Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 906-909

 GGS:บทที่ 906 ขยะกองใหม่


 


เมื่อซูจิ้งเข้าไปในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศ เขาก็เห็นวังวนมิติขนาดใหญ่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเหมือนเช่นเคย ไม่นานก็ได้มีขยะจำนวนมหาศาลเทลงมาเป็นสาย


และเหมือนครั้งก่อนพวกมันลอยอยู่กลางอากาศหลังจากนั้นก็ลอยแยกเป็นกองๆไป เมื่อมองดูรวมๆแล้วจะเห็นได้ว่าเป็นของที่มานั้นจะออกแนวยุคเก่า มีโต๊ะและเก้าอี้โบราณ ดาบหักๆและของอื่นๆอีก


จากการที่ประเมินคร่าวๆแล้วน่าจะเป็นห้วงเวลาที่ยุคเก่าหน่อยๆ และเขาเองก็ไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนเช่นกันเลยยังนึกไม่ออกว่ามาจากที่ไหน


 


หลังจากผ่านไปสักพัก ขยะห้วงเวลาฯก็ได้หยุดเทลงมา และสักพักวังวนมิติก็ได้หายไป ตอนนี้ซูจิ้งไม่ได้สนใจที่จะไปยังอีกฝั่งของวังวนมิติตั้งนานแล้ว


และเขาเองก็รู้สึกได้เหมือนกันว่าคนที่คอยเปิดประตูพวกนี้มาเรื่อยๆก็คงจะถอดใจกับวังวนมิตินี้ด้วยเช่นกัน ทำได้เพียงทดลองเปิดประตูไปเรื่อยๆไปเป็นการฆ่าเวลาเท่านั้น


เอาจริงๆถ้ายังคงเป็นแบบนี้ต่อไปก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องดีเหมือนกัน แม้ว่าจะมีโอกาสที่ขยะห้วงเวลาฯที่หลุดมานั้นจะสามารถสร้างความสะพรึงให้กับโลกนี้


เอาจริงๆต่อให้ช่วงนี้ขยะห้วงเวลาฯที่เทลงมานั้นจะยังจัดการได้อย่างง่ายๆ แต่เขานั้นก็ไม่อยากที่จะย่อนยานในการเฝ้าระวังเหตุร้ายที่อาจจะตามมาได้เลยสักครั้งเดียว


และแน่นอนว่าเขานั้นไม่มีทางเอาความหวังลมแล้งๆในการที่จะให้ประตูอีกฝั่งทิ้งแต่ของดีๆมาให้เขาได้อย่างแน่นอน มีเพียงการที่เขาควบคุมการเปิดปิดวังวนนี่ได้เท่านั้นที่จะทำให้เขามั่นใจได้


 


ซูจิ้งได้ตรงไปยังกองขยะห้วงเวลาฯสีเขียวก่อนเป็นอันดับแรก ในกองนั้นเต็มไปด้วยพืชและแมลงตัวเล็กๆ ถึงแม้ขยะจะแยกตามสัณฐานของขยะห้วงเวลาฯก็ตามแต่กว่าครึ่งของพวกมันก็เหมือนจะตายไปหมดแล้ว


ซูจิ้งมีความรู้สึก่าคราวนี้ส่วนใหญ่เป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกไส้เดือนและแมลงคล้ายๆมดเป็นหลัก ซึ่งแน่นอนว่าเป็นพันธุ์ที่เขานั้นไม่เคยเห็นมาก่อน


ที่น่าสนใจที่สุดก็คือพืชที่มีดอกขนาดใหญ่ยักษ์ ความสูงของมันสูงพอๆกับกิ่งก้านที่แพร่ขยายไปข้างๆ ลำต้นของมันสีเหมือนเหล็ก ถึงจะบอกว่าสีเหมือนเหล็กแต่ลำต้นของมันก็เรียวและนุ่มหยุ่นมือ ตรงกลางดอกใหญ่ยักษ์นั้นมีสีแดงและมีกลิ่นฉุน มีกิ่งก้านหลายอันที่หักลง หรือไม่ก็ได้รับการเสียหาย น่าจะมาจากการถูกเททิ้งลงมา เอาจริงๆโดนทับขนาดนั้นแต่สภาพยังอยู่ดีขนาดนี้ก็ดีมากแล้ว


 


“ลองดูพวกแมลงก่อนแล้วกัน” ซูจิ้งให้หลี่น้อยและอาลี่ไปจับหนูมา ในระหว่างนั้นเขาได้ทำการแยกแมลงที่ตายเหล่านั้นออกมา เมื่อหลี่น้อยและอาลี่กลับมาจึงให้พวกมันกินแมลงเหล่านั้น แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น


เมื่อเห็นดังนั้นซูจิ้งจึงได้ทำการสำรวจตัวที่มีชีวิตอยู่แทน เขาเจอมดตัวหนึ่งที่มีสีดำสนิทและมีแสงแวววาว ขนาดตัวของมันพอๆกับนิ้วก้อย


ซูจิ้งได้ส่งมดกระสุนที่เขาเลี้ยงไว้ในถุงกักอสูรของเขาออกมาให้ลองโจมตี พวกมันโดนสวนกลับจนตายในทันที เขาจึงได้ลองให้หนูโดนเจ้ามดยักษ์นี่กัดดู ผลก็คือมันเจ็บปวดทรมานจนน้ำลายฟูมปากและมดสติไป


เจ้ามดยักษ์ตัวนี้เหมือนว่ามันจะมีพลังสูงกว่าที่ซูจิ้งคิดไว้พอสมควร เจ้าหนูเองก็ไม่ได้ตายด้วยการกัดโดยตรง


แต่เหมือนตายเพราะโดนพิษมากกว่า และพิษเจ้านี่น่าจะร้ายแรงกว่าตะขาบยักษ์ที่เคยเจอจากขยะห้วงเวลาฯฝืนลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเซียนซะอีกฃ


 


“ไม่รู้ว่าเจ้านี่มาจากห้วงเวลาฯไหนกันแน่แหะ มันเหมือนทรงพลังแต่ไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักนิด” ซูจิ้งนึกยังก็นึกไม่ออกว่าจะใช้เจ้ามดยักษ์นี่ทำอะไรดี


อีกอย่างเจ้านี่ถือได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตรายด้วยเช่นเดียวกัน หากเจ้ามดนี่สบโอกาสแน่นอนว่ามันย่อมแพร่พันธุ์ตัวมันเองได้อย่างแน่นอน


และถ้าพวกมันหลุดออกไปบนโลกได้ล่ะก็ มันจะต้องสร้างความหายนะกับพืชพันธุ์ท้องถิ่นบนโลกนี้อย่างไม่ต้องสงสัย


ซูจิ้งทำการตรวจสอบขยะกองถัดไป นั่นก็คือกองไส้เดือน เขานั้นสังเกตุเห็นว่าพวกมันนั้นตัวใหญ่ขนาดประมาณนิ้วมือได้และความยาวส่วนใหญ่ก็ไม่น้อยกว่า30เซนติเมตรทั้งสิ้น


ร่างกายของมันออกแดงๆสด ดูๆไปก็น่าขยะแขยงพอสมควร ตอนเด็กๆนั้นเขาคลั่งไคล้เจ้าไส้เดือนนี่มาก เพราะว่าชอบจับพวกมันไปเป็นเหยื่อตกปลาบ่อยๆ


