Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 910-911
GGS:บทที่ 910 เสวนาทางพุทธศาสนา
ข่าวการก่อจราจลที่วัดหลานเล่อนั้นได้ถูกเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นข่าวมากนักและเหมือนชาวเน็ตจะไม่ได้สนใจนัก แต่กับผู้ศรัทธาในองค์พระอจละแล้วละก็ต่างก็เคลื่อนไหวในทันที
“มีคนกลุ่มหนึ่งก่อการจราจลและต้องการทำลายองค์พระอจละอย่างนั้นเหรอ”
ในสำนักงานแห่งหนึ่ง มีชายอ้วนวัยกลางคนโกรธขึ้นมาทันทีที่เห็นข่าวนี้ ตัวเขานั้นได้ไปวัดหลานเล่อในครั้งแรกนั้นพร้อมความคิดที่จะฆ่าตัวตาย
แต่หลังจากที่เขานั้นได้เห็นองค์พระอจละทำให้เขานั้นมีความกล้าที่จะเผชิญหน้า จนทำให้เขาในตอนนี้นั้นประสบความสำเร็จในธุรกิจ และเขานั้นก็ยังวนเวียนไปมาอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งไม่เพียงจ่ายหนี้สินจนหมด แต่เขานั้นยังทำเงินได้จำนวนมากจนทำให้ครอบครัวมั่นคงและรักใคร่กันดี
ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขานั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ศรัทธาของหอแห่งนี้ ครั้งสุดท้ายที่มีการขายภาพวาดองค์พระอจละทั้งเก้านั้น
ตอนที่รู้ว่าองค์พระอจละถูกขายให้กับเหล่าคนรวยอย่างเตียนจงยี่ หัวหน้าหวู่ หรือแม้แต่ผู้อาวุโสซี่ไปนั้น เขานั้นแทบจะหมดอาลัยตายอยาก
แต่ในทันทีเห็นว่ามีการแขวนภาพวาดองค์พระชุดถัดไปนั้นทำให้เขาสายตาลุกโชนในทันที
ตอนนี้เขาเองก็เก็บหอมรอมริบไว้ได้จำนวนหนึ่งแล้วสำหรับการประมูลภาพวาดพระอจละรอบสอง เขาเชื่อว่าอย่างน้อยๆต้องได้สักรูปหนึ่ง แต่กลายเป็นว่าตอนนี้กลับมีคนจะทำลายหอโลกาบาลทั้งสิบไปซะได้
“หัวหน้า หอหมิงหวังแห่งนี้ที่หัวหน้าไปบ่อยๆไม่ใช่หรือคะ ทำไมคนพวกนั้นถึงอยากจะทำลายที่นั่นกันล่ะ” เลขาสาวที่เห็นข่าวเองถามออกมา
“ไอ้พวกที่มาก่อกวนนี่มาที่หอแห่งนี้และบอกว่าหอโลกาบาลทั้งสิบแห่งนี้คือพวกนอกรีต ฉันว่าพวกมันต่างหากที่นอกรีต” ชายอ้วนวัยกลางคนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอาฆาต
เขานั้นคิดจะใช้เส้นสายของตัวเองเพื่อจัดการเรื่องนี้ในทันที แต่เมื่อเขานั้นได้เห็นข่าวที่ว่าซูจิ้งจะเข้าร่วมเสวนาทางพระพุทธศาสนาในวันพรุ่งนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนความคิดในทันที เขาเองนั้นเคยได้ยินชื่อเสียงของซูจิ้งมาบางแล้วเหมือนกัน แต่เขาก็ไม่ได้อยากจะเชื่อใจข่าวลือมากขนาดนั้นจึงตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมงานเสวนาดังกล่าวด้วยเหมือนกัน
