขานั้นสามารถควบคุมแผ่นหนังนี้ได้


แน่นอนว่าเขาได้ลองสั่งมันให้ไปติดที่ลำตัวของเขาในทันที และก็เป็นดังที่คาด เจ้าแผ่นหนังสีขาวนี่สามารถแผ่ไปติดแนบชิดราวกับทดแทนผิวหนังของซูจิ้งในช่วงลำตัว


แถมเจ้าแผ่นนี่ยังไม่ต้องใช้พลังภายในควบคุมมากมายอะไร แต่เมื่อตัดพลังภายในไม่ให้ส่งไปยังแผ่นหนังนี่ก็จะทำให้มันหลุดออกมาเท่านั้นเอง ราวกับว่ามันเป็นหนังกำพร้าของหนังกำพร้าอีกที


หลังจากที่ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าเจ้าหนังสีขาวนี่ไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย ซูจิ้งนิ่งคิดไปสักพักแล้วได้ทำการถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกในทันที


หลังจากนั้นเขาได้ขับเคลื่อนกำลังภายในฉาบตัวเองไว้ทั่วร่างกายและได้ลองนำแผ่นหนังมาทาบเอาไว้ที่อกของเขา ทันใดนั้นก็ได้เกิดฉากที่น่าอัศจรรย์ออกมา


แผ่นหนังสีขาวได้ห่อหุ้มร่างกายของซูจิ้งไปทั่วทั้งตัวราวกับว่าในตอนนี้มีชั้นผิวหนังเพิ่มขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง


แต่เมื่อเขามองลงมายังร่างกายนั้นอดไม่ได้ที่จะนิ่งอึ้งไปในทันที นั่นก็เพราะเขามีก้อนเนื้อใหญ่ๆที่น่าอกสองก้อนทีมันดูเด้งดึ๋งและนุ่มนิ่มและกระเพื่อมตามแรงเขยื่อนของร่างกาย


เขาได้นำกระจกออกมาดูก็ถึงกับตกในในทันที นั่นก็เพราะว่าเขาในตอนนี้ได้กลายร่างเป็นสาวสวยแบบสุดๆที่มีผิวขาวเนียนน่ามอง น่าค้นหา น่าคว้าเอาไว้ครอบครองเป็นที่เรียบร้อย และไม่ว่าจะจับตรงไหนก็ดูเป็นของจริงไปซะหมดทุกส่วนเลยทีเดียว


“โว้ว… เจ้านี่มีไว้แปลงโฉมแหะ สุดยอดเลยนะเนี่ย” ซูจิ้งถึงกับอุทานออกมาในทันที พลางนึกถึงการแปลงโฉมในห้วงเวลาฯเรื่องเล่าแปลกๆจากเลี่ยวไฉ


เจ้าแผ่นหนังนี่ดีกว่ามากนักชนิดที่ว่าหน้ากากแปลงโฉมที่เขาได้มาก่อนหน้านี้เทียบไม่ติด


 


ในขณะที่เขากำลังลองอะไรหลายๆอย่างกับแผ่นหนังนี่ เสี่ยวไป๋ก็ได้ซ่อมแผ่นหนังแผ่นที่สองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซูจิ้งจึงได้ลองแผ่นหนังชิ้นที่สองนี่ทันที และเจ้าแผ่นนี้เองก็ทำให้เขากลายเป็นชายหนุ่มผิวขาวรูปงามในทันที


“แผ่นหนังทั้งสองนี่วิเศษจริงๆ แต่ฉันจะเอาไปทำอะไรล่ะเนี่ย” ซูจิ้งบ่นออกมา ต่อให้แผ่นหนังอันที่สองนี้จะทำให้เขาดูเป็นหนุ่มรูปงามชนิดที่เดินไปทางไหนก็คงมีแต่กรี๊ดกันไปหมดก็ตาม


แต่ยังไงซะก็ไม่ใช่ตัวเขาอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นหากเขาใส่เจ้าหนังนี่ไปหาฉือชิง ครับครัวของเขา หรือแม้แต่เพื่อน พวกนั้นก็คงจะจำเขาไม่ได้อย่างแน่นอน


โดยเฉพาะเจ้าแผ่นหนังแปลงโฉมเป็นสาวงามนี่ยิ่งแล้วใหญ่ แค่คิดว่าต้องเปลี่ยนร่างกลายเป็นผู้หญิงนี่ก็ไม่อยากอย่างแน่นอนอยู่แล้ว


แต่พอมาคิดๆดูแล้วก็คงดีกว่าเขาไม่ได้อะไรเลย อย่างน้อยเจ้านี่แม้จะทำประโยชน์ได้ไม่มากและเขาเองก็มีหน้ากากแปลงโฉมแล้วก็ตาม


แต่ก็คงมีเหตุการณ์ที่พอจะใช้ประโยชน์ได้บ้างล่ะนะ เอาจริงๆถ้าถึงเวลาที่เขาต้องใช้ แค่หน้ากากแปลงโฉมกับหนังสีขาวนี่จะพอรึเปล่าก็ยังไม่รู้เลย


ประโยชน์จากเจ้าหนังสีขาวนี่เพียงอย่างเดียวที่เขาคิดออกก็คือการใช้สร้างแรงดึงดูดอย่างมหาศาล ความคิดนี้พลันทำให้เขาคิดถึงค่าการใช้ประโยชน์ที่เขาอยากได้มากที่สุดตอนนี้ในทันที


นอกจากนั้นเขายังลองคิดวิธีหาประโยชน์จากการแปลงโฉมอย่างอื่นเช่นการหาเงินว่าจะใช้เจ้านี่ทำยังไงได้บ้าง


“จริงด้วย” ซูจิ้งเหมือนนึกอะไรได้บางอย่าง


เขาได้รีบหาเบอร์คนที่เขารู้จักในธุรกิจสตรีมทันที เขาคิดว่าการสตรีมนี่แหละเหมาะสมที่สุดแล้ว ถึงแม้มันจะมีโอกาสน้อยต่อยังไงก็ต้องลองก่อนถึงจะรู้ ต่อให้มันไม่ได้ตามที่หวังอย่างมากก็ล้มเลิกไปโดยไม่มีอะไรที่เขาต้องเสียอยู่แล้ว


เมื่อเจอเบอร์โทรศัพท์เขาได้โทรหากวงหยวน กวงหยวนเองก็รีบรับสายอย่างสุขใจในทันที


ซูจิ้งได้บอกกวงหยวนไปว่าเขานั้นอยากจะเป็นผู้สนับสนุนให้สตรีมเมอร์สักสองคนบนเว็บไซต์ชาร์คทีวีของเขา นี่ทำให้กวงหยวนดีใจจนน้ำตาแทบจะไหลและตอบรับคำขอในทันที


 


ซูจิ้งได้ขับรถตรงไปยังเขตใจกลางเมืองในทันที ไม่นานเขาก็มาอยู่ที่สำนักงานของชาร์คทีวี กวงหยวนเองก็ได้รออยู่ก่อนแล้ว เขาได้ต้อนรับซูจิ้งอย่างอบอุ่น เลขาของกวงหยวนเองที่เห็นท่าทางของหัวหน้าของเธอก็ได้รีบหาชามารับรองเขาในทันที


“คุณซูครับ คุณหาสตรีมเมอร์แบบไหนหรือครับ ผมจะได้ติดต่อได้ถูก” กวงหยวนถามออกมา


“ชายหนึ่งคนและหญิงหนึ่งคนน่ะ ไม่จำเป็นต้องเป็นที่ประสบความสำเร็จหรอก แต่ขอให้คนๆนั้นน่ารัก คุยเก่ง และสามารถร้องเพลงได้ก็ดี ถ้าจะให้ดีที่สุดล่ะก็ขอเป็นสตรีมเมอร์ที่อยู่นอกสายตาและไม่เคยมีประวัติได้ยิ่งดี” ซูจิ้งพูดออกมา


“หืม ก็จริงที่ว่าสตรีมเมอร์ที่ดีคือคนที่อินเตอร์เทนผู้ชมได้เก่ง แต่หากพวกเขาหน้าไม่ดีก็อยากจะดึงดูดผู้ชมนี่ครับ ในทางกลับกันหากเป็นสตรีมเมอร์ที่หน้าตาดีต่อให้นิสัยแย่ยังไงก็สามารถดึงดูดผู้ชมมากกว่าอยู่ดี หากไม่นับพวกสตรีมเมอร์ที่เป็นเกมเมอร์ล่ะก็ผมว่าอย่างหลังดีกว่านะครับ แถมไม่ต้องไปสร้างฐานผู้ชมใหม่อีกด้วย” กวงหยวนถามออกมาเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง


“ไม่ตั้งไปสนใจเรื่องหน้าตากับฐานแฟนคลับหรอก รีบๆไปหาสตรีมเมอร์ที่ตรงตามของฉันมาก็พอ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มจางๆ


“ทราบแล้วครับ” กวงหยวนให้เลขาฯของเขาไปค้นหาสตรีมเมอร์ตามความต้องการของซูจิ้งในทันที เมื่อเวลาผ่านไปสักพักเขาได้มอบข้อมูลมาให้ซูจิ้ง และแน่นอนว่าไม่ใช้ข้อมูลของคนเพียงคนเดียวแต่เป็นของสตรีมเมอร์หลายคน


นั่นก็เพราะว่าถึงซูจิ้งจะบอกความต้องการของเขามาแบบนั้นแต่ตัวเขาเองก็ยังเป็นกังวลว่าซูจิ้งจะสนับสนุนสตรีมเมอร์ได้ไม่สำเร็จจึงได้เลือกคนที่พอจะมีความสามารถนิดหน่อยแต่ดูดีมากๆมาด้วย ด้วยการที่มีเวลาเพียงน้อยนิดทำให้สตรีมเมอร์ที่เขาคัดมาให้ไม่มีใครเลยที่เป็นสตรีมเมอร์ที่ได้รับความนิยมเลยสักคนเดียว