ต่อพอมาเห็นกองใหญ่ขนาดนี้แล้วก็รู้สึกแหยงๆเหมือนกัน


ซูจิ้งทำการทดลองหลายๆอย่างกับบรรดาสิ่งมีชีวิตที่เจอ แต่นอกจากขนาดอันใหญ่โตแล้ว พวกมันก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรน่าสนใจอย่างอื่นเลยแม้แต่น้อย


 


เจ้าหนูที่ลองให้กินพวกมันไปก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น พวกมันไม่ได้ดุร้าย ทำเพียงแค่พยายามเจาะเข้าพื้นดินเหมือนไส้เดือนทั่วไป เพียงแต่พวกมันทำได้ดีกว่าประมาณสิบเท่าจากไส้เดือนทั่วไปแค่นั้นเอง


ความสามารถของพวกมันที่เขาเห็นได้เพียงอย่างเดียวก็คือการทำให้ดินที่แข็งกระด้างร่วนซุยได้ด้ยเวลาไม่นานนัก


“เจ้าไส้เดือนนี่ก็น่าจะยังพอใช้ได้อยู่แหะ ถึงจะไม่ได้กี่อย่างก็เถอะ” ซูจิ้งนั้นเซ็งๆเล็กน้อยก่อนที่จะหันไปทำการตรวจสอบแมลงอื่นต่อ เขานั้นได้ทดลองแมลงต่างๆอย่างน้อยสายพันธุ์ละหนึ่งครั้งแต่ก็เหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษเลยสักนิด


 


ซูจิ้งให้ฉิงหยุนส่งแมลงพวกนั้นไปไว้ในระบบนิเวศเสมือน หลังจากนั้นเขาก็สำรวจขยะห้วงเวลาฯกองพืชต่อ สิ่งที่เขาสังเกตุได้อย่างแรกเลยก็คือดอกไม้ขนาดใหญ่ ต่อพอพลิกซ้ายพลิกขวาดูก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ


เขาได้ลองให้หนูกินส่วนที่หักออกไปแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากตรวจสอบดูดีๆแล้วเขาได้เจอซากของพืชชนิดหนึ่ง และไม่ได้เจออะไรพิเศษพอที่จะทำให้ซูจิ้งประหลาดใจได้เลย


หากว่าเจ้านี่ทิ้งเมล็ดหรือต้นอ่อนไว้บ้างก็คงดีแหะ ซูจิ้งคิดได้ดังนั้นเขาจึงได้นำกะโหลกเร่งเวลาออกมา และทำการเร่งเวลาสิ่งที่คิดว่าเป็นเมล็ดและต้นอ่อนของพืชกองนี้


ต้นอ่อนของพืชที่ถูกเร่งความเร็วนั้นปกติมันจะเร่งโตได้เท่านั้น ต่อให้มันมีเมล็ดแต่เมล็ดเหล่านั้นจะถือว่าไม่ได้รับการผสมจนสามารถแพร่พันธุ์ได้


แต่ในครั้งนี้นั้นไม่เหมือนกัน ซูจิ้งได้พบเจอพืชประหลาดชนิดหนึ่งที่โตขึ้นมา ตอนแรกนั้นมันมีขนาดเล็กกว่าสองเซนติเมตรซะอีก


แต่ตอนนี้มันสูงขึ้นและเขียวขึ้นอย่างมาก สีเขียวของมันนั้นออกแดงๆราวกับสีทองแดงไปแล้ว นอกจากนั้นกิ่งของมันยังไม่มีใบ บางต้นรากไม่ได้แทงลงพื้นก็สามารถเติบโตต่อไปได้


แต่เจ้าต้นนี้นั้นซูจิ้งมองๆยังไงก็ไม่น่าจะเป็นต้นไม้อยู่ดี มันเหมือนรูปปั้นโลหะมากกว่า


 


ถึงแม้ว่าต้นไม้ต้นอื่นนั้นจะเติบโตไปได้อย่างรวดเร็วจนสูงไปกว่าครึ่งเมตรแล้ว และบางต้นก็สูงไปมากกว่านั้นอย่างหน้าพิศวง มีเพียงเจ้าต้นไม้สีทองแดงนี่เท่านั้นที่ยังคงเติบโตได้อย่างเชื่องช้า ตอนนี้มันสูงเพียงสิบเซนติเมตรเท่านั้น ต่อให้ต้นอื่นจะเติบโตไปขนาดไหนก็ตาม


ซูจิ้งได้ถอนการเร่งเวลาออกและได้ลองสัมผัสเจ้าต้นนี้ดู เขาพบว่าเจ้าต้นนี้มันร้อนมาก ถ้าตอนแรกเขาเผลอกำเจ้าต้นนี้ไปเต็มแรงแน่นอนว่าต้องโดนลวกอย่างแน่นอน ลำต้นของมันดูเข็งๆจนเหมืองทองแดงจริงๆ


“เจ้านี่มันต้นอะไรกันแน่เนี่ย ช่างแปลกตาจริงๆ”


ซูจิ้งมีความสงสัยในเจ้าต้นทองแดงนี่มากจนทำให้เขานั้นทำการเร่งเวลาเจ้าต้นทองแดงต้นนี้เพียงต้นเดียวเท่านั้น


ในระหว่างการเร่งเวลานี้ เขานั้นรู้สึกมหัศจรรย์กับเจ้าต้นนี้อย่างมากนั่นก็เพราะว่ามันไม่ได้ต้องการน้ำแต่อย่างใด


ถึงแม้จะดูๆเหมือนต้นไม้อื่นตรงที่แห้งตายก็ตามแต่เจ้าต้นนี้ก็ยังเติบโตต่อไปได้อย่างช้ามากๆ ขนาดเขาเร่งเวลาไปกว่าสิบปีแล้ว ต้นของมันก็ยังสูงไม่ถึงครึ่งเมตรเลยด้วยซ้ำ


ถึงจะบอกอย่างนั้นแต่ผิวของลำต้นนั้นกลับยิ่งร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดในลำต้นก็ได้ยินเสียงดังเปรี๊ยะๆจนมีเปลวเพลิงปกคลุมกิ่งก้านที่คาดน่าว่าจะเป็นกิ่งใบ และยังคงมีไฟลุกโชนแบบนั้นต่อไปไม่ดับหรือมอดไหม้กลายเป็นเถ้า


“ต้นไม้นี่แปลกจริง” เมื่อเห็นสภาพนั้น ซูจิ้งได้ประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม เขานั้นนึกไม่ออกจริงๆว่าเจ้าต้นนี้คือต้นอะไรกันแน่


ดูเหมือนว่าเจ้าต้นนี้จะเติบโตได้ช้ามาก หากว่าเขาจะฟูมฟักมันจริงคงต้องเสียเวลาและดินอุดมสมบูรณ์ไม่น้อยเลยทีเดียว


เมื่อซูจิ้งคิดไปได้สักพักเขาจึงเลือกที่จะส่งต้นทองแดง ต้นดอกไม้ยักษ์และต้นไม้ชนิดอื่นๆไปยังระบบนิเวศเสมือนก่อนที่จะไปจัดการขยะห้วงเวลาฯกองอื่นต่อไป


 


มีสิ่งหนึ่งที่เขานั้นไม่ได้สังเกตุ นั่นก็คือในดอกไม้ดอกยักษ์นั่น ทันทีที่เขาใส่มันไว้ในระบบนิเวศเสมือน เมื่อทุกอย่างเงียบลง ก็ได้มีดวงตาบางอย่างโผล่ออกมาจากกลางดอกไม้


ดวงตานั้นสีดำและส่องสว่าง มันหมุนไปมาราวกับกำลังตรวจสอบสิ่งแวดล้อมลอบๆ


GGS:บทที่ 907 การค้นพบที่น่าประหลาดใจ


 