“ห้ะ ต้องการทำลายหอโลกาบาลทั้งสิบ” เตียนจงยี่ได้ยินข่าวนี้ถึงกับโกรธในทันที สำหรับเขาแล้วนั้นเป็นเรื่องยากกว่าที่เขาจะยอมให้ซูจิ้งอนุญาตให้วงศ์ศาคณาญาติของเขานั่งอยู่หน้าองค์พระอจละได้หนึ่งชั่วโมงต่อวัน
แถมในการประมูลภาพองค์พระอจละทั้งเก้าเขาก็ได้มาถึงสามภาพ นี่แสดงให้เห็นว่าเตียนจงยี่ผู้นี้มีความศรัทธาต่อพระในหอพระอจละทั้งสิบนี้อย่างมาก การที่มีใครสักคนมาทำลายสิ่งที่ตัวเองศรัทธา แน่นอนว่าจะไม่ให้โกรธเคืองได้เช่นไรกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้เห็นว่าซูจิ้งนั้นออกโรงเองก็ทำให้จิตใจของเขาสงบได้ในทันที
เขาเองนั้นถือได้ว่ารู้จักซูจิ้งได้ดีเสียยิ่งกว่าใคร และแน่นอนว่าซูจิ้งนั้นเปรียบได้ดั่งเทพเซียนเลยก็ว่าได้ เขารู้สึกได้ทันทีเลยว่าการที่ซูจิ้งออกโรงเองในครั้งนี้จะต้องมีอะไรสนุกๆเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เตียนจงยี่ได้ทำการปรับตารางเวลาของตัวเองใหม่เพื่อเข้าร่วมการเสวนาทางพุทธศาสนาในวันพรุ่งนี้
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เหล่าผู้ศรัทธาในหอพระอจละทั้งสิบได้โกรธเกรี้ยวในทันทีที่เห็นข่าว
ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสหวู่ ผู้อาวุโสซี่ รวมไปถึงเหล่าผู้ที่ได้ภาพวาดไปครองหรือไม่ก็ตาม แต่แรงศรัทธาของเขานั้นคือของจริง
บางคนถึงแม้ว่าจะไม่สามารถออกตัวอะไรได้มากนะ แต่พวกเขานั้นตามติดเรื่องนี้อย่างแน่นอนเพราะว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาพวกเขาจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง
เรื่องนี้บอกได้เลยว่าเป็นสิ่งที่เหนือเกินกว่าความคาดหมายของสาวกกลุ่มผู้เมตตาและโชคนำพาและเจ้าอาวาสซูหยุนอย่างมาก
ต่อให้ผู้นำนิกายอย่างเหลินซินจิจะมีสาวกพันธุ์แท้มากมายขนาดไหนก็ตาม แต่หากพูดถึงในเรื่องของอำนาจทางการเงินและขุมกำลังแล้วเทียบกันไม่ได้เลย
บอกได้เลยว่าต่อให้ผลของการเสวนาครั้งนี้ออกมาแล้วทางวัดหลานเล่อไม่สามารถเอาชนะได้ แต่ยังไงซะหอโลกาบาลทั้งสิบแห่งนี้ก็ยังคงตั้งอยู่ตรงนั้นต่อไปอย่างแน่นอน และต่อให้กลุ่มผู้เมตตาฯนั่นมีชื่อเสียงก็ไม่มีทางที่จะมีชื่อเสียงด้านดีได้อีกต่อไป
กลับกันหอพระอจละและองค์พระอจละทั้งสิบต่างหากที่จะยิ่งมีชื่อเสียงยิ่งขึ้น