ซูจิ้งได้เปิดอ่านข้อมูลทั้งหมดดู และนั่นกวงหยวนและเลขาฯของเขาก็พบว่าซูจิ้งนั้นสนใจแต่คนที่มีความสามารถเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และเขาเปิดผ่านคนที่หน้าตาดีแทบจะในทันทีที่เขาเปิดเจอ ดูเหมือนว่าเขาจะสนใจเฉพาะคนที่มีความสามารถจริงๆโดยไม่สนคนที่หน้าตาดีและพอมีฐานผู้ชมแม้แต่น้อย


 


หลังจากอ่านข้อมูลไปพักหนึ่งซูจิ้งก็ได้เลือกคนมาทั้งหมดสองคน


คนหนึ่งนั้นเป็นผู้หญิงที่แสนจะธรรมดาแต่เสียงของเธอนั้นดีมาก เพลงของเธอที่ร้องออกมานั้นแม้แต่กวงหยวนเองก็ยังต้องยอมรับ


นอกจากนี้เธอสามารถเล่นเปียโนไฟฟ้าได้ดีแถมยังคุยเก่งและนิสัยดีอีกด้วย เธอทำได้แม้กระทั่งเล่าเรื่องตลกได้อย่างออกรสออกชาติเลยทีเดียว


สิ่งเหล่านี้ทำให้เธอนั้นแม้จะมีหน้าตาที่ไม่ดีแต่ก็ถือว่าความนิยมของเธอใช้ได้ทีเดียว ถึงแม้จะไม่ได้ดังเปรี้ยงป้างแต่เธอก็หาเงินได้จากการสตรีมระดับหนึ่ง


 


อีกหนึ่งเป็นเป็นผู้ชายที่แถบจะไม่ได้รับความนิยมเลยแม้แต่น้อย เขาอ้วนและมีใบหน้าที่ใหญ่มาก ฐานผู้ชมของเขาเองนั้นก็เรียกได้ว่าน้อยสุดกู่เลยทีเดียว หากเทียบกับคนอื่นในเว็บไซต์ของเขาล่ะก็คนๆนี้ก็เปรียบได้ดั่งจุดเล็กๆจุดหนึ่งเท่านั้น


เขามีดีที่ดีดกีตาร์ และสามารถร้องเพลงได้ด้วยน้ำเสียงที่ทรงพลัง ก้องกังวาล จนทำให้ผู้ชมตื่นตะลึงได้ แต่นี่ก็ไม่ได้ทำให้เขาได้รับความนิยมสักเท่าไหร่นัก


เอาจริงๆก็คือสตรีมเมอร์ส่วนใหญ่นั้นเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และต่อให้เธอเหล่านั้นหน้าตาไม่ดีและมีทักษะไม่ดีก็ตามแต่ก็ยังได้รับความนิยมจากผู้ชมมากกว่าสตรีมเมอร์ผู้ชายอยู่ดี


 


หลังจากที่กวงหยวนและเลขาของเขาได้เห็นคนที่ซูจิ้งเลือกต่างก็ตกใจในทันที นั่นก็เพราะทั้งสองได้หาคนที่มีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมและหน้าตาที่ดีมาให้ตั้งมากมาย ต่อให้เวลาที่หามีน้อยแต่ทั้งคู่ก็ยังคัดเลือกมาอย่างดี


แต่กับทั้งสองคนที่ซูจิ้งเลือกนั้นกลับไม่ได้อยู่ในความคิดของทั้งสองแม้แต่น้อยจะไม่ให้ทั้งสองตกใจได้ยังไงกัน


ทั้งสองพลันคิดไปว่านี่ซูจิ้งจะเลือกสองคนนี้จริงๆเหรอ ต่อให้พาทั้งสองคนนี้ไปทำศัลยกรรมแบบยกเครื่องใหม่ก็ไม่น่าจะดึงดูดสายตาใครไม่ได้มากนักอย่างแน่นอน


GGS:บทที่ 918 การเปลี่ยนแปลง


 


“เป็นสองคนนี้แหล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา


“แน่ใจเหรอครับคุณซู” กวงหยวนได้ถามออกมาในทันทีนั่นก็เพราะเขาคิดว่าที่ซูจิ้งเลือกคนทั้งสองนี้เป็นเพราะเหตุผลแบบมือสมัครเล่นเท่านั้น


ต่อให้ทั้งสองคนที่ซูจิ้งเลือกแม้นั้นจะมีฝีมือที่น่าจับตามอง แต่เขาเองก็คิดว่านั่นยังไม่เพียงพอที่จะดึงดูดผู้ชมนั่นก็เพราะว่าสิ่งที่ผู้ชมอยากจะดูส่วนใหญ่นั้นต้องมีหน้าตาของสตรีมเมอร์เป็นสิ่งดึงดูดเป็นอย่างแรก


 


“แน่นอนน่า แถมสองคนนี้ยังอยู่ที่เมืองจงหยุนด้วย นี่ยิ่งทำให้ฉันไปหาพวกเขาง่ายเข้าไปอีก แน่นอนว่ามันก็ต้องขึ้นอยู่กับทั้งสองคนนี้ด้วยว่าอยากจะร่วมงานกับฉันรึเปล่า หากทั้งสองไม่ต้องการฉันค่อยหาคนใหม่ก็แค่นั้นเอง” ซูจิ้งพูดออกมา นอกจากนั้นเขายังได้ให้ซูฉือหาข้อมูลปูมหลังของทั้งสองเพิ่มเติมแล้ว นี่ยิ่งทำให้เขาอยากร่วมงานกับทั้งสองคนเข้าไปอีก


 


“งั้น…เอาตามที่คุณซูว่าแล้วกันครับ” กวงหยวนพูดออกมา ทั้งสองคนนี้ต่อให้เซ็นสัญญากับเขาอยู่ก็จริงแต่ในเมื่อซูจิ้งต้องการล่ะก็ อย่าว่าแต่เป็นสตรีมเมอร์ไร้ชื่อเลย


ต่อให้ซูจิ้งอยากได้สตรีมเมอร์ตัวท็อปของเว็บไซต์ของเขา เขาก็ยินดีที่จะยกให้ นั่นก็เพราะว่าเขาอยากสร้างความดีความชอบให้ซูจิ้งได้ประทับใจในตัวเขา


หลังจากซูจิ้งได้รับข้อมูลการติดต่อของทั้งสองคนมาแล้ว ซูจิ้งได้ติดต่อไปยังสตรีมเมอร์หญิงที่มีชื่อว่าหยินหนิงหนิงก่อนเป็นคนแรกโดยได้นัดเจอกันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง


เมื่อหยินหนิงหนิงได้พบซูจิ้งตัวเป็นๆ เธอได้ตื่นเต้นมากจนเห็นได้เพียงแค่มองด้วยต่อเปล่า ขนาดนั่งอยู่ตรงหน้าซูจิ้งเธอก็ยังไม่เชื่อว่าคนตรงหน้านั้นคือซูจิ้งอยู่ดี


 


ก่อนจะพูดคุยอะไรกันเธอได้ขอลายเซ็นจากซูจิ้งก่อนเป็นอันดับแรกเพราะเธอเองก็เป็นหนึ่งในแฟนคลับของซูจิ้งเช่นเดียวกัน


“ได้สิ ฉันรู้ดีว่าคุณเป็นแฟนคลับของผมเพราะเพลงส่วนใหญ่ที่คุณเล่นเองก็เป็นเพลงที่ผมแต่งนี่นา” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“เป็นเกียรติมากค่ะ แต่คุณจะยอมให้ลายเซ็นฉันจริงๆเหรอคะ” หยินหนิงหนิงถามออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ต่อให้เธอนั้นไม่คิดว่าซูจิ้งจะโกหกเธอหรือล้อเล่นก็ตาม แต่ด้วยการที่เขานั้นเป็นสุดยอดคนรวยและดาราดัง แน่นอนว่าเขานั้นไม่สมควรจะมีอะไรที่ต้องยุ่งเกี่ยวกันแม้แต่น้อย


นั่นก็เพราะว่าตัวเธอนั้นยากที่จะมีชื่อเสียงได้ ต่อให้เธอจะมีช่องสตรีมอยู่ก็ตาม แต่มันก็เล็กเกินกว่าที่จะทำให้เธอดังได้มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่เธอแน่ใจ


 


“อย่าพึ่งดูถูกตัวเองสิ เธอยังมีข้อดีอีกตั้งหลายอย่างเลยนะ” ซูจิ้งพูดออกมา


“แต่ว่าหน้าตาของฉัน…” หยิงหนิงหนิงพูดออกมาด้วยท่าทางที่ไม่มั่นใจในเรื่องหน้าตาของตัวเองมากมาก


“หากเรื่องนี้ทำให้คุณนั้นไม่มั่นใจตัวเองขนาดนั้นล่ะก็ ผมสามารถที่จะทำสุดยอดศัลยกรรมให้คุณได้โดยไม่ต้องผ่าตัดได้นะ แน่นอนว่าผมจะทำให้คุณดูดีกว่านี้เป็นร้อยเท่าเลยก็ยังได้”


 


“ฉันได้ยินมาว่าการศัลยกรรมพลาสติกนั้นแพงมากเลยค่ะ และด้วยสภาพหน้าของฉันนั้นก็ไม่แน่ใจว่าจะสำเร็จได้ง่ายๆเลย”


“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงครับ ค่าใช้จ่ายนี้ผมจะดูแลให้เอง ต่อให้ผมทำไม่สำเร็จก็ไม่คิดค่าใช้จ่ายคุณแม้แต่น้อยอย่างแน่นอน”


 


หลังจากคุยกันต่ออีกสักพัก หยินหนิงหนิงก็ได้ยอมรับข้อเสนอของซูจิ้งอย่างยินดี นั่นก็เพราะว่าอย่างแรกเธอนั้นอยากจะเปลี่ยนแปลงรูปโฉมของตัวเอง และอย่างที่สองเธอเชื่อมั่นในสุดยอดไอดอลประจำใจเธออย่างหมดใจ