ไส้เดือนตัว มด และดอกไม้ขนาดใหญ่ยักษ์ รวมถึงต้นไม้เปลวเพลิงต้นนั้นทำให้ซูจิ้งคาดว่าห้วงเวลาฯที่ขยะกองนี้จากมาน่าจะไม่ใช่ห้วงเวลาฯที่มียุคสมัยโบราณนัก แต่อย่างน้อยๆก็ไม่น่าใช่ห้วงเวลาฯที่ธรรมดาอย่างแน่นอน คิดได้ดังนั้นเขาจึงรีบหาข้อมูลจากขยะห้วงเวลาฯชุดนี้เพิ่มเติมในทันที


ซูจิ้งตรงไปยังขยะห้วงเวลาฯกองกระดาษ นี่เป็นสิ่งที่เขาทำมาตั้งแต่ต้นจนกลายเป็นกิจวัตรไปแล้ว สิ่งแรกที่ต้องรีบจัดการคือสิ่งมีชีวิต เพราะพวกนั้นอันตรายเกินกว่าจะปล่อยทิ้งไว้ได้ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ตาม ขยะห้วงเวลาฯกองนั้นถือได้ว่าต้องจัดการเป็นอย่างแรก


 


อย่างต่อมาที่เขาต้องทำก็คือการหาข้อมูล ข้อมูลได้จากขยะห้วงเวลาฯกองกระดาษนั้นถือได้ว่าเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดีสำหรับเขา แต่ก่อนที่เขาจะไปถึงขยะห้วงเวลาฯกองกระดาษ เขาได้เดินผ่านขยะห้วงเวลาฯกองเหล็กและนั่นทำให้เขาต้องหยุดและหันไปมองในทันที


 


ซูจิ้งได้ส่งกระแสจิตเข้าไปตรวจสอบในทันที นั่นก็เพราะว่าในขยะห้วงเวลาฯกองโลหะนั้นมีอิฐสีเหลืองอมน้ำเงินอยู่ปนๆไปกับดอกที่หัก


ซูจิ้งใช้กระแสจิตบังคับให้อิฐลอยมาหาเขา อิฐก้อนนั้นในส่วนสีน้ำเงินเป็นมอสปกคลุมแน่นจนคล้ายกับสีน้ำเงินและในส่วนสีเหลืองนั้นมันดูเหมือนเป็นทองเลยทีเดียวเมื่อซูจิ้งได้มองใกล้ๆ เขาอดไม่ได้ที่จะทำตาโตพร้อมพูดออกมาว่า


 


“โวะ นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันได้เห็นอิฐก้อนใหญ่ขนาดนี้ ถึงแม้ว่าจะมีของปกคลุมจนแทบจะดูไม่ออกแต่ฉันมั่นใจได้เลยว่ามันต้องเป็นทอง นี่ที่นั่นใช้ทองหล่อเป็นอิฐมาทำกำแพงงั้นเหรอ”


ซูจิ้งอึ้งไปในทันทีที่คิดอย่างนั้น เขาพูดในขณะสำรวจอิฐก้อนนี่อย่างถี่ถ้วยก็เห็นว่ามันเสียหายด้วยแรงกระแทกอย่างรุนแรง แต่ยังไงซะมันก็ยังเป็นทองอยู่ดี ใครกันที่โยนทองล้ำค่าขนาดนี้มาทิ้งเป็นขยะกันเนี่ย


ซูจิ้งได้ปลดปล่อยกระแสจิตออกมาอีกครั้ง ทันใดนั้นก็ได้มีของบองอย่างลอยออกมาจากขยะห้วงเวลาฯกองโลหะนั่น มันคล้ายกับเสาที่หักกลางไป ดูเหมือนว่ามันจะทำมาจากแซฟไฟล์


นอกจากนั้นยังมีเสาไม้ที่ประดับไปด้วยทอง หยกน้ำเงิน แค่เสายังประดับด้วยของหรูหราขนาดนี้ลองคิดดีสิว่าที่ที่พวกมันจากมาจะหรูหราขนาดไหน


“แล้วนี่?” กระแสจิตของซูจิ้งตรวจจับคลื่นพลังงานยางอย่างได้ เขาควบคุมกระแสจิตของเขาให้ย้อนทางกลับไปเพื่อหาต้นทางที่กระแสพลังนี้ปล่อยออกมา


 


เขาย้อนทางไปถึงขยะอีกกองหนึ่ง ก่อนจะใช้พลังดึงเม็ดอะไรบางอย่างที่สีน้ำเงินออกมาจากขยะกองนั้นและดึงมันมาอยู่ตรงหน้าเขา


เจ้าเม็ดนี้ไม่ได้กลมเสียทีเดีย ผิวก็ไม่ได้เกลี่ยงเกลา มองเผินๆนั้นเหมือนกับหินทั่วไปมากกว่า หากไม่ใช่ว่ามันแผ่พลังงานออกมาเขาคงไม่สนใจแม้แต่น้อย


 


“เจ้านี่คืออะไรกันนะ” ซูจิ้งสงสัยมากแต่เขาเองก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยไว้ด้วย เขาให้หนูตัวหนึ่งลองแตะมนดู พอมองดูแล้วไม่น่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าหนู เขาจึงลองจับมันด้วยตัวเอง


เขารู้สึกได้ถึงความเย็นตั้งแต่ครั้งแรกที่สัมผัส น้ำหนักของมันก็เหมือนกับหินทั่วไป เมื่อมองใกล้ๆเขาเห็นรอยแตกเล็กๆอยู่ หากไม่สังเกตุมันก็จะเหมือนลูกแก้วธรรมดาที่เกือบจะถูกผ่าเป็นสองซีกเท่านั้นเอง


ซูจิ้งยิ่งมองเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่รู้ว่ามันคืออะไร เขาจึงเรียกเสี่ยวไป๋ออกมาให้ใช้สแตนด์ของมันซ่อมแซมเจ้าเม็ดนี้


 


เขาคิดว่ารอยแตกแค่นี้สมควรจะใช้เวลาไม่มากนัก แถมตอนนี้พลังของมันก็ยกระดับแล้ว ต่อให้ต้องซ่อมแซมรูปสลักที่ก่อนหน้านี้ต้องใช้เวลาเพียงชั่วโมงเดียว รอยเล็กๆแบบนี้ควรแค่นาทีเดียวเสร็จ


แต่นี่กลับไม่เป็นอย่างที่ซูจิ้งคิดจนเขาต้องประหลาดใจ หลังจากผ่านไปสองนาที ดูเหมือนรอยแตกนี้จะสามารถซ่อมแซมได้เพียงนิดเดียวเท่านั้น เอาจริงๆรอยซ่อมมันเล็กมากจนชนิดที่ว่าไม่เพ่งมองดีๆก็ดูไม่ออกด้วยซ้ำ


“เกิดอะไรขึ้น เสี่ยวไป๋ ไม่ใช่ว่าความสามารถของนายถดถอยลงหรอกนะ”


“ฮอว์” “ไม่ใช่ครับ เป็นเจ้าเม็ดนี่ต่างหากที่แปลก” เสี่ยวไป๋พูดออกมา


นี่ขนาดความสามารถของเสี่ยวไป๋ยกระดับแล้วยังไม่สามารถซ่อมเม็ดนี่ได้เลยงั้นหรอ ซูจิ้งคิดดังนั้นจึงให้เสี่ยวไป๋ลองซ่อมแซมเศษหินที่อยู่ในขยะห้วงเวลาฯกองหินดู ก็พบว่าเศษหินต่างๆได้ลอยเข้ามาประกอบเป็นอิฐอย่างรวดเร็ว