วันถัดมาในตอนเช้า ณ วัด ชาซ่า ในตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คน เหตุการณ์เมื่อวานนี้ที่เหล่าผู้ก่อความไม่สงบจากกลุ่มผู้มีเมตตาและโชคนำพาได้ปะทะกลับเหล่าผู้ศรัทธาต่อองค์พระอจละที่วัดหลานเล่อทำให้ทุกคนนั้นได้มาที่นี่ แน่นอนว่ารวมถึงเหล่าผู้ศรัทธาในองค์พระอจละอย่างลึกซึ้งอย่างชายอ้วนวัยกลางคน เตียนจงยี่ และแม้แต่นักข่าวเองก็มาร่วมด้วยเช่นเดียวกัน
แน่นอนว่าพวกเขานั้นถูกซื้อตัวมาโดยผู้นำนิกายผู้เมตตาฯเรียบร้อยแล้ว การที่มาที่นี่ก็เพียงเพื่อสร้างชื่อเสียงให้นิกายนี่เท่านั้น
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดก็คือการได้เจอซูจิ้งเข้ามาอยู่ในงานเสวนาแห่งนี้ ถึงแม้ว่าเขานั้นจะพึ่งมีชื่อเสียงได้ไม่นานแต่เขากลับโดดเด่นขึ้นมาเสียยิ่งกว่าใคร
แต่นี่เองก็ทำให้หลายๆคนเกิดคำถามว่าซูจิ้งนั้นเข้าใจแนวคิดในทางพุทธศาสนาด้วยอย่างนั้นเหรอ
“การที่ซูจิ้งนั้นวาดรูปพระอจละจนได้ราคาสูงไม่ได้หมายความว่าเขานั้นเข้าใจในพระพุทธศาสนาอย่างนั้นเหรอ”
“ยิ่งไปกว่านั้นไหนจะเรื่องหัวใจพระสูตรและรูปพระพุทธ กับองค์พระอจละนั่นอีก ทั้งสองนั้นซูจิ้งเป็นคนสร้างเลยนะ ตัวเขาเองก็ควรจะมีความเข้าใจในพุทธศาสนาไม่น้อยเลย”
“ไม่จริงหรอกน่า ภาพวาดนั่นเขาก็แค่ลอกเขามาอีกทีแค่นั้นเอง เพียงแค่ลอกมาดีหน่อยก็แค่นั้น แต่ให้เขาเป็นคนนำหัวใจพระสูตรและพระพุทธ และองค์พระอจละออกมาก็จริง แต่นั่นเองก็สมควรเป็นเพียงของสะสมทางพุทธศาสนาของเขาเท่านั้นเอง”
“นี่ก็น่าจะพอบอกได้แล้วว่าสำหรับซูจิ้งมาที่นี่เพียงเพราะมาทำให้การเสวนาครั้งนี้ดูออกรสออกชาติขึ้นเท่านั้นเอง ยังไงซะองค์พระอจละนั่นก็เป็นของเขา มีหรือที่เขานั้นจะยอมให้ทำลายได้ง่ายๆ”
“ไม่ต้องห่วงไปเลยน่า วัดหลานเล่อนั้นมีทั้งเจ้าอาวาสซูหยุนและปรมาจารย์เชิงหยานเลยนะ”
ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นในขณะที่ซูจิ้ง เจ้าอาวาสซูหยุน ปรมาจารย์เชิงหยาน โจวฮงหยวน เสี่ยวไจ๋ และพระรูปอื่นๆเดินฝ่าฝูงชนไป
พวกเขาตรงไปที่นั่งทางฝั่งตะวันออก โดยตรงนั้นเองก็ได้มีกลุ่มของพระนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง หัวหน้าของกลุ่มนี้เหมือนจะเป็นพระที่อายุประมาณห้าสิบถึงหกสิบปีและห่มจีวรสีเหลืองทั้งตัว
เขานั้นคือผู้นำนิกายเมตตาและโชคนำพา เขาได้ทำการจ้องมองยังซูจิ้งและพระรูปอื่นๆด้วยสายตาอ่อนโยนไม่มีท่าทีเป็นศัตรูแต่อย่างใด
ตอนนี้ทำให้หลายๆคนที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อวานอดไม่ได้ที่จะคิดออกมาว่าเหล่าสาวกพวกนั้นมันเข้าใจผิดอะไรรึเปล่าถึงได้ไปก่อปัญหาแบบนั้นเข้า