ซูจิ้งได้พาหยินหนิงหนิงเข้าสู่กระบวนการศัลยกรรมในทันที แน่นอนว่าเขานั้นไม่จำเป็นต้องพอหยินหนิงหนิงไปโรงพยาบาลเพื่อศัลยกรรมจริงๆแม้แต่น้อย เขาแค่สะกดจิตเธอให้คิดว่าเป็นอย่างนั้นและแน่นอนว่าการศัลยกรรมตามแบบฉบับของเขานั้นเปิดเผยไม่ได้อยู่แล้ว


ในที่สุดแล้วหยินหนิงหนิงตอนที่รู้สึกตัวก็ได้นอนอยู่ที่บ้านแล้ว เธอได้ลุกขึ้นมาและส่องกระจกในทันที


แต่ทันทีที่เห็นใบหน้าของตัวในกระจกถึงกับต้องร้องกรี๊ดลั่นบ้าน นั่นก็เพราะว่าเธอประหลาดใจและไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่เกิดเป็นเรื่องจริง นั่นก็เพราะเธอในตอนนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปแทบจะทุกส่วนของร่างกายเลยทีเดียว


 


เรียกได้ว่าเป็นร่างกายสุดแสนจะเปอร์เฟค ไร้รอยขีดข่วน พร้อมทั้งใบหน้าที่สวยงามและผิวหนังอมชมพูราวกับว่าเธอภาวนาต่อพระเจ้าและพระเจ้าก็ได้ประทานร่างกายนี้มาให้เธอ ทุกส่วนในร่างเธอตอนนี้เป็นร่างกายในฝันของเธอเลยก็ว่าได้


“เป็นไปได้ยังไงกัน นี่มันเป็นจริงได้ด้วยอย่างนั้นเหรอ” หยินหนิงหนิงเองก็ยังไม่เชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเธออยู่ดี


“ตอนนี้ฉันก็คงพูดได้เพียงว่าหากการศัลยกรรมนี้ทำให้คุณไม่พอใจล่ะก็คุณยังสามารถกลับคืนสภาพเดิมได้อยู่นะ”


 


“ไม่ ไม่ใช่ค่ะ ฉันชอบมันจริงๆ” หยินหนิงหนิงรีบพูดออกมา ให้พูดตรงๆเลยก็คือเธอนั้นไม่มีทางบอกว่าไม่ชอบอยู่แล้วเมื่อเห็นร่างกายของตัวเองในตอนนี้


เมื่อนึกถึงว่าตัวเองนั้นเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ แต่ก็ยังมีเพี่อนที่โรงเรียนอยู่ การที่อยู่ๆเธอนั้นเปลี่ยนรูปร่างไปแบบนี้เพื่อนของเธอจะยังจำเธอได้อยู่รึเปล่านะ


เธอได้คุยกับซูจิ้งเรื่องข้อตกลงแล้วว่าตัวเธอนั้นละทิ้งตัวตนเดิมของเธอเพื่อแลกกับรูปร่างหน้าตาใหม่ที่ได้มา และรูปร่างหน้าตาที่เธอได้รับมาในตอนนี้นั้นแน่นอนว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ปฏิเสธจะไม่อยากมีได้


ตอนนี้เธอรู้สึกถึงความรู้สึกในใจตัวเองได้เลยว่าต่อให้เธอต้องเสียอะไรมากมายขนาดนั้นก็ต้องให้ร่างกายเธออยู่ในสภาพนี้ให้ได้อย่างแน่นอน


“เยี่ยม” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มอย่างปลื้มปลิ่ม


 


ถัดมา ซูจิ้งได้ไปพบสตรีมเมอร์ชายตัวอ้วนที่ชื่อว่าหวู่จูและทำให้หวู่จูนั้นสวมใส่หนังขาวที่เขาได้มาเช่นเดียวกัน เมื่อเขาได้เห็นตัวเองที่เปลี่ยนแปลงไปขนาดหนักทำให้หวู่จูยอมทำตามที่ซูจิ้งต้องการอย่างว่าง่าย


 


หลังจากซูจิ้งจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว กวงหยวนก็ได้โทรมาถามถึงผลการพูดคุยกับหยินหนิงหนิงและหวู่จูว่าเป็นอย่างไรบ้างเพื่อที่จะได้เตรียมตัวขั้นตอนต่อไปได้ถูก


เขาเพียงแค่นึกว่าซูจิ้งนั้นเลือกทั้งสองคนเพราะมีเหตุผลบางอย่างเลยทำให้เขาสนใจเป็นพิเศษ แต่เรื่องการศัลยกรรมนี่ไม่เคยเข้ามาในหัวเขาแม้แต่น้อยเลยจริงๆ


 


“ได้จังหวะพอดีเลย สองคนนั้นฉันคุยเรื่องการซื้อช่องของเขาแล้วละและพวกเขาก็ยินดีที่จะให้ความร่วมมือ ต้องขอโทษจริงๆที่ทำให้นายต้องเสียสตรีมเมอร์ไปถึงสองคน” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างเรียบๆ


เอาจริงเรื่องสัญญานี้ก็ไม่ได้มีค่าอะไรเลยแม้แต่น้อย เพราะสัญญาพวกนี้เป็นเพียงแค่การตกลงเรื่องเวลาการสตรีมเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องเงินนั้นขึ้นอยู่กับของรางวัลที่สตรีมเมอร์จะได้มาจากตอนสตรีมเท่านั้น


“ฮ่าฮ่า เรื่องเล็กน้อยครับ หากคุณสนใจสตรีมเมอร์จริงๆล่ะคุณสามารถเลือกคนในสังกัดผมไปก็ได้นะครับ” กวงหยวนพูดออกมา


“ไม่ต้องหรอก ฉันเลือกคนที่เหมาะสมไว้แล้วน่ะเดี๋ยวฉันจะพาไปแนะนำให้คุณรู้จักก็แล้วกัน คุณสามารถเซ็นสัญญากับทั้งสองคนนี้แทนคนที่ผมซื้อช่องเขาไปแล้ว เดี๋ยวฉันส่งข้อมูลไปให้นายพิจารณาก่อนก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมา


“ได้ครับ” กวงหยวนทำตามซูจิ้งอย่างว่าง่ายในทันที


 


ความจริงแล้วซูจิ้งเองก็เชื่อว่าทั้งหยินหนิงหนิงและหวู่จูนั้นจำนำพาเงินทองมาให้กวงหยวนได้อย่างมหาศาล


ในตอนเรื่องของเย่หลินเองกวงหยวนได้มอบเงินของตัวเองให้เขาแก้ปัญหาให้โดยไม่ต้องขอไปหนึ่งล้านหยวน ซึ่งนี่เองก็ทำให้ซูจิ้งรู้สึกดีไม่น้อยเลย


เขาเลยคิดว่าจะขอให้ทั้งกวงหยวนและหวู่จูตอบแทนกวงหยวนแทนเขาไป ถึงแม้ว่าตัวเขานั้นสามารถจะมอบเงินคืนไปตรงๆได้ก็ตาม แต่เขาเองก็อยากลองดูว่าพลังของหนังขาวทั้งสองนี้จะทำให้เขาได้รับค่าการใช้ประโยชน์ฯสักเท่าไหร่กัน


หากว่าสร้างค่าการใช้ประโยชน์ได้ดีจริงๆล่ะก็เขาจะพาทั้งสองไปบริษัทของซือหยาเพื่อเป็นจุดขายของบริษัทในทันที


 


กวงหยวงเองที่ได้ยินคำพูดของซูจิ้งนั้นก็คิดเพียงว่าสตรีมเมอร์ที่ซูจิ้งจะพามาแทนนั้นเป็นเพียงสตรีมเมอร์ธรรมดาเท่านั้น


แต่ทันทีที่เขาเห็นนั้นถึงกับตกใจในทันที ตั้งแต่เขาเป็นเจ้าของช่องสตรีมชาร์คทีวีนี้มาเขาเองก็ถือได้ว่าเห็นสาวงามและหนุ่มหล่อมามากมายหลากหลาย


แต่เขานั้นไม่เคยเห็นสาวงามและหนุ่มหล่อแบบนี้มาก่อนเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาอยากจะอุทานออกมาดังๆราวกับเห็นเทพยาดาเลยก็ว่าได้ เหมือนกับคนที่อยู่มาจนจะแก่ตายแล้วแต่ถึ่งจะเคยเชื่อเรื่องภูติผีปีศาจเทพเซียนพวกน้น


ไม่เพียงเท่านั้น เขายังรู้สึกได้ทันทีว่าทั้งสองคนนี้มีความสามารถที่ไม่สิ้นสุด หากทั้งสองเป็นสตรีมเมอร์เขาเชื่อได้เลยว่าช่องของพวกเขาไม่มีทางเงียบเหงาอย่างแน่นอน


 


ดังที่คาดไว้เมื่อหยินหนิงหนิงและหวู่จูได้เริ่มทำการสตรีม พวกเขานั้นได้เข้าระบบด้วยช่องของตัวเอง ทันทีที่ผู้ชมนั้นเห็นว่ามีการเปลี่ยนตัวสตรีมเมอร์คนใหม่ ตอนแรกแฟนคลับของทั้งสองก็โวยวายอยู่บ้าง แต่พอสำผัสได้ถึงความคุ้นเคยที่พวกเขาได้รับ พวกเขาก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรออกมา


ไม่เพียงเท่านั้นทั้งสองยังได้ของรางวัลจากผู้ชมอย่างล้นหลามมากกว่าที่เคยสตรีมมาทั้งชีวิต เพียงวันเดียว หยินหนิงหนิงก็ได้ของขวัญจากแฟนๆกว่าห้าหมื่นหยวน