 


“ก็ปกติดีนี่นา แล้วทำไมเจ้าเม็ดนี่ถึงได้ซ่อมยากนักล่ะ” ซูจิ้งงงหนักยิ่งกว่าเดิม และนั่นเขายิ่งให้ความสำคัญกับเจ้าเม็ดหินนี่ การที่มันซ่อมแซมได้ยาก แน่นอนว่ามันสมควรจะต้องเป็นอะไรสักอย่างที่พิเศษอย่างแน่นอน ดีไม่ดีมันอาจเป็นสมบัติเลยก็ได้


ดังนั้นซูจิ้งจึงให้เสี่ยวไป๋ค่อยๆซ่อมแซมเจ้าเม็ดหินนี่ต่อไป เม็ดหินเองก็ค่อยๆฟื้นฟูอย่างช้าๆชนิดที่มองด้วยตาเปล่าสังเกตุไม่ได้เลย เสี่ยวไป๋ใช้เวลาเกือบๆชั่วโมงถึงจะซ่อมแซมเม็ดหินนี่ได้


 


หลังจากซ่อมเม็ดหินเสร็จ ซูจิ้งให้เสี่ยวไป๋ไปซ่อมแซมขยะในขยะห้วงเวลาฯกองกระดาษทันที โดยที่เขานั้นยังคงกำเม็ดหินนี่ไว้ในมือ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกแปลกๆ มันเหมือนกับว่าเม็ดหินนี่มีพลังงานมากกว่าตอนแรกนับสิบเท่าเลยก็ว่าได้


มันไม่เพียงแค่เป็นการแผ่พลังงานออกมาก่อนหน้านี้ แต่คราวนี้มันส่งออกมาเป็นละลอกคลื่นเลยทีเดียว หากเปลี่ยนเป็นเสียงล่ะก็คนเทียบได้กับว่าก่อนหน้านี้เป็นเสียงแม่ค้าจ่ายตลาด แต่ตอนนี้เป็นเสียงระฆังในวัดพุทธ ที่ทำให้คนได้ยินแล้วรู้สึกสงบใจได้


 


จากประสบการณ์ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ทำให้ซูจิ้งนั้นทำการรวบรวมพลังจิตของตัวเองไปไว้ที่เม็ดหินนี่ และทำการสัมผัสคลื่อนพลังของมันโดยตรง


หลังจากผ่านไปสักพัก พลังภายในของเขาได้ลุกโชนขึ้นและไหลผ่านไปยังมือของตนเองก่อนที่จะไหลเข้าไปในเม็ดหินนี่ ทันใดนั้นเม็ดหินนี่ก็สั่นไหวและพยายามดีดตัวเองไปมาราวกับลูกตุ้มนาฬิกาก็ไม่ปาน


 


ซูจิ้งได้ลืมตาขึ้นพร้อมกับความประหลาดใจ เขารู้สึกได้เลยว่าตัวเขาเชื่อมโยงเข้ากับเจ้าเม็ดหินนี่ เพียงเขาคิดเท่านั้นเจ้าเม็ดหินนี่ก็จะเคลื่อนไหวไปตามที่เขาคิด หากเขาสั่งให้มันโจมตีแน่นอนว่าพลังของมันย่อมเหนือกว่าหินทั่วๆไปอย่างแน่นอน


 


แต่ซูจิ้งนั้นก็รู้สึกได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าเม็ดหินนี่ไม่น่าจะเอาไว้ใช้โจมตีอย่างแน่นอน ยิ่งเขาเชื่อมต่อกับเม็ดหินนี่มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าคลื่นพลังที่เม็ดหินนี่แผ่ออกมายิ่งแปลกพิกลทุกที


“มันเป็นสมบัติอย่างแน่นอน แต่มันเอาไว้ใช้ทำอะไรเนี่ยสิ” ซูจิ้งพูดออกมาลอยๆ แต่คำพูดนี้เองก็แฝงไว้ด้วยความน่ากลัวอยู่เหมือนกัน ตอนนี้คำพูดของเขานั้นแฝงไว้ด้วยพลังแห่งความสงบ(เซ็น) ที่แผ่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง มันเต็มไปด้วยความรู้สึกน่าหลงใหล


 


ขนาดที่ว่าเสี่ยวไป๋ที่กำลังซ่อมขยะห้วงเวลาฯกองกระดาษอย่างขมักเขม้นนั้นยังหันควับมาจ้องเขาทันทีที่ได้ยินแบบจริงจัง


ซูจิ้งนั้นตกใจในทันทีที่สังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เขาได้หายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะเปิดใช้วิถีแห่งมังกรและนั่นทำให้เขาเข้าสู่ขอบเขตแห่งความสงบในทันที


หลังจากนั้นเขาได้ท่องบทสวดที่อยู่ในหัวใจพระสูตรและพระพุทธขึ้นมา นี่ทำให้มีหนูมานั่งนิ่งอยู่หน้าเขาในทันทีและฟังอย่างตั้งใจโดยไม่กระดิกตัวไปไหนแม้แต่น้อย


แน่นอนว่าสิ่งนี้ทำให้อารมณ์ศิลป์ของเขาเองสูงขึ้นไปด้วย เขารู้สึกได้เลยว่าตอนที่เขาท่องบทสวดนี้ก่อนหน้านี้ทำให้เขานั้นสามารถเข้าถึงได้ทั้งมนุษย์และสัตว์ แต่ก็ไม่ได้มากมายจนทำให้หนุษย์หรือสัตว์มานั่งฟังแบบนี้ อย่างๆน้อยๆก็ต้องมีพลังจากเหรียญตราเทวทูตเข้าช่วยถึงจะทำได้


นอกจากเจ้าหนูที่นั่งฟังเขาแบบนิ่งๆแล้ว เขายังรู้สึกได้ในทันทีว่าพลังจิตของเข้านั้นกล้าแกร่งจนเมื่อก่อนเทียบไม่ได้เลย


 


“สมบัติชิ้นนี้ไม่ใช่เล่นๆซะแล้วสิ” ซูจิ้งประหลาดใจจนคิดจะเริ่มทดลองเพิ่มเติม เขานั้นออกจากสถานีกำจัดห้วงเวลาฯและตรงไปอ่านบทสวดที่หลังคาตึก ผลคือบรรดาสัตว์เลี้ยงของเขาทั้งหมดต่างล้อมรอบเขาและตั้งใจฟังอย่างดี แม้แต่ที่ชายหาดเองก็มีปลาฝูงใหญ่และนักอีกฝูงหนึ่งมาออกันเพื่อรับฟังเสียงของเขา


GGS:บทที่ 908 รบกวน


 


หลังจากซูจิ้งได้ท่องบทสวดในหัวใจพระสูตรและรูปพระพุทธออกมาและได้ทำการหยุดลง ถึงจะอย่างนั้นแต่เหล่านกและปลาที่มาก่อนหน้านี้ก็ไม่ยอมไปไหน ต่อให้ซูจิ้งไม่อยู่ตรงนั้นแล้วก็ตาม แม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงของเขาเองที่ทำตัววุ่นวายก่อนหน้านี้เขารู้สึกได้ทันทีว่าพวกมันสงบเสงี่ยมมากขึ้น


 