“ยินดีต้อนรับเจ้าอาวาสซูหยุนและเหล่าประมาจารย์” ผู้นำนิกายกล่าวออกมาอย่างสงบและรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยน
เจ้าอาวาสซูหยุน ปรมาจารย์เชิงหยานและพระรูปอื่นๆต่างก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม พวกเขาไม่ได้แสดงท่าทีโกรธออกมาแต่อย่างใด มีเพียงเสี่ยวไจ๋เท่านั้นที่แสดงท่าทางเป็นศัตรูขึ้นมาราวกับว่าพร้อมบวกในทันทีที่คุยกันไม่รู้เรื่อง
การเสวนาได้เริ่มขึ้นหลังจากที่ทั้งสองฝั่งมาครบแล้วไม่นานนัก เริ่มจากทางฝั่งผู้นำนิกายเมตตาและโชคนำพาได้เริ่มการพูดคุยเกี่ยวกับพระไตรปิฏกในทันที
นี่ทำให้ทุกคนในที่นี้ต่างก็ประหลาดใจอย่างมากนั่นก็เพราะเจ้าอาวาสซูหยุนนั้นนั่งนิ่งไม่ไหวติงและไม่เปิดปากพูดอะไรออกมาสักคำ
แม้แต่ปรมาจารย์เชิงหยานและพระรูปอื่นๆเองก็มีท่าทีไม่ต่างกัน มันเหมือนกับว่าทุกคนนั้นเหมือนจะยอมแพ้ในทันทีที่ผู้นำนิกายเมตตาฯเปิดปากออกมามากกว่าจะเป็นการเสวนาทางพระพุทธศาสนากันซะอีก นี่ไม่เหมือนกับที่ผู้นำนิกายเมตตาฯคิดไว้เลยแม้แต่น้อย
“ฉันไม่รู้นะว่าพระรูปนั้นพูดอะไรออกมา แต่จากการอ่านบรรยากาศดูแล้วฉันคิดว่าวัดหลานเล่อจะเจอศึกหนักแล้ว”
“นี่เจ้าอาวาสซูหยุนไม่คิดจะพูดอะไรเลยรึไงกัน”
“ฮืมม์ วัดหลานเล่อนั้นดูเหมือนจะต้องยอมรับความพ่ายแพ้และยอมรับว่าเป็นพวกนอกรีตแล้วสินะ”
“ขนาดเจ้าอาวาสยังพูดเรื่องศาสนะออกมาไม่ได้สักคำเลยนี่ วัดนี่เป็นวัดอะไรกันแน่”
ตอนนี้บรรยากาศภายในห้องโถงนั้นเริ่มคุกรุ่น ชายอ้วนวัยกลางคน เตียนจงยี่ และเหล่าสาวกคนอื่นๆเองก็เริ่มเป็นกังวล นั่นก็เพราะว่าทั้งเจ้าอาวาสซูหยุนและพระรูปอื่นๆจากวัดหลานเล่อต่างก็ปิดตานิ่งเงียบไม่ไหวติงไม่พูดอะไรสักคำ
ซูจิ้งนั้นอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เขาไม่แปลกใจเลยที่ได้เห็นรอยยิ้มอันมีเลศนัยของเจ้าอาวาสถึงกับต้องขนลุกเมื่อวานนี้
ตอนแรกเขาก็คิดว่าตัวเองคิดมากไปเฉยๆแต่ดูเหมือนเขานั้นจะไม่ได้คิดผิดอะไร เจ้าอาวาสนั้นมองเขาออกตั้งแต่แรกแล้วว่าเขานั้นจะทำอะไรกันแน่
เจ้าอาวาสเองพาตัวเองและพระรูปอื่นมาที่นี่เพียงเพื่อมาช่วยประดับบารมีให้ซูจิ้งเฉยๆก็เท่านั้นเอง เจ้าผู้นำนิกายนี่เองถึงแม้ว่าจะดูไม่เลวร้ายนัก และความรู้ของเขานั้นซูจิ้งเองก็เห็นด้วยเกือบทุกอย่าง ยกเว้นเพียงเรื่องเดียวก็คือเรื่องความสงบ
GGS:บทที่ 911 ไม่คาดคิด
