Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 912-913
GGS:บทที่ 912 ปัญหา
เหล่าผู้ติดตามเรื่องราวบนโลกอินเตอร์เน็ตทำหน้าโง่งมในทันทีที่เห็นข่าวผลการเสวนาทางพระพุทธศาสนาที่พึ่งจะรายงานออกมา
แฟนคลับของซูจิ้งนั้นเมื่อเห็นข่าวนี้ก็มีความสุขกันถ้วนหน้าเมื่อได้รับข่าวว่าไอดอลของเขานั้นได้รับชัยชนะอีกแล้ว
“ฉันก็อยู่ที่นั่นนะ ฉันยังคิดอยู่เลยว่าพวกนิกายนั่นน่าจะชนะ ใครจะไปคิดว่าผลออกมาเป็นผู้นำนิกายต้องมาคุกเข่าขอเข้าร่วมแบบนี้”
“นี่เขาจึงเรียกว่ากลับตาลปัตรยังไงล่ะ เป็นไปได้ว่าฝั่งนั้นไม่ได้เข้าใจวิถีแห่งความสงบมากนักจึงได้แพ้ไปอย่างง่ายๆ”
“นายพูดอะไรงี่เง่าชะมัดเลย ผู้นำนิกายคนนั้นเองก็ถือได้ว่าเป็นพระที่ถูกนับหน้าถือตาคนหนึ่งเลย เขายังขายหนังสือเกี่ยวกับวิถีแห่งความสงบและยังเปิดกระทู้เพื่อตอบเรื่องพวกนี้จนมีชื่อเสียงระดับหนึ่งเลยนะ นี่จะบอกว่าเขานั้นรู้แบบตื้นเขินอ่ะนะไม่มีทางหรอก มันมีอย่างเดียวนั่นก็คือซูจิ้งนั้นมีความรู้ความเข้าใจที่เหนือกว่า สมกับเป็นตำนานแห่งยุคสมัยจริงๆ”
ความจริงแล้วการเสวนาทางพระพุธศาสนาแบบนี้นั้นเป็นเรื่องที่ควรจะพูดคุยกันเฉพาะในเหล่าผู้ศรัทธาเท่านั้นและนั่นเองทำให้เรื่องศาสนานี้เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ
แต่จากวิดีโอของซูจิ้งร่ายยาวเรื่องวิถีแห่งความสงบและศาสนาพุทธนี้ออกไปทำให้ทุกคนนั้นเปลี่ยนความคิดในทันที ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นวงกว้างมากนักแต่ก็ยังถือได้ว่าทำให้ผู้คนทั่วไปได้สัมผัสถึงวิถีแห่งความสงบได้อยู่ดี
สำหรับเรื่องที่ผู้นำนิกายเมตตาและโชคนำพา เหล่าสาวก และพระในวัดซาช่าที่ต้องการนับถือซูจิ้งเป็นศาสดาและต้องการรับฟังคำสั่งสอนจากซูจิ้งอีกนั้น
แน่นอนว่าซูจิ้งไม่มีทางยอมรับอย่างแน่นอน เขาเพียงบอกพวกนั้นว่าอย่ามาก่อปัญหากับวัดหลานเล่ออีกก็พอแล้ว
“ประสกซูไม่คิดอีกทีหรือเรื่องที่ว่าไม่ยอมเป็นนักบวชและเผยแพร่ศาสนาน่ะ” ปรมาจารย์เชิงหยานถามออกมาพลางถอนหายใจ
“เอาจริงๆประสกไม่ต้องเป็นนักบวชก็ได้นะ เพียงแค่ประสกพูดเกี่ยวกับศาสนาพุทธออกมาแค่นั้นก็ทำให้ผู้คนเลื่อมใสในพุทธศาสนาอย่างแน่นอนอยู่แล้ว เอาแค่เผยแพร่แต่ไม่ต้องบวชก็ได้นะ” เจ้าอาวาสซูหยุนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าอาวาสซูหยุนพูดได้ถูกต้องแล้วครับ” ซูจิ้งพยักหน้าและหัวเราะออกมา นั่นทำให้เจ้าอาวาสซูหยุนโปรดปรานซูจิ้งมากกว่าเดิม