ซูจิ้งอดสังสัยว่าพวกมันสามารถเข้าถึงหัวใจพระสูตรฯกันได้ด้วยจริงๆรึเปล่า เขาได้ทำการเรียกหมาป่าสงครามและอินทรีย์ทองเข้าไปในคริสตัลแห่งภวัง (คริสตัลสมาธิ)


ความจริงเมื่อก่อนนั้นเขาได้เข้าไปในมิติของคริสตัลนี้บ่อยมาก แต่ช่วงหลังๆมันไม่ค่อยได้ช่วยอะไรเขา เขาเลยเลิกสนใจไป


แต่ตอนที่เขานั้นให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองเข้าไปนั้นเขารู้สึกได้ในทันทีว่าพลังของคริสตัลนี้เองก็มากขึ้นไปด้วยเช่นเดียวกัน


 


“พระเจ้า เจ้าเม็ดหินสีน้ำเงินนี่ช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ” ซูจิ้งถึงกับตกใจขั้นสุด นั่นก็เพราะเพียงใช้เจ้าเม็ดหินสีน้ำเงินนี่เท่านั้นทุกสิ่งทุกอย่างของเขาก็เหมือนมีพลังเพิ่มขึ้น


ซูจิ้งนั้นเริ่มอ่านบทสวดหัวใจพระสูตรฯอีกครั้ง คราวนี้เขาสังเกตได้เลยว่าพลังวิญญาณของสัตว์เลี้ยงของเขามากขึ้น ถึงแม้ยิ่งสวดไปอัตราการเพิ่มจะน้อยลงแต่ก็ยังถือว่าเพิ่มขึ้นอยู่ดี


คราวนี้ซูจิ้งได้ลองวิธีอื่น เขานั้นได้ลองเปิดใช้วิถีแห่งใต้หล้าแต่ในครานี้ผลของมันกลับเพิ่มเพียงน้อยนิดเท่านั้น ดูเหมือนว่าพลังที่ปล่อยออกมาจากเม็ดหินสีน้ำเงินนี้จะมีผลดีกับสิ่งที่อยู่ในวิถีแห่งความสงบเท่านั้น เป็นไปได้ว่าตัวมันเองก็น่าจะเป็นสมบัติทางฝั่งความสงบอย่างเซ็นไม่ก็ทางพุทธก็เป็นได้


 


ซูจิ้งได้เก็บเม็ดหินสีน้ำเงินไว้ในกระเป๋ามิติและได้กลับไปยังสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯเพื่อจัดการขยะต่อ


คราวนี้เขานั้นได้ให้ความสนใจในวัตถุที่ปล่อยพลังออกมาได้เป็นพิเศษ


จนกระทั่งพบวัตถุที่ปล่อยพลังได้อีกชึ้นหนึ่ง คราวนี้มันเป็นเศษหนังสีขาวที่ค่อนข้างดูดีทั้งๆที่เป็นรอยแตกขนาดใหญ่และเป็นรูราวกับผ้าขี้เรี้ยวก็ตาม


เจ้าหนังนี่หากมองผ่านๆแน่นอนว่าต่อให้เป็นเขาเองหากไม่ใช้พลัง แน่นอนว่าย่อมมองผ่านไปอย่างแน่นอน ซูจิ้งให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมหนังสีขาวอันนี้


เมื่อซ่อมแซมได้บางส่นเขาก็ต้องประหลาดใขนั่นก็เพราะว่าหนังสีขาวอันนี้มีลวดลายจำนวนมาก


ความจริงนั้นเจ้าแผ่นหนังนี้สมควรจะซ่อมแซมได้ง่ายๆเพราะมันเป็นเพียงแผ่นหนังเล็กๆ นั่นก็เพราะว่าผ่านไปกว่าสิบนาทีแล้วยังซ่อมได้เพียงนิดหน่อยแค่นั้นเอง


“หนังสีขาวที่มีพลังแผ่ออกมาเหมือนกับเม็ดหินสีน้ำเงินนั่นคงต้องใช้เวลาพอๆกันสินะ” ซูจิ้งยังคงให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมหนังต่อไป ส่วนเขานั้นได้ใช้กระแสจิตตรวจสอบขยะต่างๆต่อ หลังจากนั้นสักพักเขาก็พบหนังสีขาวแบบเดียวกันอีกสองชิ้น ซูจิ้งจึงมอบให้เสี่ยวไป๋จัดการ


 


ซูจิ้งไม่ได้ปล่อยกระแสจิตตรวจสอบกองขยะห้วงเวลาฯต่อนั่นก็เพราะว่ามีขยะอยู่จำนวนมาก แถมตรงส่วนก้นๆกองขยะห้วงเวลาฯยังยากที่จะตรวจสอบได้


ตัวเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรมากเพราะขยะกองนี้ยังไงก็ไม่หนึไปไหน จะช้าเร็วยังไงก็น่าจะเจอสมบัติพวกนั้นอยู่ดี


หลังจากซูจิ้งจัดการขยะต่อไปสักพัก เสี่ยวไจ๋ก็ได้โทรเข้ามา ทันที่เขารับเขาได้ยินโวกเวกโวยวายดังมาจากฝั่งเสี่ยวไจ๋ เสี่ยวไจ๋ได้ทำการปิดประตูฝั่งนั้นเพื่อกั้นเสียงและพูดขึ้นว่า “อาจารย์ครับ มีใครบางคนมาที่ประตูตึกหอพระอจละเพื่อสร้างปัญหา พวกนั้นบอกว่าพระอจละองค์นี้ไม่ใช่พระพุทธแต่เป็นปีศาจ


 


พวกนั้นบอกว่าจะขับไล่ทุกชีวิตและพังหออจละนี่ซะ ไม่สิทั้งวัดหลานเล่อนี่เลย เจ้าอาวาสเองก็พยายามจะห้ามปรามพวกนั้นแล้ว แต่พวกนั้นก็ยังพยายามพังเข้ามาอีก ผมควรจะทำยังไงดีครับ”


“คนพวกนี้เป็นใครกัน พวกนั้นจะทำอะไรกันแน่” ซูจิ้งถึงกับขมวดคิ้ว ใครกันที่กล้าหาญมาทำลายวัดทางศาสนาแบบนี้


“พวกนั้นบอกว่าเป็นผู้ศรัทธาของกลุ่มผู้เมตตาและโชคนำพา ผมไม่เข้าใจจริงๆว่าพวกนั้นมาสร้างปัญหาให้เราทำไม” เสี่ยวไจ๋พูดออกมา


 


“ถ้าพวกนั้นเข้ามาจริงนายก็หยุดพวกนั้นซะ เพียงแต่พยายามอย่าทำให้ใครบาดเจ็บก็พอ เดี๋ยวฉันจะรีบไปในทันที” ถึงแม้เสี่ยวไจ๋นั้นจะมีจิตใจแห่งยุทธ์ แต่ตัวเขานั้นก็ยังเป็นคนธรรมดาเท่านั้น แน่นอนว่าความคิดอ่านเองก็เช่นกัน ดีไม่ดีความคิดอ่านของเขาจะแย่กว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำพระเขาฝักใฝ่ในทางยุทธ์อย่างเดียว


 


อย่างไรก็ตามจากที่ฟังดูแล้วนี่เองก็น่าจะเป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน และเขาเองก็ไม่มีทางยอมให้พระอจละถูกทำลายได้อย่างแน่นอน เขาต้องไปเองถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุด


เพื่อเป็นการประหยัดเวลา เขาไม่ได้ขับรถไปแต่เลือกที่จะใช้เสี่ยวจิน(อินทรีย์ทอง) ตอนนี้เสี่ยวจินนั้นสามารถทำความเร็วในขณะแบกซูจิ้งไว้ได้นั้น หากเป็นในระยะสั้นๆจะอยู่ที่ 470 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หากเป็นระยะยาวนั้นจะเฉลี่ยอยู่ที่ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยการที่เขานั้นบินตรงไปเป็นเส้นตรงไม่ต้องลัดเลี้ยวเคี้ยงคดแบบขับรถไปบนถนน เพียงไม่กี่นาทีเสี่ยวจินก็พาเขามาถึงวัดหลานเล่อเรียบร้อยแล้ว


 


เมื่อซูจิ้งมองลงมาจากฟ้าก็ได้เห็นกลุ่มคนที่กำลังสร้างปัญหาออกันอยู่หน้าประตูหอพระอจละ บริเวณข้างนอกนั้นมีเจ้าอาวาสซูหยุนและปรมาจารย์เชิงหยานกำลังทำให้พระในวัดอยู่ในความสงบเช่นเดียวกัน


นอกจากนั้นยังผู้ศรัทธาในพระอจละที่พยายามหยุดกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบนี้ด้วย แต่ถึงกระนั้นเหล่าผู้ก่อความไม่สงบนั้นเริ่มก่อความรุนแรงมากขึ้นจนเริ่มทำร้ายคน ทำให้ไม่นานนักก็ก่อให้เกิดความโกลาหล


เสี่ยวไจ๋และพระอีกจำนวนหนึ่งที่นั่งเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่หน้าหออจละยังไม่ไหวติง แต่มีพระรูปหนึ่งที่หน้าตาบอบช้ำ ดูเหมือนว่าพระรูปนี่จะโดนเล่นงาน


“ลงไปกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยเสียงอันดังก้องกังวาล อินทรีย์ทองค่อยๆกระพือปีกไต่ระดับความสูงลงมาฉากนี้เรียกความสนใจจากทุกคนอย่างมาก


 


อินทรีย์ทองที่ลดระดับลงมาได้บินอยู่เหนือผู้คน ด้วยร่างกายอันใหญ่โตนั่นทำให้ทุกคนรู้สึกช็อกเหมือนกับถูกไฟฟ้าดูดก็ว่าได้ มันน่าหวาดหวั่นจนทำให้เหล่าผู้ก่อปัญหาเกือบจะถูกหยุดไว้ทั้งหมดเลยทีเดียว


แต่ก็ยังมีบางคนที่ไม่ยอมหยุด แถมยังเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ซูจิ้งส่งสัญญาณไปยังอินทรีย์ทอง อินทีย์ทองได้ทำการสะบัดปีกอย่างรวดเร็วจนเกิดลมกรรโชก อุ้งเท้าทั้งสองข้างได้ขยุ้มพวกก่อความไม่สงบเดนตายที่คิดจะทำอะไรบางอย่างโยนขึ้นไปบนฟ้าก่อนที่จะล่วงลงพื้นและทำการกดพวกมันไว้


 


จนสุดท้ายเหล่าผู้ก่อความไม่สงบหน้าเปลี่ยนสีจนซีดจางลงและทำการร้องขอชีวิต ส่วนคนที่เหลือทำการหยุดนิ่งไม่ไหวติง ใจพวกเขานั้นไม่ได้ต้องกายหยุดแต่เพียงตอนนี้ไม่กล้าทำอะไรก็เท่านั้น


“คุณซูมาแล้ว” เจ้าอาวาส ปรมาจารย์เชิงหยาน และเหล่าสานุศิษย์แห่งวัดหลานเล่อรู้สึกใจชื้นขึ้นมา พวกเขาต่างก็จ้องมองไปยังอินทรีย์ทองที่ซูจิ้งขี่หลังอยู่ แต่ไม่ใช่เพราะความหวาดกลัวแต่เป็นเพราะความสวยงามของมัน


“เกิดเรื่องนรกอะไรกันขึ้นที่นี่” ซูจิ้งได้กระโดดลงมาจากหลังอินทรีย์ทองและถามออกมา โจวฮงหยวนได้ยินขึ้นและเข้าไปพูดเชิงกระซิบที่หูของซูจิ้งว่า “พวกนี้คือผู้ศรัทธาของกลุ่มผู้เมตตาและโชคนำพา”


ซูจิ้งถามกลับว่า “แล้วไอ้กลุ่มผู้เมตตาและโชคบ้าบอนี่มาทำบ้าอะไรกันที่นี่”


โจฮงหยวนได้ตอบกลับว่า “ผู้นำนิกายมีชื่อว่าเหรินซินจิ เขาเป็นเจ้าอาวาสของวัดซาช่าที่อยู่ใกล้ๆนี่


 


เขาถูกนับถือว่าเป็นปรมาจารย์ทางพุทธคนหนึ่งและดังพอตัว เขาสอนเกี่ยวกับความเข้าใจในจักรวาลและเป็นที่รู้จักกันดีในนามผู้นำพาความสงบ เขาเองก็มื่อเสียงไม่น้อยเลย


ส่วนวัดซาช่านั่นเองก่อนหน้านี้เป็นที่นิยม ต่อพอทางเราเปิดหอองค์พระอจละให้สักการะบูชา เครื่องหอมของวัดนั้นก็ขายได้น้อยลงมากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้เหลือแต่ผู้ที่ศรัทธาแบบหัวปักหัวปรำเท่านั้นที่ยังคงไปที่นั่นอยู่


ไอ้เจ้าผู้ศรัทธาพวกนี้ก็ไม่รู้มาจากไหน อยู่ๆก็มาโวยวายถามหาความยุติธรรม และบอกว่าพวกเรานั้นเป็นสาวกปีศาจและนับถือในเทพปีศาจ


นอกจากนั้นยังโวยวายว่าจะล้างผลาญทุกชีวิตในวัดและต้องการทำลายหอองค์พระอจละของพวกเรานี่อีก”


GGS:บทที่ 909 ถูกเรียกว่าพระสงฆ์


 


ซูจิ้งถึงกับขมวดคิ้วในทันที นี่มันเรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจชัดๆ ไม่ได้มีเรื่องอื่นใดเลยแม้แต่น้อย เขานั้นใช้วิธีแข่งขันที่ถูกต้องทางกฎหมาย แต่หากจะถูกบังคับให้เปิดประตูเพื่อทำลายวัดเพียงเพราะอาศัยการข่มขู่แบบนี้ หากเขาเห็นควรด้วยก็แปลกล่ะ


เอาจริงๆในตอนนี้ซูจิ้งเองก็ถือได้ว่าเป็นผู้ที่นับถือศาสนาพุทธคนหนึ่งเหมือนกัน เพียงแต่ซูจิ้งนั้นไม่ได้ชอบเรื่องอภินิหารเหนือจินตนาการอะไรพวกนั้น


 


สำหรับซูจิ้งแล้วพระพุทธศาสนาควรจะเป็นเรื่องของผู้ที่แสวงหาความสงบและศึกษาหาวิถีแห่งการตัดขาดจากกิเลศ ไม่ใช่พวกที่นำเอาปฏิหารย์ทางศาสนามาหากินแบบไอ้พวกนี้


“ฉันมีคำถามจะถามแกสองคน” ซูจิ้งดึงคอเสื้อของผู้ก่อความไม่สงบสองคนเมื่อครู่ที่อยู่ในอุ้งเท้าอินทรีย์ทองขึ้นมา ก่อนที่เขาจะทำการสะกดจิตทั้งสองโดยตรงแล้วถามคำถามออกไป


 