หลังจากซูจิ้งได้กลับจากวัดเมื่อวานนั้น เขาได้ทำการเตรียมเรื่องนี้มาแล้ว แน่นอนว่าในส่วนเนื้อหาคัมภีร์วิถีมังกรนั้นแน่นอนว่าเขาไม่ต้องการเผยแพร่
เขานั้นจดจำเนื้อหาของหัวใจพระสูตรและรูปพระพุทธเป็นอย่างดีแต่แน่นอนว่าเอาไม่ใช้ในการเสวนาครั้งนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามเขานั้นยังมีเศษคัมภีร์เหลือจากห้วงเวลาฯเทพจากฝั่งตะวันตกอยู่ที่น่าจะยังพอใช้ได้ อีกทั้งเขาเองก็พอจะมีความรู้ในบทสวดต่างๆและการตีความความสงบแห่งเซ็นอยู่น่าจะพอเอามาผนวกรวมกันได้
ถึงแม้ว่ามีเรื่องต่างๆที่ต้องทำความเข้าใจ แต่ด้วยความจำระดับที่ยากจะลืมได้ของเขานั้นสามารถเรียนรู้ได้เพิ่มเติมได้เยอะพอสมควรด้วยช่วงเวลาเพียงครึ่งวันเท่านั้น
ซูจิ้งยังทำความเข้าใจอีกด้านของการตีความความสงบแห่งเซ็น นี่เขาสามารถนำมาใช้ในการเสวนาได้ ด้วยการเสวนาเพียงระดับประเมินความเข้าใจแบบนี้เพียงความรู้แค่นี้เขาก็คิดว่าเกินพอแล้ว ต่อให้ไม่ได้เหนือกว่าแต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ต่ำกว่าคู่ต่อสู้ของเขาในครั้งนี้อย่างแน่นอน
เมื่อซูจิ้งพูดเกี่ยวกับมุมมองทางศาสนาและความสงบออกมานั้น ผลลัพท์ที่ออกมาต่างจากที่คาดไว้ ทันทีที่เขาพูดออกมาทำให้ฝั่งตรงข้ามแน่นอนว่ารวมถึงผู้นำนิกายเมตตาและโชคนำพาถึงกับนิ่งอี้งไป
แม้แต่ปรมาจารย์เชิงหยาน โจวฮงหยุน และเสี่ยวไจ๋ แน่นอนว่ารวมถึงชายอ้วนและเตียนจงยี่ก็เกิดความรู้สึกไม่ต่างกัน แม้แต่เจ้าอาวาสซูหยุนเองที่นั่งนิ่งปิดตาอยู่ยังต้องลืมตาขึ้นมา
ตอนที่ซูจิ้งกำลังพูดนั้นเขาได้นำเม็ดหินสีน้ำเงินที่พึ่งจะได้มาออกจากกระเป๋ามิติ ทันทีที่เขาใช้มันทำให้สิ่งที่เขาพูดออกมานั้นล้วนแล้วแต่แฝงไว้ด้วยความสงบแห่งเซ็น และแน่นอนว่าเขานั้นมุ่งเป้าไปที่คู่ต่อสู้ของเขาในครั้งนี้นั่นคือเหรินซินจิและคนอื่นๆในนิกาย คำพูดของซูจิ้งนั้นส่งผลกระทบต่อคนกลุ่มนี้อย่างมาก ส่วนเหล่าผู้ชมนั้นสัมผัสได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น
ซูจิ้งยังคงใช้คำพูดที่แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความสงบนี้ต่อไป มันเหมือนกับว่าเขานั้นคือความสงบอย่างแท้จริง น้ำเสียงของเขานั้นชวนหลงใหล และเหมือนกับเป็นตัวตนที่แผ่ความสงบออกมาบนโลกใบนี้
ทุกคนที่เห็นฉากการพูดนี้ของซูจิ้งต่างก็รู้สึกอัศจรรย์ในสิ่งที่เห็น แน่นอนว่ารวมถึงผู้นำนิกายฯและสาวกของกลุ่มเมตตาฯต่างก็ถึงกับพูดไม่ออก