“คุณซู ผมนับถือคุณจริงๆ” เตียนจงยี่ ชายอ้วน และเหล่าผู้สักการะพระอจละในตอนนี้ต่างก็รายล้อมรอบซูจิ้งและมองซูจิ้งไปด้วยสายตาที่รู้สึกเลื่อมใส พวกเขาในตอนนี้นั้นอยากจะโยนซูจิ้งเพื่อฉลองด้วยซ้ำ
ซูจิ้งยิ้มออกมาและก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขารู้ดีว่านี่ไม่ใช่ความสามารถของเขาแต่อย่างใด แต่นี่เป็นพลังที่ได้มาจากเม็ดหินสีน้ำเงิน
ถ้าจะให้บอกตรงๆล่ะก็ต่อให้เขาไม่ใช้เม็ดหินสีน้ำเงินนี้แล้วใช้การสะกดจิตโดยตรงก็ยังได้ แต่ว่าทำอย่างนี้มันได้ผลลัพท์ดีกว่าการสะกดจิตโดยตรงอยู่แล้ว
นั่นก็เพราะจากประสบการณ์ของซูจิ้งนั้น ยิ่งมีพลังงานวิญญาณแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็อยากแต่การสะกดจิตได้ และผู้นำนิกายเมตตาฯนี้อย่างน้อยก็ยังเป็นพระรูปหนึ่ง ไม่มีทางที่จิตของหมอนี่จะต่ำได้อย่างไรกัน หากสะกดจิตได้ง่ายๆนี่คงไร้เหตุผลอย่างแน่นอน
แต่กับการใช้เม็ดหินสีน้ำเงินนี้ก็อีกเรื่องหนึ่ง ผลของมันนั้นคล้ายกับการสะกดจิตอ่อน แน่นอนว่าการสะกดจิตนี้ไม่ใช่การสะกดสมบูรณ์ มันเหมือนกับการทำให้ต้องมนต์สะกดมากกว่า นั่นก็เพราะว่าทุกคนที่โดนมนต์สะกดนี้ยังเป็นตัวของตัวเองอยู่
“คุณซู ผมหวังว่าคุณนั้นจะยอมรับผมเป็นสาวกด้วยครับ” เมื่อซูจิ้งเดินออกมาจากเจ้าอาวาสและพระรูปอื่นๆจากวัดหลานเล่อนั้น ก็ได้มีชายวัยกลางคนในชุดนักบวชเข้ามาคุกเข่าขวางทางไว้
ซูจิ้งชะงักและมองไปยังคนที่มาคุกเข่าตรงหน้าเขา คนผู้นี้ไม่ได้โกนหัวแต่อย่างใด เขานั้นคือคนที่นั่งอยู่ข้างผู้นำนิกายนามเหรินซินจิเมื่อตอนเสวนากันเมื่อสักครู่นี้ และดูเหมือนว่าเขาเองจะมีฐานะสูงในนิกายเลยทีเดียว
“ฉันบอกแล้วว่าไม่รับสาวกหรือลูกศิษย์อะไรทั้งนั้น” ซูจิ้งส่ายหัวออกมา
“คุณซู ผมนั้นเลื่อมใสคุณจริงๆนะ ตัวผมนั้นฝึกตนทางพุทธศาสนาซ้ำยังเรียนรู้กับผู้นำนิกายฯมาอยู่นานจนผมนึกว่าเข้าใจศาสนาพุทธอย่างรู้แจ้งแล้ว แต่มาวันนี้ผมถึงรู้ตัวว่าตัวเองเข้าใจผิดไป
คุณซูเปรียบได้ดั่งร่างอวตารของพระพุทธเจ้า ได้โปรดเถิดคุณซูโปรดชี้ทางให้ผมด้วย” ชายวัยกลางคนคุกเข่าขอร้องด้วยใบหน้าของผู้หลงผิด
ซูจิ้งได้หันหน้าไปมองผู้นำนิกายและสาวกคนอื่น พวกเขานั้นต่างก็พูดไม่ออกกับภาพที่เห็น พลังของเจ้าเม็ดหินสีน้ำเงินช่างเข้มแข็งจริงๆ ดูเหมือนว่าค่อนข้างจะดีไปหน่อยแหะ
“ยืนขึ้นก่อนเถอะครับ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ได้ครับ” ชายวัยกลางคนพูดออกมา แต่จากท่าทางแล้วเข้านั้นไม่ยอมแพ้เรื่องนี้ง่ายๆอย่างแน่นอน
ถึงแม้ซูจิ้งและเจ้าอาวาสซูหยุนจะเดินออกมาแล้ว แต่ชายคนนี้ก็ยังเดินตามมาราวกับวัวตามนาย นอกจากนั้นเขายังคอยเสนอตัวเองตลอดเวลาพร้อมทั้งให้นามบัตรซูจิ้งไว้อีก