เจ้าคนพวกนี้นั้นเป็นผู้งมงายก็เท่านั้นเอง พวกเขาคิดวัดว่าวัดซาช่านั้นดีกว่าวัดหลานเล่อเป็นไหนๆ และแน่นอนว่าพวกเขาคิดว่ากลุ่มศรัทธาของตัวเองที่ชื่อว่ากลุ่มผู้เมตตาและโชคนำพานั้นดีกว่าผู้ศรัทธาในหอพระอจละมากมายนัก และพวกเขามาที่นี่เพื่อก่อปัญหาขึ้น


 


แต่จากการที่ซูจิ้งได้สอบถามคำถามไม่กี่คำถามนี้ได้ทำให้เขาเข้าใจได้ทันทีว่าคนพวกนี้น่าจะถูกล่อลวงโดยผู้นำกลุ่มผู้เมตตาบ้าบออะไรนั่น นี่ทำให้ซูจิ้งตั้งแง่กับกลุ่มนี้ในทันที


“ผู้นำกลุ่มผู้เมตตาฯนี้ดูเหมือนจะมีความรู้อยู่บ้าง แต่ดูเหมือนว่าเขานั้นจะอยากใช้ทางลัดและหาผลประโยชน์จากแรงศรัทธาจึงทำให้ความเชื่อในกลุ่มนี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว” เจ้าอาวาสซูหยุนที่ได้ยินคำถามที่ซูจิ้งถามและคำตอบของเหล่าสาวกกลุ่มผู้เมตตาฯถึงกับต้องส่ายหัวและถอนหายใจออกมา


 


“แกก็มีเพียงปัญญาที่จะใช้ความรุนแรงเท่านั้นแหล่ะ ผู้นำของเรานี่สิถึงจะเป็นผู้มีปัญญาโดยแท้ เพียงพูดออกมาก็มีผู้ศรัทธาเขามากมายนัก” หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งพูดออกมา เธอนั้นยืนขึ้นพร้อมชี้หน้าว่าซูจิ้งออกมา เธอบอกว่าซูจิ้งนั้นใช้ความรุนแรงกับพวกเธอแต่เหมือนจะไม่ดูตัวเองว่าเป็นฝ่ายเริ่มก่อน


 


“โฮ่… คนอย่างพวกแกเนี่ยนะมีเหตุผล น่าขำยิ่งนัก ถ้าคนอย่างแกมีเหตุผล ตัวฉันนั้นคือสุดยอดเหตุผลยิ่งกว่า ถ้าแกเริ่มก่อนล่ะก็ ก็อย่าหาว่าฉันโหดร้ายก็แล้วกัน”


ซูจิ้งพูดออกมาด้วยความอาฆาต จนทำให้หญิงผู้นี้ต้องถอยล่นในทันที ซูจิ้งนั้นมีชื่อเสียงในตอนที่จัดการเหล่านักเทควันโดไปสี่สิบคนในครานั้นทำให้ความน่ากลัวของเขาขจรขจายโดยไม่ต้องทำอะไรเลย


ซูจิ้งได้พูดออกมาต่อว่า “อ้อ ฉันเรียกตำรวจไปแล้ว หากพวกแกยังอยากจะก่อปัญหาก็เชิญ ฉันไม่สนเลยสักนดว่าคนอย่างแกต้องไปเข้าคุกนานแค่ไหน”


 


“กลุ่มผู้เมตตาและโชคนำพาของเรานั้นจะเริ่มการเสวนาตอน9โมงเช้าวันพรุ่งนี้ ไม่เพียงจะเชิญเหล่าผู้รักในพุทธศาสนา พวกเรายังเชิญสื่อต่างๆไปด้วย หากว่าวัดหลานเล่อนั้นคิดว่าตัวเองเป็นศาสนาพุทธแท้ๆล่ะก็ พวกนายกล้าที่จะเข้าร่วมเสวนากับผู้นำนิกายของเรารึเป่าล่ะ เห้อะ” มีหนึ่งในคนก่อปัญหาตะโกนออกมา


 


“ถ้าพวกแกไม่ไปก็แสดงว่าพวกแกนั้นไม่เข้าใจในพุทธอย่างถ่องแท้ พวกแกมันก็แค่มารศาสนา” อีกคนพูดออกมา


เหล่าสาวกกลุ่มผู้มีเมตตาและโชคนำพาต่างก็ตะโกนออกมาในทำนองเดียวกัน นี่ทำให้เจ้าอาวาสซูหยุนและปรมาจารย์เชิงหยานนั้นถึงกับต้องมองหน้ากัน


ทั้งคู่นั้นไม่ชอบการเปรียบเทียบความรู้ทางศาสนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่จะหาว่าใครมีระดับที่สูงกว่าหรือต่ำกว่า


แต่จากที่ดูสถานการณ์แล้วนั้น หากพวกเขาไม่ยอมไปร่วมในวันพรุ่งนี้เห็นทีว่าคนกลุ่มนี้จะก่อปัญหาให้พวกเขากันอีกในอนาคตอย่างแน่นอน ซูจิ้งเองนั้นที่มาวันนี้ถึงจะทำให้เรื่องสงบลงได้ก็จริง แต่ก็ใข่ว่าเขาจะมาได้ทุกวัน


ต่อให้ไปเรียกตำรวจมาจัดการ แต่การเรียกทุกวันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ถามกับกลุ่มคนขนาดนี้เป็นเรียกอย่างที่ตำรวจจะจัดการได้อย่างแน่นอน นั่นก็เพราะว่าสาวกของคนกลุ่มนี้นั้นมีจำนวนมากพอดู


ต่อให้โดนจับไปก็คงหายไปแค่ไม่กี่วัน พอออกมาก็คงจะมาก่อปัญหาแบบนี้อีก หากไปไว้ยาวนานนักชื่อเสียงของวัดหลานเล่อก็คงต้องมัวหมองลง


“กลับไปบอกผู้นำนิกายของพวกคุณว่าเราจะไปในวันพรุ่งนี้” เจ้าอาวาสซูหยุนพูดออกมา


 


หลังจากได้ยินดังนั้นทำให้เหล่าสาวกของกลุ่มผู้เมตตาฯจากไป ดูเหมือนว่าคนพวกนี้มาก่อปัญหาเพื่อที่จะให้ทางวัดหลานเล่อนั้นยอมเข้าร่วมการเสวนาดังกล่าวเท่านั้นเอง


และแน่นอนว่าการเสวนาในครั้งนี้สมควรจะพูดคุยในเรื่องปาฏิหารย์ทางพุทธซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เจ้าอาวาสซูหยุนนั้นไม่เคยเห็นด้วยเลยสักนิด แต่พวกเขาก็ไม่อาจจะไม่สนใจจนทำให้หอหมิงหวังเกิดปัญหาขึ้นได้


 


“ไอ้การเสวนาเรื่องพุทธศาสนาในครั้งนี้มันสำคัญยังไงกัน ไม่ใช่ว่าความขัดแย้งกันระหว่างนิกายมหายานกับนิกายเถรวาทเป็นเรื่องต้องห้ามหรอกหรอ” ซูจิ้งพูดออกมา


“มันก็ไม่ใช่เรื่องจริงซะทีเดียว ผู้นำนิกายกลุ่มผู้เมตตาและโชคนำพานั้นได้เชิญพวกสื่อมาทำข่าวเรื่องนี้เป็นพิเศษ แสดงว่าพวกนั้นต้องการใช้พลังจากสื่อเพื่อเผยแพร่นิกายของพวกนั้น