พวกเขานั้นหลงลืมไปเลยว่าตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงการเสวนากันอยู่ทำได้เพียงแค่ฟังด้วยสายตาอันโง่งมเท่านั้น ซูจิ้งเองก็ยังพูดต่อไปเรื่อยๆและไม่มีคำไหนเลยที่อีกฝั่งจะแย้งหรือพูดทัดทานได้ มันเหมือนกับว่าคำพูดของซูจิ้งนั้นเปรียบได้ดั่งขอเกี่ยวที่คอยเกี่ยวเหล่าดอกบัวในโคลนตมให้ยืดออกมาให้พ้นเหนือน้ำ
ซูจิ้งยังคงพูดต่อไปอย่างไม่หยุดพักเพราะตอนนี้เขานั้นไม่เห็นใครอยากจะทัดทานอะไร เมื่อเขาหมดเรื่องที่จะพูดแล้ว เขาก็ได้พูดบทหนึ่งในคัมภีร์ออกมาว่า
“ยามนั้นเมื่อเณรน้อยรูปหนึ่งได้พบกับพุทธศาสนาและได้ทำการฝึกฝนโดยการท่องบทสวดหัวใจพระสูตรและรูปพระพุทธ
ครานั้นเขาได้เห็นจักรวาลทั้งห้าที่แสนจะว่างเปล่า และเต็มไปด้วยความวุ่นวายในคราเดียวกัน
หากเปรียบเป็นสี การมีสีสันเองก็ไม่ต่างอะไรกับความว่างเปล่า ความว่างเองก็เปรียบได้ดั่งไม่มีอะไรเลย
ฉะนั้นการมีสีสันก็คือความว่างเปล่า ความว่างเปล่าก็คือสีสัน
เมื่อลองคิดดูแล้ว การทำและรู้เองก็เหมือนๆกัน ทุกเรื่องราวนั้นล้วนแฝงไว้ด้วยความว่างเปล่า ไม่ว่าจะเป็นก่อเกิดหรือทำลาย ไม่ว่าจะเป็นเย้ายวนหรือบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มหรือการลด
นี่จึงเป็นเหตุให้อากาศไม่มีสีสัน ไม่มีความคิด ไม่มีความรู้สึก ไม่มีตา ไม่มีหู ไม่มีลิ้น ไม่มีร่างกาย ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีการสัมผัส ไม่มีการมองเห็น ไม่มีการงุนงง ไม่มีการตอบสนอง ไม่มีแก่และความตาย
ในเต๋านั้นหากว่าต้องการเก็บเกี่ยวหรือทำลายหากไม่มีปัญญาก็ไม่มีทางได้รับมา
ในทางพุทธศาสนานั้นในตำราหัวใจพระสูตรและพระพุทธเองนั้นก็ต้องไม่มีความกังวล
ในเมื่อไม่มีความกังวลก็ไม่กลัวสิ่งใด ห่างไกลจากความฝันและทุกสิ่งที่อยากแสวงหา หากยึดตามหัวใจพระสูตรและพระพุทธแล้ว
พระพุทธเจ้าเองยังมีสามชีวิต และนี่จึงทำให้การแตกแยกของนิกายออกมาเป็นสามนิกายใหญ่ ได้แก่เถรวาท มหายาน และวัชรยาน ก็ไม่แปลกแต่อย่างใด
และนิกายแยกย่อยจากสามนิกายนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด นั่นก็เพราะแต่ละนิกายนั้นต่างก็เชื่อในความจริงที่ตัวเองเข้าใจเท่านั้น และเลือกจะละทิ้งในสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจและละทิ้งในสิ่งที่คิดว่าไม่ใช่ออกไป”
หลังจากที่ซูจิ้งได้ร่ายมาอย่างยาวนานก็ดูเหมือนเขาจะหยุดพูดลง
เจ้าอาวาสซูหยุนและปรมาจารย์เชิงหยานนั้นเป็นสองคนแรกที่ตื่นขึ้นจากภวังค์แห่งความสงบนี้ ทั้งสองมองไปยังซูจิ้งด้วยความตื่นตะลึง