ซูจิ้งเองก็รู้ปูมหลังของชายวัยกลางคนผู้นี้พอสมควร เขานั้นมีชื่อว่ากวงหยวน เขานั้นเป็นผู้บริจาคหลักของกลุ่มเมตตาฯนี้ แน่นอนว่ายังมีอีกคนอีกหลายคนที่ตกเป็นสัตว์เลี้ยงของนิกายนอกรีตแบบนี้
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เองซูจิ้งก็หาได้ใส่ใจไม่ การที่เขามาที่นี่ก็เพราะเป็นโอกาสที่จะได้ออกทีวีเท่านั้นเอง
ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ได้ต้องการให้กวงหยวนบริจาคเงินให้เขาอย่างไร้เหตุผล แน่นอนว่ารวมถึงคนที่ถือตัวเองว่าเป็นสาวกคนอื่นของเขาเองก็เช่นเดียวกัน
อีกอย่างเขาและกวงหยวนนั้นไม่ได้มีเรื่องขัดแย้งหรือเกลียดชังกัน และตัวกวงหยวนเองไม่ได้เป็นคนอันตรายแต่อย่างใด ทำไมเขาถึงต้องปล้นเงินจากคนที่เพียงหลงงมงายจนโดนหลอกลวงซ้ำเติมเขาไปอีกกัน หากทำอย่างนั้นเขาก็คงไม่ต่างจากพวกโจรหรือนักต้มตุ๋นเป็นแน่
ในขณะที่ซูจิ้งกำลังพยายามที่จะพูดอะไรบางอย่างให้กวงหยวนตัดใจนั้นก็ได้มีเสียงโทรศัพท์ของซูจิ้งดังขึ้น พอหยิบขึ้นมาดูก็เห็นเป็นแม่ของเขาจึงได้รีบรับสายในทันที
“ครับแม่ วันนี้ไม่มีสอนเหรอครับ มีอะไรรึเปล่าแม่ถึงได้โทรมาเวลานี้น่ะ”
“แม่โทรมาช่วงพักระหว่างคาบ พอดีว่าปิงน้อยเกิดเรื่องขึ้นน่ะ” แม่ของซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงกังวล
“เกิดอะไรขึ้น” หัวใจของซูจิ้งที่ได้ยินคำพูดนี้ถึงกับหดเกรงในทันที ปิงน้อยที่ว่านี้มีชื่อเต็มว่าเย่ปิง เขาเป็นลูกชายของน้องชายของแม่เขาหรือก็คือมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขานั่นเอง
ลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้เป็นญาติฝั่งแม่และสนิทกันมาก ตอนเขาเป็นหนุ่มนั้นเขาเป็นที่รักของคนในบ้าน ขนาดหมาของเขายังชอบเล่นด้วยเลยทั้งๆที่เข้ากับคนยากก็ตาม
ตัวเย่ปิงนั้นเป็นคนใจดี ตอนเขายังเด็กครอบครัวของเขานั้นค่อนข้างยากจนและก็ได้เย่ปิงคอยช่วยเหลือตลอด และแน่นอนว่าเขาและเย่ปิงนั้นมีความทรงจำดีๆต่อกันมากมายนัก
ถึงแม้จะรู้สึกเป็นคนแปลกหน้าไปบ้างเมื่อตอนโตขึ้นก็ตาม แต่ก็ยังถือได้ว่ามีสายสัมพันธ์อันดีต่อกันอยู่ดี เมื่อเขารู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้แน่นอนว่าต้องหวั่นไหวเป็นธรรมดา
“เท่าที่แม่รู้มานั้นเหมือนว่าลูกพี่ลูกน้องของลูกนั้นจะทำธุรกิจเครือข่ายน่ะ” แม่ของซูจิ้งพูดออกมา
“ธุรกิจเครือข่าย” ซูจิ้งเข้าใจเรื่องราวในทันที การเข้าไปมีส่วนในธุรกิจเครือข่ายนั้น กับคนธรรมดาแล้วถือได้ว่าเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวง
ซูหลายเองก็เคยหลงเชื่อเข้าไปทำธุรกิจเครือข่ายแบบนี้และก็เสียเงินไปอย่างมหาศาลเช่นเดียวกัน ด้วยการทำธุรกิจเครือข่ายนี้ถึงกับทำให้เขาเกิดแผลทางใจและบาดเจ็บทางใจแบบเรื้อรังเลยทีเดียว
ถึงแม้ว่าทุกวันนี้เขาจะยังคงทำอยู่และยังถอนทุนไม่ได้เลยก็ตาม แต่ซูจิ้งก็ยังเชื่อมือซูหลายว่าตัวเขานั้นต้องจัดการเรื่องนี้ได้อย่างแน่นอน
“แม่ได้ยินมาว่าลูกพี่ลูกน้องของลูกนั้นเก็บตัวเองอยู่แต่ในบ้านไม่ยอมไปไหนมาพักใหญ่แล้ว แม่กลัวว่าหากอยู่ๆเขาออกมาจะเป็นตอนที่เขานั้นตัดสินใจอะไรบางอย่าง แม่กลัวว่าเขาจะตัดสินใจทำอะไรโง่ๆไป”
“แม่อย่ากังวลไปเลยครับ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย เดี๋ยวผมจะไปบ้านลูกพี่ลูกน้องของผมเดี๋ยวนี้แหล่ะ
ถ้าปิงน้อยต้องการจะเข้าร่วมธุรกิจเครือข่ายบ้าๆนั่นจึงเดี๋ยวผมจะจัดการเขาเอง” ซูจิ้งพูดออกมาเพื่อให้แม่ของเขาสบายใจ เขาได้โทรหาลูกพี่ลูกน้องของเขาเพื่อให้พวกเขารู้ว่าซูจิ้งจะไปที่นั่น
ซูจิ้งมองขึ้นไปยังอินทรีย์ทองที่กำลังบินอยู่บนฟ้าในตอนนี้ เขาเองจริงๆแล้วก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ช้าไม่ได้แม้แต่น้อยเหมือนกัน เมื่อได้ฟังเรื่องราวแล้วเขารู้สึกได้ว่าต้องรีบไปในทันที แถมตอนนี้เขายังไม่ต้องรีบทำอะไรอยู่แล้ว
แต่สิ่งที่เขากำลังกังวลอยู่ก็คือการที่เขาขี่เสี่ยวจินไปแบบนี้แน่นอนว่าต้องเป็นที่สังเกตของผู้คนอย่างแน่นอน
“คุณซู ให้ผมพาไปเถอะครับ” กวงหยวนได้พูดออกมา เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราวกับว่าเป็นบริวาณของซูจิ้งคนหนึ่งก็ไม่ปาน
“ก็ได้ก็ได้ ต้องรบกวนคุณแล้วล่ะ” ซูจิ้งในตอนนี้ถึงแม้ไม่อยากแต่ก็ได้แต่พยักหน้ารับคำไป ในเมื่อหมอนี่เสนอตัวมาขนาดนี้ เขาเองก็คงต้องให้โอกาสเขาบ้างแล้วสินะ ต่อให้เขานั้นไม่ยอมรับศิษย์หรือสาวกก็ตาม แต่หากเป็นผู้ช่วยแล้วสำหรับเขาไม่มีปัญหา
GGS:บทที่ 913 การขายของแบบปิระมิด
กวงหยวนได้ขับรถมาส่งซูจิ้งยังบันไดขึ้นตึกของลูกพี่ลูกน้องของเขา ซูจิ้งได้หยิบกู่เจิ้งและกระเป๋าของขวัญของเขาไปด้วย
เขาขึ้นไปชั้นห้าและทำการกดกริ่งประตูบานหนึ่ง หลังจากผ่านไปสักพักก็ได้มีสาวสวยเปิดประตูออกมา เธออยู่ในชุดเสื้อทีเชริตและกางเกงขาสั้นที่ดูลำลองสุดๆ เธอมีลักยิ้มที่แก้มข้างขวาเวลาที่เธอยิ้มหวานออกมา