ส่วนหวู่จูนั้นถึงแม้จะได้น้อยกว่าแต่ก็ไม่ได้น้อยหน้านักนั่นก็เพราะว่าเขาได้รับของขวัญไปกว่าสามหมื่นหยวน และส่วนใหญ่แล้วเขาได้ของรางวัลเป็นดอกกุหลาบจากผู้ชมไปกว่าครึ่งเลยทีเดียว


วันต่อมาและวันที่สามความนิยมของทั้งคู่ก็ยังพุ่งทะยานอย่างไม่หยุดยั้งราวกับจรวด จนกระทั่งในวันที่สี่มีได้ขอให้ทั้งคู่ล้างหน้าเพื่อโชว์หน้าสดของตัวเอง ทั้งสองก็ยินดีทำตามอย่างว่าง่าย ผลที่ออกมาคือใบหน้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลยสักนิด


นี่สร้างแรงกระเพื่อมให้กับเหล่าผู้ชมในทันที ซูจิ้งนั้นยินดีใจทันทีเพราะนี่ทำให้เขาได้รับสิ่งที่เขาคาดหวังไว้


“อืมมมมมม ทำไมฉันรู้สึกคุ้นเคยกับคำพูด น้ำเสียง และท่าทางของทั้งสองคนนี้จังเลยแหะ” เมื่อกวนหยวนทำงานเสร็จแล้ว เขาได้คิดถึงหยินหนิงหนิงและหวู่จูขึ้นมาในขณะที่กำลังดูวิดีโอการสตรีมของสองคนที่ซูจิ้งแนะนำมาให้เขา


อย่างไรก็ตามเขานั้นได้ส่ายหัวในทันทีและตัดสินให้เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น นั่นก็เพราะว่าสองคนนี่กับสองคนนั่นต่างกันราวกับฟ้าและเหว


GGS:บทที่ 919 มาจากที่นั่น


 


ซูจิ้งได้กลับไปยังสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและทำการตรวจสอบค่าการใช้ประโยชน์จากขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศดูในทันที อย่างที่เขาคาดไว้ ทั้งหยินหนิงหนิงและหวู่จูได้ทำให้เขาได้รับค่าการใช้ประโยชน์ฯจำนวนมาก นี่ทำให้เขาพึงพอใจอย่างมากเลยทีเดียว


เมื่อเวลาผ่านไปทั้งสองย่อมดังขึ้นเรื่อยๆและนั่นจะยิ่งทำให้ค่าการใช้ประโยชน์ของเขามากขึ้นไปด้วยเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าเงินที่เขาจะได้รับนั้นย่อมมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน


 


ซูจิ้งได้เลิกสนใจค่าการใช้ประโยชน์ฯและกลับไปจัดการขยะห้วงเวลาของเขาต่อ เขาได้คาดหวังจากขยะห้วงเวลาฯกองนี้มากขึ้น เจ้าเม็ดหินสีน้ำเงินและหนังสีขาวได้ทำให้เขาประหลาดใจได้พอสมควรเลย อีกทั้งเจ้าต้นไม้ทองแดงเพลิงที่เขาได้มาก่อนหน้านี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นสมบัติชนิดไหนอีกด้วย ยิ่งทำให้เขาตั้งใจในการหาสมบัติจากขยะห้วงเวลาฯกองนี้


ถึงแม้เขาจะยังไม่รู้ว่าขยะห้วงเวลาฯกองนี้มาจากที่ใด แต่อย่างน้อยๆเขาก็มั่นใจได้ว่าสถานที่ที่พวกมันจากมาย่อมไม่ธรรมดา


ตอนนั้นเองเจ้าเสี่ยวไป๋ก็ได้จัดการซ่อมแซมขยะห้วงเวลาฯกองกระดาษเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ซูจิ้งจึงได้เขาไปตรวจดูว่าพอจะมีอะไรใช้ประโยชน์หรือเป็นข้อมูลได้บ้าง


ยิ่งเขาจัดการกระดาษที่ซ่อมเสร็จมากเท่าไหร่เขาก็พบคำที่คุ้นหูคุ้นตาเขาอย่างเช่น “สำนักเต๋าหยวนเหมิน” “ประตูเวทมนต์เชินจ้ง” “สำนักพุทธ” “สำนักสารพัดช่าง” “โรงเรียนดาบเตียนเหอ” “เมืองไบชิ” “สุดยอดอาวุธเวทมนต์ฟุไฉ” “น้ำทมิฬ” “ท่ามกลางเวทมนต์นับพัน หนทางไม่สิ้นสุด ฉันขอถามหน่อยว่านายจะเรียนรู้ทั้งหมดในช่วงชีวิตนี้ได้รึไงกัน” “ดินแดนแห่งภูตคืออะไร มันก็แค่เรื่องเพ้อฝัน เต๋าอยู่ในใจ นี่สิคือความจริง”


 


ทันที่ซูจิ้งเห็นคำศัพท์ที่เขาคุ้นเคยมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมีสายตาที่เปล่งประกายมากขึ้นเท่านั้น ทันใดนั้นเขาก็พูดพึมพำออกมาว่า “พระเจ้า ห้วงเวลาฯที่ขยะพวกนี้จากมานั้นคือห้วงเวลาสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้าอย่างนั้นเหรอ”


ห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้านั้น เป็นห้วงเวลาฯที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าของเทพเซียนอมตะ สัตว์ประหลาด สัตว์อสูรมหันตภัย มังกร อาวุธเวทมนต์ วัตถุดิบทรงคุณค่า และสมบัติระดับโลก


 


ตัวเอกของเรื่องมีชื่อว่าเจียวเฟย เขาเป็นเด็กบ้านๆที่เกิดในเมืองไป๋ชิ ด้วยการที่เขานั้นได้พบนักบวชในลัทธิเต๋าและได้เกิดความเลื่อมใสจนทำให้เขานั้นกราบไหว้เป็นอาจารย์และเข้าสู่หนทางการฝึกตนเพื่อก้าวสู่การเป็นเทพเซียนอมตะ


ที่นั่นมีเหล่าผู้ฝึกตนที่ต้องการบรรลุสู่การเป็นเซียนอมตะ พวกเขาไม่สนใจเงิน ทอง หรือสมบัติใดๆ แม้แต่อาวุธวิเศษเองก็ยังถือได้ว่าเป็นเพียงของพื้นๆสำหรับที่นั่น


 


พวกเขานั้นสนใจเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือชีวิตที่เป็นอมตะ หากพวกเขาไปถึงขั้นนั้นได้ล่ะก็ มีเวลามากมายที่จะหาเงินทองอย่างแน่นอน เจียวเฟยที่เป็นตัวเอกนั้นยังสร้างปราสาทของตัวเองด้วยทองคำ และประดับประดาด้วยหยกและอัญมณีอันแสนล้ำค่าเต็มไปหมด


นี่หมายความว่าหากในขยะห้วงเวลาฯกองนี้จะมีของที่มีคุณค่าสูงบนโลกมนุษย์ติดมาด้วยอย่างอิญทองคำ แจกันหยกเขียว และเสาประดับเพชรพลอยก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด


 


ส่วนเจ้าเม็ดหินสีน้ำเงินก็สมควรจะเป็นวัตถุทางพุทธที่เรียกว่าพระธาตุ ส่วนเจ้าหนังสีขาวนั่นเองก็ควรสร้างจากวัตถุดิบอันทรงคุณค่า มิน่าถึงได้ซ่อมได้ยากเย็นนัก” ซูจิ้งในตอนนี้สามารถคาดเดาที่มาของเขาสมบัติที่เขาเจอมาก่อนหน้านี้อย่างช่ำชอง


 


ต้นไม้ทองแดงเพลิงที่ถูกเรียกว่าต้นประกายแดงเพลิงนั้นเป็นหนึ่งที่คนจากสำนักดาบเตียนเฮอที่เอาไว้ใช้ทำกระบี่บิน


เหตุที่มันเรียกว่าต้นประกายเพลิงนั่นก็มันเกิดมาจากเปลวเพลิง มันไม่เพียงแค่แข็งสุดๆตัวมันนั้นยังมีคุณสมบัติที่ดีกว่าทองแดงและเหล็กนับร้อยเท่า และด้วยการที่มันก่อกำเนิดมาจากไฟมันจึงมีความเหมาะสมกับวิชาของสำนักเตียนเหอพอดี


 


นี่เองจึงเป็นเหตุผลที่เหล่าผู้ฝึกตนของที่นั่นต่างก็พูดกันว่าต่อให้คนสำนักนี้พ่ายแพ้ด้วยเวทมนต์ แต่เพียงแค่ชักกระบี่ออกจากฝักศัตรูก็ปราชัย


ถึงแม้ว่าเจ้าต้นประกายแดงเพลิงนี้จะดีกว่าเหล็กและทองแดงนับร้อยเท่า แต่ตัวมันเองก็มีศัตรูโดยธรรมชาติที่ชื่อว่ามดเพลิง


 


พวกมันเป็นแมลงที่คอยหาวัตถุที่มีคุณสมบัติทางเปลวเพลิงเป็นกิจวัตร แน่นอนว่าเจ้าต้นประกายเพลิงนี่เองก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่มันควานหาเช่นเดียวกัน


แต่ให้กระบี่บินที่ทำจากต้นประกายแดงเพลิงนี้ถูกหลอมจนเป็นกระบี่ไปแล้ว แต่เจ้ามดพวกนี้ก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นแต่อย่างใด พวกมันสามารถตัวพบกระบี่บินพวกนี้ได้โดยง่ายและสามารถเขมือบกระบี่บินอันนั้นได้อย่างง่ายดาย นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้กระบี่บินแห่งสำนักเตียนเฮอนั้นแทบจะหายสาบสูญไปในทันทีที่ทิ้งไว้เฉยๆ


อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ซูจิ้งไม่ได้ใส่ใจอะไรนั่นก็เพราะว่าโลกนี้ไม่มีมดเพลิงพวกนั้น นั่นก็เท่ากับว่าต้นประกายเพลิงนั้นปลอดภัยและจะกลายเป็นวัตถุดิบในการบ่มเพาะของเขาอย่างแน่นอน


 


เจ้าเม็ดสีน้ำเงินที่ปล่อยคลื่นพลังแห่งความสงบออกมานั้นก็สมควรจะเป็นพระธาตุ พระธาตุโดยทั่วไปนั้นล้วนแล้วแต่แฝงเอาไว้ด้วยพลังเวทมนต์ พลังที่แฝงเอาไว้ในพระธาตุสีน้ำเงินนี้สมควรจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าเสียงแห่งความสงบ


ในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้านั้นถือได้ว่าเป็นวัตถุเวทย์มนต์ที่ด้อยค่าที่สุดอย่างหนึ่ง แต่กับโลกนี้ถือได้ว่ามันทรงพลังสุดๆ


 


ส่วนเจ้าหนังสีขาวที่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างของผู้สวมใส่นั้นหากเขาคาดไม่ผิดน่าจะทำมาจากหนังของปลาขาวในทะเลน้ำลึก


 


ปลาขาวนี้มีผิวหนังที่นุ่มนิ่มราวกับผู้หญิงสาวและขาวละมุนราวกับน้ำนม เจ้านี่สมควรจะเป็นอุปกรณ์รับสุดยอดของสำนักเจ้าสมุทรเวียนเตียน


แต่เดิมแล้วอาณาจักรเยช่านั้นอยู่ติดกับทะเล และผู้หญิงของอาณาจักรนี้ก็มือหน้าตาที่แสนจะอัปลักษณ์จนทำให้ผู้ชายในประเทศต้องหนีไปแต่งงานกับผู้หญิงจากอาณาจักรอื่น


 


จนกระทั่งมีปรมาจารย์แห่งประตูเวียนเตียนที่ชื่อว่า ยาชันดันฉิงที่ได้ไปทำอีท่าไหนก็ไม่รู้ถึงได้ไปลองตัดหนังของปลาขาวมาปะบนผิวของตัวเองราวกับว่าเป็นเครื่องประดับอย่างหนึ่ง


หลังจากนั้นเขาก็ตรงไปยังอาณาจักรเย่ชาและขายเจ้าหนังปลานี่ในราคาสูง แน่นอนว่าเหล่าผู้คนต่างแห่แหนซื้อกันอย่างรวดเร็ว แม้แต่ลูกสาวของราชาแห่งอาณาจักรก็ได้นำมาติดจนทั่วร่างกายจนกลายเป็นสาวสวยในทันที


 


เธอได้แต่งงานกับสุดยอดนักรบจากอาณาจักรอื่นและกลายเป็นคู่รักที่หวานชื่นจนหน้ามั่นไส้เลยทีเดียว


หลังจากเรื่องราวนี้ถูกเผยแพร่ออกไปทำให้มีการทำการล่าเจ้าปลาขาวนี่กันอย่างแพร่หลายจนกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการแปลงโฉมเลยทีเดียว


เมื่อถึงเวลาหนึ่งปลาขาวนี้แทบจะเรียกได้ว่าสูญพันธ์ไปทำให้หนังขาวนี้ขาดแคลนจนราคาพุ่งสูงและกลายเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของดินแดนมหาสมุทรแห่งนี้


 


ถึงแม้หนังปลาขาวนี้จะเป็นวัตถุเวทย์มนต์แต่ด้วยการที่มันใช้พลังภายในหล่อเลี้ยงเพียงน้อยนิดเท่านั้น


แต่ถึงกระนั้นเจ้าสิ่งนี้กลับไม่ได้รับความนิยมในอาณาจักรต่างๆที่ตั้งอยู่ใจกลางทวีปแต่อย่างใด


 


“ขยะจากห้วงเวลาฯสุสานโบราณไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้านี่เอง มิน่า ของแต่ละชิ้นถึงได้ทรงพลังมากนัก สังสัยต้องรื้อดูใหม่อีกรอบมั้งเนี่ยเพื่อว่าฉันจะพลาดของดีๆ” ซูจิ้งหัวเราะออกมาก่อนที่จะทำการจัดการขยะห้วงเวลาต่อ


 


บอกตรงๆเลยว่าของพวกนี้นั้นหากว่าเขานั้นได้เจอพวกมันในก่อนหน้านี้นั้นถือได้ว่าเป็นขยะไร้ค่าอย่างแท้จริง ต้องขอบคุณเสี่ยวไป๋ที่สามารถใช้สแตนด์ในการซ่อมแซมของพวกนี้ให้กลับมาเป็นสมบัติอีกครั้งหนี่ง


อย่างที่ว่าหากเป็นก่อนหน้านี้ต่อให้รู้ว่าขยะกองนี้มาจากที่ใดก็ตาม แต่ด้วยสภาพของมันเขาเองก็จนปัญญา ต่อให้เป็นคนจากห้วงเวลาฯสุสานโบราณไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้าเองก็ยากที่จะซ่อมของพวกนี้ได้


 


“เดี๋ยวนะ” ซูจิ้งได้หันไปมองยังกระจกที่มีลวดลายบางอย่างในทันทีและเขาก็ได้นิ่งไปพักหนึ่ง นั่นก็เพราะว่าเขาสัมผัสได้ถึงจิตอาฆาตได้ลางๆ แต่พอเขาตรวจสอบแบบจริงจังความรู้สึกนั้นก็ได้หายไป


ซูจิ้งเองในตอนนี้นั้นมีพลังจิตที่แข็งกล้าพอสมควรจึงมั่นใจได้ว่าไม่ผิดแน่ๆ เขาไม่มีทางปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปเป็นอันขาด


ซูจิ้งได้ให้เสี่ยวไป๋ลองซ่อมสิ่งของต่อไป หลังจากซ่อมไปได้สักพักมีเพียงของไม่กี่อย่างที่ซ่อมเสร็จ ซูจิ้งได้สัมผัสกลิ่นอายบางอย่างจากกระจกบานนี้ได้อีกครั้ง


“อืม…หรือว่าเป็นสมบัติอีกชิ้นกันนะ” ซูจิ้งนั้นประหลาดใจจนพูดออกมา ถึงแม้ว่าเขานั้นไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอสุดยอดอาวุธเวทมนต์อย่างฟุไฉจากขยะห้วงเวลาฯกองนี้


แต่ของทุกอย่างที่นี่ล้วนแล้วแต่ถือได้ว่าเป็นของสุดยอดบนโลกใบนี้ ไม่แน่ว่ากระจกบานนี้อาจจะเป็นวัตถุแฝงพลังบางอย่างก็เป็นไปได้ มีเพียงต้องลองดูเท่านั้น


 


หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ซูจิ้งก็ยังไม่พบของที่ดูมีค่าเพิ่มเติม เขาจึงได้ให้เสี่ยวไป๋ลองซ่อมแซมกระจกนี้ดู เหตุผลที่ว่าทำไมเขานั้นไม่บอกไปว่าซ่อมให้สมบูรณ์แต่เป็นเพียงการลองซ่อมดู


นั่นก็เพราะว่าเจ้ากระจกนี้อาจจะมีชิ้นส่วนที่ยังคงค้างอยู่ที่ห้วงเวลาฯสุสานโบราณไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้าที่มันจากมา


แน่นอนว่านั่นจะทำให้เสี่ยวไป๋ไม่สามารถซ่อมแซมกระจกบานนี้ได้ ต่อให้เสี่ยวไป๋นะมีพลังเพิ่มขึ้นมากแค่ไหนก็ตาม หากเป็นเช่นนั้นจริงซูจิ้งก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะทำอะไรกับเจ้ากระจกนี่


GGS:บทที่ 920 สุดยอดแห่งกระจก


 


พลังวิญญาณอันเข้มแข็งของซูจิ้งได้ตอบสนองต่อกระจกแตกอันนั้น ในขณะเดียวกันเขาเองก็รู้สึกได้ว่ากระจกบานนั้นราวกับมีวิญญาณสิ่งสู่อยู่


หลังจากเกิดการตอบสนองกันสักพัก กระจกก็ได้สั่นเล็กน้อยก่อนที่จะมีภาพปรากฎออกมา ตอนแรกเขาก็นึกว่าสิ่งที่กระจกสะท้อนออกมาเป็นเงาของเขาเอง แต่พอดูดีๆกลับไม่ใช่เงาของเขา


 


ในกระจกนั้นมีภาพของซูจิ้งเองที่ลักษณะแตกต่างจากปัจจุบัน เขาเองก็ได้ลองส่องไปยังของอื่นๆก็พบว่ามันนั้นสะท้อนภาพสิ่งของออกมาเป็นตอนที่มันสภาพสมบูรณ์ดี แตกต่างจากสภาพในปัจจุบันของพวกมันแต่ละชิ้นราวกับว่ากับลังเล่นหนังอยู่เลยก็ว่าได้


ด้วยการที่กระจกนี้มีชิ้นส่วนขาดหายไปสองชิ้น ชิ้นหนึ่งทางด้านซ้าย และอีกชิ้นหนึ่งทางด้านขวา ทำให้เขานั้นไม่สามารถมองภาพเห็นได้ในมุมกว้างมากนัก


ซูจิ้งค่อยๆทำการตรวจสอบกระจกนี้อย่างละเอียดละออ ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ เขาได้ลองทำการตรวจสอบต่อไป คราวนี้เป็นการทดลองถ่ายทอดพลังใส่เข้าไป เมื่อเขาส่งพลังภายในเข้า ปรากฎว่าภาพที่สะท้อนบนกระจกกลับหายไป


ด้วยที่เขานั้นได้ฝึกพลังภายในโดยการใช้เวทย์มนต์สัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่เขาได้ตำรามาจากห้วงเวลาฯล่าเรื่องลี้ลับตำนานจีน มันถือได้ว่าเป็นทักษะที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง และได้การฝึกเวทมนต์นั่นทำให้เขานั้นบ่มเพาะพลังภายในที่แท้จริงได้เพียงนิดหน่อย