ตอนแรกนั้นทั้งสองเองก็คิดว่าซูจิ้งนั้นเข้าใจในพุทธศาสนาไม่ต่างจากพวกเขามากนัก แต่ด้วยการที่แนวคิดทางศิลปะทางพุทธทำให้เขานั้นเข้าถึงมากขึ้นเท่านั้นเอง
ในตอนนี้ทั้งสองรู้แล้วว่าแนวคิดทางพุทธของซูจิ้งนั้นเพิ่มมากขึ้น นั่นก็เพราะว่าการร่ายยาวของซูจิ้งเมื่อครู่นี้แม้แต่ทั้งสองเองก็ยังต้องตกอยู่ในภวังค์เลย
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของทั้งสองที่ได้เข้าถึงวิถีแห่งความสงบของนิกายเซ็นอย่างแท้จริง นี่ขนาดซูจิ้งยังเป็นหนุ่มเป็นแน่นยังทำให้เขาเข้าถึงได้ขนาดนี้ นี่เขาเป็นพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิดรึไงกัน
ชายอ้วน เตียนจงยี่ และคนอื่นๆเองก็เริ่มรู้สึกแบบเดียวกัน
ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นฝั่งหอพระอจละหรือนิกายเมตตาและโชคนำพาต่างก็รู้สึกแบบเดียวกัน แม้แต่ผู้นำนิกายเมตตาฯเองก็ไม่ต่างกันนัก พวกเขาต่างรู้สึกได้ถึงความสงบในขณะที่รับฟัง และตกตะลึงในทันทีที่รู้สึกตัว
ถึงแม้พวกเขานั้นจะไม่เข้าใจความหมายในวิถีแห่งความสงบได้เท่ากับที่ได้รับฟังซูจิ้งก็ตาม แต่พวกเขานั้นกับสัมผัสความสงบที่ออกมาจากถ้อยคำของซูจิ้งได้อย่างดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหล่าผู้สักการะพระอจละนั้นสามารถเข้าถึงความสงบได้ดีเสียยิ่งกว่าฝั่งนิกายเมตตาฯซะอีก จนตอนนี้ทำให้เหล่าสาวกในนิกายแทบจะย้ายฝั่งในทันทีเลยทีเดียว
ต้องขอบคุณซูจิ้งในเรื่องนี้เพราะคำพูดของซูจิ้งนั้นได้ไปตรึงไม่ให้นิกายเมตตาฯไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไป ถ้าจะพูดให้ถูกนั้นพวกเขาไม่ใช่ย้ายฝั่งแต่พวกเขาการเป็นผู้ศรัทธาในตัวซูจิ้งมากกว่า
ในตอนนี้ทุกๆคนไม่ว่าจะเป็นเจ้าอาวาสซูหยุน ปรมาจารย์เชิงหยาน ชายอ้วนวัยกลางคน เตียนจงยี่ และคนอื่นๆเองต่างก็หันไปมองยังผู้นำนิกาย
พวกเขาอยากรู้ว่าในตอนนี้ผู้นำนิกายนั้นจะทำอะไรต่อไป เพราะนี่คือจังหวะที่ฝั่งตรงข้ามต้องสวนกลับแล้ว
แต่พวกเขานั้นกลับเห็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนนั่นก็คือผู้นำนิกายนามเหรินซินจิและคนอื่นๆในนิกายต่างลงไปคุกเข่าลงกองกับพื้นก่อนที่จะทำการกุมมือและทำการสักการะแก่ซูจิ้งในทันที
ทุกคนที่เห็นภาพนี้ต่างก็รู้สึกโง่งมในทันที แม้แต่เหล่านักข่าวเองกว่าจะเริ่มทำงานของตนได้ก็ผ่านไปนับนาทีได้
ก่อนที่ทุกคนมาที่นี่นั้นต่างก็เตรียมที่จะทำข่าวฉบับอวยผู้นำนิกายเมตตาและโชคนำพาอยู่แล้ว ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงก็ตามแต่ ต่อให้ฝั่งเจ้าอาวาสจะชนะยังไงพวกเขาก็ตั้งใจไว้ว่าอย่างนั้น
แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมเขาถึงได้ทำแบบนั้นต่อหน้าสาธารณชนได้ แต่ให้พ่ายแพ้แต่ก็ไม่ควรจะต้องยอมรับความพ่ายแพ้แบบศิโรราบแบบนี้ไม่ใช่เหรอ
หากว่ามีคนไม่รู้ว่านิกายนี้มีชื่อเสียงมาก่อนล่ะก็ พวกเขาคงนึกว่านิกายนี้เป็นหนึ่งในนิกายของซูจิ้งเลยด้วยซ้ำ
ตอนนี้เหล่าคนที่อยู่ฝั่งวัดหลานเล่อนั้นต่างก็มองไปอย่างรู้สึกแปลกสายตา นั่นก็เพราะว่าเหล่าสาวกของนิกายแม้แต่คนที่ไปก่อปัญหายังวัดหลานเล่อเองนั้นยังอยู่สภาพไม่ต่างกัน
พวกเขานั้นไปที่วัดหลานเล่อเพื่อก่อปัญหา ยอมเอาชีวิตเข้าเสี่ยงที่จะโดนทำร้ายหรือแม้แต่โดนจับเพื่อนิกายของตนเอง แต่มาตอนนี้แม้แต่ผู้นำนิกายเองก็ยังคุกเข่าต่อหน้าพระจากวัดหลานเล่อ
แล้วตอนนี้พวกเขานั้นจะเอายังไงต่อ ไม่ใช่ว่าการทำอย่างนี้จะกลายเป็นเรื่องขายหน้ามากๆหรอกเหรอ
อย่างแรกนั้นพวกเขาพ่ายแพ้ต่อคำพูดของซูจิ้ง อย่างที่สองนั้นภาพลักษณ์ของนิกายในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว นี่ทำให้ทุกคนในนิกายหันเหไปทางพุทธในทันที
นอกจากพวกเขานั้นจะรู้สึกตัวแล้วว่านิกายนี้ไม่ดีอย่างที่คิด หลายๆคนเองก็เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าตัวเองถูกล้างสมองไปอย่างหนักจึงทำอะไรไม่ดีไปตั้งหลายอย่าง
“เป็นอะไรรึ” ซูจิ้งมองไปยังผู้นำนิกายเมตตาและโชคนำพาที่กำลังคุกเข่าและกุมมืออยู่ตรงหน้าของเขา
“ผมรู้ว่าผมผิดไปแล้ว ขอบคุณที่คุณซูสอนสั่ง ผมหวังว่าคุณซูนั้นจะยอมรับคนแบบผมได้เข้าถึงศาสนาพุทธตามแนวคิดของคุณด้วยเถอะ”
เหล่าสาวกในตอนนี้ต่างก็มีหน้าที่รู้สึกสำนึกผิดและยินยอมที่จะยอมรับผลของการกระทำเพื่อแลกกับการได้เข้าถึงในสิ่งที่ซูจิ้งรู้มาราวกับคนบาปที่ตามหาที่พึ่งทางใจมาแสนนาน
ทุกคนในตอนนี้หันกลับไปมองยังซูจิ้งในทันที ไม่ว่าจะเป็นนิกายที่เลวร้ายมาจากไหนก็ตาม แต่เมื่อผ่านการเสวนากลับต้องมาคุกเข่าต่อหน้าได้แบบนี้
นี่เขาสมควรจะเป็นเทพเซียนในร่างมนุษย์หรือไม่ก็บุตรแห่งพระเจ้าเป็นแน่
ตอนนี้เหล่านักข่าวต่างรีบทำการส่งภาพพร้อมข้อความเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและทำการเสนอข่าวในทันที เหล่าชาวเน็ตที่ติดตามเรื่องนี้แต่ไม่สามารถไปได้ด้วยตัวเอง
ทันทีที่ได้เห็นข่าวนี้และภาพถ่ายที่เกิดขึ้น พวกเขาต่างก็ทำหน้าโง่งมไม่ต่างกัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น