ต่อให้ใบหน้าของเธอในตอนนี้จะเศร้าแค่ไหน แต่ตอนนี้เธอกับยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นเมื่อเห็นซูจิ้ง คนๆนี้คือเย่หลินเป็นลูกสาวคนโตของน้องชายของแม่ของเขา และแน่นอนว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาอีกคนหนึ่งด้วย เธอมีอายุมากกว่าซูจิ้งหนึ่งปี
“อาจิ้ง นายมาด้วยเหรอ รีบเข้ามาเลยนะ” เย่หลินยิ้มรับอย่างอบอุ่น และกวงหยวนเองก็ได้ถูกเชิญเข้ามาด้วยเช่นเดียวกัน
“อาจิ้งมาเหรอ” หญิงชราอายุค่อนข้างมากได้เดินออกจากครัว เมื่อเธอเห็นซูจิ้งก็ได้ยิ้มออกมาทันที
“คุณย่า” ซูจิ้งรีบทำความเคารพทันที
“นี่จริงๆเลยน้า… หลังจากวันตรุษจีนก็ไม่เห็นหน้าเห็นตาเลย แต่ย่าเองก็ไม่ได้คิดถึงเท่าไหร่หรอกนะเพราะย่าเห็นออกทีวีแทบจะทุกวัน ถึงย่าจะรู้ว่าช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงกำลังสร้างตัว แต่ก็ไม่ควรจะทำอะไรเกินตัวไปนะ ควรใส่ใจสุขภาพตัวเองให้มากๆเข้าไว้” ย่าของซูจิ้งพูดพลางใช้มือแตะๆสำรวจร่างกายหลานรักของตน
“ผมยังสุขภาพดีอยู่นา…ย่าก็เห็นนี่” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มพลางวางกระเป๋าของฝากของเขา เมื่อวางเสร็จแล้วซูจิ้งพูดออกมา “คุณย่า ลูกพีชลูกใหญ่และอร่อยดีนา… คุณย่ารีบกินให้หมดดีกว่านะ ทิ้งไว้นานเดี๋ยวจะเน่าซะก่อน”
“โอ้ ลูกพีชลูกบะเร่อ” คุณย่าแสดงท่าตื่นตาออกมาโดยไม่ได้แกล้งแต่อย่างใด แม้แต่กวงหยวนและเย่หลินเองก็ตกใจเช่นกัน นั่นก็เพราะว่าลูกพีชนี้ใหญ่พอๆกับลูกวอลเล่ย์บอลได้เลย เรียกได้ว่าใหญ่มาก
เย่หลินเองรู้สึกได้เลยว่าลูกพีชนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน นี่ย่อมไม่ต้องพูดถึงข่าวลือสารพัดของเขา โดยเฉพาะเมื่อตอนเทศกาลฤดใบไม้ผลิที่ซูจิ้งนำทั้งชา น้ำผึ้ง ผงเสริมความงาม และของต่างๆที่ล้วนแล้วมีสรรพคุณมหัศจรรย์พันลึก
ต่อให้ของที่นำมาเป็นของธรรมดาก็ตามแต่เมื่อมาจากซูจิ้งของเหล่านั้นล้วนไม่ธรรมดา แน่นอนว่าลูกพีชนี้เองก็สมควรมีอะไรพิเศษอย่างแน่นอน ต่อให้ไม่ต้องอธิบายอะไรออกมาเธอก็เชื่อว่านี่ย่อมเป็นของขวัญล้ำค่า
“แล้วคุณอาคุณน้ากับปิงน้อยล่ะ” ซูจิ้งถามออกมา
“อยู่ในห้องน่ะ” เย่หลินตอบพลางถอนหายใจ
“ย่าก็ไม่รู้หรอกนะว่าไอ้การขายแบบปิระมิดอะไรนั่นมันคืออะไร ถ้ามันเป็นเรื่องไม่ได้ต่อให้ได้เงินเยอะยังไงก็คือไม่ดี อาจิ้ง เธอช่วยคุยกับปิงน้อยหน่อยได้ไม๊ว่าให้เขาเลิกทำได้แล้ว ทำให้เขาตาสว่างทีเถอะ”
คนสูงอายุแบบย่าซูจิ้งนั้นย่อมไม่รู้เกี่ยวกับธุรกิจเครือข่ายอยู่แล้ว แต่คุณย่านั้นน่าจะฟังเย่าหลินกับคนอื่นๆพูดให้ฟังและจับใจความได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดีจึงมีท่าทีแบบนี้ออกมา