 


ก่อนหน้านี่ที่เขาได้ใช้หนังขาวไปนั้นถึงแม้พลังภายในของเขาจะมีน้อยแต่ก็ถือได้ว่ายังเพียงพอต่อการใช้หนังขาวนั่น แต่กับกระจกบานนี้ที่เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะมันแตกหรือเปล่าในตอนนี้ต้องใช้พลังงานพอสมควรถึงจะใช้มันได้


 


ซูจิ้งได้เดินเข้าไปยังพื้นที่ระบบนิเวศเสมือนเพื่อฝึกฝนพลังงานภายในอย่างจริงจังอีกครั้ง เขาได้เดินไปยังต้นหลิวเพื่อทำการฟื้นฟูพลังภายในของตัวเอง


หลังจากนั้นเขาได้ทดลองใช้กระจกดูอีกครั้ง คราวนี้เขาเห็นภาพตัวเองกำลังเข้ามายังพื้นที่สิ่งแวดล้อมเสมือนก่อนที่จะเดินไปยังต้นหลิวก่อนที่จะนั่งลงเพื่อฟื้นฟูตัวเองและมาจบอยู่ที่ภาพในปัจจุบัน


 


คราวนี้ซูจิ้งเข้าใจได้ทันทีว่าเจ้ากระจกนี้เอาไว้ใช้ทำอะไร มันเป็นกระจกที่เอาไว้ใช้ดูเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ยิ่งใช้พลังงานภายในกับมันมากเท่าไหร่ก็ยังเห็นได้ย้อนกลับไปมากขึ้นเท่านั้น


ด้วยการที่ตอนนี้เขาเหลือพลังงานน้อยมากทำให้เขาสารถย้อนดูภาพเหตุการณ์ได้เพียงนิดหน่อยเท่านั้น


เจ้านี่สมควรจะเป็นหนึ่งในเครื่องมือหรือไม่ก็อาวุธเวทย์มนต์จากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้าเช่นเดียวกัน เจ้าสิ่งนี้ต่อให้อยู่ที่นั่นเองก็สมควรเป็นสมบัติอย่างแท้จริง ไอ้คนที่มาทำแตกแบบนี้ช่างเลวชาติอย่างมาก


 


“ความจริงเจ้ากระจกนี่ก็ถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่ดีเลยนะ เสียอย่างเดียวคือฉันนั้นอ่อนแอเกินไป ด้วยสภาพในตอนนี้ทำให้ฉันนั้นสามารถย้อนภาพดูได้เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นเอง


เฮ้อ หวังว่าคงจะยังไม่มีเหตุให้ต้องใช้นะ หากฉันมีพลังพอที่จะย้อนดูไปได้ถึงขั้นหนึ่งวันล่ะก็ คงจะรู้สึกดีพิลึกเลย


แต่การที่ต้องมานั่งฝึกพลังภายในอีกล่ะก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆเพียงวันสองวันก็ฝึกได้สำเร็จ ถึงแม้มันจะมีข้อดีคือทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นก็ตาม


แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ เวทย์มนต์นี้สามารถช่วยเพิ่มพลังภายในของเขาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และนั่นก็ยังไม่ถือว่าเป็นกำลังภายในที่แท้จริงแต่อย่างใด


หากเขายังคิดจะใช้วิธีนี้เพื่อเพิ่มปริมาณกำลังภายในล่ะก็ เกรงว่าคงต้องใช้เวลาอีกยาวนานนัก”


 


ซูจิ้งได้เก็บกระจกลงไปในกระเป๋ามิติและได้เดินเข้าไปยังพื้นที่หนึ่งในระบบนิเวศเสมือนแห่งนี้ ก่อนหน้านี้เขาได้ให้หนูลองกินแมลงแต่ละชนิดไปหลายตัวอยู่ และพวกมันเองก็ดูไม่มีท่าทีจะเจ็บป่วยยังไงเลย


แต่ทันทีที่เห็นสภาพของหนูในตอนนี้ ทุกตัวล้วนมีสภาพที่แตกต่างกันไปหมด


พวกมันแสดงท่าทางแปลกๆ ลิ้นของมันนั้นแลบออกมาจากปากพลางทำเสียงกระเส่าแปลกๆออกมาจนไม่มีใครคิดว่าเป็นเสียงหนูแม้แต่น้อย


แถมในตอนนี้ขาของมันก็ไม่ได้อยู่ในท่าทางวางเท้าแบบปกติ ตอนนี้เท้าทั้งสี่ของมันลู่ไปตามลำตัว สภาพของมันในตอนนี้ราวกับเป็นงูมากกว่าหนูเลยก็ว่าได้


จากสภาพของพวกมันในตอนนี้เหมือนกับการหมดลมเต็มที


 


“เป็นไปได้ยังไง แมลงพวกนั้นมีพิษอย่างนั้นหรอ” ในตอนที่เขาให้หนูกินแมลงแต่ละชนิดไปนั้น เขาได้ทำสัญญาลักษณ์เอาไว้ด้วยทุกตัว เจ้าหนูตัวนี้เขาให้มันกินงูสีแดงตัวเล็กๆที่แทบจะเหมือนแมลงตัวหนึ่ง ด้วยการที่ตอนนี้เขาไม่มีซากงูตัวนี้เหลือแล้วเขาเลยลองให้หนูอีกตัวกินงูสีแดงตัวนี้แบบเป็นๆ


หลังจากรอไปสักพักเพื่อสังเกตอาการของเจ้าหนูที่กินงูเป็นๆไป เจ้าหนูได้แสดงท่าทีเป็นลม หลังจากนอนแน่นิ่งไปสักพัก เขาเองก็คิดว่าเจ้าหนูตัวนี้ได้ตายแล้ว


แต่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยอยู่ๆร่างกายของเจ้าหนูก็แฟบลงและได้มีอะไรบางอย่างโผล่ออกมา เมื่อเขาเข้าไปดูใกล้ๆก็ได้เห็นว่าเป็นเจ้างูแดงตัวเมื่อกี้ค่อยๆเลื้อยออกมาจากซากหนูที่แฟบ


โดยเจ้าหนูในตอนนี้นั้นเหลือเพียงหนังของมันเลยจริงๆ ไม่มีกระดูก เลือด เนื้อ หรืออวัยวะภายในอย่างอื่นเหลืออยู่เลยจริงๆ


ฉากนี้ทำให้ซูจิ้งนั้นรู้สึกสยองจนขนลุกเลยทีเดียว แถมเจ้างูที่คลานออกจากเจ้าหนูตัวเมื่อกี้มันก็ตัวใหญ่ขึ้นด้วย เจ้าตัวนี้สร้างความกลัวต่อซูจิ้งได้เลยจริงๆ


 


เขาไม่มีความคิดที่จะเข้าใกล้เจ้างูแดงนี่อีกต่อไป เขาใช้พลังจิตจับมันยัดใส่ขวดโหลและตั้งเอาไว้ห่างๆ


“ดูเหมือนว่าฉันจะประมาทไปหน่อยแหะที่คิดว่าพวกมันนั้นเป็นวัตถุดิบในการทดลองเท่านั้น


ฉันเองก็น่าจะสำนึกเอาไว้ว่าพวกมันนั้นอาจมีพิษร้ายหรืออะไรบางอย่างที่น่าสยองขวัญก็ได้ ดูอย่างเจ้างูตัวนี้ที่ตอนแรกเขาเผลอคิดว่ามันเป็นแมลงไป”


ทันใดนั้นซูจิ้งก็ได้นึกถึงเรื่องราวต่างๆในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้าได้ว่าที่นั่นเองก็มีแมลงพิษอยู่มากมาย แถมพิษแต่ละอย่างล้วนแล้วแต่น่าสะพรึงกลัวทั้งนั้น


 


ไม่ว่าพวกมันอาจจะดูนิ่งๆหรือท่าทางอ่อนแอก็ตาม ถ้าพวกมันไม่มีพิษร้ายหรือทักษะอันร้ายกาจ มันจะไปอยู่รอดในโลกอันโหดร้ายแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะ


และเรื่องนี้ทำให้ซูจิ้งตระหนักได้ในทันทีเลยว่าของที่ยิ่งน่ากลัวเท่าไหร่ หากใช้ดีๆมันก็คือสมบัติชั้นเลิศนี่เอง


ตอนนี้ในเมื่อเขานั้นได้ตระหนักเรื่องนี้แล้ว แน่นอนว่าเขานั้นยังไม่ฆ่ามัน แต่จะเก็บมันไว้ศึกษาก่อน


“ห้ะ ทำไมเจ้าต้นไม้นี่ฟื้นคืนสภาพเร็วขนาดนี้เนี่ย” ซูจิ้งเพิ่งจะสังเกตุเห็นเจ้าดอกไม้ยักษ์ที่เขาเจอมาก่อนหน้านี้ ตอนแรกนั้นสภาพของมันแห้งเหี่ยว โหยระแหง โรยรา แถมยังมีแต่ร่องรอยเสียหายเต็มไปหมด ใบบางใบของมันส่วนหนึ่งก็ฉีกขาดแทบจะแยกเป็นสองท่อน


 


แต่ในตอนนี้พึ่งจะผ่านไปเพียงแค่วันเดียว เจ้าต้นไม้นี่ก็กลับฟื้นคืนสภาพมาดีขนาดนี้ได้ยังไง สภาพมันราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นกับมันเลยสักนิด แถมยังดูแข็งแรงมากๆอีกด้วย


ซูจิ้งได้ทำการสำรวจต้นไม้นี่อย่างจริงๆจัง จนคิดเข้าข้างไปว่าอาจเป็นฉิงหยุนที่รู้จักเจ้านี่จึงได้ปรับสภาพตัวเองให้มีความเหมาะสมกับต้นไม้นี่ที่สุด