พุทธศาสนาที่แท้นั้นไม่ว่าจะเป็นนิกายใหญ่หรือเล็กก็ตามต่างก็มีการจัดการเสวนาเรื่องนี้กันบ่อยครั้ง เอาจริงๆผู้นำนิกายนั้นมีความรู้ทางพุทธมากมายเกี่ยวกับเรื่องจักรวาลจนสามารถเผยแพร่และสอนออกมาได้เลยทีเดียว แน่นอนว่ามันน่าเชื่อถือจนเป็นที่จับตามองของสื่อต่างๆ


แน่นอนว่าเมื่อข่าวนี้เผยแพร่ออกไปแล้ว ย่อมทำให้ผู้คนจำนวนมากยืนอยู่ฝั่งเขาอย่างแน่นอน” โจวฮงหยวนพูดออกมา ด้วยการที่เขานั้นเป็นเจ้าห้างสรรพสินค้าทำให้รู้วิธีการเกี่ยวกัยการโฆษณาเป็นอย่างดี


ซูจิ้งพยักหน้าหมายถึงเข้าใจคำพูดที่โจวฮงหยวนวิเคราะห์ให้เขาฟังได้เป็นอย่างดี ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าสาวกของกลุ่มผู้เมตตาฯอะไรนี่ไม่ได้มีเกียรติและน่าเลื่อมใสเท่าเจ้าอาวาสได้เลยสักนิด


ในฐานะพระสงฆ์แล้วเจ้าอาวาสไม่เพียงแต่ศึกษาศาสตร์แห่งพุทธเป็นอย่างดีแล้ว เขานั้นยังมีความสามารถในการหยั่งรู้เรื่องราวได้ หากว่าเขานั้นเป็นพวกนอกรีตจริงล่ะก็สมควรที่จะกลายเป็นผู้นำเหล่าร้ายไปนานแล้ว


 


“ประสกซู ทำไมประสกไม่ไปในวันพรุ่งนี้ล่ะ” เจ้าอาวาสซูหยุนได้หันไปมองซูจิ้งและถามออกมา


“ผมว่าผมไม่เข้าใจเกี่ยวกับทางเสวนาทางพุทธศาสนานี่หรอกครับ” ซูจิ้งพูดออกมา


“หึหึหึ ประสกซูก็ถ่อมตัวเกินไป ถึงแม้ว่าประสกจะไม่รู้เรื่องในศาสนาพุทธ แต่ในใจของประสกนั้นเป็นพุทธอยู่แล้ว แถมเป็นพุทธเสียยิ่งกว่าอาตมาซะอีก” เจ้าอาวาสซูหยุนพูดออกมาในเชิงกล่าวชม


 


“ท่านเจ้าอาวาสก็ยกยอผมเกินไป ผมไม่เข้าใจเรื่องนี้จริงๆครับ” ถ้าพูดกันตามตรงแล้วซูจิ้งนั้นไม่ได้ถ่อมตนแม้แต่น้อย เขานั้นเพียงเรียนรู้เรื่องต่างๆไว้ก็เท่านั้น


ตัวเขานั้นได้เรียนวิถีแห่งเซนพร้อมแนวคิดทางศิลป์ ไหนจะได้ชุดน้ำชาที่ใช้เพิ่มพลังสมาธิได้ ไหนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิถีแห่งมังกรนั่นอีก


หากพูดในเชิงศาสนาแล้วบอกได้เลยว่าเขานั้นแทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย แน่นอนว่าหากต้องไปร่วมเสวนามีแต่ทำให้ขายหน้าเสียเปล่าๆ


 


กลุ่มผู้เมตตาและโชคนำพานี้ได้เผยแพร่แนวคิดของพวกเขามานานหลายสิบปีแล้ว แน่นอนว่าต่อให้พวกเขานั้นต้องพูดเรื่องบัวในตมพวกเขาก็สามารถโยงเข้ากับพลังจักรวาลได้อย่างสบาย


พวกเขานั้นถูกเชิญไปพูดในมหาวิทยาลัยเสียด้วยซ้ำ เมื่อหันมามองตัวเองแล้วซูจิ้งบอกได้เลยว่าเขาไม่มีทางพูดได้อย่างแน่นอน ขนาดแนวคิดทางศิลปะเองเขาก็ยังเข้าใจแบบครึ่งๆกลางๆ ส่วนวิถีแห่งมังกรนั่นแน่นอนว่าให้ใครรู้เรื่องนั้นไม่ได้ แต่เหมือนซูจิ้งนึกอะไรได้บางอย่างซูจิ้งได้พูดออกมาว่า “ผมไปก็ได้แต่ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าอาวาสแล้วกันครับ”


 


“หึหึงั้นก็ปล่อยไปเป็นเรื่องของสถานการณ์ก็แล้วกัน” เจ้าอาวาสในตอนนี้เรียกได้ว่ายิ้มออกมาอย่างมีเลศนัยจนทำให้ซูจิ้งที่เห็นนั้นถึงกับขนลุกเลยทีเดียว เขารู้สึกว่าเขาถูกเจ้าอาวาสอ่านออกในสิ่งที่เขาคิดไปแล้ว


“ท่านเจ้าอาวาสซูหยุนและคุณซู พวกเราสนับสนุนคุณครับ”


“ไอ้พวกกิ่งก้านนอกรีตแบบนั้นไม่อยากจะคิดเลยว่าเป็นพระสงฆ์เลยสักนิด ไอ้พวกนั้นไปหลงเชื่อได้ยังไง”


“มีคนบอกว่าเป็นผู้นำนิกายเองเลยนำที่ยุแยงให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นมา หมอนั่นไม่น่าจะมีใจแห่งพุทธเลยสักนิด”


“เรื่องพระอจละนี้เป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำความเข้าใจและนำไปเผยแพร่ได้เลยจริงๆนะ ทุกครั้งที่อยู่รอบๆแค่นั้นก็รู้สึกสงบ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกดีขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ


 


“ลูกน้องของผมเองยิ่งมายิ่งประสบความสำเร็จ ครอบครัวของผมเองก็ยิ่งมายิ่งสงบสุข แม้แต่ตัวผมเองนั้นก็ยังรู้สึกมีความสงบในใจยิ่งกว่าแต่ก่อน


หากบอกว่านี่คือเทพปีศาจ ผมก็อยากรู้จริงๆว่าส่วนไหนกันที่เป็นปีศาจ”


“เรื่องนี้สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ว่า หากไม่เคยเห็นอย่าได้พูดไร้สาระ”


มีเหล่าผู้ศรัทธาจำนวนมากที่มายังหอหมิงหวังแห่งนี้เพื่อแสดงแรงศรัทธาของตนเองไม่ว่าจะเป็นต่อเจ้าอาวาส ซูจิ้ง หรือแต่หอนี้ก็ตาม


องค์พระอจละและรูปวาดพระอจละทั้งเก้านี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของพวกเขา ถึงแม้ว่าในความจริงแล้วนั้นองค์พระทั้งสิบนี้จะไม่ได้ปกป้องพวกเขาจริงๆ แต่พวกเขานั้นรู้สึกได้ว่าจิตใจของพวกเขานั้นสุขสงบแต่นั้นก็ถือได้ว่าสุดยอดแล้ว


ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นจะไม่ได้กลัวในการเผชิญหน้ากับเหล่าผู้ที่ต้องการทำลายหอพระอจละแห่งนี้ก็ตาม แต่พวกเขานั้นก็หวังให้เจ้าอาวาสและคนอื่นๆยุติเรื่องนี้ได้ด้วยคำพูดอยู่ดี

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)