“อย่าห่วงเลยครับคุณย่า ย่าก็รู้นี่ว่าผมเป็นคนดังเลยนา… ให้ผมจัดการเรื่องนี้เองแล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างมั่นใจทำให้ย่าของเขานั้นใจชื้นขึ้นมา
เย่หลินได้พาซูจิ้งไปยั้งห้องๆหนึ่งและได้เปิดประตูออกมา ในห้องนั้นมีคู่ชายหญิงวัยกลางคนกำลังพูดเกลี้ยกล่อมเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อายุประมาณยี่สิบต้นๆ ชายหนุ่มคนนั้นมัวแต่ก้มหน้าก้มตาไม่รับรู้สิ่งใด แต่ทันทีที่พวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้าที่แปลกหูจึงได้หันหลังกลับมากันทุกคน
“อาจิ้ง หลานมาที่นี่พอดีเลย มานี่สิ มาช่วยพูดกับปิงน้อยหน่อย” น้าของซูจิ้งพูดออกมา
“เขาบอกว่าเราสองคนเรียนมาน้อยเลยไม่เข้าใจ อาจิ้ง เธอเรียนมาสูงยังไงก็เธอน่าจะคุยกับเขาได้ดีกว่าพวกเรานะ” อาของซูจิ้งพูดออกมา
“อาจิ้งอย่าไปฟังพวกเขานะ ฉันไม่ได้ทำธุรกิจเครือข่ายซะหน่อย โครงร่างพีระมิดที่ฉันวาดให้พ่อแม่ดูนั้นมันมีสินค้าก็จริงแต่ที่ฉันลงทุนไปนั้นไม่ได้มีสินค้าแบบนั้นซะหน่อย
เขาเรียกว่าเป็นการขายตรงเป็นการขายจากโรงงานส่งถึงมือผู้บริโภคโดยไม่ผ่านภาครัฐต่างหาก ไม่สิจะบอกว่าไม่ผ่านก็ไม่ได้เพียงแค่ทำเหมือนไม่ผ่านรัฐเฉยๆน่ะ” เย่ปิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจในทุกคำพูดของตน
“หืมมมม แล้วนายจะไปได้อะไรหากมันไม่มีสินค้าล่ะ” ซูจิ้งไม่ได้ยียวนแต่อย่างใด เขาถามอย่างสงสัยจริงๆพลางยิ้มออกมา
“หากนายถามมาอย่างนั้นฉันก็ต้องย้อนไปเล่าตามตารางนี้ก่อนว่าเรานั้นสามารถหาเงินได้จากหลายช่องทางทีเดียว
ช่องทางแรกจากการขนส่ง หากเรานั้นสามารถพัฒนาช่องทางการขนส่งให้ดีล่ะก็เราจะทำให้ค่าขนส่งนั้นถูกกว่าธรรมดาได้และนั่นย่อมทำให้เราได้กำไร จากการขนส่งนี้เราสามารถหากำไรได้จากค่าขนส่ง ค่าอาหาร และค่าที่พักของผู้ขนส่ง
ช่องทางที่สองเรื่องของการพัฒนาจุดกระจายสินค้า หากเราทำจุดกระจายสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกข้าได้ล่ะก็เราสามารถหาเงินได้จากจุดนี้จำนวนมาก
และแน่นอนว่ากำไรที่เราได้จะมาจากคนที่ทำหน้าที่กระจายสินค้าในจุดนี้
หากเราสามารถพัฒนาคนของเราให้มีความรู้ความเข้าใจในสินค้าและหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการกระจายสินค้าได้จริง ฉันได้คำนวนต้นทุนที่ต้องใช้ต่อคนแล้วว่าทั้งสายการขายสินค้านี้จะต้องลงทุนต่อหนึ่งคนนั้นเพียงคนละ 69,800 หยวนเท่านั้นเอง
และฉันเองก็เล็งไว้ประมาณ 9 ที่น่ะ แล้วก็นะในสองปี เพียงสองปีเท่านั้นฉันสามารถถอนทุนที่จะลงไป 14.4 ล้านหยวนได้ แค่สองปีเองนะ
นายอาจจะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ตอนแรกฉันเองก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เหมือนกัน แต่อย่างว่าล่ะ มันเป็นการลงทุนแนวใหม่ที่ภาครัฐพยายามซ่อนเรื่องนี้เอาไว้จึงไม่ค่อยมีคนรู้นัก
แน่นอนว่าในโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้และเฉพาะคนที่รู้เรื่องนี้เท่านั้นที่จะเป็นคนรวยได้”
เย่ปิงพูดออกมาเป็นฉากๆประหนึ่งดังกำลังหาแนวร่วม
ซูจิ้งพยกหน้ารับอย่างเข้าใจ เขาเข้าใจได้เลยว่าเย่ปิงนั้นถูกล้างสมองโดยธุรกิจเครือข่ายนี้เรียบร้อยแล้ว ธุรกิจเครือข่ายนั้นเป็นธุรกิจที่ใช้ความละโมบของคนเป็นตัวหากำไร
และแน่นอนว่าทุกๆที่ในโลกนั้นล้วนแล้วแต่มีธุรกิจแบบนี้แอบแฝงอยู่ คอยหลอกเหล่าผู้หิวกระหายในเงินตราอย่างหัวชนฝามาเข้าร่วม ต่อให้คุณเรียนสูงมาขนาดไหนก็อย่าคิดว่าจะไม่โดนหลอก นั่นก็เพราะว่าความละโมบสามารถบดบังสติปัญญาได้อย่างง่ายดาย
ข้อมูลของบริษัทลูกโซ่อย่างMLMนั้นสามารถหาดูได้ทั่วไปในอินเตอร์เน็ตและสามารถผมเห็นได้ตามข่าวอยู่บ่อยครั้ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนหลงเชื่อโดนโกงได้อยู่ทุกปี
รวมถึงเหล่านักศึกษาที่พึ่งจะเรียนจบมาก็ไม่เว้น เพียงแค่คุณก้าวเท้าเข้ามาก็ถือได้ว่าโดนโกงตั้งแต่แรกแล้ว และยิ่งคุณอยู่ในวงจรมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งถูกโกงมากขึ้นและเป็นส่วนหนึ่งของวงจรลึกขึ้นจนยากจะถอนตัวออกจากวงจรอุบาทนี้ได้
บางคนนั้นชวนเพื่อนมาร่วมลงทุนจนล่มจมไปทั้งคู่ก็มี คนที่ไม่ถูกโกงนั่นก็คือคนที่แทบจะตัดเพื่อนที่ตอแยให้ร่วมลงทุนนั่นเอง
และเมื่อคนเหล่านี้หาผู้ร่วมลงทุนที่เรียกว่าลูกข่ายไม่ได้ก็จะถูกดีดออกจากวงจรอย่างไม่ไยดีเพราะขาดความสามารถในการหาเงินให้บริษัทได้แล้ว
อาของซูจิ้งนั้นเปิดบริษัทเล็กๆทำธุรกิจเกี่ยวเครื่องหนังอย่างรองเท้าและกระเป๋า ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดีมากแต่ถือได้ว่ามั่นคงพอจะเลี้ยงลูกของเขาจนจบได้อย่างไม่ยากลำบาก
หลังจากเย่ปิงเรียนจบตอนป.ตรีนั้นเขาตั้งเป้าไว้ว่าจะไม่สืบทอดกิจการของอาของเขา แต่ด้วยการที่เป็นเด็กจบใหม่และไร้ประสบการณ์ทำให้ไม่ง่ายเลยที่จะได้งานที่ได้เงินเดือนสูง
และด้วยการที่เขานั้นเป็นคนที่หยิ่งและใจร้อนเป็นทุนเดิมทำให้เขาเป็นคนเลือกงานและกลายเป็นคนที่ดูไม่เอาไหน และเมื่อถูกถามเรื่องงานก็ยิ่งทำให้เขาอารมณ์เสียเข้าไปใหญ่