แต่ถึงจะว่าอย่างนั้น แต่เขาก็ยังไม่พบว่าเจ้าดอกไม้นี่มีความวิเศษยังไงอยู่ดี มันดูธรรมดามากๆ ก่อนหน้านี้เขาก็ลองเอาใบที่ขาดออกมาให้หนูกิน แต่มาถึงตอนนี้ก็ดูไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย


 


เมื่อซูจิ้งไม่เห็นว่ามีอะไรน่าสนใจ เขาก็ได้ยอมแพ้ไปก่อนและได้ออกจากระบบนิเวศเสมือนนี้ไปและกลับไปจัดการขยะห้วงเวลาฯที่เหลือ หลังจากไปได้ไม่กี่ชั่วโมง ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่พอจะมีค่าเหลือให้เขาได้ใช้งานอีกแล้ว


ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เมื่อเขาดูก็เห็นเป็นเสี่ยวรุยจึงรีบรับสายในทันที แต่กลับมีเสียงผู้ชายที่ไม่คุ้นหูพูดออกมาจากปลายสายว่า “สวัสดีครับ คุณใช่คุณซู เอ่อ..ซูจิ้งรึเปล่า”


“แล้วคุณคือ?” ซูจิ้งถามออกมา


“ผมเป็นโค้ชสอนบิลเลียดและทำงานร่วมกับเสี่ยวรุยครับ วันนี้เขาไม่ได้ไปทำงาน ติดต่อก็ไม่ได้ ผมเลยมาที่โรงแรมที่เขาพักก็พบโทรศัพท์เครื่องนี้วางอยู่ที่เตียง ผมเองก็รู้สึกแปลกๆกับเรื่องนี้


ก่อนหน้านี้เขาตื่นเต้นกับเรื่องชางเกามากและก็ได้พูดถึงคุณบ่อยๆ ทำให้ผมพอจะรู้ว่าคุณกับเขามีสัมพันธ์อันดีต่อกันเลยโทรมาถามคุณว่าคุณพอจะรู้หรือเปล่าว่าเสี่ยวรุยตอนนี้อยู่ไหน”


 


“วันนี้ผมก็ไม่เห็นเขานะ คุณเห็นเขาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ครับ” ซูจิ้งถามออกไปพลางคิ้วขมวดเล็กน้อย


“เป็นเมื่อเช้าครับ ผมเห็นเขาหลังจากที่เขาไปวิ่งกลับมาแล้ว ผมเลยไปทำงานก่อน หลังจากนั้นก็ไม่เห็นเขาอีกเลย”


“ส่งตำแหน่งของโรงแรมมาทีครับ เดี๋ยวผมจะไปที่นั่นทันที” ซูจิ้งนั้นรู้สึกใจเต้นแปลกๆเมื่อได้ยินเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


หากเป็นคนทั่วไปก็คงคิดว่าเหตุการณ์ไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่กับซูจิ้งนั้นไม่ใช่อย่างแน่นอน


ด้วยการที่เขานั้นฝึกฝนตำราวิถีแห่งใต้หล้าจึงทำให้เขาสามารถคาดการณ์เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ระดับหนึ่งหากมีข้อมูลเข้ามาในหัวสมอง


ถึงแม้ว่าเขายังไม่บรรลุถึงขั้นมั่นยำขนาดคาดการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นได้แน่ๆ แต่เขาก็ยังเชื่อว่าเหตุการณ์แบบนี้ไม่ก่อให้เกิดเรื่องดีอย่างแน่นอน


ซูจิ้งก็ได้แต่เพียงหวังว่าเขานั้นจะคิดไปเอง แต่เขาก็ยังจำเป็นต้องไปเพื่อให้แน่ใจว่าเสี่ยวรุยจะปลอดภัยดี


GGS:บทที่ 921 สืบสวน


 


เสี่ยวรุยถูกเชิญให้มาเป็นผู้สอนบิลเลียดในเมืองจงหยุน เขานั้นมีกำหนดที่ต้องสอนในช่วงเวลาสิบวันในเวลาครึ่งเดือน เนื่องจากเขาไม่มีบ้านอยู่ที่นี่จึงได้พักอยู่ที่โรงแรม


ซูจิ้งขับรถตรงมายังโรงแรมที่เสี่ยวรุยพัก เขาสวมแว่นกันแดดไปด้วยเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตแต่ทันทีที่เขาไปถึงก็ถูกจำได้ตั้งแต่ทางเข้าเลยทีเดียว ที่ตรงนั้นมีชายหน้าเหลี่ยมได้ตรงเข้ามาอย่างรวดเร็วและถามขึ้นว่า “คุณซูรึเปล่าครับ”


“ใช่ ผมเอง” ซูจิ้งพยักหน้ารับ


“สวัสดีครับคุณซู ผมชื่อเหมาจิ้งหยู ผมเป็นเพื่อนร่วมทีมและเป็นเพื่อนร่วมห้องพักเดียวกับเสี่ยวรุย” ชายหน้าเหลี่ยมได้พูดออกมาอย่างจริงจัง


“สวัสดีครับคุณเหมา พาผมไปที่ห้องพักของพวกคุณก่อนเลยก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมา


“ได้ครับ” เหมาจิ้งหยูเองก็ไม่คิดจะยื้อความแต่อย่างใด เขาได้รีบพาซูจิ้งไปยังชั้นสามและตรงไปยังห้องสูทแบบที่มีสองห้องนอน ที่นั่นมีพื้นที่ห้องโถงและห้องนอนแยกกันสองห้อง


เมื่อไปถึง ซูจิ้งได้ปลดปล่อยกระแสจิตของเขาออกมาในทันที เขากวาดพลังไปทั่วทั้งห้องเพื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่แต่ก็ไม่พบอะไร


“ผมพบโทรศัพท์ของเขาอยู่ตรงนี้ครับ แล้วก็รองเท้ากีฬาคู่โปรดของเขาก็ไม่อยู่ที่นี่ แถมชุดกีฬาของเขาเองก็ไม่อยู่ด้วยเช่นกัน ผมก็เลยว่าเขาน่าจะออกไปวิ่งเมื่อตอนเช้าแต่ก็ไม่ได้กลับมาอีก” เหมาจิ้งหยูวิเคราะห์เหตุการณ์ให้ซูจิ้งฟัง


 


ซูจิ้งเองก็ได้ใช้กระแสจิตรของเขาตรวจจับออร่าของเหมาจิ้งหยูในขณะที่พูดเพื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติจากคำพูดของเขาหรือไม่ เขานั้นไม่ใช่ว่าจะไม่เชื่อใจใครแต่เป็นเพราะว่าเป็นห่วงเสี่ยวรุยเท่านั้นเอง


แต่เขาเองก็ไม่พบร่องรอยอะไรจากออร่าสั่นกระเพื่อมในขณะที่เหมาจิ้งหยูวิเคราะห์ออกมาก็จริง แต่ทำไมท่าทางของเขามันดูกังวลแปลกๆก็ไม่รู้


“เสี่ยวรุยไปวิ่งที่ไหนหรือครับ” ซูจิ้งถามออกมา


“ใกล้กับลานกิจกรรมของม.จงหยุนครับ” เหมาจิ้งหยูพูดออกมา


“พาผมไปหน่อยสิ” ซูจิ้งพูดพลางไปหยิบชุดของเสี่ยวรุยที่น่าจะยังมีกลิ่นของเขาอยู่และพูดออกมา


“เอ่ออ… คุณไม่ว่าคิดว่าเราควรจะเรียกตำรวจเหรอครับ” เหมาจิ้งหยูถามออกมา ความจริงเขาเองก็คิดว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นจริงๆและเสี่ยวรุยเองสมควรต้องการการช่วยเหลือจริงๆ แต่ที่เขาโทรหาซูจิ้งก่อนเพราะเสี่ยวรุยเล่าให้ฟังว่าเขามีคนรู้จักอยู่นี่จึงอยากจะตรวจสอบให้แน่ใจเฉยๆก่อนที่จะตัดสินใจอะไรไป


 


แต่ทุกคนที่เขาคิดว่ารู้จักเสี่ยวรุยต่างก็ไม่เห็นเสี่ยวรุยเลยสักคน และยังไม่รู้ว่าเขาไปไหนอีกด้วย นี่ทำให้เขารู้สึกไม่ดีขึ้นมาจริงๆ แม้แต่ซูจิ้งเองก็ยังคิดว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น นี่เขายังคิดว่าไม่ถึงเวลาทำหน้าที่ของตำรวจอีกเหรอ


 


“ยังไม่ต้องเรียกหรอกครับ เขาอาจจะแค่ไปเที่ยวเล่นที่ไหนก็ได้ สิ่งที่เราต้องทำก็แค่การสืบสวนให้แน่ใจก่อนก็เท่านั้น” ซูจิ้งพูดออกมา นั่นก็เพราะว่าเหตุแค่นี้ยังไม่พอที่จะโทรหาให้ตำรวจออกปฏิบัติการสืบสวนได้จึงยังไม่จำเป็น


อีกอย่าง หากว่าเสี่ยวรุยเกิดอุบัติเหตุจริงๆ สิ่งแรกที่ควรทำไม่ใช่การแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สำหรับคนทั่วไปแล้วตำรวจถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการสืบหาและสอบสวน


แต่กับซูจิ้งนั้น การสืบสวนของตำรวจนั้นช่างด้อยค่านัก เขานั้นมีวิธีการสืบสวนที่ดีกว่าตำรวจเป็นไหนๆ แถมหากเสี่ยวรุยนั้นถูกจับไปจริง ก็สมควรเป็นเหล่าผู้มีอิทธิพลในพื้นที่จริงๆเท่านั้นที่กล้าทำ หากนำตำรวจไปอาจเกิดอันตรายขึ้นได้


 