ด้วยนิสัยแบบนี้ต่อให้เย่ปิงเป็นเงียบๆและน่ารักยังไงก็ตาม แต่เมื่ออารมณ์พลุ่งพล่านก็จะกลายเป็นคนโง่ได้ในทันที
“อาไม่เข้าใจจริงๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ และที่ไม่เข้าใจที่สุดก็คือมันจะไปมีเรื่องดีๆอยู่ในโลกอย่างการลงทุนหกหมื่นกว่าหยวนแล้วได้เงินกว่า10ล้านหยวนในสองปีได้ยังไง เมื่อมีคนโง่ซื้อสินค้าเหรอ” อาของซูจิ้งในตอนนี้เองก็โกรธจนอยากจะตบลูกของตัวเองเสียเดี๋ยวนั้น
“ผมบอกพ่อไปตั้งกี่ครั้งแล้วว่ามันทำได้แต่พ่อไม่เข้าใจเองต่างหาก นี่เป็นการทำธุรกิจแนวใหม่ที่มีรัฐแอบสนับสนุนอย่างลับๆ พวกเราพัฒนาระบบที่เรียกว่าห้าระดับสามขั้นตอนขึ้นมา ระบบนี้มีอยู่ทุกที่เลยนะแม้แต่บนแบงค์100น่ะ” เย่ปิงพูดออกมาพลางเอาแบงค์ร้อยหยวนขึ้นมาทำการอธิบาย
“นายมันกู่ไม่กลับแล้ว ลองหัดเข้าไปดูในอินเตอร์เน็ตบ้างได้ไม๊ ไอ้บริษัทที่เรียกว่าMLMมันเป็นแชร์ลูกโซ่อย่างหนึ่ง ต่อให้นายจะลงทุนไปเท่าไหร่นานไปหลายสิบปีก็ไม่มีวันได้เงินกลับมาหรอก เมื่อไหร่นายจะเชื่อเนี่ย”
เย่หลินตอนนี้เริ่มหมดความอดทนจนโกรธชนิดที่ว่าหากมีเหล็กอยู่ในมือตอนนี้เธอจะเอามาฟาดหน้าน้องของเธอให้ตาสว่างสักที
ทั้งอาและน้าของซูจิ้งเองก็มีอารมณ์ไม่ต่างกัน ซูจิ้งมองไปที่ทุกคนพลางแอบส่งสัญญาณทางใบหน้าให้พวกเขาหยุดพูด ตอนนี้เย่ปิงนั้นดูกลายเป็นคนโง่ที่ไม่ฟังคำคนอื่นอีกต่อไป
คนที่ถูกล้างสมองโดยธุรกิจเครือข่ายส่วนใหญ่นั้นเป็นแบบนี้กันทุกคน พวกเขานั้นในใจของเขาเชื่อมั่นในวิถีทางที่บริษัทอย่างMLMฝังเอาไว้แบบลึกสุดใจ ต่อให้พูดยังไงก็ยากที่จะฉุดขึ้นมาจากวงจร
กวงหยวนเองที่เห็นเหตุการณ์ก็ถึงกับต้องส่ายหน้าให้ พลางคิดไปว่าชายหนุ่มตรงหน้ายังหนุ่มเกินจนโดนล่อลวงจากระบบเครือข่ายปิระมิดลูกโซ่ล่อลวงเอาได้
แต่เขาเองกลับไม่เคยคิดว่าก่อนหน้านี้ตัวเองยังเป็นส่วนหนึ่งของระบบแบบนี้มาก่อนตอนอยู่ในนิกายเมตตาฯที่ล้างสมองเขาให้มีสภาพไม่ต่างกัน
แล้วการที่เขามาบูชาซูจิ้งแบบนี้จะไม่ถือว่าเป็นการล้างสมองได้อย่างไร คราวนี้ต้องถือว่าเป็นโชคดีของหยวนกวงที่เลือกบูชาได้ถูกคน นั่นก็เพราะซูจิ้งนั้นไม่ได้เลวชาติขนาดที่ว่าโกงคนที่ไม่สมควรโกงอย่างแน่นอน
ซูจิ้งไม่ได้พูดสิ่งใดกับเย่ปิงต่อ เขาได้หยิบกูจิ้งออกมาก่อนจะนั่งลงกับพื้นในท่าเตรียมพร้อมเล่นกู่จิ้ง ฉากนี้ทำให้ทั้งอา น้า และเย่หลินยืนงงไปเล็กน้อย
ถึงแม้ทุกคนจะได้ยินข่าวลือมาเหมือนกันว่าเพลงของซูจิ้งนั้นทำให้จิตใจของผู้คนสงบ แต่กับคนสมองตายด้านทางปัญญาแบบนี้เพลงของเขาจะช่วยได้ด้วยหรือ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น