ความจริงซูจิ้งนั้นก็อยากให้หมาป่าสงครามของเขามาดมกลิ่นอยู่เหมือนกัน แต่ก็กลัวว่ามันจะเตะตาเกินไปเลยไม่ได้พามาด้วย นั่นก็เพราะว่าสถานการณ์ในตอนนี้นั้นยังไม่แน่นอน ครั้งนี้สมควรจะลองสืบแบบเงียบๆไปก่อน แน่นอนว่าตอนนี้เขาได้นำหน้าการแปลงโฉมพร้อมทั้งแว่นกันแดดมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ


“ก็ได้ครับ” ถึงเหมาจิ้งหยูอยากจะเรียกตำรวจขนาดไหนก็ตามแต่ที่ซูจิ้งพูดออกมามันก็ถูก ความจริงเขาก็อยากจะออกตามหาก่อนเหมือนกันแต่ก็ไม่ชำนาญพื้นที่จึงต้องไปโทรหาคนรู้จักของเสี่ยวรุยก่อนหน้านี้


ยังไงซะซูจิ้งเองก็สนิทกับเสี่ยวรุยแถมเขานั้นยังมีอิทธิพลกับที่นี่ไม่น้อยเลยทีเดียว หากซูจิ้งยืนกรานว่าอย่างนั้นเขาก็ว่าน่าจะเหมาะสมที่สุดเหมือนกัน


เหมาจิ้งหยูพาซูจิ้งเดินไปตามทางเดินตรงไปยังมหาวิทยาลัยจงหยุน และเดินเข้าไปยังลานกิจกรรม เหมาจิ้งหยูเพียงแค่ทำหน้าที่เดินนำทางไปยังพื้นที่ต่างๆ ส่วนซูจิ้งนั้นเงียบไม่พูดอะไร ทำเพียงแค่เดินตาม บางครั้งก็หยุดเพื่อตรวจสอบดู ตอนนี้ในกระเป๋าของเขานั้น มีหนูขาวตัวหนึ่งอยู่


 


จมูกของมันทำท่าฟุตฟิตดมกลิ่นคลอดเวลา บองครั้งมันก็ทำการกระตุกเสื้อซูจิ้ง ซูจิ้งเองก็เหมือนทำทางคุยกับมันสักคำสองคำเหมือนกับว่าจะคุยกันได้จริงๆ


“ฉันเองก็ได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับคุณซูมานานแล้ว แต่ต่อให้เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวรุยจริง เขาจะหาเสี่ยวรุยได้ยังไงกัน ยิ่งไปกว่านั้นที่เขาทำมันช่างดูแปลกพิกล นี่เขาคุยกับเจ้าหนูนั่นได้จริงๆเหรอ” เหมาจิ้งหยูบ่นออกมาอยู่ในใจ


คราวนี้ซูจิ้งได้หยุดก่อนจะพูดออกมาว่า “เสี่ยวรุยมาวิ่งที่นี่จริงๆแต่ดูเหมือนว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่นี่นะ”


เหมาจิ้งหยูหยุดนิ่งในทันที ตอนนี้ทั้งสองได้เดินข้ามไปยังถนนนอกมหาวิทยาลัยตรงไปยังต้นไทรที่ปลูกอยู่อีกฝั่งหนึ่งข้างพื้นที่ที่เป็นทางเดิน


เขานั้นมองซ้ายมองขวาก็ไม่พบร่องรอยอะไรเลยสักนิด เขาทำการดูดีๆอีกรอบแล้วก็ไม่เจออะไรเลย ทำให้เขาไม่เข้าใจในทันทีว่าซูจิ้งนั้นใช้อะไรเป็นจุดสังเกตกันแน่


ซูจิ้งนั้นไม่ได้อธิบายอะไร นั่นก็เพราะว่าที่โรงแรมนั้น ซูจิ้งได้หนูขาวที่พามาด้วยดมกลิ่นของเสี่ยวรุยและจดจำเอาไว้


หลังจากมาถึงมหาวิทยาลัยจงหยุนนี้เขาก็เดินไปรอบๆก็ได้พบกลิ่นของเสี่ยวรุยจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นสนามวิ่ง ม้านั่ง บาร์ต่างระดับ หรือแม้แต่บาร์โหน


แต่ยังไงก็ตามในเมื่อพื้นที่ตรงนี้ต่างก็มีคนมาใช้จึงเป็นที่ที่ไม่น่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ นอกจากนี้ยังมีจุดที่เสี่ยวรุยเดินไปยังถนนแล้วไม่มีร่องรอยกลับมาราวกับว่าอยู่ๆก็หายไป แถมจุดนี้ยังมีกลิ่นที่แรงที่สุดอีกด้วย แน่นอนว่านี่จึงเป็นที่สุดท้ายที่เสี่ยวรุยอยู่


 


เมื่อซูจิ้งเดินข้ามถนนไป หนูขาวก็ได้กลิ่นของเสี่ยวรุยมากกว่าเดิมโดยมาจากพื้นและต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ โดยที่กลิ่นพวกนี้นั้นสามารถจะไปหลงเหลือไว้บนสิ่งของพวกนี้ได้ก็ต้องเป็นเพราะเสี่ยวรุยสัมผัสโดยตรงเท่านั้น และแน่นอนเสี่ยวรุยไม่ว่างพอที่จะนึกสนุกมาเล่นปีนต้นไม้แบบนี้เป็นแน่


 


นอกจากนี้ซูจิ้งยังได้ปล่อยกระแสจิตออกมาตรวจสอบซ้ำอย่างละเมียดในทุกที่ที่เจ้าหนูตัวนี้ได้กลิ่น และมีเพียงครั้งนี้เท่านั้นที่เขาพบร่องรอยอย่างอื่นนอกจากกลิ่น ต่อให้มีการลบร่องรอยเหล่านี้จนหลุดรอดจากตาเปล่าแต่ก็ไม่มีทางหลุดรอดจากกระแสจิตของซูจิ้งได้โดยง่ายอย่างแน่นอน


 


อย่างไรก็ตามจากหลักฐานเพียงแค่นี้ พวกเขาบอกได้เพียงว่ามีบางอย่างผิดปกติเท่านั้นแต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือแม้แต่เสี่ยวรุยนั้นไปไหนกัน


ต่อให้เรียกหมาป่าสงครามมาจึงก็คงต้องอาศัยแต่โชคเท่านั้นที่จะเจอเสี่ยวรุยเพราะในตอนนี้กลิ่นของเขาหน้าจะปนกับกลิ่นอื่นไปหมดแล้ว


 


ซูจิ้งได้ปลดปล่อยกระแสจิตออกมาเป็นวงกว้างเพื่อสำรวจรอบๆเพื่อหาร่องรอยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อยู่ๆหัวใจของซูจิ้งก็เต้นแรง และเขานั้นได้นึกถึงกระจกที่เขาเพิ่งจะได้มาก่อนหน้านี้


เจ้ากระจกบรอนซ์นี้สามารถย้อนดูได้ว่าเกิดอะไรขึ้นโดยไม่ต้องสนใจเรื่องหลักฐานเลยนี่นา


“คุณลองไปดูรอบๆนี่หน่อยเพื่อว่าจะเจอร่องรอยของเสี่ยวรุยบ้าง” ซูจิ้งพูดออกมา


“ได้ครับ” ถึงแม้ว่าเหมาจิ้งหยูจะรู้สึกแปลกๆในความต้องการของซูจิ้งอยู่บ้างและอยากจะโทรหาตำรวจมากมายขนาดไหนก็ตาม


 


แต่เขาเองก็เข้าใจได้ดีว่าตอนนี้กำลังทำการสืบสวนอยู่จริงๆ เพียงแต่เขาเองก็ยังไม่เชื่อมั่นในตัวซูจิ้งก็เท่านั้น ถึงกระนั้นเขาก็ยังยินดีทำตามและรีบไปค้นหาโดยรอบในทันที


หลังจากที่เห็นเหมาจิ้งหยูออกไปได้หลายเมตรแล้ว ซูจิ้งก็ได้นำกระจกบรอนซ์ออกมา ตอนนี้เขาพักมาได้พอสมควรแล้วก็น่าจะพอมีพลังใจการย้อนภาพดูได้ไกลอยู่เหมือนกัน


ซูจิ้งได้ปล่อยพลังภายในใส่เข้าไปในกระจก กระจกก็ได้ปรากฎภาพออกมาแต่มันก็ยังแสดงได้เพียงแค่ไม่กี่วิยาทีเท่านั้นเอง


“ฉิบ… ไม่ได้เรื่องจริงๆเหรอ นี่ฉันไม่สามารถใช้กระจกนี่ในตอนนี้ได้จริงๆเหรอเนี่ย” ซูจิ้งบ่นออกมาพลางถอนหายใจยาวๆ ก่อนที่จะเดินตามเหมาเจิ้งหยูที่เดินไปก่อนหน้านี้แล้ว พลางหยิบชุดของเสี่ยวรุยโยนไปบนพื้น


หลังจากนั้นซูจิ้งเปิดกระเป๋ากักอสูรออกมา ทันใดนั้นหนูจำนวนนับไม่ถ้วนก็ได้ออกมาในทันที พวกมันดมกลิ่นของเสี่ยวรุยและได้ทำการวิ่งไปในทุกทิศทางที่แทบจะไม่ซ้ำกันเลย


 


เจ้าหนูพวกนี้ถูกฝึกมาอย่างดีโดยซูจิ้ง แน่นอนว่าพวกมันไม่ใช่แค่เพียงสัตว์ฝึกธรรมดา พวกมันนั้นไม่เพียงจะสวาปามปลาเขี้ยวหยกไปเป็นจำนวนมากจนทำให้พวกมันมีทักษะสูงยิ่งกว่าหนูปกติอีกด้วย


หลังจากนั้นสักพักก็ได้มีหนูตัวหนึ่งวิ่งมาพร้อมคาบบางอย่างมาให้ซูจิ้งอีกด้วย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)